พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1407-1410
บทที่ 1407 ตลาดผี (1)
Ink Stone_Fantasy
หมายความว่าอย่างไร?
ภายในตำหนัก เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ใครๆ ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ลงรอยกัน เบื้องบนกลับเลือกให้ทั้งสองไปปฏิบัติภารกิจลับที่ตลาดมืด ล้อเล่นอะไรกัน?
“ทำไมต้องเป็นพวกเราสองคนคะ?” จ้านหรูอี้อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะถาม
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเลือกพวกเจ้าสองคน แต่เบื้องบนไม่ได้คำตอบ” เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบ
“ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจอะไรขอรับ?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง
เนี่ยอู๋เซี่ยวส่ายหน้า “ไม่รู้สิ หลังจากไปที่นั่นแล้ว จะมีคนติดต่อกับพวกเจ้าเอง ถึงตอนนั้นจะอธิบายรายละเอียดของภารกิจให้พวกเจ้ารู้ ภารกิจครั้งนี้ไม่สะดวกจะนำคนไปเยอะเกินไป ต่างคนต่างเลือกกำลังพลไปห้าพันแล้วกัน นอกจากนี้ ต้องเก็บเรื่องภารกิจนี้เป็นความลับด้วย”
“ที่ทะเลดาวสับสนพวกเราโดนปลดอาวุธไป ไม่ทราบว่าเบื้องบนจะแจกรางวัลหรือเปล่าคะ?” จ้านหรูอี้ถามอย่างไม่แน่ใจ
เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบว่า “ไม่ใช่แค่พวกเจ้าที่ได้รับความเสียหาย แต่นั่นคือเครื่องมือของกำลังพลเก้าล้าน เสียของไปรวดเดียวเยอะขนาดนั้น เบื้องบนเติมลงมาไม่ทัน ถ้าขาดของอะไรก็ยืมลูกน้องคนอื่นมาใช้แก้ขัดก่อนแล้วกัน ถึงยังไงตอนนี้กำลังพลเบื้องล่างคนอื่นๆ ของพวกเจ้าก็ยังไม่มีภารกิจอะไร”
ให้เวลาทั้งสองคนเตรียมตัวสามวัน หลังจากสามวันก็จะต้องออกเดินทางแล้ว
พอออกจากกองมังกรดำ ตอนที่เดินลงจากบันไดภูเขา จู่ๆ จ้านหรูอี้ที่เดินมาด้วยกันก็บอกว่า “ขอบคุณนะ!”
“หืม?” เหมียวอี้หันซ้ายหันขวา พอไม่เห็นว่ามีคนอื่น ก็จ้องจ้านหรูอี้ด้วยสายตาฉงน เหมือนกำลังถามว่า ‘กำลังพูดกับข้าอยู่เหรอ?’
“ขอบคุณเจ้าเรื่องครั้งก่อน” จ้านหรูอี้พูดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
“เรื่องอะไร?” เหมียวอี้สงสัย
ทำไมตอบสนองช้าแบบนี้ล่ะ? จ้านหรูอี้พึมพำในใจ ทำได้เพียงอธิบายอย่างจริงจังว่า “ที่ทะเลดาวสับสนครั้งก่อน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”
ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะขอบคุณข้า นึกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ว! เหมียวอี้ฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเรื่องที่ง่ายไม่เปลืองแรง”
จ้านหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าทำเกินไปจริงๆ ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกิน ข้าก็ขออภัยเจ้าตรงนี้เลย หวังว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ ตั้งแต่นี้ไปเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม[1] ไม่ทราบว่าพี่หนิวคิดว่ายังไง?”
“ต้องการแบบนั้นมากๆ!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ แต่ในใจกลับสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้เคยขอโทษมาก่อนล่วงหน้าแล้ว เขาคงสงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงคนนี้กินยาผิดมาหรือเปล่า
หลังจากลงเขาแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป จ้านหรูอี้หยุดเดินและมองเหงาหลังเหมียวอี้เดินจากไป สีหน้าของนางดูสับสนเล็กน้อย เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่รู้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่หลังจากรู้แล้วก็ก็ทำให้คนว้าวุ่นใจ
หลังจากเกิดเรื่องที่ทะเลดาวสับสน คนในบ้านก็เรียกได้ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาวพอสมควร ไม่แคล้วต้องถามนางว่าเรื่องเป็นอย่างไร หลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้ไม่ถือสาเรื่องในอดีตและช่วยชีวิตลูกสาวตัวเองไว้ อิ๋งลั่วหวนก็ชื่นชมเหมียวอี้มาก เก็บความลับไม่ได้ไปชั่วขณะ บอกความจริงให้ลูกสาวฟัง
หลังจากได้ทราบว่าท่านตาอ๋องสวรรค์อิ๋งต้องการให้ตนกับเหมียวอี้กลายเป็นสามีภรรยากัน ก็บอกไม่ถูกเลยว่าจ้านหรูอี้สุดจะทนขนาดไหน รู้สึกปั่นปั่นป่วนราวกับมีกวางมาวิ่งในใจ เพราะว่านางรู้ดี ว่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลจ้านหรือตระกูลอิ๋ง ทุกอย่างล้วนอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในเมื่อท่านตาตัดสินใจแบบนี้แล้ว ทั้งสองตระกูลก็ไม่มีใครขัดขวางได้ นั่นก็หมายความว่าในไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องกลายเป็นผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าอิ๋งลั่วหวนผู้เป็นมารดาไปดูตัวลูกเขยที่ธงพยัคฆ์ดำด้วยตัวเองมาแล้ว ทั้งยังพอใจว่าที่ลูกเขยคนนั้นมากด้วย เรียกได้ว่าทำให้จ้านหรูอี้อับอายไม่เลิกจริงๆ นางคับแค้นใจมารดาตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าหมดแล้ว แต่ตอนที่รู้ว่าเหมียวอี้ไม่รู้เจตนาของมารดาตัวเอง และมารดาก็ไม่ได้บอกความจริงกับเหมียวอี้ จิตใจที่วิตกกังวลของจ้านหรูอี้ถึงได้สงบลง ไม่อย่างนั้นต่อไปก็ไม่รู้ว่าในภายหลังจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร
ทว่าช่วงเวลาหลายวันหลังจากกลับมาจากทะเลดาวสับสน นางก็จิตใจว้าวุ่นมาตลอด มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายตัวเองกับเหมียวอี้จะเดินมาถึงขั้นที่กลายเป็นสามีภรรยากัน นางคิดถึงเหมียวอี้อย่างละเอียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เป็นศัตรูกัน ถ้ามองเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็เหมือนจะไม่ได้แย่เหมือนกัน ถ้าไม่นับเรื่องภูมิหลังวงศ์ตระกูล ทั้งสองก็นับว่าเหมาะสมกันมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตน จะรังเกียจตนหรือเปล่า ถึงอย่างไรทั้งสองก็เคยขัดแย้งกันมาก่อน
หลังจากเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้น จู่ๆ จ้านหรูอี้ก็พบว่าการที่ตัวเองได้รับความอัปยศจากน้ำมือเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่รับได้ยากอะไร ในภายหลังเมื่อกลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว จากศัตรูกลายเป็นสามีภรรยากันอาจจะกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจก็ได้ ในอนาคตถ้าเล่าให้ลูกหลานตัวเองฟังก็จะต้องเป็นความทรงจำที่งดงามแน่นอน
เรื่องราวยังไม่ทันเริ่มขึ้นเลย นางคิดมากเกินไปหน่อย…
หลังจากนั้นสามวัน ทั้งสองก็จัดเตรียมกำลังพลออกเดินทางอย่างลับๆ คนที่ติดตามเหมียวอี้ไปยังคงเป็นเหยียนซิวกับหยางเจาชิง
ระหว่างทาง เพื่อที่จะไม่ดึงดูดสายตาคน ทั้งหมดล้วนปลอมตัวแล้ว ต่างคนต่างเก็บกำลังพลห้าพันของตัวเองซ่อนไว้ในกระเป๋าสัตว์
สถานที่ที่จะต้องไปในครั้งนี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ไปเป็นครั้งแรกเช่นกัน แดนรัตติกาล เขาภูตพเนจร!
เขาภูตพเนจรเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดจากทั้งเก้าโลก เรียกได้ว่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเก้าโลก นั่นไม่ใช่ความใหญ่ธรรมดา ในปีนั้นเขาเคยติดตามโค่วเวินหลานไปปรายเฮยอวี้มาก่อน เพียงแต่ไม่เคยไปตลาดผีของเขาภูตพเนจร ตลาดผีของเขาภูตพเนจรก็เป็นตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งเก้าโลกเช่นกัน และเป็นสถานที่ที่เหมียวอี้มาปฏิบัติภารกิจลับด้วย
ระยะทางห่างไกลมากแท้ๆ แต่กลับมองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่ที่โดนปกคลุมตั้งแต่อยู่ไกลๆ จ้านหรูอี้ที่เหาะอยู่ด้วยกันหันกลับมาถามเหมียวอี้ “ได้ยินว่าเจ้าเคยมาที่เขาภูตพเนจรเหรอ เจ้าคุ้นเคยกับที่นี่หรือเปล่า?” นางเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“ถูกกำหนดพื้นที่ให้มาปราบโจร ไม่เคยเพ่นพ่านไปทั่วหรอก ไม่คุ้นเคย” เหมียวอี้ส่ายหน้า เขาพบว่าหลังจากผู้หญิงคนนี้โดนเขาสร้างความอับอายให้ครั้งเดียว ก็มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากจริงๆ มักเป็นฝ่ายมาสื่อสารกับเขาก่อน
แต่เขาก็ไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งเดินเข้าสู่แดนฝึกตน ยิ่งเกิดสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งแอบระวังตัว แต่ภายนอกยังรับมืออย่างสุภาพเกรงใจ
เหมือนกับตอนแรกที่เคยมา ที่นี่เต็มไปด้วยเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน ดวงอาทิตย์กระพริบส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ ส่องแสงที่อ่อนสลัวให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้ ทำให้ทุกหย่อมหญ้าตกอยู่ในสภาพมืดครึ้มตลอดเวลา ขมุกขมัวตลอดกาล เหมือนจะแจ่มชัดแต่ก็ไม่แจ่มชัด
คนกลุ่มนี้เหยียบลงในภูเขาที่รกร้าง ตรงจุดทั้งใกล้และไกลมีภูตผีกึ่งโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งโผล่เข้ามาใกล้ทันที ยื่นมือเข้ามาขอทาน “ทำบุญหน่อย ทำทานหน่อยเถอะ!”
