เทพปีศาจหวนคืน 1405-1420

บทที่ 1405 ผลาญวิญญาณระเบิดโชค

 

ทะเลทรายตะวันตก


 


มันเป็นเวลากลางคืน ดวงดาวมากมายส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า


 


ในทะเลทราย กลางวันจะร้อนและกลางคืนจะหนาวเย็น


 


ฟางหยวนบินลงสู่เนินทรายไร้นามอย่างนุ่มนวล


 


‘หลังจากบินมานานยังไม่มีคนไล่ล่า ฟงจิวเก้อเป็นคนเดียวที่วังสวรรค์ส่งมางั้นหรือ?’


 


ฟางหยวนสงสัย


 


‘ลืมมันไปก่อน ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำตอนนี้’


 


ฟางหยวนนำไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆออกมาจากมิติช่องว่าง


 


“ต่อไปข้าจะใช้ท่าไม้ตายกับอิงอู๋เซี่ย ระหว่างนี้ความแข็งแกร่งของเราจะลดลง ความปลอดภัยของเราจะอยู่ในมือของพวกเจ้า” ฟางหยวนกล่าวกับไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน เทพธิดาเมี่ยวหยิน และเทพธิดากระต่ายขาว


 


ผู้อมตะทั้งสี่รับทราบและเริ่มออกลาดตระเวนบริเวณรอบๆ


 


ฟางหยวนจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอมตะอย่างระมัดระวัง


 


ฟางหยวนเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล มันไม่ยากที่เขาจะจัดตั้งค่ายกลวิญญาณระดับมนุษย์ แต่เขายังต้องระวังในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอมตะ


 


ค่ายกลวิญญาณอมตะที่ทรงพลังที่สุดของราชันภูเขาม่วงคือค่ายกลวิญญาณแม่น้ำโลหิตสีม่วง แต่น่าเสียดายที่ฟางหยวนไม่มีวิญญาณอมตะที่สามารถใช้เป็นแกนกลาง


 


หากเขาต้องการดัดแปลงค่ายกลวิญญาณอมตะแม่น้ำโลหิตสีม่วง เขาต้องใช้เวลาอนุมานสองถึงสามวัน


 


ด้วยเหตุผลหลายประการ ฟางหยวนจึงเลือกจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอื่น


 


ค่ายกลวิญญาณนี้เพียงพอที่จะป้องกันการโจมตีของศัตรู


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือฟางหยวนต้องแข่งขันกับเวลา


 


วังสวรรค์ยังไม่ส่งคนอื่นออกไล่ล่าเขา นี่ยิ่งทำให้ฟางหยวนกังวลมากขึ้น


 


แน่นอนว่าค่ายกลวิญญาณที่สร้างขึ้นเป็นการชั่วคราวไม่สามารถเปรียบเทียบกับค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ของภาคใต้


 


ในค่ายกลวิญญาณมีเพียงฟางหยวนและอิงอู๋เซี่ย


 


“ท่านผู้นำ เพื่อเป้าหมายของนิกายเงา ข้าจะทำอย่างดีที่สุด!” อิงอู๋เซี่ยเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้


 


ฟางหยวนพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็เริ่มก่อน”


 


อิงอู๋เซี่ยนั่งลงและใช้พลังงานอมตะ


 


ครู่ต่อมาท่าไม้ตายอมตะก็ถูกกระตุ้นการทำงาน


 


ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชค!


 


ทันใดนั้นโชคของอิงอู๋เซี่ยก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกเวียนศีรษะ


 


ท่าไม้ตายนี้ใช้จิตวิญญาณเพื่อเพิ่มโชคของผู้อมตะเป็นการชั่วคราว ดังนั้นเมื่อท่าไม้ตายถูกใช้งาน จิตวิญญาณของอิงอู๋เซี่ยจึงอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก


 


แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะฟางหยวนมีวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนสะสมวิญญาณความเด็ดเดี่ยวเอาไว้มากมาย มันเพียงพอสำหรับเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด


 


อิงอู๋เซี่ยฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้พลังอำนาจของวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


 


อย่างไรก็ตามเขายังสูญเสียร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณไปบางส่วน


 


ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงฟางหยวนและอิงอู๋เซี่ยเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายนี้


 


สำหรับคนอื่นๆ รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของพวกนางอ่อนแอเกินไป


 


ผู้อมตะแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อาจกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถบ่มเพาะได้หลากหลายเส้นทางเช่นฟางหยวน


 


หลังจากอิงอู๋เซี่ยก็ถึงคราวของฟางหยวน


 


เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชค นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายนี้ เขาล้มเหลวสองครั้งก่อนจะประสบความสำเร็จ


 


ฟางหยวนสามารถมองเห็นโชคเหนือศีรษะของเขาพลุ่งพล่านและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


เขาพยักหน้าและแจ้งผมที่หกให้เริ่มหลอมรวมวิญญาณทันที


 


ผมที่หกและอิงอู๋เซี่ยมีโชคที่เชื่อมโยงถึงกัน


 


ทั้งสองเชื่อมโยงโชคกันที่โลกใต้บาดาลของภาคเหนือระหว่างการไล่ล่าของฟางหยวน


 


เพื่อปิดกั้นฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยพยายามทุกวิถีทางเพื่อหนุนเสริมความแข็งแกร่งให้กับผมที่หก โชคเป็นหนึ่งในนั้น


 


การไล่ล่าของฟางหยวนหยุดลงขณะที่ผมที่หกไม่ตายและสามารถกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้อย่างปลอดภัย


 


ตอนนี้ฟางหยวนต้องการใช้การเชื่อมโยงนี้เพื่อเพิ่มโชคให้ผมที่หก


 


ย้อนกลับไปอิงอู๋เซี่ยเคยใช้ท่าไม้ตายนี้เพิ่มโชคให้กับตนเองเพื่อหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่วังสวรรค์ชิงหลอมรวมมันไปก่อน


 


ความพยายามของอิงอู๋เซี่ยในครั้งนั้นช่วยให้ฟางหยวนประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์


 


ฟางหยวนได้รับข้อมูลนี้มาจากราชันภูเขาม่วง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้วิธีเดียวกันในสถานการณ์นี้


 


ท้ายที่สุดแล้วโชคก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการหลอมรวมวิญญาณ


 


มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


ในอดีตเพราะความโชคดีของเทพอมตะตะวันเดือด บรรพชนผมยาวจึงประสบความสำเร็จในการสร้างวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง


 


วิญญาณอมตะสัมผัสแห่งเต๋า!


 


หลังจากใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชค ฟางหยวนตรวจสอบร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของตน


 


เขาพบว่ารากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาตกต่ำลงมาก


 


หลังจากใช้ภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปบ่มเพาะจิตวิญญาณ ฟางหยวนได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


แต่ด้วยการใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชค ความพยายามที่ผ่านมาของเขาหายไปแทบทั้งหมด


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่เสียดาย เขาสามารถบ่มเพาะใหม่ในภายหลัง แต่หากเขาเสียชีวิตตอนนี้ ทุกอย่างจะจบสิ้น


 


สำหรับผู้อมตะคนอื่นๆเช่นไป่หนิงปิง พวกนางมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณไม่เพียงพอที่จะใช้ท่าไม้ตายนี้


 


ฟางหยวนคิดก่อนถามอิงอู๋เซี่ย “ด้วยรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเจ้า เจ้าสามารถใช้ท่าไม้ตายนี้ได้กี่ครั้ง?”


 


อิงอู๋เซี่ยตอบ “ข้าสามารถใช้มันได้อีกสองครั้ง แต่ท่านผู้นำมีมรดกของท่านสีม่วง ท่านควรรู้ว่าคนผู้หนึ่งไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชคซ้ำๆ แม้จะใช้มันอีกครั้ง ผลลัพธ์ของมันก็จะไม่เพิ่มขึ้น”


 


ฟางหยวนพยักหน้า “ข้าเพียงถาม”


 


เขารู้สึกชื่นชมเทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก


 


แม้อิงอู๋เซี่ยเป็นเพียงร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ แต่เขาก็มีรากฐานที่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชคได้ถึงสี่ครั้ง


 


เทพปีศาจจิตวิญญาณสมกับเป็นผู้อมตะระดับเก้าในตำนานและเป็นผู้สร้างเส้นทางแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาบนโลกใบนี้อย่างแท้จริง


 


“ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชคถูกใช้ไปแล้ว นี่คือทั้งหมดที่เราสามารถทำได้ ไปกันเถอะ” ฟางหยวนลุกขึ้น


 


ในไม่ช้าค่ายกลวิญญาณก็ถูกเก็บกลับเข้าไปในมิติช่องว่างของฟางหยวนก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางอีกครั้ง


 


พวกเขาต้องเดินทางต่อไป


 


วังสวรรค์รู้ตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขาและจะส่งผู้อมตะมาหาพวกเขาขณะเดียวกันเจตจำนงสวรรค์ก็กำลังวางแผนการของมัน


 


หากฟางหยวนและคนอื่นๆอยู่ในสถานที่เดิมเป็นเวลานาน พวกเขาจะพบปัญหามากมาย


 


…..


 


ในสวรรค์สีขาว


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดบินขึ้นไป


 


ขณะเดียวกันคฤหาสน์วิญญาณอมตะของวังสวรรค์ก็กำลังไล่ล่ามันมาอย่างไม่ลดละ


 


“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดถึงขีดจำกัดของมันแล้ว”


 


“ถูกต้อง มันอดทนได้ดีมาก”


 


“เอาล่ะ การเคลื่อนไหวนี้จะทำให้เจ้าได้พักผ่อน”


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะยิงลำแสงสีทองออกไป


 


แสงสีทองพุ่งเข้าโจมตีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


ร่างของมันถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงสีทอง นี่ทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลง


 


แต่ในวินาทีต่อมากลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น


 


เมฆสีขาวก่อตัวขึ้นบนเส้นทางที่อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดร่วงหล่นลงไป


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดตกลงไปในก้อนเมฆและหายตัวไปที่นั่น


 


“โอ้ ไม่ นี่คือเมฆขาวดำ!”


 


“หยุดการโจมตีเร็ว อย่าทำลายเมฆก้อนนี้!”


 


สองผู้อมตะจากวังสวรรค์อุทานด้วยความตกใจ แต่มันสายไปแล้ว ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดหายเข้าไปกลุ่มเมฆขณะที่ลำแสงสีทองพุ่งปะทะก้อนเมฆโดยตรง


 


เมฆสีขาวเปลี่ยนเป็นสีทอง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้มันจะร่วงลงจากอากาศ


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่ลำแสงสีทองจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะหยุดลง


 


แต่การแสดงออกของสองผู้อมตะจากวังสวรรค์เปลี่ยนเป็นตกตะลึง


 


“นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร?”


 


“มันบังเอิญเกินไปหรือไม่?”


 


“เมฆขาวดำสามารถเคลื่อนที่ไปมาระหว่างสวรรค์ทั้งสอง”


 


“ผู้ใดจะคิดว่ามันจะปรากฏขึ้นที่นี่”


 


“โชคร้ายนัก!”


 


สองผู้อมตะจากวังสวรรค์แทบคลั่ง พวกเขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากกับภารกิจนี้และต้องจ่ายด้วยพลังงานอมตะจำนวนมหาศาล


 


“ไล่ล่า!”


 


“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายสายตรวจสอบของเรา เราจะข้ามกำแพงพลังงานและกลับสู่สวรรค์สีดำ!”


 


“ถูกต้อง นี่เป็นภารกิจแรกของเราหลังจากเข้าสู่วังสวรรค์ เราจะล้มเหลวไม่ได้! แม้เราจะต้องไล่ล่ามันไปจนสุดขอบโลก เราก็ต้องจับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดตัวนี้ให้ได้!”

 

 

 


บทที่ 1406 หลอมรวมวิญญาณอมตะรักตัวเอง

 

“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดหนีไปได้จริงๆ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” ในวังสวรรค์ เทพธิดาจื่อเว่ยใช้กระดานหมากรุกกลุ่มดาวสังเกตสถานการณ์ในสวรรค์สีขาว


 


นางขมวดคิ้วก่อนที่ดวงตาของนางจะส่องประกายขึ้น


 


“โชค”


 


นางคาดเดา


 


นางนึกถึงวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง ฟางหยวนทำลายมันและอาจได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือด


 


“น่าเสียดายที่วิธีการของข้าสามารถค้นหาตำแหน่งของฟางหยวนเท่านั้น มันไม่สามารถแสดงภาพสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยถอนหายใจและใช้กระดานหมากรุกกลุ่มดาวอีกครั้ง


 


ในเวลาต่อมาฉากของสายธารแห่งกาลเวลาก็ปรากฏขึ้น


 


ฟงจิวเก้อและหงซื่อบินไปยังสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาที่อยู่ใกล้ที่สุด


 


“สาขาของสายธารแห่งกาลเวลานี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่มันเพียงพอให้เจ้าออกไป” หงซื่อชี้นิ้วไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อส่งเจ้าออกไป อย่าต่อต้าน”


 


ฟงจิวเก้อพยักหน้าและป้องหมัดขึ้น “ต้องรบกวนแล้ว”


 


หงซื่อกำลังจะกล่าวต่อแต่ในจังหวะนี้การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไป


 


“อสูรปีแรกกำเนิดตัวนั้นงั้นหรือ?” การแสดงออกของฟงจิวเก้อเปลี่ยนไปเช่นกัน


 


“ไม่!” หงซื่อมองไปข้างหน้าที่เต็มไปด้วยหมอกอันหนาทึบ


 


“แปลก เหตุใดถึงมีหมอกอยู่ที่นี่?” ฟงจิวเก้อขมวดคิ้ว


 


หงซื่อตื่นเต้นมาก “หมอกนี้ อย่าบอกข้าว่า…”


 


ในเวลานี้ทั้งสองเริ่มเห็นเงาปรากฏขึ้นในสายหมอก


 


ร่างที่คลุมเครือถูกบดบังและไม่สามารถระบุตัวตน


 


การแสดงออกของหงซื่อดูตื่นเต้นมากขึ้นขณะที่ฟงจิวเก้อรู้สึกสับสน


 


ในไม่ช้าหมอกบางส่วนก็เคลื่อนตัวออกไปและเผยให้เห็นส่วนหนึ่งของเงาขนาดใหญ่ ในที่สุดฟงจิวเก้อก็เห็นว่ามันคือสิ่งใด


 


“ที่นี่มีเกาะด้วยงั้นหรือ?”


 


“ถูกต้อง มันคือเกาะบัวหิน! ตำนานกล่าวว่ามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงอยู่ที่นี่!” หงซื่อกล่าวเสียงสั่น


 


แม้เทพปีศาจบัวแดงจะเป็นศัตรูกับวังสวรรค์แต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งกาลเวลาอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงย่อมดึงดูดความโลภของผู้คนได้อย่างง่ายดาย


 


“รออยู่ที่นี่ ข้าจะกลับมาในไม่ช้า” หงซื่อกล่าวก่อนจะบินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


อย่างไรก็ตามหมอกดูเหมือนจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของหงซื่อ เมื่อหงซื่อเข้าไปใกล้ มันก็ถอยห่างออกไป


 


หงซื่อไม่สามารถลดระยะทาง ตรงข้ามมันกลับยาวไกลขึ้น


 


ครู่ต่อมาหมอกก็หายไปพร้อมกับเกาะหินลึกลับ


 


หงซื่อกลับมาด้วยความผิดหวัง การแสดงออกของเขากลายเป็นน่าเกลียด


 


กระทั่งเทพธิดาจื่อเว่ยที่เฝ้ามองอยู่ยังรู้สึกผิดหวัง


 


แต่ไม่นานนางก็ขมวดคิ้ว


 


นางตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด ‘เหตุใดเกาะบัวหินถึงปรากฏขึ้น? เป็นเพราะฟางหยวนทำลายสาขาของสายธารแห่งกาลเวลางั้นหรือ? แต่หงซื่อและฟงจิวเก้อคลาดกับมันไปแล้ว สิ่งสำคัญคือผู้ใดที่ต้องการเข้าไปในเกาะบัวหิน พวกเขาจำเป็นต้องมีวิญญาณกาลเวลา’


 


…..


 


ภาคใต้ ตระกูลวู


 


ค่ายกลวิญญาณถูกสร้างขึ้น


 


วูหยงยืนอยู่ด้านหน้าค่ายกลวิญญาณและเฝ้ามองด้วยความพึงพอใจ


 


ผู้อาวุโสสูงสุดผู้หนึ่งของตระกูลวูกล่าวมาจากด้านข้าง “ผู้อาวุโสวูเป่ย เราทำให้ท่านลำบากแล้ว”


 


“มันเป็นหน้าที่ของข้า มันไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย” ผู้อาวุโสวูเป่ยกล่าวอย่างสุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน


 


เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลของตระกูลวู


 


ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่ถูกส่งไปดูแลค่ายกลวิญญาณของภาคใต้แทนฟางหยวน


 


หลังการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน ฟางหยวนกลับมาจากภาคเหนือและวางแผนส่งวูเป่ยออกมาเพื่อที่เขาจะได้กลับเข้าไปในค่ายกลวิญญาณของภาคใต้อีกครั้ง


 


วูเป่ยสามารถหลบหนีจากอันตรายในการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝันได้ด้วยวิธีนี้


 


ในการต่อสู้ครั้งนั้น ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ กระทั่งวิญญาณอมตะที่พวกเขาใช้สร้างค่ายกลวิญญาณก็ถูกยึดครองโดยวังสวรรค์


 


อย่างไรก็ตามไม่นานมานี้วูหยงได้ทำข้อตกลงกับวังสวรรค์ เขาปล่อยฟงจิวเก้อและรับวิญญาณอมตะกลับคืน


 


วูหยงส่งคืนวิญญาณอมตะทั้งหมดกลับสู่มือเจ้าของ


 


การกระทำนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาพุ่งสู่จุดสูงสุด


 


กองกำลังต่างๆของภาคใต้ต้องขอบคุณวูหยงและรู้สึกซาบซึ้งใจกับเรื่องนี้


 


นอกจากวูหยงจะเปิดเผยคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบ้านไม้ไผ่สายลม เขายังแสดงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ที่ค่ายกลวิญญาณแม่น้ำโลหิตสีม่วง นี่ทำให้กองกำลังทั้งหมดของภาคใต้รู้สึกวิตกกังวล


 


ดังนั้นแม้วูหยงจะไม่สามารถกำจัดสมาชิกที่เหลืออยู่ของนิกายเงา แต่สถานะของตระกูลวูก็เปลี่ยนไปมาก


 


กองกำลังที่บุกยึดครองแหล่งทรัพยากรของตระกูลวูจากก่อนหน้านี้ถอยกลับและยังต้องจ่ายค่าชดเชย


 


ตระกูลเฉียวเป็นกองกำลังย่อยของตระกูลวู ดังนั้นแหล่งทรัพยากรของพวกเขาที่ถูกยึดครองโดยตระกูลปาและตระกูลเซี่ยก็ถูกส่งคืนเพราะชื่อเสียงของตระกูลวูเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามวูหยงยังไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์ดังกล่าว หลังจากกลับมาเขาพยายามควบคุมสถานการณ์และทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์มากขึ้น


 


แต่กองกำลังอื่นไม่ได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า พวกเขายังสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง


 


หลังจากทั้งหมดการสูญเสียของตระกูลวูรุนแรงเกินไป


 


พวกเขาสูญเสียวิญญาณอมตะไปหลายดวง ฟางหยวนฉกชิงวิญญาณอมตะหกดวงและหินวิญญาณอมตะอีกหนึ่งแสนก้อนไปจากพวกเขา


 


แต่ตระกูลวูไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป


 


วูหยงต้องการชดเชยความสูญเสียของเขาจากกองกำลังอื่น แต่เขายังไม่ลือวายร้ายฟางหยวน!


 


ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้คำสั่งของวูหยง วูเป่ยเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนั้นพวกเขายังขอความช่วยเหลือจากผู้อมตะตระกูลจื่อ


 


“เอาล่ะ ลงมือได้” ดวงตาของวูหยงส่องประกายขึ้นขณะที่เขาออกคำสั่งวูเป่ย


 


หัวใจของวูเป่ยสั่นสะท้านขึ้นเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความโกรธและความเกลียดชังภายใต้การแสดงออกที่สงบนิ่งของวูหยง


 


‘ผู้ใดจะคิดว่าวูอี้ไห่จะเป็นคนหลอกลวง ฮืม เขาช่างกล้าหาญนัก เขากล้าหลอกตระกูลวู! เราจะแสดงให้เจ้าเห็นตอนนี้ว่าตระกูลวูไม่สามารถยั่วยุ!’ วูเป่ยคิดขณะกระตุ้นใช้งานค่ายกลวิญญาณ


 


ค่ายกลวิญญาณนี้เป็นค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งปฐพีที่ใช้ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของฟางหยวนในการจัดตั้ง


 


หน้าที่ของมันคือการสร้างปัญญาให้ฟางหยวน มันเหมือนท่าไม้ตายของวูหยงที่เขาใช้โจมตีฟางหยวนมาก่อนหน้านี้


 


แต่ค่ายกลวิญญาณสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง


 


“ทำต่อไป” วูหยงกล่าว


 


วูเป่ยพยักหน้า


 


วูหยงต้องการเจรจากับฟางหยวน


 


อย่าลืมว่าวิญญาณอมตะของตระกูลวูยังอยู่ในมือของฟางหยวน


 


แน่นอนว่าวูหยงต้องการนำพวกมันกลับมา


 


แม้ฟางหยวนจะหนีไปที่ทะเลทรายตะวันตก วูหยงก็ยังไม่ยอมแพ้


 


‘เกราะหวนคืนของฟางหยวนทรงพลังเกินไป แต่ท่าไม้ตายนี้ต้องใช้พลังจิตและพลังงานอมตะจำนวนมาก ฟางหยวนจะสามารถใช้งานมันตลอดเวลาได้อย่างไร?’


 


‘ด้วยค่ายกลวิญญาณนี้ เราสามารถโจมตีหรือหยุดได้ทุกเมื่อตามต้องการ’


 


‘ปล่อยให้เขาทรมานก่อนที่เราจะเจรจา’


 


วูหยงวางแผน


 


ขณะที่ค่ายกลวิญญาณถูกกระตุ้นใช้งาน พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน


 


“ครืน…”


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


“เหตุใดถึงเกิดแผ่นดินไหว? ผู้อมตะบางคนกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติงั้นหรือ?”


 


“นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติ เส้นโลหิตปฐพีกำลังสั่นสะเทือน นี่มันรุนแรงกว่าแผ่นดินไหวทั่วไป!”


 


“โอ้ ไม่ ผู้อาวุโสวูเป่ย!”


