ลำนำบุปผาพิษ 1407-1417
บทที่ 1407 เผชิญหน้า 3
ยามนี้จับกุมคนได้แล้ว เขาก็โล่งอกเช่นกัน ขอเพียงคนตกอยู่ในกำมือเขา ยังต้องกลัวว่านางจะดื้อรั้นพูดความจริงอีกหรือ? นางคงมิได้เป็นแบบพวกมู่เฟิงสี่ผู้คุ้มกันที่ลืมเลือนทุกอย่างเกี่ยวกับตี้ฝูอีไปจนสิ้นแล้วกระมัง?
“หลีเมิ่งซย่า ข้าถามเจ้า เจ้า…” ขณะที่เขากำลังจะถามถึงประเด็นสำคัญ สองตาของหลีเมิ่งซย่ากลับจ้องที่ของว่างบนโต๊ะ เอ่ยพึมพำ “หิวเหลือเกิน!”
เดินโซเซเข้ามา ฉวยไปหนึ่งจานทันที คว้าขนมอบชิ้นหนึ่งแล้วยัดเข้าปาก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผงะไปครู่หนึ่ง
เขาพลันโบกแขนเสื้อ ลำแสงสีขาวสายหนึ่งส่องวาบ จานในมือของหลีเมิ่งซย่าหายไปแล้ว ขนมอบในมือก็ไม่มีร่องรอยแล้วเช่นกัน
สีหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลึกล้ำดุจธารา “กบฏอย่างเจ้าคู่ควรจะได้กินอาหารของข้าหรือ? ข้าจะถามเจ้า หากว่าเจ้าตอบมาตามจริง…”
ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา เนื่องจากจู่ๆ หลีเมิ่งซย่าก็ล้มคว่ำลงไป ชักอยู่บนพื้นไม่กี่ครา แล้วสลบไปทันที
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมตะลึง
ประมุขหยางที่อยู่ด้านข้างเข้ามาจับชีพจรนาง เอ่ยรายงาน “นางหิวจนเป็นลมไปแล้วขอรับ” มองเห็นสีหน้าของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมิสู้ดี จึงกล่าวอย่างค่อนข้างหวาดหวั่น “คนผู้นี้มุทะลุดุดัน ทว่ามีจุดอ่อนถึงชีวิตอยู่ประการหนึ่ง คือกลัวหิว พอหิวแล้วจะเป็นลมได้ง่ายๆ…เดิมทีนางพกของว่างติดตัวอยู่ตลอดเวลา หนนี้ระหว่างเดินทางเกรงว่านางจะเล่นตุกติก จึงริบทั้งหมดมา นางไม่ได้กินอะไรจริงๆ จังๆ มาหลายวันแล้วขอรับ…”
มือของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมที่อยู่บนเก้าอี้พลันกำเข้าหากัน เอ่ยสั่งการ “เรียกผู้คุ้มกันมู่เฟิงมา”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฟิงก็สาวเท้าก้าวเข้ามา ค้อมกายทำความเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม “นายท่าน”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโบกมือ ชี้ไปที่หลีเมิ่งซย่า “ไปดูสิว่านางเป็นอะไร?”
มู่เฟิงตอบรับคราหนึ่ง เดินไปที่ข้างกายหลีเมิ่งซย่าจริงๆ จับชีพจรนางดู ผ่านไปสักครู่ก็ขมวดคิ้ว ยืดกายขึ้นรายงาน “เรียนนายท่าน นางมีโรคแอบแฝง พอหิวแล้วจะเป็นลม…” พูดจาแบบเดียวกับประมุขหยาง
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมถึงได้วางใจ “ต้องทำอย่างไรให้นางฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว?”
มู่เฟิงหลุบตา “หากคนทั่วไปเป็นเช่นนี้ กรอกน้ำหวานลงไปสักชามก็จะฟื้นขึ้นมาในหนึ่งเค่อขอรับ แต่นางแตกต่างออกไป เมื่อนางหิวจนเป็นลมไป จะไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งคืน”
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ย่อมไม่สามารถไต่สวนต่อได้แล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสั่งการให้คนนำหลีเมิ่งซย่าไปขังไว้ที่คุกลับ
ยามนี้ดึกเอาการแล้ว ปกติแล้วที่นี่ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่ให้ผู้คนรั้งอยู่ ดังนั้นเข้าจึงเอ่ยกำชับพวกประมุขหยางอีกหลายประโยค แล้วให้พวกเขาออกไปซะ สั่งให้มู่เฟิงส่งคนพวกนี้ออกไป
หลังจากพวกเขาออกไป ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ เรือนกายไหววูบ ติดตามออกมาเช่นกัน แอบซุ่มอยู่ด้านหลัง
วรยุทธ์ของเขาสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าไม่กี่คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสัมผัสถึงเขาไม่ได้
ด้านนอกจันทร์เพ็ญเต็มดวง มู่เฟิงเดินนำอยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ พวกประมุขหยางตามอยู่ด้านหลัง
ประมุขหยางตีสนิทมู่เฟิง “ใต้เท้ามู่เฟิง ผู้น้อยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้ว จนใจด้วยไร้วาสนาพบพาน วันนี้ในที่สุดก็ได้พบแล้ว ใต้เท้ามู่เฟิงช่างองอาจโดดเด่นโดยแท้ ไม่ธรรมดาเลย”
มู่เฟิงไม่หันกลับไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “กล่าวได้ดี”
“ใต้เท้ามู่เฟิง เหตุใดไม่เห็นผู้คุ้มกันอีกสามท่านล่ะขอรับ?”
น้ำเสียงมู่เฟิงเยียบเย็นเล็กน้อย “หยางเฟยอี้ เจ้าละเมิดกฎแล้ว!”
หยางเฟยอี้ไอแห้งๆ คราหนึ่ง เกาหัวเล็กน้อย เอ่ยขออภัยต่อเขา พูดจาน่าฟังออกมากระบุงหนึ่ง ผู้คุ้มกันมู่เฟิงคนนั้นเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นประมุขหยางผู้นี้อยู่ในสายตาเลย
ประมุขหยางยิ้มขื่น คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ “ที่แท้วิชาแพทย์ของผู้คุ้มกันมู่เฟิงก็เลิศล้ำถึงเพียงนี้ ระยะนี้ผู้น้อยรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าผู้คุ้มกันมู่เฟิงพอจะตรวจอาการให้ข้าได้หรือไม่?”
——————————————————————-
บทที่ 1408 บางทีข้าอาจลองดูได้! – 4
มู่เฟิงค่อนข้างหงุดหงิดแล้ว “ข้าเห็นว่าเจ้าสบายดียิ่งนัก”
“นี่…โรคแอบแฝง เป็นโรคแอบแฝง…หวังว่าผู้คุ้มกันมู่เฟิงจะช่วยดูให้สักหน่อย” สีหน้าเขาเว้าวอน แทบจะประชิดอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิง
จมูกมู่เฟิงพลันได้กลิ่นหอมกระจ่างที่คุ้นเคยสายหนึ่ง ร่างกายพลันแข็งทื่อ เหลียวมองประมุขหยาง รูปร่างของประมุขหยางค่อนข้างอ้วนท้วม จมูกเล็กตาหยี รูปโฉมค่อนข้างอัปลักษณ์จริงๆ ยามนี้ดวงตาหยีคู่นั้นกำลังมองเขาตาละห้อย ก้นบึ้งดวงตาคล้ายมีคลื่นแสงไหลเวียน
มู่เฟิงกระแอมคราหนึ่ง สีหน้ายังคงเย็นชาเช่นเกิน “ส่งมือให้ข้า!”
ประมุขหยางก็ยื่นมือให้จริงๆ มู่เฟิงจับชีพจรให้เขา
ประมุขหยางสัมผัสถึงปลายนิ้วเย็นเฉียบของเขา จึงสั่นสะท้านเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ ปล่อยมือ มองดูประมุขหยาง “อาการเจ้าน่าจะเป็นในใจมีเรื่องหนักหนาเกินไป จิตใจว้าวุ่น ทำร้ายหัวใจและเลือดลม…” เขาร่ายศัพท์เฉพาะทางออกมากองหนึ่ง
ประมุขหยางพนักหน้า “วิชาแพทย์ของผู้คุ้มกันมู่เฟิงยอดเยี่ยมจริงๆ มีหนทางรักษาหรือไม่?”
มู่เฟิงกล่าวว่า “ข้าจะจัดยาให้เจ้าเทียบหนึ่ง เจ้าเอากลับไปต้มก็ใช้ได้แล้ว”
ไม่ทราบว่าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากไหน เขียนใบสั่งยาออกมา ขณะที่กำลังจะส่งให้ประมุขหยาง ด้านหลังพลันมีคนเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ประมุขหยางเป็นอะไรเล่า?”
ทุกคนหันกลับไปอย่างพร้อมเพรียง เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยืนอยู่ในจุดอับ กำลังมองพวกเขาอยู่
ประมุขหยางแย้มยิ้มแล้วบอกเล่าถึงอาการของตน กล่างอย่างเปิดเผยว่าผู้คุ้มกันมู่เฟิงจัดยาให้เขา
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยื่นมือไปทางมู่เฟิง “ข้าก็ชำนาญวิชาแพทย์ ให้ข้าดูหน่อย”
มู่เฟิงจึงส่งใบสั่งยาให้เขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมดูอยู่ครู่หนึ่ง ตัวยาบนนั้นไม่ซับซ้อน และเป็นตัวยาที่พบเห็นได้ทั่วไป เขามองอยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร จึงส่งใบสั่งยาแผ่นนั้นให้ประมุขหยาง “ใบสั่งยานี้นับว่าใช้ได้ ประมุขหยางจัดยาตามใบสั่งก็พอ”
พวกประมุขหยางกล่าวอำลาแล้วจากไป ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมปรายตามองมู่เฟิงแวบหนึ่ง เห็นเขายืนหลุบตาอยู่ตรงนั้น ไม่มีความผิดปกติอื่นใด
เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ “มู่เฟิง ข้าหิวแล้ว ไปจับปลามาให้ข้าสักตัวสิ”
“ขอรับ!” มู่เฟิงตอบรับโดยไม่หยุดคิดเลย พลิกกายคราหนึ่ง กระโจนลงสู่ทะเลสาบใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง
ยามนี้เป็นยามดึก น้ำในทะเลสาบเย็นยะเยือก และก้นทะเลสาบแห่งนี้มีวิญญาณอาฆาตนับไม่ถึงถูกสะกดจองจำไว้ ยามเที่ยงคืนของทุกวันจะเป็นช่วงที่พวกมันฮึกเหิมที่สุด
ในทะเลสาบใหญ่แห่งนี้มีปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้น เป็นปลาที่ดุร้ายยิ่งนักชนิดหนึ่ง ด้วยใช้ชีวิตเสพกินวิญญาณอาฆาต ยามปกติอาศัยอยู่ในก้นทะเลสาบลึก ร่างกายปราดเปรียว จับยากยิ่งนัก
ทะเลสาบยามเที่ยงคืน วิญญาณอาฆาตดุร้าย ปลาก็ดุร้ายเช่นกัน มู่เฟิงที่กระโจนเข้าไปสำหรับวิญญาณอาฆาตและฝูงปลาแล้ว เป็นอาหารจานเนื้ออันโอชะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทะเลสาบพลุ่งพล่านขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด…
ผ่านไปหนึ่งเค่อ มู่เฟิงโผล่ขึ้นมาจากน้ำในมือจับปลาตัวใหญ่ที่ดีดดิ้นไว้ตัวหนึ่ง บนร่างเขาถูกกัดจนมีบาดแผลอาบเลือดมากมาย อาภรณ์บนร่างจับตัวเป็นน้ำแข็ง เกาะตัวเป็นชั้นทั่งร่างปานเกราะน้ำแข็ง
ในน้ำหนาวเย็นด้วยไอหยิน แตกต่างกับความหนาวเย็นธรรมดาริมฝีปากมู่เฟิงขาวซีดไปหมด หลังจากเขาจับปลาตัวนั้นได้ก็หมายจะขึ้นฝั่ง ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกลับเอ่ยเรียบๆ ว่า “ปลาตัวนี้เล็กเกินไป ไปจับตัวอื่นที่ใหญ่กว่านี้มา”
“ขอรับ!” มู่เฟิงไม่พูดไร้สาระเลยสักประโยค มุดลงน้ำไปอีกครา
ในน้ำพลุ่งพล่านอีกครั้ง มีบุปผาโลหิตผุดขึ้นมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นของมู่เฟิง หรือว่าเป็นของปลาเหล่านั้น…
“นี่ท่านทำอะไรอยู่?” ขณะที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยืนมองอยู่ที่ริมฝั่ง เสียงกระจ่างใสของสตรีก็แว่วมาจากด้านหลัง
เขาหันกลับไป ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขาก็คือเซียนหญิงลี่หวาง
“ปลาในทะเลสาบแห่งนี้อุดมสารอาหาร ข้าอยากเอามาตุ๋นน้ำแกงดู”
เซียนหญิงลี่หวางเม้มปากนิดๆ “ปลาในทะเลสาบแห่งนี้ไม่เลิศรสสักเท่าใด…ท่านทำเช่นนี้ต้องการทดสอบความภักดีที่เขามีต่อท่านกระมัง? วางใจเถอะ คนที่โดนกู่หนึ่งใจภักดิ์ของข้า ล้วนจะภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้มาทดสอบเลย”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกจี้ปมในใจเข้า จึงยิ้มแวบหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าปลาชนิดนี้เลิศรสจริงๆ…”
น้ำเสียงเซียนหญิงลี่หวางเยียบเย็นเล็กน้อย “ยามเที่ยงคืนเป็นช่วงเวลาที่วิญญาณร้ายในทะเลสสาบนี้กำเริบเสิบสาน ต่อให้เป็นท่านหรือข้าที่ลงไปก็ยังไม่แน่ว่าจะขึ้นมาได้โดยไม่บุบสลาย ท่านให้เขาลงไปเพื่อสนองความอยากของตนเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ? เห็นทีว่าท่านคงไม่เชื่อถือในเวทวิชาของข้าสักเท่าไหร่สินะ”
เห็นได้ชัดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่คิดจะล่วงเกินนาง ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านเซียนคิดมากไปแล้ว…ช่างเถิด ปลานี้ข้าไม่อยากกินแล้ว มู่เฟิง ขึ้นมา!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฟิงก็โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ ตัวคนแทบจะแข็งจนเป็นก้อนน้ำแข็งแล้ว บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลนองเลือด ดูแล้วค่อนข้างน่าตกใจ
เขาอยากขึ้นฝั่ง ทว่าเห็นได้ชัดว่าไม่มีแรง…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมโบกมือคราหนึ่ง แขนเสื้อยืดทะยานออกไป ม้วนตัวเขากลับขึ้นฝั่ง
ทั้งร่างของมู่เฟิงจับตัวเป็นน้ำแข็ง สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้อยู่ตรงนั้น ทว่ายังคงจับปลาตัวนั้นไว้แน่นแล้วค้อมกายให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม “นายท่าน”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายค่อนข้างหมดอารมณ์อยู่บ้าง “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากกินปลาแล้ว ปล่อยปลาตัวนี้ไปเถอะ”
“ขอรับ” มู่เฟิงหลุบตาลงแล้วปล่อยปลาที่ทุ่มเทไปเกือบครึ่งชีวิตถึงจับมาได้ลงทะเลสาบไป
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมองสีหน้าของเขาอย่างละเอียด ถึงแม้สีหน้าของมู่เฟิงจะซีดขาวอย่างยิ่ง ทว่าไม่มีสีหน้าคับข้องใจที่ถูกกลั่นแกล้งเลยสักนิด
เขาถึงได้พอใจ โยนโอสถให้หนึ่งขวด “กินยานี้เข้าไปซะ กลับไปค่อยนั่งสมาธิอีกสามชั่วยามเพื่อขับพิษหนาวไอหยินในร่าง”
มู่เฟิงขานรับอีกครา กล่าวขอบคุณแล้วถือขวดยาจากไป
เซียนหญิงลี่หวางยิ้มนิดๆ “ไม่คิดเลยว่าเขาจะเชื่องเชื่อเสมือนสุนัขตัวหนึ่งได้”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกุมมือนาง “ที่นี่ลมแรง…”
สีหน้าเซียนหญิงลี่หวางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ สลัดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมออกทันที เอ่ยอย่างเย็นชา “จะพูดก็พูดไป อย่าได้ปากว่ามือถึง!” พลันหมุนกายจากไป
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมองเงาหลังของนาง ดวงตาฉายแววคุกรุ่น นิ้วมือค่อยๆ กำแน่น…
เสแสร้งอันใดกัน? ก็แค่คนจากดินแดนเบื้องบนที่ถูกลดขั้นนั้น ยังนึกว่าตนเป็นผู้ควบคุมโลกนี้จริงๆ อยู่อีกหรือ? เฮอะ!
….
มู่เฟิงกลับไปที่เรือนพักของตนอย่างช้าๆ ท่าทางของเขาสงบนิ่งยิ่งนักอยู่ตลอด ทว่าในใจปั่นป่วนไปหมดแล้ว
นายท่าน! นายท่านกลับมาแล้วจริงๆ!
ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวังแล้ว! ในที่สุดความทรมานก็ได้ผล!
นายท่านปลอมเป็นไอ้คนอัปลักษณ์เช่นนั้นมาหาพวกเขา หากมิใช่เขาได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์บนร่างของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เขาก็คงจำเขาไม่ได้…
ยามที่จดจำได้ว่าเป็นนายท่าน เขาตื่นเต้นจนแทบอยากตีลังกาแล้ว! หากมิใช่หลายปีมานี้ขณะที่ติดตามทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้ฝึกฝนวิชาสงบเยือกเย็นจนชำนาญแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อครู่เขาอาจเผยพิรุธออกมา
ถึงแม้ในใจเขาจะตื่นเต้นอย่างยิ่ง ทว่าฉากหน้ากลับมองอะไรไม่ออกเลย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นวิปริตยิ่งนัก ในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนมีกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วสารทิศ อากัปกริยาของเขาล้วนอยู่ภายใต้การจับตามองของผู้อื่น ดังนั้นหลังจากเขากลับถึงเรือนตน ก็เริ่มทายาให้ตัวเองด้วยสีหน้าทึ่มทื่อปานท่อนไม้
หลังจากทายาแล้ว เขาก็ลาดตระเวนไปรอบๆ เหมือนที่ผ่านมา ทำหน้าที่ตรวจตราป้องกันตามปกติ
เขากับสหายของเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกกันอยู่อยู่สี่ของคฤหาสน์ ทุกๆ วันไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนล้วนต้องวนไปหาอีกสามคนที่เหลือรอบหนึ่ง วันนี้ก็เช่นกัน
เขาวนไปหามู่เหล่ยที่นั่นก่อน มู่เหล่ยกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็เอ่ยทักทายเขา แล้วฝึกวรยุทธ์ต่อ
มู่เฟิงพยักหน้านิดๆ ไม่ได้พูดอย่างอื่นก็ออกมาเลย
หายนะครั้งนี้พวกเขาติดกับอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนเกิดเรื่องไม่เคยมีวี่แววเลยสักนิด!
หลังจากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าสู่ตาค่ายแห่งนั้น พวกเขาเป็นกังวลกันอยู่หลายวัน แทบจะไปสำรวจรอบป่าทมิฬทุกสองสามวัน ป้ายหยกที่ใช้สื่อสารกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ถูกหยิบออกมาวันละแปดรอบ
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหายเงียบไปเลย เวลาเคลื่อนคล้อยไป หัวใจของพวกเขาก็ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เมื่อสองปีก่อนมีวันหนึ่งมู่อวิ๋นทนไม่ไหวออกไปตามหาเพียงลำพัง เมื่อกลับมาในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง เหล่าพี่น้องก็พาเขาไปเลี้ยงปลอบใจ กินอาหารด้วยกันมื้อหนึ่ง จากนั้นก็ตกอยู่ในห้วงฝันร้าย!
พวกเขาเห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับมา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้บุคลิกท่าทางต่างๆ ล้วนไม่เหมือนนายท่านของพวกเขาเลย แต่ในใจพวกเขากลับจงรักภักดีต่อเขาอย่างน่าประหลาด เขาว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ถึงขั้นที่เขาบอกว่าลูกบอลเป็นสี่เหลี่ยม พวกเขาก็คล้อยตามเช่นกัน
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าในใจทราบชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร แต่ร่างกายและการเคลื่อนไหวกลับไม่ฟังคำสั่งตนเลย คอยติดตามอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นวิ่งตามปรนนิบัติรับใช้…
ความรู้สึกนั้นราวกับร่างกายของตนเป็นหุ่นเชิด ถูกผู้อื่นควบคุมไว้แล้ว ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก นิสัยใจคอกริยาท่าทางไม่แตกต่างจากในอดีตเลย ไม่มีผู้ใดแยกแยะออก ความรู้สึกนั้นน่าหวาดหวั่นและสิ้นหวังยิ่งนัก เหมือนทราบว่าเบื้องหน้าคือหุบเหว แต่ก็ยังกระโดดลงไป
เคราะห์ที่ว่าอ่านเป็นเพราะสมรรถภาพร่างกายของมู่เฟิงมีความพิเศษ เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ครึ่งวัน อีกครึ่งวันให้หลังเขาก็ชิงการควบคุมร่างกายกลับมาได้แล้ว
แต่พี่น้องของเขาไม่ได้โชคดีเหมือนเขา พวกเขาไม่เคยได้สติขึ้นมาอย่างแท้จริงเลย
เมื่อมู่เฟิงได้สติกลับมา เรื่องแรกที่กระทำก็คือทดสอบพี่น้องทั้งสามคนของตน เมื่อพบว่าพวกเขายังคงถูกสะกดอยู่ เขาจึงทำได้เพียงใช้วิชาลับลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของทั้งสามคนไปเสีย เช่นนี้ถึงจะป้องกันหายนะที่จะเผยความลับทั้งหมดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกมาไว้ได้…
ถึงแม้มู่เฟิงจะหลุดพ้นจากการควบคุมของกู่นั้นแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าจากไป พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายทั้งสามคนของเขาล้วนอยู่ในกำมืออีกฝ่าย หากว่าเขาหนีไป เกรงว่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมายกับพวกเขาทั้งสาม อีกอย่างคาถาลบความจำชนิดนั้นจะต้องร่ายเดือนละครั้ง มิเช่นนั้นจะเสื่อมฤทธิ์
อีกอย่างวรยุทธ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้กับเซียนหญิงลี่หวางนางนั้นสูงส่งยิ่ง ต่อให้พวกเขาทั้งสี่ผนึกกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี
กล่าวอีกนัยคือบนโลกนี้นอกจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงแล้วไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้…
ดังนั้นมู่เฟิงจึงฝืนทนต่อไป เขาแสร้งทำเป็นถูกสะกดอยู่ตลอดปฏิบัติตามคำสั่งของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม ลอบศึกษาวิธีคลี่คลายวิชากู่ให้เหล่าพี่น้องอย่างลับๆ
จนปัญญาที่กู่ชนิดนี้พบเห็นได้ยากยิ่งนัก เริ่มแรกสุดมู่เฟิงถึงขั้นที่ไม่ทราบเลยว่าสรุปแล้วพวกเขาถูกเล่ห์กลอันใดกันแน่ ทำได้เพียงค่อยลองคลำทางดู ยามที่ติดตามอยู่ข้างกายสองคนนั้นจะสืบหาเบาะแสจากบทสนทนาของพวกเขา
เขาเพิ่งทราบในครึ่งปีมานี้ว่าพวกเขาโดนกู่ที่พบเห็นได้ยากชนิดหนึ่ง และมู่เฟิงก็ไม่สันทัดด้านวิชากู่เลย เขาจึงทำอะไรไม่ได้ชั่วขณะ…
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้เป็นคนขี้ระแวง ถึงแม้จะควบคุมพวกเขาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจในตัวพวกเขา มักจะคิดอุบายชั่วช้ามาทดสอบพวกเขาอยู่เนืองๆ ถึงขั้นที่ให้พวกเขาสี่คนไปจูงม้ารับใช้หญิงนางนั้น มอบให้เป็นข้ารับใช้ของหญิงนางนั้น…
ดังนั้นวันคืนของพวกเขาในช่วงสองปีมานี้จึงทุกข์ทนยากจะเอื้อนเอ่ยยิ่งนัก มู่เฟิงขมขื่นกล้ำกลืนมาโดยตลอด รอคอยโอกาส
ยามนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว นายท่านของพวกเขากลับมาแล้ว!
ขอเพียงนายท่านของพวกเขากลับมา ทุกอย่างก็จะง่ายดายแล้ว!
เทียบยาที่เขามอบให้ ‘ประมุขหยาง’ ดูเผินๆ ก็ปกติทั่วไป อันที่จริงแล้วแฝงกลไกไว้มากมาย
เขาติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ระหว่างนายบ่าวย่อมมีวิธีสื่อสารแบบพิเศษชุดหนึ่ง มิเช่นนั้นในยามที่ตี้ฝูอีเล่นละครพันโฉมหน้า แล้วพวกเขายังหาตัวพบอย่างแม่นยำก็เนื่องด้วยเหตุผลข้อนี้
เขาเชื่อว่าหลังจากที่นายท่านได้เห็นเทียบยานั้น น่าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในยามนี้ของพวกเขาทั้งสี่…
….
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
ตี้ฝูอีถอดความเทียบยานั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ในเทียบยาประกอบเป็นถ้อยคำได้สองประโยค ‘อีกสามคนถูกวิชากู่หนึ่งใจภักดิ์ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ยามอิ๋น[1]สามเค่อของทุกวันวิญญาณอาฆาตใต้ต้นฉัตรจีนต้นหนึ่งทางตะวันตกของคฤหาสน์จะเสื่อมฤทธิ์เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม’
ปลายนิ้วของตี้ฝูอีเคาะเบาๆ ตรงคำว่ากู่หนึ่งใจภักดิ์ คิ้วคมมุ่นเล็กน้อย สำหรับวิชากู่เขาก็รู้เพียงผิดเผินเท่านั้น ไม่นับว่าสันทัดเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาอาศัยจังหวะยามมู่เฟิงจับชีพจรให้เขา ลอบจับชีพจรของมู่เฟิงด้วยเช่นกัน ในร่างของมู่เฟิงมีกู่ แต่ถูกสะกดควบคุมไว้ ดังนั้นเขาจึงมีสติแจ่มใส ส่วนอีกสามคนที่เหลือกลับยังคงถูกควบคุมอยู่จนถึงยามนี้
เขามองจากท่าทางที่มู่เฟิงแสร้งแสดงออกมา คาดว่าน่าจะเป็นเช่นเดียวกับอีกสามคนที่เหลือ
หากว่าให้เวลาเขาสักหน่อย เขาก็น่าจะผลิตยาแก้ออกมาได้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ตอนนี้พวกเขามีเวลาไม่มาก เขาจะต้องแข่งกับเวลาแล้ว!
“ซีจิ่ว เข้าคุ้มกันให้ข้าที ข้าจะลองหลอมโอสถแก้พิษดู” ตี้ฝูอีตัดสินใจลองดู
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “ลองหลอม? ท่านไม่มีแนวทางที่ชัดเจนหรือ?”
“ใช่ กู่ชนิดนี้ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทำได้เพียงทดลองดูสักหลายๆ ครั้ง” ตี้ฝูอีก็ไม่ปิดบังเธอ
กู้ซีจิ่วสูดหายใจนิดๆ “บางทีข้าอาจลองดูได้!”
ตี้ฝูอีประหลาดใจ “เจ้าน่ะหรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “กู่ชนิดนี้คล้ายกู่หนึ่งรักมั่นที่ข้าเคยเห็นมาก่อน ข้ารู้วิธีแก้กู่หนึ่งรักมั่น สองอย่างนี้ไม่แน่ว่าอาจใช้ยาแก้แบบเดียวกันได้”
ตี้ฝูอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ได้ เจ้าลองดูก่อน ข้าจะคุ้มกันให้เจ้า! ต้องการตัวยาใดบ้าง?”
กู้ซีจิ่วบอกชื่อตัวยาจำนวนหนึ่งออกมา ในบบรดาเหล่านั้นมีสองสามอย่างที่ตี้ฝูอีเตรียมพร้อมไว้แล้ว ยังมีอีกสองสามอย่างที่จำเป็นต้องออกไปซื้อแบบสดใหม่จากร้านยา
ตี้ฝูอีสั่งการให้ผู้อาวุโสเหลียงไปจัดการเรื่องสมุนไพรเหล่านั้นทันที สำหรับคนของหอเงาราตรีแล้ว การไปซื้อยาจากร้านขายยาเป็นเรื่องที่ไม่คณามือเลย ดังนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งในสี่ของหนึ่งชั่วยาม (ครึ่งชั่วโมง) ตัวอย่างที่กู้ซีจิ่วต้องการก็เตรียมพร้อมแล้ว
ยามที่หลอมโอสถพลังวิญญาณจะรั่วไหลออกมาภายนอก อาจก่อให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมแคลงใจได้ กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีจึงตรงไปที่วังค้ำนภา
สภาพภายในวังค้ำนภายังเป็นเช่นเดิม เพียงบ่าวไพร่ในวังหายไปกว่าครึ่ง
ทั้งสองแฝงกายเข้าไป ไม่ได้ทำให้ผู้ใดแตกตื่น บางครั้งก็พบกับข้ารับใช้สองสามคนที่เดินตรวจตรายามราตรี ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเป็นครั้งคราว ทำให้ทั้งสองคนได้ทราบเบาะแสของข้ารับใช้ชายหญิงเหล่านั้น…
ถูกตี้ฝูอีตัวปลอมโยกย้ายไปที่คฤหาสน์หลังใหม่แล้ว!
หัวใจของกู้ซีจิ่วจมดิ่งลงไป ในคฤหาสน์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเธอไม่พบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลย
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ข้ารับใช้ครึ่งหนึ่งมีอยู่หลายสิบคน ยามที่เธอกับตี้ฝูอีเข้าไป ข้ารับใช้ทั้งหมดที่พบเห็นล้วนเป็นคนใหม่ทั้งสิ้น ไม่เห็นคนเก่าๆ เลยสักคน
เช่นนั้นคนพวกนั้นจะถูกย้ายไปไว้ที่ไหนเล่า? ไปเป็นแรงงานอยู่ในซอกหลืบรูใด หรือว่าประสบเหตุไปแล้วเช่นกัน?
ด้วยนิสัยของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้น มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าคนเหล่านั้นจะประสบเหตุไปแล้ว…
ข้ารับใช้หญิงชายที่ถูกคัดเลือกไปล้วนเป็นอัจฉริยะของที่นี่ กล่าวได้ว่าเคยรับใช้ตี้ฝูอีอย่างใกล้ชิด
ถึงแม้จะไม่ใกล้ชิดเท่าสี่ทูต แต่ก็จงรักภักดีต่อตี้ฝูอี ยามที่กู้ซีจิ่วพำนักอยู่ในวังค้ำนภา ข้ารับใช้เหล่านั้นปฏิบัติต่อเธออย่างเป็นมิตรและเคารพเทิดทูนยิ่งนัก ในใจของกู้ซีจิ่ว ได้มองคนเหล่านั้นเป็นสหายไปแล้ว หากว่าพวกเขาประสบเหตุสิ้นชีพ…
จิตใจของกู้ซีจิ่วหนักอึ้ง ฝีเท้าก็เชื่องช้าลง
….
————————————————————————–
[1] ยามอิ๋น คือ ช่วงเวลาระหว่าง 03:00 – 04:59 นาฬิกา
บทที่ 1409 คืนนี้จะต้องช่วยคนออกมาให้ได้! – 2
เธอมองตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ริมฝีปากบางของเขาเม้มนิดๆ ไม่เผยท่าทีออกมา แสงจันทร์ส่องสะท้อนนัยน์ตาเขา ดำยิ่งนัก มืดมนยิ่งนัก
เขาไม่ได้มองเธอ แต่เงยหน้ามองท้องฟ้า
แสงดาวสกาวเต็มฟ้ามีกี่ดวงที่ส่องสว่างกี่ดวงที่มืดมนเล่า?
หกว่าดาวหนึ่งดวงคือตัวแทนของคนหนึ่งคน มีดวงดาวมากน้อยเพียงใดแล้วที่ร่วงหล่นไปโดยมิมีผู้ใดทราบ?
ในใจเขาคงไม่สบายใจเหมือนกันกระมัง? เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกมาก็เท่านั้น
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปจับมือเขา นิ้วมือของเขาเย็นเฉียบ ดูเหมือนเขาจะใจลอยอยู่ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ประสานมือกลับเหมือนที่ผ่านมา เพียงปล่อยให้เธอจับไว้
กู้ซีจิ่วเอียงศีรษะซบไหล่เขาพลางเอ่ยเอาใจ “ฝูอี ข้าจะต้องหลอมยาแก้ได้แน่นอน!”
ตี้ฝูอีตบมือเธอเบาๆ ตอบอืมคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองไปที่ห้องหลอมโอสถในอดีตของตี้ฝูอี กู้ซีจิ่วตั้งสมาธิ เริ่มค้นคว้าหลอมยาแก้ชนิดนั้น…
เนื่องจากเวลากระชั้นชิด กู้ซีจิ่วจะต้องมีสมาธิตั้งมั่นกับการหลอมโอสถ ไม่อาจถูกรบกวนจากโลกภายนอกได้ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงติดตั้งเขตแดนไว้นอกห้องหลอมโอสถ เช่นนี้คนที่อยู่ด้านนอกก็จะมองไม่เห็นแสงเทียนในห้องหลอมโอสถแล้ว และไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป…
กู้ซีจิ่วค้นคว้าหลอมกลั่นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้เธอไม่ได้ออกมาเลย ย่อมไม่ได้พักผ่อนด้วยเช่นกัน
ตัวเธอเองก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้วว่าหลอมโอสถเสียไปแล้วมากน้อยเพียงใด จวบจนยามพลบค่ำของวันถัดมา เมื่อเธอเปิดฝาเตาออก จึงได้เห็นยาลูกกลอนสีเขียวแวววาวนอนอยู่ในเตาสิบเม็ด…
โอสถขจัดกู่ระดับแปด! มีสรรพคุณขจัดกู่ได้ชะงัดที่สุด ต่อให้เป็นกู่ที่ร้ายกาจเพียงใดก็สามารถกำจัดทิ้งได้
เดิมทีเธอคาดการณ์ไว้ว่าโอสถขจัดกู่ระดับเจ็ดก็น่าจะใช้ได้แล้ว แต่เพื่อรับประกันว่าจะเห็นผล ในเตาสุดท้ายนี้เธอเพิ่มตัวยาพิเศษลงไปอีกอย่าง…เลือดของเธอ!
ไม่น่าเชื่อว่าจะหลอมได้ลูกกลอนระดับแปด! แถมยังได้ตั้งสิบเม็ดอีก! นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง!
