ลำนำบุปผาพิษ 1395-1406
บทที่ 1395 เขาเป็นตัวปลอม 2
ถึงแม้หอเงาราตรีจะเป็นหน่วยสังหาร ทว่ามิได้สังหารคนส่งเดช พวกเขารับงานก็เลือกเป้าหมาย มิได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะชั่วช้าสามานย์ แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือว่าเป็นคนดีที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาวบ้าน…หากเป็นคนสองประเภทหลัง ให้เงินมากมายเท่าใด พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับงาน
ถึงแม้คนเหล่านี้ของหอเงาราตรีต่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ลูกน้องบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทว่าจิตใจพวกเขาก็มีความยุติธรรม มีขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน
สองปีมานี้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนั้นกลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ กระทำความผิด สร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้คนเป็นอย่างมาก
เดิมทีผู้คนเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากกว่าเกรงกลัว ยามนี้ผู้คนได้ยิน ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ ห้าคำนี้ต่างหวาดกลัว กระวนกระวาย แทบไม่กล้าเอื้อนเอ่ยห้าคำนี้ต่อหน้าผู้คน เกรงว่าหากพูดอันใดผิดไปแม้แต่คำเดียวจะถูกจับไปตัดหัว…
ดังเช่นเหตุการณ์ตัวอย่าง มีชาวบ้านเคยพูดคุยกันเรื่องทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่ร้านอาหาร ยังไม่ทันได้พูดอะไรที่ไม่ดี เพียงแค่เอ่ยถามข้อข้องใจไม่กี่ประโยค ก็ถูกลูกสมุนที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนจับตัวไป จากนั้นจับตัดลิ้นควักลูกตาประจานกลางลานกว้าง…
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง ผู้คนทั้งทวีปต่างตกตะลึง ฉากการเชือดไก่ให้ลิงดูนี้มีผลลัพธ์ที่น่าสะเทือนขวัญยิ่งนัก จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีกเลย
ทว่าในใจผู้คน ภาพลักษณ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแย่ลงเป็นพันจั้ง กล้าขุ่นเคืองทว่าไม่กล้าเอื้อนเอ่ย
ยามนี้ล้วนเป็นคนกันเอง อีกทั้งยังเป็นคนที่ถูกตามล่าสังหารมาตลอด ดังนั้นเมื่อทุกคนพูดคุยกันจึงไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด
“ทั้งหมดต้องโทษเซียนหญิงลี่หวางอะไรนั่น นางอ้างตัวเองว่าเป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมาคอยอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ต้องเป็นนางที่คอยยุยงอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
หลีเมิ่งซย่าฉีกยิ้มเย็นชา “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นคนที่ถูกคนอื่นยุยงได้โดยง่ายงั้นรึ? เซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นอ้างว่าดินแดนเบื้องบนส่งตัวเองลงมาช่วยเหลือทวีปแห่งนี้ แสร้งทำเป็นมีจิตใจเมตตาปานพระโพธิสัตว์ต่อหน้าผู้คน แต่การกระทำเยี่ยงอสูรร้าย ทำให้คนขนลุกขนพอง ข้าไม่เชื่อว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะแต่งฮูหยินเช่นนี้เข้ามา…”
ฝูงชนฝืนยิ้ม
เรื่องนี้…ก็พูดได้ยากจริงๆ ฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่ว่าผู้ใดจะซี้ซั้วปลอมตัวกันได้? ถึงแม้เทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ปรากฏกายสักครั้งในรอบหลายปี ทว่าตาเฒ่าเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แทบจะรู้ไปหมดทุกเรื่อง หากมีใครสักคนแอบอ้างเป็นฮูหยินของเขาเดินไปมาในโลกใบนี้ ซ้ำยังเดินอย่างสง่าผ่าเผย ตาเฒ่าจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ยามนี้แม้แต่ใบหน้าตาเฒ่ายังไม่ปรากฏออกมาให้เห็น และไม่ได้หยุดยั้ง เช่นนั้นก็แสดงว่าเขายอมรับในฮูหยินท่านนี้ไปโดยปริยาย
อย่างไรเสีย เซียนหญิงลี่หวางผู้นี้ก็งดงาม อีกทั้งยังเป็นเซียนหญิงจากดินแดนเบื้องบน บางทีคงมีแต่นางที่จะคู่ควรกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
ทุกคนกำลังพูดคุยพลางแทะเนื้อที่แห้งกร้าน ในขณะที่พูดคุยกันอย่างดุเดือด ก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันกลางอากาศ “ไม่รู้สำนึก! เวลาเยี่ยงนี้พวกเจ้ายังมีหน้ามาพูดคุยว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกผิดที่นี่อีก!”
สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ผลุงขึ้นมาพร้อมกัน มีสิบกว่าคนปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
ในสิบคนนั้นมีสัดส่วนที่ต่างกัน ทว่าสำหรับคนเหล่านี้ ทั้งสิบกว่าคนนี้ล้วนเป็นคนรู้จักคุ้นเคย
พวกเขาคือผู้อาวุโสคุมกฎของหอเงาราตรีทั้งเจ็ดกับสุดยอดมือสังหารทั้งหก! ผู้นำก็คือผู้อาวุโสคุมกฎเหลียง คนผู้นี้เที่ยงธรรม คุมกฎเข้มงวด จงรักภักดีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ก่อนหน้านี้เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลีเมิ่งซย่ามาโดยตลอด
ครานี้พวกหลีเมิ่งซย่าเกิดเรื่องขึ้น ถึงแม้ผู้อาวุโสเหลียงจะได้รับคำสั่งให้จับกุม ทว่าไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ปิดตาข้างเดียวมาโดยตลอด หลีเมิ่งซย่านึกไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏกายที่นี่ อีกทั้งยังนำผู้อาวุโสคุมกฎมาอีกหลายท่านด้วย…
สหายที่ร่วมต่อสู้กันมา วันนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู ทุกคนต่างไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
—————————————————————-
บทที่ 1396 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
มีเพียงมือสังหารแซ่จั่วท่านหนึ่งที่โมโหเดือดดาล “หลีเมิ่งซย่า ที่แท้คนทรยศอย่างพวกเจ้าก็มาหดหัวกันอยู่ที่นี่! สภาพน่าเวทนาเยี่ยงนี้ยังไม่รู้จักสำนึกผิด ซ้ำยังให้ร้ายท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เคราะห์ดีที่สวรรค์มีตา คนทำผิดต้องถูกสวรรค์ลงโทษ ครั้งนี้ข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก?! ถ้ายังรู้ว่าอะไรควรมิควรก็ยอมให้จับกุมเสียโดยดี! บางทีท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาจหลงเหลือซากศพไว้ให้เจ้า หากยังดึงดัน ปีหน้า วันนี้เวลานี้ก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของพวกเจ้า!”
คำพูดช่างโหดเหี้ยมเลวทราม หลีเมิ่งซย่ากลับไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา เพียงมองไปทางผู้อาวุโสเหลียง “ผู้เฒ่าเหลียง ท่านก็อยากจับกุมข้า?”
ดวงตาของผู้อาวุโสเหลียงเศร้าหมอง “ประมุขหลี มันเป็นหน้าที่ของข้า ต้องล่วงเกินท่านแล้ว” เขาออมมือมาหลายครั้งแล้ว ครานี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง
หลีเมิ่งซย่ากวาดตามองคนอื่นโดยรอบ “พวกเจ้าก็ต้องการลงมือ?”
คนอื่นบ้างก้มหน้า บ้างไม่พูดไม่จา ความจริงแล้วพวกเขาทั้งหลายต่างเป็นคนที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายส่งเสริมขึ้นมา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีบุญคุณที่ให้ชีวิตใหม่ พวกเขาย่อมจงรักภักดีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางทรยศเขา ถึงแม้รู้ดีว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำไม่ถูกต้อง ทว่าทำได้เพียงดำเนินการตามคำสั่งของเขาเท่านั้น…
กลับเป็นมือสังหารแซ่จั่วที่ไม่อาจอดกลั้น “พวกเขาย่อมต้องลงมือ หลีเมิ่งซย่า การจุดธูปร่วมสาบานของเจ้ากับพวกเขาไม่เพียงพอให้พวกเขาทรยศท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรอก!”
หลีเมิ่งซย่าเหลือบมองเขา “จั่วอิ๋นหู่ เจ้าเป็นคนที่ข้าเก็บกลับมาจากกองขอทาน วรยุทธ์ของเจ้าข้าก็สอนให้ ถือว่าเป็นอาจารย์ของเจ้ากึ่งหนึ่ง ตอนนั้นเจ้าพร่ำบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณข้า แวบไปมาอยู่ข้างกายข้าบ่อยๆ บอกว่าถึงแม้เสี่ยงตายก็จะปกป้องข้า…เจ้าตอบแทนบุญคุณเช่นนี้น่ะหรือ?!”
มือสังหารแซ่จั่วชื่อจั่วอิ๋นหู่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำแต่กลับเชิดขึ้น “งานคืองาน ส่วนตัวคือส่วนตัว ข้าไม่มีทางเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน ข้าจับกุมเจ้าเรียกว่าสังเวยเลือดเนื้อเพื่อความชอบธรรม! เลิกไร้สาระได้แล้ว จับกุมพวกเขา! ประมุขหยางมีคำสั่ง หากไม่ยอมให้จับกุมแต่โดยดีก็ฆ่าทิ้งเสียที่นี่!”
คำพูดหลายคำสุดท้ายเอาจริงเอาจังยิ่งนัก!
เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรต้องพูดจากันอีกต่อไปแล้ว สองฝ่ายเปิดฉากต่อสู้ ทันใดนั้นทรายหินภายในค่ายหินนี้พลันโบยบิน ไอสังหารปกคลุมไปทั่วท้องนภา เงาร่างพลิกโบยบิน ทักษะต่างๆ ปะทุออกมา…
หลีเมิ่งซย่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหอเงาราตรี ผู้อาวุโสทั้งสามที่หนีออกมากับนาง ผู้คุมกฎทั้งสี่ล้วนเป็นปรมาจารย์ในหมู่ปรมาจารย์ หากดำเนินต่อไป คนเหล่านี้ที่ผู้อาวุโสเหลียงพามาคงไม่อาจจับกุมพวกเขาได้
ทว่าพวกหลีเมิ่งซย่าอาศัยอยู่ในสถานที่ผีสางมาเป็นเวลานาน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใช้พลังงานมากมาย ความจริงแต่ละคนอ่อนแอกันยิ่งนัก
ส่วนคนที่ผู้อาวุโสเหลียงพามามีจำนวนมากกว่าพวกหลีเมิ่งซย่าเป็นเท่าทวี อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือของหอเงาราตรี เลือกใครสักคนหนึ่งออกหน้าก็เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อพันทั้งนั้น พลังของพวกเขายังสมบูรณ์แข็งแกร่งทั้งหมด อีกทั้งเตรียมตัวกันมาพร้อม ยามนี้เมื่อเปิดฉากต่อสู้ พวกหลีเมิ่งซย่าย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…
มีคนบาดเจ็บและถูกจับกุมตามลำดับ ผู้อาวุโสเหลียงยังคงเห็นแก่มิตรภาพของพวกเขา ไม่ได้ลงมือสังหาร มิเช่นนั้น เกรงว่าจะมีทั้งคนเจ็บและคนตายไปแล้ว…
คนข้างกายของหลีเมิ่งซย่าน้อยลงเรื่อยๆ ทว่านางเป็นคนกล้าหาญองอาจ เมื่อใดที่ยอมเสี่ยงชีวิตแล้ว เช่นนั้นก็มีความกล้าหาญไร้ผู้ใดทาน
ทุกคนไม่ต้องการสังหารนางจริงๆ จึงทำอะไรนางไม่ได้ไปชั่วขณะ ถูกนางทำให้บาดเจ็บไปหลายคน
เคราะห์ดีที่นางก็ไม่ได้มีจิตใจอยากฆ่าฟันจริงๆ แค่เพียงทำร้ายแต่ไม่เข่นฆ่า
จั่วอิ๋นหู่เป็นคนของประมุขหยาง เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อควบคุมงานเป็นหลัก เขาคอยตะโกนสั่งการให้ทุกคนลงมืออย่างเหี้ยมโหด แต่บารมีเขายังไม่มากพอ ไม่มีผู้ใดรับฟัง ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
วรยุทธ์ของเขายังห่างไกลกับหลีเมิ่งซย่ายิ่งนัก ตัวเขาเองก็ไม่กล้าเข้าไปเสี่ยง
บทที่ 1397 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 2
เขาเกรงว่าครั้งนี้จะคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง จึงตัดสินใจดึงคนที่ถูกจับไว้ จี้ดาบไปที่ลำคอเขา ตะโกนไปทางหลีเมิ่งซย่าอย่างดุดัน “หลีเมิ่งซย่า หากเจ้ายังดึงดันต่อสู้หลังชนฝาอีกต่อไป ข้าจะฆ่าเขาเสีย! เขาหนีมาด้วยกันกับเจ้า เจ้าทนเห็นเขาสิ้นชีพที่นี่ได้งั้นรึ?”
ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนสี ผู้อาวุโสเหลียงขมวดคิ้ว “จั่วอิ๋นหู่ เจ้าทำอะไร? เขาถูกจับกุมแล้ว ใช้เขาบีบบังคับนับว่าเป็นผู้กล้าที่ไหนกัน?”
“ปล่อยเขา!” มีคนตะโกนขึ้นมา
ใบหน้าจั่วอิ๋นหู่เย็นชา “หรือว่าพวกเจ้าก็ต้องการต่อต้าน?! ต้องการทรยศท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นกัน?!”
ทุกคนพูดไม่ออก
ผู้อาวุโสเหลียงกล่าว “นี่ไม่เกี่ยวกับความจงรักภักดีต่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! คนที่ถูกจับกุมได้แล้วไม่มีเหตุผลอันใดที่จะถูกบีบบังคับอีก!”
จั่วอิ๋นหู่พูดอย่างเย็นชา “พวกเขาต่อต้านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ย่อมมีโทษประหารชีวิตอยู่แล้ว ประมุขหยางก็พูดไว้ ให้ฆ่าทิ้งเสียที่นี่ได้! ประมุขหยางให้ข้าเฝ้าดูพวกเจ้า ให้พวกเจ้าพยายามจนถึงที่สุด ยามนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าลงมือกันอย่างมีเยื่อใย เช่นนี้ไม่ได้! หากผู้ใดปริปากพูดอีกคำเดียว ข้ากลับไปจะรายงานประมุขหยางตามความเป็นจริงทุกประการ คอยดูเถอะประมุขหยางจะลงโทษพวกเจ้า!”
ทุกคนแน่นิ่ง
พวกเขาต่างรู้ดีว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกำลังให้ความสำคัญกับประมุขหยาง ถึงแม้พวกตนไม่ชื่นชอบประมุขหยาง ทว่าก็ทำได้เพียงขุ่นเคืองแต่มิอาจเอื้อนเอ่ย คนผู้นั้นยังใจแคบ อาฆาตแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย…
จั่วอิ๋นหู่เห็นทุกคนตะลึง สายตาอำมหิตก็มองไปยังหลีเมิ่งซย่าที่ยังต่อสู้ “ข้านับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ยอมจำนนแต่โดยดี หัวของเขาได้หลุดจากบ่าแน่! หนึ่ง!”
เสียงนับประหนึ่งเร่งเอาชีวิต สีหน้าหลีเมิ่งซย่าซีดเผือด ในที่สุดก็ยอมแพ้ แส้ยาวสีแดงเลือดในมือร่วงลงพื้น หลุบตาพูด “หยุด! ช่างเถิด!”
จั่วอิ๋หู่พึงพอใจยิ่งนัก ร่างเขาว่องไวปานสายฟ้าแลบ พุ่งตรงไปทางหลีเมิ่งซย่าทันที นิ้วมือร้ายกาจดังงูพิษกดไปใต้ซี่โครงของหลีเมิ่งซย่า
หากกดตรงจุดนั้น หลีเมิ่งซย่าไม่เพียงถูกจับกุม พลังวิญญาณในร่างกายก็จะถูกทำลาย ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้อีก
สีหน้าคนอื่นแปรเปลี่ยน เพียงแต่สายเกินไปที่จะช่วยเหลือแล้ว
หลีเมิ่งซย่าหลับตาลง ไม่คิดหลบหนีสักนิดเดียว และในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ลำแสงสีขาวพลันพาดผ่านเข้ามา!
ลำแสงสีขาวนั้นปรากฏขึ้นกะทันหัน เมื่อจั่วอิ๋นหู่รู้สึกตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว ลำแสงสีขาวก็ตัดผ่านมือของเขาที่กดลงไป…
เลือดสาดกระเซ็น จั่วอิ๋นหู่ร้องโหยหวน มือขวาทั้งมือถูกลำแสงสีขาวตัดขาดร่วงหล่น!
“ใครกัน?! ไอ้สารเลวหน้าไหนกล้ามาลอบทำร้ายข้า?!” จั่วอิ๋นหู่เดือดดาลภายใต้ความเจ็บปวด ส่งเสียงตะโกนอย่างดุดัน
เขายังคิดว่าคนข้างกายของหลีเมิ่งซย่าลอบทำร้ายเขา สายตาจึงมองไปทางพวกเขาก่อน
นึกไม่ถึงว่าสายตาของคนเหล่านั้นต่างมองตรงไปที่บริเวณไม่ไกลเบื้องหลังเขา คล้ายประหลาดใจ คล้ายสุขใจ อีกทั้งคล้ายหวาดกลัว ท่าทีแปลกยิ่งนัก
ส่วนสายตาคนฝั่งเขาทางนี้ก็มองไปทิศทางนั้นเช่นกัน จากนั้นอ้าปากเล็กน้อย พวกเขาตะลึงงัน
หลีเมิ่งซย่าลืมตาขึ้นมองไปทางนั้นอย่างตกตะลึง ริมฝีปากสั่นเครือ
จั่วอิ๋นหู่เพียงรู้สึกหนังศีรษะเหน็บชา เขาหันกายมองไปทิศทางนั้นในทันที ตะลึงงันอยู่ไม่กี่วินาทีก็พลันโพล่งออกมา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
บริเวณไม่ไกลเบื้องหลังเขา คนสวมหน้ากากอาภรณ์ม่วงกับสตรีนางหนึ่งยืนสง่างามอยู่ตรงนั้น
อาภรณ์ม่วงปลิวไสว หน้ากากเงินทอประกาย ภายในดวงตาดังขุนเขาวารีคดเคี้ยว ยามนี้กำลังเหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา หน้ากากบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นริมฝีปากบางๆ ยามนี้ริมฝีปากบางนั้นหยักยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มคล้ายเกียจคร้านและสบายอารมณ์
สตรีที่ยืนอยู่ข้างกายเขาอาภรณ์สีคราม สง่าดังเซียนสวรรค์ เย็นชาทว่างดงาม
ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วมาถึงแล้ว
ตี้ฝูอีไม่แม้แต่จะมองจั่วอิ๋นหู่ สายตาร่อนลงบนร่างหลีเมิ่งซย่า “ประมุขหลี สบายดีหรือไม่?” น้ำเสียงแฝงความอบอุ่น
———————————————————————
บทที่ 1398 ตาเฒ่าอย่างท่านในที่สุดก็กลับมาแล้ว!
หลีเมิ่งซย่ามองเขาตาไม่กะพริบ และมองกู้ซีจิ่ว เดินหน้าสองก้าวแล้วถอยหลังอีกหนึ่งก้าว คล้ายประหลาดใจ คล้ายตื่นเต้น อีกทั้งคล้ายกับไม่เชื่อ พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่าน…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?!”