 


ผู้อมตะตระกูลวูอ้าปากค้างเมื่อตระหนักถึงบางสิ่ง


 


“บึม!”


 


ค่ายกลวิญญาณระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง วูเป่ยกระอักเลือดออกมาและล้มลงหมดสติอยู่บนพื้น


 


…..


 


ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


ร่างกายของผมที่หกเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ มันเป็นภาพที่ดูน่าอนาถเล็กน้อย


 


“ขั้นตอนสุดท้าย!” ดวงตาของผมที่หกกลายเป็นสีแดง


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาได้ยินและเร่งส่งมอบทรัพยากรอมตะให้ผมที่หก


 


แม้เขาจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายหลางหยา แต่เนื่องจากฟางหยวนขอให้ผมที่หกเป็นผู้หลอมรวม จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจึงต้องปฏิบัติตาม


 


ดังนั้นเขาจึงไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือผมที่หก


 


“ติ๊ง!”


 


เสียงที่คมชัดดังออกมาจากกองไฟ


 


ไม่นานมันก็หยุดพร้อมกับกองไฟที่ดับมอดลง ตอนนี้เหลือเพียงก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางอากาศ


 


ผมที่หกสูดหายใจและพึมพำ “ออกมา วิญญาณอมตะรักตัวเองระดับเจ็ด!”


 


“แคร็ก!”


 


รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขณะที่วิญญาณอมตะบินออกมา


 


การหลอมรวมวิญญาณอมตะรักตัวเองระดับเจ็ดประสบความสำเร็จในที่สุด!

 

 

 


บทที่ 1407 ออกจากตระกูลวูอย่างสมบูรณ์

 

วิญญาณอมตะรักตัวเองระดับเจ็ด


 


ฟางหยวนถือวิญญาณอมตะดวงนี้ไว้ในมือด้วยความยินดี


 


มันไม่สูญเปล่าที่เขาใช้รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณแทบทั้งหมดของเขา


 


หลังจากทั้งหมดโชคสามารถช่วยให้ผู้อมตะก้าวไปถึงระดับเก้า


 


“ข้ามีวิญญาณอมตะโชคอึสุนัขและยังเชื่อมโยงโชคกับผู้โชคดีเย่ฟาน หงอี้ และฮันหลี่ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชคสองครั้ง โชคของข้าก็พุ่งถึงจุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”


 


“ไม่แปลกใจเลยที่การหลอมรวมวิญญาณอมตะรักตัวเองประสบความสำเร็จ”


 


วิญญาณอมตะรักตัวเองถูกส่งมาให้ฟางหยวนโดยผ่านสวรรค์สีเหลือง


 


สวรรค์สีเหลืองเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย


 


มันไม่เห็นก่อนหน้าอีกต่อไป


 


เนื่องจากสถานการณ์การขนส่งวิญญาณอมตะผ่านสวรรค์สีเหลืองเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว พวกเขาจึงไม่ตกใจอีก


 


“นี่คือวิญญาณอมตะรักตัวเองงั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงถาม


 


อิงอู๋เซี่ยชิงตอบ “แน่นอน! วิญญาณอมตะดวงนี้มาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ด้วยวิญญาณอมตะดวงนี้ เราสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเอง เราไม่ต้องกลัวท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบใดๆอีกต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่า”


 


อิงอู๋เซี่ยยกมือขึ้นเท้าเอวและหัวเราะเสียงดัง


 


ปัจจุบันอิงอู๋เซี่ยอยู่ในร่างของเทพธิดาซุ้ยป๋อพร้อมหน้าอกที่ใหญ่โตและใบหน้าที่งดงามแต่เขากลับอ้าปากกว้างหัวเราะราวกับวัยรุ่นเลือดร้อนที่โง่เขลา มันจึงดูค่อนข้างน่าขัน


 


ไป่หนิงปิงส่ายศีรษะและรู้สึกสงสารอิงอู๋เซี่ยเล็กน้อย


 


“ถูกต้อง วิญญาณอมตะรักตัวเองเป็นแกนกลางของท่าไม้ตายอมตะ ท่าไม้ตายนี้สามารถชำระล้างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ไม่พึงประสงค์บนร่างกายของผู้อมตะไม่ว่าจะเกิดจากท่าไม้ตายสายตรวจสอบหรือข้อตกลงพันธมิตร ตราบเท่าที่สิ่งเหล่านั้นเป็นอันตรายต่อเรา พวกมันจะถูกชำระล้างออกไป” ฟางหยวนอธิบาย


 


ดวงตาของไห่ลั่วหลันส่องประกายขึ้น นางคิด ‘นี่หมายความว่าท่าไม้ตายนี้สามารถทำลายข้อตกลงพันธมิตรของข้ากับนิกายเงางั้นหรือ?’


 


นางมองเห็นความหวัง


 


นางไม่ได้เข้าร่วมนิกายเงาด้วยความเต็มใจ นางต้องการจากไปแต่ยังไม่มีหนทาง


 


ฟางหยวนกล่าวต่อ “ใช้วิญญาณอมตะรักตัวเองกำจัดท่าไม้ตายสายตรวจสอบก่อนเป็นอันดับแรก”


 


พวกเขาเลือกทิศทางแบบสุ่มและเดินทางต่อไปหนึ่งแสนลี้ก่อนจะหยุดที่เนินทรายแห่งหนึ่ง


 


ฟางหยวนเริ่มใช้ท่าไม้ตายนี้ขณะที่อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆเฝ้าระวังสภาพแวดล้อม


 


วิญญาณอมตะรักตัวเองลอยอยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิก่อนที่วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากจะถูกกระตุ้นใช้งาน


 


นี่เป็นขั้นตอนแรกในการชำระล้างตัวเอง


 


ต่อไปฟางหยวนเริ่มกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะที่ได้รับจากราชันภูเขาม่วง


 


ส่วนใหญ่เป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งปัญญา


 


ดวงแรกเป็นวิญญาณอมตะระดับหกแต่กระทั่งวิญญาณอมตะระดับหกก็เป็นเรื่องยากมากแล้วที่จะควบคุมโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณอมตะระดับเจ็ด


 


หลังจากรอสักครู่ฟางหยวนก็กระตุ้นใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ดดวงที่สอง


 


แต่เมื่อถึงดวงที่สาม เขากลับล้มเหลว


 


ฟางหยวนกระอักเลือดออกมาจากปาก


 


บุรุษคนก่อนหน้า!


 


เมื่อใช้วิญญาณอมตะดวงนี้อาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปกติ


 


แต่ท่าไม้ตายล้มเหลว เขาต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก


 


ฟางหยวนและคนอื่นๆเก็บของและออกจากสถานที่แห่งนี้


 


พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเกินไป พวกเขาจำเป็นต้องเดินทางต่อไปเพื่อไม่ให้วังสวรรค์และเจตจำนงสวรรค์สามารถจัดการพวกเขาได้โดยง่าย


 


ระหว่างทางฟางหยวนคิดและรวบรวมประสบการณ์ของเขา


 


พวกเขาทั้งหมดต้องใช้ท่าไม้ตายนี้ นี่คือกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาของพวกเขา


 


เมื่อล้มเหลว พวกเขาจะจากไป ระหว่างทางฟางหยวนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตนกระทั่งครั้งที่สี่ในที่สุดฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดชำระล้างตัวเอง


 


มันไม่ง่ายเลย!


 


ธารแสงไหลเข้าสู่ร่างกายและจิตใจของฟางหยวน


 


“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากใช้ท่าไม้ตายนี้ อิงอู๋เซี่ยเร่งถาม


 


ผู้อมตะคนอื่นๆก็กำลังเฝ้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะสัมผัสแห่งเต๋าตรวจสอบตนเอง


 


แต่ผลที่ได้กลับไม่น่าพอใจ


 


“เราพบปัญหาแล้ว” การแสดงออกของเขาเปลี่ยนเป็นน่ากลัว


 


…..


 


ภาคใต้


 


วูหยงมองไปที่หลุมขนาดใหญ่ด้วยการแสดงออกที่มืดครึ้ม


 


‘เหตุใดถึงเกิดแผ่นดินไหวอย่างกะทันหัน?’


 


‘ค่ายกลวิญญาณนี้ใช้ประโยชน์จากเส้นโลหิตปฐพี มีโอกาสจะเกิดแผ่นดินไหวเพียงหนึ่งในหมื่น แล้วผู้ใดจะคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในเวลานี้’


 


‘โชคดีที่ข้าสามารถกอบกู้ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของฟางหยวนได้ทันเวลา แต่เราสูญเสียวิญญาณอมตะระดับหกในกระบวนการนี้’


 


วูหยงคิดถึงเรื่องนี้และรู้สึกเกลียดชังฟางหยวนมากขึ้นไปอีก


 


“ท่านวูหยง มีบางอย่างผิดปกติ” เป็นเพียงเวลานี้ที่วูฝาเปิดปากกล่าว “แผ่นดินไหวไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่เท่านั้นแต่มันยังเกิดขึ้นที่ตระกูลไท่ ตระกูลอี้ ตระกูลช่าย ตระกูลจื่อ และพื้นที่อื่นๆทั้งหมด”


 


คิ้วของวูหยงขมวดลึก “เจ้าหมายความว่าแผ่นดินไหวทั่วทั้งภาคใต้งั้นหรือ?”


 


“ควรจะเป็นเช่นนั้น” วูฝาขมวดคิ้วเช่นกัน


 


เส้นโลหิตปฐพีมีความสำคัญมาก แผ่นดินไหวลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภาคใต้


 


มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกติอย่างแท้จริง


 


“หือ!?” ทันใดนั้นวิญญาณสองดวงที่อยู่ในมือของวูหยงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พวกมันถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์!


 


วูหยงตกใจมาก “ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของฟางหยวนถูกทำลาย? เขาใช้วิธีบางอย่างกับมันงั้นหรือ?”

 

 

 


บทที่ 1408 แยกไม่ออก

 

ในวันนี้ผู้คนทั้งหมดของภาคใต้ต่างตื่นตระหนกและตกใจ


 


เส้นโลหิตปฐพีเกิดการสั่นสะเทือนทำให้สถานที่สำคัญหลายแห่งถูกทำลาย


 


มนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเสียชีวิต กองกำลังต่างๆพบความสูญเสียที่ไม่คาดคิด


 


แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดของภาคใต้สงบลง


 


พวกเขาละทิ้งความขัดแย้งและเริ่มตรวจสอบสาเหตุของความโกลาหลดังกล่าว


 


อาจกล่าวได้ว่าตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องเช่นนี้ขึ้น


 


โลกของผู้อมตะภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะ ฝ่ายปีศาจ หรือผู้บ่มเพาะสันโดษ พวกเขาต่างสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุของความปั่นป่วนครั้งนี้


 


“สัญญาณของยุคที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นแล้ว” ฟางหยวนที่อยู่ในทะเลทรายตะวันตกได้รับข้อมูลของภาคใต้เช่นกัน


 


ในเวลานี้พวกเขาต้องออกเดินทางอีกครั้ง


 


ราตรีล่วงไปเมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณส่องสว่างขึ้นที่ขอบฟ้า


 


ในไม่ช้าดวงอาทิตย์ก็ขึ้นและทำให้โลกกลับมาสดใส


 


ฟางหยวนในชุดคลุมขาวมองไปที่ดวงอาทิตย์ด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง


 


เปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ที่สว่างไสว อนาคตของเขายังคงมืดมน


 


ในอดีตเขาถูกขังอยู่ในความมืดแต่หลังจากได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับยุคที่ยิ่งใหญ่


 


ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง


 


สิ่งนี้แตกต่างจากชีวิตแรกของเขา ในช่วงชีวิตแรกของฟางหยวน เทพปีศาจจิตวิญญาณประสบความสำเร็จในการท้าทายโชคชะตา เขาสามารถต่อต้านวังสวรรค์และเจตจำนงสวรรค์ สุดท้ายยังสามารถเลือนเวลาของยุคที่ยิ่งใหญ่ออกไปถึงห้าร้อยปี


 


เจตจำนงสวรรค์ถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ดังนั้นมันจึงต้องเสี่ยงใช้ฟางหยวนเป็นเครื่องมือและส่งเขากลับมาในอดีตโดยใช้วิญญาณกาลเวลาเพื่อขัดขวางแผนการของนิกายเงา


 


แน่นอนว่าฟางหยวนประสบความสำเร็จ


 


ด้วยวิธีนี้โลกทั้งใบจึงกลับสู่เส้นทางเดิมของมัน


 


โดยปราศจากนิกายเงาและเทพปีศาจจิตวิญญาณ ยุคที่ยิ่งใหญ่จะมาถึงอย่างรวดเร็ว


 


แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแห่งยุคที่ยิ่งใหญ่นี้


 


‘ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง กำแพงภูมิภาคจะหายไป แต่ก่อนหน้านี้เส้นโลหิตปฐพีของทั้งห้าภูมิภาคจะรวมเป็นหนึ่ง’


 


‘หลังจากนี้แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงภาคใต้ แต่อีกสี่ภูมิภาคก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เดียวกัน’


 


‘เหตุผลที่ภาคใต้เกิดขึ้นก่อนเพราะภาคใต้มีเส้นโลหิตปฐพีอยู่มากที่สุด เมื่อยุคที่ยิ่งใหญ่มาถึง โลกทั้งใบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วงแรกของยุคนี้จะสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่’


 


ฟางหยวนไตร่ตรอง


 


ยุคที่ยิ่งใหญ่ขัดขวางแผนการเดิมของเขา


 


ตามแผนเดิมของเขา เขามีเวลาอีกมากมาย


 


ฟางหยวนยังสามารถบ่มเพาะและใช้อาณาจักรแห่งความฝันเพื่อเสริมสร้างรากฐานให้กับตนเอง เมื่อสงครามห้าภูมิภาคเริ่มขึ้นในยุคที่ยิ่งใหญ่ เขาจะกลายเป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีรากฐานที่ลึกล้ำ แม้เขาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ในทุกเส้นทางแต่อย่างน้อยมันก็ใกล้เคียง


 


ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับประโยชน์สูงสุดในสงครามห้าภูมิภาค


 


แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว


 


ยุคที่ยิ่งใหญ่มาถึงเร็วเกินไป แผนการของฟางหยวนถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์


 


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกไล่ล่าโดยวังสวรรค์และเจตจำนงสวรรค์ เขาต้องวิ่งหนีทุกนาทีและระวังตัวตลอดเวลา ศัตรูที่แข็งแกร่งสามารถปรากฏตัวขึ้นได้เสมอ


 


‘นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่’


 


‘ตอนนี้มีเพียงข้า วังสวรรค์ นิกายเงา และกองกำลังอื่นอีกสองสามแห่งเท่านั้นที่รู้ความจริงเบื้องหลังการสั่นสะเทือนของเส้นโลหิตปฐพีในครั้งนี้’


 


‘อย่างไรก็ตามผู้อมตะคนอื่นๆไม่ได้โง่เขลา หลังจากตรวจสอบ พวกเขาจะรู้ความจริงในไม่ช้า’


 


‘หลังจากนั้นทุกคนจะเข้าใจตรงกันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้’


 


‘เห้อ…ความได้เปรียบของการกำเนิดใหม่ของข้ากำลังลดน้อยลงอีกครั้ง’


 


‘หากไม่ใช่เพราะการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน ข้าก็ยังสามารถใช้ตัวตนของวูอี้ไห่ต่อไป แผ่นดินไหวที่ภาคใต้จะทำให้สัตว์อสูรและพืชอสูรหายากปรากฏตัวขึ้น’


 


‘นี่เป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยม กองกำลังทั้งหมดจะต่อสู้เพื่อพวกมัน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำในทั้งห้าภูมิภาค แต่ภาคใต้จะได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะเส้นโลหิตปฐพีของภาคใต้มีรากฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันเหมือนคลังสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด สำหรับภูมิภาคที่น่าสงสารที่สุดคือทะเลตะวันออก เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดจากเส้นโลหิตปฐพี ทะเลตะวันออกจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้น้อยที่สุด’


 


ฟางหยวนจำเรื่องเหล่านี้ได้


 


ทะเลตะวันออกมีทรัพยากรมากที่สุดในห้าภูมิภาคมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ผู้อมตะภูมิภาคอื่นจึงยินดีแบกรับความเสี่ยงเพื่อไปสำรวจมัน


 


อย่างไรก็ตามทะเลตะวันออกกลับได้รับประโยชน์น้อยที่สุดจากการสั่นสะเทือนของเส้นโลหิตปฐพี


 


มีทฤษฎีจากชีวิตแรกของฟางหยวนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามันเป็นของขวัญจากสวรรค์พิภพเพื่อสร้างสมดุลให้กับห้าภูมิภาค


 


หากฟางหยวนยังสามารถใช้ตัวตนของวูอี้ไห่ เขาจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล ด้วยความทรงจำของเขา เขารู้แหล่งทรัพยากรเกิดใหม่มากมายรวมถึงวิญญาณอมตะ!


 


โชคไม่ดีที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับของขวัญเหล่านี้


 


ฟางหยวนรู้สึกเสียดายแต่เขาไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ช่วยเขาเอาไว้


 


เนื่องจากการสั่นสะเทือนของเส้นโลหิตปฐพี ค่ายกลวิญญาณของตระกูลวูจึงถูกทำลายย แผนการของวูหยงล้มเหลว ขณะที่ฟางหยวนรอดพ้นวิกฤตมาได้อย่างฉิวเฉียด


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้เกิดจากโชคที่ระเบิดขึ้นของฟางหยวน


 


‘โชคดีที่ข้าได้รับวิญญาณอมตะรักตัวเองระดับเจ็ด หลังจากใช้ท่าไม้ตายชำระล้างตัวเอง ข้าสามารถกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่เป็นอันตรายทั้งหมดบนร่างของข้า นี่รวมถึงข้อตกลงพันธมิตรของตระกูลวู’


 


ด้วยวิธีนี้ฟางหยวนจึงสามารถออกจากตระกูลวูได้อย่างสมบูรณ์และไม่มีความเชื่อมโยงกับพวกเขาอีกต่อไป


 


‘ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของข้าแตกสลายไปแล้ว วูหยงไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อจัดการข้าได้อีก’


 


แม้ความกังวลของเขาจะหมดไปแต่ฟางหยวนยังเห็นจุดอ่อนของท่าไม้ตายนี้


 


ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองสามารถกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อผู้อมตะแต่ผลลัพธ์ของมันไม่เป็นไปตามความต้องการของฟางหยวน


 


ตัวอย่างเช่นฟางหยวนสามารถกำจัดข้อตกลงพันธมิตรของตระกูลวูได้อย่างสมบูรณ์ แต่ข้อตกลงพันธมิตรระหว่างเขากับกองกำลังอื่นเช่นชูตู๋ จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา มนุษย์กลายพันธุ์ และสามปีศาจคลั่งยังอยู่


 


นี่เป็นเพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของข้อตกลงพันธมิตรเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อฟางหยวน ดังนั้นท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองจึงไม่กำจัดพวกมันทิ้งไป


 


หากฟางหยวนละเมิดข้อตกลง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเหล่านี้จะลงโทษเขา ในกรณีนี้มันจะสายเกินไปที่เขาจะชำระล้างพวกมัน


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบของเทพธิดาจื่อเว่ย


 


ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเหล่านี้อันตรายต่อฟางหยวนเป็นอย่างมาก เป็นธรรมชาติที่ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองจะกำจัดพวกมัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าตกใจก็คือหลังจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเหล่านั้นถูกทำลาย เพียงไม่นานพวกมันก็ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง


 


ด้วยความเร็วของมัน ในเวลาเพียงหกชั่วโมง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่เกิดจากท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบของวังสวรรค์จะฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์


 


‘การชำระล้างตัวเองเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดในด้านนี้ของราชันภูเขาม่วง’


 


‘แม้มันจะได้ผลแต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป’


 


‘ท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพธิดาจื่อเว่ยขณะเดียวกันนางก็ได้รับประโยชน์จากกระดานหมากรุกกลุ่มดาว’


 


ฟางหยวนคาดเดาและค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้


 


เหตุผลเป็นเพราะเขาเคยเห็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าลักษณะนี้มาก่อน


 


วิญญาณกาลเวลาเต็มไปด้วยเจตจำนงสวรรค์ ขณะที่ร่างผีดิบอมตะของฟางหยวนถูกผนึกไว้ด้วยวิธีการบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


หลังจากได้รับมรดกที่แท้จริงของราชันภูเขาม่วง ฟางหยวนได้เรียนรู้ว่าผู้อมตะระดับเก้าสามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ถูกดัดแปลงขึ้นใหม่


 


ฟางหยวนเดาว่าเทพธิดาจื่อเว่ยใช้กระดานหมากรุกกลุ่มดาวเพื่อกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบ


 


เนื่องจากกระดานหมากรุกกลุ่มดาวเป็นของเทพอมตะกลุ่มดาวที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของนาง


 


ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าชนิดพิเศษเหล่านี้ไม่พึ่งพาพลังงานอมตะ


 


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือวิญญาณอมตะระดับแปดโชคชะตาท้าทายสวรรค์ที่ส่งผลกระทบต่อโชคของหม่าหงหยุนจนกว่าเขาจะตาย แก่นแท้ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นี้คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


 


ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างกายของเขาดึงดูดโชคของคนรอบข้างเพื่อเพิ่มโชคให้กับเขาอย่างไม่รู้จบสิ้น สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานอมตะแม้แต่น้อย


 


อีกตัวอย่างหนึ่งคือท่าไม้ตายอมตะของเทพปีศาจปล้นสวรรค์


 


ผนึกศักดิ์สิทธิ์และผลึกภูตผี


 


ท่าไม้ตายอมตะทั้งสองจะสร้างชุดคลุมบางๆขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา แน่นอนว่ามันก็คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า ผลกระทบของท่าไม้ตายอมตะทั้งสองจะคงอยู่ตลอดไปโดยไม่พึ่งพาพลังงานอมตะใดๆ ในเวลาเดียวกันหากมันเกิดความเสียหาย มันก็สามารถฟื้นฟูตัวเอง


 


‘เป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างว่าผู้อมตะระดับเก้าเป็นปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางของพวกเขา’


 


‘จากประสบการณ์การบ่มเพาะของราชันภูเขาม่วง ความสำเร็จระดับปรมาจารย์สามารถเลียนแบบเส้นทางสายอื่น ปรมาจารย์เอกสามารถใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าในธรรมชาติ ขณะที่ปรมาจารย์สูงสุดสามารถสร้างพลังงานแห่งเต๋าเฉพาะตัวเป็นของตนเอง นี่ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากขีดจำกัดเรื่องพลังงานอมตะ?’


