พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1403-1406

 บทที่ 1403 พันธนาการเพลิงจิต

Ink Stone_Fantasy

ไม่ต้องให้เขาตอบ ในดวงตาไป๋เฟิ่งหวงฉายแววเลื่อนลอยเล็กน้อย เหมือนกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต พึมพำกับตัวเองว่า “ก็ต้องตายอยู่แล้ว เสิ้นหมีทรยศ มีหรือที่เขาจะให้อภัย ถ้าตกอยู่ในมือเขาแล้วก็ตายสถานเดียว”


เหมียวอี้แววตาวูบไหว กำลังครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูดของนาง


พอไป๋เฟิ่งหวงหายเหม่อลอย ก็ถามตรงๆ ว่า “อยากตายหรืออยากรอด?”


เหมียวอี้งงไปชั่วครู่ แล้วตอบว่า “ก็ต้องอยากรอดอยู่แล้ว”


“งั้นข้าจะทดสอบเจ้า ขอเพียงเจ้าผ่านด่านข้าไปได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว


“ทดสอบอะไร?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง


“เอามือมา” ไป๋เฟิ่งหวงกระดกนิ้ว


เหมียวอี้ไม่เข้าไป ได้แต่ยื่นมือออกไปสองข้าง


“ข้างเดียวก็พอแล้ว” ไป๋เฟิ่งหวงยื่นมือไปคว้าข้อมือของเขา ดึงเขามาไว้ตรงหน้าตัวเอง จับฝ่ามือเขาตั้งขึ้น แล้วกดบนหน้าอกของตัวเอง


“…” ฝ่ามือที่แนบชิดร่างกายสัมผัสได้ถึงความนุ่มเด้งบนหน้าอกนาง เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง ถูกความบ้าระห่ำของผู้หญิงคนนี้ทำให้ตกใจจนพูดไม่ออกนิดหน่อย อดไม่ได้ที่คิดถึงคำว่าทดสอบที่นางพูดไปในทางที่ไม่ดี


“ถ้ากล้าคิดอะไรเหลวไหลข้าจะทิ่มตาเจ้าให้บอด” ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตาพร้อมกล่าวเตือน นางจับข้อมือเขาไม่ยอมปล่อย แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ในหัวใจของข้าซ่อนบางอย่างไว้นิดหน่อย ถ้าเจ้าสามารถนำออกไปได้โดนที่ข้าไม่บาดเจ็บ ก็นับว่าเจ้าผ่านการทดสอบ ข้าจะปล่อยเจ้าออกไป ข้าพูดคำไหนคำนั้น”


“หัวใจเหรอ?” เหมียวอี้ประหลาดใจ


ไป๋เฟิ่งหวงจึงบอกว่า “ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ดูสิ ถ้ามีความมั่นใจก็เอาออกมา ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าดันทุรัง ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่านึกว่าจะฉวยโอกาสทำร้ายข้าได้ ต่อให้ข้าไม่มีหัวใจข้าก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายชั่วยาม มีเวลาเพียงพอที่จะฆ่าเจ้า”


เหมียวอี้เองก็ประหลาดใจเหมือนกัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายจริงจัง ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น เขาก็ลังเลเล็กน้อย ทำได้เพียงแข็งใจลองดู หลับตาลงช้าๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในหน้าอกของนาง


ภายในร่างกายของอีกฝ่ายทำให้เหมียวอี้ตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ภายในร่างกายนางก็เป็นสีขาวด้วย น้ำเลือดสีขาวกำลังไหลเวียน รวมเข้าไปในหัวใจดวงที่อยู่ตรงหน้า เป็นหัวใจสีใสแวววาวดวงหนึ่งที่กำลังเต้นตึกตัก ราวกับอัญมณีผลึกใส น้ำเลือดสีขาวไหลเวียนอยู่ในนั้น


“อยู่ข้างในหัวใจ” ไป๋เฟิ่งหวงที่สังเกตได้ว่าเขาหยุดชะงักกล่าวเตือนอีกครั้ง


เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจลงลึกอีกครั้ง เข้าไปตรวจดูภายในหัวใจของนาง ตอนที่ยังไม่เห็นก็ยังไม่รู้ แต่พอได้เห็นแล้วตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าในหัวใจของนางโดนคนบุกเบิกพื้นที่ว่างขนาดเล็กไว้ห้องหนึ่ง หรือไม่ก็วางค่ายกลเอาไว้ เปลวเพลิงที่ล่องหนเหมือนคลื่นน้ำกำลังลุกไหม้อยู่ในค่ายกล


คนอื่นอาจะไม่รู้จักเปลวเพลิงล่องหนนี้ แต่เขากลับรู้จักดีที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพลิงจิต!


แบบนี้จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร ความรู้สึกตกตะลึงของเขายากที่จะบรรยายออกมาได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเพลิงจิตกองหนึ่งอยู่ในหัวใจของผู้หญิงคนนี้


ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจบทบาทของค่ายกลขนาดเล็กนั่นแล้ว มันใช้เพื่อควบคุมเพลิงจิต ถ้ามีคนทำลายค่ายกลพัง เพลิงจิตก็จะต้องเผาหัวใจของผู้หญิงคนนี้แน่นอน


เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะมองนาง แล้วถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าเป็นคนวางค่ายกลนี้เหรอ?” ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าจะอาศัยพลังภายนอกควบคุมเพลิงจิตได้อย่างไร


“อย่าพูดเหลวไหล ข้าถามคำเดียวว่าเจ้าสามารถเอาเปลวเพลิงล่องหนนี้ออกไปได้หรือเปล่า” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว


เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบว่า “แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้ารักษาคำพูด”


ไป๋เฟิ่งหวงเลิกคิ้ว “หมายความว่า เจ้าเอาออกมาได้งั้นเหรอ?”


“ส่งข้ากับคนของข้าออกไปก่อน พอออกจากที่นี่ไปแล้ว แน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว ข้าค่อยช่วยเจ้าเอาเปลวเพลิงล่องหนออกมา” เหมียวอี้เสนอเงื่อนไข


ดวงตางามของไป๋เฟิ่งหวงจ้องเขา ใช้มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ ส่วนฝ่ามือของเขาก็ยังกดอยู่บนหน้าอกของนาง ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดอะไร


ในหัวของไป๋เฟิ่งหวงมีภาพอีกภาพปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นนางยังเด็ก มาเที่ยวเล่นอยู่ในโลกแล้วบังเอิญเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เป้นผู้หญิงที่งดงามราวกับเป็นความฝัน จนกระทั่งทุกวันนี้ นางยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่สวยกว่าผู้หญิงคนนั้นเลย


ข้างกายสตรีผู้งดงามคนนั้นยังมีชายที่สง่างามไร้ที่เปรียบอยู่อีกคนหนึ่ง ทุกวันนี้นางก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ดูดีเท่าผู้ชายคนนั้นเลย นั่นคือผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงหัวใจเต้นแรงตั้งแต่มองแวบแรก นางจำได้รางๆ ว่าตอนนั้นตัวเองยังเด็ก แต่กลับมองจนตาค้าง ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าผู้ชายคนหนึ่งจะดูดีขนาดนั้นได้อย่างไร


และแน่นอน นางไม่มีความรู้สึกรักใคร่ เพียงรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นดูดีมาก ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่มักอยากได้เขามาครอบครอง


เนื่องจากสตรีผู้งดงามคนนั้นรู้สึกว่านางน่ารัก จึงเอ็นดูนางมาก ผู้ชายคนนั้นก็เลยตอบสนองความต้องการ ทั้งใช้อำนาจกดดันทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อเพื่อให้นางยอมรับผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้านาย ตั้งแต่นั้นมานางก็ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายสตรีผู้งดงามคนนั้น


ในช่วงเวลานั้น นางผ่านเรื่องราวมามากมายพร้อมกับชายกับหญิงคู่นั้น ผู้ชายคนนั้นสง่างามไร้ที่เปรียบ มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน มีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับมองสตรีผู้งดงามคนนั้นเป็นรักอันลึกซึ้งเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต มอบความรักเพียงหนึ่งเดียวให้กับผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำให้สาวงามมากมายเท่าไรต้องรู้สึกหดหู่ใจ


ทั้งสองต่างมีใจให้กัน หญิงชายคู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของคู่รักในโลกนี้ หาที่เปรียบไม่ได้!


ในตอนหลัง เกิดเรื่องกับชายหญิงคู่นั้นแล้ว ความงดงามราวกับความฝันทั้งหมดเหมือนมายา ถูกพายุลูกหนึ่งบุกเข้าจู่โจม ทุกอย่างโรยราเหมือนดอกไม้


นางเป็นทาสรับใช้จนเบื่อเต็มทนแล้ว จึงฉวยโอกาสหนีไป แต่ผลปรากฏว่าผู้ชายคนนั้นหานางพบด้วยวิธีการไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นเสิ้นหมีก็ตกอยู่ในมือเขาเหมือนกัน โดนผู้ชายคนนั้นโจมตีสาหัสปางตาย เพื่อเป็นการลงโทษ ผู้ชายคนนั้นก็ใส่ของบางอย่างไว้ในหัวใจนางเช่นกัน ทิ้งของที่สามารถคร่าชีวิตนางได้ทุกเมื่อ


ผู้ชายคนนั้นบอกเรื่องบางอย่างนางเอาไว้ บอกว่าถ้าวันใดมีคนที่พกของของเสิ้นหมีมาหานาง และสามารถคลายพันธนาการบนร่างกายนางได้ นั่นก็คือเจ้านายคนใหม่ของนาย ต้องให้นางยอมรับเป็นเจ้านาย…


ทว่าต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน แต่สุดท้ายเขากับผู้หญิงคนนั้นก็ถูกสวรรค์อิจฉา พายุคลั่งไร้ความเมตตาที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินผ่านไปอย่างนั้น เรื่องในอดีตสลายไปราวกับหมอกควัน


“เจ้ารู้รึเปล่าว่าใครเป็นคนทิ้งของสิ่งนี้ไว้ในหัวใจข้า?” จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็เอ่ยถามพร้อมหรี่ตายิ้ม


ที่จริงหลังจากเหมียวอี้เห็นเพลิงจิตที่อยู่ในหัวใจนาง  ในใจเขาก็เหมือนเกิดคลื่นลูกใหญ่แล้ว พอได้ยินแบบนั้นก็ถามอย่างระแวงสงสัย “ใครทิ้งไว้?”