ปลายนิ้วตี้ฝูอีมีป้ายหยกปรากฏออกมา หมุนวนอยู่ตรงนั้น “ประมุขหลี ป้ายหยกที่ข้าให้เจ้าเล่า? ก่อนหน้านี้ข้าบอกไว้ไม่ใช่หรือ ศีรษะขาดโลหิตหลั่งได้ ทว่าป้ายหยกไม่อาจสูญหาย?”
สายตาหลีเมิ่งซย่าพลันวาบไหว น้ำตาไหลพราก กระโจนไปอย่างดุดัน คุกเข่าลงต่อหน้าตี้ฝูอี แทบอยากจะไปกอดขาเขา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! ท่านมาแล้ว! เมิ่งซย่ารู้ดีว่าคนผู้นั้นเป็นตัวปลอม!”
ตี้ฝูอีใช้วิชาชำระล้างบนตัวนาง ในที่สุดก็ได้เห็นใบหน้าดังแมวลายตัวใหญ่ที่แท้จริงของหลีเมิ่งซย่า เมื่อสักครู่ตอนสถานการณ์ที่สิ้นหวังไม่เสียน้ำตาสักหยด ซ้ำยังดุร้ายดังหมาป่า เวลานี้กลับส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! เมิ่งซย่าคิดถึงท่านมาก! ฮือๆๆๆ”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอมองหลีเมิ่งซย่าที่เคยมีพลังและมีชีวิตชีวาท่านนี้ ยามนี้กลับมอมแมมไปทั้งตัว ความสกปรกบนร่างกายถึงแม้จะถูกชำระล้างไปแล้ว ทว่าหลังจากผ่านความยากลำบากมาเนิ่นนาน ผิวพรรณจึงหยาบกร้าน เส้นผมยุ่งเหยิงดังรังนก ตอนนี้น้ำตาไหลรินเป็นสายธาร ร้องไห้อย่างกับเด็กน้อย
นางร้องไห้พลางรายงาน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ป้ายหยกถูกเจ้าคนผู้นั้นที่ปลอมตัวเป็นท่านทำลายแล้ว เขาบอกว่าต้องบอกลาอดีต ทั้งหมดต้องเปลี่ยนแปลง…”
ผู้อาวุโสกับยอดฝีมือที่ต่อต้านด้วยกันกับหลีเมิ่งซย่ายังถูกมัดไว้ตรงนั้น แขนเสื้อตี้ฝูอีพลันสะบัด ลำแสงสีขาวสาดส่อง จุดสกัดบนร่างกายของพวกเขาถูกคลายออก เชือกขาด เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้รู้แจ้งว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวจริง เป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคย แต่ละคนตื่นเต้นยิ่งนัก ทันทีที่ถูกปลดปล่อยก็คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ชายร่างสูงแปดฉื่อน้ำตาไหลอาบแก้ม โขกศีรษะคารวะไปทางเขา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! ตาเฒ่าอย่างท่านในที่สุดก็กลับมาแล้ว!
เหล่าผู้อาวุโสคุมกฎที่มาจับกุมต่างตกตะลึงเช่นกัน มองหน้ากันเหลอหลา
มองดูพวกตี้ฝูอี แล้วมองพวกหลีเมิ่งซย่าอีกครั้ง จากนั้นสายตาหมุนกลับมาอีกครั้ง ร่อนลงบนร่างของตี้ฝูอี…
ท้ายที่สุดคล้ายระลึกบางอย่างขึ้นมาได้ ต่างทยอยก้าวขึ้นมาคารวะ
จั่วอิ๋นหู่ทึมทื่อไปชั่วขณะ สีหน้าเขาเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีด จากนั้นคล้ายตกตะลึง ตบหน้าขาไปหนึ่งฉาด “สวรรค์ ที่แท้ที่ประมุขหลีพูดถูกต้อง มีคนปลอมตัวเป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจริงๆ พวกเราต่างโง่งม ถูกหลอกลวงกันหมดแล้ว! คารวะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
เขาก็ตามทุกคนไปโขกศีรษะคารวะ เขาคุกเข่าลงไปแล้วกลับลุกไม่ขึ้น เนื่องจากตอนกำลังจะลุกขึ้นมีแรงกดดันไร้รูปลักษณ์กลางอากาศกดทับตัวเขา ทำให้เขาลุกขึ้นมาไม่ได้
เสียงของตี้ฝูอีดังขึ้นอย่างราบเรียบ “คนขายสหายเพื่อลาภยศละทิ้งคุณธรรม คู่ควรมาคุกเข่าต่อหน้าข้า คู่ควรมีชีวิตอยู่อีกรึ?”
ทั้งที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยืนอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด ทว่าร่างของจั่วอิ๋นหู่เสมือนถูกกดทับด้วยภูเขาลูกหนึ่ง ทำให้ร่างกายเขาโค้งงอลง หมอบอยู่ตรงนั้นเหมือนสุนัข
เขาถูกกดทับจนหายใจไม่ออก ตื่นตระหนกจนใบหน้าถอดสี ฝืนดิ้นรนเอ่ยว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ามีตาหามีแววไม่ จำท่านผิดไป ข้าสำนึกผิดแล้ว แต่ตัวปลอมผู้นั้นเหมือนท่านมากจริงๆ ข้าน้อยถูกหลอกลวง การตามล่าสังหารประมุขหลีก็ทำไปตามคำสั่ง…”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเยือกเย็นดุจธารน้ำแข็ง “ทำตามคำสั่งมิผิด แต่ประมุขหลีมีบุญคุณชุบเลี้ยงเจ้ามา เจ้าจับกุมนางก็เพียงพอแล้ว ยังจะมากำเริบเสิบสานหน้าไม่อาย นี่คือท่าทีที่เจ้ามีต่อผู้มีพระคุณรึ? สาวกที่ไม่มีศีลธรรมเมตตาธรรมเยี่ยงนี้ จะอยู่ในหอเงาราตรีต่อไปได้อย่างไร?”
จั่วอิ๋นหู่อ้าปากค้าง เหงื่อออกปานสายฝน เอื้อนเอ่ยว่า “ข้าน้อย…ข้าน้อย…”
บทที่ 1399 เจ้าคนไร้มโนธรรม ตายซะ!
ตี้ฝูอีหยักยิ้มมุมปากนิดๆ เหลือบมองหลีเมิ่งซย่าแวบหนึ่ง “เขาเป็นคนของเจ้า มอบให้เจ้าแล้วกัน”
หลีเมิ่งซย่าเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นมา หยิบแส้ยาวขึ้นมาถือ ชี้ไปที่จั่วอิ๋นหู่ “คนแซ่จั่ว มาดวลกันตัวต่อตัว! ถ้าชนะประมุขอย่างข้าได้เจ้าสามารถสะบัดก้นไสหัวไปได้ ถ้าแพ้ก็มอบชีวิตมาซะ!”
จั่วอิ๋นหู่ถอยหลังไป “ข้า…นี่ไม่ยุติธรรม มือข้าบาดเจ็บข้างหนึ่ง…”
หลีเมิ่งซย่าก็เด็ดเดี่ยวเช่นกัน ดึงสายรัดเอวออกมามัดแขนขวาของตนไพล่หลังไว้ ถือแส้ด้วยมือซ้าย “แม่เฒ่าก็จะใช้แขนเดียว!”
จั่วอิ๋นหู่พูดไม่ออกเลย
เขาทราบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีใจสังหารเขาแล้ว และผู้คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เขาก็ล่วงเกินไปแล้วเช่นกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยขอความเมตตาให้เขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเอาชนะหลีเมิ่งซย่าให้ได้คือทางรอดเดียวของเขา
เขาทำได้เพียงตอบรับการดวล ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน
กู้ซีจิ่วยืนมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “ไม่นึกเลยว่าวิชาแส้มือซ้ายของประมุขหลีจะยอดเยี่ยมปานนี้!”
แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบเอวเธอไว้ “ประมุขของหอเงาราตรีย่อมมิใช่พวกถือศีลกินเจ”
หลีเมิ่งซย่าที่ยุ่งมือเป็นระวิงยังคงแย้มยิ้มอวดฟันขาวเงางามทีหนึ่ง “ขอบคุณคำชื่นชมของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
จั่วอิ๋นหู่ยิ่งสู้ยิ่งใจฝ่อ ร้องออกมา “ไม่ยุติธรรม! เดิมทีเจ้าก็ถนัดใช้แส้มือซ้ายอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ได้รับบาดเจ็บ…”
มีคนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “จั่วอิ๋นหู่ เจ้าก็ถนัดกระบี่มือซ้ายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?! ถึงแม้มือขวาของเจ้าจะบาดเจ็บ แต่ก็มิได้เหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ออกแรงเลยสักนิดเลยด้วยซ้ำ แต่ก่อนหน้านี้ประมุขหลีต่อสู้มาแล้วยกหนึ่ง แทบจะเสื่อมทรุดเป็นม้าตีนปลายแล้ว เจ้าได้เปรียบมากกว่าด้วยซ้ำ!”
จั่วอิ๋นหู่เงียบไป ไม่พูดอะไรอีก
ถึงแม้หลีเมิ่งซย่าจะอยู่ในสภาพจนตรอก แต่ตัวคนกลับคึกคักฮึกเหิมปานฉีดเลือดไก่มา ราวกับกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งที่เพิ่งถูกลับคมเสร็จ แผ่ประกายดุดันออกมา โจมตีใส่จั่วอิ๋นหู่ที่ประหนึ่งลูกเสือน้อยตรงตีนเขา รุนแรงดุจพายุโหมกระหน่ำ…
อันที่จริงพละกำลังของทั้งสองในยามนี้ไม่ต่างกันนัก แต่จั่วอิ๋นหู่กลับไม่มีความสามารถเท่าหลีเมิ่งซย่า
“ไอ้คนไร้มโนธรรม ตายซะ!”