อันที่จริงเธอค้นพบนานแล้วว่าเลือดของตัวเองสามารถยกระดับโอสถที่หลอมได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างกายแบบในอดีตหรือว่าสภาพร่างกายในปัจจุบัน ล้วนได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เพียงแต่เธอไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลย ถือว่าเป็นความลับเล็กๆ ของเธอ
แน่นอนว่าเธอใช้โลหิตของตนเป็นกระสายในการหลอมโอสถน้อยครั้งยิ่งนัก เธอเคยใช้ไปหนหนึ่งตอนที่ช่วยชีวิตตี้ฝูอีในตาค่าย
ที่เหลือเป็นการบาดเจ็บเป็นบางครั้งในระหว่างที่หลอมโอสถ เลือดหยดลงไปในเตาหลอม ผลคือโอสถเตานั้นกลายเป็นโอสถระดับสูงเป็นพิเศษ…
เดิมทีจิตใจเธอหนักอึ้งยิ่งนักมาโดยตลอด ถึงแม้ตี้ฝูอีจะไม่เคยติเตียนว่ากล่าวเธอเลย ถึงขั้นที่ไม่เผยท่าทีโทษว่าเป็นความผิดของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับทราบดีว่าทุอย่างล้วนมีสาเหตุมาจากการหนีงานแต่งครั้งนั้นของเธอ…
ถ้าหากเธอไม่หนีงานแต่งไป โลกภายนอกก็คงไม่เกิดเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ขึ้น ผู้บริสุทธิ์ก็คงไม่ต้องสังเวยชีวิตมากมายถึงเพียงนี้…
หลังจากออกมาจาป่าทมิฬ ทุกคืนเธอจะตื่นขึ้นมากลางดึก ความรู้สึกในใจไม่เคยเลือนหายไปเสมอมา เพียงแต่เธอเก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด ไม่เคยเปิดเผยออกมา
ยามนี้เมื่อได้เห็นยาลูกกลอนสิบเม็ดนี้ ในที่สุดจิตใจอันหนักอึ้งของเธอก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
นี่คือลูกกลอนขจัดกู่ที่ทรงอานุภาพที่สุด คนพิลึกคนหนึ่งที่เธอรู้จักในยุคปัจจุบันได้ถ่ายทอดให้แก่เธอ คนผู้นั้นอ้างตัวว่าเป็นบรรพชนกู่ เธอบังเอิญช่วยเหลือภรรยาของเขาไว้ครั้งหนึ่ง เขาจึงบอกสูตรยาชนิดนี้ให้เธอ…
เนื่องจากโอสถชนิดนี้ต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งพอถึงจะหลอมออกมาได้ แถมยังต้องใช้ทักษะการหลอมแบบพิเศษด้วย ยามนั้นกู้ซีจิ่วยังไม่เข้าใจว่าพลังวิญญาณคือตัวอันใด ทั้งยังไม่เข้าใจทักษะการหลอมโอสถด้วย ดังนั้นเธอจึงจดจำสูตรยานี้ไว้ในใจเสมอมา ไม่เคยหลอมมาก่อนเลย นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในยามนี้
ยาลูกกลอนกลิ้งหลุนๆ อยู่ในฝ่ามือเธอ ในที่สุดหัวใจเธอก็ลิงโลดขึ้นมาบ้างแล้ว หากว่าสิ่งที่เจ้าคนนามว่าซวนหยวนลั่วอวี่ผู้นั้นพูดมาเป็นความจริง เขาเป็นบรรพชนกู่จริงๆ เช่นนั้นสูตรยานี้ของเขาก็ต้องเป็นของจริงเหมือนกัน พวกมู่เฟิงมีทางช่วยเหลือแล้ว!
เธอนำยาลูกกลอนทั้งสิบเม็ดใส่ลงไปในขวดใบเล็กอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดประตูออกไปหาตี้ฝูอี ผลคือพบว่าเขาไม่ได้คอยอยู่นอกห้องหลอมโอสถ
เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพียงแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ล้วงยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาจากร่างเพื่อติดต่อ
จากนั้นก็พบว่าติดต่อไม่ได้ ยันต์ถ่ายทอดเสียงคล้ายว่าไม่มีสัญญาณ
เธอใจหายวาบ พบว่าในสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ…เขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามอันใดเข้าแล้ว!
เขาบอกไว้อย่างชัดเจนว่าจะคอยเฝ้าเธออยู่ด้านนอก แล้วจู่ๆ จะเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามได้อย่างไร? ไปนานแค่ไหนแล้ว? จะกลัมาเมื่อไหร่? มีอันตรายหรือเปล่า?
หัวใจเธอพลันเป็นกังวลขึ้นมา เธอเดินไปวนมาอยู่ที่เก่าประหนึ่งโม่แป้ง จากนั้นก็มองสีของท้องฟ้าภายนอก ฟ้ามืดสนิทแล้ว ดวงดาวส่องแสงพร่างพราวเต็มฟ้า
ในใจเธอค่อนข้างร้อนรน หลีเมิ่งซย่ายังอยู่ในกำมือของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้น ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกไต่สวนหรือไม่? ยามไต่สวนจะมีการทรมานหรือเปล่า?
เธอไม่อาจยืดยาดต่อไปได้ คืนนี้จะต้องช่วยคนออกมาให้ได้!
โชคดีที่มู่เฟิงบอกไว้ว่ายามอิ๋นสามเค่อเป็นช่วงที่กำแพงวิญญาณอาฆาตนั้นจะเสื่อมฤทธิ์ลงครึ่งชั่วยาม ครึ่งชั่วยามนี้เพียงพอให้เธอลอบเข้าไปช่วยเหลือคนออกมาแล้ว!
แต่ว่าสรุปแล้วตี้ฝูอีไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
ความรู้สึกไร้กำลังในใจของกู้ซีจิ่วทะยานขึ้นมา ดูเหมือนทุกครั้งที่ตี้ฝูอีหายตัวไป เธอล้วนไม่ทราบเลยว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน ทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน…
เวลายังไม่ดึก อันที่จริงเธอควรพักผ่อนสักหน่อย แต่เนื่องจากพะวงถึงตี้ฝูอี เธอนอนอยู่บนเตียงเมฆาก็หลับไม่ลง จึงกระโดดลงมาจากเตียงเสียเลย วนสำรวจภายในวังค้ำนภา
เธอเคยพักอาศัยอยู่ในวังค้ำนภาหลายเดือน สำหรับต้นไม้ใบหญ้าของที่นี่ล้วนคุ้นเคยทั้งสิ้น เมื่อก่อนมองแล้วเพียงรู้สึกว่าบุปผาเบ่งบานงดงามดั่งผ้าดิ้น สีสันงดงามละลานตา ทว่ายามนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนเรือนเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าที่นี่ยังมีคนคอยปัดกวาดเช็ดถูอยู่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ารอบข้างยังคงสะอาดเรียบร้อยยิ่งนัก แต่กู้ซีจิ่วก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือก
เสมือนสวนขวัญในเรื่องความฝันในหอแดง ยามที่เหล่าคุณหนูล้วนพำนักอยู่ในสวนขวัญ จะคึกคักมีสีสัน ร้องรำทำเพลงเจริญหูเจริญตาไปทั่วทุกแห่ง
แต่หลังจากเหล่าคุณหนูบ้างก็ออกเรือนบ้างก็สิ้นชีพบ้างก็ย้ายออกไปแล้ว ถึงแม้จะมีเหล่าสาวใช้คอยทำความสะอาดสวนขวัญอยู่ แต่ผู้ที่เข้ามาเดินเล่นกลับรู้สึกอยู่เสมอว่าด้านในเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยว
ตอนนี้กู้ซีจิ่วก็รู้สึกเช่นนั้น
ที่เธอเดินเตร็ดเตร่ไม่ใชเพื่อชมทิวทัศน์ อันที่จริงเธอยังไม่ถอดใจ คิดจะตามหาตี้ฝูอีอยู่
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเธอก็เดินมาถึงสวนด้านหลังแล้ว ในสวนด้านหลังมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง ตำหนักหลังนั้นไม่มีอะไรต่างกับตำหนักที่ส่วนอื่นๆ ยามปกติจะลงสลักคล้องประตูไว้ เปิดไม่ได้ง่ายๆ
ยามที่กู้ซีจิ่วพำนักอยู่ที่นี่ เคยมาเดินเล่นละแวกตำหนักใหญ่ ไม่รู้สึกว่าตำหนักนี้มีสิ่งใดน่าสนใจ ดังนั้นจึงไม่เคยเข้าไปดูเลย
ยามนี้เธอเดินเตร่มาถึงที่นี่อีกครั้ง บังเอิญเห็นว่าสลักบนประตูตำหนักอันนั้นไม่อยู่แล้ว…
ประตูตำหนักเปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีคนเข้าไปแล้ว
เธอจำที่มู่เฟิงเคยบอกไว้ได้ ตำหนักหลังนี้เป็นเขตหวงห้าม มีเพียงตัวท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สามารถเข้าไปได้ หากคนอื่นๆ หลงเข้าไปจะมีโทษถึงตาย
กู้ซีจิ่วทราบบนร่างสามีตนมีความลับมากมายนัก เนื่องจากหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชะตาฟ้าลิขิต ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงคร้านจะถามเช่นกัน ที่ไหนไม่ให้เธอเข้าเธอก็ไม่เข้า ถึงขั้นที่ไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำ
ยามนี้เมื่อเห็นบานประตูแง้มออกครึ่งหนึ่งเธอคิดสับสนวุ่นวายอยู่สักครู่
ตี้ฝูอีจะอยู่ในนี้หรือเปล่านะ?
—————————————————————
บทที่ 1410 ระยะนี้เจ้ารู้สึกผิดยิ่งนักใช่หรือไม่? – 3
เธอหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาอีกครั้ง ติดต่อเขาดูอีกที ผลคือยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเช่นเดิม
เขายังอยู่ในเขตหวงห้าม เช่นนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ที่นี่ ถ้างั้นคนที่เข้าไปคือใครกันล่ะ? หากว่าเป็นผู้ที่จิตใจลึกล้ำไม่อาจคาดคะเนได้เข้าไปเห็นทุกอย่างที่ด้านใน ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลร้ายใหญ่หลวงต่อตี้ฝูอี!
เธอตัดสินใจในทันใด ตัดสินใจว่าจะเข้าไปดู
เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายก่อน หมายจะเคลื่อนย้ายเข้าไป
เธอกะระยะทางได้แม่นยำ การเคลื่อนย้ายครั้งนี้น่าจะเคลื่อนย้ายไปโผล่ที่กลางตำหนักได้ ผลคือหลังจากเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายแล้ว พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางหมอกหนา…
ไอหมอกนั้นหนาวเย็นยิ่งนัก เธอหนาวจนสั่นสะท้าน กอดแขนเอาไว้
เวรแล้ว คราวนี้เธอเคลื่อนย้ายมาโผล่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย?
เธอพิศดูรอบข้าง ผลคือเห็นเพียงหมอกหนากลุ่มแล้วกลุ่มเล่ารวมตัวอยู่รอบด้าน ทำให้เธอมองไม่เห็นทิศทางเลย
เธอลองก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว จู่ๆ ใต้เท้าพลันว่างเปล่า ตัวคนเสมือนก้าวพลาดลงไปในเหวลึกพันจั้ง และใต้เหวลึกก็มีลาวาปะทุอยู่ ถ้าเธอร่วงหล่นลงไปเกรงว่าแม้แต่ซากกระดูกก็หาไม่พบแล้ว!
โชคดีที่ตอนนี้พลังวิญญาณของเธอสูงพอ จึงโคจรลมปราณเหินทะยานขึ้น ในที่สุดก็กระโจนขึ้นมาได้อีกครั้ง
จากนั้นเธอก็พบว่าตนหาที่วางเท้าไม่ได้แล้ว ทุกที่ที่ย่ำลงไปล้วนปริแตก และด้านล่างบางทีก็เป็นลาวา บางทีก็เป็นดาบน้ำแข็งคมกริบ บางทีก็เป็นหล่มโคลนดำเมื่อมที่โหมซัด…ทุกอย่างดูเอาชีวิตคนได้ทั้งสิ้น!
เมื่อก่อนเธอเรียนวิชาเหาะเหินมาแล้ว ต่อให้ไม่ต้องใช้เท้าเหยียบพื้น ก็สามารถลอยตัวอยู่ในอากาศได้ แต่ที่นี่กลับคล้ายจะมีแรงโน้มถ่วงมหาศาล ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายตนหนักอึ้งปานลูกตุ้มน้ำหนัก เธอพยายามร่ายคาถาสุดชีวิตถึงสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้หล่นลงไปได้ แต่ก็ยังลำบากมากอยู่ดี
หรือว่าตนจะเข้ามาให้ค่ายกลอันใดเข้าแล้ว?!
มิฉะนั้นตนที่เคลื่อนย้ายด้วยระยะทางกสิบว่าเมตร ไม่น่าจะเคลื่อนย้ายได้ไกลนัก
บางทีตำหนักใหญ่แห่งนี้อาจเป็นเขตหวงห้าม ตี้ฝูอีติดตั้งกลไกไว้ที่ประตู และเธอที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาก็ไปกระทบกลไกเข้า
ตี้ฝูอีเคยสอนวิธีทำลายกลไกสารพัดอย่างให้เธอแล้ว เธอจึงเริ่มใช้ทันที…
วิธีแก้กลไกแต่ละอย่างแตกต่างกันไป เธอต้องควบคุมไม่ให้ร่วงลงไป อีกทั้งต้องลองดูสารพัดวิธี เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีตกหล่นไปบ้าง ไม่ทันระวังจึงถูกเชือกที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าคล้องไว้แล้วดึงลงไปด้านล่าง ลากอย่างรุนแรง เธอร้องอุทานคราหนึ่ง ร่างกายร่วงดิ่งลงไป!
ลาวาแดงฉานพุ่งเข้ามา เธอแกะเชือกไม่ออกชั่วขณะ ขณะที่ในใจกำลังเข้าตาจน ทันใดนั้นพลันมีลำแสงสีฟ้าที่คล้ายผืนแพรสายหนึ่งโฉบลงมาจากฟากฟ้า ห่อตัวเธอไว้ ร่างกายเธอลอยเข้าไปในแนวตะแคง!
จากนั้นก็เข้าสู่อ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง กลิ่นอายที่คุ้นเคยโชยเข้าสู่จมูก กู้ซีจิ่วกอดอีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือกระแสน้ำวน…
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอรู้สึกว่าเท้าตนย่ำลงบนพื้น ห้อมล้อมด้วยผกาแดงพฤกษาขจี ยังคงเป็นสวนด้านหลังแห่งนั้น
และเธอก็ถูกตี้ฝูอีอุ้มร่อนลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง กู้ซีจิ่วยังตกใจไม่หาย มองตี้ฝูอีที่ยังคงกอดตนไว้ “ท่าน…”
หัวใจเธอเต้นกระหน่ำ ไม่น่าเชื่อว่าหัวใจเขาก็เต้นรัวยิ่งนักเช่นกัน ถึงขั้นที่สีหน้าค่อนข้างซีดขาวด้วย เขาเปิดปากก็ติเตียนเลย “เจ้าวิ่งวุ่นวายอันใดอีกแล้ว?! มิใช่ว่าสถานที่แห่งใดเจ้าก็วิ่งวุ่นวายได้นะ!”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอเม้มริมฝีปากนิดๆ หลุบตาลง “ขอโทษ”
ตี้ฝูอีคล้ายจะสัมผัสได้แล้วว่าตนกล่าวหนักไปหน่อย สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยถามเธอ “บาดเจ็บหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “สบายดี”
ตี้ฝูอียื่นมือไปจับชีพจรเธอ คล้ายต้องการจะตรวจวัดชีพจรเธอ กู้ซีจิ่วถอยหลังไป “ข้าบอกแล้วไงข้าไม่เป็นไร”
เธอสงบหัวใจที่เต้นกระหน่ำลง มองตำหนักหลังนั้น เมื่อครู่ประตูตำหนักหลังนั้นเปิดแง้มไว้ ยามนี้กลับลงสลักคล้องประตูแล้ว ชัดเจนยิ่งนักว่าตี้ฝูอีออกมาจากตำหนักหลังนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ในตำหนักแห่งนี้มาโดยตลอด
หลังจากเขาเข้าไปในตำหนักแห่งนี้ก็จะมีเขตแดน ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากเขา ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้ หากมีคนหลงเข้าไปก็จะถลำเข้าสู่ม่านหมอก
และม่านหมอกนั้นก็สามารถทำร้ายคนได้จริงๆ เธอเชื่อว่าถ้าหากเธอหล่นลงสู่ลาวานั้นกระทั่งซากศพก็คงไม่หลงเหลืออยู่จริง…
เธอพิศดูตี้ฝูอีเล็กน้อย เขาสวมเสื้อคลุมพิธีการสีครามนภาอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก บนเสื้อคลุมปักลวดลายดวงดาว ดวงดาวนั้นเสมือนดวงดาวของจริง พลิ้วไหวอยู่บนเสื้อคลุมเขาตามการเคลื่อนไหวของเขา
เธอตั้งสติแล้วเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ท่านอยู่ในตำหนักตลอดใช่ไหม? ข้าใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อท่านแต่ท่านไม่ตอบกลับเลย ข้าไม่วางใจจึงออกตามหา…”
ตี้ฝูอีนิ่งไปเล็กน้อย ถอนหายใจ “ข้าอยู่ที่นี่มีอะไรให้ไม่วางใจเล่า? ระยะนี้เจ้าดูตื่นตูมไปหน่อยนะ”
กู้ซีจิ่วหลุบตาลง ใช่แล้ว ระยะนี้เธอค่อนข้างตื่นตูมจริงๆ มักจะวิตกจริตหวั่นเกรงว่าเจ้าจะเกิดเรื่องขึ้น เปลี่ยนจนไม่เหมือนตัวเองอยู่บ้าง
บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตนี้เธอมีคนที่ใส่ใจอย่างแท้จริงน้อยเกินไป เมื่อใส่ใจคนผู้หนึ่ง วางเขาไว้ในใจอย่างหวงแหนห่วงใย ไม่ยินยอมให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้น
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง พักนี้ถึงแม้นางจะดูเข้มแข็งยิ่งนักแต่ความจริงแล้วค่อนข้างระแวดระแวง…
เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ จูงมือนางออกเดิน “ระยะนี้เจ้ารู้สึกผิดยิ่งนักใช่หรือไม่?”
ร่างกายกู้ซีจิ่วแข็งทื่อเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา คิดจะเอ่ยปฏิเสธตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อมองตาเขาก็กล่าวถ้อยคำปฏิเสธไม่ออก สักพักก็ถอนหายใจไม่พูดอะไรออกมา
ตี้ฝูอีจึงกล่าวว่า “วันนี้ได้ประจักษ์ชัดเจตนาสวรรค์ไร้น้ำใจ บางคราเจตนาสวรรค์ก็เหี้ยมโหด เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง บางเรื่องก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
กู้ซีจิ่วช้อนตามองเขา “ข้านึกว่าท่านจะกล่าวว่าชีวิตข้าลิขิตโดยข้าหาใช่ฟ้าไม่เสียอีก…”
ตี้ฝูอีอดขำไม่ได้ “นี่มิใช่ว่าข้ากำลังทำเรื่องที่พลิกสถานการณ์อยู่หรอกหรือ? เอาล่ะ การหลอมโอสถเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เธอล้วงขวดยาออกมาโบกตรงหน้าเขา เสมือนเด็กน้อยที่โอ้อวดความสำเร็จของตนต่อหน้าผู้ใหญ่ “ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง!”
ตี้ฝูอีรับขวดยาไป เทยาลูกกลอนออกมาดูเม็ดหนึ่ง แล้วดมดู ยาลูกกลอนชนิดนี้เขายังไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่เขาสามารถสัมผัสถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่บนนั้นได้ โอสถนี้บนแผ่นดินยังไม่มีผู้ใดเคยหลอมมาก่อน โอสถชนิดใหม่นี้ต่อให้เขาเป็นผู้หลอม หลอมอยู่สามวันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหลอมระดับแปดออกมาได้ นึกไม่ถึงว่านางจะหลอมออกมาได้ในหนึ่งวันหนึ่งคืน!
