พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1397-1402

 บทที่ 1397 เงาผีที่ทำให้สับสน

Ink Stone_Fantasy

สำหรับการเตรียมการแบบนี้ ในใจเหมียวอี้เป็นกังวลอยู่บ้าง ถึงแม้จะเป็นการค้นหาแบบดึงแห แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใกล้กับนอกวงล้อมที่ทอดแหออกไป เขากังวลว่ากำลังพลที่อยู่ข้างจะเจอเยียนเป่ยหงก่อน อาศัยกำลังของเยียนเป่ยหงก็ไม่มีทางต้านทานการร่วมมือรุกโจมตีของทัพใหญ่ได้เลย ต่อให้เป็นกลุ่มเล็กๆ แค่ไม่กี่ร้อยคน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เยียนเป่ยหงจะต้านทานไหว


ที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือตัวอยู่ในแหและรอบข้างมีเพื่อนร่วมงาน ไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว


เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้ออกเดินทาง เยียนเป่ยหงตกอยู่ในกับดักเพราะตัวเอง เหมียวอี้จึงไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว ตอนที่ผู้บัญชาการเหยียนหั่วเพิ่งจะวางแผนภารกิจเสร็จและกำลังแจกระฆังดาราจำนวนมากให้หัวหน้าของกลุ่มมารับ เหมียวอี้ที่คิดไปคิดมาไม่กี่ตลบก็กุมหมัดคารวะต่อหน้าฝูงชน “ผู้บัญชาการเหยียน กำลังลพลธงพยัคฆ์ดำของข้าน้อยยินดีจะเป็นกองหน้าขอรับ!”


ตอนนี้เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการชั่วคราวคนหนึ่ง ทำหน้าที่บัญชาการกำลังพลสองพันห้าร้อยที่ตัวเองพามา


ส่วนเหยียนหั่วก็ยิ่งแย่ เดิมทีเขาเป็นรองหัวหน้าภาคของทัพเป่ยโต้ว ตอนนี้ลดขั้นกลายเป็นผู้บัญชาการชั่วคราว คอยบัญชาการทัพใหญ่ห้าหมื่นที่ดึงตัวมาจากทัพเป่ยโต้ว สาเหตุที่ไม่ให้กำลังพลระดับล่างของแต่ละกองมารับหน้าที่นี้ ก็เพราะกลัวว่าแต่ละกองจะถือหางปกป้องพรรคพวกของตัวเองยามปฏิบัติภารกิจ แล้วคนของแต่ละกองมีใครกลัวใครเสียที่ไหน กลัวจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นขึ้น จึงให้รองหัวหน้าภาคมาคุมเองเสียเลย แบบนั้นใครก็ไม่กล้าก่อเรื่องซี้ซั้ว


ตอนนี้ ‘ผู้ช่วยผู้บัญชาการ’ ชั่วคราวเกือบยี่สิบคนที่เหลือของแต่ละกองมองเหมียวอี้ราวกับเป็นอะไรสักอย่าง


จัวอิ๋งฮว่า ผู้บัญชาการใหญ่จัวที่มาจากกองมังกรฟ้า อย่าไปมองแต่ความสวยของนางเชียว ท่ามกลางคนกลุ่มนี้นางเป็นคนที่แรกที่ข่มอารมณ์ไม่ไหว นางแสยะยิ้มและพูดแขวะว่า “สมกับเป็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อหนิวที่ชื่อเสียงโด่งดัง”


เมื่อเจอกับคนที่ดันทุรังออกหน้าอย่างเหมียวอี้ ในใจทุกคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ทำเหมือนเก่งมากอย่างนั้นแหละ ต้องทราบไว้ว่าที่นี่ล้วนมีคนของแต่ละกองอยู่ด้วย แล้วจะให้ทุกคนทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร แต่ดันไม่สะดวกจะไปแย่งเรื่องแบบนี้กับเหมียวอี้อีก การที่ผู้บัญชาการใหญ่เกือบยี่สิบคนนี้มาเป็น ‘ผู้ช่วยผู้บัญชาการ’ ชั่วคราวอยู่ที่นี่ได้ ที่จริงก็เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้มาก ตอนแรกไม่มีใครอยากมา แค่คิดจะส่งรองผู้บัญชาการใหญ่สักคนมานำกลุ่มก็พอ แต่ฝั่งกองมังกรดำดันมีผู้บัญชาการใหญ่สองคนกระโดดออกมานำกลุ่ม ทำเอาแม่ทัพภาคของกองอื่นไม่อยากให้เบื้องบนรู้สึกว่าฝั่งตัวเองทำเรื่องนี้อย่างขอไปที ถึงได้ส่งผู้บัญชาการใหญ่พวกนี้มา ดีเลย ตอนนี้เจ้าหนุ่มนี่จะแย่งเป็นกองหน้าอีกแล้ว แต่ไม่มีใครไปแย่งกับเขา ทำได้เพียงอวยพรในใจว่าขอให้เหมียวอี้รีบไปรีบตาย


จ้านหรูอี้ก็พูดไม่ออกมากเช่นกัน จนกระทั่งวันนี้ยังไม่มีใครรู้ชัดว่าสถานการณ์ในทะเลดาวสับสนเป็นอย่างไร เจ้าต้องการจะเข้าไปก็ว่าหนักแล้ว นี่ยังจะพุ่งไปอยู่ข้างหน้าอีกเหรอ?


วันนี้จ้านหรูอี้นับว่าได้รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ล้อเล่นกับชีวิตขนาดไหน ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเองเสียเปรียบอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะสร้างผลงาน อีกฝ่ายยอมแลกอย่างไม่เสียดายชีวิต


นางรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าควรจะใช้สติปัญญาสักหน่อย ไม่ควรทำเรื่องนี้โดยใช้อารมณ์ แต่เรื่องบางเรื่องนางก็ควบคุมตัวเองไม่ไหว ต่อให้ยามปกติจะแสร้งทำตัวยดีขนาดไหน แต่ในส่วนลึกนางก็ยังเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นนางจึงแข็งใจก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วกุมหมัดคารวะตาม “กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินของข้าน้อยยินดีจะเป็นกองหน้าสำรวจเส้นทางค่ะ”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจด้วยความเศร้า อีกประเดี๋ยวก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกน้องจะบ่นนางอย่างไรบ้าง


สองคนนี้ล้วนเป็นคนของกองมังกรดำ เรียกได้ว่าทำให้คนมองเหยียดไม่หยุด


สายตาของเหยียนหั่วไปหยุดอยู่บนใบหน้าสองคนที่เป็นฝ่ายเสนอตัวครู่หนึ่ง ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ในเมื่อมีคนยินดีจะรับผิดชอบงานเต็มที่ก็ดีกว่าให้คนที่ไม่เต็มใจไปเป็นแนวหน้าจนเสียเรื่องอยู่แล้ว เขาพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “อนุมัติ! ถ้าสร้างผลงานได้ เดี๋ยวกลับไปข้าจะขอผลงานต่อหน้าแม่ทัพภาคให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง!”


“ขอบคุณที่ผู้บัญชาการช่วยให้สมปรารถนา!” จ้านหรูอี้ขอบคุณตามเหมียวอี้ ในใจเรียกได้ว่าขื่นขม ขนาดนางยังเริ่มรำคาญตัวเองแล้วเลย


พอเหยียนหั่วโบกมือ ก็นับว่าวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว แล้วเริ่มแจกระฆังดาราชุดใหญ่ที่ได้มาจากเบื้องบน ต้องรับประกันว่าหลังจากกำลังพลชุดใหญ่เข้าไปในทะเลดาวสับสนแล้วจะสามารถติดต่อกันอย่างทั่วถึงได้ จะได้สะดวกต่อการยืนยันตำแหน่งของทุกงคนได้จากหลายมุม


กำลังพลสิบล้าน ทุกคนใช้ระฆังดาราคนละหลายอัน กำลังทรัพย์แบบนี้ใช่ว่าใครก็จะจ่ายไหว ถ้าไม่มีรากฐานก็ไม่มีทางเข้าไปจับคนในทะเลดาวสับสนได้เลย


หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฝั่งทัพเป่ยโต้วก็จัดให้กำลังพลของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไปอยู่ตำแหน่งกองหน้า


วันต่อมา ทัพใหญ่สิบล้านมารวมตัวอยู่นอกทะเลดาวสับสนอย่างโอ่อ่าอลังการตรงนี้ระดมกำลังพลท้องถิ่นหลายล้านและกำลังวางกำลังอยู่นอกทะเลดาวสับสนตั้งนานแล้ว เป็นการกระจายกำลังที่หละหลวมมาก เมื่อทอดสายตามองไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่ ก็แทบจะมองไม่เห็นคนเลย


แต่ท่ามกลางกำลังพลท้องถิ่นที่กำลังกระจายตัว กลับมีคนไม่น้อยที่ตกตะลึงกับการมาของกองทัพองครักษ์สิบล้าน


ทัพใหญ่สิบล้านถูกกำลังพลท้องถิ่นดักไว้ตรงจุดที่ไม่ไกลจากทะเลดาวสับสน ทำแบบนี้ก็เพื่อยืนยันตัวตน และก็ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ถ้าอยากจะปลอมแปลงคนจำนวนมากขนาดนี้ ก็มีอัตราความเป็นไปได้ไม่สูง


หลังจากทั้งสองฝ่ายเจอกันและแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนก็ตั่งค่ายทัพกลางบนดวงดาวรกร้างหนาวเย็นดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ทันที เป็นการบัญชาการโดยรวมความรับผิดชอบไว้ที่คนคนเดียว


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ทัพใหญ่สิบล้านก็ได้รับคำสั่งกองทัพ แล้วเริ่มกระจายกำลังแบบสามมิติทันที กองทัพก็ขยายแถวออกไปเป็นเส้นตรงในแนวลึกพร้อมกัน ทัพหน้าราวกับแหผืนใหญ่ที่หว่านเข้าไปในหมอกหนาผืนใหญ่ที่กำลังเปล่งแสงสลัว


จ้านหรูอี้ที่กำลังกระจายกำลังอยู่ข้างหน้าเอียงศีรษะมอง พบว่าเหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูดตัวเองจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะพุ่งไปอยู่แถวหน้าสุดของกำลังพลธงพยัคฆ์ดำ ต้องการจะเข้าไปในทะเลดาวสับสนคนแรก


จ้านหรูอี้เกิดความคิดที่จะบีบคอท่านขุนนางเหมียวให้ตายแล้ว นางแอบกัดฟัน และพุ่งไปอยู่หน้าสุดของธงพยัคฆ์น้ำเงินเช่นกัน กระโจนเข้าไปในหมอกหนาผืนใหญ่แล้ว


ทัพใหญ่สิบล้านกำลังกระจายตัวแบบสามมิติ ข้างหน้ากำลังกระจายตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ส่วนข้างหลังก็ทยอยกันเข้าไปแบบขั้นบันได สุดท้ายก็หยุดอยู่กับที่โดยไม่ขยับไปไหน ต้องรอให้กำลังพลที่เข้าไปในหมอกหน้าผืนใหญ่ดึงระยะห่างจนถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเต็มที่ก่อน


ข้างหน้ามีหมอกหนาบังตา สามารถมองเห็นในระยะสิบกว่าจั้งเท่านั้น เหมียวอี้ที่นำกำลังพลพุ่งเข้าไปในหมอกหนาผืนใหญ่ก็รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไปเช่นกัน ว่าให้ทุกคนถือระฆังดาราเอาไว้ไม่ปล่อย เพื่อที่จะยืนยันแต่ละตำแหน่งได้ทุกเมื่อ…


ในขณะเดียวกันนี้เอง เยียนเป่ยหงก็ได้รับข้อความจากเหมียวอี้แล้วเช่นกัน รู้ว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มาถึงแล้ว รู้ว่าเหมียวอี้มาช่วยตนแล้ว เขาจึงลงมือเตรียมตัวเช่นกัน ทั้งสองนัดหมายกันไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว


พอเก็บระฆังดาราแล้ว เยียนเป่ยหงก็ก้มหน้าก้มตาใช้ความพยายามอีกครั้ง ขุดหินสีแดงเข้มบนดวงดาวที่ตัวเองปักหลักอยามาบดให้กลายเป็นผุยผง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเข้ามาสะสมไว้ในกำไลเก็บสมบัติ วันแรกๆ หลังจากได้รับข่าวจากเหมียวอี้ เขาก็ทำเรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากต้องใช้ผงหินสีแดงเข้มในปริมาณเยอะมาก


แต่ตอนนี้ไม่มีทางเตรียมต่อไปได้อีก เพราะกำลังพลตำหนักสวรรค์ออกเดินทางแล้ว หลังจากทำซ้ำแบบเดิมอีกหนึ่งชั่วยาม เยียนเป่ยหงที่ทยอยสะสมมาตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนหลังจนเต็มกำไลนับพันวงก็วางมือ ก่อนจะเหาะไปยังดาราจักรที่มีหมอกหนาอย่างเหี้ยมหาญ


หลังจากนั้นสักพัก ในที่สุดก็ได้ใช้งานผงหินสีแดงเข้มที่เก็บสะสมไว้แล้ว เยียนเป่ยหงที่ถือกำไลเก็บสมบัติยื่นแขน ลากดึงผงสีแดงให้ไหลออกมา ตามการร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นของเขา ผงสีแดง แผ่กระจายตลบฟุ้งตลอดทาง เกลื่อนกลาดเข้าไปในฝุ่นผงสีขาวอันกว้างใหญ่ ระบายสีเลือดเข้าไปในสีขาวแล้ว


นี่ก็คือเรื่องที่เหมียวอี้สั่งให้เขาทำ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จะอาศัยวิธีการนี้ช่วยตนออกไปได้อย่างไร เมื่อเทียบกับทะเลดาวสับสนอันกว้างใหญ่ไพศาล ของที่เขาสาดโปรยพวกนี้ก็ดูเล็กน้อยไปเลย มิหนำซ้ำยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ประโยชน์จากสายตาไม่ได้ด้วย


ทว่าหลังจากที่เขาโปรยผงสีแดงในกำไลเก็บสมบัติไปได้ไม่กี่ร้อยวง ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักกลางอากาศ หยิบดาบใหญ่ออกมาแล้วหันตัวมองไป มองไปยังทิศทางที่ตัวเองสาดผงสีแดงไว้ตลอดทาง


เขาสัมผัสได้รางๆ ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่ง จึงร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน ก็พบทันทีว่าตรงผงสีแดงที่ตัวเองสาดไว้ตลอดทางกำลังไหลกระเพื่อมเล็กน้อย พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มนั้นเหมือนกำลังไล่ตามผงสีแดงที่เขาสาดไว้


เมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองฝ่ายสัมผัสเจอกัน พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


เยียนเป่ยหงตกใจทันที รู้สึกได้ว่าพลังภายในคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตัวเองเยอะมาก แบบนี้หมายความว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตน


เป็นใครกัน? อย่าบอกนะว่าคนของตำหนักสวรรค์มาถึงไวขนาดนี้?