“ไอ้คนสังหารพวกพ้อง ตายซะ!”
“ไอ้คนเนรคุณ ตายซะ!”
“ไอ้คนใจคด ตายซะ!”
ทุกครั้งที่หลีเมิ่งซย่าฟาดแส้ใส่จั่วอิ๋นหู่ จะต้องร้องด่าเสมอ ท้ายที่สุดแล้ว จั่วอิ๋นหู่ก็ถูกนางฟาดจนสิ้นชีพ ร่างคนถูกฟาดจนลายพร้อยเหมือนเสือลายพาดกลอน บนร่างเต็มไปด้วยรอยแส้ตัดสลับกันไปมา แม้แต่ดวงวิญญาณก็ถูกปลิดไปแล้ว หลังจากศพร่วงลงพื้น ดวงวิญญาณก็ค่อยๆ หลุดลอยออกมา
คนอื่นมองไม่เห็น ทว่ากู้ซีจิ่วมองเห็น เธอยื่นมือออกไปหมายจะทำอะไรบางอย่าง ตี้ฝูอีกลับจับมือเธอไว้ “อย่าทำให้มือเจ้าสกปรกเลย” พลางสะบัดแขนเสื้อไปทางดวงวิญญาณนั้น ลำแสงสีขาวโอบล้อมดวงวิญญาณไว้ แผดเผาให้เป็นจุณทันที
ยามนี้พวกผู้อาวุโสเหลียงพากันขอรับโทษจากตี้ฝูอีแล้ว แต่ละคนหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ตี้ฝูอีกลับไม่โทษพวกเขา ถึงอย่างไรพวกเขาก็ภักดีต่อตนเช่นกัน เพียงถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหลอกต้มเท่านั้น
ในที่สุดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงก็เผยโฉมแล้ว ยังคงแข็งแกร่งเช่นในอดีต และเป็นแบบที่พวกเขาคุ้นเคย ทุกคนย่อมตื่นเต้นคึกคัก อันที่จริงไม่กี่ปีมานี้ทุกคนล้วนกล้ำกลืนฝืนทน กล้าขุ่นเคืองเพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยเอื้อนก็เท่านั้น
ตอนนี้ในที่สุดก็ได้พบนายที่แท้จริงของตน ทุกคนมีแกนนำแล้ว ต่างพากันบอกเล่าเรื่องราวอันไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกระทำในไม่กี่ปีมานี้ออกมา
เมื่อตี้ฝูอีทราบจากปากของพวกเขาย่อมจับข้อมูลบางส่วนได้อีกครั้ง
เขาและกู้ซีจิ่วต่างรับฟังอย่างเงียบๆ นานๆ ครั้งจะเอ่ยถามสักประโยคและเป็นการถามอย่างตรงประเด็น
ถึงแม้ยามที่คนเหล่านี้อยู่ที่นั่นจะไม่ฝักใฝ่ในตัวทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของหอเงาราตรี ข่าวสารที่ทราบย่อมมากมายกว่าชาวบ้านด้านนอกมากนัก
กู้ซีจิ่วนำข้อมูลเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกัน สรุปออกมาได้ไม่กี่ข้อ
———————————————————————-
บทที่ 1400 ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกับเซียนหญิงลี่หวางนางนั้นมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกระทำเรื่องชั่วช้าไร้มนุษยธรรม ทำเรื่องที่สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคือง ประการแรกคือเพื่อยึดอำนาจ ท่าทางสังหารล้มล้างคนเก่าๆ ของตี้ฝูอี ผลักดันคนของตนขึ้นมา เตรียมพร้อมสำหรับตำแหน่งที่แท้จริงของเขา
ประการที่สองเขาน่าจะฝึกฝนวิชายุทธ์ชั่วร้ายอันใดสักอย่าง ซึ่งต้องการไอพยาบาทของมนุษย์ อีกทั้งวิชาที่เขาฝึกฝนน่าจะประสบความสำเร็จยิ่งนัก วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้อย่างน้อยก็คงบรรลุขั้นสิบแล้ว…
ประการที่สาม พวกมู่เฟิงน่าจะถูกบางอย่างควบคุมไว้ ยังมีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นหุ่นเชิดข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไปแล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสั่งให้ทำอะไรพวกเขาก็ทำอย่างนั้น แถมพฤติกรรมของพวกเขาดูเผินๆ แล้วไม่แตกต่างอะไรจากยามปกติ นี่ถึงทำให้ตอนแรกกลุ่มของหลีเมิ่งซย่าหลงกลไปด้วย มอบป้ายหยกคืนให้ และเกือบจะเชื่อฟังคำสั่งกระทำเรื่องเข่นฆ่าสังหารประชาชนบริสุทธิ์ด้วย…
ประการที่สี่ เครื่องจักรสังหารที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสร้างขึ้นคล้ายคลึงกับเล่ห์กลของหลงฟั่นที่สร้างผีดิบเหล่านั้นขึ้นมาเมื่อแปดปีก่อน และบางทีอาจเป็นรุ่นวิวัฒนาการของผีดิบเหล่านั้นด้วย…
ประการที่ห้า ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมักจะอ้างคำสั่งเทพศักดิ์สิทธิ์มากระทำเรื่องราว ทำให้สานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ เชื่อฟังเขา ขายชีวิตให้เขา ผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะถูกลงทัณฑ์โทษฐานขัดขืนต่อโองการของเทพศักดิ์สิทธิ์ เชียนเยวี่ยหร่านเนื่องจากเคยขัดขืนไปครั้งหนึ่ง จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้าสำนักเก้าดารา จากไปด้วยความโกรธ ไม่ทราบตำแหน่งแห่งหนอีกเลย
ทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยไม่ไถ่ถามเรื่องทางโลกอย่างสิ้นเชิง เร้นกายสันโดษอยู่ในวังของเขา ไม่โผล่หน้าออกมานับปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
สำนักถามสวรรค์ของหลงซือเย่ปีก่อนเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ถูกเผาวอดวายจนเหลือเพียงที่โล่ง หลงซือเย่กับเหล่าศิษย์ของเขาเร่งรีบสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ ไม่ได้เข้าร่วมสงครามอันใดในยุทธภพ
ในบรรดาสำนักเหล่านี้ มีเพียงสำนักหยินหยางที่ไม่ได้รับผลกระทบ เจ้าสำนักฮวาอู๋เหยียนขึ้นตรงต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม หากมิได้ปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ก็น่าจะถูกอะไรบางอย่างควบคุมไว้เช่นกัน
ส่วนสำนักน้อยใหญ่ที่เหลือ ส่วนใหญ่ที่เคยจงรักภักดีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้นำตระกูลบ้างก็ถูกลอบสังหารบ้างก็หายสาบสูญ ส่วนใหญ่ล้วนถูกเปลี่ยนตัวแล้ว เหมือนกับหอเงาราตรี เปลี่ยนให้คนที่ภักดีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมอย่างสิ้นเชิงขึ้นครองตำแหน่งแทน…
สรุปคือ ทวีปซิงเยวี่ยในยามนี้ร้อนเป็นไฟไปทุกหัวระแหง เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า โกลาหลวุ่นวายอย่างยิ่ง!
สุดท้ายหลีเมิ่งซย่าทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาอีกหน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หลายปีนี้สรุปแล้วท่านไปอยู่ที่ไหนมา? เจ้าตัวปลอมนั่นแอบอ้างเป็นท่านกระทำเรื่องชั่วช้ามากมายขนาดนี้ ทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของท่านจนป่นปี้ไปหมดแล้ว ชาวบ้านร้านตลาดปากไม่ว่าอะไร แต่ในใจน่าร้องด่าไปถึงมารดาตั้งนานแล้ว!”
ในใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างรู้สึกผิด หากมิใช่เพราะเธอหนีงานแต่งครั้งนั้น ตี้ฝูอีก็คงไม่ต้องติดตามไปด้วยสนใจความเป็นความตาย แล้วถูกขังอยู่ในตาค่ายแห่งนั้นนานถึงแปดปี
นึกไม่ถึงว่าการหนีของเธอในปีนั้น จะก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นใหญ่โตถึงเพียงนี้…
หากรู้เช่นนี้แต่แรก เธอคง…
เธอมองตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ตี้ฝูอีไม่ได้มองเธอ เอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่เป็นเคราะห์จากสวรรค์ โชคดีที่ข้าออกมาไม่สายเกินไป ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์อยู่ พวกเจ้าจงฟังคำสั่งข้า…”
เขาเริ่มมอบหมายหน้าที่ให้อย่างรวดเร็ว
ยามนี้ฝูงชนมีแกนนำแล้ว แต่ละคนย่อมฮึกเหิมคึกคัก ถึงแม้โลกในยามนี้จะค่อนข้างวุ่นวายจนน่าบัดซบอยู่บ้าง แต่ในเมื่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกมาแล้ว พวกเขาก็มองเห็นความหวัง! พากันตอบรับคราหนึ่ง แล้วไปปฏิบัติตามคำสั่ง
บ้างก็ไปค้นหาที่อยู่ของเชียนเยวี่ยหร่าน บ้างก็ไปติดต่อกับทูตสวรรค์ฝ่ายขวา บ้างก็ไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ บ้างก็ไปติดต่อกับอดีตผู้นำของตระกูลที่สืบทอดกันมานับพันปีเหล่านั้น
แน่นอนว่ายามนี้ทุกคนยังไม่เหมาะจะเผยตัว เรื่องเหล่านี้ต้องกระทำอย่างลับๆ ฉากหน้าจะเผยร่องรอยไม่ได้
หลีเมิ่งซย่าคันไม้คันมืออยากออกโรง ท่าทางพร้อมประจัญบาน “มารดามันเถอะ ไอ้สารเลวผู้นั้นกล้างแอบอ้างเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
บทที่ 1401 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า!