 


มรดกของราชันภูเขาม่วงทำให้ฟางหยวนเข้าใจระดับความสำเร็จของผู้อมตะได้อย่างชัดเจน


 


กล่าวได้ว่าเขาได้รับความรู้ใหม่มากมาย


 


กับดักบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณในร่างผีดิบอมตะของเขาสามารถแก้ไข แต่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่บนร่างทารกอมตะยากที่จะจัดการ


 


‘ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองสามารถกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลได้ส่วนหนึ่ง แต่ยิ่งข้าลบมันมากเท่าใด มันก็ยิ่งฟื้นฟูเร็วขึ้นเท่านั้น’


 


‘การใช้ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองหนึ่งครั้งสามารถกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลได้สิบส่วน แต่ในครึ่งวันพวกมันก็สามารถฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์’


 


‘นี่หมายความว่าหากข้าต้องการกำจัดพวกมันทั้งหมด ข้าต้องชำระล้างตัวเองตลอดเวลาเป็นเวลาประมาณครึ่งเดือนโดยไม่หยุดพัก!’


 


ฟางหยวนประเมินตามข้อมูลที่เขามี


 


นี่เป็นปัญหา ท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบของวังสวรรค์ยากลำบากกว่าที่เขาคาดไว้ไปมาก


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาจะสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตังเองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึงครึ่งเดือนได้งั้นหรือ?


 


แล้วเขาควรทำอย่างไร?


 


“หากเจ้ามีเวลาเตรียมตัว เจ้าอาจแก้ไขได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เจ้าไม่มีโอกาสเหลืออยู่” ในวังสวรรค์ เทพธิดาจื่อเว่ยเผยรอยยิ้มมั่นใจ


 


เพราะนี่เป็นวิธีการของเทพอมตะกลุ่มดาว


 


อาจกล่าวได้ว่าตราบเท่าที่ท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบนี้ยังอยู่ ตำแหน่งของฟางหยวนจะถูกค้นพบโดยกระดานหมากรุกกลุ่มดาวและไม่สามารถหลบหนีไปจากเงื้อมมือของเทพธิดาจื่อเว่ย


 


การกำจัดฟางหยวนเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น


 


เทพธิดาจื่อเว่ยเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์


 


ตราบเท่าที่เทพธิดาจื่อเว่ยไม่ให้เวลาฟางหยวนมากพอ ความได้เปรียบของนางและวังสวรรค์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 


บทที่ 1409 ลั่วเว่ยหยิน

 

“เปรียบเทียบกับชะตากรรม โชคไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป”


 


“แม้จะโชคร้ายไปบ้าง แล้วอย่างไร?”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน


 


กระดานหมากรุกกลุ่มดาวแสดงภาพของผู้อมตะวังสวรรค์


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะกำลังบินอยู่ในสวรรค์สีขาว


 


สองผู้อมตะวังสวรรค์พูดคุยด้วยการแสดงออกที่น่ากลัว


 


“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดใช้เมฆขาวดำหลบหนีไปยังสวรรค์สีดำอีกครั้ง แต่ตามเวลาของห้าภูมิภาค ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน เราอยู่ในสวรรค์สีขาว เวลานี้สวรรค์สีดำอยู่ด้านบน ดังนั้นเราต้องบินผ่านกำแพงพลังงานเพื่อเข้าสู่สวรรค์สีดำ”


 


“ถูกต้อง เราใช้ท่าไม้ตายสายตรวจสอบกับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแล้ว ตราบเท่าที่เราไปยังสวรรค์สีดำ เราจะสัมผัสถึงมัน นี่ไม่ใช่ปัญหา”


 


“หากเราพบอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดอีกครั้ง เราต้องไม่ทำผิดซ้ำซาก เราจะพยายามอย่างเต็มที่และป้องกันไม่ให้มันหลบหนีได้อีก”


 


สองผู้อตะวังสวรรค์กล่าวด้วยความมั่นใจ มันเป็นความมั่นใจที่มาจากความแข็งแกร่งของพวกเขา


 


ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะมีโชคอยู่บ้าง แล้วอย่างไร?


 


มันจะสามารถพึ่งพาโชคได้ทุกครั้งงั้นหรือ?


 


ตราบเท่าที่มันล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ผู้อมตะวังสวรรค์จะได้รับชัยชนะ อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะถูกจับโดยไม่มีทางหนี


 


กระดานหมากรุกกลุ่มดาวสั่นเบาๆก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนเป็นฟงจิวเก้อ


 


ตอนนี้ฟงจิวเก้อออกจากสายธารแห่งกาลเวลาเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่ในทะเลทรายตะวันตก


 


แต่เขาไม่ได้กลับออกมาที่จุดเดิมเนื่องจากสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาสายนั้นถูกทำลายไปแล้ว


 


เทพธิดาจื่อเว่ยบอกตำแหน่งที่อยู่ของฟางหยวนแก่ฟงจิวเก้อ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างไกลกันมาก


 


“ฟงจิวเก้อเป็นผู้พิทักษ์แห่งเต๋า”


 


“โชคของเขามั่นคงราวกับภูเขาที่ไม่สามารถขยับเขยื้อน มีเพียงคนโชคดีเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถตอบโต้คนเช่นฟางหยวน”


 


“หากข้าส่งคนอื่นออกไป ฟางหยวนจะได้รับประโยชน์จากโชคร้ายของพวกเขา”


 


“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดของฟางหยวนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน มันสามารถหลบหนีจากผู้อมตะของวังสรรค์สองคนโดยไม่ต้องกล่าวถึงตัวฟางหยวนเอง”


 


“ข้าจะปล่อยให้ฟงจิวเก้อไล่ล่าฟางหยวนต่อไปและบังคับให้ฟางหยวนค้นหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง แม้เขาจะไม่ได้รับมันแต่เขาก็จะเปิดเผยไพ่เด็ดออกมาเรื่อยๆ เมื่อไพ่ของเขาถูกใช้ไปจนหมด ข้าจะไปหาเขาด้วยตนเอง”


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจตนาสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเทพธิดาจื่อเว่ย


 


เพื่อกำจัดปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ นางต้องคิดและวางแผนอย่างรอบคอบ


 


แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา


 


ประการแรก ฟางหยวนยังมีไพ่ซ่อนอยู่ เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง


 


ประการที่สอง วังสวรรค์จำเป็นต้องปกป้องราชันมังกรที่กำลังปราบปรามเทพปีศาจจิตวิญญาณ เทพธิดาจื่อเว่ยต้องควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด


 


ประการที่สาม ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ตำแหน่งที่ตั้งของภาคกลางค่อนข้างเสียเปรียบ ดังนั้นวังสวรรค์จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม


 


แม้ฟางหยวนจะได้รับวิญญาณอมตะระดับเจ็ดรักตัวเอง เขาก็ยังไม่สามารถซ่อนตัวจากเทพธิดาจื่อเว่ย


 


แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะสามารถหลบหนี แต่มันยังถูกไล่ล่าและยังไม่พ้นอันตราย


 


ขณะที่เทพธิดาจื่อเว่ยกังวลเกี่ยวกับมรดกของเทพปีศาจบัวแดงมากที่สุด


 


“เหตุใดมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงจึงปรากฏขึ้นและหายไปอย่างกะทันหัน?” เทพธิดาจื่อเว่ยขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจเรื่องนี้


 


ด้วยกระดานหมากรุกกลุ่มดาว มันทำให้นางกลายเป็นหนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของยุคปัจจุบัน


 


แต่เปรียบเทียบกับเทพปีศาจบัวแดงที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เทพธิดาจื่อเว่ยยังไม่ถือเป็นสิ่งใด


 


“เทพปีศาจบัวแดง…” เทพธิดาจื่อเว่ยถอนหายใจ


 


นางรู้ว่าเทพปีศาจบัวแดงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่สุดกับวังสวรรค์


 


ในความเป็นจริงครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเป็นเทพอมตะบัวแดงและเป็นผู้นำของวังสวรรค์…


 


สวรรค์สีดำ


 


หญ้าที่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนพรมยักษ์เติบโตขึ้นในสวรรค์สีดำ


 


มันคือทุ่งราสวรรค์


 


สิ่งนี้เป็นทรัพยากรอมตะระดับหกที่เติบโตขึ้นในสวรรค์ทั้งเก้า


 


พวกมันจะเติบโตขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าหรือรูปแบบชีวิตใดๆ


 


โชคดีที่สวรรค์ทั้งเก้าใหญ่โตมาก มีพื้นที่เพียงพอให้พวกมันเติบโตขึ้น


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้มีสองคนอยู่ในทุ่งราสวรรค์แห่งนี้


 


“จิ๊บ จิ๊บ!”


 


เสียงนกร้องดังขึ้น


 


ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มยกมือขวาขึ้นอย่างยากลำบาก มีแสงสีรุ้งปกคลุมอยู่ที่มือของเขา


 


แสงสีรุ้งราวกับต้องการหลบหนีจากเด็กหนุ่มแต่มันทำไม่ได้


 


เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นขณะที่หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ


 


“ไปซะเจ้าวิหคแสง!” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มถึงขีดจำกัดและสะบัดมือออกไป


 


“จิ๊บ จิ๊บ!”


 


ในเวลาต่อมา เสียงนกร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


จากนั้นแสงสีรุ้งก็พุ่งออกจากมือของผู้ใช้วิญญาณหนุ่มขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะกลายเป็นนกตัวหนึ่ง


 


วิหคแสงสีรุ้งบินออกไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ


 


“บึม!”


 


ด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่น วิหคแสงสีรุ้งตกลงบนทุ่งราสวรรค์


 


เมื่อแสงจางหาย หลุมเล็กๆก็ปรากฏขึ้น


 


เห็นเช่นนี้ ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มรู้สึกทั้งประหลาดใจและสนุกสนาน


 


เขามีความสุขหลังจากการฝึกฝนอย่างหนักของเขาประสบความสำเร็จ เขาประสบความสำเร็จในการใช้ท่าไม้ตายนี้


 


แต่เขารู้สึกแปลกใจที่ท่าไม้ตายนี้ทรงพลังเกินไป


 


“ท่านอาจารย์ ข้าทำสำเร็จ!” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่นเดินเข้าไปหาคนอีกผู้หนึ่งด้วยความตื่นเต้น


 


“อืม ไม่เลว” อาจารย์ของเขาแสดงความคิดเห็น


 


เห็นการแสดงออกของอาจารย์ หัวใจของผู้ใช้วิญญาณหนุ่มจึงสงบลง


 


เขากล่าวด้วยความเคารพ “ข้าตื่นเต้นมากเกินไป”


 


“อย่าคิดมาก” อาจารย์ของเขาโบกมือและเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


 


ไม่กี่ก้าวต่อมา เขาหยุดและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีเทาที่ดูเรียบง่ายแต่มันไม่สามารถปกปิดร่างกายที่กำยำของเขา


 


เขาสวมหมวกฟางทรงสูงปิดบังใบหน้าเอาไว้


 


แม้เขาจะเป็นอาจารย์ของผู้ใช้วิญญาณหนุ่มแต่เขากลับไม่เคยเผยเปิดตัวตนที่แท้จริง


 


เด็กหนุ่มเห็นเพียงคางของผู้เป็นอาจารย์เท่านั้น


 


“ท่านอาจารย์ ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ หากข้าฝึกฝนเพียงลำพัง ข้าจะมาถึงระดับนี้ได้อย่างไร?” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มกล่าว


 


อาจารย์ของเขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากกล่าว “เย่ฟาน เจ้ามีความสามารถที่ไม่น่าเชื่อ นี่เป็นท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางแห่งแสงที่เจ้าคิดค้นขึ้นด้วยตนเอง ข้าเพียงให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่เจ้าต้องฝึกฝนให้มากขึ้น ข้าไม่สามารถอยู่เคียงข้างเจ้าได้ตลอดไป”


 


“ท่านอาจารย์ ท่านจะจากไปแล้วงั้นหรือ?” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มรู้สึกกังวล


 


เขาก็คือเย่ฟานของภาคใต้


 


เขาชื่นชอบเฉิงซินซื่อที่กลายเป็นผู้นำตระกูลเฉิง ตลอดมาเขาช่วยนางแก้ปัญหามากมายของตระกูลเฉิง


 


หลังจากเย่ฟานพ่ายแพ้ไป่หนิงปิงและรอดชีวิตมาอย่างฉิวเฉียด เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก


 


ประสบการณ์แห่งชีวิตและความตายยากที่จะลืมเลือน แต่โดยไม่คาดคิดเขากลับพบอาจารย์คนปัจจุบันของเขาผู้นี้


 


อาจารย์ของเขาเป็นผู้อมตะ


 


เพื่อดูแลศิษย์ที่มีพรสวรรค์ อาจารย์ของเขาจึงนำเขามาฝึกฝนในสวรรค์สีดำ


 


แม้พวกเขาจะใช้เวลาร่วมกันไม่นาน แต่เย่ฟานก็ชื่นชมอาจารย์ที่ลึกลับผู้นี้ของเขาอย่างสุดซึ้ง


 


แม้เย่ฟานจะไม่เคยเห็นหน้าของอาจารย์ผู้นี้ แต่เขายังสัมผัสได้ถึงความจริงใจและความเมตตาจากอาจารย์ของเขา


 


เขาไม่เคยสงสัยในตัวอาจารย์ผู้นี้


 


“มีพบย่อมมีจาก เราไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ตลอดไป แม้วันนี้ต้องจากลา แต่อนาคตอาจได้พบพานอีกครั้ง เย่ฟาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงพาเจ้ามาที่นี่” อาจารย์ของเขากล่าว


 


เย่ฟานกระพริบตา “ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้บอกว่าสวรรค์สีดำจะช่วยขัดเกลาทักษะบนเส้นทางแห่งแสงของข้างั้นหรือ? เพื่อความปลอดภัย แม้มันจะยากลำบากก็ตาม”


 


“นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง เหตุผลที่สองคือข้าอนุมานได้ว่าเจ้ามีโชคชะตาที่เชื่อมโยงกันที่นี่” อาจารย์ของเขากล่าว


 


“โชคชะตา?” เย่ฟานรู้สึกงุนงง


 


“ในโลกใบนี้ ทุกอย่างมีเหตุและมีผล ดูนั่น โชคชะตาของเจ้ามาถึงแล้ว” ผู้อมตะชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เย่ฟานมองและอ้าปากค้าง


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดบินลงมาบนทุ่งราสวรรค์


 


“ช่างเป็นอินทรีย์ที่แข็งแกร่งนัก! อา…มันได้รับบาดเจ็บ!” เย่ฟานมองเห็นบาดแผลมากมายบนร่างของอินทรีย์สสวรรค์ชั้นสูงสุด


 


แม้เย่ฟานจะมีอาจารย์ที่ดี แต่เขายังไม่ใช่ผู้อมตะ ในความเป็นจริงกระทั่งผู้อมตะระดับหกทั่วไปก็ยังไม่รู้จักสัตว์อสูรแรกกำเนิดอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะสามารถหลบหนีจากผู้อมตะวังสวรรค์ แต่มันยังไม่ปลอดภัย


 


เมื่อมันเห็นทุ่งราสวรรค์ มันจึงบินลงมาพักผ่อน


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมันมาถึงที่นี่ มันก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว


 


อาจารย์ของเย่ฟานจับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดภายใต้การเฝ้ามองของเย่ฟาน


 


เขาเปิดฝ่ามือออกขณะที่อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดหดเล็กลงจนกลายเป็นนกตัวน้อยอยู่ในกำมือของเขา


 


ด้วยการยกมืออีกข้างขึ้นสัมผัสอินทรีย์ตัวน้อย บาดแผลทั้งหมดของมันก็ถูกรักษาขณะที่มันนอนหลับอย่างผ่อนคลาย


 


“เย่ฟาน เจ้ามีความเชื่อมโยงกับมัน อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดตัวนี้อาจเป็นกุญแจในการแก้ปัญหาของเจ้าในอนาคต”


 


“เก็บมันไว้ข้างกาย เมื่อมันตื่น มันจะพาเจ้าออกจากสวรรค์สีดำและกลับสู่ภาคใต้”


 


“อาจารย์จะไปแล้ว”


 


หลังกล่าวจบคำเขาก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที


 


“ท่านอาจารย์ เดินทางโดยปลอดภัย” เย่ฟานรับอินทรีย์น้อยเอาไว้และกล่าวด้วยความโศกเศร้า


 


เขาวิ่งตามไปกระทั่งร่างของผู้เป็นอาจารย์กำลังจะหายไปที่ขอบฟ้า เขาตะโกน “ท่านอาจารย์ ข้าขอทราบชื่อท่านได้หรือไม่?”


 


“ชื่อของข้าคือลั่วเว่ยหยิน”


 


เสียงของอาจารย์ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในหูของเย่ฟาน


 


“ท่านอาจารย์…ลั่วเว่ยหยิน…” เย่ฟานพึมพำ

 

 

 


บทที่ 1410 มรดกบนเส้นทางแห่งค่ายกล

 

ทะเลทรายตะวันตก


 


ฟางหยวนอยู่ที่โอเอซิสขนาดเล็กที่มีน้ำพุจิตวิญญาณธรรมชาติตั้งอยู่


 


อย่างไรก็ตามโอเอซิสแห่งนี้กำลังถูกทำลาย


 


เหตุผลเป็นเพราะฟางหยวนและคนอื่นๆต้องทำลายร่องรอยทั้งหมดของพวกเขาก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง


 


นอกจากวังสวรรค์ พวกเขายังต้องระวังศัตรูในทะเลทรายตะวันตกเมื่อเจตจำนงสวรรค์ยังวางแผนจัดการพวกเขาตลอดเวลา


 


‘การอนุมานครั้งนี้มีความก้าวหน้าในที่สุด’ ฟางหยวนถอนหายใจและมีความสุขเล็กน้อย


 


ตั้งแต่เขาถูกติดตามตัว เขาคิดวิธีแก้ไขปัญหามาตลอด


 


ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองมีประสิทธิภาพแต่ฟางหยวนต้องใช้มันตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงต้องคิดวิธีแก้ปัญหา


 


แต่ฟางหยวนมีพื้นฐานสำหรับเรื่องนี้ เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญาขณะที่ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองก็เป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถดัดแปลงมัน


 


และเขามีวิญญาณอมตะที่จำเป็น


 


ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะดวงนี้ ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจมาก


 


มันก็คือวิญญาณอมตะความพยายาม


 


วิญญาณอมตะความพยายามเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดที่สามารถสนับสนุนการทำงานของวิญญาณอมตะหรือท่าไม้ตายอมตะอื่นๆ ตัวอย่างเช่นเมื่อฟางหยวนกลายเป็นมังกรดาบบรรพกาล ลมหายใจมังกรของเขาจะถูกปลดปล่อยออกไปทีละครั้ง แต่เมื่อเขาใช้วิญญาณอมตะความพยายาม เขาสามารถปล่อยลมหายใจมังกรออกไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดพักจนกว่าจะถึงขีดจำกัด


 


วิญญาณอมตะความพยายามเหมาะสมกับท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเอง


 


ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จในการอนุมานเพื่อเพิ่มวิญญาณอมตะความพยายามเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองเรียบร้อยแล้ว


 


ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองได้นานขึ้น มันจะกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่ไม่พึงประสงค์ของฟางหยวนอย่างต่อเนื่อง


 


‘แต่นี่ยังไม่เพียงพอที่จะชำระล้างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลทั้งหมด’ ฟางหยวนยังไม่พอใจ


 


เขาตระหนักถึงอีกปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือเขาไม่มีเวลา


 


ตอนนี้เขากำลังถูกไล่ล่า แม้ผู้อมตะของวังสวรรค์จะไม่ปรากฏตัวในเวลานี้ แต่พวกเขาอาจกำลังมา


 


ไม่ว่าอย่างไรฟางหยวนและคนอื่นๆก็จะถูกไล่ล่าและโจมตีตลอดเวลา


 


ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเพื่อกำจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ทั้งหมดของฟางหยวน


 


ในเวลาหนึ่งเดือนเขาต้องใช้ท่าไม้ตายนี้อย่างไม่หยุดยั้ง


 


‘ตอนนี้ข้าต้องวิ่งหนีตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะมีเวลาว่างหนึ่งเดือน แม้ข้าจะมี แล้วคนอื่นๆ? พวกเขายังตกเป็นเป้าหมายเช่นเดิม’


 


ไม่มีความหวังสำหรับเรื่องนี้


 


ความกังวลของฟางหยวนก็คือวังสวรรค์จะออกมาและทำลายทุกสิ่งขณะที่เขากำลังจะประสบความสำเร็จ


 


เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะสูญเสียพลังงานอมตะจำนวนมาก หากต้องต่อสู้กับผู้อมตะของวังสวรรค์หรือแม้แต่การหลบหนี มันก็จะกลายเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง


 


‘นอกจากพลังงานอมตะจำนวนมหาศาล ข้ายังต้องใมช้พลังจิตอย่างมากระหว่างกระบวนการใช้ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเอง’


 


‘ข้ายังไม่ชำนาญมันมากนัก หากล้มเหลว แม้จะไม่มีการแทรกแซงจากวังสวรรค์ ข้าก็ยังจะอ่อนแอลงอย่างมาก’


 


‘การหลบหนีไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ข้าก็ยังถูกตรวจจับโดยวังสวรรค์และมันจะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอีกด้วย นอกจากนั้นภาคเหนือยังอยู่ห่างไกลและต้องไม่ลืมว่ายังมีถ้ำสวรรค์นิรันดร’


 


อย่างไรก็ตามในไม่ช้าฟางหยวนก็พบวิธีแก้ปัญหา


 


นั่นคือการใช้ค่ายกลวิญญาณ


 


เขาต้องเปลี่ยนท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองให้เป็นค่ายกลวิญญาณอมตะ


 


นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


หลังจากทั้งหมดค่ายกลวิญญาณก็คือท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


หากฟางหยวนมีค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเอง มันจะง่ายกว่า เขาจะใช้พลังงานอมตะและพลังจิตน้อยกว่าในการรักษามันไว้


 


นอกจากนี้คนอื่นๆก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองแต่สามารถใช้งานค่ายกลวิญญาณได้อย่างง่ายดาย


 


‘ข้าต้องเปลี่ยนท่าไม้ตายอมตะเป็นค่ายกลวิญญาณอมตะ เพื่อทำสิ่งนี้ข้าต้องมีวิญญาณยันต์ค่ายกล วิญญาณธงค่ายกล หรือวิญญาณแผนภูมิค่ายกล มันจะดีมากหากมีวิญญาณอมตะ’


 


นิกายหลางหยามีวิญญาณยันต์ค่ายกลระดับอมตะ


 


พลังอำนาจของวิญญาณอมตะดวงนี้คือมันสามารถใช้ร่วมกับวิญญาณทุกประเภทเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะโดยที่ผู้อมตะไม่จำเป็นต้องมีความสำเร็จใดๆบนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


สำหรับวิญญาณอมตะธงค่ายกล มันถูกใช้เพื่อจัดเก็บค่ายกลวิญญาณ ผู้อมตะสามารถเลือกใช้ค่ายกลวิญญาณที่ถูกจัดเก็บไว้ในวิญญาณดวงนี้ได้โดยตรง


 


ต่อมาคือวิญญาณอมตะแผนภูมิค่ายกล มันเป็นวิญญาณที่ใช้งานได้ครั้งเดียว


 


วิญญาณอมตะแผนภูมิค่ายกลจะบันทึกข้อมูลของค่ายกลวิญญาณ มันใช้งานได้เช่นเดียวกับวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลแต่มีข้อบกพร่องน้อยกว่า


 


นี่คือวิญญาณที่ฟางหยวนต้อง


 


…..