เรื่องนี้นอกจากความสามารถอันเลิศล้ำของตัวนางแล้ว ยังอาศัยอีกคำหนึ่งด้วย…อุตสาหะ!
เขามองดวงหน้าพริ้มเพราของนาง ใต้ตามีรอยคล้ำจางๆ เห็นได้ชัดว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้นางไม่ได้พักเลยสักครู่เดียว
หัวใจเขาปวดปลาบ กอดนางไว้แน่น “เจ้าทุ่มเทถึงเพียงนี้ทำไม? ช่วยคนก็ไม่ได้รีบร้อนในวันสองวันนี้เสียหน่อย”
กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “ไม่รีบร้อนได้อย่างไร? เมิ่งซย่ายังอยู่ในมือคนวิปริตผู้นั้น ช่วยออกมาได้เร็วขึ้นหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน พวกเราจะไปช่วยคืนนี้ใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีอดไม่ได้ที่จะโอบเอวนางแล้วอุ้มขึ้นมา “ไปสิ ยามนี้ยังเช้าอยู่ เจ้าไปพักสักหนึ่งชั่วยามเถอะ”
เขาอุ้มนางตรงไปที่เรือนนอนของตน เรือนนอนของเขายังคงสะอาดสะอ้านยิ่งนัก ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด ตี้ฝูอีวางนางลงบนเตียงของตน “นอนดีๆ สักงีบเถอะ เมื่อถึงเวลาข้าจะเรียกเจ้า”
กู้ซีจิ่วก็ง่วงงุนจริงๆ ตอบอืมคราหนึ่งแล้วหลับตาลง ยามที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นเรื่องแรกที่ทำก็คือกวาดสายตามองหาเขา
ค่อยยังชั่ว ตี้ฝูอีไม่ได้จากไปไหน นั่งดื่มชาอยู่หน้าโต๊ะ เขาสัมผัสได้อย่างฉับไวถึงการตื่นของเธอ “เป็นอะไร?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เธอแค่กระวนกระวายใจอยู่บ้าง ค่อนข้างไม่อยู่กับร่องกับรอย
ตี้ฝูอีคล้ายจะสัมผัสถึงอารมณ์ของเธอได้ ถอนหายใจ นอนลงข้างกายนางเสียเลย “ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้า เอ้า ตอนนี้นอนดีๆ ได้แล้ว!”
กู้ซีจิ่วพลิกกาย กลิ้งไปซุกอกเขา “ข้านอนเป็นเพื่อนข้านะ”
ตี้ฝูอีตบหลังนางเบาๆ “ได้”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง “ไม่อนุญาตให้ทิ้งข้าไว้แล้วแอบไป!”
ตี้ฝูอีเงียบกริบ
อันที่จริงเขามีความคิดเช่นนี้จริงๆ ให้นางพักอยู่ที่นี่ เขาจะไปช่วยคน
แต่เมื่อเห็นท่าทางหวาดผวากังวลของนางแล้ว เขาก็แข็งใจไม่ลง เอ่ยสัญญาว่า “แน่นอนอยู่แล้ว วางใจเถอะ ถ้าข้าไปจะพาเจ้าไปด้วย”
เช่นนั้นกู้ซีจิ่วถึงได้วางใจ ครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไป
ตี้ฝูอีหลุบตามองแพขนตายาวงานของนาง ริมฝีปากงดงามได้รูป อดไม่ไหวจึงก้มลงไปจูบขมับคราหนึ่ง
มิน่าเล่าผู้คนถึงกล่าวกันว่าหญิงงามคือสุสานของผู้กล้า ต่อให้เป็นตัวเขา เมื่อชมชอบใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะละทิ้งความองอาจ เพื่อรักมั่นโฉมงาม
กู้ซีจิ่วหลับไปหนึ่งชั่วยามเต็ม ในหนึ่งชั่วยามนี้มือน้อยๆ ของนางยึดสาบเสื้อเขาไว้ตลอดตามสัญชาตญาณ คล้ายเกรงว่าเขาจะหนีไป
ตี้ฝูอีก้ไม่ได้ลุกขึ้นเลยจริงๆ เขานอนตะแคงอยู่ข้างกายนาง โอบนางไว้กึ่งหนึ่ง นำโอสถชนิดใหม่ที่นางหลอมออกมาศึกษาอยู่ตลอดหนึ่งชั่วยาม
จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป็นลูกกลอนขจัดกู่ที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก เมื่อกินลูกกลอนชนิดนี้เข้าไป ไม่ว่ากู่อันใดล้วนกำจัดได้ทั้งสิ้น สูตรนี้เป็นสูตรระดับเทพโดยแท้ นางไปได้สูตรยานี้มาจากที่ไหนกัน?
….
ยามอิ๋นสองเค่อ กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอียืนอยู่ด้านนอกกำแพงวิญญาณอาฆาตแล้ว เงี่ยหูฟังดูว่าด้านในมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่
ทั้งสองรอคอยอย่างสงบอยู่หนึ่งเค่อ จากนั้นก็พบว่ามุมหนึ่งของกำแพงที่ใกล้กับต้นฉัตรจีนขนาดใหญ่ จุดที่ถูกไอหมอกปกคลุมไว้มาโดยตลอดคล้ายถูกบางสิ่งผลักดัน ไอหมอกแยกตัวออก เผยให้เห็นจุดที่พอให้คนหนึ่งคนมุดเขาไปได้ออกมา ตำแหน่งเล็กๆ นี้ไม่มีไอหมอกจากวิญญาณอาฆาต
ในยามนี้เอง กู้ซีจิ่วจับตี้ฝูอีไว้แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้าย ทะลุช่องเล็กๆ นั้นเข้าไป
หนี้วิชาเคลื่อนย้ายได้ผลยิ่งนัก ไม่ชนกับสิ่งกีดขวางอันใด ภายในคฤหาสน์จุดที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นคือป่าไผ่แห่งหนึ่ง สายลมพัดต้องใบไม้จนเกิดเสียงซวบซาบ มู่เฟิงก็ยืนคอยอยู่ไม่ไกล เธอเห็นพวกเขาเข้ามาได้จึงโล่งอก ถลาเข้ามาต้อนรับ คุกเข่าลงแทบเท้าตี้ฝูอีทันที “นายท่าน!” น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ ไม่พูดจาไร้สาระเช่นกัน “เมิ่งซย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียนนายท่าน นางยังอยู่ในคุกขอรับ”
“ถูกทรมานหรือไม่?” กู้ซีจิ่วเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
มู่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย “ไอ้ตัวปลอมผู้นั้นเคยใช้วิชาอ่านใจกับนาง เพียงแต่อ่านไม่พบอะไร อีกทั้งนางยังสะลึมสะลืออยู่ตลอด ไอ้ตัวปลอมผู้นั้นคี่ยวกรำนางอยู่หนึ่งวัน ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย เพียงแต่ได้ยินจากถ้อยคำของเขา บอกว่าพรุ่งนี้ถ้านางยังไม่ได้สติอีกจะทรมานนางอย่างแท้จริง…”
กู้ซีจิ่วโล่งอก นับว่าเธอไม่ได้มาช้าเกินไป
เนื่องจากต้องเตรียมการล่วงหน้า อีกทั้งมีมู่เฟิงคอยประสานงานอยู่ภายใน ดังนั้นการเข้ามาจึงราบรื่นยิ่งนัก
เนื่องจากที่นี่มีกล้องวงจรปิดมากเกินไป กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีทั้งสองล้วนใช้วิชาเร้นกาย ตามมู่เฟิงไปที่เรือนพักของเขา
กู้ซีจิ่วมอบยาลูกกลอนให้มู่เฟิงก่อนหนึ่งเม็ด ให้เขากินเข้าไป ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของเขาก็สูงส่ง อีกทั้งใช้พลังวิญญาณสะกดควบคุมฤทธิ์ของกู่นั้นไว้แล้ว การทดสอบกับเขาจึงค่อนข้างน่าเชื่อถือ
บทที่ 1411 ไม่บ้าก็นับว่าสติของพวกเขาแข็งแกร่ง
มู่เฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลงกลืนยาลูกกลอนลงไป แล้วนั่งสมาธิตามวิธีที่กู้ซีจิ่วบอก
กู้ซีจิ่วจ้องมองเขาอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงใดบนใบหน้าเขาเล็ดลอดสายตา
ยังดีที่สีหน้ามู่เฟิงค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นหลังจากมู่เฟิงกลืนยาลูกกลอนนั้น จากนั้นซีดขาว แล้วกลับมาแดงอีกครั้ง…
การตอบสนองทั้งหมดเหมือนกับที่ซวนหยวนลั่วอวี่พูดไว้ในตอนแรก น่าจะออกฤทธิ์แล้ว
ตี้ฝูอีจับมือ ปลอบโยนนาง “ไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ไม่ได้ผลก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฟิงลุกขึ้น โดยปกติเขาจะมองเห็นกู่ภายในร่างกายได้โดยใช้วิชาพินิศปราณ ดังนั้นหลังจากที่เขาใช้ยาลูกกลอนโคจรลมปราณ จึงใช้วิชาพินิศปราณดูอีกครั้ง ถึงกับประหลาดใจเมื่อพบว่ากู่นั้นสลายไปอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ไม่หลงเหลืออะไรไว้แม้แต่น้อย!
มู่เฟิงดีใจยิ่งนัก เขาข่มความตื่นเต้นไว้ในใจ ส่งกระแสเสียงหาตี้ฝูอีในทันที ‘นายท่าน กู่ของข้าน้อยสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว!’
ตี้ฝูอียิ้ม ส่งกระแสเสียงต่อไปให้กู้ซีจิ่ว ดวงตากู้ซีจิ่ววาบไหวเล็กน้อย รีบเอ่ยขึ้นทันที “เช่นนั้นยังมัวรีรออันใดอยู่? รีบเอายาไปให้อีกสามทูต!”
มู่เฟิงย่อมอยากรีบนำยาไปให้สหายเช่นกัน สวรรค์ล่วงรู้ว่าความรู้สึกที่การเคลื่อนไหวไม่สามารถเป็นตัวเองได้น่าหวาดหวั่นเพียงใด!
ตอนนั้นเขาถูกสะกดไปครึ่งวันยังรู้สึกยอมตายเสียยังดีกว่า พี่น้องอีกสามคนกลับต้องทนทุกข์ทรมานมาเกือบสองปีแล้ว ไม่บ้าก็นับว่าสติของพวกเขาแข็งแกร่ง!
มู่เฟิงคิดว่าเขานำยาไปให้ด้วยตัวเองก็ได้แล้ว ทว่ากู้ซีจิ่วไม่วางใจ อย่างไรเสีย พลังยุทธ์ของอีกสามทูตไม่เหมือนกับมู่เฟิง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอันใดหลังการใช้ยา เธอจะได้ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ดังนั้น เธอจึงตามไปด้วย
ไปที่มู่เหลยก่อน มู่เหลยพักผ่อนแล้ว หลังจากมู่เฟิงมา เขาถึงตื่นขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นสภาพสี่ทูตที่ถูกควบคุมจิตใจโดยแท้จริง ร่างกายมู่เหลยซูบผอม บางทียามดึกอาจเป็นเวลาที่กู่ไม่ทำงาน ดังนั้น มู่เหลยจึงดูซึมเซา
“มู่เฟิง มาทำไรดึกดื่น? มีธุระหรือ?”
มู่เฟิงมองเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง คนที่ถูกกู่ควบคุมไม่อาจเปิดเผยความจริงได้ เมื่อใดที่เปิดเผยความจริงเขาจะร้องตะโกนโหวกเหวก ระเบิดออกมาทันที
ดังนั้น มู่เฟิงจึงไม่พูดมาก เพียงแต่คุยเล่นกับเขาไม่กี่คำ อย่างเช่น พรุ่งนี้ตอนติดตามเซียนหญิงลี่หวางต้องระมัดระวังอะไรบ้าง พูดคุยไปด้วยพลางชงชา
มู่เหลยพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ได้ ข้าจะระวัง ต้องคุ้มกันนางให้ปลอดภัยอย่างแน่นอน” เขาพูดด้วยความเคารพ ทว่าลึกลงไปในดวงตากลับฉายแววความเจ็บปวดบางอย่าง
มู่เฟิงส่งชาให้เขาแก้วหนึ่ง “มา เพื่อความราบรื่นในวันพรุ่งนี้ ข้าขออาศัยน้ำชาแทนสุรา พวกเราดื่มด้วยกันหนึ่งแก้ว”
มู่เหลยยกชาขึ้นดื่มอย่างไม่สงสัยอันใด ตอนดื่มยังขมวดคิ้วเล็กน้อย “รสชาติชานี้ค่อนข้างแปลก…”
มู่เฟิงกล่าว “ชาของเจ้าเอง คงวางไว้นานเกินไป ดีที่ยังไม่เสื่อมคุณภาพ ดื่มเถิด”
มู่เหลยพยักหน้า ยกชาขึ้นดื่ม
มู่เฟิงพูดคุยกับเขาอีกไม่กี่คำ เอ่ยถามเขาว่าพรุ่งนี้มีภารกิจอื่นหรือไม่
มู่เหลยกล่าว “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกว่าพรุ่งนี้จะสอบสวนหลีเมิ่งซย่าอย่างจริงจัง ซ้ำยังบอกอีกว่าให้ข้าหาชายชาตรีหลายคนมาทำร้ายร่างกายเพื่อให้บทเรียนแก่นาง…”
กู้ซีจิ่วที่เร้นกายอยู่ในที่มืดกระชับกำปั้น นึกไม่ถึงว่าไอ้ตัวปลอมนั้นจะชั่วร้ายเหนือธรรมดาเยี่ยงนี้!
หลังจากมู่เหลยพูดคุยกับมู่เฟิงครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของมู่เหลย เขาโค้งเอวลงเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?” มู่เฟิงเอ่ยถาม
“ปวดท้องนิดหน่อย” คิ้วของมู่เหลยขมวดรัดแน่น
“คงเพราะชานี้เย็นเกินไป นั่งสมาธิฟื้นฟูสักหน่อย มา ข้าสอนวิธีใหม่ให้เจ้า บรรเทาอาการปวดท้องได้ดีที่สุด” มู่เฟิงทำท่าทางสอนวิธีการนั่งสมาธิให้เขา วิธีการนี้ย่อมเป็นวิธีการที่กู้ซีจิ่วสอนให้กับมู่เฟิง
——————————————————————-
บทที่ 1412 ช่วงชิงการควบคุมร่างกายนี้กลับมาได้แล้ว
มู่เหลยฉงนเล็กน้อย ทว่าเขายังคงเชื่อใจมู่เฟิงยิ่งนัก จึงเริ่มนั่งสมาธิโคจรลมปราณตามที่มู่เฟิงบอก
พลังยุทธ์เขาต่ำต้อย เห็นได้ชัดว่าเขามีปฏิกิริยาการตอบสนองรุนแรงหลังจากการใช้ยา ใบหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวขาว บัดนี้ ก็กลับกลายเป็นแดงอีกแล้ว…
เคราะห์ดีที่จิตใจของเขายังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อดทนไม่ผลุดลุกขึ้นมา
หลังจากผ่านไปราวห้าถึงหกนาที เขานั่งสมาธิเสร็จสิ้น ไม่พูดจาสักคำ พุ่งตัวไปอาเจียนทางห้องด้านนอก
มู่เฟิงตามเข้าไป ตบหลังเขาเบาๆ “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
มู่เหลยยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ มองไปทางมู่เฟิงด้วยสายตาสั่นสะท้าน “มู่เฟิง ข้า…ข้า…”
มู่เฟิงจ้องมองเขา “รู้สึกอย่างไรบ้าง? รู้สึกว่าแขนขาเป็นของตัวเองแล้วใช่ไหม! ทำตามคำสั่งของตัวเองได้แล้วใช่ไหม?”
มือและเท้าของมู่เหลยต่างสั่นระรัว เขามองมือของตัวเองก่อน พยายามเคลื่อนไหวหลากหลายท่าทาง จากนั้นจับแขนมู่เฟิงไว้ “เจ้าใส่บางสิ่งลงไปในน้ำชานั้น! ข้าเป็นตัวของข้าเองแล้ว! เจ้าไม่ได้ถูกควบคุมมาโดยตลอดใช่หรือไม่? เจ้าเป็นคนหายาถอนพิษมาใช่ไหม?”
แขนของมู่เฟิงถูกเขาบีบรัดจนเจ็บปวด ทว่ากลับพยักหน้ายิ้มรับ “ในที่สุดเจ้าก็มีสติกลับมาแล้ว! สวรรค์ทรงทราบว่าสองปีมานี้ข้าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องแสร้งทำโง่งมอยู่เพียงลำพัง”
มู่เหลยผู้เข้มแข็ง ยามนี้กลับมีน้ำตาคลอ
สวรรค์ทรงทราบว่าการเฝ้าดูร่างกายตัวเองรับฟังคำสั่งของคนชั่วช้าและทำเรื่องที่ขัดต่อมโนธรรมเหล่านั้น ทำให้เขาเจ็บปวดขนาดไหน!
เขาแทบอยากจะสั่งให้ร่างกายตัวเองฆ่าตัวตาย น่าเสียดายที่ไม่เคยควบคุมร่างกายตัวเองได้…
ในที่สุดเขาก็ช่วงชิงการควบคุมร่างกายนี้กลับมาได้แล้ว!