หลีเมิ่งซย่าคันไม้คันมืออยากออกโรง ท่าทางพร้อมประจัญบาน “มารดามันเถอะ ไอ้สารเลวผู้นั้นกล้าแอบอ้างเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ทำให้คนมากมายต้องทุกข์ทนขมขื่น ครั้งนี้ถ้าฆ่าไม่ได้ข้าจะไม่ใช่แซ่หลีอีก! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เมิ่งซย่าต้องทำอะไรเจ้าคะ เชิญสั่งการมาได้เลย!”
….
สองปีมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่ได้พำนักที่วังค้ำนภา กล่าวกันว่ารังเกียจที่วังค้ำนภาคับแคบไป และเป็นเพราะฮูหยินของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องการแหล่งพำนักที่คู่ควร
มีคนเสนอให้รื้อถอนวังค้ำนภาและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบออกแล้วสร้างขึ้นใหม่ แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมปฏิเสธข้อเสนอนี้ บอกว่าจะเก็บวังนี้ไว้ชั่วคราว นอกจากนี้เขาได้เลือกสรรสถานที่ฮวงจุ้ยมงคลกวาดต้อนช่างฝีมือหนึ่งแสนคนมาสร้างวังอีกหลัง ใหญ่เป็นสองเท่าของวังค้ำนภา ไม่มีผู้ใดทราบว่าการตกแต่งด้านในเป็นอย่างไร เนื่องจากหลังจากสร้างวังแห่งนี้เสร็จช่างฝีมือหนึ่งแสนคนนั้น ก็หายสาบสูญไปทั้งหมด ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยสักคน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าถามเช่นกัน ลือกันว่าเคยมีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งสอบถามไปประโยคเดียว วันต่อมาก็ป่วยหนักจนถึงแก่ความตาย
พวกหลีเมิ่งซย่าก็เคยลอบเข้าไปสำรวจที่นั่นมาแล้ว ผลคือแม้แต่ประตูใหญ่ก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ ตามที่หลีเมิ่งซย่าบอกคือ วังแห่งนั้นเสมือนเขาวงกตขนาดใหญ่ กำแพงไม่เพียงแต่สูงเท่านั้น ยังคล้ายว่าจะซ่อนเร้นอยู่ในม่านหมอกสลัวด้วย ผู้คนที่สัมผัสกำแพงนั้นจะหลงทิศหลงทางทันที…
การตรวจสอบครั้งนั้นของพวกหลีเมิ่งซย่าไม่เพียงแต่เข้าไปไม่ได้เท่านั้น ยังหวิดจะถูกดึงดูดเข้าไปในม่านหมอกนั้นด้วย…
ยามที่หลีเมิ่งซย่าเอ่ยถึงเหตุการณ์เหล่านี้กับตี้ฝูอี ได้เข้าสู่เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงแล้ว
ไม่ได้กลับมาแปดปี เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย แปรเปลี่ยนเป็นอลังการละลานตาขึ้นกว่าเดิมมาก!
ตลอดเส้นทางที่ทุกคนเดินทางมา ทั้งหมดที่พบเห็นล้วนเป็นผู้อพยพที่พลัดถิ่นฐานบ้านเกิดและบ้านเรือนที่ชำรุดทรุดโทรม นึกไม่ถึงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะยังคงรุ่งเรืองอยู่ ขอทานสักคนก็ไม่เห็นเลย
หลีเมิ่งซย่าเอ่ยเสียงต่ำ “ไอ้ตัวปลอมคนนั้นให้หรงเจียหลัวออกราชโองการ ขับไล่คนยากจนทั้งหมดออกจากเมืองหลวง อนุญาตให้เข้ามาอาศัยอยู่ได้เพียงชนชั้นกลางหรือไม่ก็คนในตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ดังนั้นที่นี่จึงดูเจริญรุ่งเรือง…เพียงแต่วันคืนของคนเหล่านี้ก็ไม่ง่ายเลย ราชสำนักจะเรียกเก็บภาษีทุกสามวัน ชนชั้นกลางอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็จะตกอับยากจน จากนั้นก็ถูกขับไล่ออกไป…”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนเหล่านั้นยินยอมถูกราชสำนักเอาเปรียบถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หลีเมิ่งซย่ายิ้มขมขื่นแล้วเอ่ยตอบ “ไม่ยินยอมแล้วจะทำอะไรได้? ไม่ยินยอมก็ต้องถูกไล่ออกจากเมือง และยามนี้ทั้งแผ่นดินล้วนทุกเป็นไฟทั่วหัวระแหง มีเพียงที่นี่ที่ยังคงสงบสุขอยู่บ้าง แม้ว่าภาษีจะสูงจนเกินเหตุ แต่ดีร้ายอย่างไรก็รับประกันได้ว่าชีวิตจะปลอดภัย ผู้ที่ไม่ยินยอมมากมายอพยพออกไปได้ไม่ถึงสองวันก็ถูกคนพบว่าสิ้นชีพอยู่ในท้องนา ตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก และทรัพย์สินทั้งหมดบนตัวของพวกเขาก็ไม่เหลืออยู่เลย…”
กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าคนเหล่านั้นถูกราชสำนักส่งคนไปลอบสังหาร จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
เมื่อถูกคนบ้าผู้หนึ่งกุมอำนาจไวเบ็ดเสร็จ นั่นแหละคือเรื่องน่าสะพรึงที่สุดโดยแท้!
เมืองหลวงแห่งนี้เข้าไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีหนังสือศุลกากร เอกสารแสดงตัวและสิ่งของจุกจิกอีกมากมาย
โชคดีที่หลีเมิ่งซย่ามีเส้นสาย ของเหล่านี้ล้วนเตรียมมาแล้ว และกู้ซีจิ่วก็ชำนาญวิชาแปลงโฉม ดังนั้นทั้งสามคนจึงปลอมตัวเป็นคหบดีคนหนึ่งในเมืองหลวงและครอบครัวของเขา
ตี้ฝูอีปลอมตัวเป็นรองอธิบดีกรมที่ดูมีสง่าราศี
ส่วนกู้ซีจิ่วปลอมเป็นอนุคนงามของเขา ยังคงงดงามหยาดเยิ้ม
หลีเมิ่งซย่าก็ปลอมเป็นสาวใช้ของคนทั้งสอง นัยน์ตาขาวดำตัดกันชัดเจน ดูมีชีวิตชีวายิ่ง
ทั้งสามคนไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง สั่งอาหารมาหนึ่งโต๊ะ หลีเมิ่งซย่าหนีหัวซุกหัวซุนอยู่หลายเดือน แทบไม่รู้รสชาติของเนื้อแล้ว เมื่อเห็นเห็นจานผักจานเนื้อโต๊ะนี้ ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมา รีบกินอย่างเปรมปรีดิ์ทันที
ขณะที่ทั้งสามกำลังกินอยู่ พลันได้ยินเสียงที่ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใดตะโกนมาจากด้านนอกว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า!”
————————————————————
บทที่ 1402 ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า!”
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า…”
ทีแรกเสียงนั้นอยู่ไกลยิ่งนัก แต่กลับแว่วใกล้เข้ามาเป็นทอดๆ ราวกับขบวนเสด็จของจักรพรรดิยามออกเยี่ยมเยือนด้านนอก มีเสียงขานเสด็จกันเป็นทอดๆ
เมื่อมีเสียงตะโกนครั้งแรกดังขึ้น ประชาชนที่เดิมทีสัญจรอย่างพลุกพล่านอยู่สองฟากท้องถนน แขกเหรื่อที่กำลังทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม แม้กระทั่งพนักงานที่กำลังรินน้ำให้ลูกค้าได้เพียงครึ่งเดียว…คนทั้งหมดล้วนละทิ้งเรื่องที่สาละวนอยู่ ราวกับต้นกล้าที่ถูกสายลมกรรโชกพัดกวาด พากันคุกเข่าไปในทิศทางเดียวกัน ยังไม่ทันเห็นรถม้าของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น ฝูงชนก็คุกเข่าลงไปแล้ว…
ผักยังคงผัดอยู่บนเตา น้ำที่ต้มยังคงเดือดพล่าน น้ำชาก็ชงไปได้ครึ่งเดียว แต่ทุกคนล้วนคุกเข่าหมอบราบลงกับพื้นแล้ว ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยสักนิด
กู้ซีจิ่วมองด้วยความตะลึง
ในอดีตยามตี้ฝูอีออกตรวจการ ประชาชนก็คุกเข่าให้เช่นกัน ทว่าเป็นการคุกเข่าด้วยความเคารพนับถือ คุกเข่ากราบกรานตามสัญชาตญาณเสมือนพบเทพเซียนยามกลางวันแสกๆ
แต่ผู้ที่คุกเข่าให้ในยามนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นผู้คนที่สัญจรบนท้องถนน ปกติแล้วคนที่อยู่ในอาคารบ้านเรือนไม่ต้องทำความเคารพ
แต่ยามนี้ผู้คนที่ได้ยินเสียงต้องทำความเคารพ แต่ละคนตัวสั่นงันงกดั่งลูกนกตระหนกภัยพิบัติ คุกเข่าหมอบกับพื้น ไม่กล้าหายใจแรง หวาดหวั่นว่าหายใจแรงไปแล้วจะทำให้คนด้านนอกตกใจ ถูกจับไปตัดหัวเอาได้ โรงเตี๊ยมที่เดิมทีเจี๊ยวจ๊าวคึกคักเงียบวังเวงเสมือนป่าช้าในทันใด
ฝูงชนต่างคุกเข่าลงไปถ้าพวกเขาทั้งสามยังยืนตระหง่านอยู่จะสะดุดตาเกินไป กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ท่านเทพใหญ่ผู้นี้เห็นตัวปลอมที่แอบอ้างว่าเป็นตนอยู่ด้านนอกซ้ำยังเล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าในใจรู้สึกอย่างไร…
เขาจะยอมคุกเข่าสักครั้งเพื่อแผนโต้กลับครั้งใหญ่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะดีดปลายนิ้ว แสงสีขาวจางๆ สายหนึ่งโอบคลุมทั้งสามคนไว้จนมิด
กู้ซีจิ่วมองไปที่เขา เขากลับจูงมือเธอก้าวไปที่ริมหน้าต่าง “คาถาเร้นกาย ที่นี่ครื้นเครงนัก ดูให้ชัดๆ หน่อยเถอะ”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกาะหน้าต่างชมความครื้นเครงจริงๆ หลีเมิ่งซย่าก็เกาะหน้าต่างร่วมชมกับเธอเช่นกัน