 


ทะเลทรายสั่นไหว


 


ทะเลทรายแห่งนี้จะเกิดแผ่นดินไหวตลอดเวลา


 


ลึกลงไปในทะเลทรายสั่นไหว ค่ายกลวิญญาณอมตะถูกกระตุ้นการทำงานอย่างช้าๆ


 


ฮันหลี่เดินเข้าไปด้วยความกังวล เขาให้กำลังใจตนเอง “นี่เป็นการทดสอบสุดท้ายของด่านรับสืบทอดมรดกบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้อมตะเจิ้งหยวนซือ ฮันหลี่! เจ้าต้องทำได้!”

 

 

 


บทที่ 1411 ภูตราชสีห์

 

นี่คือห้องโถงสีทองแดง


 


กลางห้องโถงมีโคมไฟโลหะตั้งอยู่


 


เปลวไฟที่อ่อนโยนส่องสว่างอยู่ในความมืด


 


ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มร่างผอมยืนอยู่บนกระเบื้องที่มีเสาสีแดงขนาดใหญ่อยู่รอบๆ


 


ร่างของผู้ใช้วิญญาณหนุ่มถูกซ่อนอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่ง


 


เขาก็คือฮันหลี่


 


หน้าผากของฮันหลี่ปกคลุมไปด้วยเหงื่อ เขาเต็มไปด้วยความกังวล


 


‘ข้ามั่นใจเกินไป!’


 


‘ผู้อาวุโสเจิ้งหยวนซืออาจเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ แต่คนเช่นข้ายังไม่มีคุณสมบัติรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของเขา’


 


‘ข้ามาถึงจุดนี้โดยใช้พลังทั้งหมดแล้ว บางขั้นตอนข้าก็ผ่านมาด้วยโชค!’


 


ฮันหลี่ผ่านสิ่งต่างๆมามากมาย เขาเข้าใจถึงอันตรายของห้องโถงแห่งนี้


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกหวาดกลัว


 


แท้จริงแล้วการสืบทอดมรดกของฝ่ายธรรมะมักไม่มีอันตราย มีเพียงมรดกของฝ่ายปีศาจที่เต็มไปด้วยกลอุบายที่ชั่วร้าย


 


แม้การทดสอบของผู้อมตะเจิ้งหยวนซือจะอันตราย แต่ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วงสำหรับผู้อมตะ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์เช่นฮันหลี่ มันอันตรายมาก


 


ฮันหลี่เป็นคนโชคดีและด้วยการเชื่อมโยงโชคกับฟางหยวน การบ่มเพาะของเขาจึงพุ่งทะยานขึ้นถึงระดับสี่อย่างรวดเร็ว


 


ความเร็วในการบ่มเพาะดังกล่าวโดยปราศจากความช่วยเหลือจากผู้อมตะหาได้ยากมาก


 


ฮันหลี่ยืนอยู่ตรงจุดนั้นและไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เขาหันหลังกลับไปมองเส้นทางที่เขาเข้ามาและต้องการล่าถอย


 


มรดกที่แท้จริงของผู้อมตะเจิ้งหยวนซือเกินความสามารถเขาเข้า แม้มันจะดึงดูดใจ แต่ฮันหลี่ตระหนักถึงความจริงแล้ว


 


เขาคิดก่อนจะเริ่มก้าวถอยหลัง


 


วินาทีต่อมาวิสัยทัศน์ของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป


 


‘ข้าไปข้างหน้างั้นหรือ?’


 


ฮันหลี่มองไปรอบๆด้วยใบหน้าซีดเผือด


 


เขาพบว่าตนเองก้าวไปข้างหน้ามากกว่าสิบก้าว


 


เขาเข้าใกล้โคมไฟโลหะมากขึ้น


 


ตราบเท่าที่เขาไปถึงที่นั่น ฮันหลี่จะสามารถรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของเจิ้งหยวนซือ


 


แต่ฮันหลี่ตัดสินใจล่าถอยแล้ว


 


ความก้าวหน้าของเขาเป็นเรื่องบังเอิญ เขาไม่ได้ตั้งใจทำมัน ความตั้งใจแท้จริงของเขาคือการหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้แต่มันกลับกลายเป็นการก้าวไปข้างหน้า


 


เห็นได้ชัดว่าหากเขาเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าหรือทิศทางอื่น ผลลัพธ์จะเป็นหายนะ


 


ฮันหลี่ในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษไม่มีรากฐานบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขาไม่รู้สิ่งใดเลย


 


เขามาที่นี่ได้เพียงเพราะความเฉลียวฉลาด การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว และโชคเท่านั้น


 


จากองค์ประกอบเหล่านี้ โชคมีส่วนสำคัญที่สุด


 


สิ่งนี้ทำให้ฮันหลี่รู้สึกไม่มั่นใจ


 


เพราะโชคไม่สามารถเชื่อถือ


 


‘เห้อ…ตอนนี้ข้ากำลังเดิมพันชีวิต…ดูเหมือนการไปทางขวาจะปลอดภัยกว่า’ ตอนนี้ฮันหลี่ทำได้เพียงพึ่งพาความรู้สึกเท่านั้น


 


แต่เมื่อเขาก้าวออกไป วิสัยทัศน์ของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผลลัพธ์น่าตกใจมากเพราะเขายังก้าวไปข้างหน้าอีกหลายสิบก้าว


 


ตอนนี้โคมไฟโลหะอยู่ใกล้มาก ฮันหลี่แทบสามารถสัมผัสมันด้วยการยื่นมือออกไป


 


แน่นอนว่ายังมีระยะห่างอีกเล็กน้อย


 


ฮันหลี่ลังเล


 


เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ เขารู้สึกหวั่นไหวอย่างไม่ต้องสงสัย ท้ายที่สุดความสำเร็จก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว


 


‘นี่ถูกต้องหรือไม่?’ ฮันหลี่ครุ่นคิดด้วยความยากลำบาก


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ในการรับรู้ของเขา เขารู้สึกว่ามันผ่านไปเพียงชั่วครู่


 


การตัดสินใจที่ยากลำบากทำให้เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเขา แต่สุดท้ายเหตุผลก็เอาชนะความโลภ


 


‘คนผู้หนึ่งจะเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปบนถนนแห่งการบ่มเพาะได้อย่างไร?’ ฮันหลี่สูดหายใจลึกและสงบจิตใจลง


 


เขาเริ่มหาทางหลบหนีอีกครั้ง


 


ห้องโถงแห่งนี้คือค่ายกลวิญญาณ ปัจจุบันฮันหลี่อยู่ที่จุดศูนย์กลางของมัน


 


อย่างไรก็ตามเส้นทางล่าถอยเห็นได้ชัดเจนมากในเวลานี้


 


กระทั่งฮันหลี่ก็ยังสามารถบอกได้


 


ฮันหลี่ตัดสินใจก้าวไปยังทิศทางนั้น


 


‘ข้าหวังว่ามันจะเป็นการเดินทางที่ราบรื่น’ ฮันหลี่คิดขณะที่วิสัยทัศน์ของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


เขาตกใจมากเมื่อพบว่าเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าโคมไฟโลหะ!


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ฮันหลี่ไม่เข้าใจ


 


เสียงแก่ชราดังขึ้นในใจของฮันหลี่ “ไม่เลว ไม่เลว เจ้าโชคดีมาก เจ้าสามารถผ่านอุปสรรคมาถึงที่นี่ นี่แสดงว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงนี้”


 


ฮันหลี่ตกตะลึง “ข้า…ข้าจะได้รับมันจริงๆงั้นหรือ!?”


 


เสียงสายเดิมดังขึ้นอีกครั้ง “ฮ่าฮ่า นี่คือความตั้งใจของเจิ้งหยวนซือ เมื่อเขาสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ ทุกการตัดสินใจที่จะเข้าใกล้โคมไฟโลหะจะเป็นเส้นทางที่ผิด มีเพียงผู้อมตะที่มีสติปัญญาและมีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลอันลึกซึ้งเท่านั้นที่จะเข้าใจสิ่งนี้ ทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าคือการถอยหลัง แต่บางคนที่รู้ว่าเมื่อใดควรถอย พวกเขาก็มีโอกาสรับมรดกที่แท้จริงเนื่องจากความฉลาดของพวกเขาเช่นกัน”


 


ฮันหลี่เข้าใจในที่สุด “นี่หมายความว่าข้าเป็นประเภทที่สอง แล้วท่านไม่ใช่เจตจำนงของผู้อาวุโสเจิ้งหยวนซือเช่นนั้นหรือ?”


 


“ไม่อย่างแน่นอน ข้าคือจิตวิญญาณค่ายกล ข้าถูกสร้างขึ้นโดยท่านเจิ้งหยวนซื่อ ไม่มีผู้ใดรู้จักข้า” เสียงสายเดิมยังกล่าวต่อ


 


ฮันหลี่ไม่เข้าใจ “จิตวิญญาณค่ายกล?”


 


“เจ้าไม่เข้าใจงั้นหรือ? แดนศักดิ์สิทธิ์มีจิตวิญญาณแผ่นดิน ถ้ำสวรรค์มีจิตวิญญาณสวรรค์ ค่ายกลวิญญาณอมตะก็สามารถมีจิตวิญญาณค่ายกล หือ? เหตุใดเจ้าถึงเป็นผู้ใช้วิญญาณ? เจ้าไม่ใช่ผู้อมตะงั้นหรือ!?” จิตวิญญาณค่ายกลอุทานออกมาอย่างกะทันหัน


 


“ขอโทษด้วย ข้ามาที่นี่โดยบังเอิญ หากข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะรับสืบทอดมรดกนี้ ข้าจะออกไปได้หรือไม่?” ฮันหลี่ยิ้มเจื่อน


 


จิตวิญญาณค่ายกลกล่าวเสียงดัง “นี่มันแย่มาก! ท่านเจิ้งหยวนซือวางแผนที่จะมอบมรดกให้ผู้อมตะ แต่เจ้าไม่มีพลังงานอมตะ เจ้าไม่สามารถกดขี่สัตว์อสูรแรกกำเนิดภูตราชสีห์ เมื่อเจ้าได้รับมรดกที่แท้จริง ค่ายกลวิญญาณนี้จะพังทลายลง แต่เจ้าไม่สามารถกำหราบภูตราชสีห์ตัวนี้ หนี? ไม่ เจ้าไม่สามารถหลบหนี เจ้าจบแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าเจ้านายคนใหม่ของข้าที่พึ่งได้รับมรดกที่แท้จริงกำลังจะตายเช่นนี้!”


 


“ไม่ ต้องมีทาง!” ฮันหลี่ไม่ต้องการยอมแพ้


 


“ไม่มีความหวัง ความแข็งแกร่งแตกต่างกันมากเกินไป เห้อ…” จิตวิญญาณค่ายกลมองโลกในแง่ร้ายมาก


 


เช่นเดียวกับที่มันกล่าว ค่ายกลวิญญาณเริ่มแยกออกจากกัน ห้องโถงเริ่มสูญสลายไป


 


สภาพแวดล้อมที่แท้จริงของมันเผยตัวออกมา


 


ที่นี่คือหลุมขนาดใหญ่ใต้ทะเลทราย


 


ทรายจำนวนมากเริ่มตกลงมา โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากค่ายกลวิญญาณอมตะ ถ้ำแห่งนี้เริ่มพังทลายลง


 


ไม่มีเส้นทางหลบหนีสำหรับฮันหลี่


 


ด้านหน้าเขามีภูตราชสีห์ตัวใหญ่โตนอนอยู่บนพื้น


 


ตอนนี้มันกำลังหลับ หากเขาเป็นผู้อมตะ เขาจะสามารถกำหราบมันได้ด้วยแผนการที่จัดเตรียมไว้โดยเจิ้งหยวนซือ แม้เขาจะไม่สามารถกำหราบมัน แต่เขาก็ยังสามารถทำให้มันนอนหลับต่อไป


 


กล่าวได้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในบททดสอบของเจิ้งหยวนซือ


 


ภูตราชสีห์เป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด หากผู้สืบทอดมีความแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเขาจะสามารถควบคุมภูตราชสีห์ตัวนี้


 


แต่ฮันหลี่ไม่ใช่


 


ไม่เพียงเท่านั้น เขากระทั่งอาจจะถูกมันกินเป็นอาหาร


 


ทรายยังร่วงหล่นลงมาตลอดเวลา ทรายที่ตกลงบนร่างกายของภูตราชสีห์ปลุกมันให้ตื่นขึ้น


 


ฮันหลี่โจมตีอย่างดุเดือด แต่ท่าไม้ตายของเขาราวกับสายลมอ่อนที่พัดไปยังภูตราชสีห์และไม่มีอันตรายต่อมัน


 


ภูตราชสีห์กระโจนร่างออกมาข้างหน้าและอ้าปากกลืนร่างของฮันหลี่เข้าไปในครั้งเดียว

 

 

 


บทที่ 1412 นางรำหงหยุน

 

เมฆสีแดงกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า


 


“ทะเลทรายผีเขียวอยู่ข้างหน้า” นางรำหงหยุนนอนปิดเปลือกตาอยู่บนก้อนเมฆสีแดงอย่างผ่อนคลาย


 


นางมีรูปร่างที่ทรงเสน่ห์ นางอยู่ในชุดนางรำสีแดงที่เผยให้เห็นหน้าท้อง


 


มีกำไลหยกสีทองอยู่ที่ข้อมือและข้อเท้าของนาง


 


บนนิ้วของนางมีแหวนที่ประดับด้วยเพชรพลอยหลากหลายสีสัน


 


นางมีดวงตาลึก คิ้วหนาและยาว ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางอยู่ใต้ผ้าคลุมโปรงแสง จมูกและริมฝีปากของนางซ่อนอยู่หลังม่านและทำให้ผู้คนรู้สึกต้องการสำรวจสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านนั้น


 


นางรำหงหยุนเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด


 


ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นปีศาจอมตะที่ท่องเที่ยวไปทั่วทะเลทรายตะวันตก แต่โชคร้ายที่นางล้อเล่นกับผู้อมตะระดับแปดฝ่ายธรรมะและตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ในเวลานั้นบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงได้ช่วยชีวิตนางไว้


 


ด้วยวิธีนี้นางรำหงหยุนจึงกลายเป็นหนึ่งในนางสนมของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


แต่น่าเสียดายที่นางไม่ใช่หญิงประเภทที่เขาชื่นชอบ แม้นางจะงดงามและเย้ายวนใจ แต่สถานะของนางยังต่ำกว่าเทพธิดาซุ้ยป๋อ


 


ลมพัดผ่านใบหูของนาง เมฆสีแดงเหมือนปุยนุ่นที่สะดวกสบาย


 


มันคือท่าไม้ตายอมตะที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง เมฆาแดงเริงระบำ


 


แม้นางจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเทพธิดาซุ้ยป๋อและยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ตอนนี้เทพธิดาซุ้ยป๋อกำลังมีปัญหา นางรำหงหยุนยังต้องออกมาช่วยเทพธิดาซุ้ยป๋ออย่างรวดเร็วที่สุด


 


แน่นอนว่านางไม่เต็มใจ แต่มันเป็นคำสั่งของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


สิ่งสำคัญก็คือเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงยังเฝ้ามองนางอยู่


 


ด้วยวิธีนี้นางรำหงหยุนจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเทพธิดาซุ้ยป๋อ


 


เมฆสีแดงเดินทางไปถึงทะเลทรายผีเขียวขณะที่เมฆสีดำเริ่มปรากฎขึ้น


 


แสงอาทิตย์แทบไม่สามารถสาดส่องลงมายังทะเลทรายผีเขียว มันดูค่อนข้างมืดครึ้ม


 


มีต้นไม้มากมายอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้


 


ต้นภูตผีร่ำไห้มีรูปร่างบิดเบี้ยวและเปลือกไม้ที่ดูคล้ายใบหน้ามนุษย์ที่กำลังร้องไห้


 


ทุกครั้งที่ลมพัดผ่าน ต้นไม้เหล่านี้จะส่งเสียงโหยหวนออกมา


 


แม้แต่ตอนกลางวัน สถานที่แห่งนี้ก็ยังหนาวเย็นและมืดมิด เมื่อถึงเวลากลางคืน สายลมอันหนาวเหน็บจะพัดมาราวกับภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วน


 


นางรำหงหยุนที่อยู่บนก้อนเมฆสีแดงเคลื่อนผ่านเมฆสีดำด้วยความรู้สึกกดดัน


 


นางไม่ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป


 


ทะเลทรายผีเขียวเป็นสถานที่อันตรายของทะเลทรายตะวันตก


 


มันเกี่ยวข้องกับเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


ก่อนที่เทพปีศาจจิตวิญญาณจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า เขาต่อสู้กับกลุ่มผู้อมตะที่นี่และสามารถสังหารผู้อมตะทั้งหมด


 


ผลพวงของการต่อสู้ทำให้เกิดเป็นทะเลทรายผีเขียว


 


สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธของผู้แพ้ พวกเขารู้สึกโศกเศร้าต่อชะตากรรมอันน่าสยดสยองของตนเอง


 


มีอสูรวิญญาณจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่ กระทั่งอสูรวิญญาณระดับสัตว์อสูรแรกกำเนิดก็ยังหาได้ไม่ยาก


 


หลังจากหนึ่งแสนปีมีผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกจำนวนมากเสียชีวิตลงที่นี่


 


นางรำหงหยุนกล้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะการบ่มเพาะระดับเจ็ดของนาง แต่มันเป็นเพราะเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและวิญญาณอมตะระดับแปดที่อยู่กับนาง


 


เมฆสีแดงยังบินไปข้างหน้า


 


“อะวู้…”


 


เสียงโหยหวนราวเสียงร้องของหมาป่าดังขึ้น อสูรวิญญาณขนาดเท่าเนินเขาปรากฏต่อหน้านางรำหงหยุน


 


มันคืออสูรวิญญาณระดับสัตว์อสูรบรรพกาล มันคิดว่านางรำหงหยุนเป็นเหยื่อ


 


รูม่านตาของนางรำหงหยุนหดเล็กลง นางกัดฟันและกำลังจะเข้าสู่การต่อสู้


 


แต่ในจังหวะนี้เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกลับส่งเสียงออกมา “ให้ข้าจัดการมัน หงหยุนเดินทางต่อไป”


 


นางรำหงหยุนดีใจมาก นางทำตามอย่างเชื่อฟัง


 


เมฆสีแดงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่เปลี่ยนทิศทาง


 


วิญญาณอมตะระดับแปดถูกกระตุ้นใช้งานและส่งคลื่นพลังงานลึกลับไปยังอสูรวิญญาณบรรพกาลตัวนั้น


 


อสูรวิญญาณบรรพกาลอ้าปากอยู่ด้านหน้านางรำหงหยุน แต่ในช่วงเวลาสำคัญการโจมตีของมันกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน


 


ต่อมาศีรษะของมันก็ระเบิดและมีวานรตัวหนึ่งกระโดดออกมา กรงเล็บของมันกลายเป็นเถาวัลย์ ขนของมันกลายเป็นหญ้า และยังมีจระเข้จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างกายของมัน


 


ร่างของอสูรวิญญาณถูกแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า


 


‘น่าประทับใจนัก นี่คือพลังอำนาจของวิญญาณอมตะกลายพันธุ์ระดับแปดงั้นหรือ?’ นางรำหงหยุนตกตะลึง


 


อสูรวิญญาณบรรพกาลถูกฆ่าเหมือนไก่


 


มันง่ายเกินไป


 


นางรำหงหยุนรู้ว่าหากนางต่อสู้กับมัน นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อบังคับให้อสูรวิญญาณบรรพกาลตนนี้ล่าถอย หากโชคดี นางอาจสามารถสังหารมัน


 


เมื่ออสูรวิญญาณบรรพกาลตัวนี้ตาย อสูรวิญญาณบรรพกาลที่อยู่รอบๆก็ตื่นขึ้นและปรากฏตัวออกมา


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงก่นเสียงเย้ยหยันก่อนจะปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะระดับแปดออกไป


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ อสูรวิญญาณบรรพกาลหลายตัวเร่งหลบหนี


 


แน่นอนว่าอสูรวิญญาณบรรพกาลบางส่วนยังพุ่งเข้าโจมตีนางรำหงหยุน


 


หลังจากทั้งหมดมันไม่ใช่กลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดแต่เป็นเพียงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะระดับแปด


 


อสูรวิญญาณมีสติปัญญาไม่สูง ดังนั้นพวกมันจึงถูกสังหารไปในที่สุด


 


สัตว์ป่ามีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด หลังจากตระหนักถึงภัยคุกคามร้ายแรง พวกมันจึงเลือกที่จะล่าถอย


 


“โฮก…”


 


อย่างไรก็ตามเพียงเมื่อนางรำหงหยุนผ่อนคลายจิตใจลง เสียงคำรามของสัตว์ร้ายก็ดังเข้าหูของนางอีกครั้ง


 


สิงโตตัวใหญ่ที่มีปีกสีเทาขาวพุ่งเข้าโจมตีนาง


 


เห็นสิ่งนี้ หัวใจของนางรำหงหยุนสั่นสะท้านขึ้น นางตะโกน “โอ้ ไม่ นี่คือสัตว์อสูรแรกกำเนิด ภูตราชสีห์!”

 

 

 


บทที่ 1413 วิญญาณอมตะกลายพันธุ์

 

ภูตราชสีห์!


