คัมภีร์วิถีเซียน 1393-1401
ตอนที่ 1393
แผนคางคกเที่ยงแท้
สิบวันต่อมาฉับพลันนั้นด้านนอกห้องน้ำแข็งพลันมีเสียงร้องยาวๆ ที่ไพเราะดังขึ้น ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็เพียงพอจะเข้ามาปลุกหานลี่ให้ตื่นจากภวังค์
หานลี่ขมวดคิ้วเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาเปล่งประกาย หลังจากที่เขาเอียงศีรษะขบคิดแล้ว ก็หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วผลักประตูเดินออกไป
เห็นเพียงกลางอากาศเบื้องหน้าห้องน้ำแข็งนั้นมีวิหารน้ำแข็งกว้างร้อยจั้งหลังหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัววิหารใช้เสาน้ำแข็งหนาๆ สองสามเสาค้ำยันอยู่ ถึงแม้ว่าจะดูหยาบๆ แต่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดแสงลงมา ก็ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ในวิหารมีแท่นน้ำแข็งสูงสองสามจั้งอยู่แท่นหนึ่ง บุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนอยู่บนนั้น
บุรุษมีเรือนผมสีเงิน กลับมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลา สตรีกลับมีเส้นผมสีเขียวเส้นบางๆ มวยสูงขึ้นไป ร่างกายอวบอิ่ม งดงามเป็นอย่างมาก แขนและเท้าที่เปลือยเปล่าออกมาดูราวกับรากบัวอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนยอดเขาที่เย็นยะเยือก ไม่แยแสสิ่งใด
ทั้งสองคนนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตา บุรุษผมสีเงินยิ่งอยู่ในระดับขั้นกลาง
เสียงร้องแหลมๆ ยาวๆ นั้นดังออกมาจากปากของบุรุษผมสีเงิน
ใต้แท่นน้ำแข็งมีคนยืนอยู่แล้วสี่ห้าคน แน่นอนว่าเป็นพวกของเซียนอิ๋งและชายชราแซ่หลี่ว์ ผู้ที่ได้ยินเสียงร้องยาวๆ ดังเข้าไปในห้องน้ำแข็ง ไม่ได้มีหานลี่แต่เพียงผู้เดียว คนอื่นๆ ก็เดินออกมาอย่างต่อเนื่อง
ชั่วพริบตาทั้งยอดเขาก็มีผู้บำเพ็ญเพียรปรากฏขึ้นยี่สิบกว่าคน
คนเหล่านี้ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขึ้นไป หลังจากได้ยินเสียงร้องยาวๆ แล้ว ก็ทยอยกันตรงไปทางวิหารด้วยสีหน้าหลากหลาย
หานลี่เองก็เดินรั้งท้ายตามเข้าไปในวิหารด้วยสีหน้าราบเรียบ
เมื่อทุกคนเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นคนจำนวนไม่น้อยก็ตรงเข้าไปทักทายบุรุษและสตรีที่อยู่บนแท่นน้ำแข็งอย่างนอบน้อม
“คารวะท่านอาวุโสจู้ ท่านอาวุโสชิง!”
“ท่านอาวุโสทั้งสองก็มาแล้ว! ชนรุ่นหลังขอคารวะท่านอาวุโสทั้งสอง!”
หานลี่หาตำแหน่งที่ไม่สะดุดตามาตำแหน่งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ผู้ที่เชิญเขามาในตอนแรก ก็มีบุรุษและสตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในเมืองเทวะสวรรค์คู่นี้
ถึงแม้ว่าจะสนทนากับทั้งสองครั้งแรก แต่ทั้งสองก็อัธยาศัยดีไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาจากแดนล่าง มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าจะรับปากมากมายขนาดไหน เขาก็จะตอบเรื่องนี้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ
บุรุษแซ่จู้หยุดเปล่งเสียงกู่ร้องแหลมๆ ลง และตอบกลับคำทักทายของคนอื่นพร้อมรอยยิ้ม สุดท้ายก็เอ่ยอย่างแจ่มใสว่า
“ทุกคนก็มากันเกือบครบแล้ว เหล่าสหายนั่งลงก่อนเถิด พวกเรามาปรึกษากันเรื่องจะปราบปรามรังของคางคกเที่ยงแท้ตาสีมรกตกันอย่างไรจะดีกว่า”
เมื่อเขาเอ่ยจบหญิงงามที่ยืนอยู่ข้างกายก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมโจมตีไปที่ด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นสองฝั่งของวิหารน้ำแข็งพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า เก้าอี้หยกที่วิจิตรงดงามปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยผลของเขตอาคม
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเห็นเช่นนั้น ก็ทยอยกันนั่งลงตามคำพูด จากนั้นถึงได้มองสองสามีภรรยาระดับหลอมสุญตาที่นั่งลงเช่นกันบนแท่นน้ำแข็ง
บุรุษผมสีเงินกวาดสายตาไปทั้งสองด้านแล้วถึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มออกมา
“ดูแล้วเราสองสามีภรรยาคงคาดการณ์ไว้ไม้ผิดนัก สหายที่เรียนเชิญมาในตอนแรก ครานี้มาถึงที่นี่ได้แค่สี่ส่วนเท่านั้น สหายคนอื่นๆ มีภารกิจรัดตัว จึงมาไม่ทัน ไม่ก็คงเกิดอะไรขึ้นจนไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นขอแค่พวกเราร่วมมือกัน ก็สามารถกำจัดฝูงคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตฝูงนั้นได้อย่างราบรื่น ถึงครานั้นสิ่งที่พวกเราจะได้ ก็คือเหล่าสหายจะได้นำโลหิตคางคกเที่ยงแท้มาแบ่งกัน ส่วนพวกเราสองสามีภรรยาก็จะได้ดอกพันใจที่อสูรโบราณฝูงนั้นปกปักไว้สักสองสามต้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กล่าวกับสหายเอาไว้ก่อนแล้ว คงไม่มีข้อคิดเห็นอะไรสินะ! แน่นอนว่าการแบ่งโลหิตคางคกเที่ยงแท้นั้น ต้องดูตามความสามารถของเหล่าสหายที่สำแดงออกมา ไม่อาจแบ่งกันอย่างเท่าเทียมได้ หวังว่าสหายที่มีความคิดอื่น คงไม่คิดว่าจะได้ประโยชน์โดยไม่ลงแรงหรอกกระมัง”
ครั้นเมื่อชายหนุ่มผู้งดงามเอ่ยประโยคนี้ออกมา เมื่อถึงสองสามประโยคสุดท้าย ร่างกายก็แผ่พลังกดของระดับหลอมสุญตาที่แข็งแกร่งออกมา ในเวลาเดียวกันสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ต่างก็นั่งนิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกท่านรู้แล้ว พวกเราก็มาหารือขั้นตอนการลงมือกันเถิด คางคกเที่ยงแท้ฝูงนี้เป็นฝูงที่พวกของเซียนอิ๋งพบเป็นพวกแรก ก็ให้สหายอิ๋งอธิบายก่อนก็แล้วกัน” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าซึ่งนั่งอยู่ด้านล่าง
“ขอให้ท่านอาวุโสอายุมั่นขวัญยืน ชนรุ่นหลังมิกล้าบังอาจ”
เซียนอิ๋งฉีกยิ้ม ร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนขึ้น หลังจากกวาดสายตาไปบนใบหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือแล้ว ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“พบรังคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตได้อย่างไรนั้น ข้าจะไม่พูดมาก สิ่งที่บอกทุกท่านได้ก็คือ ฝูงนี้มีคางคกเที่ยงแท้อยู่เกือบสิบตัว สองตัวเป็นคางคกเที่ยงแท้โตเต็มวัยน่าจะมีกำลังอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง ส่วนลูกคางคกที่เหลือต่างมีพลังยุทธ์เท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ฝูงคางคกเที่ยงแท้ฝูงนี้แอบซ่อนตัวอยู่ในรังใต้ดิน ปกติแล้วจะไม่ปรากฏตัว หากอยากสังหารพวกมันล่ะก็ เกรงว่าจะยายไม่น้อย ถึงอย่างไรเสียบริเวณรอบๆ รังของมันนั้น ก็ไม่สะดวกที่จะให้พวกเราล้อมวงเข้าไป”
เอ่ยมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของสตรีผู้นี้ก็หยุดชะงัก แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“หากมีแค่นี้ ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชิญสหายจำนวนมากมาพร้อมกัน สิ่งสำคัญก็คือในบริเวณของรังคางคกเที่ยงแท้ มีครึ่งอสูรที่ร้ายกาจอยู่สองชนิด ชนิดหนึ่งคือมดโลหิตดำ อีกชนิดหนึ่งคืออสูรแมลงเงา ถึงแม้ว่าอสูรแมลงทั้งสองชนิดนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่อะไร แต่ล้วนเป็นสิ่งที่อาศัยอยู่กันเป็นฝูง น่าจะมีประมาณร้อยกว่าตัว หากอยากกำจัดคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกต ก็จำต้องกำจัดครึ่งอสูรแมลงทั้งสองชนิดนี้ด้วย”
“แมงป่องโลหิตดำ?”