เห็นกองทหารเกียรติยศที่อลังการยิ่งกว่าขบวนเสด็จประพาสขององค์จักรพรรดิค่อยๆ เคลื่อนขบวนมาแต่ไกล
ด้านหน้าสุดคือกองกำลังหนึ่งร้อยคน สวมหมวกเงินเกราะเงิน ที่ตามอยู่ด้านหลังคือกองกำลังหมวกทองเกราะทองหนึ่งร้อยคน ถัดไปเป็นชายหนุ่มสวมชุดพิธีการสีเข้มอีกหนึ่งร้อยคน แต่ละคนหล่อเหลายิ่งนัก ที่อยู่ถัดไปอีกคือเด็กสาวสวมชุดกระโปรงแดงหนึ่งร้อยคน ส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดเป็นเด็กชายสวมชุดเขียวจำนวนหนึ่งร้อยคน เด็กชายเหล่านี้รายล้อมรถม้าที่ใหญ่โตหรูหราคันหนึ่ง สัตว์ลากรถคือพยัคฆ์เหมันต์ปีกคู่ที่วิ่งห้อทะยานแปดตัว รถม้าหรูหรายิ่งนัก ตัวรถทั้งคันเจียระไนจากหยกขาวกึ่งโปร่งแสง บนหยกขาวฝังอัญมณีสีฟ้าอ่อนที่ส่องประกายไว้แปดเม็ด ทอประกายแพรวพราวอยู่ภายใต้แสงตะวัน
รถม้าเป็นกึ่งเปิดประทุน ภายในรถมีคนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน คนหนึ่งสวมอาภรณ์ม่วงเจิดจรัส คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงขาวราวเทพเซียน
เบื้องหน้าคนทั้งสองวางกระดานหมากรุกไว้ ทั้งสองคนกำลังเดินตัวหมากที่มีสีเดียวกัน ผ้าม่านอ่อนนุ่มสีขาวพิสุทธิ์ห้อยลงมาจากยอดหลังคา ผ้าม่านปลิวไสวดั่งเมฆาขาว คนทั้งสองนั่งบนรถม้าประหนึ่งนั่งบนก้อนเมฆ สูงส่งล่องลอยเสมือนมิใช่มนุษย์ในแดนธุลีแดง หมิ่นแคลนเวไนยสัตว์
และด้านหลังรถม้าก็คือกองร้อยห้าสีเช่นเดียวกับด้านหน้า…
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นสี่ทูตอีกครั้ง สี่ทูตอยู่หน้ารถม้าสองคน อยู่หลังรถม้าสองคน ยืนเก็บมือ ค้อมกายให้ด้านในรถม้า ถึงแม้สี่ทูตจะสวมหน้ากากไว้ทุกคน มองไม่เห็นว่าสีหน้าเป็นอย่างไร แต่ท่าทางดูเคารพนบนอบนัก
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะมองไปยังตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกาย ตี้ฝูอีเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย สายตาก็ร่อนลงบนร่างสี่ทูตเช่นกัน แววตาลึกล้ำดั่งน้ำวน
สี่ทูตติดตามอยู่ข้างกายเขามานานที่สุด เป็นทั้งข้ารับใช้ของเขาและครอบครัวของเขา
บทที่ 1403 ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 2
สี่ทูตติดตามอยู่ข้างกายเขามานานที่สุด เป็นทั้งข้ารับใช้ของเขาและครอบครัวของเขา เมื่อเห็นลูกน้องที่จงรักภักดีที่สุดของตัวเองถูกกระทำจนมีสภาพเช่นนี้เพื่อรับใช้ดูแลผู้อื่น จิตใจของผู้ใดก็ไม่อาจแบกรับไหว กู้ซีจิ่วจับมือเขาไว้อยู่ข้างกาย แล้วตบเบาๆ ตี้ฝูอีก็จับมือเธอเช่นกัน
ทั้งสองคนไม่มีใครพูดจาอันใด แต่กลับเข้าใจความหมายของกันและกัน
กลุ่มคนหลายพันคนยาวต่อเนื่องกันหลายลี้ การเคลื่อนขบวนก็ไม่ถือว่ารวดเร็ว ชาวบ้านเริ่มคุกเข่าลงตั้งแต่ได้ยินเสียงตะโกน หลังจากเห็นรถม้าก็เริ่มกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้งประหนึ่งเข้าเฝ้าจักรพรรดิ อีกทั้งยังต้องคุกเข่าคำนับไม่หยุดหย่อน ดังนั้นชาวบ้านต้องคุกเข่าคำนับอย่างน้อยที่สุดครึ่งชั่วโมง พวกหนุ่มสาวยังพอไหว เพียงแต่ก็ต้องลำบากพวกผู้สูงอายุ การคุกเข่าคำนับหนึ่งชุดนี้ ทำให้ขาทั้งสองข้างสั่นสะท้าน แทบจะลุกขึ้นยืนไม่ไหว
ในกลุ่มคนที่คุกเข่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กหนึ่งขวบ เด็กน้อยย่อมไม่รู้เรื่องราวอันใด เมื่อเห็นมารดาของตัวเองคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกน่าสนุกในตอนแรก จึงอ้าปากน้อยๆ อยากจะหัวเราะ กลับถูกมือของมารดาอุดไว้อย่างรวดเร็ว
มารดาตื่นเต้นเกินไป อุดปากจนเด็กคนนั้นหายใจไม่ออก ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก มีเพียงน้ำตาเม็ดใหญ่ที่ไหลริน ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตในอ้อมอกมารดา ดวงหน้าน้อยค่อยๆ เขียวคล้ำ…
กู้ซีจิ่วเหลือบมองไปทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นภาพฉากนี้พอดี หัวใจพลันหนักอึ้ง
เด็กคนนั้นจะถูกอุดปากจนหายใจไม่ออกตายอยู่แล้ว!
นิ้วมือเธอพลันสะบัด ลำแสงพลังไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งพุ่งทะยาน ดีดไปที่มือของมารดาเด็กคนนั้น มือของนางพลันไร้เรี่ยวแรงและร่วงลงทันที
วินาทีที่มือร่วงลง หญิงสาวผู้นั้นตื่นตระหนกใบหน้าซีดเผือด คิดว่าอย่างไรลูกก็ต้องร้องออกมาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
กลับนึกไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นนอกจากหายใจพะงาบๆ แล้วก็ไม่ส่งเสียงอันใดออกมา อ้าปากน้อยๆ ทำท่าทางจะร้องไห้ แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องสักนิด
หญิงสาวผู้นั้นโล่งใจ ย่อมไม่อุดปากและจมูกของลูกอีก ยังคงคุกเข่าคำนับท่ามกลางฝูงชน
ตี้ฝูอีเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง เขารู้ว่านางถือโอกาสสกัดจุดของเด็กคนนั้น เช่นนี้ภยันตรายของหญิงสาวกับลูกจึงคลี่คลายได้อย่างสงบ
หลีเมิ่งซย่าตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้กู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้ ยอดเยี่ยมมาก!”
กู้ซีจิ่วกลับจ้องมองคนในรถม้าหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาแหลมคมเย็นชา
คนผู้นี้น่าจะเป็นหลงฟั่นกระมัง?! ดูจากกลิ่นอายรอบกายเขา พลังวิญญาณน่าจะบรรลุขั้นสิบขึ้นไปแล้ว อีกทั้งรอบกายเขามีไอชั่วร้ายรางๆ คล้ายรายล้อมด้วยวิญญาณอาฆาต ดูเหมือนเขากระหายความสำเร็จ คิดหาวิธีแปลกใหม่ ฝึกฝนวิชายุทธ์ชั่วร้ายแล้วจริงๆ!
และมองสตรีที่ชื่อว่าเซียนหญิงลี่หวาง สวมชุดทอไหมเนื้อนุ่มดังหิมะ ใบหน้าคลุมแพรโปร่งผืนหนึ่ง ดูแล้วเสมือนเสี่ยวหลงหนี่ว์ผู้บริสุทธิ์เหนือโลกีย์
กลิ่นอายรอบกายของเซียนหญิงผู้นี้เยือกเย็นยิ่งนัก เดินหมากอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่สนใจการคุกเข่าคำนับของชาวบ้านโดยรอบ เบื้องหลังของนางมีผู้ทรงพลังสีทองคนนั้นยืนอยู่
บนถนนเงียบสงัดยิ่งนัก ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่เป็นหนึ่งเดียวกันของคนนับพัน กับเสียงลมหายใจที่กลั้นไว้ของชาวบ้านโดยรอบ
ดังนั้นเมื่อเซียนหญิงลี่หวางท่านนั้นเอ่ยขึ้น ทั้งที่เสียงไม่ดัง ทว่าคนทั่วทั้งถนนล้วนได้ยิน “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านแพ้อีกแล้ว” สุ้มเสียงชัดเจนปานกระดิ่งหยก
“ทักษะการเดินหมากของฮูหยินสูงส่ง ฝูอีไม่อาจทัดเทียม” ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนั้นยิ้มบางๆ ชายเสื้อพลันโบกสะบัด ผลักกระดานหมากออกไป แล้วกวาดตามองชาวบ้านที่คุกเข่าคำนับทั้งสองฝั่ง สายตาประหนึ่งมองมดปลวก
เซียนหญิงลี่หวางหยักยิ้มมุมปาก “ชมเกินไปแล้ว…” สายตานางก็มองสองฝั่งข้างทางเช่นกัน มองชาวบ้านคุกเข่าคำนับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงนั้น
————————————————————————–
บทที่ 1404 ชื่อเสียงของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 3
นางทอดถอนใจเบาๆ “ดินแดนเบื้องล่างนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนจนมากมาย คนฉลาดน้อยนิด…”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนนั้นทอดถอนใจเบาๆ “เหตุผลที่ดินแดนเบื้องล่างถูกเรียกว่าดินแดนเบื้องล่าง ย่อมเป็นเพราะคนโง่งมมากมาย ไม่ได้มีผู้ฝึกตนคลาคล่ำเหมือนดินแดนเบื้องบน ทำให้เซียนหญิงลำบากแล้ว”
กู้ซีจิ่วกระชับกำปั้นแน่น ไอ้คนชั่วช้า! ตัวเขาเองจะทำตัวไร้ยางอาย ไร้ศักดิ์ศรีต่อหน้าคนดินแดนเบื้องบนอย่างไรก็ช่างเถิด แต่กลับมาใช้สังขารของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำเรื่องแบบนี้! เจ้าผู้นี้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!