สงสัยเจ้าหนุ่มนี่จะไม่รู้จริงๆ ว่าแล้วเชียว ไม่อย่างนั้นคงไม่รีบหนีไปหรอก ทำเอาข้าตกใจแทบแย่! ไป๋เฟิ่งหวงเลิกคิ้วนิดหน่อย แล้วบอกว่า “ถ้าเอาออกมาให้ข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า และสัญญาว่าจะปล่อยเพื่อนเจ้าไปด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีที่เหลือให้ต่อรองหรอกนะ”


“ปล่อยพวกเราไปก่อน ถ้าไปถึงที่ที่ปลอดภัยแล้ว ข้าย่อมช่วยเอาออกให้เจ้า” เหมียวอี้ยืนหยัดในความคิดของตัวเอง


ไป๋เฟิ่งหวงโยนข้อมือของอีกฝ่ายออก แล้วลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เหมียวอี้ไม่มีที่ให้หลบเลย เป็นเพราะพลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกินไป


นางเอามือบีบคอเหมียวอี้ แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”


เหมียวอี้ถูกบีบคอจนหน้าแดง แต่กลับกระดุกกระดิกไม่ได้ แข็งใจกลับตาลง


ในใจเขารู้ชัดมาก ว่าถ้าคลายพันธนาการให้อีกฝ่ายจริงๆ เช่นนั้นความเป็นความตายก็จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้ว ถ้าอยากจะฆ่าอยากจะฟัน ตัวเองก็ไม่มีหนทางเลยสักนิด สัญญาปากเปล่าไม่น่าเชื่อถือ อีกฝ่ายเป็นใครตัวเองก็ยังไม่รู้จักเลยสักนิด แล้วจะเชื่อง่ายๆ ได้อย่างไร


ตอนนี้พันธนาการบนตัวอีกฝ่ายเป็นที่พึ่งเดียวในการรอดชีวิตของเขา เขาไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อโดนคนอื่นวางค่ายกลเพลิงจิตไว้ในหัวใจแล้วอีกฝ่ายจะไม่กลัว จึงตัดสินใจจะต่อต้านจนถึงที่สุด


เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็มีน้ำโหแล้ว “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์ ไม่สั่งสอนเจ้าสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าจะปากแข็งได้อีกนานแค่ไหน” นางชูนิ้วสองนิ้วแล้วถ่างออก ต้องการจะจิ้มดวงตาทั้งคู่ของเหมียวอี้ให้บอด


ในขณะนี้เอง ลูกประคำสีเขียวเข้มในคอเสื้อของเหมียวอี้ก็เปล่งแสงสลัว


นิ้วสองนิ้วของไป๋เฟิ่งหวงที่จิ้มออกไปค้างอยู่กลางอากาศ นางเบิกตากว้างมองเหมียวอี้ ทำสีหน้าราวกับเห็นผี


“เอื้อ…” นางเริ่มเปล่งเสียงทุ้มต่ำแสดงความเจ็บปวด สีหน้าขื่นนมทรมานก็ยิ่งปิดบังได้ยาก นิ้วสองนิ้วที่จิ้มออกไปเริ่มสั่นอยู่กลางอากาศ


พรึ่บ! จู่ๆ ก็นางโบกแขน โยนเหมียวอี้ออกไป แล้วใช้มือสองข้างกุมหัวใจตัวเอง ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย เดินโซเซไปด้านข้าง เอามือประคองเสาหินหยกเอาไว้ แล้วพยายามส่ายหน้าอย่างทุกข์ทรมาน


“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอสองทีพลางเอมือลูบคอแล้วลุกขึ้นมา พอเห็นอีกฝ่ายทำตัวผิดปกติก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแล้ว


หารู้ไม่ว่าในหลายปีมานี้ เพลิงจิตใจหัวใจของอีกฝ่ายไม่เคยเกิดความผิดปกติใดๆ เลย แต่เมื่อครู่นี้เอง จู่ๆ เพลิงจิตก็ปะทุและเผาไหม้อย่างรุนแรง ราวกับต้องการจะบุกทะลวงค่ายกลเล็ก ราวกับต้องการจะเผาหัวใจของนางให้กลายเป็นเถ้าถ่าน รสชาติความเจ็บปวดและหวาดกลัวแบบนี้ เกรงว่าคนนอกคงจะไม่มีทางจินตนาการออก


“หยุดนะ!” ไป๋เฟิ่งหวงที่เอามือประคองเสากล่าวเสียงต่ำพลางหอบหายใจ นางกอดเสาแล้วคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวเสียงสั่นว่า “ข้าผิดไปแล้ว เจ้ารีบหยุด”


เหมียวอี้ที่เอามือคองุนงง สงสัยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับตัวเองหรือเปล่า เขามองไปรอบๆ พบว่าในตำหนักว่างเปล่ามีแค่พวกเขาสองคน ถ้าไม่ได้พูดกับตนแล้วจะพูดกับใครได้อีก? แต่ตนไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!


แต่ผลที่ได้จากการยอมรับผิดนั้นชัดเจนมาก เปลวเพลิงล่องหนที่เคลื่อนไหวผิดปกติในหัวใจสงบลงอีกครั้ง


“เห้อ…” เงยหน้าถอนหายใจยาวอย่างฉับพลัน ใช้สองมือกุมหน้าอกแล้วล้มลงนอนหอบหายใจบนพื้น


ผ่านไปพักใหญ่ นางถึงได้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าคับแค้นปนเศร้าโศก “เจ้าทำอะไรกับข้า?”


ข้าทำอะไร? เหมียวอี้ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร แต่เขายินดีที่จะแกล้งโง่ ยักไหล่โดยไม่กล้าพูดอะไรมาก กลัวว่าพูดมากแล้วจะเผยพิรุธ เพราะตอนนี้เขายังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน


ไป๋เฟิ่งหวงเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฆ่าเขาแล้ว นางกัดฟันพร้อมบอกว่า “ถ้าข้าปล่อยพวกเจ้าออกไป เจ้ารับประกันได้มั้ยว่าจะเอาของสิ่งนี้ออกไปจากตัวข้าได้?” ก่อนหน้านี้นางไม่ร้อนใจ เพราะนึกว่าคนคนนั้นตายไปแล้ว ตราบใดที่ตัวเองไม่ทำซี้ซั้ว พันธนาการในร่างกายก็จะไม่ทำอะไรนาง อย่างมากก็เป็นของอีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาในร่างกาย แต่หลังจากได้รับความทรมานเมื่อครู่นี้ นางก็ไม่กล้าเก็บมันไว้อีกแล้ว


เหมียวอี้ใจร้อนอยากจะหนีให้พ้นจากอันตรายเช่นกัน อยู่ข้างกายผู้หญิงคนนี้นานอันตรายเกินไปแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าพูดจาคำไหนคำนั้น ขอเพียงเจ้าทำได้ ข้าก็ไม่กลืนคำพูดตัวเองแน่”


ไป๋เฟิ่งหวงพยักหน้า นางมองเขาด้วยแววตาแปลกๆ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่เอ่ยเรื่องที่ขอให้นางยอมรับเขาเป็นเจ้านาย ตอนนี้นางก็ยิ่งแน่ใจว่าเหมียวอี้ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก นางเตรียมจะปิดปากเงียบ ไม่จำเป็นต้องเอาเชือกมาผูกคอตัวเอง


ในขณะนี้เอง จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา หลังจากได้ฟังข่าวแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนทันที


ที่ด้านนอกทะเลดาวสับสน โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ยืนอยู่นอกค่ายทัพกลาง กำลังมองดูฝุ่นหยกผืนใหญ่เบื้องหน้า พวกเขามาคุมที่นี่ด้วยตัวเอง


มังกรดำยักษ์ดุร้ายสิบตัวบินวนอยู่ในดาราจักร บนตัวของมังกรยักษ์ล้วนมีคนยืนอยู่หนึ่งคน ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนออกโรงด้วยตัวเอง บุรุษจัญไรหกเนตรยืนอยู่บนหัวมังกรตัวหนึ่ง ใช้สองมือจับประคองเขาบนหัวมังกร ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่บนหน้าผากเปิดออกแล้ว แสงเลือดระท้อนวิบวับ กวาดมองหนทางที่เลือนรางเบื้องหน้า แล้วจู่ๆ ก็ชี้นิ้ว ขี่มังกรดำบินนำเบิกทางอยู่ข้างหน้า มังกรยักษ์เก้าตัวข้างหลังรีบตามไปอย่างรวดเร็ว ฝ่าเข้าไปในหมอกหนาด้วยกัน


บทที่ 1404 เล่นจนเรื่องราวใหญ่โต

Ink Stone_Fantasy

เมื่อทัพใหญ่ที่ประจำอยู่ด้านนอกเห็นภาพนี้ ก็พากันตกตะลึงในพลังอำนาจ ทำสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม


พอมังกรสิบตัวเข้าไปในฝุ่นผงผืนใหญ่ บุรุษจัญไรหกเนตรก็ยกมือขึ้นดึงจอนผมสองข้างรวมทั้งผมยาวที่อยู่ตรงท้ายทอย มีตาโลหิตอีกสามดวงเปิดออกทันที เบ่งบานแสงเลือดออกมา อยู่ในตำแหน่งระดับเดียวกับหว่างคิ้ว บนศีรษะมีดวงตาล้อมรอบสี่ทิศ


ตาเลือดสี่ดวงกลอกกลิ้ง มองข้ามอุปสรรคของฝุ่นละออง โบกมือชี้ไปยังจุดลึก ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนคอยติดตาม นำทุกคนตะลุยเข้าไปในทะเลดาวสับสนด้วยกัน


ตาเลือดของบุรุษจัญไรหกเนตรเรียกว่าดวงตาพันลี้ มีจุดที่ไม่เหมือนกับตาทิพย์ของเหมียวอี้ ตาทิพย์ของเหมียวอี้สามารถมองอ้อมได้ แต่ตาเลือดของเขากลับมองทะลุได้อย่างแท้จริง ถ้าตาทิพย์ของเหมียวอี้ถูกวัตถุจริงกั้นขวาง ก็จะมองทะลุไม่ได้แน่นอน แต่หกเนตรกลับมองทะลุได้โดยตรง มหัศจรรย์ไม่ธรรมดา


เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่สู้ตาทิพย์ของเหมียวอี้ไม่ได้ ตราบใดที่เหมียวอี้มีวรยุทธ์เพียงพอ ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ ตาทิพย์สามารถปรับระยะสายตาให้มองได้ไกลไร้ขีดจำกัด แต่ดวงตาพันลี้ของหกเนตรก็มีขีดจำกัดด้านระยะทาง มองได้ไกลเพียงเก้าพันเมตรเท่านั้น


และสาเหตุที่หกเนตรได้ชื่อว่าบุรุษจัญไร ก็เป็นเพราะตอนแรกอาศัยดวงตาพันลี้เพื่อไปมองบางสิ่งที่ไม่ควรมอง นั่นก็คือผู้หญิง!


คนประเภทนี้ทำให้คนระแวงได้ง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เกรงว่าคงจะโดนตำหนักสวรรค์ลงโทษไปนานแล้ว


พอพวกเขาล่วงล้ำเข้ามาในจุดลึกของหมอกหนา ขณะกำลังมองสำรวจไปรอบๆ จู่ๆ หกเนตรก็ยกมือตะโกนว่า “หยุด!”


มังกรยักษ์สิบตัวหยุดทันที ไป่หลี่เฟิงถามว่า “เป็นอะไรไป?”


ดวงตาพันลี้ตรงหว่างคิ้วของบุรุษจัญไรหกเนตรส่องแสงเข้มข้น แล้วโบกมือชี้เฉียงไปด้านขวาเบื้องหน้า “มาแล้ว!”


ทุกคนมองตาม แต่เป็นหมอกหนาทั้งแถบ มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น


แต่ก็ผ่านไปไม่นาน ในจุดลึกของหมอกหนาด้านหน้ามีฟ้าแลบให้เห็นรางๆ มีเสียงฟ้าร้องครืนครานดังเข้ามาใกล้ทีละนิด ตามติดด้วยลมพายุคลั่งพัดวูบ ฝุ่นหยกอันน่าสับสนเริ่มหมุนวนด้วยความเร็วสูง แล้วกวาดเข้ามาในชั่วพริบตาเดียว ดูดพวกเขาเข้าไปแล้ว


บุรุษจัญไรหกเนตรรีบขี่มังกรดำไปหลบอยู่หลังกลุ่มคน เขาไม่อยากออกหน้าในเรื่องนี้


คนที่เหลือล้วนสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะแดงของตำหนักสวรรค์ พวกเขาหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน ปล่อยให้พายุลมคลั่งดูดกลืนตัวเองไป


เสาลมที่เหมือนพายุหมุนหอบพวกเขาไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพายุอย่างรวดเร็ว พลังหมุนอันแข็งแกร่งทำให้ตรงหน้าพวกเขากว้างโล่งขึ้นแล้วไม่น้อย เพียงแต่ตรงหน้าพวกเขามีฟ้าแลบฟ้าร้องไม่รู้จักหยุดหย่อน สายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าใส่เกราะหัวของพวกเขาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีเค้าลาง สายฟ้าตัดสลับกันไปมาหลายสาย ราวกับต้องการจะให้พวกเขาได้อาบน้ำด้วยสายฟ้าสักครั้ง


มังกรยักษ์สิบตัวบินวนคดเคี้ยวยาวเหยียดด้วยความเร็ว ปกป้องคนที่ควบขี่มันเอาไว้ตรงกลาง สายฟ้านับไม่ถ้วนล่วงผ่านร่างมังกรที่ดำขลับ ไม่สามารถทำร้ายผู้ที่ควบขี่ได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจอันล้ำลึกของมังกรยักษ์ทั้งสิบตัว ครั้งนี้กำลังพลตำหนักสวรรค์มาแบบเตรียมตัวแล้ว สายฟ้ากระจอกๆ ทำอะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว


ผ่านไปไม่นาน ฟ้าผ่าก็หยุดลง แสงฟ้าแลบถอยร่นไป พายุที่หมนุด้วยความเร็วสูงก็หยุดลงอย่างช้าๆ เช่นกัน


เงาร่างของไป๋เฟิ่งหวงปรากฏอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เผชิญหน้ากับกลุ่มคนพร้อมกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ยังกล้ามารนหาที่ตายที่นี่อีก ประมุขชิงตอบตกลงเงื่อนไขของข้าแล้วสินะ”


ไป่หลี่เฟิงตะโกนตอบว่า “ไป๋เฟิ่งหวง อย่าเสียมารยาท! ฝ่าบาทเห็นแก่ไมตรีเก่า ไม่อยากฆ่าให้ตายหมด ต้องการเหลือทางให้เจ้ามีชีวิตรอด ฝ่าบาทบอกไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าปล่อยกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ยอมศิโรราบต่อตำหนักสวรรค์ ก็สามารถแบ่งทะเลดาวสับสนให้เจ้าได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้าต้องยอมศิโรราบต่อตำหนักสวรรค์!”


“เห็นแก่ไมตรีเก่าเหรอ!” ไป๋เฟิ่งหวงหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลก นางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ประมุขชิงเป็นคนที่เห็นแก่ไมตรีเก่าเหรอ? ข้ารู้จักเขาดีกว่าพวกเจ้าอีก ขนาดพี่น้องร่วมสาบานของตัวเองก็ยังทิ้งได้ ยังกล้าบอกว่าตัวเองเห็นแก่ไมตรีเก่าอีก อย่าพูดเหลวไหลเลย ข้าถามเพียงคำเดียว ตกตลงว่าประมุขชิงตอบตกลงเงื่อนไขของข้ามั้ย?”


“บังอาจ!” ฮ่วนอู๋เปียนตะคอกเสียงเข้ม แล้วโบกดาบชี้ไป “ถ้ากล้าอวดดีอีก ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน! จะยอมหรือจะไม่ยอม?”


“ถ้าไม่ยอมแล้วจะทำไม?” ไป๋เฟิ่งหวงเหยียดหยาม


มังกรดำที่ควบขี่เริ่มบินวนดันฮ่วนอู๋เปียนขึ้นมา ฮ่วนอู๋เปียนยืนอยู่เบื้องสูงพร้อมตะโกนว่า “ถ้าไม่ยอมก็จะจับตัวเจ้าไปรับโทษ!”


ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม “ชีวิตของกำลังพลหลายล้านอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าไม่สนใจความเป็นความายของพวกเขาก็ลองดูได้เลย”


นางนึกว่าตัวเองกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้แล้ว แต่ใครจะคิดว่าฮ่วนอู๋เปียนจะโบกดาบตะโกนว่า “จัดการ!”


เก้าคนที่มาด้วยกันพลันถลันตัวออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็โจมตีเข้ามาแล้ว


ไป๋เฟิ่งหวงตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าฝั่งตำหนักสวรรค์จะโหดขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แยแสชีวิตของคนหลายล้าน ไม่ยอมประนีประนอมกับนางสักนิดเลย


นางรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้หากคนพวกนี้ร่วมมือกัน จึงรีบถลันตัวถอยหลัง ขณะที่รีบถอย มังกรหยกหลายตัวก่อตัวอย่ารวดเร็ว แล้วโผเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งเพื่อดักทางข้างหลังให้นาง


บึ้ม! ฮ่วนอู๋เปียนฟันดาบใหญ่ในมือออกมา ฟันมังกรหยกที่โผเข้ามาจนระเบิด


คนกลุ่มหนึ่งไล่ตามโจมตีไป๋เฟิ่งหวงตลอดทางราวกับว่าเทพขวางก็ฆ่าเทพ พระขวางก็ฆ่าพระ ถ้าอาศัยเพียงการชนปะทะจากตัวของมังกรหยกที่ก่อตัวขึ้นมาพวกนี้ ก็ไม่สามารถต้านทานยอดฝีมือกลุ่มนี้ได้เลย กอปรกับมังกรดำสิบตัวที่พุ่งตามเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดการบดอัดจนเป็นผุยผงตลอดทาง ไล่ตามไป๋เฟิ่งหวงไม่ปล่อยเลย


“ไปทางซ้าย…ไปทางขวา…ลงด้านล่าง…”


เมื่อมีบุรุษจัญไรหกเนตรคอยชี้บอกทิศทางที่ไป๋เฟิ่งหวงหลบหนี คนกลุ่มนี้ก็ไล่ตามไม่เลิก ไป๋เฟิ่งหวงไม่มีทางหนีพ้นเลย


“โจรสุนัขหกเนตร ที่แท้ก็เป็นเจ้าอีกแล้ว! เจ้าคอยข้าไว้ให้ดี สักวันข้าจะควักลูกตาหมาๆ ของเจ้าโยนลงบ่อขี้” ไป๋เฟิ่งหวงที่กำลังเร่งหลบหนีด่ายับ


บุรุษจัญไรหกเนตรแอบร้องอย่างขื่นขม เขาเองก็ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก!