แค่มองปาดเดียวก็รู้ว่ามาขอทานทรัพยากรฝึกตน จ้านหรูอี้ก็มองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง แล้วคว้ายาแก่นเซียนกำหนึ่งเตรียมจะสาดออกไป แต่ใครจะคิดว่าจะโดนลูกน้องที่ติดตามมาด้วยห้ามไว้ ลูกน้องอธิบายอย่างเรียบง่ายมาก บอกว่าถ้านางให้ไป ก็จะมีภูตผีอีกนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาเกาะแกะพัวพันกับนางทันที ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าไม่หนี เจ้าก็ต้องเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่
ยังโชคดี ตรงจุดไกลๆ มีนักพรตผีที่ที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตหน้าขาวยืนศีรษะออกมาสำรวจทางนี้พักหนึ่ง แล้วก็เหาะเข้ามา โบกมือไปทางซ้ายทางขวาเพื่อฆ่าภูตผีพวกนั้นให้ ทำให้กลุ่มภูตผีตกใจจนหนีหัวซุกหัวซุน
บัณฑิตหน้าขาวเป็นคนของตำหนักสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าปลอมตัวมาแล้ว เขาใส่หนังปลอมบนใบหน้า หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณลับให้กัน อีกฝ่ายก็มอบแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง บอกใบ้ให้ทั้งคู่ไปหาผู้จัดการกู่ตัวกุ้ยของโรงเตี๊ยม ‘มีหนึ่งห้อง’ ที่ตลาดผี ทางนั้นจะมอบหมายเรื่องที่ต้องทำต่อไป
บัณฑิตหน้าขาวเป็นผู้นำทาง พาคนกลุ่มนี้ไปยังจุดที่อยู่ห่างจากตลาดผีร้อยลี้แล้วก็บอกลา
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ให้กำลังพลส่วนใหญ่เฝ้าอยู่ที่เดิม แล้วต่างคนก็ต่างพาลูกน้องสองคนเดินทางตามแม่น้ำขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่ห่างจากตรงนั้นร้อยลี้ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือแอ่งกระทะขนาดใหญ่มาก เพียงแต่ในแอ่งกระทะมียอดเขาตั้งอยู่ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เพียงแต่ไม่สูงเท่าสภาพพื้นดินที่อยู่โดยรอบก็เท่านั้นเอง
โคมไฟระยิบระยับราวกับดาราจักรมีอยู่ทั่วแอ่งกระทะ เป็นโคมไฟหลากสีสัน สลับสีกันแพรวแพรว เป็นภาพที่สวยงามมาก แม่น้ำสายหนึ่งแบ่งเป็นสามสาขายาวคดเคี้ยวผ่านแอ่งกระทะ แล้วก็ไปบรรจบกันที่อีกฝั่งหนึ่งของแอ่งกระทะที่อยู่ไกลๆ ยอดเขาทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านพวกนั้นคงจะถูกขุดจนกลวงหมดแล้ว ในห้องถ้ำที่สร้างไม่ซ้ำแบบใครมีโคมไฟสีต่างๆ แทรกซึมออกมา
มองจากที่ไกลๆ เหมือนสงบ แต่พอฟังดูเงียบๆ ก็มีเสียงดังเอะอะโวยวาย แต่ก็ดูเหมือนมีคนไม่เยอะเท่าไร และสำหรับทั้งสองที่ทำการบ้านมาล่วงหน้าแล้วไม่น้อย ความสงบเงียบนี้เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ภายนอก แท้จริงแล้วเป็นทางเข้าไปสู่ใต้ดิน ดังนั้นจุดที่คึกคักที่แท้จริงนั้นอยู่ใต้ดิน ใต้ดินเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าตลาดสวรรค์แต่ละแห่งเสียอีก ใต้ดินถูกขุดไว้นานแล้ว มีทางเชื่อมต่อกันทั่วทุกทิศ เส้นทางใต้ดินหนาแน่นยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีก คนไม่คุ้ยเคยมาที่นี่จะต้องหงทางแน่นอน
ถึงแม้ที่นี่จะเจริญคึกคักกว่าตลาดสวรรค์ แต่ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่มีกบฏระเบียบควบคุม ที่นี่จึงมั่วมากการหลอกต้มตุ๋นซื้อขายเป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้นถ้าอยากจะทำการค้าแบบปกติ ก็ไม่อยู่ที่ตลาดสวรรค์จะเหมาะสมกว่า
และแน่นอน ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน ที่นี่ยังเป็นอาณาเขตที่อยู่ในการควบคุมของตำหนักสวรรค์ ตลาดผีถูกควบคุมโดยแม่ทัพภาพคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักสวรรค์จะปล่อยละเลยตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
เพียงแต่แม่ทัพภาคที่มาคุมรักษาการณ์ที่นี่จะต้องอ่านสถานการณ์ออก จะใช้อำนาจมากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่ปัญหาว่าจะควบคุมได้หรือไม่ได้ แต่จะโดนมือมืดวางแผนกำจัดทิ้ง สถานที่นี้มีคนร้อยพ่อพันแม่ มีคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน คนจากอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนมีหมด คิดว่าจะไม่มีคนกล้าฆ่าเจ้างั้นเหรอ?
ตำหนักสวรรค์เองก็มีศักยภาพที่จะควบคุมให้มากกว่าเดิม แต่ถ้าเจ้าให้อำนาจมากอื่น คนอื่นก็จะเลิกเล่นกับเจ้าทันที จะย้ายสถานที่ทันที ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล นักพรตประเภทต่างๆ มีเยอะเกินไป เยอะจนนับไม่หมด ของบางอย่างที่อยู่ในด้านมืด ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางปราบให้หมดได้อยู่ดี ในเมื่ออุดไม่ได้ ก็ทำได้เพียงขุดลอกให้ไหลผ่าน การผูกมัดจิตใจคนเอาไว้ด้วยกันแบบนี้ อย่างน้อยก็ยังควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
ดังนั้นการเป็นแม่ทัพภาคของที่นี่จึงเป็นแค่ฉากหน้าเฉยๆ ถ้าเจ้าสบายดีข้าสบายดี ทุกคนก็สบายดี ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือแม่ทัพภาคของที่นี่เป็นขุนนางที่เก็บภาษี แต่ภาษีของที่นี่ก็ไม่ได้เก็บง่ายขนาดนั้น ร้านที่ค้าขายกันแบบเปิดเผยยังคุยง่ายหน่อย แต่ร้านที่ขายกันลับๆ ไม่มีใครจ่ายภาษี และในตลาดผีก็ดันมีการซื้อขายกันอย่างลับๆ เยอะมาก
พวกเหมียวอี้ปลอมตัวแล้ว เหาะไปเหยียบลงในแอ่งกระทะ หาร้านค้าที่เงียบเหงาร้านหนึ่งแล้วเดินเข้าไป
พนักงานคนหนึ่งนอนหมอบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน พอลืมตามองพวกเขา ก็พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “ทางลงอยู่ในห้องด้านหลัง ค่าผ่านทางหนึ่งร้อยผลึกแดง”
หยางเจาชิงก้าวขึ้นมาถามว่า “ไม่ผ่านทางหรอก แค่อยากจะถามสักหน่อย ว่าโรงเตี๊ยม ‘มีหนึ่งห้อง’ ไปยังไง?”
“ถามอย่างเหรอ!” พยักหน้ายื่นมือออกมา “ราคาเท่ากัน หนึ่งร้อยผลึกแดง”
หยางเจาชิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง พอเห็นเหมียวอี้ไม่ว่าอะไร ถึงได้โยนหนึ่งร้อยผลึกแดงไว้บนโต๊ะคิดเงิน
พนักงานโบกมือกวาดเงิน แล้วชี้ไปที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ “ไปทางนั้นประมาณยี่สิบลี้ จะเห็นป้ายโรงตี๊ยม ‘มีหนึ่งห้อง’ ไปหาเอาเอง” จากนั้นพนักงานก็ขี้เกียจจะสนใจแล้ว
เหมียวอี้เลิกคิ้ว ส่งสายตาให้แล้วหันตัวเดินออกไป
จ้านหรูอี้เพิงจะหันตัวเดินตาม แล้วจู่ๆ ก็หันหน้ากลับไป ดวงตาเบิกกว้าง นางพูดไม่ออกมาก
จู่ๆ เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ลงมือพร้อมกัน คนหนึ่งเอามือปิดปากพนักงาน ส่วนอีกคนเอามีดปาดคอ ฆ่าพนักงานคนนั้นทิ้งเสียเลย จากนั้นก็ปล้นของจนหมดตัว แล้วรีบออกจากร้านมา เดินตามหลังเหมียวอี้แล้ว
…………………………
[1] 化干戈为玉帛 เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม อุปมาว่า เปลี่ยนสงครามการต่อสู้ให้เป็นสันติภาพ
บทที่ 1408 ตลาดผี (2)
Ink Stone_Fantasy
จ้านหรูอี้กับลูกน้องสองคนยังยืนอึ้งอยู่ในร้าน ไม่เข้าใจสถานการณ์นิดหน่อย จนกระทั่งกลิ่นคาวเลือดโผเข้าจมูก ทั้งสามถึงได้สติกลับมา แล้วรีบเดินออกไป จะได้ไม่ซวยติดร่างแหไปด้วย
พอตามเหมียวอี้ทัน จ้านหรูอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ทำไมต้องฆ่าเขา?”