หลีเมิ่งซย่าก็เดือดดาลจนตัวสั่นสะท้าน แทบอยากจะทุบกำปั้นลงบนไม้ระแนงหน้าต่าง! คนที่นางเลื่อมใสและศรัทธามากที่สุดก็คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จะไม่โมโหได้อย่างไร?
ชื่อเสียงของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกไอ้ตัวปลอมทำลายจนหมดสิ้นแล้ว!
นางไม่กล้าแม้แต่จะมองสีหน้าของตี้ฝูอี เกรงว่าเมื่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงเห็นภาพฉากนี้แล้วหัวใจจะหลั่งโลหิตกระมัง?
กู้ซีจิ่วจับมือตี้ฝูอี ส่งกระแสเสียงไปหาเขา ‘อย่าเสียใจไป ภายหน้าพวกเราจะหาทางเรียกคืนเกียรติยศของท่านกลับมา…’
ดวงตาตี้ฝูอีดังธารน้ำแข็ง เหลือบมองเบื้องล่าง กวาดตามองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นอย่างช้าๆ มุมปากโค้งยิ้มเย้ยหยัน
ในที่สุดกองทหารเกียรติยศขบวนนั้นก็จากไป ภายในร้านอาหาร บนถนนกลับมาคึกคักอย่างที่เคย
หลังจากขบวนของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยิ่งใหญ่ขนาดนั้นผ่านไป กลับไม่มีผู้ใดอาจหาญพูดคุย แต่ทุกคนล้วนแอบกระชับกำปั้นแน่น ความโกรธและความเคียดแค้นแผดเผาอยู่ในสายตาที่มองไปยังขบวนกองทหารเกียรติยศของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
ความคับแค้นใจของผู้คนเดือดพล่าน ทว่าล้วนข่มใจไว้ เพียงรอคอยฟางเส้นสุดท้ายที่จะบดขยี้หลังอูฐ[1]…
…..
กำแพงสูงกว่ากำแพงวังหลวง ลวดลายบนกำแพงดูแปลกตา ประหนึ่งมีมนตรา อีกทั้งยังเหมือนกะโหลกศีรษะ ตัวกำแพงสีแดงสด ด้านบนราวกับถูกปกคลุมด้วยไอหมอก เยือกเย็นและน่าหวาดหวั่นเมื่อเข้าใกล้
“นายท่าน กำแพงนี้แหละที่แปลกตายิ่งนัก ขึ้นไปแล้วหลงทาง คนทั้งคนหายไปท่ามกลางม่านหมอก ภายในม่านหมอกยังมีเงาร่างแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน เพียงแค่ชนเข้ากับเงาร่างเหล่านั้นก็จะถูกเกาะติด ถูกหลอมละลาย จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น…” หลีเมิ่งซย่าบอกเล่าสิ่งที่พบจากการพาคนมาสำรวจหลายครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เราสูญเสียคนของพวกเราไปไม่น้อยที่นี่…”
ตี้ฝูอีพยักหน้าเล็กน้อย เขาก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ยื่นนิ้วมือสัมผัสกำแพงเบาๆ เยือกเย็นดังเหล็กหมาด ทิ่มแทงเข้ากระดูก
ดวงตาเขาฉายแววความโกรธแค้น “กำแพงวิญญาณอาฆาต!”
หลีเมิ่งซย่าประหลาดใจ “หา?”
กู้ซีจิ่วกล่าวอยู่ด้านข้าง “ไอ้ตัวปลอมนั้นเคยใช้ช่างฝีมือหนึ่งแสนคนสร้างคฤหาสน์แห่งนี้ขึ้นมา ช่างฝีมือเหล่านั้นไม่ได้หายสาบสูญไป แต่ถูกฆ่าตายแล้วหลอมเรียงไว้ภายในกำแพงนี้ ก่อนตายช่างฝีมือเหล่านั้นคงต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ด้วยความเคียดแค้นอย่างสุดขีด กำแพงนี้จึงกลายเป็นกำแพงวิญญาณอาฆาต เงาร่างในม่านหมอกที่พวกเจ้าเห็นคงเป็นสิ่งที่วิญญาณอาฆาตซึ่งไม่ได้รับการปลดปล่อยเหล่านั้นสร้างขึ้นมา…”
หน้าหลีเมิ่งซย่าเปลี่ยนสี เดิมทีนางเพียงได้ยินว่าช่างฝีมือหนึ่งแสนคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ยังคิดว่าคนเหล่านั้นถูกคุมขังไว้สถานที่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ภายในกำแพงนี้!
ช่างฝีมือก็เป็นคน กลับต้องมาตายอนาถอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เจ้าตัวปลอมผู้นี้เหมือนจะไม่ได้มองคนเป็นคน แต่มองคนเป็นมดปลวก เผด็จการยิ่งกว่าจิ๋นซีฮ่องเต้เสียอีก!
“มีวิธีเข้าไปหรือไม่? ปลดปล่อยวิญญาณอาฆาตในกำแพงจากความทุกข์ทรมานได้หรือไม่?” หลีเมิ่งซย่าถาม
ตี้ฝูอีกล่าว “ข้าปลดปล่อยพวกเขาได้ ทว่าหากเริ่มต้นพิธี คนด้านในรับรู้ได้แน่นอน จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
กู้ซีจิ่วม้วนแขนเสื้อขึ้น “ข้าจะเคลื่อนย้ายพริบตาเข้าไป!” วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของเธอไม่ถูกจำกัดช่องว่างระหว่างกำแพง
ตี้ฝูอีคว้ามือหยุดยั้งนางไว้ “ไม่ได้!”
เขาดึงนางมาไว้ข้างกาย จากนั้นมองไปที่หลีเมิ่งซย่า “อยากช่วยข้าช่วยเหลือพวกมู่เฟิงหรือไม่?”
—————————————————————-
[1] ฟางเส้นสุดท้ายที่จะบดขยี้หลังอูฐ มาจากสุภาษิตอาหรับ หมายถึงหมดความอดทน เมื่อเจ้าของอูฐนำของบรรทุกหลังอูฐมากขึ้น ถึงจุดที่อูฐทนต่อไปไม่ไหว แม้จะเพิ่มฟางซึ่งมีน้ำหนักเบามากอีกเส้นเดียวก็ทำให้อูฐหลังหักได้
บทที่ 1405 เผชิญหน้า
หลีเมิ่งซย่ายืดอกเชิดหน้า “อยาก!”