 


สิงโตตัวนี้กินดวงวิญญาณเป็นอาหาร


 


ในยุคของเทพปีศาจจิตวิญญาณ มันถือเป็นสัตว์อสูรที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ในยุคปัจจุบันมันเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่หาได้ยาก


 


แท้จริงแล้วภูตราชสีห์เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากลำบากของเทพปีศาจจิตวิญญาณในวัยหนุ่ม


 


เพราะมันสามารถต่อต้านวิธีการบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ก่อนที่เทพปีศาจจิตวิญญาณจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า เขาใช้เพียงวิธีการบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามหลังจากเทพปีศาจจิตวิญญาณสามารถสังหารมัน เขาได้ทำวิจัยและได้รับผลประโยชน์มหาศาล


 


ในช่วงเวลาที่เทพปีศาจจิตวิญญาณบรรลุระดับแปด เขามักจะจับภูตราชสีห์มาทดลอง สุดท้ายจึงสามารถสร้างวิธีกลืนกินดวงวิญญาณได้สำเร็จ


 


ภูตราชสีห์มีชื่อเสียงมาก เมื่อมันปรากฏตัว ช่วยไม่ได้ที่นางรำหงหยุนจะตกใจ


 


แต่ในช่วงเวลาสำคัญ เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกลับบอกนาง “อย่ากังวล ภูตราชสีห์ตัวนี้ไม่โดดเด่น มันอ่อนแอมาก มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี เราสามารถสู้กับมันได้”


 


นางรำหงหยุนสงบลงเมื่อได้ยินเรื่องนี้


 


นางรำหงหยุนพิจารณาและพบว่ามันอ่อนแอจริง นางคิด ‘เจตจำนงของสามีมีเพียงวิญญาณอมตะระดับแปดและพลังงานอมตะจำนวนหนึ่ง เขาไม่มีวิธีการตรวจสอบที่ดีในเวลานี้ แต่เขายังสามารถเปิดเผยจุดอ่อนของภูตราชสีห์ได้ทันที ในทางตรงข้าม ข้ามีวิธีการต่างๆมากมาย แต่ข้ากลับตกตะลึงและไม่สามารถตอบสนอง ช่างน่าละอายนัก’


 


หลังจากสงบจิตใจ เมฆสีแดงพานางบินเป็นเส้นโค้งเพื่อหลบเลี่ยงภูตราชสีห์


 


ในไม่ช้านางก็ออกห่างจากมัน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ภูตราชสีห์ตัวนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ดี หากมันยังเหลือพลังสามสิบส่วน เจ้าคงหนีไม่พ้น”


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงหัวเราะและลอยออกมาปรากฏตัวข้างๆนางรำหงหยุน


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงส่งพลังงานอมตะให้วิญญาณอมตะระดับแปด


 


กลิ่นอายของมันปะทุขึ้น


 


ทันใดนั้นคลื่นพลังลึกลับก็พุ่งเข้าโจมตีภูตราชสีห์


 


ในเวลาต่อมาภูตราชสีห์ก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่หางของมันกลายเป็นอสรพิษ


 


อสรพิษเลื้อยพันรอบตัวภูตราชสีห์และกัดมันด้วยเขี้ยวพิษ


 


ภูตราชสีห์กวักแกว่งกรงเล็บของมันไปที่ศีรษะอสรพิษ แต่อสูรพิษตัวนี้กลับแข็งแกร่งมาก มันสามารถต่อต้านกรงเล็บราชสีห์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ


 


ภูตราชสีห์กระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะต่อสู้กับอสรพิษตัวนี้


 


นางรำหงหยุนเฝ้ามองการต่อสู้อย่างระมัดระวัง


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงใช้วิญญาณระดับแปดโจมตีภูตราชสีห์อย่างต่อเนื่อง


 


ในไม่ช้าต้นไม้ก็เริ่มเติบโตขึ้นบนร่างของมัน


 


นี่คือต้นภูตผีร่ำไห้


 


รากของมันดูดกลืนสารอาหารจากร่างกายของภูตราชสีห์


 


นั่นทำให้มันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มันโจมตีต้นภูตผีร่ำไห้และทำลายศีรษะอสรพิษ


 


ภูตราชสีห์อยู่ในสภาพที่เลวร้ายมากและตอนนี้มันยังได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


‘นี่คือวิญญาณอมตะกลายพันธุ์! มันจะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดกลายพันธุ์!’


 


‘ภูตราชสีห์ทำลายอสรพิษและต้นภูตผีร่ำไห้ แต่แท้จริงแล้วมันกลับสร้างความเสียหายให้กับตัวมันเอง’


 


นางรำหงหยุนเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยหัวใจที่สั่นไหว แม้นางจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณอมตะกลายพันธุ์อยู่บ้าง แต่หลังจากได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางยังรู้สึกอัศจรรย์ใจ


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ดังคาด ภูตราชสีห์ตัวนี้ไม่ปกติ มันมีอาการบาดเจ็บภายใน มันมีพลังการต่อสู้อยู่ในระดับสัตว์อสูรบรรพกาลเท่านั้น ปีกของมันไร้ประโยชน์ แปลก…มันไม่ควรขาดอาหารในทะเลทรายผีเขียว”


 


แม้เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจะสงสัยแต่เขาก็ยังไม่หยุดโจมตี


 


วิญญาณอมตะกลายพันธุ์ระดับแปดถูกกระตุ้นใช้งานอีกครั้ง


 


คราวนี้ดวงตาข้างขวาของภูตราชสีห์กลายเป็นผึ้งพิษ


 


ผึ้งไม่ได้บินหนีไป มันยกเหล็กในพิษของมันขึ้นและแทงไปที่เบ้าตาของภูตราชสีห์ สุดท้ายจึงเจาะทะลวงเข้าไปในสมอง


 


“โฮก…”


 


ภูตราชสีห์กรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง แต่ความทุกข์ทรมานของมันยังไม่สิ้นสุด


 


ในไม่ช้าภายใต้พลังอำนาจของวิญญาณอมตะกลายพันธุ์ระดับแปด กรงเล็บและฟันของมันก็เติบโตขึ้นจนกลายเป็นพืชอสูรบรรพกาล


 


ภูตราชสีห์กระพือปีกและพยายามหลบหนี


 


แต่นางรำหงหยุนไม่ยอมปล่อยมันไป สุดท้ายภูตราชสีห์ก็ร่วงลงสู่พื้นทราย


 


เมื่อฝุ่นควันจางหาย ภูตราชสีห์ก็นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้น มันตายแล้ว


 


“ไปเก็บกวาดสนามรบ” เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกลับเข้าสู่ร่างของนางรำหงหยุนพร้อมกับวิญญาณอมตะ


 


ดวงตาของนางรำหงหยุนส่องประกายขึ้น นางแทบกระโดดเข้าไปหาซากศพของภูตราชสีห์ทันที


 


“ข้ารวยแล้ว!”


 


“นี่คือซากศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิด มันเป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดที่หายากกระทั่งในสวรรค์สีเหลือง มันสามารถนำไปหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับแปด!”


 


นางรำหงหยุนเริ่มดำเนินการเก็บศพอย่างรวดเร็ว


 


แม้นางจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เผชิญหน้ากับศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิด นางยังไม่สามารถชำแหละร่างมันได้อย่างง่ายดาย


 


หลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก นางรำหงหยุนจึงสามารถผ่าครึ่งร่างของมัน


 


“น่าเสียดายที่ส่วนที่กลายพันธุ์ไม่สามารถใช้งานได้ พวกมันไร้ค่า หือ?”


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่นางรำหงหยุนพบฮันหลี่โดยไม่คาดคิด


 


ฮันหลี่หมดสติไปแล้วและอยู่ในสภาพใกล้ตาย


 


“เหตุใดถึงมีผู้ใช้วิญญาณมนุษย์อยู่ที่นี่?” นางรำหงหยุนพบว่ามันแปลก นางหัวเราะ “ข้าควรเรียกเจ้าว่าคนโชคดีหรือคนโชคร้าย? เจ้าถูกกินโดยสัตว์อสูรแรกกำเนิดแต่เพราะมันคือภูตราชสีห์ที่กินเพียงดวงวิญญาณ ด้วยร่างกายที่มีชีวิต เจ้าจึงรอดมาได้จนถึงตอนนี้ หากนี่เป็นสัตว์อสูรทั่วไป เจ้าคงกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว”


 


นางรำหงหยุนคว้าร่างของฮันหลี่ออกมาและค้นวิญญาณ


 


“หือ? สหายน้อยผู้นี้ชื่อฮันหลี่? แม้เขาจะไม่มีพื้นฐาน แต่โชคของเขายอดเยี่ยมจริงๆ”


 


“นี่คือ…มรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเจิ้งหยวนซืองั้นหรือ!?”


 


ดวงตาของนางรำหงหยุนเบิกกว้างขึ้นขณะที่นางรู้สึกหายใจลำบาก

 

 

 


บทที่ 1414 มรดกที่แท้จริงเปลี่ยนเจ้าของ

 

นางรำหงหยุนบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเมฆา แต่ด้วยวิธีค้นวิญญาณที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณ ผู้อมตะรุ่นหลังจึงได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้


 


ตอนนี้นางกำลังค้นวิญญาณของฮันหลี่ นางได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขารวมถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่ในค่ายกลวิญญาณ


 


“น่าสนใจ!” นางรำหงหยุนคว้าฮันหลี่และเดินไปยังถ้ำใต้พิภพ


 


ถ้ำเกือบพังทลายลงแล้วแต่นางรำหงหยุนยังพบค่ายกลวิญญาณขนาดเล็กอยู่ที่มุมหนึ่งของถ้ำ


 


นางมาถึงด้านหน้าค่ายกลวิญญาณ เส้นทางเปิดออกขณะที่จิตวิญญาณค่ายกลอุทาน “นายท่าน!”


 


แน่นอนว่ามันกำลังเรียกฮันหลี่


 


‘จิตวิญญาณค่ายกล! ค่ายกลวิญญาณที่พังทลายลงก่อนหน้านี้ยังสามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง นี่ต้องเป็นผลงานของจิตวิญญาณค่ายกลอย่างแน่นอน!’ นางรำหงหยุนถูกล่อลวง


 


‘มรดกที่แท้จริงของเจิ้งหยวนซือยังอยู่ที่นี่ ฮ่าฮ่า โอกาสของข้ามาถึงแล้ว!’ นางรำหงหยุนรู้สึกมีความสุขมาก


 


ดวงตาของนางส่องประกายขึ้น นางกล่าวกับฮันหลี่ “เด็กน้อย ข้าช่วยชีวิตเจ้า ดังนั้นเจ้าควรมอบมรดกที่แท้จริงนี้ให้ข้า”


 


ฮันหลี่เปิดเปลือกตาขึ้น “เอาไปเลย”


 


“เจ้าได้ยินแล้ว จิตวิญญาณค่ายกล เจ้านายของเจ้ามอบทุกสิ่งให้ข้าแล้ว” นางรำหงหยุนหันหน้ากลับมากล่าวกับจิตวิญญาณค่ายกล


 


“นี่…” จิตวิญญาณค่ายกลลังเล


 


“อันใด? เจ้าจะขัดคำสั่งเจ้านายของเจ้างั้นหรือ?” นางรำหงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


จิตวิญญาณค่ายกลนิ่งเงียบ


 


นางรำหงหยุนเย้ยหยัน “จิตวิญญาณค่ายกล เจ้าของเดิมของเจ้าคือเจิ้นหยวนซือ เขาสร้างมรดกที่แท้จริงเพื่อส่งต่อให้กับบุคคลในอนาคต ตอนนี้ฮันหลี่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดและกลายเป็นเจ้านายคนใหม่ของเจ้าแล้ว เจ้าจะต่อต้านเขางั้นหรือ?”


 


“ไม่อย่างแน่นอน” จิตวิญญาณค่ายกลกล่าวโดยไม่ลังเล


 


“แล้วเจ้าจะทำตามคำสั่งของฮันหลี่เจ้านายคนใหม่ของเจ้าหรือไม่?” นางรำหงหยุนถาม


 


“ข้าจะทำ” จิตวิญญาณค่ายกลตอบ


 


“เช่นนั้ฮันหลี่ให้เจ้าตอบแทนความเมตตาของข้า เจ้าจะต่อต้านหรือไม่?” นางรำหงหยุนกดดัน


 


จิตวิญญาณค่ายกลนิ่งเงียบไปชั่วขณะ มันรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติแต่มันไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น


 


ในที่สุดมันก็ถอนหายใจกล่าว “ไม่ปฏิเสธ ท่านจะเป็นเจ้านายคนใหม่ของข้า”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ยอมจำนนต่อข้าและอย่าต่อต้าน” หลังกล่าวจบคำ นางรำหงหยุนก็ส่งพลังงานอมตะของนางเข้าไป


 


จิตวิญญาณค่ายกลไม่ต่อต้านและปล่อยให้นางรำหงหยุนปรับแต่งแกนกลางของค่ายกล


 


วิญญาณอมตะถูกเปลี่ยนเจ้าของอย่างรวดเร็ว


 


นางรำหงหยุนได้รับวิญญาณอมตะหลายดวงและวิญญาณระดับมนุษย์อีกมากมาย มันเป็นมรดกที่แท้จริงและสมบูรณ์แบบของเจิ้นหยวนซือ


 


นางรำหงหยุนหัวเราะเสียงดัง นางไม่ได้เข้าไปทันทีแต่โบกมือไปที่ฮันหลี่


 


“กรุบ!”


 


ด้วยเสียงอันแผ่วเบา ฮันหลี่กลายเป็นกองเนื้อ เขาตายแล้ว กระทั่งดวงวิญญาณยังถูกทำลาย!


 


ปรากฏว่าฮันหลี่ไม่ได้ตื่นขึ้นจริงๆ นางรำหงหยุนใช้วิธีของนางเพื่อควบคุมฮันหลี่


 


มันเป็นเรื่องยากที่จะได้รับวิญญาณอมตะ


 


แต่ฮันหลี่เป็นมนุษย์ขณะที่นางรำหงหยุนเป็นผู้อมตะ


 


ความแตกต่างระหว่างผู้อมตะและมนุษย์ใหญ่โตเกินไป นางรำหงหยุนสามารถปราบปรามฮันหลี่ได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย


 


แน่นอนว่าหากผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์มีวิญญาณอมตะ มันจะไม่ง่ายสำหรับผู้อมตะที่จะฉกชิงวิญญาณอมตะจากพวกเขา


 


ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์สามารถทำลายวิญญาณอมตะได้ด้วยความคิดของพวกเขาเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของฮันหลี่พิเศษมาก


 


แม้ฮันหลี่จะผ่านการทดสอบและกลายเป็นผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริง แต่เขาไม่สามารถปรับแต่งค่ายกลวิญญาณหรือวิญญาณอมตะใดๆ


 


ดังนั้นวิญญาณของเจิ้นหยวนซือจึงถูกทิ้งไว้ที่เดิมและยังเต็มไปด้วยเจตจำนงของเขา


 


นี่เป็นช่องโหว่ที่นางรำหงหยุนใช้


 


มีเหตุผลพิเศษอีกประกาย นั่นคือจิตวิญญาณค่ายกล


 


จิตวิญญาณค่ายกลถูกสร้างขึ้นโดยเจิ้นหยวนซือ เขาจำลองมันมาจากจิตวิญญาณแผ่นดินและจิตวิญญาณสวรรค์


 


จิตวิญญาณค่ายกลเกิดจากวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา มันคล้ายกับจิตวิญญาณแผ่นดินและจิตวิญญาณสวรรค์ มันทั้งไร้เดียวสาและไม่สามารถโกหก


 


สิ่งนี้ทำให้นางรำหงหยุนสามารถหลอกล่อและโน้มน้าวมัน


 


หากปราศจากจิตวิญญาณค่ายกล นางรำหงหยุนจะไม่สามารถเจรจากับวิญญาณอมตะและปรับแต่งพวกมันได้อย่างง่ายดาย


 


แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางรำหงหยุนก็กลายเป็นผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริงของเจิ้งหยวนซือไปแล้ว


 


“เจิ้งหยวนซือเป็นผู้อมตะจากกองกำลังตระกูลเช่อ ผู้ใดจะคิดว่าผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะทิ้งมรดกที่แท้จริงไว้ที่นี่แต่ไม่ใช่ตระกูลของเขา” เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงถอนหายใจ “ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง เจิ้งหยวนซือไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับกองกำลังของเขา เขาถูกขับไล่ออกมา”


 


“ทั้งหมดต้องขอบคุณสามีที่ทำให้เราพบโชคลาภนี้โดยบังเอิญ” นางรำหงหยุนยิ้ม


 


“อืม หลังจากช่วยซุ้ยป๋อและกลับไปที่ทะเลทรายหมื่นรูปปั้น จงมอบมรดกที่แท้จริงนี้ให้กับร่างหลักของข้า อย่ากังวล เจ้าจะได้รับส่วนแบ่งที่เหมาะสม” เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกล่าวอย่างชัดเจน


 


นางรำหงหยุนรู้สึกสูญเสียกับเรื่องนี้ หากนางมอบมรดกที่แท้จริงให้บรรพชนพันเปลี่ยนแปลง เขาจะเหลือสิ่งใดให้นางบ้าง


 


แต่นางต้องมอบให้เขา


 


ตลอดกระบวนการ เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเฝ้ามองนางอย่างใกล้ชิด


 


นางรำหงหยุนค่อนข้างแข็งแกร่งแต่เปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับแปด นางยังไม่ถือเป็นสิ่งใด


 


‘แต่หากข้าอยู่เพียงลำพัง ข้าย่อมไม่เสี่ยงและจะไม่ได้รับมรดกที่แท้จริงของเจิ้งหยวนซือ ทุกอย่างเป็นเพราะสามี’


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจของนางรำหงหยุนจึงสงบลง


 


นางตรวจสอบกำไรที่ได้รับและพบว่ามรดกนี้มีวิญญาณอมตะสามดวง สองดวงเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกล แม้มันจะมีน้อย แต่พวกมันก็เป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด


 


จิตวิญญาณค่ายกลถูกพิจารณาว่าเป็นกึ่งวิญญาณอมตะ


 


หากไม่ใช่เพราะค่ายกลวิญญาณนี้พังทลายลงไปบางส่วน นางรำหงหยุนจะได้รับผลประโยชน์มากกว่านี้


 


หลังจากเปลี่ยนสถานะ นางรำหงหยุนเย้ยหยันฮันหลี่ว่าเป็นขยะ เป็นเพียงมนุษย์แต่กล้าทดลองรับมรดกที่แท้จริงของผู้อมตะ เขาสมควรตายอย่างแท้จริง!

 

 

 


บทที่ 1415 โชคที่มั่นคง

 

“นายท่าน ท่านไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณนี้ มิฉะนั้นข้าจะถูกทำลายไปด้วย” เป็นเพียงเวลานี้ที่จิตวิญญาณค่ายกลกล่าวกับนางรำหงหยุน


 


นางรำหงหยุนพยักหน้า


 


จิตวิญญาณค่ายกลผู้นี้มีประโยชน์มาก


 


เมื่อค่ายกลวิญญาณพังทลายลงก่อนหน้านี้ มันสามารถกู้คืนส่วนหนึ่งของค่ายกลวิญญาณด้วยตัวมันเองโดยไม่พึ่งพาผู้ใด ด้วยเหตุนี้ค่ายกลวิญญาณนี้จึงคงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน


 


เช่นเดียวกับจิตวิญญาณแผ่นดินหรือจิตวิญญาณสวรรค์ที่สามารถซ่อมแซมแดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์ของพวกมัน


 


นางรำหงหยุนจะไม่ละทิ้งจิตวิญญาณค่ายกลที่มีประโยชน์เช่นนี้


 


จิตวิญญาณค่ายกลกล่าวต่อ “โชคดีที่มีวิญญาณอมตะธงค่ายกลอยู่ในค่ายกลวิญญาณ นายท่านควรใช้มันเก็บค่ายกลวิญญาณนี้ก่อนจะเก็บไว้ในมิติช่องว่างของท่าน”


 


ย้อนกลับไปตั้งแต่เจิ้งหยวนซือเป็นผู้สร้างจิตวิญญาณค่ายกล เขาก็รู้ถึงขีดจำกัดของมันและคิดวิธีสนับสนุนมันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


 


ก่อนหน้านี้จิตวิญญาณค่ายกลก็ใช้วิญญาณอมตะธงค่ายกลเพื่อซ่อมแซมค่ายกลวิญญาณที่พังทลายลง ดังนั้นนางรำหงหยุนจึงต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันเป็นอันดับแรก


 


…..


 


ไม่กี่วันต่อมา


 


ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวที่สว่างไสว


 


อากาศเย็นลงและมีหมอกบางๆ


 


บนเนินทรายธรรมดาแห่งหนึ่ง แสงบนร่างของฟางหยวนจางหายไป


 


ในที่สุดมันก็กลายเป็นจุดแสงจมลงสู่ความมืด


 


ฟางหยวนสูดหายใจก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น


 


‘ข้าสงสัยว่าผลลัพธ์สุดท้ายของท่าไม้ตายอมตะโชคที่มั่นคงนี้คือสิ่งใด?”


 


ในช่วงเวลาที่ผ่านมาฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายนี้เป็นครั้งคราว


 


เขาได้รับท่าไม้ตายอมตะโชคที่มั่นคงนี้มาจากหม่าหงหยุน


 


แน่นอนว่าท่าไม้ตายอมตะโชคที่มั่นคงเป็นส่วนหนึ่งของโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจากมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือด


 


โชคที่มั่นคงเหมาะสมกับฟางหยวนมาก


 


พลังอำนาจของมันคือการทำให้โชคของฟางหยวนไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกอย่างง่ายดาย


 


ฟางหยวนกังวลเกี่ยวกับจุดอ่อนของการเชื่อมโยงโชคมาตลอด


 


ท้ายที่สุดแล้วเหตุผลที่เขาเชื่อมโยงโชคกับฮันหลี่ หงอี้ และเย่ฟาน นั่นเป็นเพราะคนทั้งสามเป็นคนโชคดี แต่สิ่งต่างๆเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากฟางหยวนได้รับวิญญาณอมตะโชคอึสุนัข นั่นทำให้โชคของเขาเหนือกว่าคนอื่นๆ


 


นี่หมายความว่าฟางหยวนต้องแบ่งปันโชคกับฮันหลี่และคนอื่นๆ


 


สิ่งนี้เป็นอันตรายต่อเขา


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชค โชคที่ระเบิดขึ้นจะถูกแบ่งให้กับคนที่เหลือ


 


ในอดีตฟางหยวนไม่มีทางเลือกแต่หลังจากค้นวิญญาณของหม่าหงหยุน เขาพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว


 


โชคที่มั่นคงคือทางออก


 


แกนกลางของท่าไม้ตายนี้คือวิญญาณอมตะความดื้อรั้นและวิญญาณอมตะหลักบนเส้นทางแห่งกฎ แต่หลังจากดัดแปลง ฟางหยวนสามารถใช้วิญญาณอมตะความระมัดระวังและวิญญาณอมตะใหญ่เป็นแกนกลางของมัน


 


ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะความระวังระวังมานานแล้วขณะที่วิญญาณอมตะใหญ่มาจากราชันภูเขาม่วง


 


ราชันภูเขาม่วงเป็นมนุษย์จิ๋ว หลังจากใช้วิญญาณอมตะใหญ่ ร่างกายของเขาจึงสามารถขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นผู้อมตะมนุษย์


 


อย่างไรก็ตามความสำเร็จบนเส้นทางแห่งโชคของฟางหยวนไม่ได้อยู่ในระดับปรมาจารย์ ดังนั้นเขาจึงสามารถปรับเปลี่ยนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งโชคได้เพียงบางส่วนเท่านั้น


 


ท่าไม้ตายนี้มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง เมื่อกระตุ้นใช้งาน แม้ฟางหยวนจะไม่ผิดพลาด แต่มันยังมีโอกาสล้มเหลว


 


ฟางหยวนรู้จุดอ่อนนี้แต่เขาไม่สามารถแก้ไขมัน


 


ในอดีต ฟางหยวนต้องการวิญญาณอมตะตัดโชค แต่ตอนนี้กระทั่งเขาจะไม่มีวิญญาณอมตะตัดโชค แต่เขามีท่าไม้ตายอมตะโชคที่มั่นคง มันสามารถปกป้องผลประโยชน์ของเขา


 


พลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะโชคที่มั่นคงไม่สามารถมองเห็น เขาไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้


 


แต่จากข้อมูล ฟางหยวนรู้ว่าหากคนสองคนอยู่ฝ่ายเดียวกัน โชคของพวกเขาจะรวมกันเป็นหนึ่ง พวกเขาจะพบโชคลาภหรือภัยพิบัติพร้อมกัน


 


อย่างไรก็ตามจากการวิจัยของเทพอมตะตะวันเดือด เขาพบว่าแม้โชคจะรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ยังมีความแตกต่างเล็กน้อย


 


บางคนจะได้รับโชคลาภที่มากกว่าและประสบเคราะห์ร้ายที่น้อยกว่า


 


เพราะเหตุใด?