“พนักงานที่ตลาดมืดกระจอกๆ คนหนึ่ง บังอาจมาขูดรีดเงินกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์” เหมียวอี้พูดเหยียด
“เจ้าไม่กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?” จ้านหรูอี้ถาม
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ทำไปเพราะอยากให้เกิดเรื่องขึ้นล้วนๆ พนักงานเล็กๆ อ่านสถานการณ์ไม่ออก เลยถือโอกาสจัดการสักหน่อย เขาเองก็ไม่อยากทำงานถวายชีวิตตำหนักสวรรค์ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่อยากมาทำภารกิจบ้าบอในสถานที่บ้าๆ แบบนี้ ถ้าก่อเรื่องแล้วโดนเปิดโปงฐานะ เขาจะได้ย้อนกลับจวนและไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวกจะให้ตำหนักสวรรค์เห็นว่าเขาขัดขืนภารกิจในครั้งนี้อย่างโจ่งแจ้งเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าตำหนักสวรรค์จะมองออกได้ชัดเจนเกินไปว่าเขากำลังต่อต้านการทำภารกิจในครั้งนี้ เขาคงไม่ได้ฆ่าพนักงานคนเดียวหรอก แต่จะพังร้านทิ้งเสียเลย
ดังนั้นเหมียวอี้จึงกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะเปิดเผยตัวตนออกมา ดูซิว่าใครจะกล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง”
จ้านหรูอี้พูดไม่ออก หันกลับไปมองบนถนนที่เงียบเหงาอีกครั้ง ในร้านนั้นมีพนักงานอยู่แค่คนเดียว พนักงานของร้านนั้นก็คงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาลงมือกับพนักงานที่ไร้ประโยชน์อย่างตน
พอเดินผ่านไปหลายถนน เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย พวกเขาถึงได้เหาะขึ้นมา เหาะออกไปข้างนอกประมาณยี่สิบลี้ และไม่นานก็เจอป้ายที่เขียนว่า ‘โรงเตี๊ยมมีห้องเดียว’ พวกเขาเหยียบลงตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยม แล้วเดินเข้าไปโดยตรง
ตรงหน้าโต๊ะคิดเงินก็มีพนักงานที่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่คนหนึ่งเช่นกัน หยางเจาชิงก้าวขึ้นไปเคาะโต๊ะสองสามที แล้วถามว่า “ที่นี่มีโรงเตี๊ยมแค่ห้องเดียวใช่มั้ย?”
พอพนักงานได้ยินคำถาม ก็ตอบอย่างกระปรี้กระเปร่าทันที “หนึ่งห้องก็สามารถเปลี่ยนเป็นหลายห้องได้”
เมื่อสัญญาณลับตรงกันแล้ว หยางเจาชิงก็ลักแผ่นหยกออกไปแผ่นหนึ่ง
หลังจากพนักงานถือแผ่นหยกขึ้นมาอ่าน ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้า เดินไปแหวกม่านที่ประตูด้านข้างออกพร้อมบอกว่า “ทุกท่านเชิญตามข้ามา”
พวกเขาเดินตามไป เดินตามทางเดินไปจนถึงห้องรับแขกที่อยู่ด้านในสุด พอพนักงานเปิดประตู ก็พบว่ามันไม่ใช่ห้อง แต่เป็นบันไดที่ทอดลึกลงไปด้านล่าง พอเดินตามบันไดที่คดเดี้ยวลงไปหลายจั้งก็เจอทางแยก พวกเขาเลี้ยวไปทางด้านซ้าย แล้วเดินลึกลงต่อไป
ตรงประตูทางแยกมีนักพรตเฝ้าอยู่สองคน พนักงานคนหนึ่งถ่ายทอดเสียงบอก หลังจากส่งแผ่นหยกต่อให้แล้วก็ขอตัวกลับไป
“ตามข้ามา!” ชายวัยกลางคนที่รับช่วงต่อพาเลี้ยวไปด้านขวา แต่นักพรตอีกคนขวางพวกหยางเจาชิงเอาไว้ “ให้พวกเขาเข้าไปได้แค่สองคน พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้หันกลับมาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้พวกเหยียนซิว บอกใบ้ว่าให้รอก่อน
ทั้งสองคนที่เดินตามไปผ่านห้องหลายห้อง แล้วก็มาถึงห้องที่อยู่ข้างในสุด จากนั้นผู้ที่นำทางก็เคาะประตูบอก
ข้างในมีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น “เข้ามา”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้สบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหู
ผู้นำทางผลึกประตูออก หลังจากเชิญทั้งสองเข้าไปข้างในแล้ว ก็ปิดประตูเอาไว้
พอทั้งสองเข้ามาดูข้างใน ก็ตะลึงค้างพร้อมกัน ในห้องมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบัณฑิตหน้าขาวคนก่อนหน้านี้
บัณฑิตหน้าขาวถอดหมวกออก ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก ถอดชุดบัณฑิตออก เผยชุดคลุมสีเทาทั้งตัว แล้วกุมหมัดคารวะให้ทั้งสองพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่จ้าน ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ข้าน้อยคือ ผู้จัดการกู่แห่ง ‘โรงเตี๊ยมมีห้องเดียว’ ขอรับ”
จ้านหรูอี้ชมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้จัดการ แล้วทำไมต้องอ้อมค้อมมากมายขนาดนั้น?”
“ข้างกายทั้งสองท่านมีคนเยอะขนาดนั้น เมื่ออยู่ในสถานที่แบบนี้ คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้ายิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกินไปก็หวังว่าจะอภัย และหวังว่าทั้งสองจะพยายามปกปิดตัวตนให้ข้าน้อยด้วย” กู่ตัวกุ้ยยิ้มพลางอธิบาย จากนั้นยื่นมือเชิญ “เชิญผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองท่านนั่งก่อน”
เหมียวอี้และจ้านหรูอี้นั่งลง กู่ตัวกุ้ยรินน้ำชาให้ทั้งสองด้วยตัวเอง
“บอกมาเถอะ เบื้องบนให้พวกเราทำภารกิจอะไรกันแน่” จ้านหรูอี้กล่าว
กู่ตัวกุ้ยวางกาน้ำชาแล้วนั่งลง “เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับทั้งสองอยู่บ้าง ทั้งสองก็เข้าร่วมคดีที่ทะเลดาวสับสนเหมือนกัน ตอนนี้ที่ตลาดมืดมีความเคลื่อนไหวเรื่องธนูเก้าล้านคันนั่นไม่น้อย มีอำนาจหลายฝ่ายจ้องอยากได้อุปกรณ์ชุดนี้ ตอนนี้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาได้รับคำสั่งให้สืบเรื่องนี้ หวังว่าจะพบเบาะแสที่สาวไปถึงตัวไป๋เฟิ่งหวงได้ ทว่าถึงอย่างไรคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็มีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเข้ามาทำเรื่องนี้ ก็เลยดึงตัวคนจากหน่วยองครักษ์ซ้ายมาช่วย”
หน่วยตรวจการฝ่ายขวา? พอนึกถึงผู้พิพากษาหน้านิ่งนั่น เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ทำไมต้องดึงตัวข้าไปด้วย ในนั้นคงจะไม่มีเหตุผลอะไรใช่มั้ย? เขาถามว่า “คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่เข้าใจการสืบคดี จะเรียกคนนอกอย่างพวกเรามาทำอะไร?”
กู่ตัวกุ้ยยิ้มพร้อมอธิบายว่า “ก็บอกแล้วว่าให้มาช่วยเหลือ ไม่ได้ต้องการให้ทั้งสองมาสืบคดี เรื่องรายละเอียดในการสืบ หน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะจัดการเอง เพียงแต่คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีจำกัด หน้าที่ของทั้งสองก็คือช่วยหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ถ้าพบเป้าหมายที่น่าสงสัยก็ต้องจับตาดูเอาไว้ ให้กำลังพลของทั้งทั้งสองคอยดูเอาไว้ ถ้ามีเรื่องอะไรทั้งสองก็แจ้งให้คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาออกเคลื่อนไหวได้เลย ถ้ากำลังคนยังไม่พอ ก็อาจจะต้องให้ทั้งสองโยกย้ายกำลังพลใต้บังคับบัญชามาเติมอีกที”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เหมียวอี้โล่งอกนิดหน่อย ภารกิจหลักคือจับตาดู ไม่ใช่ต่อสู้เข่นฆ่า โอกาสมีอันตรายน้อยลงเยอะ
จ้านหรูอี้มองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “ทำไมต้องดึงกำลังพลของพวกเราสองคนให้มาช่วย?”