แต่ไป๋เฟิ่งหวงอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือเช่นกัน นางกับเขตแดนที่นี่เชื่อมต่อกันแล้ว หลังจากรู้ว่าโดนเล็งก็ขี้คร้านจะหลบซ่อนอีก นางหลบหนีเป็นแนวเส้นตรง กลุ่มดาวเคราะห์หินหยกขนาดใหญ่ที่รวบรวมมาตลอดทางถล่มใส่ด้านหลังนางอย่างบ้าคลั่ง สร้างอุปสรรคต่อความเร็วของผู้ที่ไล่สังหาร


ส่วนบนดาวฝุ่นหยก บรรดาเด็กชายเด็กหญิงที่ได้รับข่าวก็รีบโยนลูกกลมหยกที่กลิ้งเล่นทิ้ง รีบหนีออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว สุดท้ายไป๋เฟิ่งหวงก็ยังกลัวประมุขชิง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด นางไม่กล้าตัดหัวคนจำนวนหลายล้าน หากทำอย่างนั้นจริงๆ ประมุขชิงจะต้องไม่ปล่อยนางไปแน่นอน


เห็นได้ชัดเจนมาก นางหลบซ่อนอยู่ที่ทะเลดาวสับสนไม่ได้อีกต่อไป ถ้าล่วงเกินประมุขชิงอย่างถึงที่สุดอีก แบบนั้นนางก็จะหาที่ลงหลักปักฐานไม่ได้แล้วจริงๆ


ด้านในและด้านนอกตำหนักไม่มีคนเฝ้าแล้ว เหมียวอี้ถลันตัวออกมานอกตำหนัก พอเห็นปีศาจเล็กๆ รีบแฉลบขึ้นฟ้าไปก็แปลกใจนิดหน่อย เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


แต่เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ เมื่อมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอดแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้พลาดไป


เขาไม่ได้หนีเอาตัวรอดไปคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งคนมากมายขนาดนั้นของธงพยัคฆ์ดำเอาไว้ แต่ลูกกลมหยกมีเยอะมาก ใครจะไปรู้ว่าลูกไหนคือคนของธงพยัคฆ์ดำ ภายใต้ความจนใจ เขาทำได้เพียงเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วโบกแขนเสื้อหลายครั้งติดต่อกัน ถล่มลูกกลมหยกพังเป็นแถบๆ


แต่อยู่ดีไม่ว่าดี ในลูกกลมหยกร้อยลูกแรกที่เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ทำลายพัง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจ้านหรูอี้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมจนตรอกอยู่ด้วย


เหมียวอี้เห็นแล้วพูดไม่ออก อยากจะฉวยโอกาสนี้ฆ่านาง แต่ช่วยไม่ได้ที่มีคนเห็นเยอะเกินไป กอปรกับตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น การช่วยคนของตัวเองก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด เขาจึงถลันตัวไปอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้ ถึงอย่างไรก็สนิทกับนางกว่าคนอื่น คุยกันง่าย จึงจับนางไว้แล้วรีบคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนาง แล้วรีบเตือนว่า “เร็วเข้า ช่วยข้าช่วยชีวิตคน” พูดจบก็ถลันตัวออกไป ทำลายลูกกลมหยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าต่อไป


คนที่เขาช่วยคนแรกคือข้างั้นเหรอ? จ้านหรูอี้หันขวับไปมองเหมียวอี้ที่เดินจากไปไกล สีหน้านางทั้งแปลกใจทั้งสับสน


“รีบคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวพวกเรา” ข้างๆ มีคนร้องเตือน จ้านหรูอี้จึงได้สติกลับมา แล้วรีบลงมือช่วยเหลือ


หนึ่งจุดกระจายเป็นวงกว้าง ทุกคนลงมือพร้อมกัน ทำให้การช่วยเหลือนี้รวดเร็วมาก ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ทุกคนก็หลุดพ้นจากการถูกขังหมดแล้ว


ขณะเดียวกันก็มีคนรีบติดต่อกับเบื้องบน ทางค่ายทัพกลางได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว


ไป่หลี่เฟิงที่ผ่านมาบริเวณนี้ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน นำคนสามคนตามมาถึงที่นี่ อยู่เฝ้ารักษาการณ์ที่นี่เอาไว้ ส่วนฮ่วนอู๋เปียนก็นำคนไล่ตามโจมตีไป๋เฟิ่งหวงต่อไป


แต่ถ้าอยากจะจัดการไป๋เฟิ่งหวงในสถานที่แบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้น ไป๋เฟิ่งหวงสามารถสร้างอุปสรรคขวางกั้นได้เยอะเกินไป สุดท้ายก็ยังปล่อยให้ไป๋เฟิ่งหวงหนีไปได้ ฮ่วนอู๋เปียนนำคนโจมตีมาถึงปลายสุดอีกฝั่งของทะเลดาวสับสน เบื้องหน้าเป็นดาราจักรนิรนามที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าไป๋เฟิ่งหวงหนีไปไหนแล้ว บุรุษจัญไรหกเนตรพยายามสุดความสามารถแต่ก็หาไม่เจอแม้แต่เงา


หลังจากฮ่วนอู๋เปียนรายงานขึ้นไปแล้ว ก็นำกำลังพลย้อนกลับมารวมตัวกับไป่หลี่เฟิงอีกครั้ง โดยมีบุรุษจัญไรหกเนตรนำทาง นำกำลังพลหลายล้านจากไป


พอออกจากทะเลดาวสับสนแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นคนแรกที่ได้เจอบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา เพียงแต่มองดูจากที่ไกลๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่มีอารมณ์มาชื่นชม กลับรู้สึกหนักใจด้วยซ้ำ


ไม่หนักใจก็แปลกแล้ว ก่อนไป๋เฟิ่งหวงจะหนีไป นางเอาของบนตัวเขาไปจนหมด เกราะรบ อาวุธ ของวิเศษ เงินทอง ยาเม็ด ทั้งยังมีตั๊กแตนกับเฮยทั่นอีก แม้แต่เยียนเป่ยหงที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็ถูกเอาไปด้วยกัน สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นของมีค่าหรือไม่มีค่าก็ถูกนางเอาไปหมดแล้ว ไม่ทิ้งอะไรไว้สักอย่างเดียว


แต่ไหนแต่ไหนมาล้วนเป็นเหมียวอี้ที่ร่ำรวยจากของบนตัวคนอื่น แต่ตอนนี้โดนคนอื่นแสวงหาความร่ำรวยจากตัวเขาแล้ว เขามาเพื่อช่วยชีวิตเยียนเป่ยหงแท้ๆ แต่ผลปรากฏว่านอกจากจะช่วยเยียนเป่ยหงไม่ได้แล้ว เขายังต้องชดเชยต้นทุนเก่าอีกเป็นกองด้วย


ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น พอลองตรวจนับกำลังพลใต้บังคับบัญชาดู ก็พบว่าทั้งหมดถูกรีดไถไปจนเกลี้ยงแล้ว


ไม่ใช่แค่กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขาเท่านั้น สมบัติของกำลังพลหลายล้านก็ถูกเอาไปหมดเช่นกัน


ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่เขาที่สีหน้าแย่จนดูไม่ได้ หลังจากได้รับแจ้งแล้ว โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาก็สีหน้าคร่ำเครียดเช่นกัน


ถ้าเป็นสมบัติอย่างอื่นก็ไม่เท่าไรหรอก แต่กำลังพลเกือบเก้าล้านของกองทัพองครักษ์ล้วนพกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ติดตัว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบเก้าล้านคันไหลออกไปแล้ว เพียงพอที่จะติดอาวุธให้ทัพใหญ่ได้หนึ่งกองทัพ ถ้าไปตกอยู่ในมือของคนที่มีเจตนาไม่ดีขึ้นมาละก็ เกิดปัญหาใหญ่แน่


แต่ตอนนี้ไป๋เฟิ่งหวงหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว ถ้าอยากจะหาก็ไม่มีทางหาพบเลย ของที่อยู่บนตัวคนมากมายขนาดนั้น เกรงว่าคงจะเพียงพอให้ไป๋เฟิ่งหวงซ่อนตัวได้หลายปี


ไป๋เฟิ่งหวงนึกว่าถ้าตัวเองปล่อยกำลังพลของตำหนักสวรรค์ไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก็จะปล่อยตนไปง่ายๆ นางไม่เข้าใจว่านางได้ทำผิดข้อห้ามบางอย่างเข้าแล้ว และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ฝั่งนี้สงสัยแล้วว่าผู้ร้ายที่ฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกอยู่ในมือนาง


นางหนีไปเพื่ออิสระ แต่หารู้ไม่ว่าการหนีไปครั้งนี้จะทำให้เรื่องราวใหญ่โต ยั่วให้ประมุขชิงเดือดดาลมาก!