“อสูรแมลงเงา”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้า ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง บางคนแม้กระทั่งทนไม่ไหวเอ่ยปรึกษาอะไรกับคนด้านข้างด้วยเสียงแผ่วเบา
แน่นอน! อสูรแมลงสองชนิดนี้มีชื่อเสียงไม่น้อย หากถูกล้อมโจมตี เกรงว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็ยังต้องตกอยู่ในอันตราย
หลังจากเอ่ยขบ หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าก็พยักหน้าให้กับชายหนุ่มรูปงาม แล้วนั่งลงที่เดิม
“ไม่ต้องเครียดไป? ในเมื่อข้าเชิญเหล่าสหายมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีวิธีจัดการ ขอแค่สหายร่วมมือกันเท่านั้น” ชายหนุ่มแซ่จู้เอ่ยด้วยความสุขุม
“ท่านอาวุโสจู้! ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อคำพูดของท่านอาวุโส แต่เรื่องนี้ดูแล้วอันตรายมาก ท่านอาวุโสอธิบายแผนการให้ฟังก่อนได้หรือไม่” ชายชราสวมงอบคนหนึ่งหยัดกายลุกขึ้นโค้งให้แท่นน้ำแข็งขณะเอ่ย
ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายที่มีไม่มากนักที่ด้านล่างแท่นน้ำแข็ง
“ที่แท้ก็สหายโหยวนี่เอง เชิญสหายนั่งลงก่อน ถึงแม้ว่าสหายจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้แซ่จู้ก็จะอธิบายให้ทุกท่านฟังอยู่แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยท่าทีไม่ถือสา
ชายชราได้ยินก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แค่คารวะอีกครั้งแล้วนั่งลง
“ความจริงแล้วง่ายมาก ถึงแม้ว่าครึ่งอสูรสองชนิดนี้จะจัดการยาก แต่พวกเราสองสามีภรรยาได้รวบรวมธูปไม้จันทน์มาแล้ว ธูปชนิดนี้มีพลังในการดึงดูดยุงโลหิตดำที่ได้ผลมาก ขอแค่จุดอยู่ไกลออกไปหน่อย ก็สามารถล่อให้พวกมันออกมาบนพื้นดิน จากนั้นก็ลงมือกำจัดพวกมันก็ได้แล้ว ส่วนอสูรแมลงเงาเหล่านั้น ต่อกรยากสักหน่อย ทว่าพวกเราสองสามีภรรยาได้ยืมธงอสนีสวรรค์ชำระทมิฬชุดหนึ่งมาจากสหายสนิท ขอแค่มีสหายแปดคนถือสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ สร้างเขตอาคมวงแหวนอัสนีสวรรค์ขึ้นมา ก็เพียงพอจะกักอสูรแมลงเงาเหล่านี้ได้แล้ว นอกจากนี้ ยังเชิญสหายหานและเซียนเสี้ยวที่มีเคล็ดวิชาในการกักแมลงเผ่าเงาโดยเฉพาะมาด้วย มีสหายทั้งสองคอยช่วยเขตอาคมอัสนีนี้ ก็น่าจะไม่ผิดพลาด ส่วนคนที่เหลือ ก็ร่วมมือกันต่อกรอสูรคางคกเที่ยงแท้ร่วมกันกับพวกข้า เหล่าสหายคิดว่าอย่างไร” ชายหนุ่มแซ่จู้เอ่ยอย่างสดใส น้ำเสียงไม่ดังนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
หานลี่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อของตัวเอง หลังจากหน้าเปลี่ยนสีแล้วกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงแล้ว ฉับพลันนั้นก็ประสานสายตากับสายตาคู่หนึ่งที่อยู่ตรงข้าม
หญิงสาววัยเยาว์สวมชุดกระโปรงสีเงินขาวคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี หน้าตาหมดจด เมื่อเห็นหานลี่มองมาก็ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้
“หรือว่านี่คือ ‘เซียนเสี้ยว’? วรยุทธ์ที่นางฝึกฝนคือสิ่งใดกัน คาดไม่ถึงว่าจะควบคุมอสูรแมลงเงาได้?” หานลี่ยิ้มรับตามจิตสำนึก แต่ในใจกลับขบคิดด้วยความรู้สึกฉงนสงสัย
เวลาต่อมาก็มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ซักถามปัญหาข้อสงสัยในจุดอื่น
ชายหนุ่มแซ่จู้ตอบคำถามทั้งหมดอย่างละเอียดอย่างอารมณ์ดี ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนรู้สึกพอใจ
ทว่าหานลี่สังเกตเห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงงดงามที่นั่งอยู่ข้างกายชายหนุ่มกลับไม่เคยเอ่ยปากออกมาเลย แค่ยืนฉีกยิ้มเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ วันนั้นตอนที่สองสามีภรรยาพาพวกมาหาเขาที่จวนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแค่ชายหนุ่มรูปงามที่พูด ไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้เอ่ยปาก
หรือว่าสตรีผู้นี้ฝึกฝนวิชาภิกษุชั้นสูงอย่างเคล็ดวิชาประหลาดอย่างวิชาญาณปิดปากอะไรเทือกนี้? มิเช่นนั้นต่อให้เป็นใบ้แต่กำเนิด พลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้อย่างพวกเรา แน่นอนว่าก็สามารถรักษาอาการป่วยแต่กำเนิดได้ภายในพริบตาแล้ว
หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไม่มีใครซักข้อสงสัยอะไร ชายหนุ่มแซ่จู้ก็เริ่มแบ่งกำลังคน
จะว่าไปแล้วผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเชิญมาในครั้งนี้ นอกจากหานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวผู้ซึ่งรับมือกับอสูรแมลงเงาได้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีวรยุทธ์ธาตุอสนีที่หายาก เพื่อจะได้แบ่งธงอสนีสวรรค์ชำระทมิฬไปวางเขตอาคมวงแหวนอสนีสวรรค์
คนเหล่านี้รวมทั้งหานลี่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา บ้างก็เป็นลูกหลานสายตรงของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา และไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรสักคนที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรพื้นเมือง
ดังนั้นแม้ว่าจะมีจำนวนคนไม่น้อย แต่ในที่สุดก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนัก
เมื่อจัดเสร็จสิ้น ชายหนุ่มแซ่จู้และพวกก็ไม่ได้รั้งรอให้เสียเวลาอีก ออกคำสั่งในทันที กลุ่มคนยี่สิบกว่าคนจึงบินออกจากภูเขาในทันที กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปยังทิศตะวันตก
หลังจากบินมาสามวันสามคืน ในที่สุดทุกคนก็มาถึงเบื้องหน้าลำธารยักษ์อย่างปลอดภัย
มองลำธารนี้แวบหนึ่ง หมอกหนาทึบลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนรู้สึกลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเห็นเช่นนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
โดยปกติแล้วที่ที่ดูแล้วผิดปกติในแดนป่าเถื่อน ผู้บำเพ็ญเพียรกว่าครึ่งล้วนไม่อยากเข้าไปง่ายๆ ผู้ใดจะรู้ว่าใต้ม่านหมอกและบึงน้ำแห่งนี้มีอสูรโบราณที่ร้ายกาจอะไรซ่อนตัวอยู่ หากถูกลอบโจมตีจนจบชีวิตลง จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรือ
ไม่ต้องให้ผู้กล่าวเตือนทุกคนก็ผ่อนลำแสงหลีกหนีลง แล้วหยุดอยู่หนาม่านหมอก
ตอนที่ 1394
ธูปไม้จันทน์กับมดโลหิตดำ
“เหล่าสหายโปรดระวังหน่อย ในหมอกมีวิหคประหลาดนรินามอยู่ชนิดหนึ่ง โชคดีที่กำลังไม่นับว่าสูงนัก ขอแค่ระวังของเหลวที่พวกมันพ่นออกมา ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ส่วนหมอกน้ำนั้นก็มอบให้พวกเราสองสามีภรรยากำจัดมันทิ้งซะ” ชายหนุ่มแซ่จู้ที่บินอยู่ด้านหน้าสุดพลันเอ่ยขึ้น
จากนั้นก็เห็นชายหนุ่มผมเงินอ้าปากออกพ่นขวดหยกยาวๆ สีขาวนวลใบหนึ่งออกมาจากปากท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ หมุนติ้วๆ ปากขวดชี้ไปที่หมอกสีขาวเบื้องหน้าอย่างพอดิบพอดี
สองมือของชายหนุ่มพลันร่ายอาคม ปากบริกรรมคาถา ขวดหยกเปล่งแสงสว่างจ้า
เสียง “กึกๆ” ดังขึ้น พ่นพายุสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมาจากปากขวด
เมื่อพายุชนิดนี้ถูกพ่นออกมา ก็ยังคงเป็นลำแสงสีเขียวอ่อน แต่หลังจากที่พ่นออกไปได้สองสามจั้ง ก็เปล่งเสียงคำราม ชั่วพริบตาก็กลกายเป็นพายุเฮอร์ริเคนลูกใหญ่พัดออกไปเบื้องหน้า
ชั่วขณะนั้นหมอกบนผิวน้ำพลันหมุนวนอย่างรุนแรงแล้วทยอยกันล่าถอยไปด้านหลัง
ทางเดินที่ชัดแจ้งสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอก
“ไปกันเถิด!”