แต่ที่แปลกก็คือ ตามหลักการแล้วต่อให้วรยุทธ์จะสูงขนาดไหน แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นฝุ่นผงท่ามกลางหมอกหนาได้ แต่ภายใต้ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายกลับสามารถอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ไล่ตามรอยผงสีแดงที่ตัวเองสาดไว้ได้อย่างแม่นยำ นี่มันเป็นพลังอภินิหารอะไรกัน?


เยียนเป่ยหงที่มีความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวรีบหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบกลางคัน แล้วพลิกมือพ่นฝุ่นผงในกำไลเก็บสมบัติออกมาทั้งหมด ลูกกลมๆ สีแดงที่กำลังลากฝุ่นผงแล่นไปไกลด้วยความเร็วสูง และในขณะเดียวกันนั้น ตัวเขาเองก็รีบถลันหลบไปด้านข้างเช่นกัน ชั่วพริบตาที่หลบเข้าไปซ่อนตัวในดาราจักรแล้วหันกลับมา ก็เห็นรางๆ ว่าผงสีแดงข้างหลังตัวเองกระเพื่อม แทบจะมาถึงตัวเขาแล้ว โชคดีที่ฉวยโอกาสตัดสินใจได้เร็ว


รู้สึกได้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ตัวเขาในเวลานี้ถึงขั้นพยายามสำรวมพลังอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองใช้อย่างสุดความสามารถ อาศัยแรงเฉื่อยตอนพุ่งหนีไปให้ไกล


หลังจากออกจากเขตนั้นมาแล้ว เยียนเป่ยหงถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่ามียอดฝีมือของตำหนักสวรรค์เข้ามาก่อนหรือเปล่า


เหมียวอี้ถามอย่างตกใจ : เกิดเรื่องอะไรขึ้น?


เยียนเป่ยหงเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที บอกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก จะต้องมีพลังไม่ธรรมดาแน่นอน


เหมียวอี้ : ข้าไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์ส่งยอดฝีมือเข้าไปก่อนหรือเปล่า ข้าไม่เห็นด้วย ตามหลักการแล้วถ้ายอดฝีมือของตำหนักสวรรค์สามารถบุกเข้าไปในทะเลดาวสับสนได้ตามอำเภอใจ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทหารเล็กๆ อย่างพวกเรามาสำรวจทางหรอก


เยียนเป่ยหง : ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ? อีกฝ่ายเหมือนจะตรวจจับผงสีแดงที่ข้าสาดได้อย่างแม่นยำแล้ว เกรงว่าจะไม่สะดวกใช้วิธีการของเจ้าต่อไปแล้ว


เหมียวอี้ : ท่านสาดฝุ่นผงออกมาจากกำไลเก็บสมบัติหลายร้อยวงแล้วเหรอ?


เยียนเป่ยหง : ใช่ เตรียมจะใช้อีกหนึ่งพันวง ตอนนี้ใช้ไปแค่หนึ่งในสามส่วน


เหมียวอี้ : ท่านห่างจุดที่สาดฝุ่นผงไปไกลหรือยัง?


เยียนเป่ยหง : ไม่ใกล้นะ แต่ก็ไม่ไกลมาก


เหมียวอี้ : ท่านอย่าเพิ่งเปิดเผยตัวเอง รอให้สถานการณ์เป็นใจก่อน ตอนนี้อยู่แถวๆ นั้นเข้าไว้ ข้าจะได้หาท่านเจอได้สะดวก ส่วนที่เหลือข้าจะคิดหาทางเอง


หลังจากทั้งสองติดต่อกันแล้ว เหมียวอี้ก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนอื่นอีก


ในค่ายทัพกลางที่อยู่ข้างนอก หลังจากได้รับข่าวจากลูกน้องแล้ว ไป่หลี่เฟิง หนึ่งในผู้ที่รับหน้าที่บัญชาการก็พลันตะโกนว่า “บอกให้กำลังพลทุกคนหยุดเดินหน้าเดี๋ยวนี้”


ฮ่วนอู๋เปียนหันขวับมาถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


ไป่หลี่เฟิงรีบบอกว่า “ให้คนหยุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


ฮ่วนอู๋เปียนพยักหน้าให้ลูกน้องทันที บอกให้ปฏิบัติตาม


ผ่านไปไม่นาน ทั้งในและนอกทะเลดาวสับสน กำลังพลที่รอเข้าไปรวมทั้งกำลังพลที่เข้าไปแล้วก็รีบหยุดทันที


ในค่ายชั่วคราวของทัพกลาง หลังจากได้ข่าวว่ากำลังพลหยุดเดินหน้าแล้ว ฮ่วนอู๋เปียนก็มองไปทางไป่หลี่เฟิงอีกครั้ง ทำสายตาเหมือนกำลังสอบถาม


ไป่หลี่เฟิงเอามือไขว้หลัง ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อที่นำบุกเข้าไปในทะเลดาวสับสนส่งข่าวมา บอกว่าเห็นมีคนผ่านไปรางๆ ทั้งยังปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งมากด้วย”


“ใครกัน?” ฮ่วนอู๋เปียนขมวดคิ้วถาม


ไป่หลี่เฟิงตบว่า “เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มองเห็นไม่ชัด แต่เป็นยอดฝีมือแน่นอน แข็งแกร่งกว่านักพรตบงกชรุ้งที่เขาเคยเจอเสียอีก” จากนั้นหันมาตะโกนบอกพวกลูกน้อง “คำนวณตำแหน่งปัจจุบันของหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้”


บทที่ 1398 วิญญาณสีขาว

Ink Stone_Fantasy

ข้างค่ายทัพกลางมีค่ายรองอีกแห่งหนึ่ง ค่ายรองแห่งนี้ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมต่อเครือข่ายกำลังพลสิบล้านไว้ด้วยกัน ค่ายรองกับค่ายทัพกลางมีผ้าม่านกั้นผืนเดียว พอได้รับคำสั่งมา กลุ่มคนในค่ายรองก็งานยุ่งทันที แต่ละกลุ่มต่างส่งข่าวลงไป สะท้อนตำแหน่งของกำลังพลใต้บังคับบัญชาตัวเองกลับมาไม่หยุด พวกเขาล้อมอยู่หน้าไม้กระดานใหญ่สีดำตัวหนึ่ง กำลังถือไม้บรรทัดวาดสัญลักษณ์ไม่หยุด ไม่นานก็แสดงตำแหน่งคร่าวๆ ของเหมียวอี้ออกมาได้แล้ว สอดคล้องกับตำแหน่งที่เหมียวอี้พุ่งไปข้างหน้าก่อนหน้านี้


เมื่อได้รับรายงานจากค่ายรองแล้ว ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนก็แหวกม่านเดินเข้าไปในค่ายรอง จ้องมองตำแหน่งบนกระดานดำครู่หนึ่ง แล้วไป่หลี่เฟิงก็ชี้ไปยังตำแหน่งจุดหมายทำสัญลักษณ์ไขว้กัน และออกคำสั่งว่า “ส่งนักพรตบงกชกลายสิบคนเข้าไป หลังจากสมาชิกประจำตำแหน่งแล้วค่อยสั่งให้ทัพใหญ่บุกไปข้างหน้าต่อไป”


ผ่านไปไม่นาน นักพรตบงกชกลายสิบคนก็บุกเข้าไปในทะเลดาวสับสนด้วยกัน มุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่เหมียวอี้อยู่ เรียกได้ว่ามาตามเครือข่าย หาเหมียวอี้พบอย่างรวดเร็ว


ข้างกายเหมียวอี้มีกำลังพลใต้บังคับบัญชาหลายสิบคน กำลังลอยรออยู่ในท้องฟ้าเงียบๆ


พอคนสิบคนปรากฏตรงหน้าเหมียวอี้ โก่วเจ๋อที่นำหน้ามาก็มองประเมินเหมียวอี้หัวจดเท้าวแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


“ขอรับ! เป็นข้าน้อยเองขอรับ” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ


โก่วเจ๋อเก็บสายตากลับมาจากตัวเขา แล้วมองดูโดยรอบที่เป็นสีขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะถามเสียงเข้มว่า  “เหตุการณ์เกิดขึ้นทางไหน สถานการณ์เป็นอย่างไร?”


เหมียวอี้โบกมือชี้ “อยู่ข้างหน้านั่นขอรับ เห็นเงาคนแวบผ่านไปรางๆ คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาไม่ได้แข็งแกร่งแบบธรรมดา”


เหยียนซิวสีหน้าเรียบเฉย ส่วนหยางเจาชิงและคนอื่นๆ ก็แปลกใจนิดหน่อย ทัพใหญ่ไม่เห็นรู้สึกได้ถึงสถานการณ์อย่างที่เหมียวอี้บอกเลย ทว่าคำพูดนี้ออกมาจากปากผู้บัญชาการใหญ่ กำลังพลระดับล่างจึงไม่มีใครสงสัย อย่างไรเสีย เรื่องที่ตัวเองสัมผัสไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าผู้บัญชาการใหญ่สัมผัสไม่ได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะตัวเองไม่ทันได้สนใจก็ได้


การมาครั้งนี้ ข้างกายเหมียวอี้พามาด้วยเพียงเหยียนซิวกับหยางเจาชิง ไม่ได้พาคนอื่นมา


โก่วเจ๋อร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดผ่านเหมียวอี้ทันที ให้เหมียวอี้ได้สัมผัสถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แล้วถามเสียงต่ำว่า “เทียบกับข้าแล้วเป็นยังไง?”


เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เหมือนจะพอๆ กับคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของนายท่านขอรับ”


ยังดีที่พลังพอๆ กัน เพราะฝ่ายตัวเองมีคนเยอะ โก่วเจ๋อแอบโล่งใจ และไม่ได้พูดอะไรอีก จ้องมองทิศทางที่เหมียวอี้ชี้บอก พร้อมบอกสหายร่วมงานที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า “พวกเราสิบคนดึงระยะห่างออกจากกัน ใช้กระบวนทัพรูปสามเหลี่ยมบุกไปข้างหน้าร้อยลี้ แล้วต่างคนต่างรักษาระยะห่างหนึ่งร้อยลี้ อย่าไปไกลเกิน อยู่ตรงหน้าสุดของทัพใหญ่ไว้ก็พอ ถ้าเจอสถานการณ์อะไรก็อย่ารีบร้อนลงมือ ถ้าเจอศัตรูจริงๆ สถานการณ์ที่นี่ไม่ชัดเจน พยายามเรียกรวมทุกคนให้รับมือพร้อมกัน”


พวกเขาพยักหน้า แล้วปรึกษากันจนได้ตำแหน่งของกันและกันในรูปกระบวนทัพ จากนั้นก็ติดต่อไปยังค่ายทัพกลางโดยตรง


ผ่านไปครู่เดียว ทัพใหญ่สิบล้านรวมทั้งเหมียวอี้ก็ได้รับคำสั่งแล้ว ให้บุกไปข้างหน้าต่อ


พอทัพใหญ่ที่อยู่ทางนี้เคลื่อนไหว โก่วเจ๋อก็โบกมือ คนสิบคนกระจายตัวกันออกไป นำเข้าไปยังจุดลึกข้างหน้า


เมื่อมีการเสริมกำลังจากสิบคนนี้ เหมียวอี้ก็แอบโล่งใจแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเยียนเป่ยหงเจออะไรกันแน่ นึกไม่ถึงว่าในทะเลดาวสับสนยังซ่อนยอดฝีมือนิรนามเอาไว้ด้วย ถ้าไม่ดึงตัวยอดฝีมือมาป้องกันเหตุไม่คาดคิดก็จะไม่เหมาะสมเลยจริงๆ


เมื่อเห็นสิบคนนั้นหายไป เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกเช่นกัน บอกใบ้ให้หยางเจาชิงบัญชาการกำลังพลอยู่ที่นี่ ส่วนเขาก็นำเหยียนซิวเร่งความเร็วตามไปยังทิศทางที่ยอดฝีมือสิบคนนั้นหายไปอย่างเปิดเผย


“พี่หยาง ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ถึงเสี่ยงอันตรายขนาดนี้?” เหมาอวี่จวิน รองผู้บัญชาการทัพกลางธงพยัคฆ์ดำถามอย่างตกใจ  จะไม่ให้ตกใจคงไม่ได้หรอก ถ้าหลุดออกไปจากเครือข่ายที่วางไว้ก็จะหลงทางได้ง่ายมาก


หยางเจาชิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร แต่ปากกลับตอบอย่างใจเย็นว่า “รองผู้บัญชาการเหมาวางใจเถอะ ผู้บัญชาการใหญ่ทำแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน”


ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่ได้ออกห่างจากกลุ่มคนไปไกลสักเท่าไรหรอก เขาเพียงจะหลบหูหลบตาคนที่อยู่ข้างหลังก็เท่านั้นเอง หลังจากรักษาระยะห่างกับกำลังพลข้างหลังได้ประมาณสิบลี้ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดตาทิพย์ทันที


เสาแสงที่มีรัศมีสีรุ้งลอยวนเวียนยิงออกมาจากหว่างคิ้วของเหมียวอี้อย่างฉับพลัน


เหยียนซิวที่อยู่ข้างๆ ตกตะลึง เหยียนซิวผู้มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด ในตอนนี้แสดงสีหน้าตกตะลึงแล้ว ขณะที่จ้องลูกตาโปร่งแสงสีรุ้งในรอยนูนที่แยกออกตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ จ้องดวงตาที่สามที่ยิงรัศมีสีรุ้งออกมา ในแววตาเขาก็เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสภาพแปลกประหลาดตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจว่าทำไมตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้มีรอยนูนเพิ่มขึ้นมา นึกว่าเป็นรอยที่เหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บอะไรมา นึกไม่ถึงว่าข้างในจะซ่อนลูกตาดวงนี้ไว้


พอเปิดใช้ตาทิพย์ สำหรับเหมียวอี้แล้ว หมอกหนาตรงหน้าไม่มีทางเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นใดๆ ของเขาได้ ชั่วประเดี๋ยวเดียวสายตาก็มองทะลุหมอกหนา เห็นพวกโก่วเจ๋อที่กระจายตัวเป็นกระบวนทัพรูปสามเหลี่ยมอยู่เบื้องหน้าแล้ว พบว่าพวกเขากำลังรักษาระดับความเร็วในการบุกไปข้างหน้าให้เท่ากับทัพหลัง ไม่ได้อาศัยวรยุทธ์สูงและความเร็วเพื่อบุกเข้าไป


แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น เขาขยายระยะสายตาออกไปอีก มองไปยังจุดลึกในหมอกหนา แล้วกวาดสายตามองโดยรอบ