ผ่านไปไม่นาน ตำหนักสวรรค์ก็ระดมทัพใหญ่มาปราบที่ทะเลดาวสับสนอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่กำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาเท่านั้น แม้แต่กำลังพลท้องถิ่นก็เข้ามาร่วมด้วย บุรุษจัญไรหกเนตรขื่นขมใจจนพูดไม่ออก ถูกรั้งตัวเอาไว้คอยช่วยเหลือที่ทะเลดาวสับสน


ทัพใหญ่เก้าล้านที่ถูกปลดอาวุธออกไปจากที่นั่นอย่างเศร้าสลด บนตัวไม่มีแม้แต่อาวุธพื้นฐาน ทำได้เพียงต่างคนต่างกลับไปที่อาณาเขตตัวเอง


หลังจากนั้นหลายเดือน เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็นำกำลังพลใต้บังคับบัญชากลับมารายงานผลการปฏิบัติงานที่ฐานของกองมังกรดำ สุญเสียชีวิตคนไปไม่เยอะเท่าไร ธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินมีคนหายไปไม่กี่สิบคนเท่านั้น


เหมียวอี้กลับมาถึงค่ายทัพกลางธงพยัคฆ์ดำ เรียกรวมลูกน้องคนสำคัญมาแล้วตำหนิตัวเองต่อหน้าพวกเขา พวกลูกน้องย่อมกล่าวปลอบโยนพอเป็นพิธี


ตอนที่ถูกคนถอยออกไปแล้ว จู่ๆ สวีถังหรานก็เข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ แล้วรายงานเป็นการส่วนตัวว่า “นายท่าน ทางตลาดมืดคึกคักแล้ว แปลกประหลาดเหลวไหลจริงๆ มีคนปล่อยข่าวไม่หยุดว่าต้องการรับซื้อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในราคาสูง ตอนนี้เกรงว่าอำนาจแต่ละฝ่ายคงจะเข้าไปพัวพันกับตลาดมืดใหญ่ๆ กันหมดแล้ว”


บทที่ 1405 ลืมบัญชีเก่า

Ink Stone_Fantasy

“ตลาดมืดรับซื้อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์?” เหมียวอี้ตกใจไม่ใช่น้อย


จู่ๆ ก็มีข่าวนี้โผล่มาจากตลาดมืด ไม่ต้องคิดอะไรเยอะก็รู้แล้วว่าพุ่งเป้าไปที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ถูกปล้นที่ทะเลดาวสับสน แต่นั่นคือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบเก้าล้านคัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอยากได้ของชุดนี้ คิดจะทำอะไร? ไม่รู้เหรอว่าทำแบบนี้ผิดข้อห้าม? เขาหันกลับมาถามว่า “รู้หรือเปล่าว่าอำนาจฝ่ายไหนเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง?”


สวีถังหรานตอบว่า “ฟังจากที่หวงเสี้ยวเทียนบอก น่าจะมีทั้งอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกลูกพี่ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ มีทั้งโจรกบฏ ถึงอย่างไรช่วงนี้ตลาดมืดก็คึกคักมาก พวกพวกเสือสิงห์กระทิงแรดอะไรล้วนมีหมด พากันจับจ้องไปที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า วิธีการหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถูกควบคุมอยู่ในมือตำหนักสวรรค์มาตลอด ถ้าโจรกบฏอยากได้ก็ยังพออภัยได้ ตอนนี้แม้แต่พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เข้ามาร่วมด้วยแล้วเหรอ คนพวกนี้กำลังคิดจะทำอะไรกัน? อยากเก็บไว้ในมือกันหมดเลยเหรอ?


“ฝ่าบาทคงจะนั่งในตำแหน่งนั้นไม่สบายแล้ว!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็พอจะเข้าใจเช่นกัน คนที่อยู่ในระดับบุคคลสำคัญของตำหนักสวรรค์ ทุกคนล้วนมีจิตใจเห็นแก่ตัวที่อยากจะปกป้องตัวเองอยู่บ้าง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ประมุขชิงบีบได้ตามอำเภอใจ ถ้าพูดโดยมองจากบางมุม พวกลูกพี่ใหญ่แต่ละคนล้วนสามารถถ่วงความเจริญก้าวหน้าประมุขชิงได้ และกำลังรักษาความสมดุลในอำนาจของตำหนักสวรรค์ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้คนคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง เช่นนั้นความเป็นความตายของทุกคนก็จะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนคนเดียวจริงๆแล้ว คาดว่าคงไม่มีให้อยากเห็นพระปีศาจหนานโปคนที่สองโผล่มาอีก


เขาไม่สนใจธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แต่กลับสนใจความปลอดภัยของเยียนเป่ยหงกับเฮยทั่น ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าไป๋เฟิ่งหวงหนีไปอยู่ที่ไหน อยากจะเจรจาเงื่อนไขแต่ก็ติดต่อไม่ได้ วิธีการเดียวในตอนนี้ก็คือดูว่าที่ตลาดมืดมีใครปล่อยขายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จะได้สืบสาวไปถึงตัวไป๋เฟิ่งหวงได้สะดวก


ตรงนี้กำลังสั่งสวีถังหรานให้เฝ้าติดตามข่าวทางตลาดมืด ด้านนอกกลับมีข่าวมารายงาน “รายงาน!”


ทั้งสองที่กำลังสุมหัวพึมพำอยู่ด้วยกันแยกออกจากกัน เหมียวอี้เงยหน้าบอกว่า “เข้ามา”


ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาทำความเคารพ แล้วใช้สองมือยื่นแผ่นหยกให้ “ผู้บัญชาการใหญ่ ด้านนอกมีคนขอพบขอรับ บอกว่าเป็นสหายของท่าน”


“สหาย?” เหมียวอี้ดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ แล้วถามว่า “ชื่อแซ่อะไร?”


“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ทหารยามตรงประตูบอกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยตัวตน” ลูกน้องตอบ


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแผ่นหยกบนมือ พบว่าข้างในเป็นรูปตั๊กแตนตัวหนึ่ง เป็นตั๊กแตนหยินหยางที่เขาเลี้ยงนั่นเอง เขาพึมพำในใจ หรือว่าอวิ๋นจือชิวจะมาแล้ว? เขาเดาว่าอวิ๋นจือชิวติดต่อเขาไม่ได้ จึงกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ก็เลยมาหาเขา เขาเงยหน้าบอกว่า “เชิญเข้ามา!”


ผ่านไปครู่เดียว ด้านนอกก็มีชายชราคนหนึ่งเข้ามาทำความเคารพ


เหมียวอี้มองอีกฝ่ายปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่อวิ๋นจือชิว บางอย่างสามารถปลอมแปลงได้ แต่บางอย่างไม่สามารถปลอมแปลงได้ เขาคุ้นเคยกับดวงตาของอวิ๋นจือชิวมากเกินไป


หลังจากชายชราคนนั้นทำความเคารพแล้ว ในดวงตาก็ฉายแววหยอกล้อ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกตรงๆ ว่า “ที่แท้เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังนี่เอง”


พอได้ยินเสียงนี้ เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสง่าก็ตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาพลันเบิกกว้าง ไป๋เฟิ่งหวง!


เขาไม่มีทางลืมเสียงของไป๋เฟิ่งหวงเร็วขนาดนั้น แน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด สายตาแบบนั้นก็ไม่ผิดแน่ เขากำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาไป๋เฟิ่งหวงให้พบได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่ก่อน


เหมียวอี้หันกลับไปมองเหยียนซิวที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างหลังเงียบๆ แล้วทำท่าปัดมือให้สวีถังหราน “เจ้าออกไปก่อน ถ้าข้าไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา รวมทั้งหรูฮูหยินด้วย”


“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับแล้วเดินออกไป เพิง่จะเดินมาถึงข้างนอก ก็บังเอิญเจอกับเฟยหงที่ยกน้ำชาเข้ามาพอดี เขาทำได้เพียงขวางไว้ ไม่ให้เข้าไปข้างใน


ในค่ายทัพกลาง เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ จ้องมองชายชราที่อยู่ตรงหน้า


“เหอะๆ…” ชายชราหัวเราะเบาๆ ร่างกายเลือนรางเลื้อยขยุกขยิกพร้อมกับมีแสงสลัว ชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏร่างเดิมแล้ว กลายเป็นไป๋เฟิ่งหวงสวมชุดกระโปรงสีขาวที่มีร่างทั้งร่างเป็นสีขาว


เหยียนซิวที่เงียบงันมาตลอด ในที่สุดก็แสดงท่าทางตกใจมาก แต่เหมียวอี้กลับยกมือกดไว้


เป็นเหมือนปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่สามารถแปลงร่างได้หลากหลายอีกแล้วเหรอ มิน่าล่ะถึงได้หลบการปิดล้อมสอบสวนแล้วมาถึงที่นี่ได้! เหมียวอี้แอบหมั่นไส้ แล้วถามเสียงเข้มว่า “เจ้าใจกล้าไม่เบาเลยนะ ยังกล้ามาที่นี่อีก เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่?”


ตอนแรกอีกฝ่ายไม่ได้ถามถึงฐานะตัวตนของเขา และเขาก็ไม่ได้บอกด้วย เขาสงสัยนิดหน่อยว่าเยียนเป่ยหงเปิดเผยหรือเปล่า?


ไป๋เฟิ่งหวงโบกมือโยนของให้เขา พอเหมียวอี้รับมาดูในมือ ก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจเยียนเป่ยหงผิดไป นี่คือแผ่นหยกขุนนางของเขา บนนั้นมีสถานะของเขาอยู่ เขาลืมสิ่งนี้ไปแล้ว


พอเก็บแผ่นหยกแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”


“เจรจาข้อแลกเปลี่ยนของเราต่อไป เจ้าเอาของบนตัวข้าออกไป แล้วข้าจะคืนของให้เจ้า” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ


เหมียวอี้จึงหรี่ตาบอกว่า “พอมาถึงที่นี่แล้ว เจ้าก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่ใช่ทะเลดาวสับสนที่เอื้อความได้เปรียบให้เจ้า พอมีความเคลื่อนไหว ที่อาณาเขตดาวรอบๆ ก็จะปิดล้อมทันที หนีไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นแล้ว ข้าไม่เอาของคืนก็ได้หรอก ขอเพียงจับตัวเจ้าได้ ยังกลัวว่าจะไม่ได้ของของตัวเองคืนอีกเหรอ?”