กู่ตัวกุ้ยส่ายหน้า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว นี่เป็นเจตนาของเบื้องบน”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าสาเหตุคืออะไร ว่ากันตามจริง เรื่องระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้วุ่นวายจนโด่งดังขนาดนั้น เขาเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเบื้องบนจึงส่งศัตรูคู่นี้มาด้วยกัน
แต่ที่จริงแล้ว สาเหตุที่ดึงตัวคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายมาช่วยก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย คนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ก็กำลังอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้เช่นกัน กำลังคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีไม่พอ แต่ก็ไม่กล้าใช้งานกำลังพลท้องถิ่น การใช้งานคนของกองทัพองครักษ์นั้นเหมาะสมกว่า
และสาเหตุที่เลือกเหมียวอี้ให้มาเข้าร่วม ก็เป็นเพราะเกาก้วนเลือกเองต่อหน้าประมุขชิง สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะว่าเหมียวอี้ล่วงเกินบุคลระดับสูงมาทั้งตำหนักสวรรค์แล้ว เกาก้วนรู้สึกว่าใช้งานเหมียวอี้จะวางใจกว่า
ข้ออ้างนี้ก็สมเหตุสมผลมากเช่นกัน ถึงอย่างไรกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่ที่ที่น้ำใสจนมองเห็นก้น เมื่อป่ากว้างใหญ่ไม่ว่านกอะไรก็มีทั้งนั้น ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าพวกลูกพี่ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ส่งคนมาแทรกซึมอยู่ในกองทัพองครักษ์ ดังนั้นการให้เหมียวอี้มาช่วยเหลือเรื่องในครั้งนี้ก็เหมาะสมกว่าจริงๆ ประมุขชิงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เหมียวอี้ถึงได้มาเข้าร่วมได้ แต่ประมุขชิงก็เลือกอีกคนหนึ่งมาด้วย นั่นก็คือจ้านหรูอี้ ประมุขชิงต้องการให้จ้านหรูอี้เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ แต่เกาก้วนคัดค้านเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจ้านหรูอี้จะเปิดโปงว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีสายลับอยู่ที่ตลาดผี แต่ประมุขชิงดึงดันที่จะทำแบบนี้ เกาก้วนเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่คิดไม่ตกนิดหน่อย รู้อยู่แท้ๆ ว่าจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่ก็ยังให้นางมาเข้าร่วมเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าประมุขชิงมีเจตนาอะไรกันแน่
สรุปก็คือเบื้องหลังมีสถานการณ์แบบนี้ ระดับของกู่ตัวกุ้ยก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น จะไปรู้เรื่องระดับนี้ได้อย่างไร
รู้เรื่องภารกิจคร่าวๆ ชัดเจนแล้ว เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็มีแผนในใจแล้ว
ก่อนจะกล่าวอำลา เหมียวอี้ก็ถามเพิ่มอีกว่า “ภารกิจในครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร? คงจะไม่ได้ให้กำลังพลหนึ่งแสนของพวกเราเป็นมังกรที่ไร้หัว[1]อยู่ตลอดหรอกใช่มั้ย”
กู่ตัวกุ้ยส่ายหน้าอีกครั้ง “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน คงจะต้องดูความคืบหน้าของภารกิจกระมัง แต่พวกท่านวางใจได้ ทางหน่วยองครักษ์ซ้ายจะต้องเตรียมการอย่างเหมาะสมเรียบร้อยแน่นอน ไม่ให้พวกเจ้าห่วงหน้าพะวงหลังหรอก”
“แล้วพวกเราจะเริ่มปฏิบัติการเมื่อไร” จ้านหรูอี้ถาม
กู่ตัวกุ้ยบอกว่า “ไม่รีบหรอก พวกท่านเหมือนจะยังไม่คุ้ยเคยกับที่นี่ ให้เวลาพวกท่านทำความเข้าใจสถานการณ์ของตลาดผีสักครึ่งเดือนแล้วกัน ถือโอกาสวางกำลังพลไว้ที่ตลาดผีด้วย การวางกำลังพลที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหนก็สามารถเรียกตัวมาประกบได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นก็ต้องให้กำลังพลของพวกเจ้าทำความคุ้นเคยกับเส้นทางของของตลาดผีให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้นก็ย่อมมีภารกิจให้พวกท่านเอง แต่ทั้งสองต้องจำไว้จุดหนึ่ง ต้องออกคำสั่งลงไปด้วย ว่าภารกิจในครั้งนี้เป็นความลับ”
หลังจากสอบถามและสั่งงานกันพักหนึ่ง ถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงเตี๊ยม แต่กู่ตัวกุ้ยกลับไม่เห็นด้วยที่ทั้งสองจะอยู่ที่นี่ กลัวว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วจะโยงถึงกันและกัน จึงให้ทั้งสองไปหาโรงเตี๊ยมข้างนอกพัก และบอกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ ตำหนักสวรรค์เป็นคนออกทั้งมมด
แต่กู่ตัวกุ้ยก็มอบแผนที่ของตลาดผีชุดหนึ่งให้พวกเขา
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ออกจากห้องนี้ไปแล้ว หลังจากออกมาก็นำพวกเหยียนซิวเดินลงไปข้างล่างต่อ
ขณะที่เดินตามบันไดลงไป เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบผนังที่ขุดออกมาจากใต้ดิน พบว่าเป็นแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันของเหมืองเหรียญผลึก บนผนังมีแสงระยิบระยับเล็กน้อย ขนาดโคมไฟที่ใช้ส่องแสงก็ประหยัดไปได้แล้ว
เมื่อเดินจากโรงเตี๊ยมลึกลงมาใต้ดินหลายสิบจั้ง หลังจากพวกเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่อยู่ใต้ดิน ก็เหมือนกับได้มายังโลกอีกใบหนึ่ง
สาเหตุที่เรียกว่าตลาดผี ก็เพราะเป็นตลาดที่ไม่เจอกับแสงสว่าง การเรียกตลาดที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินว่าตลาดผีก็เป็นสิ่งที่สมชื่อแล้ว
บนถนนมีทั้งชายทั้งหญิง ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ คึกคักมาก แต่สวนใหญ่ปลอมตัวหรือไม่ก็ใส่หน้ากากผี แทบจะไม่มีใครอยากเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเอง พวกเหมียวอี้ก็ทำแบบนี้เช่นกัน
ถนนห่างจากข้างบนประมาณสิบจัง อยู่ในนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะกับการเหาะจริงๆ ถนนที่มีเจ็ดแปดโค้งเดิมทีก็ไม่ผ่านการวางแผนที่เป็นระเบียบอะไรอยู่แล้ว จ้านหรูอี้เงยหน้ามองเพดานที่เต็มไปด้วยทรายเปล่งแสงระยิบระยับ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าเดาไม่ผิด ตลาดผีนี้น่าจะขุดมาจาก ‘เหมืองตาย’ นะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย
ที่เรียกว่า ‘เหมืองตาย’ ก็หมายถึงเหมืองที่ขุดจนกลวงแล้ว หรือไม่ก็เป็นแค่เหมืองที่มีแร่ธาตุที่เกิดร่วมกัน แต่กลับไม่มีแร่หลัก และถนนของตลาดผีที่อยู่ตรงหน้าก็ต่ำเตี้ยขนาดนี้ ไม่เหมือนผ่านการขุดเก็บแร่มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นเหมืองตายแบบหลัง ไม่มีเหรียญผลึกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ผลก็คือหลังจากโดนขุดแล้วก็ทำเป็นตลาดสำหรับค้าขายใต้ดิน
การใช้ประโยชน์แร่ธาตุที่เกิดร่วมกันของเหมืองเหรียญผลึกเพื่อขุดสถานที่แบบนี้ออกมาก็มีข้อดีเหมือนกัน เหมียวอี้เคยทดสอบแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันประเภทนี้ด้วยตัวเอง มันมีความสามารถในการลดพลังโดยธรรมชาติ มีความสามารถในการต้านทานโจมตีสูงมาก สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใต้ดินประเภทนี้ ต่อให้โดนโจมตีแต่ก็ไม่ถล่มพังง่ายๆ ถ้ามีความเสียหายก็กินพื้นที่ไม่เยอะ
ถึงแม้จะมีแสงจากธรรมชาติคอยส่องสว่าง แต่ลำแสงก็ไม่ได้สว่างและเป็นธรรมชาติ มีร้านค้าจำนวนไม่น้อยแขวนโคมไฟหลากสีไว้ตรงประตู ในร้านค้าก็มีโคมไฟส่องแสงออกมาเช่นกัน เมื่อประกอบกับแสงจากทราย ก็ทำให้โลกที่อยู่ใต้ดินมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
พวกเขาเดินอยู่บนถนน ขณะที่จดจำเส้นทางก็เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว บางครั้งก็ข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไป ตลาดผีที่นี่ไม่ได้มีแค่เส้นทางใต้ดินที่คดเคี้ยวเท่านั้น ทั้งยังมีแม่น้ำใต้ดินด้วย สามารถแล่นเรือได้ จากบางจุดด้านบนเพดานจะมีกระแสน้ำไหลพุ่งลงมา เนื่องจากด้านบนมีแม่น้ำสายหนึ่ง ทำให้มีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยดึงน้ำของแม่น้ำด้านบนลงมาใช้งานในร้านค้าโดยตรง