การใช้ตาทิพย์ทำให้สิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์เยอะมาก โชคดีที่เขาไม่ได้เหมือนในปีนั้น เพราะตอนนี้วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว เป็นความต่อเนื่องที่ในปีนั้นเทียบไม่ติด ถ้าไม่มีที่พึ่งแบบนี้ เขาก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าครั้งนี้จะช่วยชีวิตเยียนเป่ยหงออกมาได้


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าใช้สายตาไกลเกินไป ยิ่งระยะในการมองสำรวจยิ่งไกล ก็ยิ่งสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์มาก


อิงตามความเร็วในการเหาะและเวลาที่เยียนเป่ยหงบอก เขาสามารถคำนวณระยะห่างได้คร่าวๆ แล้ว หลังจากเพิ่มระยะสายตาในการคาดคะเนอีกหนึ่งเท่า เขาก็รีบกวาดสายตามอง


ที่เขาให้เยียนเป่ยหงเตรียมฝุ่นผงสีแดงเข้มจำนวนมาก สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ทะเลดาวสับสนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ขนาดนั้น ร่างกายของคนคนเดียวจึงเล็กน้อยเหมือนฝุ่นผงเมื่ออยู่ที่นี่ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีตาทิพย์ แต่ถ้าอยากจะหาให้พบก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร การให้เยียนเป่ยหงโปรยผงสีแดงท่ามกลางหมอกหนาสีขาว ก็เพื่อจะให้สะดุดตา จะได้หาเป้าหมายพบได้สะดวก


แต่แทนที่จะเห็นผงสีแดงที่เยียนเป่ยหงปล่อยออกมา เขากลับเห็นวัตถุกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสยดสยอง


ตรงจุดลึกของหมอกหนา วัตถุสีขาวกลุ่มหนึ่งกำลังบินร่อนอย่างรวดเร็วอยู่ในหมอก


เพื่อที่จะให้เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ได้อย่างสงบใจ เหยียนซิวที่กำลังเกาะแขนข้างหนึ่งของเหมียวอี้เหาะสังเกตเห็นความผิดปกติของเหมียวอี้แล้ว เขาพบว่าเหมียวอี้ที่หลับตาใช้สมาธิกำลังเบิกตาทิพย์จ้องไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่ขยับไปไหน เหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง เขาจึงมองตามไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน แต่นอกจากสีขาวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาก็มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย


เพื่อที่จะดูให้ชัดเจนว่าวัตถุสีขาวกลุ่มนั้นคืออะไรกันแน่ เหมียวอี้จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายไปยังเป้าหมายอีก ผลก็คือพบว่าวัตถุสีขาวแต่ละตัวที่กำลังบินอยู่ บางครั้งก็เหมือนนก บางครั้งก็เหมือนค้างค้าว ขนาดร่างกายมีทั้งใหญ่มีทั้งเล็ก สรุปก็คือร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และมองไม่เห็นพวกหูตาจมูกปากเช่นกัน เหมือนของอะไรสักอย่างที่ห่ออยู่ในผ้าขาว ราวกับเป็นวิญญาณสีขาวหลายดวง


นี่มันตัวอะไรกันแน่? เหมียวอี้ประหลาดใจไม่หยุด เขาไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อนเลย และนึกไม่ถึงด้วยว่าในทะเลดาวสับสนจะยังมีสิ่งที่ปรับตัวได้อย่างอิสระแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะวัตถุพวกนี้กำลังขยับ เมื่ออยู่ในสภาพที่แยกสีสันกับรอบข้างไม่ออก พวกมันก็แทบจะถูกเหมียวอี้มองข้ามไปเลย


ผ่านไปไม่นาน เขาก็พบว่าวิญญาณสีขาวกลุ่มนี้เหมือนจะกำลังหาของบางอย่างอยู่ กำลังล้อมพัวพันอยู่ในบางเขต


จู่ๆ เหมียวอี้ก็เกิดความคิดบางอย่างในใจ พวกมันคงไม่ได้กำลังหาเยียนเป่ยหงอยู่หรอกใช่มั้ย?


ตาทิพย์รีบเพ่งค้นหาไปยังน่านฟ้าที่วิญญาณสีขาวกำลังบินวนเวียนค้นหา ทำให้ได้ค้นพบอะไรบางอย่างเหมือนที่คาดไว้ ทั้งยังเป็นการค้นพบที่ดีมากอีกด้วย ในหมอกหนาสีขาวที่อยู่ตรงนั้นถูกระบายด้วยหมอกหนาสีแดง เหมียวอี้ดีใจมาก เขาเดาว่าน่าจะเป็นผงสีแดงที่เยียนเป่ยหงปล่อยไว้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเยียนเป่ยหงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากที่นี่


เมื่อย่อขอบเขตในการค้นหาให้เล็กลง ต่อไปก็จัดการได้ง่ายแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าให้หาไปทั่วเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร นอกจากจะทนสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ซ้ำไปซ้ำมาไม่ไหวแล้ว เขาก็กังวลว่าถ้าปล่อยให้เวลายืดเยื้อก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีได้ ในตอนนี้ ตาทิพย์ของเขากำลังควานหาในอาณาเขตเดียวอย่างรวดเร็ว กำลังแยกแยะวินิจฉัยที่จุดเดียว


ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเยียนเป่ยหง ให้เขาปล่อยฝุ่นผงสีแดงเพิ่มอีกเพื่อขยายเป้าหมาย


เยียนเป่ยหงที่รออยู่ในอวกาศเงียบๆ ระแวดระวังรอบด้าน ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังทำอะไร แต่ก็ยังทำตามที่บอก


เพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ตาทิพย์ก็เจอสีแดงกลุ่มหนึ่งที่เข้มเป็นพิเศษของบริเวณนั้น จึงรีบเล็งไปยังจุดเล็กสีดำจุดหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหว เหมียวอี้ใช้พลังตาทิพย์ขยายให้ใหญ่ขึ้น สิ่งที่พบก็คือเยียนเป่ยหงที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวา


ถ้ามีแค่เยียนเป่ยหงก็ว่าไปอย่าง ตาทิพย์ของเหมียวอี้วูบไหวเล็กน้อย พบว่าตรงจุดไกลๆ มี ‘วิญญาณสีขาว’ กลุ่มใหญ่กำลังบินไปหาเยียนเป่ยหง ราวกับเป็นฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือด ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนี้เหมือนจะความรู้สึกไวต่อฝุ่นผงชนิดอื่นที่รวมอยู่ในฝุ่นผงสีขาวมาก ราวกับโดนสบประมาท


เหมียวอี้จะกล้าลังเลได้อย่างไร รีบใช้ระฆังดาราติดต่อเยียนเป่ยหง : พี่ใหญ่เยียน รีบหยุดลงมือ วัตถุลึกลับบางอย่างกำลังไปหาท่านแล้ว ท่านหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของท่านเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!


เยียนเป่ยหงไม่รู้ว่าเหมียวอี้วินิจฉัยอย่างไรจึงรู้ พอได้ยินเหมียวอี้พูดอย่างร้อนใจ เขาก็ไม่กล้าชักช้าเช่นกัน เลี้ยวเลี่ยนทิศทางทันที รีบหนีไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ


ตอนที่เข้าเพิ่งจะหนีไปได้ไม่นาน ‘วิญญาณสีขาว’ กลุ่มนั้นก็กวาดมายังบริเวณนี้แล้ว แล้วก็เริ่มวนเวียนไปจนทั่วอีก


ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่สนใจพวกมัน ตาทิพย์จ้องไปที่เยียนเป่ยหงแล้ว กำลังชี้แนะให้เยียนเป่ยหงปรับเปลี่ยนทิศทางเหาะไปยังดาวดวงหนึ่งที่ลอยอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองกำลังมุ่งไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าเยียนเป่ยหงหลุดออกจาก ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้นและปรับทิศทางถูกแล้ว เหมียวอี้ก็รีบหยุดใช้ตาทิพย์ แล้วรีบกลืนยาแก่นเซียนเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์โดยเร็วไว การสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์เป็นเวลานานแทบจะทำให้เขาร่างกายเสื่อมทรุด ตอนนี้สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย


โชคดีว่าเหยียนซิวที่อยู่ข้างกายควรค่าแก่การเชื่อใจ เขาสามารถฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างสงบใจ เหยียนซิวพาเขาเหาะไปข้างหน้าต่อโดยรักษาความเร็วเอาไว้


ทว่าเหมียวอี้ก็ไม่กล้ารอให้พลังอิทธิฤทธิ์ฟื้นตัวอย่างเต็มที่เช่นกัน พอผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามก็เปิดดวงตาทิพย์อีกครั้ง จ้องมองกลุ่มดวงดาวไร้ระเบียบที่สั่งให้เยียนเป่ยหงซ่อนตัวอยู่ รอจนกระทั่งพวกโก่วเจ๋อเหาะผ่านด้านบนของดาวกลุ่มนั้นไปแล้ว เหมียวอี้ก็รีบใช้ระฆังดาราติดต่อเยียนเป่ยหงอีกรอบ


แทบจะเป็นตอนที่เขากับเหยียนซิวเพิ่งจะเหาะเขาไปใกล้ด้านบนของดาวกลุ่มนั้น เยียนเป่ยหงบังเอิญพุ่งตรงขึ้นมาจากดาวกลุ่มนั้นพอดี แทบจะชนปะทะหน้ากับทั้งสองคน


“พี่ใหญ่เยียน!” เหมียวอี้เห็นแล้วดีใจมาก ตาทิพย์ที่สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะมากพลันหยุดทำงาน ตรงหว่างคิ้วกลับไปเป็นรอยนูนหนึ่งขีดเหมือนเดิมแล้ว


เยียนเป่ยหงเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเหมียวอี้จะหาตัวเองพบได้ง่ายดายขนาดนี้ เขามองสภาพประหลาดที่เพิ่งเก็บกลับเข้าไปตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้อย่างตะลึงงัน ทำให้พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว


เหมียวอี้ที่เหาะเข้ามาถือโอกาสดึงแขนเขา พาเขาเหาะไปข้างหน้าด้วยกัน “ข้างหน้ามียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสิบคน ข้างหลังมีทัพใหญ่สิบล้านของตำหนักสวรรค์ ตอนนี้ลำบากพี่ใหญ่เยียนเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้าชั่วคราวก่อน”


พอเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไป เยียนเป่ยหงก็ไม่พูดอะไรแล้ว เป็นฝ่ายมุดเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เอง


หาเยียนเป่ยหงพบแล้ว แต่เหมียวอี้กลับวางใจไม่ลง ทางนี้กำลังเหาะไปข้างหน้าต่อ ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องเจอกับ ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า


บทที่ 1399 พายุสีขาว

Ink Stone_Fantasy

เมื่อหาเยียนเป่ยหงพบแล้ว เขาก็เริ่มคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองอีก ขณะที่ใช้ยาแก่นเซียนฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ เขาก็ใช้งานดวงตาทิพย์อีกครั้งโดยไม่เสียดายพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไป เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งยิงออกมา สำรวจค้นหาจนเจอจุดที่เยียนเป่ยหงปล่อยผงสีแดงไว้ก่อนหน้านี้แล้ว


ตอนยังไม่เห็นก็ไม่รู้ พอได้เห็นแล้วก็แอบตกใจ ถ้าจะบอกว่าการร่วมกลุ่มของ ‘วิญญาณสีขาว’ ก่อนหน้านี้ใหญ่มโหฬารเพียงพอแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ก็ปรากฏเป็นรูปร่างที่ใหญ่กว่านั้น มันกลายเป็นรูปหงส์แล้ว เป็นหงส์สีขาวดุจหิมะตัวหนึ่ง เวลากางปีกแล้วยาวอย่างน้อยร้อยลี้ เหมือนแม่ไก่ตัวหนึ่งที่พาฝูงลูกไก่เดินเตร่ไปทั่ว


ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าวิญญาณสีขาวกลุ่มนี้คืออะไรกันแน่ จู่ๆ หงส์ขาวตัวนั้นก็กระพือปีกสองข้าง แล้วก็พังทลายเสียงดังตูมตาม ร่างกายขนาดมหึมาระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีขาวที่โหมซัดสาด เหมือนกับฝุ่นผงสีขาวที่อยู่รอบข้างไม่มีผิด กลิ้งกระเพื่อมไปทั่วสารทิศราวกับคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สายตาทิพย์ของเหมียวอี้พร่ามัวตามไปด้วย


รอจนกระทั่งสายตามองเห็นกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย บริเวณจุดศูนย์กลางของการระเบิดก็กะพริบแสงราวกับอัญมณีสีขาว ปรากฏเป็นหยดน้ำที่เลื้อยขยุกขยิกกลุ่มหนึ่ง แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นแสงสว่างก็พลันหายไป กลายเป็นสตรีคนหนึ่งที่งดงามราวกับเทพธิดา


กระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ม้วนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆ กระโปรงลอยพลิ้วไหว ผมยาวที่ปลิวล่องลอยเป็นสีขาวราวกับน้ำค้างสีขาวเงิน ทั้งยังมีคิ้วที่ขาวราวกับย้อมมา เมื่อประกอบกับผิวที่ขาวหมดจด ก็ให้ความรู้สึกราวกับทั้งตัวถูกสลักออกมาจากหยกขาว


ความงามของสตรีผู้นี้มีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ ลักษณะท่าทางเหมือนไก่ตัวผู้ที่หยิ่งทระนง ราวกับเขียนคำว่า ‘หยิ่งทระนง’ไว้บนใบหน้า คางเชิดขึ้นเล็กน้อย กำลังยกมือวาดเท้า บงการให้ ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้นหัวหมุนทำงาน


ในขณะเดียวกันนี้เอง ทัพใหญ่สิบล้านที่ทยอยเข้าไปในทะเลดาวสับสนโดยทิ้งระยะห่าง โดยส่วนใหญ่นั้นเข้าไปหมดแล้ว เหลือเพียงกำลังพลส่วนน้อยที่อยู่เฝ้านอกค่ายทัพกลางชั่วคราว


เมื่อเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้วิญญาณสีขาวกลุ่มนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้ก็แอบกระวนกระวาย เขาเองก็ไม่สะดวกจะเตือนทัพใหญ่ ไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองพบความผิดปกติล่วงหน้าแล้ว แต่จะไม่เตือนก็ไม่ได้ ถ้าพุ่งชนเข้าไปแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่าสัตว์ประหลาดที่ปรับตัวได้อย่างอิสระและซ่อนตัวอยู่ในทะเลดาวสับสนเป็นตัวอะไร


ไม่อาจห่างจากวงนอกไกลเกินไป ไม่อย่างนั้นจะหนีไม่สะดวก! เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ตัดสินใจหยั่งเชิง ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน


เหมียวอี้แววตาวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ เยียนเป่ยหงถูกเรียกออกมาอีกแล้ว ทั้งสองพึมพำคุยกันพักหนึ่ง แล้วเยียนเป่ยหงก็มอบกำไลเก็บสมบัติที่ใส่ผงสีแดงไว้เต็มที่เหลืออยู่ให้เหมียวอี้ทั้งหมด จากนั้นก็เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เหมือนเดิม


เหมียวอี้กำชับเหยียนซิวอีกนิดหน่อย แล้วก็นำกำไลเก็บสมบัติพวกนั้นให้เหยียนซิว ให้เขานำหน้าไปก่อนด้วยความเร็วสูงสุด กำชับเส้นทางที่รุดหน้าไปเรียบร้อยแล้ว


ร่างกายของเหยียนซิวพลันจมลง เหาะเฉียงลงไปทางด้านล่างแล้ว


การที่ทัพใหญ่สิบล้านเข้ามาที่นี่ ไม่ได้เป็นการแข่งความเร็วในการเหาะ แต่มาเพื่อค้นหา ดังนั้นจึงไม่ได้เหาะเร็ว พวกโก่วเจ๋อก็ไม่ได้เหาะเร็วเช่นกัน รักษาความเร็วเฉลี่ยนให้เท่ากับทัพใหญ่ข้างหลังตลอด นี่เป็นการให้โอกาสเหยียนซิวแล้ว เขาอ้อมผ่านยอดฝีมือสิบคนที่อยู่ข้างล่างไปเสียเลย นำอยู่ข้างหน้าสิบคนนั้นไปแล้ว รอจนกระทั่งออกห่างจากสิบคนนั้นไปไกลแล้ว เหยียนซิวถึงได้หยิบกำไลเก็บสมบัติที่เหมียวอี้ให้ไว้ออกมา แล้วทำตามที่เหมียวอี้สั่ง ปล่อยผงสีแดงออกมาจำนวนมากเหมือนที่เยียนเป่ยหงทำ


ตาทิพย์ของเหมียวอี้กำลังจ้องปฏิกิริยาของ ‘วิญญาณสีขาว’ กลุ่มนั้น เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ วิญญาณสีขาวกลุ่มนั้นไวต่อการปะปนของผงสีแดงมาก สาวงามหยิ่งทระนงที่คิ้วขาวผมขาวพลันจ้องมองมาทางนั้น จู่ๆ ก็ถลันแวบไปยังทิศทางที่เหยียนซิวอยู่ด้วยความเร็วราวกับดาวตก


ความเร็ซระดับนั้นทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก เขารีบเขย่าระฆังดาราส่งข่าวให้เหยียนซิว


เหยียนซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนกำไลเก็บสมบัติในมือแล้วรีบถลันอ้อมออกไปด้านข้าง อ้อมกลับมาด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี


รอจนกระทั่งเหยียนซิวกลับมารายงานผลอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ก็แค่โบกมือตอบ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น กำลังจับตาดูสาวงามหยิ่งทระนงที่พุ่งเข้ามา กลุ่มวิญญาณสีขาวที่อยู่ข้างหลังก็ไล่ตามไปติดๆ เช่นกัน เหมียวอี้รู้สึกนิดหน่อยว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้นั้นขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว ตอนนี้พวกโก่วเจ๋อกำลังมุ่งไปยังผงสีแดงที่เหยียนซิวปล่อยเอาไว้ คนสองกลุ่มกำลังจะปะทะกันเร็วๆ นี้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกโก่วเจ๋อจะรับมือไหวหรือไม่


ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้ทำได้เพียงให้ยอดฝีมือสิบคนนั้นไปหยั่งเชิงก่อน ถ้าแม้แต่พวกโก่วเจ๋อยังรับมือไม่ไหว เขาก็จะเลี้ยวหนีทันที ไม่จำเป็นต้องนำลูกน้องพุ่งเข้าไปรนหาที่ตาย


“เอ๋! ทำไมตรงนี้มีผงสีแดงได้?”


คนที่อยู่ข้างหน้าสุดของกระบวนทัพรูปสามเหลี่ยมพบความผิดปกติ จึงรีบส่งข่าวบอกโก่วเจ๋อที่คุมสถานการณ์อยู่ตรงกลาง


โก่วเจ๋อเรียกรวมคนที่เหลือทันที แล้วเร่งความเร็วเพื่อไปดูว่าเป็นอะไรกันแน่ ทั้งสิบคนเพิ่งจะเจอหน้ากันแล้วโผล่ออกมาจากผงสีแดง สตรีชุดขาวก็ทะลุฝ่าหมอกหนามาปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสิบคนแล้ว


ทั้งสองฝ่ายรีบหยุดอย่างกะทันหันและประเมินกันและกัน สตรีสีขาวสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ฝุ่นผงสีขาวที่อยู่โดยรอบหายไปอย่างรวดเร็ว ขยายเป็นพื้นที่ว่างบริสุทธิ์รูปทรงกลมที่มีรัศมีหลายลี้


โก่วเจ๋อรีบแจ้งข่าวให้ทางค่ายทัพกลางรู้ จากนั้นก็โบกมือชี้พร้อมตะโกนถาม “เจ้าเป็นใคร?”


สตรีสีขาวมองดูเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ที่ทำจากผลึกแดงบนตัวทั้งสิบคน แล้วก็มองดูผงสีแดงข้างหลังของพวกเขาอีก นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “เป็นพวกเจ้าเองเหรอที่ทำให้อาณาเขตของข้าสกปรก?”


“อาณาเขตของเจ้าเหรอ?” โก่วเจ๋อแสยะยิ้ม “ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน คนที่มาคุมพื้นที่นี้ มิมิผู้ใดไม่ใช่ขุนนางของราชัน พูดจาโอหังนัก ที่นี่เป็นอาณาเขตของเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?”


ทางค่ายทัพกลางตกใจไม่เบา นี่ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย ไม่น่าเชื่อว่าในทะเลดาวสับสนจะมีคนไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระจริงๆ


ทัพใหญ่สิบล้านได้รับแจ้งอย่างเร่งด่วนจากเบื้องบน ว่าให้หยุดปฏิบัติการชั่วคราว


เพียงแต่พวกเหมียวอี้กลับแอบร่ำร้องอย่างขมขื่น เนื่องจากพวกเขาติดตามอยู่ข้างหลังโก่วเจ๋อ เบื้องบนสั่งให้พวกเขารีบไปรวมตัวกันเดียวนี้ ในสายตาของเบื้องบน เห็นได้ชัดมากว่าความเป็นความตายของทหารต่ำต้อยอย่างพวกเขาไม่สำคัญเท่าพวกโก่วเจ๋อ เหมียวอี้ทำได้เพียงเก็บตาทิพย์ แล้วรอให้กำลังพลของตัวเองเข้ามาหา


และสตรีสีขาวคนนั้นก็เหมือนจะหวั่นกำลังพลของตำหนักสวรรค์อยู่เหมือนกัน ไม่อยากเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์ นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดเหมือนกำลังฝืนนิสัยตัวเอง “ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าข้าเป็นใคร เอาเป็นว่าข้ากับตำหนักสวรรค์ไม่เกี่ยวข้องกันเหมือนน้ำคลองไม่ยุ่งน้ำบ่อ เห็นแก่หน้าประมุขชิง ข้าก็จะไม่กลั่นแกล้งพวกเจ้าเช่นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเจ้าต้องออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”


“บังอาจ!” โก่วเจ๋อตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ก้าวคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทันที บนคันธนูวิเศษเปล่งลำแสงสีรุ้ง ทั้งหมดเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหด ตอนนี้ทั้งหมดเล็งขู่ไปที่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว


บนใบหน้าสตรีสีขาวเต็มไปด้วยความเดือดดาลทันที “ทำบ้านข้าสกปรก แล้วยังกล้ามาพาลเกเรที่บ้านข้าอีก เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่มั้ย?”


“สุราคำนับไม่ยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์!” โก่วเจ๋อโบกมือ “จัดการ!”


เสียงระเบิดดังหนึ่งครั้ง ลูกธนูดาวตกของคนที่อยู่ด้านซ้ายพลันยิงออกไป ยิงตรงไปที่สตรีสีขาว


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลงมือกับตนแล้วจริงๆ สตรีสีขาวก็ทำท่าแค้นจนกัดฟันกรอด แต่กลับยืนแสยะยิ้มมุมปากอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปหน


ลำแสงพลันดับวูบ ลูกธนูดาวตกพลันปรากฏร่างเดิม ลูกธนูดอกหนึ่งยิงโดนหน้าอกของสตรีสีขาว ทว่าเงาร่างของสตรีสีขาวกลับเลือนรางเล็กน้อย ราวกับเป็นคลื่นน้ำกระเพื่อม ลูกธนูดาวตกที่ยิงโดนทะลุผ่านร่างกายไป ไม่เกิดผลในการโจมตีโดน


เงาร่างที่เลือนรางหยุดนิ่งง สตรีสีขาวยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายดีเหมือนเดิม กล่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ยว่า “ของเด็กเล่นแบบนี้ เอาไว้ขู่คนอื่นยังพอไหว แต่ไม่มีผลกับข้าหรอก ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไสหัวออกจากทะเลดาวสับสนของข้าไปเดี๋ยวนี้!”


“บังอาจ!” โก่วเจ๋อทั้งตกใจทั้งโมโห จึงโบกมืออีกครั้ง มีเสียงระเบิดดังเก้าครั้ง เห็นลูกธนูเก้าดอกยิงออกไปพร้อมกันทันที


ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่นกับพวกเขา ลูกธนูเก้าดอกที่ยิงโดนสตรีสีขาวไม่ส่งผลอะไรเลยจริงๆ


บังเอิญว่าเหมียวอี้นำกำลังพลของธงพยัคฆ์ดำออกห่างจากทัพใหญ่และเร่งมาถึงตรงนี้พอดี ที่จริงพวกเขาอยู่ห่างจากพวกโก่วเจ๋อไม่ไกล พอมากถึงก็เห็นฉากนี้พอดี ทำให้รู้สึกตกใจมาก


และการลงมืออีกครั้งก็ได้ยั่วโมโหสตรีสีขาวแล้วจริงๆ นางหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อสองข้าง ฝุ่นผงสีขาวที่อยู่รอบทิศราวกับกระแสคลื่นโหมซัดสาดทันที หมุนวนด้วยความเร็วสูงจนกลายเป็นลมพายุที่เหมือนกับตะไบกระดูก


ฝุ่นผงสีขาวผืนใหญ่ที่อยู่รอบด้านขยับเคลื่อนไหว คนที่อยู่ในแกนค่ายกลตัวเล็กลงจนแทบจะเหมือนมด พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลน่าตกใจจริงๆ กำลังพลธงพยัคฆ์ดำรวมทั้งเหมียวอี้ถูกลมพายุพัดจนยืนอย่างมั่นคงไม่ได้ พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังตัวสั่นโอนเอน ให้ความรู้สึกเหมือนจะโดนพายุอวกาศพัดไปได้ทุกเมื่อ พอหันกลับมามองข้างหลัง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนลมวูบๆ ผืนนั้นจะรัดคอให้ตาย ขนาดจะหันกลับไปยังยากเลย


กลุ่มคนของธงพยัคฆ์ดำสีหน้าเปลี่ยน เหมาอวี่จวินถามอย่างร้อนใจว่า “ผู้บัญชาการใหญ่! ทำยังไงดี?”


“ทัพใหญ่รวมกลุ่มกันต้านทาน!” เหมียวอี้ตกโกนเสียงดัง ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำเกาะแขนต่อกันทันที


“รีบติดต่อกับเบื้องบน!” โก่วเจ๋อหันกลับไปตะโกนบอกพวกเหมียวอี้ แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกว่า “สังหาร!” ถืออาวุธพุ่งสังหารนำออกไปก่อน ทั้งเก้าคนคอยติดตาม พุ่งสังหารไปยังสตรีสีขาวด้วยความเร็วสูง


สตรีสีขาวกางแขนสองข้าง แล้วเหาะถอยหลังทันที ไม่ปะทะกับพวกโก่วเจ๋อตรงๆ เลย รีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพายุสีขาว


เสียงวัตถุเสียดปะทะลดังขึ้นหลายครั้ง พวกโก่วเจ๋อตามติดสังหารเข้าไปในกำแพงพายุที่หมุนวน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


พายุสีขาวยิ่งพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเหมียวอี้ที่อยู่ตรงใจกลางพายุทนไม่ไหวแล้ว ตัวอยู่ในความว่างเปล่าจึงไม่มีแรงให้อาศัย คนสองพันกว่าคนที่เชื่อมต่อกันอยู่ถูกลมพันจนหมุนด้วยความเร็วอยู่ตรงจุดศูนย์กลางพายุ คนสองพันกว่าคนรวมอยู่ด้วยกัน แต่กลับอ่อนแอไม่ทนลมราวกับใบไม้ใบหนึ่ง


ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ผลจากการโจมตีอันรวดเร็วของฝุ่นผงสีขาวก็น่าสะพรึงเช่นกัน ภายใต้การบุกโจมตีต่อเนื่องกันไม่หยุด เกราะอิทธิฤทธิ์บนร่างกายทุกคนโดนลมพัดปะทะจนแทบจะพังแล้ว


เหมียวอี้รีบเรียกเกราะรบผลึกแดงออกมา เกราะสวมบนร่างกายท่ามกลางเสียงลมที่พัดวูบๆ เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่คนอื่นกลับไม่มีอุปกรณ์ดีๆ แบบนี้


เพื่อที่จะให้ร่างกายยืนได้อย่างมั่นคง เหมียวอี้จึงเรียกเฮยทั่นที่สวมเกราะรบออกมาเสียเลย เขาขี่บนตัวเฮยทั่นแล้วจับไว้ให้แน่น หวังว่าจะอาศัยพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของเฮยทั่นต้านทานไว้ กลุ่มคนที่กำลังตกใจกลัวรีบทยอยกันคว้าดึงเฮยทั่นเอาไว้ บางคนก็จับขา บางคนก็จับเขา บางคนก็จับหาง เอาเป็นว่าล้อมเฮยทั่นไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ กลุ่มคนยังถูกลมพัดใส่จนหมุนวนด้วยความเร็วสูงอยู่ดี


ดันเป็นเวลานี้พอดี วิญญาณสีขาวรูปร่างมหึมาพวกนั้นโผล่ออกมาอีกแล้ว พวกมันไปมาอยู่ท่ามกลางพายุได้อย่างอิสระ ทะลุเข้าทะลุออก อิสระสง่างามราวกับร่ายระบำ บึ้ม! หนึ่งในนั้นพลันถลันตัวชนเข้าใส่กลุ่มคน เสียง “อ๊า!” ดังขึ้นหลายครั้ง คนที่รวมกลุ่มกันโดนจนกระจัดกระจายทันที คนที่กระจายอยู่โดยรอบโดนพายุสีขาวพัดโจมตีจนลอยหมุนออกไปในชั่วพริบตาเดียว


ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำมือให้ว่างได้ เหมียวอี้ที่เพิ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเบื้องบนก็โดนลมพัดจนโอนเอนไปมาอยู่บนหลังเฮยทั่นเช่นกัน


ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาติดต่อเบื้องบนหรอก ขอบเขตลมพายุกว้างใหญ่เกินไป ทัพใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ถูกพัวพันเข้ามาอยู่ข้างในเหมือนกัน มีคนรายงานให้เบื้องบนรู้ตั้งนานแล้ว


มีกำลังพลบางส่วนที่อยู่ใกล้กับด้านนอกทะเลดาวสับสนรีบถอนกำลังออกไปแล้ว คาดว่ามีคนเกือบล้านคนที่รีบถอนกำลังออกไป


ค่ายทัพกลางเปิดม่านออกอย่างฉับพลัน ข้างในมีเงาคนหลายคนพุ่งออกมา ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนยืนเคียงข้างกัน เบิกตากว้างมองทะเลดาวสับสนตรงหน้าอย่างทำใจเชื่อได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าทะเลดาวสับสนจะเริ่มหมุนวนหมดแล้ว ทำให้คนจินตนาการไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


บทที่ 1400 หยางเจาชิงแสดงฝีมือ

Ink Stone_Fantasy

ดาราจักรที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ราวกับ ‘เมฆหมอก’ มากมายมหาศาลกำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูง บวกกับเศษฝุ่นที่ถูกแสงสะท้อนหักเหระยิบระยับ ทำให้ฉากนี่โอ่อ่าอลังการไม่ธรรมดา ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและทำให้ตกตะลึงจนบรรยายออกมาไม่ได้ แต่สำหรับทัพใหญ่หนึ่งล้านที่โชคดีหนีเอาชีวิตรอดมาได้ พอหันกลับไปมองอีกครั้งกลับยังรู้สึกกลัวไม่หาย


ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนรู้สึกขนพองสยองเกล้า ตกใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติกะทันหัน ทัพใหญ่สิบล้านได้แต่ถอนกำลังออกมาประมาณล้านคนโดยมิได้นัดหมาย ถ้าคนเก้าล้านคนตายอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ทั้งสองก็รอดพ้นความผิดได้ยาก หนีไม่พ้นข้อหาบัญชาการอย่างไม่เหมาะสม


“ท่านหัวหน้าภาค!” แม่ทัพภาคคนหนึ่งโชคดีรอดชีวิตจากทะเลดาวสับสนกลับมาได้ เขาเบี่ยงหน้าหนีอย่างละอาย เป็นฝ่ายกุมหมัดขอรับโทษก่อน “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถือวิสาสะถอนทัพโดยไม่ได้รับคำสั่ง ยินดีรับโทษ!”


ท่านนี้คือคนของหน่วยองครักษ์ขวา ฮ่วนอู๋เปียนที่รับผิดชอบกำลังพลของหน่วยองครักษ์ขวาโบกมือ บอกใบ้ให้ถอยออกไปด้านข้าง ไม่ได้มีเจตนาจะเอาผิดใดๆ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาผิดเขา เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายจะสามารถรับผิดชอบไหว การที่อีกฝ่ายถอนทัพหนึ่งล้านออกมาได้ทันเวลาก็นับว่ามีความดีความชอบแล้ว


ก่อหน้านี้โก่วเจ๋อได้ส่งข่าวมาแจ้งให้ทราบแล้ว บอกว่าเจอคนที่ไม่ปกติ เพิ่งจะได้รับข่าวจากทะเลดาวสับสน บอกว่าข้างในมีคนกำลังใช้อุบายก่อกวน


ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีคนใช้อุบายก่อกวนหรือไม่ แต่จะทำอย่างไรกับกำลังพลเก้าล้านคนในนั้น เดิมทีนึกว่าการใช้วิธีหว่านแหปล่อยทุกคนเข้าไปจะสามารถตัดสินตำแหน่งเข้าออกได้อย่างแม่นยำ ตอนนี้ข้างในวุ่นวายไร้ระเบียบหมดแล้ว ข้างในส่งข่าวมาว่าแยกทิศเหนือใต้ออกตกไม่ถูกแล้ว


เมื่อมองดูลักษณะพลังของ ‘เมฆหมอก’ ขนาดใหญ่ที่หมุนวน ก็พบว่าเหมือนคลื่นที่โหมซัดสาดจริงๆ ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนกำฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเหงื่อ จินตนาการไม่ออกว่าใครกันที่สามารถสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ได้ ทั้งสองไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับเบื้องบนอย่างไร


แต่จะไม่รายงานขึ้นไปก็ไม่ได้ ทั้งสองทำได้เพียงแข็งใจและต่างคนต่างรายงานขึ้นไป…


“ผู้บัญชาการใหญ่!”


มีคนถ่ายทอดเสียงตะโกนอย่างตกใจเข้ามาในหู จ้านหรูอี้ที่กำลังม้วนกลิ้งตามลมหันไปมอง เห็นคังเต้าผิงลูกน้องคนสนิทถูกลมพายุพัดม้วนออกไป ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างก็หายไปแล้ว จ้านหรูอี้ทั้งตกใจทั้งกระวนกระวาย แต่นางเองก็ยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปสนใจคนอื่นไหวได้อย่างไร


นึกเสียใจทีหลัง! บนใบหน้าของจ้านหรูอี้ สีหน้าตกใจกลัวปะปนไปด้วยความรู้สึกเสียใจที่พูดออกมาไม่หมด เกลียดที่ตัวเองทำอะไรตามอารมณ์ ตามมาแข่งขันเรื่องนี้กับเหมียวอี้ และเกลียดไอ้คนระยำอย่างเหมียวอี้ด้วยเช่นกัน ทำเอาตนพัวพันเข้ามาข้างในด้วย ครั้งนี้ไม่รู้จักชั่งน้ำหนักความเป็นความตายจริงๆ


กำลังพลของธงพยัคฆ์ดำถูกโจมตีจนกระจัดกระจาย ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่สิบคนกำลังเกาะกันแน่นราวกับปุยขาวของเมล็ดหลิวที่ปลิวว่อนเพราะลมพัด ยังดีที่หลังจากเฮยทั่นวิวัฒนาการแล้วสามารถควบคุมเมฆลมได้โดยธรรมชาติ ถึงแม้พายุจะรุนแรง แต่ผิวเหนือที่หยาบหนาของเฮยทั่นกลับต้านทานไหว ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ค้นพบวิธีขี่ลมแล้ว


กลุ่มคนที่เชื่อมโยงอยู่ด้วยกันเริ่มพยุงร่างให้มั่นคงได้ เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางฝ่าออกมาจากลมพายุ เหมียวอี้รู้สึกโชคดีไม่หาย พอมาคิดดูตอนนี้ ถ้าอยากจะรอดออกไปก็ต้องดูความสามารถของเฮยทั่น แต่การที่คนหลายสิบคนเชื่อมโยงอยู่ด้วยกันในพายุนั้นทำให้เกิดแรงต้านมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อเฮยทั่นไม่น้อย


ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ ท่ามกลางลมที่พัดอย่างบ้าคลั่ง มี ‘วิญญาณสีขาว’ ขนาดใหญ่โผล่ออกมาชนโจมตีไม่หยุดอย่างกบัผีเข้าผีออก


โดนโจมตีไม่หยุดหย่อน ภายใต้ความวิตกกังวล เฮยทั่นพลันดำลงไปข้างล่างเพื่อหลบหลีดการโจมตี เมื่อเห็นว่าเสี่ยงอันตรายซ้ำๆ ในที่สุดเหยียนซิวก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนบอกว่า “นายท่าน รีบเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าน้อย ข้าน้อยกับเฮยทั่นจะทดลองว่าจะฝ่าไปได้หรือเปล่า” วรยุทธ์ของเขาสูงกว่าเหมียวอี้ กอปรกับก่อนหน้านี้เหมียวอี้ใช้ตาทิพย์ไป สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะจริงๆ เขากับเฮยทั่นนับว่าเป็นสหายเก่ากัน สามารถทดลองได้


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะตะโกนตอบเสียงดังว่า “ทุกคนอยู่ด้วยกันจะส่งผลต่อความเร็วของเจ้าโจรอ้วน ทุกคนเข้ามาในกระเป๋าสัตว์”


คนที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบคนถูกเหยียนซิวกับหยางเจาชิงเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์อย่างรวดเร็ว สุดท้ายเหยียนซิวก็ตะโกนบอกเหมียวอี้อีกว่า  “นายท่าน รีบเข้ามาในกระเป๋าสัตว์”


แต่เหมียวอี้ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยอมเข้า เขาปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลของตัวเอง “ถ้าไม่มีตาทิพย์ของข้าคอยช่วย พวกเจ้าสมองเลอะเลือนหาทิศทางไม่พบหรอก ไม่มีทางพุ่งออกไปได้เลย” พอพูดจบ เขาก็เปิดใช้ตาทิพย์อีกครั้ง รีบกวาดหาโดยรอบอย่างรวดเร็ว


เหยียนซิวกับหยางเจาชิงทำได้เพียงขี่ด้วยกัน ทั้งสามคนขี่อยู่บนหลังเฮยทั่น ส่วนเฮยทั่นก็ไม่มีคนหลายสิบคนคอยถ่วงดึงแล้ว มันสั่นหัวส่ายหางอยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง ทำให้ปราดเปรียวขึ้นมากอย่างที่คาดไว้


ตาทิพย์ของเหมียวอี้หาจุดอ่อนเจอแล้ว จึงรีบโบกมือชี้ไปทางนั้น ชี้สั่งให้เฮยทั่นทะลวงช่องว่างจากการโจมตีโดยวิญญาณสีขาวพวกนั้น แล้วหลบหนีอย่างรวดเร็ว


เพียงแต่บรรยากาศรอบข้างยิ่งแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามรู้สึกได้ว่าในฝุ่นผงที่เสียดทานกันอย่างรุนแรงได้สะสมเป็นพลังงานขนาดใหญ่ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทั้งสามอุตส่าห์ระวังตัวแล้ว แต่กลับเป็นอย่างที่คาดไว้ ในพายุฝุ่นผงที่หมุนวนมีเสียง ‘ครืน’ มีฟ้าแลบสายหนึ่ง ตามติดด้วยสายฟ้าอีกหลายสายเลื้อยตัดสลับกัน สายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดผ่านกันมั่วไปหมด เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้างไม่หยุด


ที่นอกค่ายทัพกลาง เมื่อเห็นในทะเลดาวสับสนที่กำลังหมุนวนมีกระแสไฟกระพริบไม่หยุด ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนก็ยิ่งสีหน้าแย่ลง กลัวว่ากำลังพลเก้าล้านข้างในจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค


พวกโก่วเจ๋อกำลังไล่ตามหลังสตรีสีขาวไม่ปล่อย เรียกได้ว่าตามจนถึงที่สุด สตรีสีขาวเองก็เหมือนจงใจปั่นพวกเขาเล่น


รอจนกระทั่งสายฟ้ารวมตัวกัน ฟ้าแลบก็เริ่มวูบวาบไม่หยุด ในที่สุดสตรีสีขาวก็หันตัวไปเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สิบคนนั้น


พวกโก่วเจ๋อรีบหันมองไปรอบๆ ตระหนกตกใจมาก!


พวกเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไร สายฟ้าที่รวมตัวกันหนาแน่นก็ผ่าเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแล้ว โบกอาวุธต้านทานไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งต้านทานก็ยิ่งโชคร้าย เพราะอาวุธเป็นสื่อนำไฟฟ้า แต่ละคนถูกกระแสไฟฟ้าโจมตีคาที่จนวุ่นวายไปหมด ยืนหยัดอดทนได้ไม่นานเท่าไร


แต่เฮยทั่นที่อยู่ท่ามกลางพายุสายฟ้ากลับทำตัวเหมือนปลาได้น้ำ มันไม่กลัวสายฟ้าเลย มันสั่นหัวส่ายหางฝ่าพายุสายฟ้าตามที่เหมียวอี้บงการ ราวกับเป็นสัตว์เทพ ส่วนหยางเจาชิงก็ไม่น้อยหน้ากัน ในขณะที่ดันแขนและกรงเล็บทั้งคู่ ลูกกลมไฟฟ้าสองลูกก็พลิกไปพลิกมาอยู่ในฝ่ามือเขา ขอเพียงมีกระแสไฟโจมตีเข้ามา ยังไม่ทันจะโจมตีไปโดนเฮยทั่น ก็เห็นสายฟ้าเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสายฟ้าที่มีพลังมหาศาลจะถูกเขาดูดไว้ในกรงเล็บทั้งคู่แล้ว


นี่ยังไม่เท่าไร วิญญาณสีขาวที่มีร่างกายขนาดใหญ่ถลันตัวปะทะเมฆลมเข้ามา หยางเจาชิงโบกฝ่ามือรับทันที  กระแสไฟที่ถูกเขาเหนี่ยวนำเข้ามากลายเป็นสายฟ้าสายหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง เขาปล่อยสายฟ้าถล่มออกไปราวกับกระบี่บิน


ตั้งแต่เขาฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคคนและภาคดินมาจนถึงวันนี้ ก็เก็บซ่อนไว้ไม่เคยเปิดเผยเลย ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้เห็นเขาแสดงฝีมือแล้ว


บึ้ม! วิญญาณสีขาวที่ชนปะทะเข้ามาถูกหยางเจาชิงสะบัดมือปล่อยสายฟ้าอันดุร้ายโจมตีจนระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีขาว ร่างเดิมของวิญญาณสีขาวที่อยู่ในฝุ่นผงพลันปรากฏเป็นของเหลวเลื้อยขยุกขยิกที่กะพริบแสงเหมือนร่างคนขนาดเท่าเด็กทารก หยางเจาชิงโบกมือปล่อยสายฟ้าออกมาอีกสาย โจมตีไปที่ร่างเดิมของวิญญาณสีขาวโดยตรง ทำให้ของเหลวที่เลื้อยขยุกขยิกกระพริบแสงระเบิดสลายไป


เหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเข้าใจอย่างรวดเร็ว ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ใช่ว่าวิญญาณสีขาวพวกนั้นจะไม่กลัวสายฟ้า แต่เป็นเพราะตัวพวกมันอยู่ในอาณาเขตผืนนี้ วิญญาณสีขาวพวกนั้นเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าตรงไหนสามารถสะสมพลังงานจนเกิดเป็นสายฟ้าได้ จึงสามารถหลบได้ล่วงหน้า แต่ไม่มีทางหลบสายฟ้าที่หยางเจาชิงตั้งใจรุกโจมตีได้ เนื่องจากไม่มีทางรู้ได้ว่าหยางเจาชิงจะลงมือเมื่อไร


หยางเจาชิงในตอนนี้มีพลังอำนาจมากจริงๆ ปล่อยสายฟ้าออกจากมือสายแล้วสายเล่า พลังอำนาจนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเทพขวางก็ฆ่าเทพ พระขวางก็ฆ่าพระ เขายืนอย่างอิสระอยู่บนหลังเฮยทั่น เกรียงไกรยากจะต้านทาน เปิดฉากสังหารใหญ่ตลอดทางราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ก็มีวิญญาณอย่างน้อยนับพันดวงที่ถูกเขาถล่มสังหารจนดับสลายปลิดปลิวไป


เหมียวอี้กับเหยียนซิวดูฉากนี้จนสูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าหยางเจาชิงที่ฝึกเคล็ดสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคคนกับภาคดินจะร้ายกาจถึงขั้นนี้ แต่ไม่นานทั้งสองก็เข้าใจ ว่าไม่ใช่เพราะพลังของหยางเจาชิงที่น่ากลัว แต่เป็นเพราะหยางเจาชิงกำลังถือโอกาสใช้ประโยชน์ ยิ่งใน ‘เมฆลม’ เหล่านี้สามารถกลั่นสายฟ้าได้ร้ายกาจเท่าไร หยางเจาชิงก็ยิ่งสามารถอาศัยสายฟ้ามาโจมตีได้ร้ายกาจขึ้นเท่านั้น ใช่ว่าบนตัวหยางเจาชิงจะมีสายฟ้าที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ดีใจมาก ยิ่งมีความมั่นใจว่าจะหนีรอดได้ เขาใช้ตาทิพย์กวาดมองโดยรอบ แล้วโบกทวนเกล็ดย้อนชี้ในแนวเฉียง “ไปข้างหน้าทางด้านขวา!”