ไป๋เฟิ่งหวงพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “อย่าเปลืองคำพูดขู่เข็ญที่ไร้ประโยชน์ ข้าเองก็ไม่ได้ตกใจสักเท่าไรหรอก ถ้าเจ้าไม่กลัวตายก็ลองดูได้เลย! ข้าจะเปิดเผยให้เจ้ารู้ก็ได้ ข้าฝึกตนขึ้นมาจากหินหยก ต่อให้เจ้าทำลายหัวใจข้า ข้าก็ยังไม่ตายในทันทีหรอก มีเวลาเพียงพอที่จะฆ่าเจ้าทิ้งก่อน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีคนไม่กลัวตาย” พูดจบก็พลิกฝ่ามือ คว้าเยียนเป่ยหงที่มีสภาพสะบักสะบอมออกมา “เจ้าหนุ่มนี่ปากแข็งมากทีเดียว จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของเจ้า มองออกจากจุดนี้ได้เลย ว่าฐานะของพวกเจ้าสองคนไม่ธรรมดา จะให้ข้าสังหารเขาให้เจ้าดูก่อนมั้ยล่ะ?”


ทั้งตัวเยียนเป่ยหงเต็มไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าโดนทรมานมา เขาเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างเสียใจ ส่วนเหมียวอี้ก็เม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาสื่ออารมณ์รู้สึกผิดอย่างปิดบังไม่อยู่


พอดึงตัวเยียนเป่ยหงออกมา เหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ก่อนหน้านี้เขายังหวังว่าไป๋เฟิ่งหวงจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเยียนเป่ยหง แต่ตอนนี้โดนเปิดโปงแล้ว สูญเสียหมากในการเจรจาต่อรองไปแล้ว ถึงอย่างไรเฮยทั่นก็ยังอยู่ในมืออีกฝ่าย จึงกัดฟันถามว่า “ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าหลังจากจบเรื่องเจ้าจะไม่กลับคำพูด?”


ไป๋เฟิ่งหวง “ก็อย่างที่เจ้าบอก ถ้าเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น ต่อให้ข้าสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ แต่ก็รอดพ้นจากอาณาเขตดาวนี้ไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องหาเรื่องให้ตัวเอง และครั้งนี้ข้าก็ร่ำรวยมากด้วย เพียงพอให้ใช้ชีวิตอิสระเสรีได้อีกนาน ไม่อาศัยของเล็กน้อยของเจ้าหรอก หนิวโหย่วเต๋อ ทุกคนล้วนมีความต้องการของตัวเอง หลังจากจบเรื่องก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน ตกลงมั้ย?”


เหมียวอี้ทำหน้าตึง ขณะที่จ้องมองนาง ในใจก็เรียกได้ว่าเดือดดาลมาก พบว่าผู้หญิงคนนี้ใจกล้าไม่เบาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าบุกเข้ามาขู่ตนในค่ายทหารของกองทัพองครักษ์! แต่สุดท้ายเขาก็ยังพยายามพูดออกมาว่า “ได้! ตกลงตามนี้!”


ไป๋เฟิ่งหวงพลิกฝ่ามือเก็บเยียนเป่ยหง แล้วเดินตรงไปข้างหน้าเหมียวอี้ “เร็วๆ หน่อย อย่าชักช้า อย่าเล่นตุกติกอะไรด้วย!”


เหมียวอี้ยกมือขึ้นและใช้นิ้วทั้งห้าคว้า ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็งเพลิงจิตในหัวใจของนาง แล้วโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดารา


“เอื้อ…” ไป๋เฟิ่งหวงขมวดคิ้ว เปล่งเสียงทางจมูกออกมาเบาๆ


สำหรับนาง บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้นางกลุ้มใจมาหลายปี แต่สำหรับเหมียวอี้ เป็นเรื่องที่ง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง เพลิงจิตล่องหนที่เฝ้าอยู่ในห้องหัวใจของนางวับวาบอยู่พักหนึ่ง มันไร้รูปร่างโดยสิ้นเชิงแล้ว นางรู้สึกได้ว่ามีสิ่งของประหลาดสองอย่างแทรกซึมออกมาจากห้องหัวใจของนาง แล้วก็ซึมออกมาจากหน้าอก หมอกแสงสีฟ้าแดงที่เกิดจากจุดสองกลุ่มจำนวนนับไม่ถ้วนถูกดูดเข้าไปรวมในขยุ้มมือของเหมียวอี้ แทรกซึมเข้ามาในฝ่ามือของเหมียวอี้ หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็โบกฝ่ามือ เอามือสองข้างไขว้หลัง แล้วจ้องนางอย่าเย็นเยียบ “ถึงคราวที่เจ้าจะต้องรักษาสัญญาแล้ว”


ไป๋เฟิ่งหวงตรวจดูภายในของตัวเอง บนใบหน้าฉายแววดีใจไม่หยุด ในที่สุดสิ่งที่ทำให้ตนกลุ้มใจมาหลายปีก็ถูกกำจัดไปแล้ว ถึงแม้ค่ายกลเล็กในห้องหัวใจจะยังอยู่ แต่มันก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว นางร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดได้โดยตรง


ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ไม่กล้ากำจัดค่ายกลเล็ก ก็เป็นเพราะนางไม่มีความสามารถนั้น ทั้งยังไม่กล้าทำลายด้วย กลับต้องอาศัยวรยุทธ์ของตัวเองเพื่อปล่อยพลังงานมารักษาค่ายกลเล็กให้คงอยู่ด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีอะไรมาควบคุมเปลวเพลิงล่องหน มันก็จะคร่าชีวิตนางทันที ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว นางย่อมกำจัดมันได้ภายในครั้งเดียว


เมื่อรักษาโรคที่คาอยู่ในใจได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก โบกมือโยนกำไลเก็บสมบัติและกระเป๋าสัตว์ไว้บนโต๊ะยาว “เจ้านับเอาเอง ข้าไม่ได้เอาของอะไรไปเลย ทั้งหมดอยู่ที่นี่ เพียงพอที่จะรักษาสัญญาแล้วใช่มั้ย?”


เหมียวอี้จะเชื่อตามที่นางพูดได้อย่างไร เขารีบหยิบของขึ้นมาตรวจดูทีละชิ้น หลังจากยืนยันให้แน่ใจแล้วว่าเยียนเป่ยหงกับเฮยทั่นไม่เป็นอะไร เขาถึงได้นับทรัพย์สินของตัวเอง บนตัวเขาก็พอจะมีของอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่รู้จำนวนชัดเจน คงไม่ไปจดจำของเบ็ดเตล็ดพวกนั้น แต่ของที่สำคัญก็ไม่ได้หายไปจริงๆ ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับของอย่างอื่น เดาว่าอีกฝ่ายก็คงไม่เล่นตุกติกกับของจำนวนเล็กน้อยเช่นกัน


“ถ้าจำนวนของไม่ผิดพลาด ข้าก็จะไปก่อนแล้ว ตั้งแต่นี้ไปทุกคนต่างคนต่างไป ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก” ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดมือ แล้วเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นชายชรา หันตัวแล้วเดินออกไปเลย เหมือนจะอยากหนีห่างจากเหมียวอี้ไวๆ ไม่อยากพัวพันอะไรกับเหมียวอี้อีก


และด้วยเหตุนี้เอง เหมียวอี้ที่เก็บของแล้วเห็นนางบทจะไปก็ไป จึงถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “เจ้าไม่กลัวว่าตอนหลังข้าจะกลับคำเหรอ?”


ไป๋เฟิ่งหวงหยุดฝีเท้า แล้วหันมากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่? ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าประมุขชิงยังไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของเจ้าคืออะไร ไม่อย่างนั้นคนแรกที่จะโดนฆ่าก็คือเจ้านั่นแหละ เจ้านี่ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ตามหลักแล้วก็ต้องคอยหลบประมุขชิงสิถึงจะถูก ยังกล้ามาทำงานอยู่ใต้หนังตาจองประมุขชิงอีก ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าเดินตามทางของเจ้า ข้าจะเดินตามทางของข้า คิดเสียว่าเจ้ากับข้าไม่เคยเจอกันมาก่อน”


ก่อนหน้านี้นางยังไม่กล้ายืนยันเรื่องบางอย่าง แต่ตอนนี้เหมียวอี้แก้ไขปัญหาที่อยู่ในหัวใจนางได้แล้ว ทำให้นางแน่ใจแล้ว


“ใครเป็นคนลงพันธนาการนี้ไว้บนตัวเจ้า?” เหมียวอี้ถาม


“เจ้าลองเดาสิ?” ไป๋เฟิ่งหวงเมือปิดปากหัวเราะ นางไม่พูดอะไรเช่นกัน กลัวว่าโยงไปถึงบัญชีเก่า นางหันตัวไปแล้วทำท่าเป็นชายชราที่มีท่าทางจริงจัง เดินจากไปอย่างไม่แยแส เหมือนจะอารมณ์ดีพอสมคว


เหมียวอี้มองดูนางคล้อยหลังจากไปพร้อมครุ่นคิดเงียบๆ แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนนที่ไป๋เฟิ่งหวง ‘ลืมบัญชีเก่า’ …


ปราสาทดำเนินเซียน ในตำหนักเมฆาล่องลอย ชายชราผมสีเงินคลุมร่างกายราวกับชุดผ้าไหมเก็บระฆังดาราในมือ จู่ๆ ผมสีเงินก็ปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม ประตูตำหนักที่ปิดสนิทพลันเปิดเองโดยอัตโนมัติ ทั้งตัวหายเข้าไปในตำหนักแล้ว เขาเข้าไปในดาราจักรด้วยความเร็วที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ยาก เงาร่างถลันวูบเข้าไปในจุดลึกของดาราจักร…