…………………………
[1] มังกรที่ไร้หัว 群龙无首 อุปมาว่าขาดหัวหน้า
บทที่ 1409 โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว
Ink Stone_Fantasy
เมืองใต้ดิน เมืองอยู่ในน้ำ น้ำอยู่ในเมือง แสงของโคมไฟและแสงจากทรายดาวของแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันได้เพิ่มความแพรวพราวมายาให้ที่นี่หลายส่วน นี่คือทิวทัศน์ที่หามองไม่ได้จากบนพื้นดินที่มีบรรยากาศอึมครึม
ถนนไม่ได้เปิดเส้นทางให้เป็นระเบียบ ไม่มีหลักการใดๆ ทั้งนั้น เมื่อเจอบ้านที่ขุดออกมาจากกลางผนังหินก็แค่เดินเลี้ยว ถนนบ้างก็กว้างบ้างก็เล็ก ถ้าไม่ระวังก็จะเดินไปเจอทางตัน และร้านค้าทุกร้านของเมืองใต้ดินก็ล้วนเชื่อมจากใต้ดินถึงบนดิน การทำแบบนี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือรักษษความลับได้ดีกว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็จะไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ที่มีคนกลุ่มใหญ่มามุงดู ม่เหมือนที่ตลาดสวรรค์ที่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มีกลุ่มคนเข้ามาเบียดกันเสือกทันที
แม่น้ำใต้ดินก็มีทั้งกว้างมีทั้งแคบเช่นกัน ตรงที่แคบก็แล่นเรือขนาดเล็กได้ ตรงที่กว้างก็วิ่งเรือโหลวฉวนได้ เรือที่ค่อนข้างใหญ่ส่วนมากจะเป็นสถานบันเทิง ถึงขั้นมีโรงเตี๊ยมห้อยโคมไฟหลากสีลอยเอ้อระเหยอยู่บนแม่น้ำใต้ดินด้วย
ร้านค้ารูปแบบต่างๆบนถนนล้วนมีหมด รายการสินค้าที่ไร้ระเบียบมีไม่น้อยกว่าตลาดสวรรค์แน่ มีแต่จะเยอะกว่าตลาดสวรรค์
ทว่าค่าใช้จ่ายของที่นี่ ตลาดสวรรค์กลับเทียบไม่ติด การทำเรื่องที่ลับพรางเปิดเผยไม่ได้ ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความลับ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าตลาดสวรรค์สิบเท่ายังถือว่าเป็นส่วนน้อย ที่ราคาสูงจริงๆ นั้นร้อยเท่าก็มี ดังนั้นตลาดผีจึงทำได้เพียงหลบอยู่ในมุมมืด คนที่ซื้อขายอย่างสง่าผ่าเผยไม่มีทางมาอยู่ที่นี่
อาณาเขตใต้ดินของที่นี่ก็ใหญ่พอสมควร ทั้งยังยุ่งเหยิงเหมือนเขาวงกต พอเดินเพ่นพ่านไปได้หนึ่งชั่วยามกว่า พวกเขาก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว การเดินลงไปแบบไร้จุดหมายไม่ใช่วิธีการที่ดี ต้องหาที่พักสักหน่อย ต้องตั้งใจดูแผนที่ของตลาดผีที่กู่ตัวกุ้ยมอบให้ดีๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็หาเส้นทางไม่เจอจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ด้านนอกก็ยังมีกำลังพลอีกจำนวนมากที่กำลังรอให้แบ่งงานให้ เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือหาโรงเตี๊ยมสักแห่ง
พอเดินมาถึงบนสะพานแห่งหนึ่งที่ทอดข้ามสองฝั่ง เหมียวอี้ก็หยุดเดินแล้วถ่ายทอดเสียงบอกจ้านหรูอี้ว่า “พวกเราต่างกันต่างหาโรงเตี๊ยมอยู่ก็แล้วกัน”
“แยกกันเหรอ?” จ้านหรูอี้งงไปชั่วขณะ แล้วบอกว่า “เจ้ากับข้าพักอยู่โรงเตี๊ยมเดียวกันดีกว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้ติดต่อกันได้ทันเวลา”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เบียดอยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันคงไม่ดีมั้ง กำลังพลของธงพยัคฆ์ทั้งสองเข้าออกที่เดียวกัน เกรงว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ง่าย”
จ้านหรูอี้จึงบอกว่า “คิดมากไปแล้ว ถ้ามีเรื่องจปรึกษาหารือก็เรียกรวมลูกน้องคนสำคัญมาก็พอ เมื่อวางแผนงานเรียบร้อยแล้ว ตอนหลังก็อาศัยระฆังดาราติดต่อกัน กำลังพลเบื้องล่างจะเอาแต่คลุกคลีอยู่กับพวกเราได้ยังไง แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย”
ในเมื่อนางดึงดันจะทำแบบนี้ เหมียวอี้ก็สงสัยเจตนาของนางนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อยากจะดูว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
คนกลุ่มนี้เดินหน้าหาโรงเตี๊ยมต่อไป เมื่อเดินอ้อมผ่านถนนเส้นหนึ่งได้ไม่นาน ก็ปรากฏผิวแม่น้ำกว้างที่โล่งปลอดโปร่ง รูปสลักปลาหลีสองตัวที่เงยหน้ากระดกหางดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มนี้ ปลาหลีทั้งสองตัวอยู่ตรงหน้าประตูหินใหญ่ของร้านค้าร้านหนึ่ง มันกระดกหัวพ่นเสาน้ำออกมาสองสาย น้ำพุ่งผ่านถนนไปตกอยู่ในแม่น้ำราวกับสะพานโค้ง เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการอาศัยแรงดันน้ำที่ผิวดิน น้ำที่พ่นออกมามีระดับความสูงเพียงพอ คนที่เดินอยู่บนถนนเบื้องล่างไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
นี่คือโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง บนแผ่นป้ายเรียกว่า ‘โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว’ พวกเขากำลังตามหาโรงเตี๊ยมพอดี จ้านหรูอี้ถามความเห็นของเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่มีความเห็นแย้งอะไร พวกเขาจึงเข้าไปพักที่นี่
ลูกน้องของจ้านหรูอี้เข้าไปถามเรื่องธรรมเนียมการเข้าพัก พบว่าราคาสูงจนเหลวไหล การเข้าพักนับตามจำนวนคน ห้องหนึ่งอนุญาตให้พักได้มากสุดสองคน ทุกห้องมีค่าใช้จ่ายวันล่ะหนึ่งล้านผลึกแดง ถ้าต้องการอาหารอย่างอื่นก็ต้องจ่ายแยก และโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็รักษาความปลอดภัยพื้นฐานเท่านั้น เพียงแค่รักษาความปลอดภัย ไม่ได้รับประกันความปลอดภัย หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นก็ต้องรับผิดชอบเอง
สิ่งที่เรียกว่ารักษาความปลอดภัยพื้นฐานก็คือไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าพัก ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมโดยพลการก็เท่านั้นเอง ถ้ามีใครเล่นตุกติกล่วงล้ำเข้ามาพัก แบบนั้นโรงเตี๊ยมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น
เงื่อนไขก็เป็นแบบนี้ อยากจะพักหรือไม่อยากจะพักก็ตามใจ
ไม่มีตัวเลือกดีๆ แล้วเช่นกัน สถานการณ์ของตลาดผีก็เป็นแบบนี้ พวกเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องราคาก็ไม่ต้องพูดเยอะ ถึงอย่างไรก็ช่วยทำงานให้หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ตราบใดที่ไม่ทำซี้ซั้ว หน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็จะควักจ่ายค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล
จ้านหรูอี้ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวไม่สะดวกจะพักรวมกับผู้ชายอีกห้าคน หกคนนี้จึงต้องการห้องพักสี่ห้อง เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้พักคนละห้อง ผู้ติดตามสี่คนพักห้องละสองคน
ต้องจ่ายเงินก่อน ไม่มีการค้างจ่าย หลังจากจ่ายเงินแล้วก็ถูกพาไปที่ชั้นสาม ห้องทั้งสี่ห้องเรียงกัน ห้องของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้อยู่ตรงกลาง ส่วนสองห้องที่คุ้มครองทางซ้ายและขวาก็เป็นห้องของผู้ติดตาม พอเข้ามาในห้องและผลักหน้าต่างออกไป ก็สามารถมองเห็นเรือแล่นบนแม่น้ำและผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนถนนด้านนอก ในห้องตกแต่งแบบลวกๆ ดีกว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตพื้นฐานนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าดีสักเท่าไร
พอดูในห้องแล้ว หยางเจาชิงก็ทำการตรวจสอบห้องทั้งสองฝั่ง ส่วนเหมียวอี้ก็นำเหยียนซิวเดินออกประตูมา เตรียมจะเดินวนดูโรงเตี๊ยมแห่งนี้สักหน่อย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะได้รู้ว่าจะหนีไปที่ไหนได้สะดวก ผลก็คือพบว่าทุกชั้นมีขนาดเท่ากันหมด ไม่มีอะไรน่าดู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อเดินไปถึงชั้นเก้า ก็ถูกบริกรสองคนมาขวางบันไดไว้แล้ว
“ทั้งสองท่าน ขออภัยด้วย ข้างบนไม่ได้เปิดให้แขกพัก ทั้งสองท่านได้โปรดกลับไป” บริกรคนหนึ่งขวางไว้ ยกมือบอกใบ้ให้กลับไป
เรื่องนี้ไม่สะดวกจะฝืน เหมียวอี้กับเหยียนซิวทำได้เพียงเลี้ยวกลับ ทว่าด้านบนกลับมีเสียงฝีเท้าเดินเบาๆ ขณะเดียวกันก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “มีเรื่องอะไร?”