“เจ้าไปเอายาถอนพิษมาจากไหนกัน? ยังมีอีกหรือไม่? มู่อวิ๋นกับมู่เตี้ยนยัง…” มู่เหลยมีนิสัยหนักแน่นสงบนิ่งมาโดยตลอด ยามนี้กลับพูดจาด้วยความตื่นเต้นราวกับปืนใหญ่ ทั้งเร็วและรีบร้อน
มู่เฟิงตบไหล่เขา “วางใจเถิด พวกเขาก็มี”
“เช่นนั้นยังมัวรีรออะไรอยู่? พวกเรารีบไปหาพวกเขากันเถอะ!” มู่เฟิงดึงมู่เหลยที่กำลังคิดจะเดินไป
มู่เฟิงดึงเขากลับมา กล่าวอย่างดุดัน “ที่นี่มีกล้องวงจรปิดพวกนั้นอยู่ทั่วทุกสารทิศอย่างที่แม่นางกู้บอก เพียงแต่ที่นี่ไม่มี หลังจากเจ้าออกไปยังต้องแสร้งทำตัวเหมือนก่อน ไม่อาจมีชีวิตชีวาขนาดนี้ได้ เช่นนี้แล้วกัน ข้าไปหามู่อวิ๋น เจ้าไปหามู่เตี้ยน พวกเราแยกย้ายกันเคลื่อนไหว เจ้าให้มู่เตี้ยนกินยาแล้วนั่งสมาธิตามวิธีที่ข้าสอนให้เจ้า จากนั้นพวกเจ้าทั้งสองหาทางหลบเลี่ยงกล้องวงจรปิดเหล่านั้นไปที่ป่าไผ่ ข้ามีเรื่องจะบอก”
มู่เหลยรู้สถานการณ์ดี รีบพยักหน้ารับคำ หลังจากทำใจให้สงบครู่หนึ่ง จึงเดินออกไปพร้อมกับมู่เฟิง
กู้ซีจิ่วเร้นกายอยู่ภายในที่มืด เมื่อเห็นมู่เหลยฟื้นฟูแล้วจริงๆ เธอจึงโล่งใจ เธอให้ยาลูกกลอนอีกสองเม็ดแก่มู่เฟิงไปแล้ว ยามนี้จึงส่งกระแสเสียงถึงเขา ให้เขาไปช่วยอีกสองคน เธอกับตี้ฝูอีจะตรงไปที่คุกใต้ดิน เธอต้องหาทางช่วยหลีเมิ่งซย่าออกมาให้ได้ ไม่อาจให้นางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่
…
ทั้งสองเดินตามแผนที่ที่มู่เฟิงวาดไว้ให้ก่อนหน้านี้ ไม่นานก็หาตำแหน่งคุกใต้ดินพบ
ยามเฝ้าคุกใต้ดินย่อมต้องเป็นลูกน้องคนสนิทของไอ้ตัวปลอมผู้นั้น เนื่องจากคฤหาสน์แห่งนี้แข็งแรงยิ่งกว่าถังเหล็กเสียอีก คนนอกไม่มีทางเข้าไปได้ ดังนั้น ยามเฝ้าคุกใต้ดินจึงหละหลวมยิ่งนัก ขอเพียงแค่มั่นใจว่าคนที่ถูกคุมขังอยู่ด้านในไม่หนีออกไปก็พอแล้ว
คนที่ถูกคุมขังด้านในหากไม่บาดเจ็บสาหัสจนขยับตัวไม่ได้ ก็ถูกตรวนวิญญาณชนิดพิเศษอันหนักอึ้งจองจำไว้ ไม่ต้องพูดถึงการหนีออกจากคุก แค่ให้พวกเขาวิ่งธรรมดารอบหนึ่งยังลำบากยากเข็ญเลย ดังนั้นหัวหน้ายามเฝ้าคุกใต้ดินจึงผ่อนคลายมาก ยามดึกเยี่ยงนี้ พวกเขาส่งผู้คุมเพียงแค่คนเดียวไปเดินลาดตระเวน ส่วนคนอื่นก็นอนหลับปุ๋ยกันหมดแล้ว
บทที่ 1413 การพบกันอีกครั้งของเจ้านายกับลูกน้อง
มู่อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “เช่นนั้นพวกข้าจะฟื้นคืนความทรงจำได้หรือไม่!” พวกเขาไม่อยากสูญเสียความทรงจำของพวกเขาไปทั้งหมด!
มู่เฟิงพยักหน้า “แน่นอน ความจริงแล้วพลังยุทธ์ของข้ายังไม่ถึงขั้น ต้องร่ายวิชาให้พวกเจ้าใหม่ทุกเดือน มิเช่นนั้น ความทรงจำบางส่วนของพวกเจ้าจะฟื้นคืนกลับมาเองโดยธรรมชาติ หากนายท่านเป็นผู้ใช้วิชานี้กับพวกเจ้าก็จะปิดผนึกความทรงจำส่วนหนึ่งของพวกเจ้าไปได้ชั่วชีวิต! ทำให้พวกเจ้าไม่มีทางนึกขึ้นได้อีกตลอดไป…”
มู่เตี้ยนทอดถอนใจ “กล่าวเช่นนี้ พวกข้ายังต้องรออีกหนึ่งเดือนเพื่อให้ความทรงจำฟื้นคืนกลับทั้งหมดหรือ?”
“นั่นก็ไม่จำเป็น ข้าฟื้นคืนควาทรงจำให้พวกเจ้าตอนนี้ได้” มู่เฟิงพูดพลางเริ่มร่ายวิชาให้กับพวกเขา
วิชาเช่นนี้ของมู่เฟิงไม่มีผู้ใดจับได้ เป็นวิชาลับของตี้ฝูอี
ถึงแม้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นกับเซียนหญิงลี่หวางจะมีพลังวิญญาณสูงส่ง ทว่ามองวิชาลับนี้ไม่ออก ในเมื่อมองไม่ออกก็ย่อมไม่สืบสาวหาความ เรียนผูกย่อมต้องเรียนแก้ มีผู้ใช้วิชามาคลายวิชาย่อมรวดเร็วยิ่งนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดทั้งสามคนก็ฟื้นคืนความทรงจำทั้งหมดแล้ว และในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าความลับส่วนนั้นที่ตัวเองถูกปิดผนึกไว้คืออะไรกันแน่ เหงื่อออกโซมกายอย่างไม่รู้ตัว!
หากมู่เฟิงไม่ปิดผนึกความทรงจำส่วนนี้ของพวกเขาไว้ เกรงว่าจะเปิดเผยให้ไอ้ตัวปลอมรู้จนหมดเปลือก ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอันใดอีก! บางทีอาจก่อให้เกิดมหันตภัยร้ายสะท้านฟ้า! เคราะห์ดี! เคราะห์ดี…
“นายท่านหายสาบสูญมาแปดปีแล้ว! ไม่รู้ว่าเมื่อใดเขาจะออกมาได้…”
“นั่นสิ หากนายท่านยังอยู่ ฉไนเลยไอ้ตัวปลอมจะมาหยิ่งผยองขนาดนี้ได้? ถูกเล่นงานกลัวจนฉี่ราดไปนานแล้ว!”
“นายท่าน เฮ้อ นายท่าน และก็ไม่รู้ว่านายท่านตามหาแม่นางกู้พบแล้วหรือไม่กันแน่…”
“ข้าฝันก็ฝันถึงแต่ว่านายท่านปรากฏกายขึ้นมา ตื้นตันจนเกือบจะร้องไห้ ตื่นมาถึงได้รู้ว่ามันก็เป็นเพียงแค่ความฝันหนึ่ง…” ดวงตามู่อวิ๋นแดงก่ำแล้ว
สามทูตอดไม่ได้ที่จะพูดคุยอยู่ตรงนั้น พวกเขาคิดถึงนายท่านของตัวเองมากจริงๆ!
เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีข่าวคราวจากนายท่านเลย…
“อืม ตื้นตันจนร้องไห้? ร้องไห้ให้ข้าดูก่อนเป็นไง”
เสียงแหบแห้งที่ชัดเจนนุ่มลึกสายหนึ่งดังขึ้น ส่งผ่านถึงข้างหูของทั้งสี่ทูตในทันที
สายตามู่เฟิงพลันวาบไหว ทว่าอีกสามทูตกลับตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า!
หันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ มองลึกเข้าไปในป่าไผ่
จุดที่ลึกเข้าไปในป่าไผ่มีคนสามคนกำลังเดินมา บุรุษหนึ่งสตรีสอง
หนึ่งบุรุษอาภรณ์ม่วงพลิ้วปลิวไสว สตรีข้างกายที่สวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนงดงามดังเซียนสวรรค์ ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งสวมอาภรณ์ดำ ถึงแม้ผมเผ้ายุ่งเหยิงดังรังหญ้า ทว่าสายตาคู่นั้นกลับมีชีวิตชีวาเฉกเช่นแมว
สายตาทั้งสามคู่ของสามทูตจดจ้องบนร่างบุรุษอาภรณ์ม่วงนั้นไม่กระพริบ ร่างกายแข็งทื่อราวกับเสาไม้
เขาคือนายท่านจริงๆ หรือ? หรือไอ้ตัวปลอมรู้ความผิดปกติของพวกเขาแล้วมาแอบฟัง?!
——————————————————————-
บทที่ 1414 ตั้งตารอคอยลูกน้อยของตนเอง (1)
สายตาของพวกเขายังหันไปมองสตรีสองนางที่อยู่ข้างกายบุรุษอาภรณ์ม่วง
สตรีอาภรณ์ดำน่าเวทนาคนนั้นคือหลีเมิ่งซย่า สตรีอีกนางหนึ่งคือ…คือกู้ซีจิ่ว!
ข้างกายไอ้ตัวปลอมไม่มีกู้ซีจิ่ว อีกทั้งยังต้องการจับกุมตัวกู้ซีจิ่วมาโดยตลอด เช่นนั้นผู้ที่มากับกู้ซีจิ่วท่านนี้ในตอนนี้ก็คือ…
ร่างกายสามทูตสั่นสะท้าน อ้าปากค้างเล็กน้อย ดวงตามู่อวิ๋นพลันแดงก่ำ “นาย…นายท่าน!”
มู่เฟิงพึงพอใจกับการตอบสนองของพี่น้องทั้งสามในยามนี้เป็นอย่างมาก เขาไม่สนใจพวกเขาอีกแล้ว ก้าวไปคารวะด้านหน้าก้าวหนึ่ง “นายท่านทั้งสอง มู่เฟิงนำยาถอนพิษให้พวกเขาตามคำสั่งแล้ว ยาถอนพิษของนายหญิงได้ผลชะงัดนัก พวกเขาล้วนกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว! ยามนี้ข้าน้อยพาพวกเขามาที่นี่เพื่อฟังนายท่านทั้งสองสั่งการ”
คราวนี้ทั้งสามทูตราวกับตื่นจากความฝัน แทบจะกระโจนไปด้านหน้า คุกเข่าแทบเท้าของตี้ฝูอี “นายท่าน~”
“นายท่าน!”
“นายท่าน!”
“นายท่าน ในที่สุด ท่านก็กลับมาแล้ว!”
ตี้ฝูอีหลุบตาลงมองครอบครัวทั้งสี่ของตัวเอง ประคองเขาขึ้นมาทีละคน “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
คำพูดเพียงห้าคำที่แสนจะธรรมดา กลับทำให้ดวงตาของทั้งสี่คนแดงก่ำแล้ว!
บุรุษหลั่งโลหิตมิหลั่งน้ำตา ยามนี้พวกเขากลับอยากจะหลั่งน้ำตาเสียแล้ว…
“นายท่าน พวกข้าน้อยผิดไปแล้ว ปกป้องทวีปแห่งนี้แทนนายท่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังช่วยเหลือพวกคนชั่ว…”
“นายท่าน โปรดลงโทษพวกเราเถิด! ข้าน้อยไร้ความสามารถ…”
พวกเขาทั้งสี่รู้สึกทั้งอับอายและตื้นตัน มู่เฟิงกล่าว “พวกเจ้าไม่ได้เอ่ยถามมาตลอดหรืออย่างไรว่าได้ยาถอนพิษมาจากที่ใด? เป็นยาที่นายหญิงหลอมออกมาได้สำเร็จ ถึงช่วยพวกเจ้าไว้ได้”
สามทูตมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาแปลกประหลาด ทยอยกันกล่าวขอบคุณนางทีละคน
มีปรมาจารย์หลอมโอสถมากมายบนโลกใบนี้ และยังมีปรมาจารย์หลอมโอสถมากมายที่พลังวิญญาณสูงส่ง ทว่าระดับทักษะการหลอมโอสถไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับระดับพลังวิญญาณ คนที่พลังวิญญาณสูงส่งอาจไม่จำเป็นต้องมีทักษะการหลอมโอสถที่สูงเช่นกัน ทักษะการหลอมโอสถต้องอาศัยพรสวรรค์จริงๆ และมีเพียงไม่กี่คนที่มีพรสวรรค์เยี่ยงนี้
ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงส่วนมากหลอมโอสถระดับหกออกมาได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
ส่วนโอสถระดับแปดมีอยู่ในตำนาน มีเพียงปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงชั้นยอดเท่านั้น ถึงจะหลอมออกมาได้หนึ่งหรือสองเม็ด
ทั้งชีวิตปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงคนหนึ่ง หากหลอมโอสถระดับแปดออกมาได้หนึ่งเม็ดก็จะกลายเป็นจุดสูงสุดในชีวิตเขา ผู้คนนับหมื่นต่างเคารพบูชา
บนโลกใบนี้ผู้ที่สามารถหลอมโอสถระดับแปดได้บ่อยครั้งมีเพียงสองคน หนึ่งคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย สองก็คือหลงซือเย่ นึกไม่ถึงว่ายามนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกท่านหนึ่งซึ่งก็คือกู้ซีจิ่ว!
เดิมทีในใจของสี่ทูตยังรู้สึกกล่าวโทษกู้ซีจิ่ว หากนางไม่ได้หนีการแต่งงานไป ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของพวกเขาก็ไม่มีทางบุกเข้าไปในตาค่ายนั้นอย่างไม่คิดชีวิตทำให้หายสาบสูญไปหลายปี ทว่ายามนี้การกล่าวโทษในใจของพวกเขากลับมลายหายสิ้น
บัดนี้ถึงแม้ภายนอกจะเละเทะเป็นโจ๊ก ทว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของพวกเขากลับมาแล้ว ซ้ำยังแต่งงานกับกู้ซีจิ่วแล้วด้วย กู้ซีจิ่วยังฝึกฝนจนพลังยุทธ์เยี่ยมยอด วิชาหลอมโอสถชั้นยอด! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสมหวังดังใจหมาย อีกทั้งยังมีผู้ช่วยระดับสูงอย่างกู้ซีจิ่ว เช่นนี้ล้วนดีเลิศเหนือสิ่งอื่นใด
ขอเพียงแค่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับมา คนชั่วช้าสามานย์เหล่านั้นก็โลดแล่นอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
“นายท่าน ขั้นตอนต่อไปจะทำเยี่ยงไร?”
“นายท่าน พลังวิญญาณของไอ้ตัวปลอมน่าจะอยู่ที่ขั้นสิบเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งเซียนหญิงที่น่าเหลือเชื่อผู้นั้นก็มีพลังวิญญาณขั้นสิบเป็นอย่างต่ำ เซียนหญิงผู้นั้นรู้วิชาชั่วร้ายบางอย่าง ควบคุมคนได้ในพริบตา นางกับไอ้ตัวปลอมร่วมมือกันปรับแต่งวิชาเพิ่มระดับวิญญาณอาฆาตอันชั่วร้าย ทำให้พลังของวิญญาณอาฆาตเพิ่มพูน ยามนี้ผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปข้างกายพวกเขามีสิบแปดคน คนเหล่านี้เข่นฆ่าผู้คนจนเป็นนิสัย ไอ้ตัวปลอมส่งพวกเขาไปโจมตีสำนักที่ไม่ยอมคล้อยตาม ให้อีกฝ่ายสิ้นซาก ก่อให้เกิดคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากมาย…”
มู่เหลยมีหน้าที่ฝึกซ้อม ‘ลูกน้อง’ เหล่านั้น ดังนั้น เบื้องลึกเบื้องหลังที่เขารู้จึงค่อนข้างมาก จึงพูดออกมาจนหมดเปลือกยามนี้
“นายท่าน ไอ้ตัวปลอมผู้นี้ทำลายชื่อเสียงของท่านจนสูญสิ้น! ยามนี้ต้องการจับตัวหัวโจกก่อนหรือไม่?” หลีเมิ่งซย่าม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างดุดัน นางอยากซัดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมนี้มานานแล้ว!
ตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่ว “เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแหวกหญ้าให้งูตื่น”
หืม? สายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เธอ
กู้ซีจิ่ววิเคราะห์ให้พวกเขาฟัง “ไอ้ตัวปลอมจ้องทำลายชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาโดยตลอด หากพวกเราจัดการไอ้ตัวปลอมกับเซียนหญิงในเวลานี้ แล้วชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะกลับคืนมาได้อย่างไรเล่า? หรือว่าถึงเวลาจะออกมาบอกว่าผู้ที่กระทำสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมอย่างงั้นหรือ? มีสิ่งใดพิสูจน์ได้เล่า? ชาวบ้านจะเชื่อหรือ? หรือว่าจะเอาซากศพของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมออกมาให้ชาวบ้านตรวจสอบอย่างงั้นหรือ? ชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อนี่ หนำซ้ำยังคิดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเล่นเล่ห์กลอันใด จงใจสร้างคนที่มีลักษณะเหมือนตัวเองมาหลอกลวงพวกเขาอีก! สองคือพลังวิญญาณของไอ้ตัวปลอมกับเซียนหญิงลี่หวางบรรลุขั้นสิบขึ้นไปแล้ว ข้างกายยังมีผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปอีกหลายคน พวกเราไม่อาจสังหารพวกเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากฆ่าพวกเขาไม่ตาย ต้องกระตุ้นการโจมตีกลับของพวกเขาเป็นแน่ ยามนี้สานุศิษย์สวรรค์กับสำนักอื่นๆ ยังติดตามข้างกายเขา หากเขาใช้กลอุบายชี้กวางเป็นม้า[1] ไม่แน่อาจนำเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้มาป้ายสีตัวตี้ฝูอี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ…”
ทุกคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เมื่อกู้ซีจิ่ววิเคราะห์เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็เข้าใจแล้ว พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายตาที่มองกู้ซีจิ่วฉายแววความเลื่อมใส นึกไม่ถึงว่านางที่อายุยังน้อยจะมีความคิดและกลยุทธ์ทางการเมืองเช่นนี้
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “เช่นนั้น ในความคิดเจ้า ขั้นตอนต่อไปควรทำเช่นไร?”