เฮยทั่นฟังคำสั่งทันที รีบสั่นหัวส่ายหางขี่ลมไปทางขวามือด้านหน้า


ส่วนเหยียนซิวก็นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเหมียวอี้กับหยางเจาชิง เขาใช้สองมือเกาะผ้าคาดเอวของทั้งสองเอาไว้ อาศัยที่ตัวเองมีวรยุทธ์สูงสุดในบรรดาทั้งสามคน พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเชื่อมต่อทั้งสองให้อยู่บนตัวเฮยทั่น ทั้งสองจะได้ต่างคนต่างแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างมีสมาธิ


“หึหึ…หึหึ…” สตรีสีขาวเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง


นางแทบจะไม่ได้ลงมือเท่าไรเลย พวกโก่วเจ๋อก็อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงแล้ว แต่ละคนโดนฟ้าผ่าจจนไหม้เกรียม ร่างกายชักกระตุกลอยอยู่กลางอากาศ โดนสายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าทั้งเป็นจนกลายสภาพเป็นแบบนี้


พอหัวเราะเสร็จ สตรีสีขาวก็ลงมือแล้ว พวกโก่วเจ๋อทั้งสิบคนไม่มีใครรอดไปได้ ถูกนางจับไปทั้งเป็นๆ


ในขณะนี้เอง เด็กชายร่างกายสีขาวคนนี้ก็เหาะออกมาจาก ‘เมฆลม’ พอเข้ามาใกล้ก็ปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น “มหาราชา มีคนสังหารพี่น้องของพวกเราไปนับพันแล้ว”


สตรีสีขาวเบิกตากว้างแล้ว ตะคอกถามว่า “ใครทำ? ประมุขชิงมาแล้วเหรอ?” ดูจากสีหน้าในตอนนี้ เหมือนนางจะกลัวประมุขชิงอยู่บ้างนิดหน่อย


ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดสตรีชุดขาวที่มาถึงจุดเกิดเหตุก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ได้เห็นกับตาว่าหยางเจาชิงที่อยู่ท่ามกลางคู่หูทั้งสามกำลังแสดงพลานุภาพอันน่าเกรงขาม สังหารจนลูกน้องนางตายไปเป็นแถบๆ ไม่มีใครต้านทานไหวเลย


ได้เห็นกับตาแล้วว่าทั้งสามไม่กลัวสายฟ้า หลบหนีได้รวดเร็วมาก สตรีสีขาวทำสีหน้าเครียดขรึมทันที มีหรือที่จะปล่อยให้พวกเหมียวอี้หนีไป นางกางแขนเสื้อที่ใหญ่โคร่งนองข้าง ราวกับกำลังอธิษฐานต่อฟ้า


ชั่วพริบตานั้น ฝุ่นผงสีขาวที่ออกมาจาก ‘เมฆลม’ ที่หมุนวนไม่หยุดก็ลอยออกมาก่อตัว กลายเป็นมังกรหยกหยกสองตัวที่ยาวหลายร้อยจั้ง มังกรยักษ์!


โครม! มังกรยักษ์ที่อาบสายฟ้าโผล่ออกมาจากลมคลั่งอย่างฉับพลัน พุ่งหัวชนไปทางสามเกลอ


จู่ๆ ก็มีเจ้าสิ่งนี้โผล่มา ทั้งสามตกใจมาก หยางเจาชิงกางแขนผลักติดต่อกันหลายครั้ง ถล่มสายฟ้าอย่างบ้าคลั่งราวกับประทัดใส่มังกรยักษ์ที่พุ่งเข้ามา เกิดระเบิดเป็นช่วงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคาดไม่ถึงก็คือ จู่ๆ ก็มีมังกรยักษ์โผล่มาอีกตัว รวดเร็วฉับไวมาก หยางเจาชิงรับมือไม่ไหวทันที


บึ้ม! ทั้งสามเงยหน้ากระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็โดนโจมตีจนกระจัดกระจาย โดนโจมตีจนไม่มีแรงโต้ตอบ


ในความว่างเปล่า มีมือหยกขนาดมหึมาสี่ข้างโผล่ลงมาจากท้องฟ้า มือหนึ่งข้างคว้าจับไว้หนึ่งคน แม้แต่เฮยทั่นก็ไม่รอด ทั้งหมดถูกจับคาที่ แต่ละคนโดนบีบจนแทบจะกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ ถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าสตรีสีขาว


ทั้งสามโดนบีบจนขยับไปไหนไม่ได้ พอเห็นสตรีสีขาวคนนี้ พวกเขาก็แทบจะสิ้นหวัง เมื่ออยู่ในมืออีกฝ่ายก็ไม่มีกำลังจะโต้ตอบได้เลย ถ้าคิดจะหนีก็เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้


บทที่ 1401 บุรุษจัญไรหกเนตร

Ink Stone_Fantasy

ดูจากสีหน้าเดือดดาลของสตรีสีขาวก็รู้แล้ว ว่านางอยากจะบีบพวกเหมียวอี้ให้ตายจริงๆ แต่ก็เหมือนนางจะเป็นกังวลนิดหน่อย


ที่มากกว่านั้นก็คือประลาดใจสงสัย คนที่ทำให้นางประหลาดใจสงสัยไม่ใช่หยางเจาชิงที่กำลังแสดงพลานุภาพ แต่เป็นเหมียวอี้ นางเห็นเองกับตาว่าเหมียวอี้อาศัยตาทิพย์นำทาง มีผลในการหลบเลี่ยงเหตุการณ์โจมตีที่มีจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นหยางเจาชิงก็ไม่มีทางรับมือกับการโจมตีต่อเนื่องได้เช่นกัน เป็นเพราะวิญญาณสีขาวพวกนี้มีเยอะเกินไป สามเกลอเจาะช่องโหว่ที่อ่อนแอที่สุดพร้อมกัน


ฝ่ามือหยกใหญ่ที่จับเหมียวอี้ได้ส่งเหมียวอี้เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ที่มีเลือดออกมุมปากกำลังเผชิญหน้าและสบตากับนาง


เหมียวอี้ที่มีสีหน้าขื่นขมยังไม่ทันได้พูดอะไรกับนาง ดวงตาก็พร่ามัว ขยับตัวไปไหนไม่ได้ ถูกผนึกวรยุทธ์นั้นยังไม่เท่าไร แต่เขาพบว่าตัวเองถูกผนึกอยู่ในหินหยกก้อนหนึ่งแล้ว ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็เผชิญกับเคราะห์ร้ายนี้เช่นกัน เฮยทั่นก็หนีไม่พ้น


คนที่ถูกผนึกไว้ไม่ได้มีแค่พวกเขา คนที่ติดอยู่ในทะเลดาวสับสนล้วนถูกจับมา ถูกขังไว้ในก้อนกลมหยกขาวและส่งไปยังจุดลึกของหมอกหนา มีก้อนหยกกลมหลายลูก นับไม่ถ้วนว่ามีจำนวนเท่าไร


ทำกลางลมพายุที่พัดวูบ กระโปรงของสตรีสีขาวปลิวสะบัด นางยืนเงียบอยู่ท่ามกลางสายลม ไม่รู้ว่ากำลังขมวดคิ้วคิดอะไรอยู่


วิญญาณสีขาวดวงหนึ่งบินเข้ามา ร่างกายขนาดใหญ่กลายเป็นฝุ่นผงสีขาว เด็กชายชุดขาวคนหนึ่งที่มีศีรษะเป็นเสือเดิมเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวด้วยเสียงแหลมเล็กของแด็ก “มหาราชา คนที่เข้ามาส่วนใหญ่ล้วนถูกพวกเราจับเป็นขอรับ”


สตรีสีขาวหายเหม่อลอย แล้วถามว่า “ศัตรูที่มาตายไปเท่าไรแล้ว?”


“ไม่เยอะขอรับ เหมือนจะตายไปแค่ไม่กี่หมื่น” เด็กชายตอบ


สตรีสีขาวขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “เกรงว่าครั้งนี้จะยุ่งยากแล้ว ฆ่าคนของตำหนักสวรรค์ไปหลายหมื่น มีหรือที่ประมุขชิงจะเลิกราง่ายๆ!” แต่อีกชั่วพริบตาเดียวคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางก็คลายออก แล้วกล่าวอย่างเหยียดยามว่า “ทำไมข้าต้องกลัวเขาล่ะ ที่นี่คือเขตแดนที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง เขาจะทำอะไรข้าได้?”


นางเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ นางมองไปโดยรอบอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็สะบัดแขนเสื้อข้างซ้าย แล้วก็สะบัดแขนเสื้อข้างขวาอีก ร่ายอิทธิฤทธิ์ด้วยท่วงท่าที่อรชรอ้อนแอ้น ลมพายุสีขาวที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงเริ่มหยุดลงทีละนิด มันเริ่มขยายไปรอบทิศโดยมีนางเป็นจุดศูนย์กลาง ราวกับเป็นปฏิกิริยาที่ต่อเนื่องเป็นห่วงลูกโซ่ ทำให้ทะเลดาวสับสนที่หมนุวนด้วยความเร็วสูงเงียบสงบลง


ทุกคนที่อยู่นอกทะเลดาวสับสนพูดไม่ออกกับภาพเหตุการณ์นี้ ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนที่ยืนเคียงกันอยู่นอกค่ายทัพกลางเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเห็นปรากฏการณ์ประหลาดของทะเลดาวสับสนหยุดลง ก็แทบจะออกคำสั่งพร้อมกันว่า “รีบติดต่อกับข้างใน”


ผลลัพธ์ที่ได้จากการติดต่อทำให้ทั้งสองหน้าดำคร่ำเครียด คนที่ฝั่งนี้สามารถติดต่อได้โดยตรงไม่มีใครตอบสนองกลับมาเลย


ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผู้วางแผนยุทธการทั้งสองคนก็คือ จะต้องเข้าไปดูหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าสถานการณ์เป็นแบบไหน แล้วพวกเขาจะรายงานต่อเบื้องบนได้อย่างไร? แต่การจะเข้าหรือไม่เข้านั้นทำให้คนตัดสินใจลำบากจริงๆ


ด้านในทะเลดาวสับสน โก่วเจ๋อที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้ดำถูกคุมตัวขึ้นมาแล้ว คุมตัวไปตรงหน้าสตรีสีขาว เขาเงยหน้ามองสตรีสีขาวพร้อมกล่าวอย่างแค้นใจ “เจ้าเป้นปีศาจจากฝั่งไหนกันแน่ บังอาจมาเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์!”


สตรีสีขาวเชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง พ่นสียงทางจมูกแล้วพูดเหยียดหยาม “ถ่อมาก่อกวนข้าถึงที่ ยังกล้ามาเถียงข้างๆ คูๆ อีก ทัพใหญ่หลายล้านของตำหนักสวรรค์ตกอยู่ในมือข้าแล้ว จะเป็นหรือตายล้วนอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของข้า ข้าถามเจ้าคำเดียว เจ้าอยากให้พวกเขารอดหรืออยากให้พวกเขาตาย?”


“ปีศาจ อย่าลำพองใจไปเลย เดี๋ยวได้ถึงคราวที่เจ้าต้องร้องไห้แน่” โก่วเจ๋อที่โดนมัดกล่าวอย่างเดือดดาล


“หยุดพูดเหลวไหล ทหารในกองทัพที่พ่ายแพ้จะอวดดีอะไรนักหนา ถ้าจะฆ่าเจ้าทิ้งก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เจ้าดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าให้เจ้าไปรายงานเบื้องบน หลังจากออกไปแล้วก็บอกประมุขชิงด้วย ขอเพียงตอบตกลงเงื่อนไขของข้าสามข้อ ข้าก็จะปล่อยทัพใหญ่หลายล้านนี่ไป ไม่อย่างนั้นก็ให้ประมุขชิงคอยมาเก็บศพพวกเขา” สตรีสีขาวกล่าว


ถึงแม้โก่วเจ๋อตะเดือดดาล แต่อย่างไรเสียชีวิตก็ตกอยู่ในมือของอีกฝ่าย บวกกับได้ยินว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป ในเมื่อมีโอกาสดีๆ แล้ว ถึงได้ข่มไฟโกรธไว้ชั่วคราว กัดฟันถามว่า “เงื่อนไขอะไร?”


สตรีสีขาวตอบว่า “เงื่อนไขข้อแรก ข้าไม่อยากหาเรื่องประมุขชิง ขอให้ประมุขชิงอย่าหาเรื่องข้าเช่นกัน พอกลับไปแล้วบอกประมุขชิงด้วย ว่าตั้งแต่นี้ไปทะเลดาวสับสนคืออาณาเขตของข้า ข้ากับเขาปกครองแยกกัน เหมือนน้ำคลองไม่ยุ่งกับน้ำบ่อ เงื่อนไขข้อสอง ข้าสังหารคนของพวกเจ้าไปหลายหมื่นแล้ว แต่คนของพวกเจ้าก็สังหารลูกน้องข้าไปนับพันเหมือนกัน ถึงแม้ฝ่ายพวกเจ้าจะตายเยอะกว่านิดหน่อย แต่ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย ไม่ควรเอาเรื่องแล้ว ประมุขชิงก็ไม่ควรเอาผิดเรื่องนี้เหมือนกัน เงื่อนไขข้อที่สาม ประมุขชิงก็ไม่ใช่คนดีอะไร เรื่องบางเรื่องถ้าพูดปากเปล่าก็ไม่หลักฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขชิงกลับคำพูด ต้องให้ประมุขชิงประกาศเงื่อนไขสองข้อแรกต่อใต้หล้า ตราบใดที่สามารถทำตามเงื่อนไขสามข้อนี้ได้ ข้าก็จะปล่อยกำลังพลหลายล้านของตำหนักสวรรค์ไป แต่ถ้าทำไม่ได้ งั้นก็ให้ประมุขชิงรอเก็บศพได้เลย!”