ตี้ฝูอีอมยิ้ม “ดีมาก ข้าคิดวิธีที่จะเข้าไปได้แล้ว แต่ต้องลำบากเจ้าสักหน่อย”
…
สถานที่พำนักของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนี้เรียกว่าวังคุ้มนภา ซึ่งมีความหมายว่าแผ่อำนาจกว้างใหญ่ไพศาล
เดิมทีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่สนใจการเมือง ไม่เคยข้องเกี่ยวราชกิจ ทว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในตอนนี้กลับควบคุมจักรพรรดิบัญชาการเจ้าผู้ครองแคว้นดังเช่นเฉาเชา ตอนนี้องค์จักพรรดิหรงเจียหลัวเป็นเหมือนหุ่นเชิด อำนาจตกอยู่ในมือผู้อื่น กลายเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่กุมใต้หล้านี้ไว้อย่างแท้จริง…
วังคุ้มนภามีประตูทางเข้าออกเพียงทางเดียว
ยามเฝ้าประตูวังคุ้มนภาแห่งนี้ก็คือยักษ์เกราะทองคำข้างกายเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ยักษ์ตนนี้พลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้า พลังยุทธ์ในร่างกายเยี่ยมยอด และข้างกายยังมีผู้คุ้มกันที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นแปดอีกหกคน หากคนทั่วไปอยากจะบุกเข้าไปทางประตูด้านหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นความคิดที่ทั้งไร้สาระและฝันเฟื่อง
โดยรอบมีวิญญาณอาฆาตสิงสู่ ประตูใหญ่ยังมียักษ์เกราะทองคำคอยอารักขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นอาศัยอยู่ด้านในราวอาศัยอยู่ในตู้นิรภัย วางใจเป็นอย่างมาก
วันนี้เขาส่งเซียนหญิงลี่หวางไปเรือนอื่นด้วยตัวเอง เขาถอดเสื้อผ้ากำลังจะพักผ่อน ด้านนอกมีคนรายงาน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ประมุขหยางเฟยอี้กับสามผู้อาวุโสของหอเงาราตรีขอเข้าพบขอรับ เขาจับกุมผู้ต่อต้านหลีเมิ่งซย่ากับผู้ติดตามได้แล้ว ยามนี้รออยู่ด้านนอกประตูขอรับ”
ตัวปลอมผู้นี้ตกตะลึง ดวงตาฉายแววเปรมปรีดิ์ “ดี ให้พวกเขาเข้ามา! ให้รอที่ห้องโถงก่อน” เมื่อคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง จึงออกคำสั่งอีก “ไปเชิญเซียนหญิงลี่หวางมา ข้ามีเรื่องรบกวนนางหน่อย”
ยามเฝ้าประตูตอบรับแล้วจากไป
ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและหรูหรา
หยางเฟยอี้ ผู้อาวุโสเหลียง และผู้อาวุโสหวงนำหลีเมิ่งซย่าเดินเข้ามา
สภาพหลีเมิ่งซย่าจนตรอกยิ่งนัก เสื้อผ้าขาดวิ่น เส้นผมดั่งรังหญ้า ใบหน้ากระดำกระด่าง ถึงแม้บนตัวนางไม่มีเชือกมัด แต่เห็นได้ชัดว่าถูกสกัดจุดไว้ ฝีเท้าระหว่างเดินเหินหนักอึ้ง ซวนเซไปมา
เมื่อไอ้ตัวปลอมออกมา หยางเฟยอี้และคนอื่นๆ ทำความเคารพเขาพร้อมกัน หลีเมิ่งซย่ากลับเชิดหน้าชูคอยืนยืดตัวตรง
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสวมหน้ากากบนใบหน้า ทำให้มองสีหน้าเขาไม่ออก หยางเฟยอี้บอกเล่าเหตุการณ์การจับกุมหลีเมิ่งซย่าและคนอื่น ย่อมต้องพูดอย่างอกสั่นขวัญหาย ยากเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมองหลีเมิ่งซย่าหัวจรดเท้าด้วยสองตา ไร้ซึ่งคำพูดใด เพียงชื่นชมหยางเฟยอี้และคนอื่นๆ อย่างเรียบเฉยไม่กี่คำ
หยางเฟยอี้และคนอื่นๆ แลดูทั้งตื่นตระหนกและตื่นเต้น ย่อมแสดงความจงรักภักดีต่อทูตสวรรค์ตัวปลอมอีกครั้ง
ในขณะที่กำลังพูดคุย เซียนหญิงลี่หวางค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาอย่างเนิบนาบ นั่งลงตรงที่นั่งด้านซ้าย นางเป็นพวกหยิ่งผยองดูถูกคนฐานะต้อยต่ำ พวกหยางเฟยอี้คารวะนาง นางก็เพียงแค่โบกมือเล็กน้อย ไม่แม้แต่จะชายตามอง สายตานางร่อนลงบนร่างของหลีเมิ่งซย่า
ถึงแม้ตัวหลีเมิ่งซย่าจะดูน่าเวทนา แต่ยังคงทรงพลังยิ่งนัก จ้องมองกลับทันที!
เซียนหญิงลี่หวางขบเม้มริมฝีปากบางๆ ของนาง จ้องมองหลีเมิ่งซย่าไม่ยอมละสายตา ดวงตาที่เดิมทีดำขลับดุจระลอกน้ำแปรเปลี่ยนเป็นเกลียวคลื่น สีดำขลับนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน…
ร่างกายหลีเมิ่งซย่าพลันแข็งทื่อ ดวงตาที่เดิมทีดุร้ายกลับกลายเป็นเลอะเลือน จ้องมองเซียนหญิงลี่หวางไม่พูดจาอันใด
“เจ้าคือผู้ใด?” เซียนหญิงลี่หวางเอ่ยขึ้นอย่างสง่างาม
หลีเมิ่งซย่าจ้องมองนางอย่างเลื่อนลอย ยังคงไม่พูดจา
เซียนหญิงลี่หวางมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ข้าถามเจ้า ไยทำไม่สนใจ?”
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมขมวดคิ้ว เซียนหญิงลี่หวางใช้วิชาควบคุมจิตใจได้ ทำให้คนที่โดนวิชาพูดความจริงออกมาทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว ใช้ร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง แต่หากคนที่ถูกควบคุมมีพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้าขึ้นไป ถึงจะเสริมวิชากู่เข้าไประหว่างวิชาควบคุมจิตใจได้…
—————————————————————–
บทที่ 1406 เผชิญหน้า 2
หลีเมิ่งซย่าผู้นี้มีพลังวิญญาณขั้นแปด ยังไม่ถึงขั้นเก้า ว่ากันด้วยเหตุผล หากใช้วิชาควบคุมจิตใจก็ต้องสำเร็จ ครั้งนี้เหตุใดจึงไม่ได้ผลเล่า?
สายตาเฉียบคมของเขาร่อนลงบนร่างของหลีเมิ่งซย่า กระชับนิ้วมือในชายเสื้ออย่างช้าๆ
ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว ในที่สุดหลีเมิ่งซย่าก็เอ่ยปาก “เจ้าพูดอะไร? เหตุใดข้าฟังไม่รู้เรื่อง?”
เซียนหญิงลี่หวางนิ่งอึ้ง
ในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้ว่าหลีเมิ่งซย่ารังเกียจคนพูดจาสุภาพอ่อนโยนเป็นที่สุด เพราะนางรังเกียจภาษาโบราณ ฟังไม่เข้าใจ!
เซียนหญิงลี่หวางแอบทอดถอนใจ เปลี่ยนวิธีการถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“หลีเมิ่งซย่า”
“มีหน้าที่อะไรในหอเงาราตรี?”
“ประมุข”
“เหตุใดจึงต่อต้านท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?”
“เขาเป็นตัวปลอม!”
ทุกคนนิ่งอึ้ง
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยกยิ้มมุมปาก “เหลวไหล! ข้าเป็นข้ามาโดยตลอด ไหนเลยจะมีตัวปลอมได้?”
เขาเลียนแบบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้แนบเนียนยิ่งนัก ไม่ว่าสีหน้าหรือท่าทาง แม้แต่การยกยิ้มมุมปากก็เหมือนกันมาก เขามองไปที่พวกประมุขหยางเบื้องล่างห้องโถง “พวกเจ้าว่าอย่างไร?”
ประมุขหยางส่ายหน้า “นางเสียสติพูดจาเหลวไหล! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเทพ หมาแมวที่ไหนจะปลอมตัวมาได้?”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมพูดอันใดไม่ออก อย่างไรเสียก็กลัวว่าจะถูกจับได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าคำพูดที่อีกฝ่ายยกย่องตนแฝงความเย้ยหยันไว้
สายตาทั้งคู่ของเขามองประมุขหยางครู่หนึ่ง ประมุขหยางถูกเขาจ้องจนขนลุก ก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยิ้มบางๆ น้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?”
ดวงตาทั้งคู่ของหลีเมิ่งซย่าจ้องมองหน้ากากเขาดุจตาแมว “เจ้ากล้าถอดหน้ากากออกให้คนเห็นไหมเล่า? ข้าจำใบหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้! พฤติกรรมบางอย่างของเจ้าไม่เหมือนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนก่อนแม้แต่น้อย!”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหัวเราะหยัน “คนเราเปลี่ยนกันได้ ทำไมข้าจะเปลี่ยนไม่ได้? ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะเป็นลิขิตสวรรค์ แค่ทำตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น”
หลีเมิ่งซย่าส่งเสียงฮึ่มคราหนึ่ง “โกหก! หน้ากากเจ้ายังไม่กล้าถอด เห็นได้ชัดว่าเป็นคนชั่วปลอมตัวมา!”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเหลือบมองพวกประมุขหยาง “พวกเจ้าเชื่อคำพูดจาเหลวไหลของนางรึไม่?”
หน้าผากของพวกประมุขหยางเต็มไปด้วยเหงื่อ กล่าวอย่างรีบร้อน “ย่อมไม่เชื่อขอรับ ข้าน้อยบอกแล้วว่านางเสียสติ วิปลาสไปแล้ว…”
พวกเขาบอกไม่เชื่อ ทว่าดวงตายังคงฉายแววสงสัย เห็นได้ชัดว่ายังแคลงใจอยู่เล็กน้อย
เซียนหญิงลี่หวางยิ้ม เมื่อนางแย้มยิ้มช่างงดงามปานบุปผาผลิบาน “ฝูอี ความจริงคนเหล่านี้ก็เป็นลูกน้องที่จงรักภักดีต่อท่าน มิสู้ท่านถอดหน้ากากออกให้พวกเขาดูเสียหน่อย และให้พวกเขายอมรับเจ้านายอย่างท่าน”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหลุบตาลงเล็กน้อย ทอดถอนใจครู่หนึ่ง “ก็ได้” เขายกมือถอดหน้ากากออกช้าๆ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ยามนี้เห็นชัดแล้วหรือยัง?”
ภายใต้หน้ากากคือใบหน้าหล่อเหลาดังเทพเทวา เหมือนรูปโฉมของตี้ฝูอีทุกประการ
หลีเมิ่งซย่าราวกับทึมทื่อไปแล้ว จ้องทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมตาไม่กะพริบ และบ่นพึมพำ “ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นตัวจริง..”
วิชาควบคุมจิตใจของเซียนหญิงลี่หวางยอดเยี่ยมนัก นางไม่เพียงควบคุมจิตใจคน อีกทั้งยังทำให้คนพูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา วิธีที่นางใช้ตอนนี้ก็คือการให้พูดความจริงในใจ มีอะไรก็พูดออกมา ดังนั้นอารมณ์และการตอบสนองของหลีเมิ่งซย่าจึงถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่สวมหน้ากากอีกต่อไป เหลือบมองหลีเมิ่งซย่าอย่างเยือกเย็น “เจ้ารู้ความผิดแล้ว?”
หลีเมิ่งซย่าเบิกตาพลางถอยหลังไปหลายก้าว “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้? ทั้งที่เจ้าน่าจะเป็นตัวปลอม…”
หลีเมิ่งซย่าเป็นถึงประมุขของหอเงาราตรี รู้ความลับแท้จริงของตี้ฝูอีมากมาย ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมจึงให้คนพยายามจับเป็นนางมาเพื่อสอบสวน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น