กู้ซีจิ่วเอ่ย “พวกเจ้ายังไม่ต้องเคลื่อนไหวอันใด แสร้งทำท่าทางเหมือนยังถูกควบคุมอยู่ ค่อยหาโอกาสเหมาะเจาะเพื่อเคลื่อนไหว ถือโอกาสตรวจสอบว่าพวกเขานำพลังอาฆาตมาฝึกฝนได้อย่างไร ข้างกายของไอ้ตัวปลอมมีกองกำลังที่ใช้งานได้มากน้อยเพียงใด เหล่านี้ล้วนต้องมีข้อมูลโดยละเอียด ข้ากับตี้ฝูอีจะลอบไปหาสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ ว่าพวกเขาจำทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดไป ติดตามด้วยตัวเอง หรือว่าถูกควบคุมกันแน่ หากพวกเขาถูกควบคุมก็ต้องคลายวิชา หากยินยอมพร้อมใจก็ต้องให้รู้ความจริงแล้วตัดสินใจอีกทีหนึ่ง
…………………………………………
[1] ชี้กวางเป็นม้า เป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบการใช้อำนาจข่มขู่บิดเบือนความเป็นจริง จงใจกลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว
บทที่ 1414 ตั้งตารอคอยลูกน้อยของตนเอง (2)
ครั้งนี้พวกเราพาสหายที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้าอีกเจ็ดคนออกมาจากใจกลางตาค่ายนั้น เมื่อถึงเวลาก็จะกลายเป็นพลังสนับสนุนที่แท้จริง…สรุปคือ ข้าคิดว่าตอนนี้ภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือถอนฟืนใต้กระทะ[1] ทำให้คนข้างกายเขาเหล่านั้นแตกแยก ประการแรก เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าใครคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริง ประการที่สอง ทำให้คนข้างกายพวกเขาเข่นฆ่า ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง เมื่อใดมีโอกาสที่เหมาะเจาะ พวกเขาไม่เหลือลูกน้องไว้คอยสั่งการ ประชาชนและคนใกล้ชิดตีตัวออกห่างอย่างแท้จริง พวกเราค่อยจัดการไอ้พวกสุนัขตกน้ำ สังหารพวกเขาต่อหน้าประชาชี ถึงจะเรียกคืนชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้อย่างแท้จริง มีคำอธิบายให้แก่ประชาชน บรรเทาความคับแค้นใจของผู้คนได้…”
สี่ทูตกับหลีเมิ่งซย่าพยักหน้า เท่ากับว่ากู้ซีจิ่ววางทิศทางแผนการโดยรวมไว้ให้พวกเขาแล้ว พวกเขาเพียงแค่ต้องทำตามแผนการนี้ให้ดี ย่อมทยอยกันตกปากรับคำ
เนื่องจากต้องสอบสวนหลีเมิ่งซย่ายามรุ่งสาง เพื่อที่จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หลีเมิ่งซย่าจึงขอเป็นฝ่ายอยู่ต่อ
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ได้ ไอ้ตัวปลอมมีความคิดที่จะสังหารเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ต่อถือเป็นการเสี่ยงชีวิตโดยใช่เหตุ ข้ามีข้อเสนอแนะ พวกเจ้าฟังข้า…”
…
วันถัดมา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นอดรนทนไม่ไหวอยากสอบสวนหลีเมิ่งซย่ายิ่งนัก จึงให้ข้ารับใช้ไปนำตัวนางออกมาจากคุกใต้ดิน
ข้ารับใช้ผู้นั้นพาหลีเมิ่งซย่าออกมาจากคุกใต้ดิน ทว่าระหว่างทางที่เดินผ่านทะเลสาบที่เต็มไปด้วยวิญญาณอาฆาต หลีเมิ่งซย่าดิ้นสลัดข้ารับใช้ที่มานำตัวนางไปอย่างรุนแรง จนพลัดตกลงไปกลางทะเลสาบที่มีทั้งวิญญาณอาฆาตและปลากินคน นางยังมีตรวนรัดบนร่างกาย หลังจากที่พลัดตกลงไปจนทะเลสาบเกิดเป็นระลอกคลื่นพลิกกลับ นางก็ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเดือดดาล สั่งการให้มู่เหลยไปช่วยเหลือ ผลคือกอบกู้ขึ้นมาได้เพียงแค่กระดูกไม่กี่ชิ้น แม้แต่ศพทั้งร่างก็กอบกู้กลับมาไม่ได้ ทำให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้
…
ภายในห้องพักลับแห่งหนึ่งใจกลางเมือง กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเตียง นิ้วมือทำมุทรา ประหนึ่งกำลังสั่งการอันใดอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเธอลืมตาขึ้น อมยิ้มกรุ้มกริ่ม “สำเร็จลุล่วง!”
หลี่เมิ่งซย่าที่ยืนอยู่ข้างกายนางพลันทอดถอนใจยาวเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ นางมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส “ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังมีความสามารถควบคุมหุ่นเชิดระยะไกล ล้ำเลิศ! ล้ำเลิศจริงๆ! ว่าแต่หุ่นเชิดตัวนั้นไม่ใช่คนจริง กระโจนลงไปในน้ำเช่นนั้น ไม่รู้ว่าวิญญาณอาฆาตกับปลากินคนเหล่านั้นจะกินมันจนหมดสิ้นหรือไม่? หากไม่กินแล้วถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกอบกู้ซากศพขึ้นมาได้ บางทีความลับอาจถูกเปิดเผย…”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นพูด “วางใจเถิด หุ่นเชิดตัวนั้นมีเลือดเนื้อดุจร่างมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นเลือดเนื้ออันโอชาสำหรับปลากินคนกับวิญญาณอาฆาต ไม่ต้องพูดถึงเลือดเนื้อ เกรงว่าแม้แต่กระดูกก็อาจถูกแทะจนหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้อีกเป็นอันขาด วางใจเถิด”
ในระหว่างพูดคุย เธอได้รับข่าวที่มู่เหลยส่งกระแสเสียงมาให้ ‘ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อย!’
ในที่สุดหลีเมิ่งซย่าก็คลายกังวลลงได้เสียที มองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาวาบไหว “ซีจิ่ว ขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไร? สั่งการข้ามาได้เลย!” นางทนไม่ไหวอยากจะจัดการสุนัขตกน้ำแล้ว!
เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วมีแผนการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว “ได้ เจ้าไปหาหลงซือเย่กับข้า”
หลีเมิ่งซย่าตกตะลึงเล็กน้อย “แล้วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเล่า?” พวกเขาสองสามีภรรยาแต่ไหนแต่ไรไม่เคยแยกจากเป็นเงาตามตัวกันไม่ใช่หรือ? วันนี้เช้ามาก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว
กู้ซีจิ่วกล่าว “เหตุการณ์กระชั้นเกินไป คนที่ต้องการให้ร่วมมือมากมาย เช้านี้ข้าปรึกษากับเขาเรียบร้อยแล้ว แยกกันเคลื่อนไหว เขาไปตามหาร่องรอยของเชียนเยวี่ยหร่าน ฮวาอู๋เหยียนและเทียนจี้เยวี่ย ข้าไปตามหาหลงซือเย่ ให้เขาลงจากเขามาช่วยเหลือ…”
หลีเมิ่งซย่าพยักหน้า ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
หลงซือเย่วางตัวเป็นกลางมาตลอดสองปีที่ผ่านมา หลบตัวอย่างปลอดภัย อ้างว่าต้องบูรณะสำนักถามสวรรค์ที่ถูกไฟไหม้ ไม่เข้าร่วมเหตุการณ์ใดๆ ที่จัดขึ้นโดยทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อาจเป็นไปได้ว่าในใจของเขาก็รู้สึกสงสัยทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมนี้ ทำได้เพียงอดทนหัวเดียวกระเทียมลีบ เลือกเอาตัวรอด ดังนั้น กู้ซีจิ่วจึงอยากเชิญเขาออกมาร่วมเผชิญหน้ากับมหันตภัยร้ายครั้งนี้ อย่างไรเสีย ทักษะทางการแพทย์ของหลงซือเย่ก็สูงส่ง หลอมโอสถช่วยเหลือบางคนที่ถูกควบคุมได้…
นี่คือความคิดของกู้ซีจิ่ว อย่างไรเสียเธอก็แต่งงานกับตี้ฝูอีแล้ว เพื่อป้องกันคนอื่นติฉิน เธอพาหลีเมิ่งซย่าไปหาหลงซือเย่ด้วยจะเหมาะสมกว่า
——————————————————————————
บทที่ 1414 ตั้งตารอคอยลูกน้อยของตนเอง (3)
กู้ซีจิ่วเรียนรู้วิชากระบี่เหินเวหาแล้ว เธอพาหลีเมิ่งซย่าไปสำนักถามสวรรค์รวดเร็วปานลมกรด
หลีเมิ่งซย่ายืนบนกระบี่ของกู้ซีจิ่วด้วยใบหน้าชื่นชม “ที่แท้พลังวิญญาณขั้นสิบก็เดินทางด้วยกระบี่ได้ อา…เดินทางเช่นนี้ช่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งนัก! มิน่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจึงไปไหนมาไหนอย่างลึกลับซับซ้อน ตอนเช้าอยู่อาณาจักเฮ่าเยว่ ตอนเย็นก็ไปปรากฏกายที่อาณาจักเฟยซิง ในตอนนั้นผู้คนยังคิดว่าเขามีตัวแทนอันใด ที่แท้เขาก็มีวิชาเหินเวหา ด้วยความเร็วเช่นนี้ คงไปถึงสำนักถามสวรรค์ได้ในเวลาหนึ่งชั่วยามกระมัง?”
กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดจาอันใด
ตี้ฝูอีไม่เพียงแต่เป็นวิชาเหินเวหา เขายังเป็นวิชาดำดิน หากเขาต้องการแม้เส้นทางเป็นพันลี้ เขาก็ถึงจุดหมายได้ในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา…
หลีเมิ่งซย่าดีอกดีใจ “จริงสิ ซีจิ่ว พวกเจ้าแต่งงานกันมาแปดปีเหตุใดจึงไม่มีลูก?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ใจกลางตาค่ายนั้นมีพลังวิญญาณพิเศษ ไม่มีทางมีลูกได้”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเจ้าออกมาแล้วก็มีได้แล้วกระมัง? ข้ายังรอคอยเจ้าตัวน้อยเกิดมา ลูกของพวกเจ้าทั้งสองต้องเหนือธรรมดาอย่างแน่นอน…”
กู้ซีจิ่วยิ้ม ตบไหล่หลีเมิ่งซย่าเบาๆ “เจ้านี่ขี้ซุบซิบนินทาเสียจริง!”
หัวใจพลันสั่นไหว ความจริง เธอก็อยากมีลูกมากเช่นกัน ทั้งหน้าตาและสติปัญญาของเธอกับตี้ฝูอีล้วนเลิศล้ำ ลูกน้อยที่คลอดออกมาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เพียงแต่หลังจากที่ออกมาจากตาค่าย เธอกับเขาก็เริ่มจัดการเรื่องราววุ่นวายเหล่านี้ ยุ่งจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ไม่ได้สนใจเรื่องของตัวเองอีกเลย ถึงขั้นที่เมื่อคืนหลังจากทั้งสองกลับจากวังของไอ้ตัวปลอมก็เก็บข้าวของพักผ่อน ตี้ฝูอีก็ไม่ได้ประกอบกิจอันใดกับเธอ เพียงแค่นอนหลับรั้งเธอไว้ในอ้อมกอดเหมือนอย่างที่เคย
นับนิ้วคำนวณดูแล้ว เธอกับตี้ฝูอีออกจากใจกลางตาค่ายนั้นมาได้ห้าวันแล้ว ห้าวันมานี้ยุ่งจนเท้าไม่ได้แตะพื้นดิน ยังไม่ได้ประกอบกิจสร้างมนุษย์เลยนี่!
รอให้สะสางเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว เธอค่อยปรึกษาเรื่องมีลูกกับเขา…
เธอตั้งตารอคอยลูกน้อยของตนเองที่จะมาถึงแล้ว
…
เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีหูตามากมาย เพื่อที่จะตบตาผู้คน หลังจากกู้ซีจิ่วกับหลีเมิ่งซย่ารีบเดินทางไปถึงบริเวณใกล้เคียงกับสำนักถามสวรรค์ จึงแปลงโฉมเป็นลูกศิษย์สองคนของสำนักถามสวรรค์
วิชาแปลงโฉมของกู้ซีจิ่วไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า หลังจากแปลงโฉมแล้วก็เหมือนร่างต้นฉบับทุกประการ ดังนั้นทั้งสองคนจึงกลมกลืนเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ไม่ได้มาแปดปี ความรู้สึกกู้ซีจิ่วที่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่อีกครั้งค่อนข้างซับซ้อน
ดูเหมือนว่าเพลิงไหม้เมื่อสองปีที่แล้วร้ายแรงยิ่งนัก สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของสำนักถามสวรรค์ถูกทำลายจนสิ้นซาก สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ถูกซ่อมแซมขึ้นมาใหม่แล้ว แต่มีบางส่วนที่ยังเป็นซากปรักหักพังอยู่ สภาพผันเปลี่ยนอันเวิ้งว้างราวกับพระราชวังฤดูร้อนเก่าหลังไฟไหม้ครั้งใหญ่
หลังจากกู้ซีจิ่วเข้ามาก็รู้สึกได้ในทันทีว่าลำดับชนชั้นระหว่างลูกศิษย์ในสำนักถามสวรรค์เข้มงวดกว่าเมื่อก่อนยิ่งนัก
อย่างไรเสีย หลงซือเย่ก็มีความคิดของคนสมัยใหม่ ดังนั้นถึงแม้เขาก่อตั้งสำนักถามสวรรค์ รับลูกศิษย์มากมายนับไม่ถ้วน แต่ลำดับชนชั้นของสำนักถามสวรรค์แสนจะธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์สนิทสนมกลมเกลียว ทว่าครั้งนี้กลับพบว่าลำดับชนชั้นระหว่างลูกศิษย์เหล่านี้แบ่งแยกชัดเจน ลูกศิษย์สองคนที่กู้ซีจิ่วกับหลีเมิ่งซย่าแปลงโฉมมาก็คือลูกศิษย์ระดับล่าง เป็นศิษย์หลานของศิษย์คนแรกของหลงซือเย่ นับว่าอาวุโสน้อยที่สุดในสำนักถามสวรรค์ ตำแหน่งสูงกว่าศิษย์ที่เพิ่งรับเข้าใหม่แค่เพียงเล็กน้อย
พวกนางกลับสำนักถามสวรรค์มาพร้อมกับเหล่าศิษย์พี่น้องกลุ่มเดิม ผลลัพธ์คือพวกนางโขกศีรษะคำนับไม่ได้หยุดหย่อน…
พบเจอเหล่าผู้อาวุโสของสำนักถามสวรรค์ต้องโค้งคำนับ พบเจอผู้พิทักษ์ต้องโค้งคำนับ พบเจอเหล่าศิษย์อาที่อาวุโสกว่าพวกเขาหนึ่งรุ่นก็ต้องโค้งคำนับ ถึงขั้นที่พบเจอหัวหน้าหมู่ก็ต้องคุกเข่าคำนับ…
คุกเข่าจนกู้ซีจิ่วแทบจะระแวงในชีวิตมนุษย์แล้ว!
ดังนั้น หลังจากเธอคุกเข่าติดต่อกันไปสี่รอบ จึงหลบหนีกับหลีเมิ่งซย่าทันที!
หากยังต้องคุกเข่าอีกต่อไป หัวเข่าเธอจะต้องบวมอย่างแน่นอน!
หลีเมิ่งซย่าก็มึนงงไปทั่วทั้งสมองแล้ว “นี่เจ้าสำนักหลงได้รับความกระทบกระเทือนอะไรมานี่? ลำดับชนชั้นพวกนี้เข้มงวดยิ่งกว่าในวังหลวงเสียอีก…”
กู้ซีจิ่วไม่พูดมากความ เพียงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “พวกเราไปพบเขาก่อนค่อยว่ากัน”
หลีเมิ่งซย่าปวดหัว “เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหม ลำดับชนชั้นของที่นี่เข้มงวดเช่นนี้ ในฐานะที่เจ้าสำนักหลงเป็นผู้นำสูงสุดของที่นี่ เกรงว่าคงจะพบตัวยากกว่าฮ่องเต้เสียอีก…”
————————————————————————————-
[1] ถอนฟืนใต้กระทะ กลยุทธ์ในสามก๊ก หมายถึง การพิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำศึกสงคราม ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าควรพึงหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ความฮึกเหิมของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง
บทที่ 1415 เขาไม่ปองร้ายข้าหรอก
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็เห็นแล้วเช่นกัน อยู่ที่นี่อย่าว่าแต่ขอพบหลงซือเย่เลย ต่อให้เป็นศิษย์ระดับล่างขอพบผู้คุ้มกฎเบื้องบน ก็ต้องแจ้งเรื่องขั้นแล้วขั้นเล่า จากนั้นก็ค้อมกายรออยู่ด้านนอก ยืนนิ่งเสมือนเสาไม้ ไม่อนุญาตให้เดินเพ่นพ่านไม่อนุญาตให้พูดคุยไม่อนุญาตให้หงุดหงิด…
หากว่าเข้าพบหลงซือเย่ตามขั้นตอนปกติ คาดว่าคงต้องเข้าแถวรอไปจนถึงปีวอกเดือนม้า และยังไม่แน่ว่าจะได้พบ กู้ซีจิ่วใคร่ครวญเล็กน้อย “ข้าจะเร้นกายเข้าไปคนเดียว เจ้าหาสถานที่ซ่อนตัวรอ อย่าได้เผยตัวชั่วคราว”
หลีเมิ่งซย่าไม่วางใจ “บางทีพวกเราน่าจะหาวิธีอื่นดูก่อน เจ้าเข้าไปคนเดียวออกจะเสี่ยงอันตรายไปหน่อย” ก่อนหน้านี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้พูดคุยกับนาง สั่งให้นางอารักขาอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว อย่าให้เกิดอุบัติเหตุแม้สักน้อย มิเช่นนั้นให้หิ้วหัวไปพบเขาได้เลย…
กู้ซีจิ่วยิ้ม “จะมีอันตรายอะไรกัน? หลงซือเย่เป็นสหายของข้า วางใจเถอะ เขาไม่ปองร้ายข้าหรอก” พลางเคลื่อนย้ายจากไป
….