ทั้งสองได้ยินเสียงแล้วหันกลับไปอีกครั้ง เห็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นบน
เป็นสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดลายดอก เป็นกระโปรงยาวลายดอก มีดวงตาดอกท้อที่หวานฉ่ำเย้ายวนใจ ราวกับดวงตาสามารถพูดได้ หน้าตาสดใส งดงามเป็นที่สุด เดินบิดเอวบางเนิบนาบลงบันไดมา
เหยียนซิวยังดีหน่อย แต่เหมียวอี้กลับจ้องประเมินผู้หญิงคนนั้นจนตะลึงค้าง ไม่น่าเชื่อว่านางจะเป็นคนที่เหมียวอี้รู้จัก ตอนที่เข้าร่วมทดสอบครั้งแรก เขาเคยเจอนางที่ตลาดมืดของสถานที่ไร้ชีวิต นางคือเถ้าแก่เนี้ยฮวาหูเตี๋ยของโรงรับจำนำผีเสื้อ นึกไม่ถึงว่าจะได้บังเอิญมาพบกันที่นี่อีก
ผู้หญิงคนนี้มาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง? พอเหมียวอี้เห็นบริกรสองคนมีท่าทีเคารพต่อฮวาหูเตี๋ย ก็พูดไม่ออกนิดหน่อย อย่าบอกนะว่า ‘โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว’ แห่งนี้คือที่สมคบของตระกูลโค่วที่ตลาดมืด ถ้าใช่จริงๆ แบบนั้นก็บังเอิญเกินไปแล้ว
บริกรสองคนถ่ายทอดเสียงบอกฮวาหูเตี๋ยสองสามประโยค ฮวาหูเตี๋ยที่กำลังจ้องพวกเหมียวอี้พยักหน้าอมยิ้ม
เหมียวอี้หันหน้ากลับมาแล้วพาเหยียนซิวเดินออกมา ครั้งนี้เขามาปฏิบัติภารกิจลับ จึงปลอมตัวแล้ว เชื่อว่าฮวาหูเตี๋ยไม่น่าจะทำเขาได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้สนิทกันสักเท่าไร ยังไม่ถึงขั้นมองแววตากับรูปร่างแล้วจำได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่อยากให้ตระกูลโค่วรู้ว่าเขาพบเห็นเรื่องลับของตระกูลโค่วแล้ว
ขณะมองดูเงาร่างที่เดินลงบันไดไป ฮวาหูเตี๋ยก็หรี่ตาเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางสังเกตเห็นแล้ว ว่าสายตาที่เหมียวอี้มองนางดูมีเลศนัยนิดหน่อย ทำเหมือนรู้จักนาง นี่ก็คือจุดที่นางรู้สึกว่ามีพิรุธ โดยส่วนใหญ่เวลาทำงานอะไรที่ตลาดมืดนางจะไม่ค่อยโผล่หน้าออกไปพบคนอื่น เวลามีอะไรล้วนให้ลูกน้องออกหน้าแทน ถ้าจะออกจากประตูก็จะปลอมตัว คนในตลาดมืดที่สามารถไปมาหาสู่กับนางได้โดยตรงคงจะเป็นคนที่สนิทกันมาก คนที่สามารถจำนางได้ก็คงจะมองออกนิดหน่อยเช่นกัน แต่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็เหมือนนางจะไม่มีภาพอะไรติดอยู่ในความทรงจำเลย
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้มาหลายปีอย่างนาง ไม่ว่าความผิดปกติใดๆ ก็สามารถทำให้นางตื่นตัวระแวดระวังได้
“ดูไว้ให้ดีนะ ช่วงนี้เบื้องบนมีคน ‘ในบ้าน’ มาเข้าพัก อย่าให้ใครไปรบกวน” ฮวาหูเตี๋ยกำชับ
“ขอรับ!” บริกรสองคนเอ่ยรับคำสั่ง
ฮวาหูเตี๋ยหันตัวเดินขึ้นไปบนตึกอีกครั้ง พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าอีก “ไปตรวจสอบหน่อยว่าสองคนเมื่อครู่นี้พักที่ห้องไหน”
“ขอรับ!” มีบริกรคนหนึ่งรีบเดินออกไปทันที
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็ต่างคนต่างส่งลูกน้องคนหนึ่งมาเฝ้าหน้าประตูโรงเตี๊ยม ให้คอยรับลูกน้องคนสำคัญของธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ถ้าไม่ไปรับโรงเตี๊ยมก็จะไม่ให้เข้ามา จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกัน เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้แจกจ่ายแผนที่ของตลาดผีให้ แล้วเริ่มวางแผนงาน โดยสั่งให้กำลังพลห้าพันคนเข้าไปประจำอยู่ในตลาดผี แบ่งกลุ่มห้าคนแยกย้ายกันไปเฝ้าในแต่ละแห่งของตลาดผี เตรียมพร้อมรอภารกิจทุกเมื่อ พยายามทำความเข้าใจเส้นทางและสถานการณ์ของตลาดผีให้เร็วที่สุด
ตอนที่กลุ่มคนแยกย้ายกันไปได้ไม่นาน ฮวาหูเตี๋ยก็เดินเนิบนาบเข้ามาจากปลายทางเดินอีกด้าน เพียงแต่บนใบหน้าปลอมตัวแล้ว ในมือถือถาดอาหาร บนถาดวางสุราอาหารเอาไว้ พอเดินมาตรงหน้าประตูห้องเหมียวอี้ก็เคาะประตู
เมื่อมีความเคลื่อนไหว เหยียนซิวก็ปรากฏตัวจากอีกห้องทันที ถึงแม้อีกฝ่ายจะปลอมตัวแล้ว แต่เครื่องแต่งกายยังไม่ได้เปลี่ยน เหยียนซิวมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่ชั้นบนก่อนหน้านี้ จึงถามเสียงต่ำว่า “ใครกัน มีเรื่องอะไร?”
จ้านหรูอี้ที่อยู่อีกห้องหนึ่งก็เปิดประตูโผล่หน้าออกมาเช่นกัน นางจ้องฮวาหูเตี๋ยอย่างระแวดระวัง
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มพร้อมตอบว่า “ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว นำสุราอาหารมามอบให้แขกชิมโดยไม่คิดเงินค่ะ”
เหมียวอี้ก็เปิดประตูโผล่หน้ามาเช่นกัน พอเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนี้ก็พูดไม่ออกนิดหน่อย ยิ้มตอบว่า “ข้าซาบซึ้งน้ำใจของเถ้าแก่เนี้ยแล้ว” นับว่าเป็นการปฏิเสธอย่างอ้อมๆ
ฮวาหูเตี๋ยชม้ายชายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “แขกผู้มี้เกียรติปฏิเสธกันอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ไร้น้ำใจเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นนางชม้ายชายตาแบบนั้น ในดวงตาจ้านหรูอี้ก็ฉายแววรำคาญ บอกว่า “เขาไม่ต้องการแต่ข้าต้องการ มาส่งที่ห้องข้าแล้วกัน”
ฮวาหูเตี๋ยกลอกตามองบน “เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่น่าสนุกเลย” พูดจบก็ไม่สนใจว่าเหมียวอี้จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เรือนร่างอ่อนช้อยถือโอกาสเบียดเข้าไป เบียดร่างเหมียวอี้เข้าไปข้างในโดยตรง
เหมียวอี้หันตัวกลับมา รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย ดูจากท่าทางของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าจำข้าได้แล้วหรอกนะ?
จ้านหรูอี้กับเหยียนซิวก็ตามเข้ามาเช่นกัน ลูกน้องคนอื่นๆ ก็โผล่หน้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็มองฮวาหูเตี๋ยด้วยสีหน้าระแวง
ฮวาหูเตี๋ยมองทุกคนราวกับไม่มีตัวตน สนใจแต่จัดวางสุราอาหารของตัวเองไป เมื่อวางเสร็จแล้ว ก็นั่งลงแล้วยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง แล้วยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลง
เหมียวอี้ลังเลเล็กน้อย เดินไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ แล้วามว่า “เถ้าแก่เนี้ยมีอะไรจะชี้แนะ?” เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดค่าอาหาร ที่ตลาดผีมีคนทำการค้าที่ใจดีแบบนี้ด้วยเหรอ?
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มอย่างสนิทสนม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงบุ้ยปากไปทางกลุ่มคนที่เบียดอยู่ตรงประตู
เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้พวกจ้านหรูอี้ “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเชื่อฟังมาก พอเห็นท่าทางที่สุขุมมั่นคงของเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีแผนในใจ จึงหันตัวเดินออกไป แต่ในดวงตาจ้านหรูอี้กลับเต็มไปด้วยความระแวง “เหมียวอี้ ระวังจะมีคนเจตนาไม่ดี” นางไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไร
พอมาอยู่ที่นี่ก็เปลี่ยนชื่อแล้ว แต่เหมียวอี้กลับใช้ชื่อจริงของตัวเอง
ฮวาหูเตี๋ยมองเหมียวอี้พร้อมถามอย่างรู้สึกสนใจ “เป็นห่วงเจ้ามากเชียวนะ นางเป็นผู้หญิงของเจ้าเหรอ? แต่ก็ไม่เหมือนนะ ถ้าเป็นผู้หญิงของเจ้าก็ต้องพักอยู่ห้องเดียวกันสิ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้ขาดทุน”
จ้านหรูอี้โดนถามจนเขินอาย แต่โชคดีที่บนใบหน้าใส่หน้ากากอยู่ เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วโบกมืออีกครั้ง “ถอยออกไปก่อน ข้าอยากจะดูว่าเถ้าแก่เนี้ยมีอะไรจะชี้แนะ”
ไม่ฟังคำแนะนำกันเลน! จ้านหรูอี้รู้สึกโกรธนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก หันหน้าพาคนเดินออกไปแล้ว
ฮวาหูเตี๋ยโบกแขนเสื้อปิดประตูห้อง จากนั้นหันกลับมายืนมือเชิญด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “ชิมสุราอาหารของโรงเตี๊ยมเราหน่อยสิ”
บทที่ 1410 นอกเสียจากตระกูลเซี่ยโห้วจะรับรองความปลอดภัย
Ink Stone_Fantasy
สถานที่ที่มีแต่พวกอันธพาลหลอกเอาผลประโยชน์กันแบบนี้ พอเจอหน้าก็จะให้กินของกินแล้วเหรอ? เหมียวอี้จ้องสุราอาหารพลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ได้วางยาพิษใช่มั้ย?”