 


เทพอมตะตะวันเดือดตระหนักว่าผู้ที่โชคดีกว่าจะได้รับประโยชน์มากกว่า ผู้ที่โชคดีน้อยกว่าจะพบกับภัยพิบัติที่รุนแรงกว่าและยังแบ่งนำผลประโยชน์ไปให้อีกคน


 


เทพอมตะตะวันเดือดตั้งชื่อความสัมพันธ์นี้ว่าโชคหลักและโชครอง อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่มีวิญญาณอมตะหลักและวิญญาณอมตะรอง


 


แต่ฟางหยวนสามารถแก้ไขโชคของตนเองและสร้างความแตกต่างระหว่างโชคของพวกเขา นั่นทำให้เขากลายเป็นโชคหลัก


 


หลังจากพักผ่อนชั่วครู่ ฟางหยวนเปลี่ยนไปแก้ปัญหาเกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเอง


 


ในแง่ของเส้นทางแห่งค่ายกล ฟางหยวนมีความมั่นใจมากกว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


ด้วยความได้เปรียบของเขา ความก้าวหน้าของเขาในด้านนี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว


 


ท่าไม้ตายอมตะชำระล้างตัวเองกลายเป็นค่ายกลวิญญาณอมตะ มันอยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงไม่กี่ก้าว


 


ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ความกังวลของฟางหยวนคือเขาขาดวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


เขาสามารถยืมวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา แต่มันเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหกขณะที่ค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองเป็นค่ายกลวิญญาณอมตะระดับเจ็ด


 


หากใช้วิญญาณอมตะระดับหกในค่ายกลวิญญาณอมตะระดับเจ็ด โอกาสล้มเหลวจะสูงขึ้น


 


เหตุผลอีกประการก็คือวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลของนิกายหลางหยาบันทึกค่ายกลวิญญาณอมตะเคลื่อนย้ายสถานที่ของนิกายเอาไว้ หากฟาหยวนต้องการใช้มันในค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเอง เขาต้องลบข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกลวิญญาณอมตะเคลื่อนย้ายสถานที่ออกไป


 


หากเขาประสบความสำเร็จในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเอง วิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลก็จะบันทึกค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองเอาไว้


 


นี่เป็นปัญหา


 


ค่ายกลวิญญาณอมตะเคลื่อนย้ายสถานที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาของนิกายหลางหยา


 


นิกายหลางหยาต้องพึ่งพาวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลดวงนี้


 


หากฟางหยวนลบข้อมูลเดิมออกไปและบันทึกข้อมูลใหม่ มันก็หมายความว่านิกายหลางหยาจะสูญเสียค่ายกลวิญญาณอมตะเคลื่อนย้ายสถานที่


 


แน่นอนว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาย่อมไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้


 


พวกเขาไม่มีวิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูลอื่นเพื่อดึงข้อมูลจากวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลออกมาเก็บไว้


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังพยายามโน้มน้าวจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาว่าเขาในฐานะปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลสามารถสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะเคลื่อนย้ายสถานที่ได้ด้วยตัวของเขาเอง


 


แต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยายังรู้สึกลังเล

 

 

 


บทที่ 1416 การมาถึงของหงหยุน

 

ฟางหยวนไม่สามารถบังคับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา


 


แม้เขาจะต้องการสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองแต่ปราศจากวิญญาณอมตะที่สำคัญเขาก็ไม่สามารถทำได้


 


‘นอกจากนั้นข้ายังต้องหยิบยืมพลังของนิกายหลางหยาเพื่อหลอมรวมวิญญาณ’


 


ฟางหยวนได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง แต่เขายังขาดวิญญาณอมตะ เขามีแผนการที่จะหลอมรวมวิญญาณอมตะอีกมากมาย


 


หากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปฏิเสธ แล้วเขาจะทำอย่างไร?


 


ฟางหยวนต้องพิจารณาถึงปัญหานี้


 


เขามักจะทำสิ่งต่างๆโดยคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนเสมอ


 


‘หากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปฏิเสธที่จะให้ยืมวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกล ข้าต้องใช้มิติช่องว่างของผู้อื่น’


 


ฟางหยวนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมาก มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปในมิติช่องว่างของสมาชิกนิกายเงาคนอื่นๆ


 


เว้นเพียงพวกเขาจะวางมิติช่องว่างลงเพื่อสร้างสมดุลเท่านั้น


 


หลังจากฟางหยวนเข้าสู่มิติช่องว่างของอีกคน เขาจะใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อเร่งเวลาของที่นั่น


 


ด้วยวิธีนี้หนึ่งวันของโลกภายนอกก็อาจเท่ากับหนึ่งเดือนในมิติช่องว่าง


 


สิ่งนี้จะช่วยให้เขาได้รับเวลาอันมีค่าในการทำงาน


 


เขาจะสามารถชำระล้างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลทั้งหมด


 


นี่คือแผนการของฟางหยวนในกรณีที่เขาไม่มีทางเลือกอื่น


 


แต่วิธีนี้มีข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นกัน


 


หลังจากวางมิติช่องว่างลง พวกเขาต้องหยุดเดินทางขณะที่วังสวรรค์กำลังไล่ล่าพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ศัตรูจะมีวิธีทะลวงเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์


 


นอกจากนั้นหากฟางหยวนปรับเปลี่ยนเวลาในมิติช่องว่างบ่อยเกินไป สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในมิติช่องว่างของพวกเขาจะเกิดความปั่นป่วนและจะทำให้เวลาในมิติช่องว่างของพวกเขาหยุดเดิน


 


จากการคำนวณ ฟางหยวนตระหนักว่าหากเขาใช้วิธีนี้กับผู้ใด คนผู้นั้นจะพบภัยพิบัติทันที


 


นี่เป็นเรื่องยากลำบาก


 


เจตจำนงสวรรค์พยายามทุกวิถีทางเพื่อสังหารฟางหยวน


 


แม้ฟางหยวนจะใช้มิติช่องว่างของอีกคน แต่เจตจำนงสวรรค์ก็ยังมองเห็นทุกอย่างและสามารถจัดการฟาหงยวนในภัยพิบัติ มันจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อสังหารผู้อมตะที่ฟางหยวนเลือกระหว่างภัยพิบัติอย่างแน่นอน


 


ฟางหยวนและคนอื่นๆสามารถร่วมมือกันต่อต้านภัยพิบัติ


 


แต่วังสวรรค์กำลังไล่ล่าพวกเขา


 


เมื่อพิจารณาจากเวลาและความเร็ว วิธีการวางมิติช่องว่างลงเพื่อกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลมีความเสี่ยงสูงมาก พวกเขาต้องต่อสู้กับภัยพิบัติและยังต้องเผชิญหน้ากับผู้อมตะจากวังสวรรค์ในเวลาเดียวกัน


 


มันเสี่ยงเกินไป


 


หากฟางหยวนใช้มิติช่องว่างจักรพรรดิ มันจะยิ่งอันตราย


 


ฟางหยวนมีความกังวลข้อหนึ่ง ‘ก่อนหน้านี้มีเพียงฟงจิวเก้อที่ไล่ล่าพวกเรา ข้าสงสัยว่าผู้อมตะจากวังสวรรค์จะปรากฏตัวขึ้นกี่คนในครั้งต่อไป!?’


 


ดังนั้นในช่วงเวลานี้ฟางหยวนจึงต้องเดินทางอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่เปิดโอกาสให้วังสวรรค์ปิดล้อมพวกเขา


 


ทะเลทรายตะวันตกใหญ่โตมาก วังสรรค์ต้องเข้าสู่ภูมิภาคอื่น ขณะเดียวกันฟางหยวนก็สามารถใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเคลื่อนย้ายสถานที่ มันเป็นเรื่องยากที่ฝ่ายตรงข้ามจะค้นหาและฆ่าพวกเขา


 


เมื่อถึงเวลาที่กำหนด หลายร่างก็บินเข้ามาหาฟางหยวน


 


พวกเขาก็คือไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน และคนอื่นๆ


 


โดยปกติแล้วเมื่อฟางหยวนอนุมาน พวกเขาจะกระจายตัวออกไปเพื่อเฝ้าระวังสภาพแวดล้อม


 


“ฟางหยวน เมื่อใดค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองจะเสร็จสมบูรณ์? เราต้องวิ่งต่อไปอีกนานเท่าใด?” ไป่หนิงปิงบินลงมาและขมวดคิ้วถาม


 


ฟางหยวนไม่จำเป็นต้องมองไปรอบๆ เขารู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังมองมาที่เขาด้วยคำถามเดียวกัน


 


“รออีกหน่อย” ฟางหยวนกล่าว


 


ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจ


 


นางเป็นคนใจร้อนที่สุดในกลุ่ม วิถีชีวิตเช่นนี้ไม่น่าตื่นเต้น นางรู้สึกเบื่อหน่าย


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างค่ายกลวิญญาณนั้น เพียงจัดตั้งค่ายกลวิญญาณล่อลวงศัตรูและสังหารพวกเขาให้หมด!” ไป่หนิงปิงแนะนำ


 


ฟางหยวนส่ายศีรษะ “เจ้าคิดว่ามันง่ายงั้นหรือ? เราจะหาสาขาของสายธารแห่งกาลเวลามากมายมาจากที่ใด?”


 


ค่ายกลวิญญาณที่เคยทำร้ายฟงจิวเก้อก่อนหน้านี้มาจากมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน


 


ไห่ฟานสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันสัตว์อสูรแรกกำเนิด


 


เนื่องจากวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำจะดึงดูดอสูรปีแรกกำเนิดให้เข้าสู่มิติช่องว่างของผู้อมตะผ่านสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา ดังนั้นไห่ฟานจึงต้องใช้ค่ายกลวิญญาณนี้เพื่อบังคับให้อสูรปีแรกกำเนิดกลับไปในสายธารแห่งกาลเวลา


 


แน่นอนว่าวิธีนี้เป็นไพ่ตายที่สามารถใช้ในเวลาที่ไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น


 


ด้วยการทำลายสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา เวลาในมิติช่องว่างจะหยุดนิ่ง มันเป็นเรื่องยากที่จะดึงสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเข้าไปอีกครั้ง


 


“ข้ารู้สึกเช่นเดียวกัน ข้าไม่ชอบการถูกตามล่า”


 


“แต่ข้าจะรวบรวมความเกลียดชังเอาไว้ในใจเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมในการตอบโต้และจัดการคนเหล่านั้นอย่างรุนแรง”


 


“นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่หรือ? ความตื่นเต้นในอนาคต”


 


“ฮืม!” ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นอีกครั้งและหยุดกล่าว


 


“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว” ฟางหยวนพึ่งกล่าวจบเมื่อการแสดงออกของไป่หนิงปิงและคนอื่นๆเปลี่ยนไป


 


บนท้องฟ้า เมฆสีแดงลอยลงมา


 


นางรำหงหยุน!


 


นางมองมาที่ฟางหยวนและคนอื่นๆที่อยู่บนเนินทราย


 


“สนมซุ้ย พวกเขาคือผู้ใด? เหตุใดเจ้าถึงอยู่กับพวกเขา?” นางรำหงหยุนถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ


 


สนมซุ้ยก็คือเทพธิดาซุ้ยป๋อ


 


“หงหยุน?” อิงอู๋เซี่ยรู้สึกประหลาดใจก่อนที่นางจะเปิดปากถามด้วยการแสดงออกที่สนุกสนาน “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?”


 


เมฆสีแดงเคลื่อนลงมาอย่างช้าๆขณะที่นางรำหงหยุนเฝ้ามองเทพธิดาซุ้ยป๋อผู้นี้


 


อิงอู๋เซี่ยใช้ร่างกายของเทพธิดาซุ้ยป๋อโดยการสลับวิญญาณ เป็นธรรมดาที่มันจะมีข้อบกพร่องบางอย่าง


 


หากเป็นผู้อมตะทั่วไป นางรำหงหยุนอาจเห็นข้อบกพร่อง แต่นี่คืออิงอู๋เซี่ย


 


แล้วอิงอู๋เซี่ยคือผู้ใด?


 


เขาคือร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าฟางหยวนหลายเท่า


 


เทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นผู้สร้างเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เขามีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างแยกเหล่านี้แฝงตัวอยู่ในห้าภูมิภาคได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง แน่นอนว่าอิงอู๋เซี่ยต้องมีวิธีปกปิดร่องรอยของตนเอง


 


ดังคาดหลังจากนางรำหงหยุนใช้วิธีตรวจสอบของนาง นางไม่พบสิ่งผิดปกติกับเทพธิดาซุ้ยป๋อผู้นี้


 


การแสดงออกของนางดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากำลังมีปัญหา ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของเจ้าได้รับผลกระทบ ข้ากับสามีเป็นห่วงเจ้า ดังนั้นข้าจึงออกมาช่วยเจ้า แต่ดูเหมือนเจ้าจะสบายดี”


 


นางรำหงหยุนถามอีกครั้ง “พวกเขาคือผู้ใด? หือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับพวกเขา?”


 


นางรำหงหยุนมองไปที่ฟางหยวน


 


ทันใดนั้นการแสดงออกของนางก็เปลี่ยนแปลงไป นางตกใจมาก “หลิวกวนซื่อ?”


 


นางรำหงหยุนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะได้รับข้อมูลมากกว่าผู้อมตะทั่วไป


 


และตอนนี้ฟางหยวนก็อยู่ในร่างที่แท้จริงของเขา


 


“เป็นข้า” ฟางหยวนตอบอย่างเย็นชาและสงบนิ่ง


 


นางรำหงหยุนถอยห่างออกไปเล็กน้อย


 


เผชิญหน้ากับหลิวกวนซือ นางรู้สึกถึงแรงกดดัน


 


นี่คือคนที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด!


 


ไม่นานมานี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก สถานะของเขาเท่าเทียมกับฟงจิวเก้อ


 


‘โชคดีที่ข้ามีเจตจำนงของสามีและวิญญาณอมตะระดับแปด มิฉะนั้น…’ นางรำหงหยุนรู้สึกอุ่นใจขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้


 


นางกล่าว “สนมซุ้ย เจ้าทำให้สามีและข้ากังวล เจ้ารวมกลุ่มกับผู้อมตะจากภูมิภาคอื่น นอกจากนั้นเจ้ายังไม่แม้แต่จะส่งข่าวถึงพวกเรา!”


 


นางรำหงหยุนมีเป้าหมายของนางเอง นางกล่าวเรื่องนี้เพื่อสร้างความบาดหมางระหว่างบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและเทพธิดาซุ้ยป๋อ


 


บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงชื่นชอบเทพธิดาซุ้ยป๋อมากที่สุด แน่นอนว่านางรำหงยุนอิจฉามาก ดังนั้นนางจะไม่ทิ้งโอกาสที่จะโจมตีเทพธิดาซุ้ยป๋อ


 


นางกล่าวกับอิงอู๋เซี่ยแต่แท้จริงแล้วเป้าหมายของนางคือเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


สายตาของฟางหยวนกลายเป็นมืดครึ้มขณะที่ไป่หนิงปิงและไห่ลั่วหลันมองหน้ากัน


 


คำกล่าวของนางรำหงหยุนชัดเจนว่านางไม่สนใจหลิวกวนซือ ความมั่นใจของนางย่อมมาจากพลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนาง


 


ฟางหยวน ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลันเข้าใจเรื่องนี้ แต่อิงอู๋เซี่ย เทพธิดาเมี่ยวหยิน และเทพธิดากระต่ายขาวไม่ตระหนักถึง


 


“เอาล่ะ เล่าเรื่องของเจ้ามา ซุ้ยป๋อ ข้าอยากรู้มาก” เป็นเพียงเวลานี้ที่เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงออกมาจากร่างของนางรำหงหยุน


 


‘นางมีไพ่ตาย’ อิงอู๋เซี่ยคิด


 


‘นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ มาดูกันว่าอิงอู๋เซี่ยจะผ่านมันไปได้อย่างไร?’ ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น


 


ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆกังวลเล็กน้อย


 


อิงอู๋เซี่ยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ในความเป็นจริงเขายังเด็ก ทักษะการแสดงของเขาด้อยกว่าฟางหยวน มันเป็นเรื่องยากที่บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจะไม่รู้สึกถึงข้อบกพร่องบางอย่างจากการแสดงของอิงอู๋เซี่ย


 


แล้วเขาจะทำได้หรือไม่?

 

 

 


บทที่ 1417 ร่วมมือกับบรรพชนพันเปลี่ยน...

 

“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น…” เมื่อเวลาผ่านไป เทพธิดาซุ้ยป๋อก็อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนาง


 


ตามที่นางบอก นางพยายามค้นหามรดกของกองกำลังพันธมิตรผีดิบแต่นางบังเอิญพบผู้อมตะของวังสวรรค์


 


ผู้อมตะของวังสวรรค์รู้ว่านางเป็นสนมของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


เทพธิดาซุ้ยป๋อใช้ชื่อของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงข่มขู่ แต่นั่นยิ่งเพิ่มความเกลียดชังให้กับพวกเขา


 


ในการต่อสู้ เทพธิดาซุ้ยป๋อเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


โชคดีที่นางได้พบกับหลิวกวนซื่อและคนอื่นๆ


 


ปรากฏว่าวังสวรรค์กำลังไล่ล่าหลิวกวนซื่อ


 


ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร หลิวกวนซื่อช่วยเทพธิดาซุ้ยป๋อและหลบหนีมาพร้อมกัน


 


แต่เนื่องจากพวกเขาถูกโจมตีโดยท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบของวังสวรรค์ พวกเขาจึงไม่สามารถแยกทางเนื่องจากศัตรูจะสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย


 


โดยสรุปแล้วอิงอู๋เซี่ยสามารถอธิบายรายละเอียดได้อย่างไร้ที่ติ คำกล่าวของเขาแทบจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาประสบกับสถานการณ์นี้มาจริงๆ


 


ในความเป็นจริงตั้งแต่ฟางหยวนและคนอื่นๆจับตัวเทพธิดาซุ้ยป๋อ พวกเขาก็วางแผนไว้แล้ว


 


คำอธิบายของอิงอู๋เซี่ยเป็นการผสมผสานระหว่างความจริงและคำลวง ฟางหยวนและคนอื่นๆถูกเปลี่ยนสถานะจากศัตรูเป็นมิตร ในขณะที่ฟงจิวเก้อที่ปรากฏตัวขึ้นในคำอธิบายเหล่านี้ก็สมจริงมาก


 


มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล


 


ปัญหาเดียวคือเทพธิดาซุ้ยป๋อสูญเสียวิญญาณอมตะทั้งหมดและวิญญาณระดับมนุษย์ส่วนใหญ่ของนางในการต่อสู้


 


เรื่องนี้บังเอิญเกินไป


 


แต่ไม่มีทางเลือก


 


หากบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงต้องการให้อิงอู๋เซี่ยแสดงวิญญาณอมตะของเทพธิดาซุ้ยป๋ออกมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ นั่นจะกลายเป็นหายนะ


 


ท้ายที่สุดวิญญาณของเทพธิดาซุ้ยป๋อก็เต็มไปด้วยเจตจำนงของนาง อิงอู๋เซี่ยไม่สามารถใช้งานพวกมัน


 


ในความเป็นจริงตั้งแต่เทพธิดาซุ้ยป๋อถูกจับโดยไป่หนิงปิง นางก็ระเบิดทำลายวิญญาณอมตะทั้งหมดของนางไปแล้ว


 


ไม่เหลือทรัพยากรทิ้งไว้ให้ศัตรู!


 


ดังนั้นฟางหยวนและคนอื่นๆจึงต้องกล่าวเช่นนี้เพื่อชดเชยข้อบกพร่องดังกล่าว


 


นางรำหงหยุนตกใจมากกับเรื่องนี้


 


นางมองเทพธิดาซุ้ยป๋อโดยไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพบอันตรายที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้


 


และความจริงก็คือกระทั่งไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน และคนอื่นๆก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน


 


การแสดงของอิงอู๋เซี่ยยอดเยี่ยมมาก เขาไม่มีข้อบกพร่อง มันดูธรรมชาติและสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ


 


‘อิงอู๋เซี่ยได้รับทักษะนี้มาตั้งแต่เมื่อใด?’ ไห่ลั่วหลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


มีเพียงฟางหยวนเท่านั้นที่ไม่แปลกใจกับทักษะการแสดงของอิงอู๋เซี่ย


 


เหตุผลเป็นเพราะเขาให้อิงอู๋เซี่ยยืมวิญญาณทัศนคติ ด้วยวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้ การแสดงของอิงอู๋เซี่ยจึงดูเป็นธรรมชาติมาก


 


โดยเฉพาะเมื่อเขาแสดงต่อหน้าผู้อมตะระดับเจ็ดและเจตจำนงของผู้อมตะระดับแปด


 


หากบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงมาด้วยตัวเอง มันอาจมีปัญหา แต่อิงอู๋เซี่ยสามารถจัดการเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมบูรณ์


 


ประสบความสำเร็จ!