ชายหนุ่มแซ่จู้ออกคำสั่ง ตนเองและคู่รักก็บินล่วงหน้าเข้าไปในทางเดินก่อน ตั้งแต่ต้นจนจบขวดยักษ์พลันหมุนติ้วๆ อยู่เหนือศีรษะของเขา พ่นพายุที่โหมกระหน่ำออกมาไม่หยุด
เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น พลันรู้สึกผ่อนคลายลง และทยอยกันบินตามเข้าไปอย่างไม่ลังเลอีก
เหมือนกับที่ชายหนุ่มแซ่จู้กล่าวเอาไว้ หลังจากที่บินเข้ามาในทะเลสาบแค่สิบกว่าลี้ ท่ามกลางไอหมอกก็เริ่มมีวิหคสีขาวขนาดสองสามฉื่อบินออกมา ทุกตัวล้วนมีปากแบนๆ และปีกยาวๆ มีกรงเล็บที่แหลมคมสีเขียวมรกตงอกออกมาจากส่วนท้องคู่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าวิหคเหล่านี้เข้ามาผู้บำเพ็ญเพียรทุกคน เมื่อออกจากม่านหมอก ก็อ้าปากออก พ่นธนูสีดำดอกแล้วดอกเล่าเข้าใส่ทุกคน
ท่ามกลางเสียงคำรามต่ำๆ นั้น ฝูงชนก็ทยอยกันปล่อยสมบัติของตนเองออกมา บ้างก็ทำให้กระบี่บินกลายเป็นลำแสงขนาดเท่าล้อรถ บ้างก็มีโล่โบราณปรากฏขึ้นสองสามด้าน…
เมื่อธนูวารีสีดำเหล่านี้มาประชิดเขา ก็กลายเป็นกลุ่มควันสีดำแล้วสลายหายไป ไม่ว่ากระบี่บินหรือว่าสมบัติชิ้นอื่น เมื่อถูกพ่นออกมา ก็จะมีหลุมตื้นๆ ปรากฏขึ้นเต็มไปหมด
นายของสมบัติเหล่านี้พากันหน้าเปลี่ยนสี ร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาในทันที
“รีบลงมือสังหารเจ้าพวกนี้ซะ ของเหลวของพวกมันสามารถกัดก่อนสมบัติของพวกเราได้”
เมื่อได้ฟัง คนอื่นๆ พลันรู้สึกใจหายวาบ ล้วนสำแดงความสามารถทั้งหมดออกมา สายรุ้งที่น่าตกตะลึงสายแล้วสายเล่าและลำแสงต่างๆ พุ่งเข้าไปหาวิหคประหลาดเหล่านั้นพร้อมกัน
จุดที่สายรุ้งกวาดผ่านไป วิหคประหลาดเหล่านั้นพลันกลายเป็นฝนโลหิตสาดลงมา ชั่วพริบตาก็ถูกสังหารไปจนเกลี้ยง
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนที่แต่เดิมรู้สึกหวาดกลัวก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ความจริงแล้ววิหคประหลาดเหล่านี้อ่อนแอดังคาด
แต่ครู่ต่อมา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องประหลาดในกลุ่มหมอก ฉับพลันนั้นวิหคประหลาดสีขาวที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วฝูงแล้วฝูงเล่าก็พ่นธนูวารีสีดำออกมา
ท่ามกลางความตกตะลึงของฝูงชนผู้บำเพ็ญเพียร จึงรีบปล่อยสมบัติที่เก็บลงไปเมื่อครู่ออกมาอีกครั้งเป็นพัลวัน ภายใต้การต้านทานอีกระลอก ใช้ความสามารถสังหารพวกมันจนเกลี้ยง
แต่สถานการณ์ที่เหมือนกันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อวิหคประหลาดตัวสุดท้ายกลายเป็นฝนโลหิตแล้ว ก็จะมีเงาวิหคปรากฏขึ้นอย่างหนาแน่นท่ามกลางกลุ่มหมอก
เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้นท่ามกลางทุกคน คนจำนวนไม่น้อยเริ่มเผยสีหน้าไม่สบายใจออกมา
หานลี่ขมวดคิ้วกวาดจิตสัมผัสไปในม่านหมอก กลับพบว่าในม่านหมอกมีวิหคประหลาดชนิดนี้เรียงรายอยู่เต็มท้องฟ้า และไม่รู้ว่ามีมากถึงกี่หมื่นตัว
ถึงแม้ว่าหานลี่จะเคยเห็นพายุคลื่นจำนวนมาก แต่ก็อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้
“ทุกคนไม่ต้องกลัว! ตอนนี้วิหคประหลาดชนิดนี้แค่ลองทดสอบการโจมตีเท่านั้น หากการโจมตีสิบกว่าระลอกก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล พวกมันจะรู้ว่ารับมือยากและสลายตัวไปเอง” เบื้องหน้ามีเสียงอันเคร่งขรึมของชายหนุ่มแซ่จู้ดังขึ้น
เมื่อได้ยินคำนี้คนอื่นๆ พลันถึงบางอ้อ ทันใดนั้นก็เสกสมบัติต่างๆ ออกมา โจมตีไปที่วิหคสีขาวทั้งหมดจนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
หลังจากที่โจมตีอย่างต่อเนื่องไปสิบสามสิบสี่ระลอก ฝูงวิหคที่แต่เดิมรวมตัวกันอยู่ในม่านหมอกก็เปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ชั่วขณะนั้นวิหคสีขาวทั้งหมดพลันกระจายออก บินแตกกระเจิงออกไปจากม่านหมอก
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ทุกครั้งถึงใจวางใจขึ้นจริงๆ ทันใดนั้นก็รีบบินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ
ครึ่งวันต่อมาเมฆหมอกรอบกายกลุ่มคนก็สลายออก เบื้องหน้าของทุกคนเปล่งประกาย เบื้องหน้ามีภูเขายักษ์ที่อยู่ในทะเลสาบปรากฏขึ้น สูงประมาณหมื่นจั้ง ตีนเขาจมอยู่ใต้ทะเลสาบ
ส่วนที่เผยออกมาของภูเขาลูกนี้ล้วนเป็นภูเขาสีดำเขียว ด้านบนนอกจากตะไคร่อสนีแล้ว ทุกแห่งก็โล้นโกร๋น
“ที่นี่แหละ! หึๆ กว่าจะหาที่นี่เจอเซียนอิ๋งและพวกคงลำบากมาก” หลังจากที่ทุกคนหยุดลำแสงหลีกหนีลง ชายหนุ่มแซ่จู้ก็มองไปยังภูเขายักษ์ ปากก็เอ่ยชื่นชมออกมา
“นี่เป็นเพราะคราวก่อนชนรุ่นหลังและพวกได้ไล่ตามอสูรประหลาดตัวหนึ่งมา จึงบุกเข้ามาที่นี่ด้วยความบังเอิญ นับว่าดวงของชนรุ่นหลังอย่างพวกเราไม่ธรรมดาสินะ” หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าหัวเราะร่วนขณะเอ่ย
“แน่นอน หากไม่ใช่ความบังเอิญ คงพบสถานที่ลึกลับนี้ไม่ได้ง่ายๆ ทว่าก็เพราะเช่นนั้น ถึงได้เหลืออสูรคางคกเที่ยงแท้ฝูงหนึ่งไว้ให้พวกเรา หากอยู่ข้างนอกล่ะก็ เกรงว่าคนถูกผู้อื่นพบไปแล้ว ไหนเลยจะเหลือมาถึงมือพวกเราได้” ชายหนุ่มผมสีเงินได้ยินพลันหัวเราะฮ่าๆ แววตาฉายแววตื่นเต้นยินดี
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ก็ทยอยกันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“รังของคางคกเที่ยงแท้เหล่านั้น อยู่ในถ้ำใต้ภูเขาลูกนี้ พวกเราทำตามแผน ดึงดูดมดโลหิตดำเหล่านั้นมาสังหารก่อนเถิด ทุกคนโปรดระวัง ถึงแม้ว่ามดโลหิตดำเหล่านี้จะมีพละกำลังแค่อสูรระดับแปด แต่มันสามารถทำลายลำแสงป้องกันและโล่ป้องกันชนิดต่างๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราได้ และยิ่งไปกว่านั้นในร่างของมันยังมีพิษโลหิตดำ จากกำลังของพวกเราหากถูกกัด จะต้องกินยาถอนพิษทันที มิเช่นนั้นก็อาจจะถึงแก่ชีวิต เอาล่ะ ทุกคนเตรียมตัวเถิด ข้าจะจุดธูปไม้จันทน์ก่อน!” ชายหนุ่มแซ่จู้ออกคำสั่งอีกสองคำ แล้วถึงได้พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีกระถางธูปขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้น ด้านในมีธูปไม้จันทน์สีเขียวมรกตความยาวครึ่งฉื่อปักอยู่ดอกหนึ่ง
เมื่อโยนกระถางธูปขึ้นไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นพลันลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วหมุนคว้างกลางอากาศไม่หยุด
ชายหนุ่มชูมือขึ้นอีกครั้ง ชี้นิ้วไปที่ธูปหอม ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งแฉลบผ่านไป ธูปหอมสีเขียวพลันติดไฟ ควันสีเขียวโชยขึ้นไปบนท้องฟ้า
หานลี่จ้องเขม็งไปที่ธูปหอม ใบหน้าฉายแววแปลกประหลาด
นี่คือ ‘ธูปไม้จันทน์’ ดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีกลิ่นเลยด้วย จะมีผลต่อมดโลหิตดำจริงๆ หรือ?