ยอดเขาหิมะ เรือนไผ่ เหมยแดง ราวบันไดวกวนเรียบง่ายเก่าแก่
ให้บรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์เฉกเช่นนักพรตที่ถือสันโดษ บนเรือนไผ่จารึกอักษรตัวใหญ่ไว้สี่ตัว ‘ฟ้ายั่งดินยืน’ สองฟากยังแขวนโคลงคู่ไว้ด้วย
โคลงท่อนบนคือ ‘หากสวรรค์อาดูรสวรรค์จักชรา’ โคลงท่อนล่างคือ ‘หากจันทราไร้ชังจันทราจักเต็มดวง’
ลายอักษรเป็นฝีพู่กันของหลงซือเย่ หงส์ร่อนมังกรรำ งามสง่าเยือกเย็น แฝงความทระนงดั่งต้นเหมยยามวสันต์
กู้ซีจิ่วทราบมาจากบทสนทนาของศิษย์สำนักถามสวรรค์คนอื่นๆ ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลงซือเย่พำนักอยู่เป็นประจำ ระยะนี้ในช่วงเวลาสิบวันหลงซือเย่จะพำนักอยู่ที่นี่เสียแปดวัน
สถานที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามของสำนักถามสวรรค์ ตามปกติแล้วศิษย์ทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ ต่อให้เป็นศิษย์สายตรงของหลงซือเย่ถ้าจะมาพบเขาที่นี่ ก็ต้องสั่นกระดิ่งเงินพิเศษชนิดหนึ่งที่อยู่ด้านนอกก่อน หากว่าหลงซือเย่ต้องการพบพวกเขา ก็จะสั่นกระดิ่งตอบ
หากว่ากระดิ่งเงินใบนั้นไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย นั่นแสดงว่าวันนี้หลงซือเย่ไม่อยากพบผู้ใด พวกเขาทำได้เพียงคอตกกลับไป
กู้ซีจิ่วซ่อนตัวอยู่หินผา มองคนสองคนที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงจุดเคาะกระดิ่ง คล้ายว่ากำลังรอเสียงตอบกลับอยู่
หนึ่งชายหนึ่งหญิง ผู้ชายอายุราวสามสิบปี เป็นจีเฟิงหล่างศิษย์คนโตของหลงซือเย่
ส่วนผู้หญิงนั่นเป็นคนคุ้นเคยกัน กู่ซีซีศิษย์ปิดขบวนของหลงซือเย่ ตอนที่กู้ซีจิ่วเพิ่งทะลุมิติมาเคยพัวพันกับนางอยู่บ้าง ซ้ำยังเคยแข่งขันเดิมพันกับนางมาก่อนด้วย ยามนี้จู่ๆ ก็ได้เห็นนาง เรื่องราวเก่าก่อนเหล่านั้นแวบเข้ามาในสมองของกู้ซีจิ่ว ในใจเธอบังเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนเล็กน้อย
เมื่อก่อนได้ยินว่าหลงซือเย่ลงโทษศิษย์คนนี้ให้ไปหันหน้าเข้ากำแพงสามปี ภายหลังกู้ซีจิ่วจึงไม่ได้เห็นนางอีกเลย ลืมเลือนนางไปนานสามชาติเศษแล้ว นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะบังเอิญพบนางเข้า
อันที่จริงหลงซือเย่ปฏิบัติต่อลูกศิษย์อย่างดีเสมอมา ถ่ายทอดทักษะวิชาแพทย์อันใดให้โดยไม่ปิดบัง เมื่อปีนั้นกู่ซีซีผู้นี้ถูกขนานนามว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักถามสวรรค์ วิชาแพทย์ถ่ายทอดมาจากหลงซือเย่โดยตรง หลงซือเย่ยังค่อนข้างเอ็นดูศิษย์ปิดขบวนคนนี้ยิ่งนักด้วย
ไม่ได้พบกันแปดปี ใบหน้าเฉิดฉันของกู่ซีซีดูกร้านโลกขึ้นเล็กน้อย แต่ดูกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ดวงตาก็ดูมีชีวิตชีวามากเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กระดิ่งที่แขวนอยู่ทางด้านนี้ก็ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นมา นี่แสดงว่าพวกเขาสามารถเข้าไปกราบคารวะอาจารย์ได้แล้ว
จีเฟิงหล่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก ยังคงเป็นเจ้าที่มีหน้ามีตาที่สุด! ศิษย์คนอื่นอยากเข้าพบอาจารย์อย่างเร็วก็ต้องรอเกือบครึ่งชั่วยาม…” หนนี้พวกเขารออยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
กู่ซีซียิ้มมุมปากแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดเป็นอื่น “ไปกันเถอะ อย่าให้ท่านอาจารย์คอยนานเลย”
ทั้งคู่ผลักประตูบานนั้นแล้วก้าวเข้าไป
กู้ซีจิ่วนั่งกอดเข่าอยู่บนหินผาก้อนหนึ่ง มองเห็นทุกอย่างตรงนั้น ไม่คิดพบหน้าศิษย์เหล่านี้ของหลงซือเย่ อย่างไรเสียการมาของเธอครั้งนี้ก็เป็นความลับ ถ้าต้องการเชื้อเชิญหลงซือเย่ก็ต้องเชิญเขาลงเขาอย่างลับๆ ด้วย ย่อมต้องทำให้เรื่องเงียบเข้าไว้ ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
————————————————————————————-
บทที่ 1416 พวกเราแต่งงานกันแล้ว (1)
ในเมื่อสองคนนั้นเข้าไปแล้ว นั่นก็ยืนยันได้ว่าหลงซือเย่อยู่ที่นี่จริงๆ เธอไม่ถึงกับคว้าน้ำเหลว
ช่วงเวลาที่สองคนนั้นเข้าไม่นานนัก ประมาณหนึ่งเค่อ กู้ซีจิ่วมองพวกเขาออกมาจากด้านใน กู่ซีซีเม้มริมฝีปากนิดๆ คล้ายจะว่าไม่พอใจอยู่บ้าง จีเฟิงหล่างศิษย์พี่ใหญ่ของนางเอ่ยปลอบนางเสียงเบา “ท่านอาจารย์ไม่ให้เจ้าซักถามเรื่องของกู้ซีจิ่ว เจ้าก็ยุ่งให้น้อยหน่อยเถอะ ไม่จำเป็นต้องงัดข้อกับท่านอาจารย์เลย”
กู่ซีซีกำมือเล็กน้อย “ตั้งหลายปีแล้ว ท่านอาจารย์ยังไม่ลืมหญิงผู้นั้นเลย…”
จีเฟิงหล่างถอนหายใจ “เจตนาของท่านอาจารย์ที่มีต่อกู้ซีจิ่วทั้งแผ่นดินล้วนทราบกันทั่ว…เหตุใดเจ้าต้องแส่หาความทุกข์ด้วยเล่า?”
กู่ซีซีเม้มริมฝีปากเล็กๆ แน่น “หญิงผู้นั้นหายสาบสูญไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ข้าสงสัยว่านางจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว อีกอย่างนางเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เดิมทีรักใคร่อยู่กับท่านอาจารย์ แต่ภายหลังเห็นว่าฐานะของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสูงส่งกว่าท่านอาจารย์ นางจึงโผไปหาทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หญิงคนนั้นเป็นนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มากชายหลายบุรุษ บุรุษพวกนี้ก็บัดซบ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกนางล่อลวงจนหลงหัวปักหัวปำ ข้าประหลาดใจเหลือเกิน หญิงผู้นั้นมีดีตรงไหนกัน? คู่ควรให้บุรุษเหล่านี้โผใส่ดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟหรือ?”
จีเฟิงหล่างขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องเล็ก อย่าพูดจาเหลวไหล! เรื่องของท่านอาจารย์มิใช่เรื่องที่เจ้ากับข้าจะถามซอกแซกได้…อีกอย่างมิใช่ว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสลัดนางทิ้งแล้วหรอกหรือ? ยามนี้ส่งคนนับไม่ถ้วนไปตามหาล่าสังหารนางแล้ว…”
กู่ซีซีเบะปาก “นี่แหละข้าถึงเป็นกังวล หากว่าหญิงผู้นั้นไม่ตาย นางถูกทูตสวรรค์ฝ่ายไล่ล่าสังหาร ไม่แน่ว่าอาจวิ่งแจ้นมาขอหลบภัยกับท่านอาจารย์ที่นี่ ด้วยความรักที่ท่านอาจารย์มีต่อนาง จะต้องถูกนางล่อลวงได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย…”
“เอาล่ะๆ หยุดพูดเถอะ” จีเฟิงหล่างจูงนางให้ออกเดิน “ท่านอาจารย์ไม่อยากให้ผู้ใดวิจารณ์เรื่องของนาง เจ้าเหิมเกริมเช่นนี้ ไม่รักชีวิตแล้วสินะ!”
“ข้าแค่ไม่พอใจนิดหน่อยเท่านั้น ท่านว่าชื่อกู่ซีซีที่อาจารย์ตั้งให้ข้ายามที่ข้ายังเล็ก มีสาเหตุมาจากนางด้วยหรือเปล่า?”
จีเฟิงหล่างหัวเราะฮ่าๆ “บังเอิญน่า บังเอิญเท่านั้น ไปเถอะ”
กู้ซีจิ่วมองศิษย์พี่ศิษย์สองทั้งสองหายลับไป ถอนหายใจเบาๆ นวดคลึงหว่างคิ้ว บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร ดูเหมือนหลงซือเย่จะยังไม่ลืมความรู้สึกที่มีต่อเธอ ส่วนเธอก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจตอบรับเขาได้…
เช่นนั้นตนยังต้องเชิญเขาลงจากเขาไปช่วยเหลืออยู่หรือไม่?
ขณะที่กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ ยันต์ถ่ายทอดเสียงตรงบั้นเอวก็ส่องแสงวาบเล็กน้อย เธอหยิบขึ้นมา มีเสียงของหลัวจั่นอวี่ถ่ายทอดออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียง ‘น้องเล็ก สถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว! ยามนี้ในอาณาจักรเจาหยางมีโรคประหลาดอย่างหนึ่งระบาดอยู่ ผู้ป่วยร่างกายแข็งทื่อปานเหล็ก พละกำลังมหาศาล อานุภาพทำลายล้างสูง และไม่มีสตินึกคิด พบสิ่งใดกัดสิ่งนั้น คนถูกกัดก็จะติดเชื้อไปด้วย…’
กู้ซีจิ่วใจหายวาบ พิษผีดิบสายพันธุ์ใหม่หรือ?!
ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว พิษผีดิบนี้หลงฟั่นเป็นผู้คิดค้นขึ้น ดูเหมือนเพื่อครอบครองใต้หล้าแล้วไอ้บัดซบผู้นี้จะไม่เลือกวิธีการเลย
พิษผีดิบนี้กู้ซีจิ่วแก้ได้ แต่ต้องหลอมยาลูกกลอนระดับหกขึ้นไปมากมายยิ่งนัก ลำพังตัวเธอไม่ไหวแน่
ดีที่สุดคือรวบรวมปรมาจารย์หลอมโอสถระดับหกทั้งหมดของโลกนี้มาหลอมโอสถด้วยกัน ถึงจะสามารถยับยั้งหายนะครั้งนี้ได้…
บทที่ 1416 พวกเราแต่งงานกันแล้ว (2)
ในหมู่ปรมาจารย์หลอมโอสถผู้ที่เลื่องชื่อที่สุดย่อมเป็นหงซือเย่ ปรมาจารย์หลอมโอสถที่เขารู้จักก็มีมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคือปรมาจารย์หลอมโอสถระดับหกขึ้นกว่าครึ่งของโลกนี้ล้วนมาจากสำนักถามสวรรค์ การให้เขารวบรวมมาจะเป็นการลงแรงน้อยทว่าได้ผลมาก จำเป็นต้องเชื้อเชิญเขาให้ออกโรง
กู้ซีจิ่วตัดสินใจได้ในทันใด เคลื่อนร่างไปเบื้องหน้า สั่นกระดิ่งเงินใบนั้น
หลงซือเย่ติดตั้งเขตแดนเล็กๆ ไว้ที่นี่ สามารถยับยั้งวิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วได้ ถ้าเธออยากเข้าไปข้างในก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากคนที่อยู่ด้านใน
เมื่อครู่ยามที่พวกกู่ซีซีทั้งสองคนสั่นกระดิ่งกู้ซีจิ่วได้จดจำจังหวะไว้แล้ว เธอสั่นเป็นจังหวะแบบเดียวกัน ยาวสามสั้นสี่
ผ่านไปครู่หนึ่ง กระดิ่งเงินก็มีเสียงตอบรับ บานประตูที่เดิมทีมีไอหมอกทึบบดบังเผยตัวออกมาอีกครั้ง
กู้ซีจิ่วผลักประตูเข้าไป
การตกแต่งภายในเรือนทำให้ฝีเท้าเธอชะงักไปเล็กน้อย ต้นปะการัง กอหญ้ายาว ผนังกระดองเต่า…การตกแต่งของที่นี่ค่อนข้างคล้ายกับวังเจ้าสมุทรในตำนานยิ่งนัก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การตกแต่งเช่นนี้สำหรับกู้ซีจิ่วแล้วค่อนข้างคุ้นตา ใกล้เคียงกับรูปแบบในอดีตที่เธอเคยออกแบบไว้ให้ที่พักซอมซ่อของตนสมัยที่พำนักอยู่ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…
ภายในเรือนมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นปะการัง กำลังชงชาด้วยท่าทีสบายๆ สวมชุดอยู่บ้านสีเขียวอ่อน ไม่รวบผม ทั้งหมดปล่อยสยายคลุมไหล่ รูปโฉมงามสง่าเยือกเย็น ดูคล้ายการพักผ่อนหย่อนใจของลูกหลานชนชั้นสูงในยุคเว่ยจิ้นยิ่งนัก
คนผู้นี้ย่อมเป็นหลงซือเย่ ไม่ได้พบกันแปดปี เขายังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ กาลเวลาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าเขาเลยสักนิด
“กลับมาอีกทำไม?” หลงซือเย่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงเอ่ยถามเรียบๆ ประโยคหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านึกว่าเป็นกู่ซีซีที่กลับมา
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ครูฝึกหลง จะพบคุณนี้ยากเย็นจริงๆ เลยนะ”
มือของหลงซือเย่ที่กำลังรินชาอยู่พลันแข็งทื่อ น้ำชาล้นปรี่ออกมาเขาก็ไม่สังเกตเห็นเลย ค่อยเงยหน้ามองมาที่กู้ซีจิ่ว
ยามนี้กู้ซีจิ่วยังแปลงโฉมอยู่ ยังอยู่ในรูปลักษณ์ของศิษย์ระดับล่างคนนั้น ดังนั้นหลงซือเย่จึงทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นเพ่งพิศกู้ซีจิ่วตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่สองครา “เจ้า…เจ้าคือ?”
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้มอีกครั้ง “แค่ฉันแปลงโฉมคุณก็จำฉันไม่ได้ซะแล้วเหรอ?”
จากนั้นก็ใช้วิชาชำระล้างกับร่างกายตน เผยโฉมหน้าดั้งเดิมออกมา
กาน้ำชาในมือหลงซือเย่หลุดมือร่วงลงพื้น “ซีจิ่ว!”
….
รินชาที่ดีที่สุดแล้ว จัดวางของว่างที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
กู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่นั่งอยู่คนละฟากโต๊ะ ดื่มชาพูดคุย หลงซือเย่เอ่ยถามออกมาเป็นพรวน “ซีจิ่ว หลายปีนี้สรุปแล้วเธอไปอยู่ที่ไหนมา? เธอรู้ไหมว่าคนข้างนอกตามหาเธอจนแทบบ้าแล้ว? เธอได้พบตี้ฝูอีหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วค่อยๆ จิบชาอึกหนึ่ง เรื่องราวในตาค่ายเป็นความลับใหญ่หลวง ตี้ฝูอีเคยเน้นย้ำกำชับกำชาเธอไว้ ห้ามแพร่งพรายเรื่องของตาค่ายแก่ภายนอกเด็ดขาด ดังนั้นสำหรับคำถามนี้ กู้ซีจิ่วจึงตอบอย่าคลุมเครือเท่านั้น “ปีนั้นฉันหลงเข้าไปในแดนต้องห้ามไม่ทราบชื่อแห่งหนึ่ง ติดอยู่ด้านใน เพิ่งออกมาได้ไม่นาน หลังจากฉันออกมาได้ก็พบเรื่องราวบางอย่าง มีคนตามหาฉันไม่น้อยเลยจริงๆ…ส่วนตี้ฝูอี หลายปีมานี้ฉันอยู่กับเขามาตลอด”
มือของหลงซือเย่ที่กุมถ้วยชาอยู่แข็งทื่อเล็กน้อย เลิกคิ้ว “ตี้ฝูอีอยู่กับเธอตลอดเหรอ? ไม่เห็นเขาเข้าไปในแดนต้องห้ามอะไรเลยนะ แถมเขายังส่งคนค้นหาตัวเธออยู่ตลอด…”
กู้ซีจิ่วหมุนคลึงถ้วยชาในมือ มองเขาอย่างสงบ “ครูฝึกหลง หรือว่าคุณดูไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่เรียกว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในตอนนี้เป็นตัวปลอม?”
——————————————————–
บทที่ 1416 พวกเราแต่งงานกันแล้ว (3)
หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย “ตัวปลอม?”
“ใช่แล้ว! หลายปีมานี้ฝูอีอยู่กับฉันตลอด ถูกขังไว้ที่เดียวกัน พวกเราเพิ่งฝ่าออกมาได้เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เจ้าตัวปลอมคนนั้นกลับทำลายล้างโลกมาสองปีแล้ว คุณฉลาดขนาดนี้มองไม่ออกจริงๆ เหรอว่าพฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก?”
หลงซือเย่ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบ “เขาเปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ฉันนึกว่าเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้นิสัยจึงเปลี่ยนแปลงไปมาก…นึกไม่ถึงเลยว่าจะ…”
กู้ซีจิ่วมองเขา “เมื่อก่อนคุณไม่นึกสงสัยเขาสักนิดเลยเหรอ? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเรื่องเหล่านั้นที่เขากระทำอุกอาจยิ่งนัก ฝูอีไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้นหรอกนะ!”