 


ไม่ว่าจะเป็นนางรำหงหยุนหรือเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง ทั้งสองไม่สงสัยในคำกล่าวของอิงอู๋เซี่ย


 


ฟางหยวนเห็นสิ่งนี้และเริ่มกล่าว “บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและเทพธิดาหงหยุน ผู้อมตะจากวังสวรรค์กำลังไล่ล่าพวกเรา แต่เทพธิดาซุ้ยป๋อได้รับความช่วยเหลือจากพวกเรา นั่นเป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธ”


 


เขากล่าวด้วยความหยิ่งยโส กระทั่งต่อหน้าผู้อมตะระดับแปด เขาก็ไม่เกรงกลัว


 


ฟางหยวนไม่มีวิญญาณทัศนคิตแต่ทักษะการแสดงของเขายอดเยี่ยมมาก เขาสามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย


 


เขาทำให้เทพธิดาซุ้ยป๋อตายแต่เขากลับแสดงตัวเป็นผู้มีพระคุณต่อนาง


 


นี่เป็นเรื่องไร้ยางอาย แต่ฟางหยวนทำตัวราวกับมันเป็นเรื่องจริง


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเงียบ


 


แม้ฟางหยวนจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ชื่อเสียงของหลิวกวนซื่อทำให้เขาสามารถพูดคุยได้อย่างเท่าเทียมกับเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


หากบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงมาด้วยตนเอง ฟางหยวนอาจไม่สามารถกล่าวในลักษณะนี้


 


แต่เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและตัวบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน


 


หลังจากคิด เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจึงเปิดปากกล่าว “เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล?”


 


ริมฝีปากของฟางหยวนโค้งงอขึ้น


 


เขายิ้ม


 


รอยยิ้มที่สดใสราวกับดวงตะวันของเขาทำให้นางรำหงหยุนกลายเป็นมึนงง เขาหล่อมาก!


 


‘ข้าไม่ต้องการรางวัล แต่ข้ามีข้อเสนอ” ฟางหยวนกล่าว


 


“มันคือสิ่งใด?”


 


“พันธมิตร” ฟางหยวนกล่าว


 


“พันธมิตร?” เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเงียบลงอีกครั้ง


 


ฟางหยวนกระตุ้น “บรรพชนพันเปลี่ยนแปลง ท่านได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง ท่านถูกจับตามองโดยวังสวรรค์ ทัศนคติที่พวกเขามีต่อท่านสามารถบอกได้จากการโจมตีเทพธิดาซุ้ยป๋อ”


 


“เพราะเกราะหวนคืน ข้าจึงถูกวังสวรรค์ไล่ล่ามาจนถึงที่นี่ เรามีศัตรูร่วมกัน นั่นคือวังสวรรค์”


 


“การช่วยเหลือซึ่งกันและกันคือการช่วยเหลือตนเองถูกต้องหรือไม่?”


 


“ข้ามีวิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่มีประสิทธิภาพ ข้าสามารถชะลอเวลาในมิติช่องว่างของท่านเพื่อผลักภัยพิบัติออกไป”


 


“นอกจากนี้ข้ายังมีมรดกบนเส้นทางแห่งโชค หม่าหงหยุนเสียชีวิตในมือของข้า ข้าได้รับมรดกโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดส่วนหนึ่งของเขา นี่เป็นมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือด”


 


“สามี?” นางรำรู้สึกประทับใจอย่างมากกับลิ้นสองแฉกของฟางหยวน


 


“สามี ข้าคิดว่าเราสามารถสร้างพันธมิตร” อิงอู๋เซี่ยพยายามโน้มน้าวเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


ในที่สุดเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงก็เปิดปากกล่าว แต่สิ่งที่เขากล่าวคือ


 


“เราสามารถเป็นพันธมิตร”


 


“แต่ความร่วมมือของเราต้องค่อยเป็นค่อยไป”


 


“หลิวกวนซื่อ เจ้าต้องการใช้ข้าจัดการผู้อมตะจากวังสวรรค์ แล้วเหตุใดเจ้าไม่บอกแผนการของเจ้า?”


 


“เราสามารถร่วมมือกันอย่างช้าๆ หากมันเป็นไปได้ด้วยดี ข้าสามารถออกไปปิดกั้นผู้อมตะจากวังสวรรค์ให้เจ้า หากความร่วมมือของเราไม่น่าพอใจ ข้าต้องขอดูความจริงใจของเจ้าก่อนที่เราจะร่วมงานกันต่อไป”


 


บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเป็นผู้อมตะระดับแปด เขาไม่ใช่ตัวตนที่จะหลอกลวงได้โดยง่าย


 


เขาเป็นนักวางแผนเช่นกัน เขาพยายามเปิดเผยแผนการของฟางหยวนและยังใช้แรงกดดันจากวังสวรรค์เพื่อบังคับให้ฟางหยวนสละผลประโยชน์บางอย่าง


 


“ความจริงใจ?” ฟางหยวนยิ้ม “มันควรเป็นความจริงใจจากทั้งสองฝ่าย เราช่วยเทพธิดาซุ้ยป๋อ นั่นคือการแสดงความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา แล้วความจริงใจของท่านคือสิ่งใด?”


 


ฟางหยวนหลีกเลี่ยงหัวข้อเกี่ยวกับวังสวรรค์และใช้คำกล่าวของเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงตอบโต้กลับไป


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงคิดก่อนกล่าว “เราสามารถทดลองการร่วมมือกันก่อนเช่นการทำธุรกรรม เจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะพยายามเติมเต็มความพึงพอใจของเจ้า”

 

 

 


บทที่ 1418 ตกลงสู่กับดัก

 

“ธุรกรรม?” ฟางหยวนยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง


 


เขาเข้าใจความคิดของฝ่ายตรงข้ามทันที


 


บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง หลังจากหลายปี เขามีรากฐานเพียงพอที่จะทำธุรกรรมกับฟางหยวนอย่างไม่ต้องสงสัยแม้เขาจะพบความสูญเสียครั้งใหญ่ในภัยบิบัติครั้งล่าสุดก็ตาม


 


แต่เนื่องจากภัยพิบัติ บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงไม่ต้องการต่อสู้ หากเขาตกลงเป็นพันธมิตรกับฟางหยวน เขาต้องเผชิญหน้ากับผู้อมตะจากวังสวรรค์


 


บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงไม่ได้โง่เขลา เขาจะกลายเป็นเครื่องมือของฟางหยวนได้อย่างไร?


 


แต่…


 


ข้อเสนอของฟางหยวนดึงดูดใจเกินไป


 


ไม่ว่าจะเป็นวิธีชะลอเวลาของไห่ฟานหรือมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชค พวกมันล้วนเป็นวิธีรับมือภัยพิบัติที่หาได้ยาก


 


บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงพบความสูญเสียครั้งใหญ่จากภัยพิบัติของเขา ตอนนี้เขาต้องการวิธีการเหล่านี้เป็นอย่างมาก


 


เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน ช่วยไม่ได้ที่บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจะต้องการร่วมมือกับหลิวกวนซื่อ แต่ผลประโยชน์จะกลายเป็นปัญหาในอนาคตเมื่อหลิวกวนซื่อเผชิญหน้ากับวังสวรรค์ บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานั้น


 


ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเขาต่อสู้อย่างดุเดือด เขาจะเปิดเผยความอ่อนแอออกมา


 


ดังนั้นบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจึงต้องการทำธุรกรรมกับฟางหยวนซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือ


 


ด้วยวิธีนี้นอกจากเขาจะสามารถตอบแทนความเมตตาของฟางหยวนที่ช่วยเทพธิดาซุ้ยป๋อ เขายังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฟางหยวนอีกด้วย


 


เรื่องนี้เป็นประโยชน์


 


หลังจากพัฒนาความสัมพันธ์กับฟางหยวน ในอนาคตหากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาสามารถใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้าง


 


ผู้อมตะระดับแปดล้วนเป็นจอมวางแผน แม้นี่จะเป็นเพียงเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง มันก็ยังมีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมและสามารถคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างแม่นยำ


 


ฟางหยวนเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ตกลง ข้าต้องการวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกล ท่านมีสิ่งใดบ้าง?”


 


แท้จริงแล้วฟางหยวนมีความหวังเพียงเล็กน้อย


 


แต่นางรำหงหยุนกลับตกตะลึง


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเผยรอยยิ้ม “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญนัก ข้าไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งค่ายกล เป็นธรรมดาที่ข้าจะไม่มี แต่ระหว่างทางมาที่นี่ เราได้รับมรดกที่แท้จริงที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกล”


 


“โอ้?”


 


“หงหยุน นำผลประโยชน์ของเจ้าออกมาให้หลิวกวนซื่อเลือก” บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกล่าว


 


วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลไม่มีประโยชน์ต่อร่างหลักของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง แต่มันสมบูรณ์แบบสำหรับจุดประสงค์นี้


 


นางรำหงหยุนไม่กล้าปฏิเสธ


 


แม้นางจะ์ไม่พอใจ แต่นางก็ไม่รีรอและนำมรดกบนเส้นทางแห่งค่ายกลออกมาทันที


 


ฟางหยวนและคนอื่นๆตกใจมาก


 


ค่ายกลวิญญาณอมตะสามารถเคลื่อนย้ายได้จริงๆ


 


นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยาก


 


เพราะสิ่งนี้ใกล้เคียงกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะ


 


กล่าวได้ว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะเป็นแก่นแท้บนเส้นทางแห่งค่ายกล พวกมันเป็นท่าไม้ตายอมตะและเป็นค่ายกลวิญญาณอมตะเคลื่อนที่


 


หัวใจของฟางหยวนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก เขารู้สึกถึงสิ่งดีๆที่กำลังเกิดขึ้น


 


จากคำอธิบายของนางรำหงหยุน ฟางหยวนได้เรียนรู้ว่าค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ถูกเก็บไว้ในวิญญาณอมตะธงค่ายกล


 


วิญญาณอมตะธงค่ายกลระดับเจ็ด นี่เป็นหนึ่งในวิญญาณอมตะที่ฟางหยวนต้องการ!


 


‘ยอดเยี่ยม!’


 


‘ด้วยวิญญาณอมตะดวงนี้ข้าไม่จำเป็นต้องเจรจากับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเพื่อยืมวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกลอีกต่อไป’


 


‘มันจะสะดวกมากในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองเพื่อกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลทั้งหมด’


 


ฟางหยวนมองเห็นความหวัง


 


แต่ภายนอกเขายังสงบนิ่ง


 


เขามองเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงขณะกล่าว “ค่ายกลวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์นี้ไม่เลว กล่าวตามตรง ข้ากำลังต้องการค่ายกลวิญญาณเพื่อป้องกันการไลล่าของผู้อมตะจากวังสวรรค์ ข้ายินดีจ่ายด้วยทรัพยากรอมตะเพื่อแลกกับค่ายกลวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์นี้”


 


“กระไรนะ!?” การแสดงออกของนางรำหงหยุนเปลี่ยนไป นางคิด ‘หลิวกวนซื่อผู้ช่างโลภมากนัก เขาต้องการค่ายกลวิญญาณอมตะทั้งหมดงั้นหรือ?”


 


ฟางหยวนคิดและมอบรายการทรัพยากรอมตะให้เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


“ท่านบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง มีทรัพยากรอมตะไม่มาก แต่นั่นคือทั้งหมดที่ข้าให้ได้ ข้าต้องการค่ายกลวิญญาณอมตะนี้จริงๆ”


 


“หากธุรกรรมนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ข้าจะจดจำสิ่งนี้ตลอดไป ในอนาคต หากท่านต้องการสิ่งใด ข้าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่”


 


ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงจัง


 


นางรำหงหยุนมองรายการทรัพยากรและรู้สึกโกรธมาก


 


นางไม่พอใจมาก ‘หลิวกวนซื่อผู้นี้ไร้ยางอายเกินไป! เขากล้ากล่าวเช่นนี้จริงๆ!’


 


แต่เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกลับตอบตกลง “เอาล่ะ ข้าจะยอมรับทรัพยากรอมตะเหล่านี้ เจ้าจะได้รับค่ายกลวิญญาณอมตะที่ไม่สมบูรณ์นี้ ตอนนี้เราไม่ติดค้างกันอีกต่อไป เจ้าช่วยซุ้ยป๋อและข้าทำธุรกรรมกับเจ้า นี่เป็นการสร้างความร่วมมือของเรา”


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงหยุดก่อนกล่าวต่อ “หลิวกวนซื่อ แม้เจ้าจะเป็นรุ่นน้องแต่ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว เจ้าเป็นคนพิเศษ การผูกมิตรกับเจ้าไม่มีอันตราย นี่คือวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลของข้า หากเจ้าต้องการทำข้อตกลงใดๆในอนาคต ติดต่อข้าได้โดยตรง ลาก่อน”


 


“ท่านบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงช่างเอื้อเฟื้อนัก นับถือ นับถือ นี่คือวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลของข้า ข้าหวังว่าท่านจะเก็บมันไว้” ฟางหยวนแสดงออกอย่างจริงใจและมอบวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้ฝ่ายตรงข้าม


 


“ซุ้ยป๋อ ไปเถอะ” บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกล่าว


 


อิงอู๋เซี่ยมองฟางหยวนก่อนจะเผยรอยยิ้มให้กับคนที่เหลือ “ขอบคุณสำหรับการดูแลในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”


 


“แล้วพบกัน”


 


พวกเขาจากไปด้วยเมฆาแดงเริงระบำ


 


“อิงอู๋เซี่ยส่งข้อมูลกลับมาแล้ว พวกเขากำลังเดินทางกลับไปในเส้นทางเดิม จุดหมายของพวกเขาคือทะเลทรายหมื่นรูปปั้น เอาล่ะ มาดำเนินการตามแผนการของเรา” ฟางหยวนกล่าว


 


เทพธิดากระต่ายขาวเข้าไปในมิติช่องว่างของฟางหยวนขณะที่ไห่ลั่วหลัน ฟางหยวน ไป่หนิงปิง และเทพธิดาเมี่ยวหยินยังอยู่


 


ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ!


 


แสงสว่างขึ้นและนำฟางหยวนและคนอื่นๆไปยังทะเลทรายผีเขียว


 


ฟางหยวนจัดตั้งค่ายกลวิญญาณโดยมีเทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาวคอยช่วยเหลือ


 


ไห่ลั่วหลันลาดตระเวนพื้นที่รอบๆเพื่อป้องกันอสูรวิญญาณ


 


ไป่หนิงปิงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อตรวจสอบตำแหน่งของนางรำหงหยุน


 


นางรำหงหยุนเดินทางกลับด้วยเส้นทางเดิม แต่ฟางหยวนและคนอื่นๆใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเดินทางมารออยู่ด้านหน้านาง


 


ค่ายกลวิญญาณอมตะของราชันภูเขาม่วงถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ฟางหยวนไม่สามารถทอดทิ้งอิงอู๋เซี่ย


 


มันไม่ใช่เพียงเพราะพลังการต่อสู้ของเขาและท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน แต่มันยังเกี่ยวกับผมที่หก


 


หากอิงอู๋เซี่ยเสียชีวิต ผมที่หกจะไม่ทำงานให้ฟางหยวน เขาอาจคิดว่าฟางหยวนพยายามสังหารอิงอู๋เซี่ยและพยายามฆ่าฟางหยวนโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก


 


ในขณะเดียวกันฟางหยวนยังต้องการใช้ผมที่หกหลอมรวมวิญญาณให้เขา


 


เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือสภาพจิตใจพันธมิตร


 


หากฟางหยวนทอดทิ้งอิงอู๋เซี่ยตอนนี้ เขาจะทอดทิ้งเทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาวในอนาคต พวกนางจะเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่วางใจ


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาวไม่เหมือนไห่ลั่วหลัน ฟางหยวนไม่สามารถควบคุมพวกนาง


 


โดยใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ ฟางหยวนจะวางกับดักและกำจัดฝ่ายตรงข้าม


 


นั่นคือแผน


 


แน่นอนว่าแผนการนี้มีพื้นฐานมาจากอิงอู๋เซี่ยที่ได้รับความไว้วางใจจากเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


นอกเหนือจากแผนการนี้ ฟางหยวนยังมีแผนสำรองอื่นอีกมากมาย


 


ยิ่งเขาเตรียมตัวมากเท่าใด โอกาสชนะก็ยิ่งมากเท่านั้น


 


ไม่ว่าจะเป็นฟางหยวน ไห่ลั่วหลัน หรืออิงอู๋เซี่ย พวกเขาจะไม่ต่อสู้โดยไม่เตรียมตัว


 


อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนจัดตั้งค่ายกลวิญญาณได้หกสิบส่วน ไป่หนิงปิงกลับเปิดปากกล่าว “ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งค่ายกลอีกต่อไป อิงอู๋เซี่ยประสบความสำเร็จแล้ว”


 


ฟางหยวนและคนอื่นๆหยุดสร้างค่ายกลและบินเข้าไปหาไป่หนิงปิง


 


บนท้องฟ้าที่ห่างไกลปรากฎอาณาจักรแห่งความฝันขึ้นกลางอากาศ


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้อิงอู๋เซี่ยทำได้ดีมาก!” ไป่หนิงปิงหัวเราะ “เขากำจัดเจตจำนงของบรรพชันพันเปลี่ยนแปลงและผู้อมตะระดับเจ็ดหงหยุนโดยไม่ต้องต่อสู้ น่าตื่นเต้น!”


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง


 


นี่เป็นแผนการหนึ่งที่พวกเขาวางไว้นานแล้ว


 


ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงหรือผู้ใดก็ตาม ตราบเท่าที่พวกเขาไว้วางใจ แผนการนี้จะประสบความสำเร็จ


 


ทักษะเดียวครองพิภพ!


 


กระทั่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเก้าหอคอยดวงตาสวรรค์ก็ยังไม่กล้าเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน


 


ตราบเท่าที่ความรู้เกี่ยวกับเส้นทางแห่งความฝันยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ศัตรูจะไม่สามารถต่อต้านวิธีการบนเส้นทางแห่งความฝัน


 


การอยู่แถวหน้าของยุคนี้มีข้อดีมากมาย


 


กระทั่งร่างหลักของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงก็ยังไม่สามารถตอบโต้โดยไม่ต้องกล่าวถึงเจตจำนงของเขา


 


ย้อนกลับไปสองชั่วโมงก่อน


 


บนก้อนเมฆสีแดง เทพธิดาซุ้ยป๋อเริ่มหัวเราะ


 


“ดูเหมือนซุ้ยป๋อจะได้รับผลประโยชน์ มิฉะนั้นเจ้าจะไม่หัวเราะเช่นนี้” เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกล่าว


 


“สามีเข้าใจข้าดีที่สุด แม้ข้าจะสูญเสียวิญญาณอมตะแต่กำไรของข้าก็มหาศาล สามี หงหยุน ดูนี่” อิงอู๋เซี่ยนำกายาแห่งความฝันออกมา


 


“นี่คือ…เส้นทางแห่งความฝัน?” เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงตกตะลึง “ซุ้ยป๋อ เจ้าได้มันมาได้อย่างไร?”


 


“ในช่วงเวลาที่วังสวรรค์ไล่ล่าหลิวกวนซื่อ ข้าได้รับมันมาเพราะหลิวกวนซื่อและคนอื่นๆไม่เข้าใจมัน” อิงอู๋เซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “สามี ข้าทำผลงานครั้งใหญ่ ท่านจะตอบแทนข้าอย่างไร?”


 


นางรำหงหยุนลอบสบถอยู่ในใจ “มารยา! ไร้ยางอาย!”


 


เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงหัวเราะเสียงดัง “ข้าต้องตบรางวัลใหญ่ให้เจ้าอย่างแน่นอน”


 


“บึม!”


 


ร่างกายาแห่งความฝันระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน


 


ทุกคนติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนี!

 

 

 


บทที่ 1419 พบฟงจิวเก้ออีกครั้ง

 

“เอาล่ะ ช่วยอิงอู๋เซี่ยก่อน ไห่ลั่วหลัน ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” ฟางหยวนออกคำสั่ง


 


ไห่ลั่วหลันพยักหน้า ดวงวิญญาณของนางออกจากร่างและเข้าสู่มิติช่องว่างของฟางหยวนขณะที่ร่างของนางลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อน


 


ในไม่ช้ากายาแห่งความฝันก็บินออกมา


 


มันคือไห่ลั่วหลัน!