หานลี่ขบคิดในใจ
ครานี้ไม่ต้องให้ใครออกคำสั่งอะไร ทุกคนก็บินแยกย้ายกันออกไป จากนั้นก็ทยอยกันสำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกาย
หานลี่เองก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่ออยู่สูงร้อยจั้งเศษถึงได้หยุดลำแสงหลีกหนีลง คราที่กำลังร่ายอาคมนั้น ข้างกายพลันมีสายรุ้งสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนอรชรอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ๆ
หานลี่พลันตะลึงงัน มองปราดไป พบหญิงสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเป็น ‘เซียนเสี้ยว’ ผู้นั้น
สตรีผู้นี้ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจที่หานลี่มาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มรับ แล้วเอ่ยอย่างมีมารยาทว่า
“พี่หาน ข้ามีธงลำแสงลวงตาอยู่ มีประโยชน์ในการอำพรางกายที่เยี่ยมยอด มิสู้ให้ข้าสำแดงอำพรางกายของสหายไปด้วยกันหรือไม่”
“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นก็ต้องรบกวนสหายแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างมีมารยาทประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
“เรื่องจิ๊บๆ พี่หานไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอก!” สตรีแซ่เสี้ยวฉีกยิ้มน้อยๆ ชูมือหนึ่งขึ้น ธงสีขาวด้ามหนึ่งบินออกมาก หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง แล้วมาอยู่เหนือหัวของทั้งสอง
ทันใดนั้นสตรีผู้นั้นก็ร่ายอาคม หลังจากที่ธงด้ามเล็กพลิ้วไหวแล้ว ก็ปล่อยลำแสงสีขาวนวลออกมา ลำแสงนั้นเจิดจ้าจนบาดตา ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ข้างใน
ครู่ต่อมาลำแสงสีขาวก็หายวับไป ที่เดิมกลับว่างเปล่า ไม่เห็นร่างของหานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวเลยสักนิด
หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ยื่นมือออกไปดูมือที่กำลังล่องหนของตนเอง แววตาฉายแววสีฟ้าสว่างวาบ แต่กลับมองไม่เห็นอะไร
เขามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่านไปบนใบหน้า พลางเอ่ยชื่นชมหนึ่งประโยคว่า
“สมบัติของสหายช่างอัศจรรย์เสียจริง ร้ายกาจกว่าสมบัติอำพรางกายธรรมดาๆ เป็นอย่างมาก”
“สหายล้อเล่นแล้ว ธงลำแสงลวงตานี้มีพลังในการอำพรางกายที่ร้ายกาจมาก แต่ขอแค่มีคนใช้จิตสัมผัสกวาดมา ก็ไม่อาจปิดบังอะไรได้ และใช้ได้แค่กับอสูรแมลงที่มีจิตสัมผัสไม่แข็งแกร่งเท่านั้น” หญิงสาวแซ่เสี้ยวได้ยินกลับฉีกยิ้มบางๆ ออกมา
หานลี่พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นพลันแผ่จิตสัมผัสไปที่สตรีผู้นั้น มองเห็นเงาร่างของอีกฝ่ายดังคาด ในใจจึงรู้สึกผ่อนคลายลง และรู้สึกเสียดายเล็กๆ
สมบัติของอีกฝ่ายนั้นแม้แต่เนตรวิญญาณวารีกระจ่างยังไม่อาจมองทะลุผ่านได้ หากแม้แต่จิตสัมผัสก็สามารถปกปิดได้ ก็คงเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
ครานี้คนอื่นๆ ก็อำพรางกายและเก็บกลิ่นอายลมปราณในร่างไปพร้อมๆ กัน
ครานี้ที่นี่นอกจากธงหอมขนาดไม่ใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ธูปไม้จันทน์ดอกนี้มีผลดังคาด ทุกคนเฝ้ารอได้ไม่นาน หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เบื้องหน้าภูเขายักษ์ก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ทันใดนั้นตรงถ้ำที่ไม่สะดุดตาบนสันเขาก็มีมดบินขนาดยักษ์ติดปีกที่แผ่นหลังฝูงหนึ่งบินออกมา
มดบินเหล่านี้มีขนาดตัวประมาณสองสามฉื่อ มีเขี้ยวโค้งงอ ประกอบกับปีกขนนกสีเขียวมรกตคู่หนึ่งที่แผ่นหลัง ดูแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับวิหคตัวหนึ่ง ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของมดยักษ์เหล่านี้ก็คือธูปหอม เมื่อบินออกมาจากภูเขายักษ์แล้วก็เปล่งเสียงร้องไม่หยุดพลางบินตรงเข้ามา ความเร็วไม่เชื่องช้าเลยสักนิด ชั่วครู่ก็บินมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทุกคน
“ลงมือ!” ฉับพลันนั้นใกล้กับธูปหอม ก็มีชายหนุ่มผมสีเงินและหญิงงามปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ปากพลันออกคำสั่งอย่างเย็นชา
ชั่วขณะนั้นรอบๆ พลันมีลำแสงสว่างวาบ ทันใดนั้นสมบัติยี่สิบกว่าชิ้นพลันถูกสำแดงออกมา กลายเป็นลำแสงม้วนมายังฝูงมดอย่างโหดเ**้ยม หนึ่งในนั้นยังมีลูกบอลเพลิงประจุไฟฟ้ารวมอยู่ด้วย
ดูแล้วทุกคนต่างสำแดงความสามารถออกมาจนหมด หมายว่าจะต้องกำจัดมดโลหิตดำเหล่านี้ให้ได้
เสียง “ตูมๆ” พลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝูงมดทั้งหมดถูกระเบิดห้าสีสันกลืนกินเข้าไป ทันใดนั้นวายุระเบิดร้อนเย็นก็ตัดสลับกันและแผ่ออกมาจากใจกลาง แรงกดของวายุขนาดยักษ์ ถึงแม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดจะอยู่ห่างออกมาร้อยจั้ง ก็ยังอดที่จะเปลี่ยนสีพลางถอยร่นออกมาสองสามก้าวไม่ได้
เมื่อลำแสงและวายุที่บ้าคลั่งหายวับไป ตำแหน่งที่มดโลหิตดำเหล่านั้นอยู่ก็ว่างเปล่า แม้แต่ฝุ่นควันก็ไม่เหลือ
ตอนที่ 1395
อสูรคลื่นทมิฬ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงสาวผู้งดงามพลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่รอบๆ พลันรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าจากพลังยุทธ์ของพวกเขาต่อกรกับฝูงมดโลหิตดำแล้วจะเป็นเหมือนกับการฆ่าไก่แต่ใช้มีดฆ่าวัว แต่การทำภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่นตั้งแต่ขั้นแรก ก็เป็นลางบอกเหตุที่ไม่เลว
ชายหนุ่มแซ่จู้ยกมือขึ้นกวักไปทางกระถางธูป ธูปไม้จันทน์สีเขียวมรกตในกระถางธูปดับลงโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน กลายเป็นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งร่อนลงในฝ่ามือของเขา พลิกฝ่ามืออีกครั้งก็หายวับไป แต่ทันใดนั้นลำแสงก็สว่างวาบธงสีเงินชุดหนึ่งปรากฏขึ้นแทน
ธงทุกด้านมีความยาวแค่สองสามชุ่น ด้านบนมีอักขระสีม่วงและลวดลายอัสนีปักอยู่จำนวนมาก ให้ความรู้สึกที่ลึกลับเป็นอย่างมาก!
“ครานี้ไม่มีมดโลหิตดำมาคุกคามแล้ว จากนี้พวกเราก็จะเข้าไปในรังของอสูรคางคกเที่ยงแท้ ธงอัสนีสวรรค์ชำระทมิฬชุดนี้จะมอบให้เหล่าสหายคนละด้ามก็แล้วกัน” ชายหนุ่มผมสีเงินกวาดสายตาไปที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
ทันใดนั้นหลังจากที่ทุกคนมองสบตากันแวบหนึ่งก็เหาะมาเบื้องหน้ารับธงจากมือของเขาไปคนละด้าม หนึ่งในนั้นก็มีชายชราแซ่หลี่ว์รวมอยู่ด้วย
“เอาล่ะ นอกจากสหายจ้าวและสวินที่จะคอยดูลาดเลาอยู่ด้านนอกแล้ว คนที่เหลือก็ตามพวกเราเข้ามาเถิด” ชายหนุ่มออกคำสั่งกับชายชราคนหนึ่งและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเสร็จแล้วก็กลายเป็นสายรุ้งสองสายพร้อมกับหญิงงามตรงเข้าไปที่ภูเขายักษ์
คนอื่นๆ เองก็ไม่ลังเลควบคุมลำแสงหลีกหนีไปตามๆ กัน
มีเพียงชายชราและชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกชื่อที่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ร่ายอาคมร่างกายหายวับไปอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เองก็ตามสองสามีภรรยาแซ่จู้เข้าไปในเนินเขาผ่านถ้ำที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งกาน้ำชาหานลี่และพวกก็ปรากฏตัวบนทางเดินใต้ดินที่เปียกชื้นแห่งหนึ่ง
ในทางเดินต่างเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย กำแพงรอบด้านมีไข่มุกวารีแขวนอยู่เต็มไปหมด บนพื้นดินมีตะไคร่สีเขียวนิรนามหนาสองสามชุ่นเกาะอยู่จนทำให้พื้นลื่นเป็นอย่างมาก ทั้งทางเดินทั้งคดเคี้ยวและขรุขระและยังทอดตัวลงไปใต้ดินไม่หยุด
โชคดีที่ทางเดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้กว้างพอ จึงทำให้ทุกคนบินห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อได้อย่างช้าๆ ไม่ถึงกับต้องลงไปเดินบนพื้น
หานลี่มองไปด้านล่างไม่หยุด บางครั้งก็มีแมลงพิษขนาดใหญ่บินออกจากรอยแยกตรงมาหาเขา ล้วนถูกเส้นไหมสีแดงที่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาทะลุผ่านร่าง แล้วกลายเป็นผุยผง
ด้านข้างของเขานั่นคือเซียนเสี้ยวผู้นั้น
สตรีผู้นี้มีสีหน้าระแวดระวัง รอบกายมีลำแสงสีขาวกะพริบเรืองๆ ชั้นหนึ่ง ไม่ว่าแมลงพิษชนิดใดจะบินเข้ามา ก็จะกลายเป็นผนึกแวววาวแล้วร่อนลงบนพื้นเป็นกลุ่มๆ
ไม่ใช่แค่หานลี่และสตรีผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือก็สำแดงความสามารถต่างๆ ออกมา สังหารแมลงพิษใดๆ ที่เข้ามาประชิดตัวเช่นกัน
อย่ามองว่าแมลงเหล่านี้มีรูปร่างไม่สะดุดตา แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าปล่อยให้พวกมันกัดดูสักคำ
ถึงอย่างไรเสียสิ่งแปลกประหลาดในแดนป่าเถื่อนก็มีอยู่อย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน ถึงแม้จะเป็นแมลงพิษที่ดูธรรมดาๆ แต่ก็อาจจะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนหนึ่งติดพิษจนสิ้นชีพได้
เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มก็มีคนเปิดปากคุยกันน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายทั้งกลุ่มก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด นอกจากเสียง “ฟู่ๆ” ของแมลงพิษที่ถูกสังหารแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก
ในทางเดินไม่ถือว่ามืดมนนัก บางครั้งกำแพงรอบด้านก็มีลำแสงเรืองๆ จากหินนิรนามส่องออกมารำไร ดูคล้ายกับศิลาลำแสงจันทราที่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรชอบใช้
เช่นนั้นจึงยิ่งเพิ่มความสะดวกให้พวกของหานลี่ที่กำลังตรงไปข้างหน้า
หลังจากลงไปได้อีกชั่วครู่ หานลี่ก็หน้ากระตุก มองไปยังกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมีเลศนัย ดูเหมือนจะพบอะไรเข้า
แทบจะในเวลาเดียวกันชายหนุ่มผมเงินที่อยู่หน้าสุดพลันขมวดคิ้วมุ่น ฉับพลันนั้นก็หยุดร่างกายลงพร้อมกับหญิงงาม
จากนั้นข้างหูของหานลี่และพวกก็มีเสียงถ่ายทอดเสียงของชายหนุ่มแซ่จู้ดังขึ้น
“ทุกคนระวังหน่อย ข้าสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้ามีอสูรแมลงสองตัวปรากฏขึ้น กลิ่นอายใกล้เคียงกับระดับเทพแปลง กำลังขวางทางพวกเราอยู่ รอบๆ อาจจะมีอสูรแมลงชนิดอื่น ข้าไม่สะดวกที่จะแผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบมากนัก จำต้องให้คนล่วงหน้าไปดูเพื่อยืนยันว่าเป็นอสูรแมลงชนิดใดกับตาแล้วค่อยว่ากัน ระวังหน่อย อย่าเพิ่งลงมือ!”
ทุกคนพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งก้าวออกมา เอ่ยปากว่า
“ให้ข้าน้อยไปดูเถิด ข้าน้อยไม่มีความสามารถอื่น มีแค่เคล็ดวิชาหลีกหนีที่พอมั่นใจอยู่หลายส่วน ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสจะเชื่อมั่นในตัวข้าน้อยหรือไม่”
“หึๆ ที่แท้ก็พี่โหยวนี่เอง เคล็ดวิชาวายุหลีกหนีของสหายมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ผู้แซ่จู้ยังอยากมีเลย” ชั่วขณะที่ชายหนุ่มผมสีเงินมองเห็นคนผู้นั้นอย่างชัดแจ้งแล้ว ใบหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
คนผู้นี้คือคนชายชราสวมงอบที่เคยเอ่ยถามในวิหารน้ำแข็งก่อนที่จะออกเดินทาง
ชายชราได้ยินแล้วพลันหัวเราะหึๆ ชั่วขณะนั้นข้างกายพลันมีลมพายุหัดมาหอบหนึ่ง คนก็หายวับไป
เป็นเคล็ดวิชาวายุหลีกหนีที่อัศจรรย์ดังคาด
คนอื่นๆ เองก็หยุดรออยู่ที่เดิม คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกสนใจอสูรแมลงที่มาขวางอยู่เบื้องหน้า
ผ่านไปแค่หนึ่งมื้ออาหาร ร่างของชายชราก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ตรงตำแหน่งเดิมที่เขาหายไป หากไม่ใช่เพราะผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดกำลังจับจ้องอยู่ ก็แทบจะคิดว่าชายชราไม่ได้จากไปเลยสักนิด
หลังจากที่ชายชรารอจนร่างกายปรากฏตัวทั้งเรือนร่างแล้ว ทันใดนั้นก็ค้อมตัวให้กับชายหนุ่มแซ่จู้และภรรยาพลางเอ่ยว่า
“ผู้แซ่โหยวไปตรวจสอบมาแล้ว เบื้องหน้ามีอสูรคลื่นทมิฬสองตัว เกรงว่าจะรับมือยากไปหน่อย”
“อสูรคลื่นทมิฬ!” เมื่อได้ยินคำนี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในทางเดินพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ถึงแม้จะเป็นชายหนุ่มแซ่จู้เองก็ยังอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
หานลี่มีข้อมูลเกี่ยวกับอสูรคลื่นทมิฬปรากฏขึ้นในหัวทันที
อสูรคลื่นทมิฬคืออสูรแมลงชนิดหนึ่ง อสูรชนิดนี้ไม่ได้น่ากลัวนัก แต่จุดที่ปรากฏตัวกลับยุ่งยากมาก
เพราะว่าอสูรชนิดนี้ไม่ได้มีกำลังอื่น แต่มีความสามารถด้านเคล็ดวิชาหลีกหนีธาตุน้ำและอสนี ยิ่งไปกว่านั้นยังขี้ขลาด แค่ลมพัดก็หนีเตลิดไป สิ่งที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าก็คืออสูรแมลงตัวนี้ยังมีอีกชื่อนามว่า ‘อสูรเสียงกลอง’ เมื่อพบศัตรู ร่างกายจะเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ คล้ายกลองดังขึ้น น้ำเสียงดังกังวาน จนแทบจะกระจายไปในระยะสองสามร้อยลี้
ดังนั้นสำนักและผู้ที่มีความสามารถต่างๆ ในเผ่ามนุษย์และปีศาจจึงนำอสูรชนิดนี้มาเลี้ยงดูเพื่อใช้ระวังภัยเสียเลย
หากไม่ทันได้สังหารมัน จะต้องทำให้อสูรแมลงอื่นๆ ในภูเขายักษ์ตกใจแน่ ถึงครานั้นจะเกิดอะไรขึ้น ก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้
“ยุ่งยากเสียแล้ว! แม้นว่าข้าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แต่ความสามารถที่ฝึกฝนมาทั้งหมดก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาการอำพรางตัวเลย ไม่ว่าจมูกหรือจิตสัมผัสของอสูรคลื่นทมิฬก็ไม่ธรรมดา เคล็ดวิชาหลีกหนีของพวกเราสองสามีภรรยานั้นไม่ธรรมดา มั่นใจได้ว่าจะจัดการได้ตัวหนึ่ง แต่อีกตัวนั้น จำต้องให้สหายอีกคนหนึ่งลงมือจัดการ” ชายหนุ่มแซ่จู้ขบคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยกับทุกคน สุดท้ายสายตาก็ตกลงบนเรือนร่างของชายชราแซ่โหยว
“ข้าน้อยไม่ไหวแน่ จากเคล็ดวิชาวายุหลีกหนีของตาเฒ่านั้นเข้าใกล้พวกมันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ผิวของอสูรคลื่นทมิฬหนามาก ความสามารถที่ข้าน้อยฝึกฝนไม่พอที่จะสังหารมัน จะเกิดความผิดพลาดเอาได้” ชายชราโบกมืออย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มผมเงินเห็นเช่นนั้น พลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายคนอื่นๆ
คนเหล่านั้นพลันขมวดคิ้ว ล้วนไม่มีความมั่นใจเท่าใดนัก เรื่องที่เกี่ยวข้องกับแผนการทั้งหมดนั้น หากไม่มั่นใจเต็มเปี่ยม ผู้ใดก็ไม่กล้าตอบรับง่ายๆ และผู้ที่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาหลีกหนีและสังหารในคนเดียวกัน ก็หายากไปหน่อย
ชายหนุ่มแซ่จู้เห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
แผนที่วางมาหลายปี จะพังไม่เป็นท่าเพียงเพราะอสูรแมลงตัวเดียวหรือ?