โก่วเจ๋อแสยะยิ้ม แค่ฟังเงื่อนไขสามข้อนี้ก็รู้แล้วว่าปีศาจตนนี้ไม่มั่นใจ เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์ ที่กล้าเสนอเงื่อนไขแบบนี้ได้ก็เพราะเอาชีวิตกำลังพลหลายล้านมาเป็นแต้มต่อ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ราชันสวรรค์ แต่เขาก็รู้เช่นกัน ราชันสวรรค์ปกครองใต้หล้า มีหรือที่จะตอบรับเงื่อนไขแบบนี้ แยกกันปกครองอย่างนั้นเหรอ ทั้งยังต้องประกาศต่อใต้หล้าด้วย ล้อเล่นอะไรกัน?


ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาปะทะฝีปาก ต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเองและหลุดพ้นเขตอันตรายไปได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


จากนั้น โก่วเจ๋อก็ถูกคุมตัวลงไป


“นั่นคือ…” ฮ่วนอู๋เปียนที่อยู่นอกค่ายทัพกลางจ้องข้างหน้าพร้อมกล่าวอย่างสงสัย


ทัพใหญ่ที่อยู่นอกทะเลดาวสับสนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง โก่วเจ๋อที่ดำเมี่ยมไปทั้งตัวเหาะออกมาจากหมอกหนา ภาพนี้ดึงดูดสายตาของทุกคน ทำให้โก่วเจ๋อแอบรู้สึกอับอายไม่หาย


เมื่อมาถึงตรงหน้าหัวหน้าภาคทั้งสองที่บัญชาการทัพใหญ่ชั่วคราว โก่วเจ๋อก็ทำความเคารพ แล้วคุกเข่าข้างเดียวลงตรงนั้น กุมหมัดคารวะกล่าวด้วยสีหน้าอับอาย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ!”


ไป่หลี่เฟิงก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้มือข้างเดียวประคองแขนเขาลุกขึ้นยืน แล้วถามเสียงต่ำว่า “สถานการณ์ข้างในเป็นยังไง?”


โก่วเจ๋อมองดูปฏิกิริยาของคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างกายหัวหน้าภาคทั้งสอง อึกอักพูดไม่ออกเล็กน้อย เขาเองก็กลัวเสียหน้าอยู่บ้าง ไม่สะดวกจะพูดเรื่องที่ตัวเองโดนจับเป็นเชลยต่อหน้าทุกคน


หัวหน้าภาคทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง มองออกแล้วว่าเขามีบางอย่างทีไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าฝูงชน จึงหันหลังเดินกลับเข้ามาในค่ายทัพกลาง ขณะเดียวกันไป่หลี่เฟิงก็พูดทิ้งท้ายไว้ว่า “เข้ามาคุยข้างใน”


หลังจากโก่วเจ๋อเข้ามาข้างในแล้ว ก็แข็งใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เงื่อนไขสามข้อที่อีกฝ่ายเสนอมาก็ต้องเอ่ยถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้


ไป่หลี่เฟิงฟังจบแล้วโมโหทันที แสยะยิ้มไม่หยุด “โก่วเจ๋อ เจ้ากลายเป็นทูตส่งสารของศัตรูไปตั้งแต่เมื่อไร? ไม่น่าเชื่อว่าจะไปเป็นทูตส่งสารให้ศัตรู หน่วยองครักษ์ซ้ายถูกเจ้าทำให้เสียหน้าหมดแล้ว!”


โก่วเจ๋อหันหน้าหนีอย่างอับอาย


กลับเป็นฮ่วนอู๋เปียนที่ยกมือห้ามไป่หลี่เฟิง บอกใบ้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย เตือนว่า “เขาเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ในเมื่อเข้าใจสถานการณ์ข้างในแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลารายงานสถานการณ์ขึ้นไปเบื้องบนเพื่อขอคำชี้แนะในการตัดสินใจ!”


วังสวรรค์ ในตำหนักดาราจักร โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายและอู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวายืนเคียงกัน


หลังจากฟังทั้งสองเล่าสถานการณ์จบ ประมุขชิงที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวก็ทำสายตาเย็นเยียบ แต่น้ำเสียงยังสงบนิ่ง “นึกไม่ถึงว่าในทะเลดาวสับสนจะซ่อนตัวละครแบบนี้เอาไว้ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้ชัดหรือยังว่าเป็นใคร?”


“อีกฝ่ายไม่เปิดเผยตัวตนขอรับ” โพ่จวินกุมหมัดตอบ


ประมุขชิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “แยกกันปกครอง! ทั้งยังต้องประกาศต่อใต้หล้า! เรื่องนี้พวกเจ้าสองคนตัดสินใจให้ข้าแล้วกัน!” เขาไม่พูดอะไรมาก ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา แล้วเอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวจากไป


โพ่จวินกับอู๋ฉวี่สบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล ถึงแม้ประมุขชิงจะไม่ได้แสดงความเห็นอะไร แต่ชัดเจนแล้วว่าให้พวกเจ้าจัดการเองตามเห็นสมควร แต่การไม่แสดงความเห็นก็คือการแสดงความเห็นที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่พวกเขาทั้งสองเป็นผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ จะทำเรื่องที่ให้ประมุขชิงแบ่งอาณาเขตไปให้คนอื่นได้อย่างไร


ถึงแม้ชีวิตของคนหลายล้านจะตกอยู่ในมือศัตรู แต่ประมุขชิงก็ไม่สะดวกที่จะพูดออกมาว่าไม่แยแสชีวิตของคนพวกนั้น ควรจะทำอย่างไรก็มีเพียงผู้บัญชาการองครักษ์อย่างทั้งสองคนที่ต้องไปชั่งน้ำหนักเอาเอง


ไม่นานทั้งสองก็เร่งฝีเท้าก้าวออกจากตำหนักดาราจักร พอออกจากวังสวรรค์ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายออกไปทันที


สถานที่ไร้ระเบียบ ดาวเมฆธารา ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีแผ่นดิน มีเพียงมหาสมุทรที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา


บึ้ม! เสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าดิน หมอกหนาที่วนเวียนกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่ง คลื่นสูงเสียดฟ้า


ตำหนักผลึกใสหลังหนึ่งในทะเลลึกสั่นไหว เครื่องประดับในตำหนักตกลงพื้น ชายชราชุดผ้าไหมที่นั่งชมระบำของกลุ่มปีศาจสาวอยู่บนบัลลังก์สูงกางแขนสองข้าง ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมตำหนักที่สั่นไหวเอาไว้ บนใบหน้าฉายแววประหลาดใจสงสัย


ทั้งชายทั้งหญิงที่อยู่ในตำหนัก พอความสับสนวุ่นวายสงบลงแล้ว พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวชายชราที่นั่งอยู่เบื้องสูง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว


น้ำทะเลนอกตำหนักเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว คลื่นใต้น้ำที่ซัดเข้ามาอย่างบ้าคลั่งหลายระลอกทำให้ทิวทัศน์ใต้ทะเลอันงดงามไร้ที่เปรียบถล่มจนดูไม่ได้ ทำให้คนไม่น้อยปวดใจไม่หยุด ต้องทราบไว้ว่าใต้ทะเลกับบนบกไม่เหมือนกัน ทิวทัศน์มหัศจรรย์มากมายมักต้องใช้เวลายาวนานนับหมื่นปีกว่าจะเติบโตขึ้นมาได้


ชายชราที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีน้ำโหแล้ว พอโบกมือหนึ่งครั้ง ก็มีลูกน้องมากมายถลันตัวออกไปนอกตำหนักผลึกแก้วใส


ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มนั้นก็ไปถึงที่เกิดเหตุ พอฝ่าคลื่นทะยานขึ้นท้องฟ้า ชายชราก็ตะโกนถามเสียงดังว่า “ใครกันที่มาทำลายแดนอันล้ำค่าของราชาผู้นี้!”


จู่ๆ บนฟ้าก็มีลมกระโชกแรงพักหนึ่ง พัดม้วนหมอกหนาออกไป ทำให้เงาหลังของคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเมฆปรากฏขึ้นทีละนิด คนคนนั้นสวมชุดคลุมสีดำ ร่างกายซูบผอมและค่อนข้างเตี้ย กำลังยืนเอามือไขว้หลัง


ผู้ที่มาหันตัวมาอย่างช้าๆ เป็นชายชราผมดำคนหนึ่งที่หน้าตาดูมีอำนาจในตัวเอง กำลังจ้องชายชราที่เข้ามาอย่างเย็นเยียบ พร้อมตอบด้วยเสียงทรงพลังว่า “โพ่จวิน!”


ไม่ผิดหรอก ไม่ใช่ใครที่ไหน โพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายมาเยือนด้วยตนเอง!


“…” ชายชราที่มาถึงเบิกตากว้างทันที อ้าปากค้างพูดไม่ออก เหมือนทำใจเชื่อได้ยากว่าจะเห็นโพ่จวินอยู่ที่นี่ เขารีบมองซ้ายมองขวาดูโดยรอบ เมื่อไม่เห็นโพ่จวินพาคนอื่นมาด้วย เขาก็รีบเหาะเข้าไป จากนั้นก้าวขึ้นมาข้างหลังแล้วโค้งตัวกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคนว่างงานหกเนตร คารวะนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ซ้าย”


ชายชราคนนี้ก็คือผู้ที่ควบคุมดูแลดาวเมฆธารา ชื่อว่าบุรุษจัญไรหกเนตร วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่นี่อย่างอิสระเสรี


โพ่จวินมองข้างหลังเขาแล้วเชิดคางเล็กน้อย


บุรุษจัญไรหกเนตรรีบโบกมือข้างหลัง ให้กลุ่มลูกน้องที่เป็นทหารต่ำต้อยออกไป รอจนกระทั่งคนหายไปหมดแล้ว เขาถึงได้ถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะขอรับ?”


โพ่จวินจ้องที่ดวงตาตรงหว่างคิ้วเขา พร้อมบอกว่า “จะมายืมดวงตาของเจ้าไปใช้สักหน่อย!”


“หา…” บุรุษจัญไรหกเนตรตกใจ ยกมือปิดดวงตาบนหว่างคิ้วของตัวเองเอาไว้ เดินถอยหลังหลายก้าว พร้อมกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “นายท่าน ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎสวรรค์ ทำไมต้องมาเอาดวงตาของข้าไปด้วย?”


เขาก็เหมือนกับเหมียวอี้ ตรงหว่างคิ้วมีดวงตาอีกดวงหนึ่ง เพียงแต่ดวงตาของเหมียวอี้ เมื่อมองจากภายนอกก็เห็นเป็นแค่รอยนูนสีชมพูขีดเดียวเท่านั้น แต่เขากลับมีดวงตานูนตั้งออกมาของจริง อีกทั้งบนใบหน้าเขาก็ไม่ได้มีดวงตาแค่สามดวงด้วย สาเหตุที่เรียกว่าบุรุษจัญไรหกเนตร ก็ย่อมหมายความว่ามีดวงตาหกดวงอยู่แล้ว บนตัวเขายังมีดวงตาอีกสามดวง เพียงแต่มองจากภายนอกแล้วไม่เห็นเท่านั้นเอง


บทที่ 1402 ไป๋เฟิ่งหวง

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการจะขอยืมดวงตาของตัวเอง บุรุษจัญไรหกเนตรก็ตกใจมิใช่น้อย ไม่รู้ว่าตัวเองไปล่วงเกินอีกฝ่ายตรงไหน หรือว่าไปล่วงเกินอะไรตำหนักสวรรค์เข้าแล้ว


“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะควักลูกตาของเจ้าไป แค่จะอาศัยพลังตาของเจ้าให้ไปช่วยปราบเหตุจลาจลสักหน่อย ตามข้าไปสักเที่ยวเถอะ” โพ่จวินตอบ


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ บุรุษจัญไรหกเนตรโล่งอก วางมือที่ปิดหน้าผากลง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าจะไปที่ไหนเหรอ?”


“ทะเลดาวสับสน!” โพ่จวินตอบ


“ทะเลดาวสับสน…” บุรุษจัญไรหกเนตรตะลึงค้าง แววตาลอกแล่กนิดหน่อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ทะเลดาวสับสนขอรับ?”


“มีบางคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผย…” โพ่จวินไม่ได้เล่ารายละเอียดของเรื่องนี้ แค่บอกให้ฟังคร่าวๆ บอกชัดเจนว่าต้องการให้บุรุษจัญไรหกเนตรทำอะไร


“ข้าเดาออกแล้วว่าอาจจะเป็นนาง” บุรุษจัญไรหกเนตรฟังจบแล้วถอนหายใจ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “นายท่าน เกรงว่าข้าจะช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เล่นๆ นะขอรับ”


โพ่จวินมองมาอย่างเหนือความคาดหมายนิดหน่อย “อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้จักนาง?”


“อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้จักนาง? นายท่านน่าจะเคยเห็นนางสิถึงจะถูก” บุรุษจัญไรหกเนตรแปลกใจ


“อ้อเหรอ!” โพ่จวินลองนึกในละเอียด แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองกับผู้หญิงที่ขาวตั้งต่ศีรษะจดเท้าคนนั้นเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน จึงถามว่า “บางทีข้าอาจจะนึกไม่ออก นางเป็นใครกันแน่?”


บุรุษจัญไรหกเนตรตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ไป๋เฟิ่งหวงไง! อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้จักไป๋เฟิ่งหวง?”


“ไป๋เฟิ่งหวง…” โพ่จวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหรี่ตาเล็กน้อย “ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูจริงๆ”


บุรุษจัญไรหกเนตรเตือนอีกครั้ง “นางหนูที่อยู่ข้างหายประมุขปีศาจไง ในปีนั้นข้างกายประมุขปีศาจมีเด็กสาวที่ดื้อด้านอยู่คนหนึ่ง ชอบก่อเรื่องบ่อยๆ จนชื่อเสียงโด่งดัง ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะไม่เคยเจอมาก่อน”


“เป็นนางเหรอ?” โพ่จวินนึกออกอย่างฉับพลัน ทำสีหน้าสะเทือนอารมณ์ แล้วถามอย่างตกตะลึงมากว่า “เป็นนางได้ยังไง? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนางหนูเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้างกายประมุขปีศาจในปีนั้น?”