 


ไห่ลั่วหลันบินเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันและดึงร่างของอิงอู๋เซี่ยออกมาอย่างรวดเร็ว


 


อิงอู๋เซี่ยยังไม่ตื่น


 


แม้ร่างของเขาจะออกมาแล้ว แต่ดวงวิญญาณของเขายังติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


ฟางหยวนมีท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน แต่หากเขาใช้มัน เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและนางรำหงหยุนจะตื่นขึ้นเช่นกัน


 


ในปัจจุบันฟางหยวนยังไม่สามารถควบคุมบางส่วนอาณาจักรแห่งความฝัน


 


โดยรวมแล้วมีความเสี่ยงสูงมาก


 


ฟางหยวนมีกายาแห่งความฝัน ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีนี้


 


กายาแห่งความฝันถูกสร้างขึ้นโดยม่านเยี่ยนซื่อ มันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งความฝัน แต่มันมีข้อบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ นั่นคืออายุขัย เมื่อถึงเวลา มันจะระเบิดตัวเองและกลายเป็นอาณาจักรแห่งความฝัน


 


อย่างไรก็ตามกายาแห่งความฝันมีข้อได้เปรียบเช่นกัน


 


ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือมันสามารถเข้าและออกจากอาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างง่ายดาย ดวงวิญญาณของมันจะได้รับการปกป้องและไม่สูญสลายไปในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


ย้อนกลับไปในการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้ ไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆหลบหนีเข้าไปในมิติช่องว่างของกายาแห่งความฝันก่อนที่พวกมันจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย


 


หลังจากวิกฤตผ่านพ้น พวกมันจะออกมาอย่างปลอดภัย


 


ฟางหยวนมองเห็นข้อได้เปรียบนี้และรู้สึกประทับใจ


 


ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้


 


หลังจากใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันกับอิงอู๋เซี่ย เขาตื่นขึ้น อาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณของเขาถูกรักษาโดยวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


 


ขั้นตอนต่อไปเป็นส่วนสำคัญ


 


หากทำได้ดี นอกจากฟางหยวนจะสามารถจับนางรำหงหยุน เขายังจะได้รับวิญญาณอมตะระดับแปดอีกด้วย


 


นางรำหงหยุนเป็นคนที่จัดการได้ง่ายที่สุดเพราะนางเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด


 


สิ่งที่ต้องกังวลคือเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและวิญญาณอมตะระดับแปด


 


เจตจำนงจะอ่อนแอลงเรื่อยๆในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


ยิ่งคิดมากเท่าใด เจตจำนงก็ยิ่งหมดเร็วเท่านั้น


 


แต่ทันทีที่เจตจำนงออกจากอาณาจักรแห่งความฝัน พวกมันจะสามารถฟื้นตัวขึ้น สิ่งนี้ไม่เหมือนดวงวิญญาณ


 


หากเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงสามารถออกมา มันจะใช้วิญญาณอมตะระดับแปดโจมตีกลุ่มของฟางหยวน


 


เมื่อเวลานั้นมาถึง ฟางหยวนและคนอื่นๆต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับแปด


 


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือฟางหยวนและคนอื่นๆไม่รู้ว่าวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้ทำสิ่งใดได้บ้าง พวกเขาไม่สามารถป้องกันโดยไม่เตรียมตัว


 


การรอให้เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงหมดลงก่อนที่จะลากนางรำหงหยุนออกมาเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด


 


อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางสายอื่นไม่ส่งผลกระทบต่ออาณาจักรแห่งความฝัน ไห่ลั่วหลันไม่สมารถตรวจสอบว่าเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงหมดลงหรือยัง


 


ในทางกลับกันท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันไม่มีผลต่อเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


หลังจากทั้งหมดเจตจำนงไม่ใช่ดวงวิญญาณ


 


ดังนั้นจุดสำคัญของแผนการนี้ก็คือเวลา


 


หากพวกเขารอสามถึงห้าปี เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจะสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน


 


แต่ถึงเวลานั้นร่างหลักบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงย่อมมาถึงแล้ว


 


ยังไม่ต้องกล่าวถึงหลายปี ตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาไม่สามารถรอคอยแม้แต่สามวัน


 


ยิ่งนานก็ยิ่งอันตราย วังสวรรค์และเจตจำนงสวรรค์จะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดพวกเขา


 


ดังนั้นแผนของฟางหยวนก็คือรอหนึ่งวัน นั่นคือขีดจำกัด


 


วันต่อมา ไห่ลั่วหลันจะนำร่างของนางรำหงหยุนออกจากอาณาจักรแห่งความฝันและตรวจสอบการคงอยู่ของเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง


 


แน่นอนว่าวิธีนี้มีความเสี่ยง


 


ดังนั้นฟางหยวนและคนอื่นๆจึงต้องซ่อนตัวอยู่ห่างออกไป มีเพียงไห่ลั่วหลันเท่านั้นที่ยังอยู่


 


หากพวกเขาทำสำเร็จ ฟางหยวนจะได้รับวิญญาณอมตะระดับแปดดวงใหม่


 


คนอื่นๆต้องแบกรับความเสี่ยง มีเพียงฟางหยวนที่ได้รับผลประโยชน์ นี่คือสิ่งที่ฟางหยวนต้องการ


 


‘ข้อกังวลเดียวของข้าคือวังสวรรค์หรือบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงมาที่นี่ในช่วงเวลานี้’ ฟางหยวนคิดกับตนเองขณะที่การแสดงออกของเทพธิดาเมี่ยวหยินเปลี่ยนแปลงไป


 


“ฟงจิวเก้ออยู่ที่นี่ เขากำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเราด้วยความเร็วสูง!” เทพธิดาเมี่ยวหยินแจ้งเตือน


 


“เขารอดจากสายธารแห่งกาลเวลามาได้จริงๆ!?” เทพธิดากระต่ายขาวกรีดร้องด้วยความตกใจ


 


“ในช่วงเวลานี้…” ไห่ลั่วหลันกัดฟันแน่น


 


ไป่หนิงปิงจ้องมองอย่างเย็นชา “หากเรารู้ตัวล่วงหน้า เราจะสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะก่อนหน้านี้ ฟงจิวเก้อจะได้ลิ้มรสพลังอำนาจของมัน”


 


“ลืมมันไปเถอะ” ฟางหยวนตัดสินใจเด็ดขาด “ฟงจิวเก้อได้รับการสนับสนุนจากวังสวรรค์ ไม่แปลกที่เขาจะสามารถหลบหนีจากสายธารแห่งกาลเวลา เราต้องไปเดี๋ยวนี้ ทิ้งอาณาจักรแห่งความฝันไว้ กระทั่งราชันมังกรจะมาที่นี่ด้วยตนเอง เขาก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใด!”


 


ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ!


 


กลุ่มของฟางหยวนหายตัวไปทันที


 


“แน่วแน่มาก” ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มชมเชยหลังจากมาถึง


 


ต่อมาสายตาของเขาก็มองไปยังอาณาจักรแห่งความฝัน “นี่คืออาณาจักรแห่งความฝันงั้นหรือ?”


 


โดยไม่จำเป็นต้องรายงาน เทพธิดาจื่อเว่ยสามารถมองเห็นสถานการณ์ปัจจุบัน


 


“เหตุใดอาณาจักรแห่งความฝันถึงมาอยู่ที่นี่?”


 


“เหตุผลคือสิ่งใด? ข้าเกรงว่านี่จะไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องตรวจสอบ”


 


ขณะที่นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เทพธิดาจื่อเว่ยก็บอกตำแหน่งของฟางหยวนให้ฟงจิวเก้อรับรู้


 


ฟงจิวเก้อออกไล่ลาทันที


 


ฟางหยวนและคนอื่นๆรู้สึกถึงแรงกดดัน


 


พวกเขาตระหนักว่าฟงจิวเก้อกำลังไล่ตามพวกเขามาอย่างรวดเร็ว


 


“ฟงจิวเก้อเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะงั้นหรือ?”


 


“ด้วยความช่วยเหลือจากวังสวรรค์ มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้?”


 


“สิ่งสำคัญในเวลานี้คือนอกจากฟงจิวเก้อยังมีผู้ใดอีก”


 


ทั้งสองฝ่ายไล่ล่าและวิ่งหนีตลอดครึ่งวัน นี่ทำให้ฟางหยวนและคนอื่นๆต้องขมวดคิ้วลึก


 


ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศไม่สามารถใช้งานได้อย่างไม่รู้จบสิ้น หลังจากทั้งหมดมันต้องใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของผู้อมตะ


 


หากสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป โดยยังไม่ต้องต่อสู้กับฟงจิวเก้อ พลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมาก


 


แต่การต่อสู้กับฟงจิวเก้อเสี่ยงเกินไป


 


นอกจากฟงจิวเก้ออาจมีผู้อมตะระดับแปดคนอื่นซ่อนตัวอยู่ โอกาสที่ฟางหยวนจะได้รับชัยชนะมีน้อยมาก


 


“ฟงจิวเก้อเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด ผู้อมตะระดับแปดของวังสวรรค์ไม่สามารถเข้าไปในมิติช่องว่างของเขา นอกจากนั้นมิติช่องว่างเทียมของวังสวรรค์ก็ไม่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิต เราไม่สามารถหลบหนีได้ตลอดไป แม้จะมีบางคนอยู่ด้านหลังฟงจิวเก้อ พวกเขาก็ถูกทิ้งไว้ไกลแล้ว” ไป่หนิงปิงกล่าว


 


นางต้องการต่อสู้


 


ฟางหยวนพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น รอเขาอยู่ที่นี่ หากเราไม่โจมตีเขา สุดท้ายเขาก็จะตามทันในที่สุด”


 


ไป่หนิงปิงตะลึง นางเริ่มมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง


 


นางเข้าใจฟางหยวน โดยปราศจากค่ายกลวิญญาณอมตะ สถานที่ที่เขาเลือกเป็นสนามรบต้องพิเศษมาก


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่ไป่หนิงปิงจะพบสิ่งใด เสียงพิณโบราณก็ดังขึ้น


 


ต่อมาแสงสีทองก็ปรากฏขึ้น


 


ฟงจิวเก้อเดินออกมาและเผชิญหน้ากับกลุ่มของฟางหยวนอีกครั้ง


 


“ทุกคน พบกันอีกแล้ว” ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มทักทาย


 


ไป่หนิงปิงแสดงออกอย่างไร้อารมณ์ขณะที่การแสดงออกของไห่ลั่วหลัน เทพธิดาเมี่ยวหยิน และเทพธิดากระต่ายขาวกลายเป็นมืดครึ้ม


 


ชื่อเสียงของคนผู้นี้สร้างแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ต่อพวกเขา

 

 

 


บทที่ 1420 นิกายเงาต่อสู้กับฟงจิวเก้อ

 

ฟงจิวเก้ออยู่ในชุดคลุมสีแดงขาวและกำลังเผยรอยยิ้มที่อบอุ่น เขาดูสง่างามมาก


 


เขาไม่ได้แสดงเจตนาสังหารใดๆออกมา แต่สมาชิกนิกายเงายังรู้สึกกดดันมาก


 


“ฟงจิวเก้อ…” ฟางหยวนเดินออกไปและพึมพำ


 


ฟางหยวนอยู่ในชุดคลุมขาว ใบหน้าของเขาบริสุทธิ์ราวกับหยก ดวงตามืดและลึกเกินหยั่งถึง เขาดูหล่อเหลามาก


 


เห็นเช่นนี้หัวใจของเทพธิดากระต่ายขาวเต้นแรงขึ้น นางคิด ‘คนที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนภายใต้ระดับแปดต้องต่อสู้กันในที่สุด!’


 


แม้ฟางหยวนและฟงจิวเก้อจะไม่ได้พบกันบ่อยครั้ง แต่พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำและยาวนาน


 


หลายปีก่อนฟางหยวนคว้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูมาจากฟงจินฮวง เขาจึงถูกสังเกตเห็นโดยฟงจิวเก้อ


 


แต่เวลานั้นฟางยวนยังเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ที่ไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจในสายตาของฟงจิวเก้อ


 


อย่างไรก็ตามผู้ใดจะคิดว่าเพียงไม่กี่ปี ฟางหยวนจะกลายเป็นผู้อมตะ เจ้าของวิญญาณกาลเวลา ผู้ทำลายวังแแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง เขายังเข้าร่วมในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน เป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่แม่น้ำหวนคืน และแฝงตัวอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้ ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาทัดเทียมกับฟงจิวเก้อเรียบร้อยแล้ว


 


ฟางหยวนช่วยชีวิตฟงจิวเก้อ ฟงจิวเก้อช่วยเขาเป็นการตอบแทน หนี้ชีวิตถูกชำระคืน


 


ปัจจุบันทั้งสองกำลังจะต่อสู้กันด้วยพลังที่แท้จริงของแต่ละคน


 


“ฟงจิวเก้อ เจ้าไล่ล่าพวกเรามาจนถึงที่นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านำชีวิตของตนเองมามอบให้ข้า!?” ฟางหยวนหัวเราะคิกคักและพุ่งเข้าโจมตีฟงจิวเก้ออย่างกะทันหัน


 


ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน!


 


ฟงจิวเก้อมองฟางหยวน เขาเคยเห็นพลังอำนาจของท่าไม้ตายที่มีชื่อเสียงระดับโลกนี้มาแล้ว


 


เขาเดาว่าเกราะหวนคืนต้องเป็นท่าไม้ตายที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลานานมากในการกระตุ้นใช้งาน หากเขาลอบโจมตี ฟางหยวนจะไม่มีเวลาใช้ท่าไม้ตายนี้ขณะที่ฟงจิวเก้อจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ


 


แต่น่าเสียดายที่ฟางหยวนไม่เปิดโอกาสนั้นให้กับฟงจิวเก้อ


 


เมื่อเห็นการโจมตีของฟางหยวน ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มกว้าง


 


เขากล่าว “ข้าสามารถมาที่นี่เพราะท่าไม้ตายอมตะที่ข้าสร้างขึ้นเองและสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเพลงทางผ่านแสงของข้ายังไม่จบ”


 


หลังกล่าวจบคำ เขาก็ปลดปล่อยแสงสีทองออกมา


 


แสงสีทองไม่มีพลังโจมตีแต่มันนำฟงจิวเก้อหายไปจากจุดนั้น


 


“อันใด!?” ในเวลาเดียวกันฟางหยวนก็ได้ยินเสียงพิณโบราณดังขึ้น


 


เสียงดังและเบาสลับกัน มันให้ความรู้สึกว่าคนที่กำลังดีดพิณเคลื่อนไหวอยู่รอบๆตัวเขา


 


หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้น เขาจดจำท่าไม้ตายที่ฟงจิวเก้อใช้ในสงครามห้าภูมิภาคได้ทันที


 


มันทำให้ฟงจิวเก้อกลายเป็นคลื่นเสียงและสามารถเคลื่อนที่ไปรอบๆ วิธีการปกติไม่สามารถต่อต้านท่าไม้ตายนี้


 


“ระวัง!” ไห่ลั่วหลันแจ้งเตือน


 


ตั้งแต่ได้ยินเสียงพิณ กลุ่มของไห่ลั่วหลันก็เริ่มล่าถอยออกไปโดยไม่รู้ตัว


 


แต่ความเร็วของพวกนางยังช้ากว่าเพลงทางผ่านแสง พวกนางไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของฟงจิวเก้อ


 


ทันใดนั้นฟงจิวเก้อพลันปรากฏตัวขึ้นด้านขวาของเทพธิดากระต่ายขาว


 


ฟงจิวเก้อชี้นิ้วไปที่นางและปลดปล่อยเสียงลึกลับออกมา


 


เทพธิดากระต่ายขาวกรีดร้องเมื่อตระหนักถึงอันตรายร้ายแรง


 


นางเร่งล่าถอยแต่คลื่นเสียงยังพุ่งตรงมาที่นาง


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่หมอกดำปะทุออกมาจากร่างของนาง


 


ภายในหมอกสีดำนางเสือดำปรากฏตัวขึ้น บางบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว


 


เทพธิดากระต่ายขาวเป็นผู้อมตะระดับหก นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟงจิวเก้อ ในช่วงเวลาสำคัญ นางเสือดำช่วยชีวิตของพวกนางทั้งสองเอาไว้


 


อย่างไรก็ตามนางเสือดำยังได้รับบาดเจ็บสาหัส นางรีบรักษาตัวเองทันที


 


ฟงจิวเก้อไม่ได้ไล่ล่านาง


 


เขารู้ว่าการลอบโจมตีครั้งนี้ไม่สำเร็จ เมื่อทุกคนตื่นตัว วิธีนี้จะไม่ได้ผลอีกต่อไป


 


และที่สำคัญ…


 


ฟงจิวเก้อขมวดคิ้วและมองดูทะเลทรายด้านล่าง “นี่คือ?”


 


“ทะเลทรายไร้เสียง ที่ตายของเจ้า!” ฟางหยวนตะโกนและพุ่งเข้าโจมตีฟงจิวเก้ออีกครั้ง


 


“เป็นเช่นนี้” ฟงจิวเก้อเข้าใจในที่สุด เขาใช้คลื่นเสียงของเพลงทางผ่านแสงหลบออกไป


 


อย่างไรก็ตามฟงจิวเก้อที่ปรากฏตัวขึ้นที่อื่นกลับแสดงออกด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด


 


รอยยิ้มของเขาจางหายไปและแสดงออกอย่างเคร่งขรึม


 


ทะเลทรายไร้เสียงของทะเลทรายตะวันตกไม่เอื้อประโยชน์ต่อผู้อมตะบนเส้นทางแห่งเสียง


 


ในสถานที่แห่งนี้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งเสียงจะถูกระงับ พลังอำนาจของท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งเสียงจะลดน้อยลงอย่างมาก


 


ก่อนหน้านี้ฟงจิวเก้อต้องการเคลื่อนย้ายสถานที่ไปด้านหลังเทพธิดากระต่ายขาวเพื่อฆ่านาง


 


แต่สุดท้ายเขากลับถูกเปิดเผยก่อนจะเข้าถึงตัวเป้าหมาย


 


สิ่งนี้ทำให้เทพธิดากระต่ายขาวรอดพ้นจากความตาย


 


‘ทะเลทรายไร้เสียงถูกสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจปล้นสวรรค์ ฟางหยวนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? โอ้ ข้าเกือบลืมว่าเขาเป็นผู้นำคนใหม่ของนิกายเงา เป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้ความลับบางอย่าง’ ฟงจิวเก้อคาดเดา


 


แต่เขาเดาผิด นิกายเงาไม่รู้ความลับของสถานที่แห่งนี้


 


ฟางหยวนรู้เพราะประสบการณ์จากชีวิตแรกของเขา ในสงครามห้าภูมิภาค สถานที่แห่งนี้ถูกเปิดเผยและใช้ประโยชน์


 


“หือ?” การแสดงออกของฟงจิวเก้อเปลี่ยนไปเมื่อเขามองไปที่แขนของเขา


 


เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้มีชั้นน้ำแข็งปกคลุมอยู่บนแขนและแผ่นหลังของเขา


 


“เทพธิดามังกรไป่หนิงปิง?” ฟงจิวเก้อมองไป่หนิงปิงด้วยสายตาชื่นชม


 


ท่าไม้ตายอมตะเนตรแช่แข็ง!


 


นี่เป็นทักษะของไป่หนิงปิง


 


แม้ฟงจิวเก้อจะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วแต่ท่าไม้ตายอมตะเนตรแช่แข็งยังเร็วกว่า


 


ฟงจิวเก้อหัวเราะเสียงดัง


 


เสียงระฆังดังขึ้นขณะที่ชั้นน้ำแข็งเริ่มหลอมละลาย


 


ไป่หนิงปิงสูดหายใจและยังจ้องมองอย่างดุเดือด


 


‘นี่ค่อนข้างลำบาก’ ฟงจิวเก้อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาใช้เพลงทางผ่านเสียงเคลื่อนย้ายสถานที่


 


แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงเขาจะถูกโจมตีด้วยเนตรแช่แข็งของไป่หนิงปิงแต่เขายังถูกโจมตีด้วยเนตรจันทร์เสี้ยวของเทพธิดาเมี่ยวหยินอีกด้วย


 


ท่าไม้ตายอมตะเนตรจันทร์เสี้ยว!


 


คล้ายกับเนตรแช่แข็ง นี่เป็นการโจมตีด้วยการจ้องมอง มันเป็นการโจมตีที่รวดเร็วมาก


 


ร่างของฟงจิวเก้อสั่นสะท้านขึ้น


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินตกใจ นางมั่นใจในพลังอำนาจของท่าไม้ตายนี้แต่มันกลับทำให้ร่างกายของฟงจิวเก้อสั่นสะท้านขึ้นเท่านั้น


 


รากฐานด้านการป้องกันของฟงจิวเก้อถือว่าไม่ธรรมดา


 


ย้อนกลับไปวูหยงยังต้องใช้เวลานานเพื่อต่อต้านท่าไม้ตายนี้


 


“จิ๊บ จิ๊บ”


 


เสียงนกร้องดังขึ้น


 


ฝูกวิหคเพลิงบินเข้าไปหาฟงจิวเก้อ


 


“บึม บึม บึม บึม…”


 


ในเวลาต่อมาวิหคเพลิงก็ระเบิดตัวเองอย่างต่อเนื่องแต่เสียงระเบิดกลับเงียบลงอย่างรวดเร็ว


 


เพราะที่นี่คือทะเลทรายไร้เสียง


 


คลื่นความร้อนระเบิดออกไปรอบๆ


 


แสงสีแดงส่องสะท้อนอยู่บนใบหน้าของฟางหยวนและคนอื่นๆ


 


อุณหภูมิของสถานที่แห่งนี้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ไห่ลั่วหลันยืนห่างออกไปด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่พุ่งทะยานขึ้น นี่คือท่าไม้ตายอมตะวิหคเพลิงพิโรธ


 


ฟงจิวเก้อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในระยะไกล


 


เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ วิหคเพลิงพิโรธไม่ส่งผลกระทบต่อเขา


 


ฟางหยวนและสมาชิกนิกายเงาพุ่งเข้าโจมตีฟงจิวเก้อจากทุกทิศทาง


 


ฟงจิวเก้อหัวเราะโดยไร้เสียง “รับนี่”


 


ท่าไม้ตายอมตะเพลงสวรรค์พิภพ!


 


ราวกับโลกกำลังร้องเพลง


 


เสียงเพลงดังเข้าหูของผู้อมตะทั้งหมด ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านขึ้น พวกเขารู้สึกถึงฟ้าสูงและโลกกว้าง ตัวตนของพวกเขาดูไร้นัยสำคัญราวกับฝุ่นผง


 


ความรู้สึกต่ำต้อยปรากกฏขึ้นในใจของพวกเขา


 


เมื่อเปรียบเทียบกับสวรรค์พิภพ พวกเขาก็ไม่ต่างจากมดปลวกเท่านั้น


 


นี่คือพลังอำนาจของเพลงสวรรค์พิภพ


 


นอกจากมันจะสร้างแรงกดดันให้กับพวกเขา ท่าไม้ตายของพวกเขายังจะอ่อนกำลังลงหรือสูญเสียพลังอำนาจหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง


 


นี่เป็นท่าไม้ตายที่เป็นเอกลักษณ์ของฟงจิวเก้อ ย้อนกลับไปในการต่อสู้ที่หุบเขาเหล่าโป ฉินไป่เฉิงก็พบกับความทุกข์ทรมานจากท่าไม้ตายนี้เช่นกัน


 


ตอนนี้เป็นเวลาที่กลุ่มของฟางหยวนต้องเผชิญหน้ากับมัน


 


ไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆรู้สึกไม่ดีแต่ฟางหยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ


 


เกราะหวนคืนไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงระลอกคลื่นบางๆที่ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมันเท่านั้น สิ่งสำคัญก็คือมันยังสะท้อนพลังส่วนหนึ่งของเพลงสวรรค์พิภพกลับไปที่ฟงจิวเก้ออีกด้วย


 


ฟงจิวเก้อได้ลิ้มรสพลังอำนาจท่าไม้ตายของตนเองเป็นครั้งแรก


 


เมื่อเห็นฟางหยวนใกล้เข้ามา เขาขมวดคิ้วและใช้เพลงทางผ่านแสงเคลื่อนย้ายสถานที่อีกครั้ง


 


เกราะหวนคืนทำให้ผู้อมตะวังสวรรค์ สมาชิกถ้ำสวรรค์นิรันดร และราชันภูเขาม่วงไม่มีทางเลือก วูหยงไม่สามารถผ่านมันไปได้โดยไม่ต้องกล่าวถึงฟงจิวเก้อ


 


ฟงจิวเก้อรู้สึกปวดหัวเมื่อเห็นฟางหยวน


 


ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของวูหยง


 


‘ลืมฟางหยวนไปก่อน ข้าควรกำจัดลูกน้องของเขาเป็นอันดับแรก!’ ฟงจิวเก้อไม่ต้องการต่อสู้กับฟางหยวนตอนนี้แต่เล็งเป้าไปที่คนอื่นๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)