“จะไปวางยาพิษคนคุ้นเคยได้ยังไง เจ้าว่ามั้ยล่ะ?” ฮวาหูเตี๋ยกล่าวแกมหยอกล้อ
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้จำข้าได้จริงๆ? แต่จากนั้นก็ปิดบังความตกตะลึงของตัวเอง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยเล่นมุขแล้ว พวกเราเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก จะกลายเป็นคนคุ้นเคยกันได้ยังไง ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ คนคุ้นเคยของเถ้าแก่เนี้ยคงจะมีเยอะเกินไปแล้วล่ะ”
ฮวาหูเตี๋ยจับสังเกตอย่างละเอียดมาตลอด สังเกตได้แล้วว่าสีหน้าเขาผิดปกติอยู่แวบหนึ่ง ในใจนางก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น นางฉีกหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองออก แล้วเอียงหน้าไปทางซ้ายทางขวา ราวกับกำลังให้เหมียวอี้ชื่นชม แล้วกระพริบดวงตาที่ฉ่ำวาวพร้อมถามว่า “ไม่รู้จักจริงเหรอ?”
“ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ยอยากจะคบค้าเป็นสหายกัน มาทำความรู้จักกันตอนนี้ก็ยังไม่สาย” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
“พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่คิดจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ข้าดูสักหน่อยเหรอ?” ฮวาหูเตี๋ยถาม
เหมียวอี้ฟังออกแล้ว อีกฝ่ายแค่สงสัยว่ารู้จักหรือเปล่า แต่จำไม่ได้เลยว่าเขาเป็นใคร จึงถามเสียงเรียบว่า “เถ้าแก่เนี้ยพูดแบบนี้เป็นการบีบบังคับกันไปหน่อยหรือเปล่า?”
ฮวาหูเตี๋ยบอกว่า “เป็นศัตรูหรือเป็นสหายก็เปิดเผยมาสักหน่อยเถอะ เรื่องบางเรื่องข้าอยู่ที่นี่แล้วทำตามใจตัวเองไม่ได้ การจะสร้างโรงเตี๊ยมสักหลังที่นี่ไม่ง่ายเลย จะให้โดนทำลายง่ายๆ ไม่ได้ ถ้าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ ก็ทำได้เพียงตัดไฟตั้งแต่ต้นลใม”
นี่เป็นการขู่เข็ญแล้ว ความหมายก็ชัดเจนมาก ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยว่าเป็นศัตรูหรือสหาย เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย นางก็ทำได้เพียงกำจัดพวกเหมียวอี้ทิ้ง นี่คือการเผยพิรุธแล้ว
พูดถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ก็เถียงไม่ออกแล้วเช่นกัน เขาเชื่อว่ากำลังอำนาจที่ตระกูลโค่ววางไว้ที่นี่สามารถทำให้เขาหายไปได้จริงๆ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง อย่างไรเสีย ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นก็ยังสามารถอธิบายให้สอดคล้องกันได้ เขาเคยเจอกับอีกฝ่ายตอนเข้าร่วมการทดสอบ ตอนนี้ถูกจำได้แล้ว แล้วอีกอย่าง เขาก็ไม่ได้อยากทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์จนตัวตาย
ดังนั้น เหมียวอี้ถึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วยกมือฉีกหนังปลอมบนใบหน้าออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ฮวาหูเตี๋ย นึกไม่ถึงว่าเราจะได้มาเจอกันที่นี่ ช่างเป็นพรหมลิขิตจริงๆ”
พอเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ฮวาหูเตี๋ยก็อึ้งทันที เพราะเรื่องที่เหมียวอี้เข้าร่วมการทดสอบจนช่วยคว้าอันดับดีๆ ให้ตระกูลโค่วทำให้นางจดจำเหมียวอี้ได้ค่อนข้างฝั่งแน่นอยู่ในใจ เพื่อเจ้าหนุ่มนี้ นางยังถูกตระกูลโค่วเรียกตัวไปถามด้วย ย่อมจำได้ในทันทีอยู่แล้ว นางถามอย่างประหลาดใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อ? เจ้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาที่นี่ได้?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “บอกไม่ได้”
ฮวาหูเตี๋ยขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่ เจ้าเจอได้ยังไง ตระกูลโค่วบอกเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เป็นความบังเอิญล้วนๆ ถ้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าคงไม่วิ่งขึ้นตึกไปหรอก ใครจะไปรู้ว่าจะบังเอิญมาเจอเจ้าที่นี่พอดี เออใช่ ข้าปลอมตัวแล้ว เจ้ามองออกได้ยังไงว่าข้าเป็นคนรู้จัก?” มีบางคำที่พูดเพียงในใจ ‘เหมือนพวกเราจะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะ’
บังเอิญ? ฮวาหูเตี๋ยสงสัยนิดหน่อยว่ามีเรื่องบังเอิญแบบนี้จริงเหรอ นางตอบว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำตัวแปลกๆ ข้าย่อมต้องทดสอบสักหน่อยอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า เจ้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายดีๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรที่นี่?”
เหมียวอี้ยังคงตอบคำเดิม “บอกไม่ได้!ข้าว่านะฮวาหูเตี๋ย เจ้าคงไม่กำจัดข้าทิ้งจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
ฮวาหูเตี๋ยตอบว่า “คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายถ่อมาที่ร้านค้าของตระกูลโค่ว ใครจะไปรู้ว่าตำหนักสวรรค์ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร ข้าจะกล้าลงมือกับคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายเชียวเหรอ?”
เหมียวอี้คิดตามแล้วเห็นด้วย ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร บางทีอาจจะกำจัดเขาทิ้ง แต่พอเปิดเผยตัวตนแล้ว ตระกูลโค่วก็ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วกับคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่?” ฮวาหูเตี๋ยยังคงถามอีก
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ต้องถามแล้ว บอกแล้วไงว่าบอกไม่ได้”
ฮวาหูเตี๋ยทำท่าครุ่นคิด นางพอจะฟังออกแล้ว ว่ามาทำงานให้ทางการ ในเมื่อเป็นงานของหน่วยองครักษ์ซ้าย เช่นนั้นบางเรื่องนางก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง จึงพยักหน้าแล้วยืนขึ้น โบกมือบอกใบ้ให้กินของที่อยู่บนโต๊ะ “วางใจเถอะ อาหารไม่มียาพิษ กินได้เต็มที่ ข้าจะสั่งพวกบริกรเอาไว้ ถ้ามีอะไรก็ไปหาข้าได้โดยตรง อ่อใช่สิ ตอนนี้ข้าไม่ได้ชื่อฮวาหูเตี๋ยแล้ว ชื่อเหยียนหรูอวี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็อย่าเรียกข้าว่าฮวาหูเตี๋ยอีก”
นางไม่ได้บอกว่าไม่ให้เหมียวอี้เปิดเผยภูมิหลังฐานะของนาง หน่วยองครักษ์ซ้ายออกโรงแล้ว เรื่องบางอย่างนางก็ขัดขวางไม่ได้
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมถามว่า “เช่นนั้นฮวาหูเตี๋ยหรือเหยียนหรูอวี้ที่เป็นชื่อจริงของเจ้าล่ะ หรือว่าไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้าทั้งสองชื่อ?”
“สำหรับคนอย่างพวกข้า ชื่อแซ่สำคัญด้วยเหรอ? เอาล่ะ เจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ” ฮวาหูเตี๋ยไม่พูดอะไรมาก บอกลาทันที เดินออกมาจากประตูห้องแล้ว
เหมียวอี้ยกสุราขึ้นดื่มช้าๆ เขาไม่กลัวว่าอาหารจะมีพิษ เขากำลังครุ่นคิดว่าฮวาหูเตี๋ยจะต้องรายงานเรื่องที่บังเอิญพบเขาให้ตระกูลโค่วรู้แน่ ตอนหลังถ้าตระกูลโค่วมาถามเขา แล้วเขาจะอธิบายอย่างไรล่ะ? ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตระกูลโค่วเรียกได้ว่าปฏิบัติต่อเขาได้ไม่แย่เลย
พอลองเคาะประตูแล้ว เหยียนซิวก็ผลักประตูเข้าไปดู เห็นได้ชัดว่ากลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ เหมียวอี้เพียงส่ายหน้าเบาๆ พอแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร เหยียนซิวก็ถอยออกไป
ผ่านไปไม่นาน จ้านหรูอี้ก็เคาะประตูแล้วเข้ามาอีกแล้ว เข้ามาเองโดยไม่ได้เชิญ มานั่งลงข้างๆ แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นมาหาเจ้าทำไม?”