บุรุษจัญไรหกเนตรพยักหน้า “เป็นนางขอรับ”


โพ่จวินเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน พยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวในปีนั้น ในหัวปรากฏภาพสาวน้อยน่ารักคหนนึ่ง เพียงแต่ตอนนั้นคนอื่นพากันเรียกสาวน้อยน่ารักคนนั้นว่าเสี่ยวไป๋ มีน้อยคนมากที่จะเรียกชื่อเต็มของนาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงนึกไม่ออกว่า ‘ไป๋เฟิ่งหวง’ คือใคร


ถ้าเป็นนางหนูคนนั้นจริงๆ ก็แปลว่าเป็นคนคุ้นเคยของตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่แค่เขาที่รู้จัก แม้แต่ประมุขชิงก็คุ้นเคยเช่นกัน บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ล้วนรู้จัก นางสนิทกับประมุขพุทธะเป็นพิเศษ ถ้าเป็นนางหนูคนนั้นจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงก็คงจะไม่ทำให้นางลำบาก ถึงอย่างไรในปีนั้นนางก็ต่อต้านประมุขไป๋กับประมุขปีศาจมาตลอด คิดหาทางทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของประมุขปีศาจ ตอนหลังเกิดเรื่องขึ้นกับประมุขไป๋และประมุขปีศาจ นางหนูคนนั้นจึงฉวยโอกาสหนีไปโดยไร้เงา ประมุขชิงส่งคนไปตามหาแล้ว แต่ก็ไม่เคยหาพบเลย นึกไม่ถึงว่าจะมาปักหลักอยู่ที่ทะเลดาวสับสน


พอนึกถึงเรื่องนี้ ก็พบว่าโลกเราช่างไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ โพ่จวินส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะถามยืนยันอีกสักหน่อย “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าไป๋เฟิ่งหวงซ่อนตัวอยู่ในทะเลดาวสับสน?”


บุรุษจัญไรหกเนตรตอบว่า “ทีแรกข้าก็ไม่รู้หรอก ตอนหลังข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับคนกลุ่มหนึ่งที่ทะเลดาวสับสน เลยคิดจะฉวยโอกาสเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สักหน่อย…เหอะๆ นายท่าน ท่านเองก็รู้ ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าก็เคารพกฎหมายมาตลอด ไม่ทำเรื่องอะไรที่ออกนอกกรอบหรอก ทำได้แค่ฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นิดหน่อย…”


โพ่จวินเหล่ตามอง รู้ว่าภายนอกเจ้าเวรนี่เคารพกฎหมาย แต่ลับหลังใครจะไปรู้ว่าซื่อสัตย์จริงหรือเปล่า แต่มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่หน่วยองครักษ์ซ้ายสนใจ ถ้าจะตรวจสอบเรื่องที่ทำผิดกฎสวรรค์ ก็ย่อมมีคนจัดการอยู่แล้ว เรื่องนี้เหมาะจะให้เกาก้วนเป็นคนทำ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะมาสนใจเรื่องนี้ จึงพูดเร่งว่า “อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พูดจุดสำคัญมาเลย”


“ขอรับ!” บุรุษจัญไรหกเนตรเอ่ยรับ แล้วเล่าต่อว่า “ตอนหลังข้าพบปีศาจเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่ทะเลดาวสับสน เกิดการปะทะกันนิดหน่อย ผลปรากฏว่าไปทำร้ายลูกสมุนจนหัวหน้าต้องออกหน้ามาเอง การบังเอิญพบกันครั้งนั้นทำให้ข้าค้นพบว่านางคือ ‘ไป๋เฟิ่งหวง’ คนทั่วไปไม่เคยเห็นร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงมาก่อน จึงจำนางไม่ได้ว่าเป็นไป๋เฟิ่งหวง บังเอิญว่าในอดีตข้าเคยเห็นร่างเดิมของนางพอดี พอเห็นว่าเป็นนาง ข้าก็รู้ว่าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว อยากจะยอมแพ้แล้วหนีไป แต่ผู้หญิงคนนั้นพัวพันไม่เลิก ดึงดันจะให้ข้าอยู่ที่นั่นให้ได้ หรือไม่ก็จะปล้นของของข้า เมื่อถูกกดดันจนหมดทางเลือก ข้าก็ทำได้เพียงสู้กับนาง ถ้าพูดถึงพลัง ที่จริงแล้วนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่จนใจที่นางเป็นปีศาจที่ฝึกตนมาจากวิญญาณหยก ทะเลดาวสับสนก่อตัวเป็นฝุ่นหยกเนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ สอดคล้องกับคุณสมบัติของนางพอดี นางอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็เรียกได้ว่าเหมือนปลาได้น้ำ ทำให้นางควบคุมทะเลดาวสับสนผืนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พออาศัยความได้เปรียบนี้ พลังของนางจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เมื่ออยู่ในเขตแดนที่นางสร้างขึ้นเอง ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย ข้าลำบากทรมานเต็มที่กว่าจะเอาตัวรอดออกจากทะเลดาวสับสนได้ ตอนหลังข้าก็ไม่กล้าไปที่นั่นอีกแล้ว มีเรื่องกับนางไม่ไหว”


โพ่จวินกลั่นกรองคำพูดของเขาเงียบๆ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไปกันเถอะ ไปช่วยข้าตามหานาง”


บุรุษจัญไรหกเนตรสีหน้าขื่นขมทันที เขาย้ำไปหลายรอบแล้วว่าไปมีเรื่องกับนางไม่ไหว ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับความแค้นระหว่างพวกประมุขชิงกับพวกประมุขไป๋เลยจริงๆ จึงโค้งกายกุมหมัดคารวะ “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเรื่องนี้นะ แต่ข้ามีเรื่องกับไป๋เฟิ่งหวงไม่ไหวจริงๆ นางเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวของประมุขปีศาจในปีนั้นเชียวนะ ถ้าไปยั่วโมโหนาง ก็ยังไม่รู้เลยว่าข้าจะตายยังไง”


“ประมุขปีศาจไม่อยู่มาตั้งหลายปีแล้ว เจ้าจะกลัวอะไร?” โพ่จวินถาม


บุรุษจัญไรหกเนตรร้องไอ๊หยาทันที “อูฐจะผอมอย่างไรก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า จากที่ข้ารู้มา ประมุขปีศาจยังมีลูกน้องเก่าที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่นะ ถ้าข้าไปมีเรื่องกับสาวใช้ประจำตัวของประมุขปีศาจ ตอนหลังอาจจะมีใครโผล่มาจัดการข้าก็ได้ เบื้องหลังนายท่านมีตำหนักสวรรค์ ก็ย่อมไม่ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ ลูกน้องเก่าของประมุขปีศาจที่เหลือรอดโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ ข้าเองก็รับไม่ไหว มิหนำซ้ำเบื้องหลังประมุขปีศาจยังมีประมุขไป๋อีกคน นั่นเป็นคนที่ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ได้เลย”


“เจ้าเลือกได้เหรอ?” โพ่จวินเหล่ตาถามเสียงเรียบ ทำท่าเหมือนบอกว่า สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์


“…” บุรุษจัญไรหกเนตรพูดไม่ออกทันที อีกฝ่ายมาหาถึงที่ละดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ


ก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงสั่งงานลูกสมุนเอาไว้ แล้วตามโพ่จวินไป


“เสี่ยวไป๋?”


ประมุขชิงที่กำลังเดินเนิบนาบอยู่ในสวนของวังสวรรค์หันขวับ ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนางหนูเสี่ยวไป๋?”


“น่าจะเป็นนาง…” โพ่จวินที่ติดตามอยู่ข้างกายรายงานสถานการณ์ที่ได้รู้มาจากบุรุษจัญไรหกเนตรอย่างละเอียด


ประมุขชิงเอามือลูบเครา บนใบหน้าเผยอาการเหม่อลอยเหมือนนึกย้อนไปในอดีต ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องบันเทิงอะไรขึ้นได้ เขายิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ไป๋เฟิ่งหวง ในปีนั้นเรีนกว่านางหนูเสี่ยวไป๋ นางหนูเสี่ยวไป๋มาตลอด เรียกจนชินแล้ว ข้าแทบจะลืมว่านางก็มีชื่อนี้ ข้าเองยังแปลกใจว่านางหนูนั่นไปที่ไหนแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปหลบอยู่ในทะเลดาวสับสน หลบอยู่ใต้หนังตาข้ามาหลายปีขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะหานางไม่เจอ นางหนูนี่น่าสนใจทีเดียว คาดไม่ถึงว่าจะสร้างทะเลดาวสับสนเป็นเขตแดนของตัวเองแล้ว ข้าประเมินนางต่ำไป นางก็มีฝีมือเหมือนกัน เหอะๆ นางหนู ถ้าเป็นนางหนูนั่นก็จัดการง่ายแล้ว สงสัยข้าจะต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ ถ้าไม่กล้าไม่เชื่อฟังหรอก”


“นางหนูนั่นดื้อรั้นมาก ขนาดคุณชายสามกับรั่วสุ่ยยังสยบนางไม่ไหวเลย” โพ่จวินกล่าวเตือน


“เหอะๆ! เจ้าสามไป๋จะสยบนางได้อย่างไร เป็นเพราะรั่วสุ่ยโอ๋นางเกินไป เจ้าสามไป๋ให้ท้ายเพราะเห็นแก่หน้ารั่วสุ่ยก็เท่านั้นเอง” ประมุขชิงโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย แต่ชั่วพริบตาเดียวก็หยุดชะงัก พยักหน้าพูดอีกว่า “เจ้าพูดไม่ผิดหรอก นางหนูนั่นดื้อรั้นจริงๆ ขนาดรู้ว่าเป็นคนของข้าก็ยังกล้าแตะต้อง ถ้าไม่สั่งสอนสักหน่อยก็คงไม่รู้จักว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นิสัยของนางหนูนั่นช่างวอนนัก…แต่นิสัยนางก็กบฏนิดหน่อย ถ้าใช้ไม้แข็งก็อาจจะได้ผลกลับตาลปัตร เจรจาดีๆ ก่อนแล้วค่อยใช้กำลังดีกว่า บอกนางว่าให้นางปล่อยคนของข้าก่อน แล้วค่อยมาพบข้า ตราบใดที่เต็มใจยอมศิโรราบตำหนักสวรรค์ ข้าก็จะมอบทะเลดาวสับสนเป็นรางวัลให้นางได้ ถ้ายังไม่เชื่อฟังอีก ก็ตั้งใจสั่งสอนเน้นๆ สักยก แล้วค่อยพาตัวมาพบข้า”


“ขอรับ!” โพ่จวินเอ่ยรับคำสั่งแล้วจากไป


ไป๋เฟิ่งหวง ไม่ผิดหรอก คนที่ตั้งตัวเป็นจ้าวอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็คือไป๋เฟิ่งหวงที่พวกประมุขชิงพูดถึงในปีนั้น


พวกประมุขชิงทอดถอนใจกับเรื่องในอดีตเพราะไป๋เฟิ่งหวง ไป๋เฟิ่งหวงในตอนนี้ก็กำลังคิดวนเวียนกับเรื่องในอดีตเช่นกัน


ดาวฝุ่นหยก ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไป๋เฟิ่งหวงสร้างขึ้นโดยการทำให้ฝุ่นผงสีขาวเกาะตัวกัน ทั้งดาวขาวเกลี้ยงเกลา สิ่งปลูกสร้างอันงดงามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


ด้านนอกตำหนัก ก้อนหยกกลมจำนวนนับไม่ถ้วนถูกวางเอาไว้ เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังกลิ้งก้อนหยกกลมแข่งกัน และในก้อนหยกกลมก็มีสมาชิกของทัพใหญ่หลายล้านจากตำหนักสวรรค์ที่ถูกขังเอาไว้


ในตำหนักใหญ่ที่เป็นหยกงามเกลี้ยงเกลาแวววาวไม่ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม ลายผนังก็เป็นภาพหงส์เฟิ่งหวงในท่วงท่าที่ต่างกัน


ไป๋เฟิ่งหวงกำลังยืนเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบผลึกแดงอยู่กลางตำหนักใหญ่ ทั้งสองทำตาเล็กตาน้อยใส่กัน


เหมียวอี้มองไปรอบๆ เป็นระยะ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เรียกตนมาเจอหน้าเพียงลำพังเพราะมีเจตนาอะไร


ทั้งสองคุมเชิงกันอยู่นานมาก จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็เอ่ยปากบอกว่า “แสดงดวงตาที่สามของเจ้าให้ข้าดูสักหน่อยสิ”


“เจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถามกลับ


“เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะควักออกมาให้?” ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตา


“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เหมียวอี้ถาม


ไป๋เฟิ่งหวงใช้สองนิ้วจิ้มทันที ทำท่าเหมือนต้องการจะควักออกมา


“ช้าก่อน!” เหมียวอี้รีบร้องบอกให้หยุด พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เขาเองก็ไม่อยากทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์จนตัวตาย ไม่จำเป็นต้องดื้อด้าน รอยนูนตรงหว้างคิ้วแยกออก เสาแสงสายหนึ่งที่มีแสงสีรุ้งลอยวนเวียนยิงออกมาจากลูกตาที่เป็นสีรุ้งโปร่งแสง


พอเปิดตาทิพย์ ดวงตาอีกสองดวงกลับจ้องปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไร


ไป๋เฟิ่งหวงจ้องตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วของเขาอยู่พักใหญ่ สีหน้าสื่อหลากหลายอารมณ์ปนกัน หลังจากผ่านไปนานถึงได้ถอนหายใจอย่างหมดอารมณ์ แล้วถามว่า “เก็บเถอะ เจ้าเคยเจอเสิ้นหมีปีศาจหอยยักษ์นั่นด้วยเหรอ?”


เหมียวอี้ตะลึงค้าง เก็บดวงตาทิพย์อย่างช้าๆ ในใจแอบตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าตาทิพย์ของเขามาจากเสิ้นหมีแม่ทัพใหญ่ของประมุขปีศาจ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากเจอตนเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีฐานะตัวตนเป็นอย่างไร


ไป๋เฟิ่งหวงเหมือนจะมองความคิดของเขาออกแล้ว นางแสยะยิ้ม “ข้าสนิทกับเสิ้นหมีมาก ของของเขาน่ะ ข้าแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเจ้าเป็นของเสิ้นหมีชัดๆ! ไม่น่าเชื่อว่าตาทิพย์ของเสิ้นหมีจะมาโผล่อยู่บนตัวเจ้า เขาคงจะสิ้นชีพไปแล้วสินะ?”


เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ที่สำคัญเป็นเพราะไม่รู้ว่านางเป็นสหายหรือศัตรูของเสิ้นหมีกันแน่ ถ้าพูดผิดแล้วอีกฝ่ายต้องการจะล้างแค้นให้เสิ้นหมีขึ้นมา แบบนั้นจะไม่เกิดปัญหาเหรอ


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)