หลังจากนั้นครึ่งวัน ตรงประตูดวงดาวสีดำมืดที่กำลังหมุนวน สตรีวัยกลางคนชุดดำคนหนึ่งถลันเข้าไปโดยไม่อาศัยพลังจากวัตถุภายนอก


ในท้องฟ้าอีกผืนหนึ่ง หลังจากเงาร่างถูกพ่นออกมา สตรีชุดดำก็มองไปรอบๆ ขณะที่หันกลับมามองข้างหลังตัวเอง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน ทั้งร่างนิ่งชะงัก


ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมตัวใหญ่โคร่งสีขาวดุจหิมะกำลังลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ผมสีขาวเงินยาวมากจนปกคลุมร่างกายเอาไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ผมปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ คิ้วเข้มสองข้างมีสีขาวดุจหิมะ ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีทอง ใบหน้าที่เจือด้วยรอยเหี่ยวย่นดูเยือกเย็นสุขุม ภายใต้ริมฝีปากหนาอิ่มมีเคราสีขาวที่ยาวห้อยลงมาถึงหน้าอก


บทที่ 1406 ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย

Ink Stone_Fantasy

ชายชราลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สายตาที่เฉียบคมพลันจ้องไปที่สตรีชุดดำเงียบๆ


สตรีชุดดำกระตุกมุมปากเล็กน้อย หันหน้าไปอีกทาง ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อ


“เฮ้อ!” ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงชายชราถอนหายใจเบาๆ “นางหนูไป๋หยุดก่อน ตาแก่คนนี้รอมานานแล้ว”


สตรีชุดดำหันกลับมามองแวบหนึ่ง นางตกใจทันที พบว่าชายชราชุดขาวผมสีเงินปลิวสะบัดเหาะตามหลังเข้ามาใกล้นางแล้ว


“ท่านเป็นใคร? กำลังเรียกข้าเหรอ? ท่านจำผิดคนแล้วรึเปล่า?” สตรีชุดดำอุทานถามด้วยเสียงแหบพร่า


จู่ๆ ก็มีเสียง “ซู่ๆ” ดังขึ้น ผมสีเงินของชายชราพลันกระเซิงออกมา ขยุ้มเข้ามาราวกับตาข่ายผืนใหญ่ เร็วจนฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางหลบพ้น


สตรีชุดดำรีบโบกดาบใหญ่ออกมา ฟันใส่ผมสีเงินที่พัวพันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทว่าผมของชายชราแข็งแรงทนทานมาก ไม่ใช่แค่ฟันไม่ขาด แต่กลับพันดาบของสตรีวัยกลางคนเอาไว้ราวกับเป็นงูสีเงิน แล้วเลื้อยคดเคี้ยวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พันแขนของสตรีวัยกลางคนเอาไว้แล้ว


ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ผมสีเงินที่พันเข้ามาก็มัดสตรีชุดดำเอาไว้แน่น ผมสีเงินหดลงอย่างประหลาด ดึงนางเข้ามาใกล้โดยตรง


พอร่างของสตรีชุดดำโยกไหว ทั้งตัวก็ราวกับกลายเป็นของเหลว แทรกซึมออกมาจากรอยแยกที่โดนรัดพันเพื่อหนีออกไป


วึง! ผมสีเงินพลันสะบัดกลับมาด้านหลัง ปลิวสะบัดอย่างรุนแรงอยู่ข้างหลังชายชรา เงาฝ่ามือใหญ่ประมาณหนึ่งจั้งถูกปล่อยออกมาอย่างมีพลังราวกับฟ้าผ่า ปั้ง! ประทับไว้บนหลังของร่างกายคนที่เหมือนของเหลว


“อั้ก!” น้ำเลือดสีขาวกระอักออกมาอย่างบ้าคลั่ง เงาคนที่เหมือนของเหลวกลิ้งอยู่กลางอากาศ กลายเป็นร่างคนสวมชุดกระโปรงสีขาวม้วนกลิ้ง ปรากฏร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงตรงนั้น


รอจนไป๋เฟิ่งหวงกระอักเลือดเสร็จจนยืนนิ่งแล้ว ก็พบว่าชายชราลอยมาอยู่ตรงหน้าของนางเงียบๆ และกำลังจ้องนางอยู่


ไป๋เฟิ่งหวงราวกับประสาทเสียไปแล้ว ชี้ชายชราพร้อมแหกปากถามด้วยเสียงแหลม “โหยวอี ข้ากับท่านไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทำไมต้องมาทำร้ายข้าด้วย?”


นางจำคนไม่ผิด ชายชราคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือโหยวอี ปรามาจารย์ผู้บุกเบิกปราสาทดำเนินเซียน!


“มีคนสั่งให้ตาแก่คนนี้มาบอกเจ้า ว่าให้เจ้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรก!” โหยวอีกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม


ไป๋เฟิ่งหวงตะลึงค้าง เบิกตากว้างจ้องเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มทำสีหน้าสยดสยอง เหมือนไม่กล้าทำใจเชื่อ ตวาดอีกว่า “สัญญาอะไร? ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร!”


ที่จริงโหยวอีก็ไม่รู้เช่นกันว่าเฟิ่งหวงต้องรักษาสัญญาอะไร เพียงแต่มีคนติดต่อเขามา ว่าให้เขารีบตามมาสั่งสอนไป๋เฟิ่งหวง ตอนนี้เขาก็แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสัญญาอะไร เขาก็พูดเร่งต่อไป “ไปเถอะ!”


ไป๋เฟิ่งหวงตวาดกลับว่า “ไปอะไรล่ะ! ผ่านไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว คนก็ไม่อยู่แล้ว ทำไมต้องไปให้คนประหลาดที่ไหนก็ไม่รู้มาผูกมัดข้า? ข้าไม่ไป!”


“ข้าไม่ได้มาขอร้องเจ้าหรอก แต่มีคนลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าถ้าเจ้าไม่ทำตามสัญญา ก็จะทำให้เจ้าหายไปจากโลกนี้” โหยวอีกล่าว


“…” ไป๋เฟิ่งหวงเอามือสองข้างกุมศีรษะ นางแทบจะเป็นบ้าแล้ว นางนึกว่าถ้าเหมียวอี้ไม่รู้เรื่องนั้น นางก็จะตบตาปล่อยให้ผ่านไปได้ นึกไม่ถึงว่าประมุขปราสาทดำเนินเซียนจะออกหน้ามาสู้กับนางด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกกลัวก็คือ นางไม่รู้ว่าโหยวอีหานางพบได้อย่างไร นางแน่ใจว่าไม่มีใครตามนางมา เพราะนางปลอมตัวใหม่ตั้งสามรอบแล้ว ทำไมยังมีคนมารอนางอยู่ที่นี่เหมือนเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายอีกล่ะ?


จู่ๆ นางก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมในปีนั้นตอนที่นางหนี ผู้ชายคนนั้นถึงตามหานางเจอได้ง่ายๆ


“ไม่ถูกสิ…” นางพลันเงยหน้า แล้วอุทานอย่างประหลาดใจ “ท่านเองก็ทรยศเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังช่วยเขาทำเรื่องแบบนี้อยู่อีกล่ะ? เขาตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อใครบางคน แต่ติดต่อไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคนตายไปแล้ว ก็แปลว่าระฆังดาราโดนอะไรบางอย่างกั้นไว้ จึงอุทานถามอย่างตกใจอีกครั้ง “คนก็ตายไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ข้ารักษาสัญญา?”


โหยวอีได้แต่มองนางอย่างสงบนิ่ง


ไป๋เฟิ่งหวงร้องโวยวายอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลง แล้วถามอย่างระแวงสงสัยว่า “อย่าบอกนะว่าเขายังไม่ตาย? อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พวกท่านทรยศเขาในปีนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก? ทำไมพวกท่านถึงเล่นงานเขาให้ถึงตายล่ะ?”


“รักษาสัญญาของตัวเอง ตั้งใจทำเรื่องของเจ้าให้ดีเถอะ” โหยวอีถาม


“อย่ามาขู่ข้า ท่านเชื่อมั้ยว่าเดี๋ยวข้าจะไปขอพึ่งพาประมุขชิง!” ไป๋เฟิ่งหวงตวาด


โหยวอีจึงบอกว่า “ที่ข้ามารอเจ้าอยู่ตรงนี้ได้ เจ้าก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะ ว่าข้างกายประมุขชิงก็อาจจะไม่ปลอดภัย เบาะแสของเจ้าอยู่ในมือของใครบางคนมาตลอด เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”


“อ๊า…” ไป๋เฟิ่งหวงเอามือกุมหัวกรีดร้องราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “เพราะอะไร!”