“ไม่มีอะไร มาสืบกำพืดของจ้า อยากจะรู้ว่าพวกเรามีที่มาที่ไปยังไง” เหมียวอี้ตอบ
จ้านหรูอี้ลองคิดไปคิดมาก็พบว่าน่าจะเป็นแบบนี้ เจอหน้ากันประเดี๋ยวเดียว ต่อให้ชายหญิงจะอยู่กันสองต่อสองแต่ก็ไม่น่าจะทำเรื่องผิดธรรมเนียมอะไรได้ นางมองเหมียวอี้ที่ดื่มสุราไปเยอะ แล้วทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็จากไป
เรื่องราวเป็นอย่างที่เหมียวอี้คาดไว้ หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม โค่วเหวินหลานก็เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขาก่อน บุคคลที่ระดับสูงกว่านั้นของตระกูลโค่วก็ไม่มีใครติดต่อกับเขา เป็นโค่วเหวินหลานที่ติดต่อเขามาตลอด จุดประสงค์ที่ติดต่อมาก็ไม่ใช่อะไร เพียงถามซักไซ้ว่าเหมียวอี้ไปที่โรงเตี๊ยมของตระกูลโค่วที่ตลาดมืดทำไม
เหมียวอี้ปฏิเสธอีกครั้ง เป็นเพราะไม่สะดวกจะพูดจริงๆ แต่ครั้งนี้โค่วเหวินหลานดึงดันจะถามให้ถึงที่สุด ทั้งยังบอกเหตุผลไว้ชัดเจนมาก ว่าถ้าเขาไม่ใช่คนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญไปที่โรงเตี๊ยมของตระกูลโค่วพอดี โค่วเหวินหลานก็จะไม่ยุ่มย่ามแน่นอน แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งตระกูลโค่ว จึงดึงดันจะเอาคำตอบให้ได้
พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว และเหมียวอี้ก็ติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายไว้ไม่น้อยจริงๆ และเข้าใจสาเหตุที่ตระกูลโค่วกังวล อีกฝ่ายกังวลว่าตำหนักสวรรค์กำลังเพ่งเล็งอะไรตระกูลโค่วหรือไม่ หลังจากลังเลซ้ำๆ ในที่สุดเหมียวอ็เปิดเผยจุดประสงค์ที่มาที่นี่ บอกชัดเจนว่าไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่ว ตัวเขาเองบังเอิญมาเจอโรงเตี๊ยมของตระกูลโค่วที่ตลาดมืดจริงๆ ส่วนจำนวนคนและใครบ้างที่มา เหมียวอี้ก็ขออภัยเป็นอย่างสูงที่บอกไม่ได้
ในที่จุดนี้โค่วเหวินหลานแสดงออกว่าเข้าใจ ไม่ได้ถามซักไซ้อีก ตระกูลโค่วเองก็รู้ว่าครั้งนี้ทำให้เหมียวอี้ลำบากแล้ว ถ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้ว่าเหมียวอี้เปิดเผยภารกิจลับต่อตระกูลโค่ว หน่วยองครักษ์ซ้ายก็คงจะเก็บคนประเภทนี้เอาไว้ไม่ได้ ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก รู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้แบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวง นำสิงนี้มาเดิมพันกับความเชื่อใจที่มีให้ตระกูลโค่วแล้ว
ส่วนตระกูลโค่วเองยื่นหมูยื่นแมวแสดงความใจกว้าง โดยโค่วเหวินหลานบอกว่าจะช่วยรักษาความลับให้เหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็บอกว่าถ้าเหมียวอี้พบปัญหาความยุ่งยากอะไรที่ตลาดผี ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือจากฮวาหูเตี๋ยได้โยตรง หรือไม่ก้ติดต่อโค่วเหวินหลานโดยตรงเลยก็ได้ ตระกูลโค่วจะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่
แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็เท่ากับเหมียวอี้ส่งจุดอ่อนที่ใหญ่มากของตัวเองให้ไปอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว ขึ้นเรือโจรของตระกูลโค่วแล้ว ถ้าตระกูลโค่วเปิดโปงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็จะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นเหมือนคนเหาเยอะที่ไม่กลัวคัน ถึงขนาดกลายเป็นหัวโจกของโจรกบฏแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าหลังจากตระกูลโค่วรู้แล้วจะกล้ามาสมคบคิดกับเขาหรือเปล่า
ทางนี้เพิ่งจะติดต่อกับโค่วเหวินหลานเสร็จไม่นาน ฮวาหูเตี๋ยก็มาที่ประตูอีกแล้ว
นางเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา จากนั้นนำระฆังดาราสองอันที่ลงตราอิทธิฤทธิ์แล้ววางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้ “ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นให้ข้าช่วย ก็ติดต่อข้าได้โดยตรงเลย เมื่อเจ้าอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ ข้าจะพยายามรับประกันความปลอดภัยให้”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ อยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้ ตัวเองไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่เลย อาจจะมีจุดที่ต้องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือจริงๆ ก็ได้ จึงไม่อิดออดเล่นตัว ลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดาราสองอันแล้ว ก่อนที่ตัวเองจะเก็บไว้อันหนึ่ง
ฮวาหูเตี๋ยเก็บระฆังดาราอีกอันแล้วออกไปทันที
วันต่อๆ มา จ้านหรูอี้กับเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าอยู่กันเป็นคู่ เดินทางไปทั่วที่ตลาดผี ค้นหาเบาะแสตามลายแทง ทำความคุ้นเคยสภาพพื้นที่และเส้นทางของตลาดผี แต่ยิ่งเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้คลุกคลีกันมาขึ้น เขาก็ยิ่งสังเกตพบความผิดปกติของจ้านหรูอี้ พบว่าบางครั้งผู้หญิงคนนี้ก็แสดงท่าทีกับตนราวกับเป็นสาวน้อย ไม่ได้แข็งกร้าวอีกต่อไป แววตาที่มองตนก็เหมือนจะแปลกไปนิดหน่อยด้วย
การสังเกตเห็นนี้ทำให้เหมียวอี้หวาดระแวงกลังนิดหน่อย เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ที่ยังไม่เบิกสติปัญญาเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว เหมือนจะรู้สึกได้นิดหน่อยว่าจ้านหรูอี้สนิทสนมกับตนเป็นพิเศษ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ หรือไม่ตัวเองก็คิดมากเกินไป แต่เขาหวาดกลัวราวกับอีกฝ่ายเป็นงู เพราะเคยมีประสบการณ์กับหวงฝู่จวินโหรวมาก่อน กับของบางอย่างเขาจึงไม่กล้าไปแตะต้องซี้ซั้วอีก ถ้าทำให้ตระกูลอิ๋งเข้ามาเกี่ยวข้องอีกจริงๆ แค่คิดก็ยังปวดหัวเลย
ดังนั้นจึงไม่สนใจว่านั่นคือแววตาที่จงใจหรือบังเอิญของจ้านหรูอี้ เหมียวอี้แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เขาหลบเลี่ยงนาง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จู่ๆ เหมียวอี้ที่กำลังทำความคุ้นเคยกับตลาดผีก็ได้รับข่าวจากอวิ๋นจือชิว ไม่ต้องตอบเหมียวอี้ก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวมาถึงแล้ว ตั้งแต่อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเหมียวอี้สามารถติดต่อกับไป๋เฟิ่งหวงได้ อวิ๋นจือชิวก็นัดจะเจอเขาสักครั้ง เพื่อคุยเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือนางคิดถึงเหมียวอี้แล้วจริงๆ อยากจะเจอหน้าเหมียวอี้สักหน่อย อยากจะดูว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องบางเรื่องคุยผ่านระฆังดาราแล้วไม่สบายใจ
เหมียวอี้หาข้ออ้างหลบเลี่ยงจ้านหรูอี้ แล้วนำเหยียนซิวกับหยางเจาชิงกลับมาที่โรงเตี๊ยมก่อน ระหว่างทางก็ติดต่อฮวาหูเตี๋ย ให้นางจัดคนของ ‘หน่วยองครักษ์ซ้าย’ ส่งมาที่ห้องของตน
พอกลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ก็พบว่าที่ประตูห้องของตัวเองมีชายชราคนหนึ่งเฝ้าอยู่ ชายชรามาขวางเหมียวอี้เอาไว้แล้ว
เป็นอวิ๋นจือชิวที่มาถึงก่อนแง้มประตูออก บอกว่า “เป็นฝ่ายเดียวกัน ให้เขาเข้ามา เจ้าออกไปก่อน”
ชายชราหลีกทางแล้วถอยออกไป เหยียนซิวกับหยางเจาชิงมารับช่วงต่อเฝ้าประตูไว้ด้วยกัน
พอเดินเข้ามาในประตู เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวที่ปลอมตัวเหมือนกันก็สบตาแล้วยิ้มให้กัน ทั้งสองดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็โผเข้ามากอดเขา ทั้งสองกอดกันแน่นนานมากโดยไม่พูดอะไร
หลังจากผ่านไปนาน เหมียวอี้ก็จูบแก้มนาง แล้วถามว่า “ตาแก่ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้เป็นใคร?”
“คนของลัทธิมาร ท่านปู่ส่งยอดฝีมือบงกชกลายให้มาปกป้องข้า” อวิ๋นจือชิวเงยหน้าพึมพำด้วยสีหน้าดื่มด่ำในความสุข สองแขนคล้องอยู่บนคอเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ เจ้าพักอยู่ที่นี่ปลอดภัยหรือเปล่า ก่อนจะมาข้าถามคนของลัทธิมารมาแล้ว ว่าโรงเตี๊ยมในตลาดผีรับประกันความปลอดภัยไม่ได้”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “น่าจะปลอดภัย จะว่าไปก็บังเอิญ ไม่น่าเชื่อว่าโรงเตี๊ยมนี้จะเป็นของตระกูลโค่ว…” เขาเล่าสถานการณณ์ให้ฟังคร่าวๆ
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะฟังแล้วส่ายหน้า “สถานที่แบบนี้ ตระกูลโค่วรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่ตระกูลโค่วเลย ต่อให้เป็นประมุขชิงก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเช่นกัน ที่โลกใต้ดินแห่งนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ ก็คือตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่เบื้องหลังราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นอกเสียจากจากตระกูลเซี่ยโห้วจะรับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร เจ้าถึงจะปลอดภัยจริงๆ!”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น