หลงซือเย่ถอนหายใจอีกครั้ง “ซีจิ่ว อันที่จริงเธอยังรู้จักตี้ฝูอีไม่มากพอ เขาตอนอยู่ต่อหน้าเธอสุภาพอ่อนโยน เป็นสุภาพชนที่กระฉับกรเฉงมากใช่ไหม? ถ้างั้นเธอรู้หรือเปล่าว่าร้อยปีก่อนเขาเคยสังหารคนไปร้อยคนด้วยความเดือดดาล? เคยมีประกาศิตสังหารครั้งใหญ่เพื่อหนุนให้จักรพรรดิอาณาจักรเฟยซิงขึ้นครองราชย์ โลหิตหลั่งไหลดั่งสายธาร หกสิบปีก่อนเขาเคยเป็นตัวตั้งตัวตีในสงครามยุทธการฉากหนึ่ง ไฟสงครามลุกลามไปหลายสิบลี้ คนหลายพันคนถูกเผาทั้งเป็นในสงครามครั้งนั้น…”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
หลงซือเย่ถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อ “ซีจิ่ว ตี้ฝูอีคนนี้ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ เขาควบคุมใต้หล้า บางครั้งเพื่อความสงบสุขในระยะยาว เขาก็ต้องยอมสละคนบางส่วนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เธอเคยเรียนประวัติศาสตร์มาก็น่าจะรู้นี่ ใต้หล้านี้แยกนานเข้าก็ต้องรวม รวมนานแล้วก็ต้องแยก แผ่นดินนี้แยกเป็นสามอาณาจักรมานานพอแล้ว ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงก่อเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ขึ้น ทำให้สามอาณาจักรนี้สู้รบกัน ฉันนึกมาตลอดว่าเขารู้สึกว่าใต้หล้าแบ่งเป็นสามก๊กมานานพอแล้ว ต้องการรวมใต้หล้าให้เป็นปึกแผ่น ฉันไม่คิดจะเข้าร่วมและไม่คิดจะแทรกแซง ดังนั้นถึงเลือกเอาตัวรอดปลีกวิเวกเสีย ไหนเลยจะนึกถึงว่ามีคนแอบอ้าง…”
กู้ซีจิ่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “การเมืองไม่มีผิดถูก เขาควบคุมใต้หล้าจำเป็นต้องให้วิธีการเลือดเย็นอำมหิตบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาไม่มีทางเห็นชีวิตคนเป็นของเล่น ใช้วิญญาณอาฆาตอันใดมาควบคุมบงการคนเด็ดขาด และไม่มีทางเข่นฆ่าล้างบางอย่างไม่มีเหตุผล…”
หลงซือเย่เลิกคิ้วขึ้น “ไอวิญญาณอาฆาต? หมายความว่ายังไง?”
กู้ซีจิ่วก็มองเขาเหมือนกัน “คุณคงไม่คิดจะบอกฉันว่า คุณไม่รู้เรื่องที่ตัวปลอมคนนั้นสร้างกำแผงวิญญาณอาฆาตขึ้นมาใช่ไหม? เขาเกณฑ์ช่างฝีมือหนึ่งแสนคนไปสร้างคฤหาสน์ให้เขา หลังเสร็จเรื่องช่างฝีมือพวกนั้นถูกสังหารด้วยวิธีพิเศษ เอาพวกเขาไปหลอมเป็นวิญญาณอาฆาตเพื่อสร้างกำแพงเรือนปกป้องเขา…”
คิ้วหลงซือเย่ขมวดแน่น “เรื่องนี้ฉันไม่รู้เลย ฉันไม่อยากเข้าร่วมสงครามการเมืองพวกนี้ อุดมการณ์แตกต่างไม่อาจร่วมทางได้ เรื่องทั้งหมดที่เขาทำถึงแม้ฉันจะไม่เห็นด้วย แต่เขามีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังฉันเลยทำอะไรเขาไม่ได้ จึงไม่ถามไถ่ไม่รับฟังเรื่องของเขาเสียเลย หลงนึกว่าเขาจะใช้กลสงครามบางอย่างเหมือนเมื่อหลายปีก่อนมารวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องที่ชั่วช้าสามานย์ขนาดนี้ด้วย! ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก ฉันคงเข้าไปแทรกแซงแต่แรกแล้ว!”
กู้ซีจิ่วเคยได้ยินหลีเมิ่งซย่าบอกว่า สองปีมานี้หลงซือเย่แทบไม่ออกสู่โลกภายนอกเลย เร้นกายอยู่ในเขาถามสวรรค์ตลอดมา ดังนั้นการที่เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็ปกติยิ่งนัก ดวงตาของเธอจ้องมองหลงซือเย่ “ครูฝึกหลง ถ้างั้นครั้งนี้คุณจะลงเขาไปช่วยพวกเราได้ไหม?”
หลงซือเย่ชะงักไปเล็กน้อย “พวกเรา? ซีจิ่ว เธอกับเขา…”
“พวกเราแต่งงานกันแล้ว” กู้ซีจิ่วไม่ปิดบัง “ไอ้ตัวปลอมนั่นทำลายชื่อเสียงเขาจนย่อยยับป่นปี้ ทวีปนี้ถูกเขาครอบงำแล้ว ดังนั้นทุกคนจำเป็นต้องร่วมมือกัน ถึงจะกอบกู้สถานการณ์กลับมา คืนความยุติธรรมและความสงบสุขให้ปวงชนได้”
ปลายนิ้วของหลงซือเย่แข็งทื่อไปชั่วขณะ ฝืนยิ้มแวบหนึ่ง “ซีจิ่ว ไม่คิดเลยนะว่าเธอก็มีวันที่วิ่งเต้นเพื่อใต้หล้านี้เหมือนกัน เมื่อก่อเธอไม่สนใจเรื่องวุ่นวายพวกนี้เลย”
กู้ซีจิ่วหลุบตาหัวเราะเบาๆ “คนเราเปลี่ยนกันได้”
เมื่อก่อนเธอแค่ต้องการกุมกระบี่พิทักษ์คนรอบกาย ให้ตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสงบสุขได้
ทว่ายามนี้เธอคิดจะร่วมหัวจมท้ายปกป้องแผ่นดินนี้ไปกับตี้ฝูอี เพื่อให้แบ่งเบาภาระของเขาได้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นคือไอ้ตัวปลอมนั่นทำลายชื่อเสียงของตี้ฝูอีจนย่อยยับ เรื่องนี้เธอทนไม่ได้ที่สุด!
บทที่ 1417 คนเราเปลี่ยนกันได้ (1)
นัยน์ตาของหลงซือเย่มีแววปวดร้าวพาดผ่านแวบหนึ่ง “เพราะเขาเหรอ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “และเพื่อตัวฉันเองด้วย”
“ในเมื่อเธอชอบเขาขนาดนี้ แล้วทำไมแปดปีก่อนถึงหนีงานแต่งล่ะ?”
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะบอกตื้นลึกหนาบางระหว่างเธอกับตี้ฝูอีให้คนอื่นทราบ ดังนั้นเธอจึงตอบอย่างคลุมเครือประโยคหนึ่ง “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ตอนนี้สะสางความเข้าใจผิดกันแล้ว ย่อมกลับมาอยู่ด้วยกัน”
หลงซือเย่มองเธออยู่ครู่หนึ่ง ซักพักก็ทอดถอนใจ “ขอแค่เธออยู่ดีมีสุขก็พอแล้ว” ในน้ำเสียงความแฝงความหม่นหมองไว้
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ “ครูฝึกหลง คุณเองก็มีความสุขได้แล้ว ฉันก็หวังให้คุณตามหาความสุขของตัวเองเจอเหมือนกัน” ถึงแม้ความสุขของเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ก็ปรารถนาให้เขาได้พบคนที่รักกันอย่างแท้จริง มีความสุขอย่างแท้จริงเสียที…
หลงซือเย่ละสายตาไป รินชาให้เธออีกถ้วย “หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
ทั้งสองสนทนากันอีกครู่หนึ่ง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงบางอย่างแว่วเข้ามา หลงซือเย่มุ่นคิ้ว มองไปที่กู้ซีจิ่ว “เธอไม่ได้มาคนเดียวเหรอ?”
กู้ซีจิ่วนึกถึงหลีเมิ่งซย่าขึ้นมา ใจเต้นแวบหนึ่ง “ไม่นี่ ฉันมากับประมุขหลีเมิ่งซย่า ที่นี่ของคุณเข้มงวดกวดขัน เข้ามาไม่ได้ง่ายๆ ฉันเลยให้นางรออยู่ข้างนอก หรือว่าตอนนี้นางจะบุกเข้ามา?”
หลงซือเย่ส่ายหน้า “คนคนนั้นมุทะลุเลือดร้อน ให้นางรอคงเป็นเรื่องยากสำหรับนาง” พลันยกมือร่ายวิชา จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงจากระยะไกล “ปล่อยนางเข้ามาเถอะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลีเมิ่งซย่าก็พุ่งฉิวเข้ามาปานลมหอบหนึ่ง เมื่อเห็นคนทั้งสองดื่มชากันอยู่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ซีจิ่ว ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ล่ะ? ข้านึกว่าเจ้าโดนเล่ห์กลอันใดเข้าแล้วเสียอีก”
หลงซือเย่ใช้ฝาถ้วยชาปาดน้ำชาในถ้วยเบาๆ “นางปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่ที่นี่กับข้า ข้าจะปล่อยให้นางโดนเล่ห์กลอันใดได้เล่า? ประมุขหลีคิดมากไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่ากู้ซีจิ่วปลอดภัยนางก็วางใจแล้ว หาที่ให้ตัวเองแล้วนั่งลง “เจ้าสำนักหลง การคุ้มกันที่นี่ของท่านเข้มงวดยิ่งนัก เข้ายากยิ่งกว่าวังหลวง จะพบท่านยากเย็นยิ่งกว่าเข้าเฝ้าจักรพรรดิเสียอีก…”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง มองไปทางหลงซือเย่เช่นกัน หลงซือเย่ยิ้มพลางตอบ “ระยะนี้มีเรื่องวุ่นวายมากมาย ข้าเกรงว่าจะมีสายลับใจคดจากภายนอกแอบแฝงเข้ามา ดังนั้นการคุ้มกันในสองปีมานี้จึงเข้มงวดไปบ้างจริงๆ”
กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริงว่า “หาใช่แค่คุ้มกันเข้มงวดไม่ รู้สึกว่าลำดับชนชั้นระหว่างเหล่าศิษย์ของท่านก็แบ่งแยกชัดเจนเช่นกัน ข้าแปลงโฉมเป็นศิษย์ระดับต่ำสุดของสำนักพวกท่าน โขกศีรษะไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว…”
หลีเมิ่งซย่าก็คล้อยตาม “ใช่ๆ เจ้าสำนักหลงเมื่อก่อนที่นี่ของท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ นี่ท่านได้รับความกระทบกระเทือนอะไรหรือเปล่า?”
หลงซือเย่หลุบตาลง ยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง “คนเราเปลี่ยนกันได้ บางทีอาจเป็นเพราะจู่ๆ ข้าก็ได้เปิดโลกกระมัง เกิดเป็นบุรุษต้องมีฐานะค่อนข้างสูงส่งสักหน่อยสิถึงจะดี…”
ประโยคนี้คล้ายจะมีความหมายแอบแฝง กู้ซีจิ่วฉลาดเฉลียวจึงเลือกจะเงียบไว้เสีย เพียงแต่ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าหลงซือเย่เปลี่ยนไปเพราะอะไร
น่าจะมีสาเหตุมาจากเธอกระมัง?
หลงซือเย่คงนึกว่าเหตุผลที่เธอ ‘เปลี่ยนใจเป็นอื่น’ เป็นเพราะตำแหน่งของตี้ฝูอีสูงส่งกว่าเขา…
ไหนเลยจะทราบว่าเธอไม่เคยเห็นแก่ศักดิ์ฐานะของตี้ฝูอีเลย เธอเคยหลบเลี่ยงถอยห่างเนื่องจากฐานะของตี้ฝูอีด้วยซ้ำ แต่ถ้อยคำเหล่านี้เธอไม่คิดจะอธิบายกับหลงซือเย่ให้มากความ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
กลับเป็นหลีเมิ่งซย่าที่ไม่เห็นด้วย “เจ้าสำนักหลง ดูจากวาจานี้ของท่าน ราวกับสตรีทั้งโลกลุ่มหลงในลาภยศเหมือนกันหมด เสน่ห์ของบุรุษขึ้นอยู่กับตัวบุคคล มิใช่มีฐานะสูงศักดิ์แล้วจะแก้ไขได้”
หลงซือเย่ก็คล้ายจะรู้ตัวแล้วว่าตนพูดเกินไปหน่อย “ขออภัยด้วย เป็นข้าที่ตื้นเขินไปแล้ว ขออาศัยน้ำชาแทนสุรา ลงทาตัวเองหนึ่งจอก”
———————————————————————-
บทที่ 1417 คนเราเปลี่ยนกันได้ (2)
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลีเมิ่งซย่าก็ไม่ไล่ต้อนเอาความต่อแล้ว นางยิ้มพลางตอบว่า “เช่นนั้นข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านสักจอก ข้ากำลังกระหายอยู่พอดีเลย”
ทั้งสามสนทนากันอยู่พักใหญ่ หลงซือเย่ก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน เมื่อทราบว่าผู้ที่ก่อเภทภัยอยู่ภายนอกเป็นตัวปลอม ด้วยฐานะสานุศิษย์สวรรค์ของเขาย่อมต้องออกโรงไปช่วยเหลือปราบปรามวายร้าย นี่เป็นหน้าที่ของเขา
กู้ซีจิ่วยินดียิ่งนัก รีบขอให้เขาเรียกตัวปรมาจารย์หลอมโอสถในใต้หล้า อีกห้าวันให้หลังให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงเตี๊ยมใต้หล้า ณ เมืองเฟิ่งไหล
หงซือเย่ย่อมรับปากในทันที ทั้งสามคนจึงพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง
อย่างไรเสียกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ก็ไม่ได้พบกันมาแปดปีแล้ว ยามนี้พูดคุยสัพเพเหระไปๆ มาๆ ฟ้าก็มืดลงโดยไม่รู้ตัวแล้ว
กู้ซีจิ่วนั้นไม่เท่าไหร่ ถึงอย่างไรเธอก็มีพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว เรียนรู้เคล็ดตัดธัญญะแล้ว ไม่ได้กินอาหารสักสองสามวันก็ไม่รู้สึกหิว กลับเป็นหลีเมิ่งซย่าที่ท้องเริ่มส่งเสียงคร่ำครวญ ถูกหลงซือเย่ได้ยินเข้า เขาอดขำไม่ได้ “พวกเจ้าอยากกินอะไรกัน? ข้าจะไปทำมาให้พวกเจ้า”
กู้ซีจิ่วมองหลีเมิ่งซย่า หลีเมิ่งซย่าไม่รู้จักว่าเกรงใจคือตัวอันใด “ได้ยินว่าอาหารบำรุงของสำนักถามสวรรค์มีมากมาย มิสู้ทำมาอย่างละจานเล่า? ให้พวกเราได้ลิ้มรสด้วยกัน”
หลงซือเย่พยักหน้า “ได้” ขณะที่เขากำลังจะเรียกคนเข้ามาสั่งการ กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขึ้นมา “ครั้งนี้พวกข้ามาอย่างลับๆ ยิ่งคนทราบน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เลี่ยงไม่ให้คนปากโป้งแพร่งพรายออกไป ทำให้เจ้าตัวปลอมนั่นไหวตัวทัน”
หลงซือเย่พยักหน้า “เจ้าคิดรอบคอบแล้ว วางใจเถอะ ข้าจะไปเตรียมด้วยตัวเอง…” พลางลุกขึ้นแล้วก้าวออกไป
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับไม่อยากรบกวนเขาอีก เธอมาครั้งนี้มิใช่เพื่อกินอาหารสักมื้อ อีกอย่างเธอบอกกับตี้ฝูอีไว้ดีแล้วว่าจะพยายามกลับไปให้ได้ในคืนนี้ ยามนี้จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นเสียเลย “พวกเราออกไปกินข้างนอกเถอะ ข้าอยากกินอาหารของร้านเซียนหงสาที่เมืองเว่ยไหล”
เมืองเว่ยไหลเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากสำนักถามสวรรค์ เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วเคยไปอาหารที่ร้านเซียนหงสาในเมืองนั้นอยู่ครั้งหนึ่ง ดังนั้นเลยค่อนข้างคุ้นเคย จึงแนะนำให้ไปที่นั่น
หลงซือเย่ชะงักไปเล็กน้อย เหลือบมองหลีเมิ่งซย่าแวบหนึ่ง “มิใช่ว่าประมุขหลีอยากกินอาหารบำรุงของสำนักถามสวรรค์เราหรอกหรือ?”
หลีเมิ่งซย่าถูจมูก “ความจริงแล้วข้าก็พูดไปเช่นนั้นแหละ จะเป็นอาหารบำรุงหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงอาหารอร่อยก็พอแล้ว”
นางกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเปลี่ยนความเห็นแล้ว หลงซือเย่ย่อมไม่พูดจาเป็นอื่นอีก
….
หลงซือเย่จองห้องส่วนตัวของร้านเซียนหงสาไว้ห้องหนึ่ง ทั้งสามคนสั่งอาหารหลายอย่าง กินดื่มอยู่ที่นี่
เดิมทีหลงซือเย่มิชอบดื่มสุรา ทว่าคืนนี้กลับผิดวิสัยอยู่บ้าง สั่งมาหนึ่งไหใหญ่ ซ้ำยังไม่ลืมชี้แจงกับพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองด้วย “สุรานี้ชื่อว่าดอกซิ่งแดง รสชาติไม่เลวเลย เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ ทั้งสองท่านลองชิมดูเถิด”
พลางรินใส่เต็มจอกให้ทั้งสองคน
หลีเมิ่งซย่าชอบดื่มสุรา และปกตินางก็สังสรรค์กับพี่น้องมากมายอยู่บ่อยครั้ง ฝึกฝนการดื่มจนคอแข็งเป็นพิเศษ สำหรับนางแล้ว การดื่มสุราก็ไม่ต่างอะไรกับการดื่มน้ำ
กู้ซีจิ่วก็ชมชอบสุราเช่นกัน แต่ตอนที่เธอออกปฏิบัติภารกิจ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ดื่มจนเมามายแล้วเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ครั้งนี้เธอจึงไม่อยากดื่ม อย่างไรเสียในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้การดื่มสุราจนเมาจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นได้ง่ายนัก เพียงแต่ถึงอย่างไรเธอกับหลงซือเย่ก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว พบพานสหายเก่าไม่จะไม่ดื่มกันสักจอกสองจอกก็ใช่ที ดังนั้นเธอจึงดื่มด้วย แน่นอนว่าเธอสงวนปริมาณ พยามดื่มให้น้อยที่สุด
ทั้งสามคนดื่มไปพลางคุยไปพลาง ย่อมปรึกษาหารือกันถึงขั้นตอนต่อไป หลงซือเย่ดื่มสุรารวดเร็วยิ่ง เมื่อกินอาหารมื้อนี้เสร็จ เขาก็กรึ่มๆ บ้างแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น