เหมียวอี้ที่ได้ของของตัวเองกลับมาแล้วเริ่มงานยุ่ง พบว่ามีหลายฝ่ายติดต่อมาไม่หยุด


อวิ๋นจือชิวส่งขาวมา ถามถึงสถานการณ์ที่ทะเลดาวสับสน ฝั่งอวิ๋นอ้าวเทียนก็กำลังสนใจเบาะแสของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น จีเหม่ยลี่และพวกอนุภรรยาก็ส่งข่าวมาเช่นกัน บอกว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตัวเองก็สนใจเบาะแสของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นเช่นกัน จินม่านจากลัทธิอู๋เลี่ยงก็ส่งข่าวมาเช่นกัน กำลังสนใจที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกัน


ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันทำให้กลุ่มโจรกบฏกระตือรือร้นมาก ในที่สุดเหมียวอี้ก็ได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่าทางตลาดมืดคึกคักขนาดไหน


ที่จริงพวกอวิ๋นจือชิวติดต่อเขามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ของตกอยู่ในมือไป๋เฟิ่งหวงจึงไม่สามารถสื่อสารกันได้ ตอนนี้เพิ่งจะติดต่อกันได้


เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในค่าย ของของเขาได้มาจากไป๋เฟิ่งหวง แต่ไม่สะดวกจะนำออกมาใช้อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นจะอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ จะต้องหาเหตุผลสักอย่างมาแก้ตัว


ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีก “ผู้บัญชาการใหญ่ สหายของท่านมาแล้ว”


“สหายคนไหน?” เหมียวอี้แปลกใจ


“ชายชราที่เพิ่งออกไปจากที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน” ลูกน้องตอบ


ไป๋เฟิ่งหวง? เหมียวอี้พลันหรี่ตา ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาทำไมอีก? จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เชิญเข้ามา”


ผ่านไปไม่นาน ชายชราก็ถูกนำตัวเข้ามาทำความเคารพในค่าย เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ก็พลันยืนขึ้น แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามีเจตนาอะไร?” เขาสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของเขามาใช้เป็นจุดอ่อนเพื่อขู่เขา


ชายชราทำสายตาเหมือนอยากจะกัดเขาให้ตาย “ให้เจ้าหน้าผีข้างกายเจ้าถอยไปก่อน”


“เขาไม่ใช่คนนอก มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกมาตรงๆ ได้เลย” เหมียวอี้กล่าว


ชายชราเหมือนไม่มีอะไรจะเถียง แต่สุดท้ายก็ยังปรากฏร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงออกมา แล้วก้มตัวลงด้วยความยากลำบากมาก นางคุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้อย่างช้าๆ คุกเข่าลงบนพื้นอย่างจริงจังแล้ว จากนั้นก้มหน้าอย่างรู้สึกไม่ยอม แล้วบอกว่า “ไป๋เฟิ่งหวงคำนับนายท่าน”


“…” ลูกตาของเหมียวอี้แทบจะถลนออกมา ต่อให้จะมีแผนการอะไร แต่ยอดฝีมือระดับบงกชกลายคนหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ตนหรอกมั้ง?


เหยียนซิวที่มีสีหน้าตายด้านเย็นชาก็งงเช่นกัน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?


การกระทำของผู้หญิงคนนี้ทำให้เหมียวอี้ทำอะไรไม่ถูก “เจ้าทำอะไรน่ะ?”


ไป๋เฟิ่งหวงพลันเงยหน้า แล้วถามเหมือนเหน็บแนมว่า “ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายไง เจ้าไม่ดีใจรึไง?”


เหมียวอี้ไม่รู้สึกดีใจ มีแต่ความรู้สึกตกใจเท่านั้น “เจ้าหมายความว่ายังไง?”


เมื่อเห็นเขาไม่เรียกให้ตนลุกขึ้นสักที ไป๋เฟิ่งหวงก็พลันยืนขึ้นเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ข้าอุตส่าห์คุกเข่าให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะให้ข้าพูดอีกกี่รอบ ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายไง ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย…” นางตะโกนซ้ำๆ แล้วสุดท้ายก็ถามว่า “เจ้าพอใจแล้วสินะ?”


ผู้หญิงคนนี้เล่นบ้าอะไรของนาง? เหมียวอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราสองอันออกมาแล้ว แบ่งลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป แล้วตบวางลงบนโต๊ะของเขา “ทิ้งวิธีติดต่อเอาไว้”


เหมียวอี้ได้แต่มองนางอยู่อย่างนั้น


ไป๋เฟิ่งหวงรอได้ประเดี๋ยวเดียว รอจนทนไม่ไหวแล้ว “เจ้าไม่เต็มใจเหรอ? คงไม่ถึงขั้นอยากเก็บข้าไว้ข้างกายหรอกใช่มั้ย? ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธอะไรให้ตำหนักสวรรค์จับได้ งั้นข้าก็ไม่สนใจเหมือนกัน”


เหมียวอี้กลัวว่านางจะใช้สิ่งนี้มาบีบจุดอ่อนเขา แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ผู้หญิงคนนี้กุมจุดอ่อนที่ใหญ่มากของเขาเอาไว้แล้ว จึงนำระฆังดาราสองอันออกมาลงอิทธิฤทธิ์เอาไว้ อยากจะเห็นว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่


ไป๋เฟิ่งหวงคว้าระฆังดาราเอาไว้อันหนึ่ง “ถ้าไม่มีอะไรจะกำชับ ข้าก็ขอตัวก่อน มีธุระแล้วค่อยติดต่อมา” นางพูดจบแล้วหันหน้าเดินออกไปเลย รวดเร็วฉับไวมาก


“เดี๋ยวก่อน!” เหมียวอี้ตะโกนหยุด


“มีวาจาก็รีบเอ่ย มีตดก็รีบปล่อย” ไป๋เฟิ่งหวง


เหมียวอี้บอกว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นในมือเจ้าดึงดูดความสนใจของอำนาจฝ่ายต่างๆ แล้ว เจ้าเตรียมจะจัดการยังไง?” ถ้าเป้นไปได้ เขาก็ไม่ถือสาที่จะเป็นคนกลางให้ ช่วยประสานงานเรื่องการขายให้พวกอวิ๋นจือชิว


ไป๋เฟิ่งหวงอึ้งไปครู่หนึ่ง ทำสายตาล่อกแล่ก แล้วก็ยิ้มพลาเงดินกลับมาอีก นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา แล้วถามว่า “เจ้าอยากได้เหรอ? ข้าให้เจ้าได้นะ”


หลังจากได้ฟังข่าวในช่วงนี้ นางก็รู้ว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นค่อนข้างร้อนมือ


“ให้ข้าเหรอ?” เหมียวอี้ถาม


“ไม่ได้ให้เฉยๆ อยู่แล้ว ช่วยอะไรข้าสักหน่อยสิ” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ


“บอกมาก่อนว่าให้ช่วยอะไร” เหมียวอี้ถามอีก


ไป๋เฟิ่งหวงตอบว่า “ช่วยข้ากำจัดบุรุษจัญไรหกเนตรก่อน ขอเพียงกำจัดบุรุษจัญไรหกเนตรได้ ข้าถึงจะกลับไปที่ทะเลดาวสับสนได้อย่างสงบใจ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เจ้าก็รู้ว่าตำหนักสวรรค์กำลังตามจับข้าไปทั่ว”


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “นี่เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้บุรุษจัญไรหกเนตรอยู่ที่ทะเลดาวสับสน ข้างกายมีแต่ยอดฝีมือของตำหนักสวรรค์ ข้าจะใช้วิธีไหนลงมือล่ะ?”


ไป๋เฟิ่งหวงบอกว่า “เจ้าก็ส่งยอดฝีมือมาช่วยข้าสักจำนวนหนึ่ง ติดตามข้าเข้าไปในทะเลดาวสับสนก็พอแล้ว ส่วนรายละเอียดเรื่องปฏิบัติการข้าจะวางแผนเอง”


เหมียวอี้พูดไม่ออก กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ข้าจะเอายอดฝีมือจากไหนมาให้เจ้า? ถ้ามียอดฝีมือจริงๆ เจ้าจะได้มากำเริบเสิบสานอยู่ที่นี่เหรอ”


ไป๋เฟิ่งหวงกลอกตา “อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ปราสาทดำเนินเซียนไง เลือกยอดฝีมือคนไหนก็ได้จากสิบปราสาทดำเนินมาให้ข้าก็พอแล้ว”


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ เขาไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการบงการคนของสิบปราสาทดำเนินได้ ตอนแรกถึงแม้จะเคยร่วมงานกับปราสาทดำเนินนภามาก่อน แต่เขาก็ใช้เงินจ่าย ถ้าจะให้พวกเขาสู้กับกำลังพลของตำหนักสวรรค์จริงๆ ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้


แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเลย ถ้าสิบปราสาทดำเนินช่วยไม่ได้ ก็ให้กลุ่มโจรกบฏจากแดนอเวจีมาลองดูก็ได้ เจ้าพวกนั้นทิ้งอำนาจไว้ด้านนอกตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ พวกเขาอยากจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? จะไม่ออกแรงสักหน่อยได้อย่างไร


พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าจะพิจารณาดูสักหน่อย ถ้ามีข่าวอะไรจะติดต่อเจ้าไป”


แขนเสื้อโคร่งใหญ่สีขาวสะบัดตรงหน้าเหมียวอี้ ไป๋เฟิ่งหวงหมุนตัวกลายร่างเป็นชายชรา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “งั้นข้าก็จะรอฟังข่าวดีจากเจ้าแล้วกัน”


จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามอีกว่า “คนที่สร้างพันธนาการไว้บนตัวเจ้าเป็นใครกันแน่?”


ชายชราหันกลับมายิ้มตาหยี แล้วกล่าวเป็นเสียงผู้หญิง “เจ้าเดาสิ!”


เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง “ประมุขไป๋?”


“เหอะๆ…” ชายชราหัวเราะในขณะที่จากไป ไม่ได้ให้คำตอบเขา


ขณะที่มองคล้อยหลังผู้หญิงคนนี้จากไป เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงบ้าคนนี้จะยอมรับเขาเป็นเจ้านายจริงๆ สงสัยตนจะยิ่งจมอยู่ในกับดักนี้ลึกลงไปเรื่อยๆ แล้ว สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าเรื่องอะไรกัน


หลังจากนั้นหลายวัน เนี่ยอู๋เซี่ยวก็เรียกเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไปที่กองมังกรดำ ต้องการจะให้ทั้งสองไปทำภารกิจลับที่ตลาดมืด พูดชัดเจนว่าเบื้องบนตั้งใจจะส่งทั้งสองไป ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่ทัพภาคอย่างเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)