“หรือว่าไม่อาจสำแดงเคล็ดวิชาลี้ธรณีอ้อมผ่านมันไป?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“หากอ้อมมันไปได้ละก็ ข้าน้อยจะปวดหัวเช่นนี้หรือ ไม่รู้ว่าภูเขาลูกนี้มีชีพจรศิลาแม่เหล็กยักษ์อยู่ตรงไหน เมื่อหลีกหนีเข้าไปในภูเขาศิลา พลังลมปราณทั้งหมดก็จะถูกมันดูดซับไป มีเพียงต้องสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนี จึงจะไม่เป็นไร”
“ชีพจรศิลาแม่เหล็ก!” คนจำนวนไม่น้อยได้ยินคำนี้ ต่างสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วหน้าเปลี่ยนสี
คนที่เอ่ยถามยิ่งมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นพิเศษ
“ท่านอาวุโสจู้ หากข้าน้อยจัดการอีกตัวได้ จะแบ่งโลหิตคางคกเที่ยงแท้ให้ข้าเพิ่มอีกส่วนหนึ่งหรือไม่” เสียงเฉยชาพลันดังขึ้นในเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร
ผู้พูดก็คือหานลี่ที่อยู่รั้งท้ายแถว หญิงสาวหน้าตาหมดจดที่อยู่ด้านข้างได้ยิน พลันรู้สึกตะลึงงัน
“อันใด สหายหานมั่นใจว่าจะจัดการอสูรตัวนี้ได้หรือ? หากทำได้ละก็ แบ่งโลหิตคางคกเที่ยงแท้เพิ่มให้สหายอีกส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากล้มเหลวละก็…” ชายหนุ่มแซ่จู้เห็นหานลี่ก็รู้สึกประหลาดใจ แล้วตอบกลับด้วยความคลางแคลงใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเขายังดูถูกที่หานลี่เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลางคนหนึ่ง
“หึๆ ท่านอาวุโปรดวางใจ หากข้าน้อยทำพลาด ทำให้ส่วนใดเสียหาย ข้าน้อยยินดีจะชดใช้” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“ดูท่าสหายหานคงมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เยี่ยม อสูรแมลงอีกตัวก็มอบให้สหายก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่จู้นั้นเป็นผู้ที่ตัดสินใจเด็ดขาด แค่ขบคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบตกลงจริงๆ
กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่เริ่มซุบซิบนินทา พิจารณาหานลี่ด้วยสีหน้าแตกต่างกันไม่หยุด บางคนถึงกับปกปิดสีหน้าระแวงออกมาอย่างปิดไม่มิด
“ทว่าเพื่อเป็นการป้องกัน สหายโหยว ท่านเคยอำพรางกายมาแล้ว คอยช่วยสหายหานอยู่ด้านข้างก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มแซ่จู้เปลี่ยนน้ำเสียง หันไปเอ่ยกับชายชราสวมงอบ
“ขอรับ เรื่องนี้มอบให้ตาเฒ่าเถิด” ครั้งนี้ตาเฒ่ากลับตอบตกลง
ดังนั้นจากนี้ชายหนุ่มแซ่จู้ก็ขยับมุมปากถ่ายทอดเสียงอะไรสักอย่างไปหาหญิงงาม สองมือของหญิงงามผู้นั้นพลันร่ายอาคม ฉับพลันนั้นผิวก็มีลำแสงสีแดงปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากที่เดิม
ส่วนหานลี่กลับควักยันต์สีม่วงออกมาตบไปที่บนร่าง ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันลอยหมุนวนแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ชายชราพลันสำแดงเคล็ดวิชาวายุหลีกหนีพุ่งตรงไป
ภายใต้การนำทางของชายชรา หานลี่และหญิงงามตรงไปได้แค่ชั่วครู่ก็มาถึงที่หมาย
เบื้องหน้าเป็นทางเดินกว้างๆ แมลงตัวอ้วนสีขาวสองตัวกำลังเกาะอยู่บนกำแพงหินด้านหนึ่ง กำลังกัดแทะตะไคร่สีเขียวนิรนามชนิดหนึ่ง
ตอนที่ 1396
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสะพรึง
แมลงอ้วนสองตัวนี้มีความยาวสองจั้ง ผิวเป็นผลึกสีขาวและยิ่งไปกว่านั้นยังมีปุ่มๆ ราวกับดักแด้ยักษ์ แต่หนึ่งในนั้นมีหัวที่ไม่ใหญ่นัก ด้านบนไม่เพียงมีตาเล็กๆ สีแดงหกตา ยิ่งไปกว่านั้นกำลังเคี้ยวตะไคร่น้ำ ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมอ้าออกเป็นบางครั้งคราว คิดไม่ถึงว่าจะใหญ่โตมาก
หานลี่ที่สำแดงเคล็ดวิชาลวงตาแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็ไม่อาจพบตัวเขาได้ แน่นอนว่าจึงไม่กังวลใจว่าอสูรแมลงระดับเทพแปลงสองตัวจะพบร่องรอยของเขา ทันใดนั้นก็ลอยเข้าไปอยู่เหนืออสูรแมลงตัวหนึ่งอย่างทระนงองอาจ แววตาถึงได้กวาดมองไป
ภายใต้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างของเขา ใกล้กับอสูรคลื่นทมิฬอีกตัวหนึ่ง เงาสีแดงจางๆ สายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
นั่นก็คือสตรีผู้งดงามที่สำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนี
หลังจากที่สตรีผู้นี้อยู่ห่างไปอีกสองสามจั้ง ลำแสงสีเขียวอีกสายหนึ่งก็พลิ้วไหว กลับเป็นชายชราแซ่เวิงที่อาศัยพลังของวายุอำพรางกายไว้
แต่ครานี้ทั้งสองล้วนมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนฉงน ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของหานลี่
หานลี่เองก็ไม่ได้ใส่ใจ หลังจากขยับมุมปาก ก็ถ่ายทอดเสียงออกมาสองสามประโยคเพื่อชี้ตำแหน่งของตนเอง
แน่นอนว่าทั้งสองล้วนมีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ชายชราที่กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลับเปล่งแสงสว่างวาบมาทางหานลี่ แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้อสูรแมลงในระยะสิบจั้งอย่างหานลี่
เห็นได้ชัดว่าหากเข้าใกล้เกินไป เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะไม่ถูกพบตัว
กลับเป็นหญิงงามผู้นั้นที่คู่ควรกับการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา หลังจากที่ระงับสีหน้าตะลึงงันแล้ว คนก็ถอยมาอยู่ห่างจากอสูรแมลงอีกตัวไปห้าหกจั้ง แล้วถึงได้หยุดลงอย่างเงียบเชียบ
ครานั้นทั้งสามคนต่างยืนนิ่งไม่ขยับ มีเพียงเสียง “ซือๆ” ที่อสูรคลื่นทมิฬสองตัวกัดกินตะไคร่ดังออกมา
หานลี่แววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ มือหนึ่งเปล่งแสงสีดำมะเมื่อม ตะปบไปทางอสูรแมลงที่อยู่ด้านล่างกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาพลันพุ่งออกมาจากนิ้วทั้งห้า ภูเขาน้อยสีดำลุกหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเทา แล้วตกลงมา
อสูรแมลงที่อยู่ด้านล่างพลันตกตะลึง ร่างกายพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ ร่างกายเปล่งแสงสีฟ้าขาวสลับกัน
แต่กลับสายไปเสียแล้ว!
ระยะใกล้แค่นี้ ลำแสงสีเทาแค่สว่างวาบ ก็กวาดอสูรแมลงตัวนั้นเข้าไปข้างใน คลื่นทมิฬสองสีบนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับพบกับดาวมฤตยูและถูกทำลายล้างในพริบตา
อสูรแมลงเห็นสถานการณ์ไม่ดี ร่างกายกลมๆ ของมันก็สั่นคลอน คลื่นที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิว และแผ่ไปรอบๆ ด้าน
หานลี่กลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา นิ้วสีดำทั้งห้าประกบเข้าหากันเบาๆ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาที่อยู่ด้านล่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากเสียงกึกๆ ดังขึ้น ลำแสงสีเทาเจ็ดแปดลูกก็ทยอยกันพุ่งออกมาจากร่างของอสูรตนนั้น เมื่อระลอกคลื่นที่ไร้รูปร่างสัมผัสกับลำแสงสีเทาเหล่านั้น ชั่วขณะนั้นแต่ละชั้นก็ค่อยๆ บางเบาลง สุดท้ายก็สลายหายไปท่ามกลางลำแสงเทวะดูดปราณ
ร่างของอสูรคลื่นทมิฬบิดเบี้ยว ยังคิดจะสำแดงความสามารถอะไรต่อ แต่กลับมีเงาสีดำปรากฏขึ้นที่เหนือหัว
เสียง “ปัง” อันอึกทึกดังขึ้น กลายเป็นภูเขาสีดำขนาดประมาณเจ็ดแปดจั้ง ทุบลงมาที่ร่างอันอ้วนกลมของอสูรคลื่นทมิฬ จนมันไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าอสูรตัวนี้นั้นหนังหนาสมคำร่ำลือจริงๆ ท่ามกลางพลังมหาศาลขนาดนี้กลับไม่หากดเนื้อให้แหลกได้ และยังบิดตัวไปมาคิดหนีไม่หยุด
แต่ในตอนนั้นเองหานลี่พลันสะบัดมืออีกครั้ง เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป โจมตีไปยังตีนยอดเขาสีดำ
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น อสูรแมลงกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงโดยไม่อาจดิ้นรนได้อีกทันที
แน่นอนว่าอานุภาพของเพลิงกลืนวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่อสูรแมลงจะต้านทานได้
ตั้งแต่ที่หานลี่ลงมือจนถึงตอนที่กำจัดอสูรคลื่นทมิฬตัวนี้นั้นใช้เวลาไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น
เมื่อเขาจัดการทำอย่างเสร็จสิ้น ก็หันหน้าไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง เห็นเพียงชายชราแซ่เวิงที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้ง กำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
เห็นได้ชัดว่าที่หานลี่กำจัดอสูรคลื่นทมิฬได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายตกตะลึง
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สายตาเหลือบมองไปที่อีกด้าน
เห็นเพียงอสูรแมลงอีกตัวหนึ่งกลายเป็นสองส่วน
หญิงสาวผู้งดงามผู้นั้นกำลังลอยอยู่เหนือร่างของอสูรแมลง เบื้องหน้ามีกระบี่สีแดงยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่งลอยอยู่ กำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าประหลาดเช่นกัน
“พี่โหยวจัดการอสูรแมลงสองตัวนี้ได้แล้ว รายงานเหล่าอาวุโสเถิด” หานลี่ค้อมตัวให้หญิงงาม แล้วเอ่ยกับชายชราด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! พี่หาน ท่านอาวุโสชิงโปรดรอสักประเดี๋ยว” ชายชราแซ่โหยวไม่ได้เผยสีหน้าไม่พอใจจากการถูกใช้งานออกมา แต่กลับตอบรับด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ยันต์ถ่ายทอดเสียงพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ คนอื่นๆ ก็ไล่ตามมาทัน
ชายหนุ่มผมสีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากฟังชายชราอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดอีกครั้งแล้ว ก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ทันใดนั้นก็เอ่ยชมหานลี่และพวก และพาทุกคนเดินทางต่ออย่างไม่ยอมเสียเวลา
หานลี่เดินรั้งอยู่ที่ท้ายแถวอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่มองมากลับไม่เหมือนเดิมแล้ว การสังหารอสูรคลื่นทมิฬ ยังเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้
เซียนอิ๋งที่สวมผ้าคลุมหน้าและสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวผู้มีร่างกายอรชรอ้อนแอ้นนั้นกลับทนไม่ไหวแอบลอบมองมาหลายครั้ง
หานลี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ และแค่เดินตามไปด้านหลังอย่างเงียบๆ เท่านั้น
เมื่อเดินผ่านทางเดินไปได้ไม่นาน หลังจากหักเลี้ยวไปรอบหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีเสียงธารน้ำไหลดังขึ้น ไอน้ำที่หนาแน่นและเย็นเยียบโชยมาปะทะกับใบหน้า
คาดไม่ถึงว่าเบื้องหน้าจะมีธารน้ำใต้ดินกว้างที่ยี่สิบสามสิบจั้งสายหนึ่ง กระแสน้ำที่ไหลวนอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไหลเชี่ยวเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านโปรดระวังให้ดี ข้ามลำธารนี้ไปก็จะเป็นรังของอสูรคางคกเที่ยงแท้ สถานการณ์ในรังนั้น ข้าก็ได้บอกเล่ากับทุกท่านแล้วว่าพวกเราจะรับมือได้อย่างง่ายดาย แต่อสูรแมลงเงาเหล่านั้นนั้นรับมือยากมาก ต้องอาศัยเหล่าสหายแล้ว” ชายหนุ่มแซ่จู้มองไปทางลำธาร แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับหานลี่และพวกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านอาวุโสจู้โปรดวางใจ! มีเขตอาคมอสนีสวรรค์ชำระทมิฬ ประกอบกับพี่หานและเซียนเสี้ยว แม้ว่าอสูรแมลงเงาจะมีชื่อเสียงแต่ก็ไม่อาจหนีรอดไปได้แน่” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนสวมชุดสีเหลืองคนหนึ่งตบที่อกของตัวเองเป็นการรับประกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่ได้รับธงอสนีสวรรค์ชำระทมิฬไปก็เอ่ยสนับสนุนอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หานลี่และสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
แต่ชายหนุ่มแซ่จู้เห็นเช่นนั้น กลับพึงพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็พาหญิงงามล่วงหน้าลงไปในลำธาร
คนอื่นๆ ทยอยกันตามมาติดๆ
ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกภูเขายักษ์ ชายชราและชายวัยกลางคนที่รับหน้าที่เฝ้าระวังซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเมฆสีขาวนั้น ก็กำลังสนทนาอะไรกันอยู่สักอย่างอย่างสบายใจ
“ผู้เฒ่าจ้าว เจ้าว่าท่านอาวุโสจู้และพวกน่าจะไปถึงรังของคางคกเที่ยงแท้แล้วกระมัง จุ๊ๆ คางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตโตเต็มวัยสองตัว ถึงแม้ว่าจำนวนคนจะมาก แต่โลหิตที่แบ่งกันก็คงได้กันไม่น้อย โลหิตของลูกอสูรตัวอื่นๆ แม้นว่าจะไม่ได้มีประโยชน์อย่างตัวที่โตเต็มวัย แต่ก็มีประสิทธิภาพอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่ไร้ค่าจริงๆ ที่พวกเราลำบากถ่อมาถึงที่นี่ แต่น่าเสียดายพวกเราสองคนถูกจัดให้อยู่ด้านนอก เกรงว่าจำนวนของโลหิตวิญญาณที่แบ่งให้ ก็คงน้อยสุดกระมัง” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าก่นด่าชายชราชุดขาวที่อยู่ด้านข้าง
“หึๆ สหายสวินไม่พอใจ แต่อย่ามองแค่ข้อดีของคนที่เข้าไปในรังเลย ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนถวายชีวิตไปก็ได้นะ” ชายชราผู้นั้นหัวเราะแห้งๆ ออกมา ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“เพลี่ยงพล้ำ? คงไม่หรอก! ข้าว่าพวกของท่านอาวุโสจู้เตรียมการอย่างรัดกุมเช่นนี้ น่าจะจัดการได้อย่างง่ายดายถึงจะถูก จะมีอันตรายอันใด?” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนย่นคิ้วท่าทีไม่เชื่อถือ
“ดูแล้วสหายสวินคงจะเข้ามาในส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนนี้เป็นครั้งแรก สหายจำเอาไว้ให้ดีนะ ในแดนป่าเถื่อนนั้นไม่มีอะไรที่ปลอดภัยเต็มร้อย เทียบกับพวกเราที่คอยระวังภัยอยู่ที่นี่ หากมีอสูรโบราณหรือเผ่าประหลาดระดับเทพแปลงหรือระดับหลอมสุญตาฝูงใหญ่พุ่งออกมาจากเมฆก็อาจจะเป็นไปได้” ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“ฮ่าๆ…ผู้เฒ่าจ้าวพูดเกินไปหน่อยกระมัง! ที่นี่ลึกลับขนาดนี้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร…” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนได้ยิน กลับหัวเราะออกมายกใหญ่
ชายชรากลับสั่นศีรษะ ตอนที่ยังคิดจะเอ่ยอะไรอีกครั้ง ตรงข้ามกลับมีสิ่งแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
ลำแสงเปล่งประกายสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่คอหอยของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นศีรษะพลันกลิ้งหลุนๆ ลงไป โลหิตพุ่งขึ้นไปสองสามฉื่อ
“แย่แล้ว!”
ชายชรากลับมีปฏิกิริยาที่ว่องไว แทบจะในเวลาเดียวกันที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ร่างกายก็พุ่งออกไป ในเวลาเดียวกันพลันสะบัดแขนเสื้อ โล่สีเขียวด้านหนึ่งพลันพุ่งออกมา กลายเป็นลำแสงห่อหุ้มร่างเอาไว้ชั้นหนึ่ง แล้วยังอ้าปากออก พ่นสายรุ้งสีเงินอีกสายออกมา โคจรอยู่รอบร่างกาย
แต่ทุกอย่างล้วนไร้ซึ่งประโยชน์!
เหนือศีรษะของชายชราพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น กรงเล็บยักษ์สีเขียวดำขนาดสองสามจั้งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ตะปบลงมาราวกับสายฟ้า รวบทั้งชายชราและเกราะป้องกันเอาไว้ในมือและออกแรงบีบ
ชั่วขณะนั้นเสียงกรีดร้องอันน่าอนาถพลันดังขึ้น ชายชรากลายเป็นบ่อโลหิต คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ทารกวิญญาณก็ไม่อาจหนีออกมาได้
กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนไร้หัวที่ร่างกายสั่นเทา ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ด้านในมีทารกวิญญาณสูงสองชุ่น สองมือกำลังกอดสมบัติที่มีลักษณะเหมือนลูกธนูเอาไว้ คิดจะหนีไปด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
แต่ทารกวิญญาณเพิ่งจะเคลื่อนย้ายหนีไปได้สามสิบจั้งเศษ ก็มีลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วม้วนทารกวิญญาณเข้าไปข้างใน แล้วพลิ้วไหวหายวับไปอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงระดับเทพแปลงสองคนถูกสังหารทิ้งไปเสียอย่างนั้น
ครู่ต่อมาลำแสงสีดำเขียวสองสีที่พลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นใกล้ๆ ฉับพลันนั้นกลางอากาศพลันมีเงาร่างยักษ์สองร่างใหญ่ร่างหนึ่งเล็กร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
ตนหนึ่งสูงสิบจั้ง ใบหน้าเขี้ยวคล้ำมีเขี้ยวงอกออกมา บนหัวมีเขาสองเขา ร่างกายใหญ่โตราวกับภูตผี อีกตนหนึ่งกลับมีความสูงแค่สองสามจั้ง แต่ร่างกายอรชรอ้อนแอ้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่ง แต่มือหนึ่งกลับถือขวานยักษ์สีฟ้าที่สูงกว่านางเอาไว้ ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
แผ่นหลังของทั้งสองกลับมีปีกเนื้อสีแดงสดอยู่คู่หนึ่ง ด้านบนเปล่งอักขระหลากสีสันประหลาดๆ ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบดูงดงามมาก
“ไม่เลว ทารกของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเป็นของชดเชยชิ้นใหญ่ดังคาด เจ้าระเบิดไปเสียเลย มันจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยกระมัง!” หญิงงามผู้ถือขวานอยู่กำลังลอยอยู่เหนือศพไร้หัวและกวาดสายตาไป แลบลิ้นสีแดงออกมา เอ่ยอย่างเสียดายเล็กๆ
“ช่วงนี้ข้ากำลังจะพัฒนา จึงควบคุมพลังไม่ค่อยสะดวกนัก อีกอย่างแค่ทารกวิญาณของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งจะมีค่าอะไร สิ่งที่พวกเราต้องตามหานั้น ต้องเป็นทารกของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ถึงจะเป็นของชดเชยชิ้นใหญ่ที่แท้จริง หากโชคดีได้กินทารกวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ พวกเราก็อาจจะพัฒนาจนไปถึงระดับราชันย์สามง่ามราตรีได้” ตัวประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์ตนนั้นกลับเปล่งเสียงอู้อี้ๆ ราวกับฟ้าคำรามออกมา
ตอนที่ 1397
พลานุภาพของการตัดภูเขา
“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ไหนเลยจะกล่าวว่าสังหารก็สังหารได้เลย อย่างน้อยที่สุดเจ้ากับข้าร่วมมือกันก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ เอาล่ะ อย่าไร้สาระ ต้องรีบทำธุระให้เสร็จ ข้าไม่คิดว่าจะมาพบกับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรไวขนาดนี้ ที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ไปอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี” สตรีวัยดรุณีกลับตัดความคิดเพ้อฝันของสหายร่วมทาง แล้วย่นคิ้วขณะเอ่ย
“นี่จะแปลกอะไร กว่าครึ่งคนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เผ่ามนุษย์ส่งมาล่าสมบัติ ในเมื่อสังหารทิ้งแล้ว ภารกิจของเราก็เสร็จสมบูรณ์ ต่อให้มีปลาหลุดรอดแหไป ก็มอบให้คนที่อยู่ด้านหลังก็แล้วกัน พวกเรารับหน้าที่แค่กำจัดเป้าหมายที่ปรากฏตัวชัดเจนเท่านั้น” ภูตอัปลักษณ์กระพือปีกครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างโหดเ**้ยม
“นั่นมันก็ใช่ พวกเราไปกันเถิด อีกเดี๋ยวกองทัพก็น่าจะมาถึงแล้ว”
หญิงสาวผู้งดงามพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว หายวับไปจากที่เดิม ส่วนภูตอัปลักษณ์กลับอ้าปากออก ออกแรงสูด คาดไม่ถึงว่าจะดูดร่างไร้ศีรษะร่างนั้นเข้าไปในปาก เคี้ยวกร้วมๆ สองสามครั้ง แล้วกลืนลงไปในท้องทั้งหมด จากนั้นปีกยักษ์ที่แผ่หลังก็สยายออก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศเช่นกัน
และจากที่เผ่าประหลาดสองตนจากไปได้ไม่นานนัก ฉับพลันนั้นขอบฟ้าก็มีเสียงกึกๆ ประหลาดๆ ดังมาก เริ่มจากเบาๆ ทันใดนั้นเสียงพลันดังขึ้นเรื่อยๆ ขอบฟ้ามีจุดสีดำปรากฏขึ้น สองจุด สามจุด…ชั่วพริบตาก็มีจุดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ปรากฏอยู่เต็มไปหมด กระจายอยู่เต็มท้องฟ้าราวกับฝูงแมลงก็ไม่ปาน
จุดสีดำเหล่านี้มีนับพันนับหมื่นจุด แต่ทุกจุดล้วนมีความเร็วว่องไว ชั่วพริบตาก็เข้าใกล้ภูเขายักษ์
ครานี้พลันมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจุดสีดำได้อย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนติดปิดเหมือนกับภูตยักษ์และสตรีก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งสองต่างเปลือยท่อนแขนและขา นอกจากจุดตายแล้วก็สวมอาภรณ์น้อยชิ้นมาก และเห็นได้ชัดว่าจำนวนของภูตยักษ์มีมากกว่าสตรีติดปีก ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมอยู่ด้วยกันพลางส่งเสียงร้องคำรามผ่านภูเขายักษ์ไป
เผ่าประหลาดติดปีกเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บินไปมาอยู่บนท้องฟ้าเป็นระลอกๆ ไม่หยุด หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ขอบฟ้าก็ยังคงมีจุดสีดำปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เสียงบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป นอกจากเสียงหึ่งๆ แล้วคาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงฟ้าร้องคำรามดังออกมา ทันใดนั้นขอบฟ้าก็มีสิ่งมหึมาราวกับขุนเขาปรากฏขึ้น
เจ้าสิ่งนี้มีความสูงสองสามพันจั้ง เป็นสีเหลืองอ่อน เป็นทรงกลมกรวยเหมือนรังผึ้ง หมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่หยุด
เบื้องหน้าเจ้าสิ่งยักษ์นี้มีอสรพิษบินติดปีกเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ยี่สิบสามสิบตัว กำลังเลื้อยลากเจ้าสิ่งนี้ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้านข้างรังผึ้งมีเผ่าประหลาดติดปีกสวมชุดเกราะสงครามมือถือมีดยักษ์เป็นกลุ่มๆ กำลังห้อมล้อมเจ้าสิ่งยักษ์นี้ให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ของสิ่งนี้ดูเหมือนหนักอึ้งมาก แต่ความจริงแล้วกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คราที่บินผ่านภูเขายักษ์ที่มีพายุเฮอร์ริเคนนั้น ก็พัดหมอกวารีที่อยู่ด้านหลังออกไปไม่น้อย
การเคลื่อนไหวของ ‘รังผึ้ง’ ยักษ์ กลับทำให้อสูรวิหคสีขาวที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกด้านล่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นฝูงวิหคบินก็บินออกมาจากม่านหมอก อ้าปากออกพ่นธนูวารีสีดำเป็นสายๆ ออกมา
เมื่อเห็นฉากนี้เผ่าประหลาดสวมชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นก็ไม่ได้เกรงใจ แน่นอนว่าพลันโบกมีดยักษ์ในมือไปด้านล่าง ราวกับพยัคฆ์เข้าไปในฝูงแพะก็ไม่ปาน วิหคประหลาดทยอยกันบินหนีเข้าไปในหมอกด้านล่างอีกครั้ง
เผ่าประหลาดสวมชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นกลับไม่มีเจตนาจะสังหารอะไร แค่เก็บอาวุธมีดแล้วกลับไปกลางอากาศอีกครั้ง ติดตามสิ่งยักษ์ไปต่อ
‘รังผึ้ง’ ขนาดยักษ์หายวับไปจากจุดที่ไกลออกไป
บนขอบฟ้ามีของที่คล้ายกันอีกอันปรากฏขึ้น แต่ขนาดใหญ่กว่า ‘รังผึ้ง’ รังที่สอง และถูกเผ่าประหลาดฝูงใหญ่อีกฝูงปกป้องเอาไว้อย่างแน่นหนา
เช่นนั้นรังผึ้งยักษ์ชนิดนี้ก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทุกอันล้วนมีขนาดมหึมา หลังจากบินผ่านไปได้เกือบร้อยอันในที่สุดก็ไม่ปรากฏขึ้นอีก สิ่งที่มาแทนกลับเป็นฝูงอสูรโบราณที่มีรูปร่างแปลกพิสดาร
บ้างก็มีสามหัวสองปีก บ้างก็มีหัวเป็นมังกรหางเป็นวิหค บ้างก็มีร่างกายแค่สองสามฉื่อ แต่แผ่นหลังของอสูรโบราณเหล่านี้ รอบๆ ล้วนมีเผ่าประหลาดติดปีกคนหรือสองคนคอยควบคุมและบินไปมาไม่หยุดเต็มไปหมดมากกว่าสองสามหมื่นตัว
หลังจากอสูรโบราณเหล่านั้นบินไปแล้ว ขอบฟ้ากลับมีกระสวยยาวเปล่งประกายสีดำปรากฏขึ้น ความยาวยี่สิบสามสิบจั้ง หัวแหลมทั้งสองฝั่ง
กระสวยยาวเหล่านี้ไม่นับว่ามากมายนัก แค่พันกว่าลูก แต่ความเร็วของมันนั้นแค่กะพริบวาบ ก็มาถึงอีกฝั่งได้ของขอบฟ้าได้
เช่นนั้นชั่วครู่ กระสวยดำเหล่านั้นก็สลายหายไปจากบริเวณรอบๆ
ครานั้นขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
แต่ไม่นานนักขอบฟ้าก็มีลำแสงสว่างวาบ จุดสีดำเป็นฝูงๆ ปรากฏขึ้น หลังจากบินไปได้ชั่วครู่ มองเห็นใบหน้าชัดเจนแล้ว ก็อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
เห็นเพียงเผ่าประหลาดติดปีกเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเหมือนคนก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์เช่นกัน สตรีใบหน้างดงามดุจบุปผา แต่ตรงกลางของทุกฝูงจะมีเผ่าประหลาดขนาดยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งสองสามตัวปรากฏขึ้น ร่างกายใหญ่กว่าพวกเดียวกัน
บนร่างของเผ่าประหลาดเหล่านี้จะมีลวดลายโบราณสีทองบ้างเงินบ้างปรากฏอยู่ บางส่วนยังมีแม้กระทั่งเขากระดูกแหลมๆ ขนาดสูงยาวไม่เท่ากันปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ทุกตนดูเหมือนภูตผีที่ลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น
ความเร็วของเผ่าประหลาดฝูงนี้สู้คนในเผ่ากลุ่มแรกไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบินไปอยู่ใกล้ๆ หนึ่งในนั้นฝูงนั้นก็จะบินลงมาในทันที จากนั้นก็แตกกระจายออกพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง เผ่าประหลาดจำนวนไม่น้อยจมหายวับไปจากกลางอากาศ
เจ้ายักษ์สองตนของเผ่าประหลาดกลับลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ สีหน้าแข็งทื่อ
ตรงกลางของเจ้ายักษ์ทั้งสอง มีภูตอัปลักษณ์ติดปีกที่ร่างกายปกติอีกตนหนึ่ง สองแขนกอดอกลอยอยู่ตรงนั้น
คนผู้นี้ไม่เพียงจะมีปีกเนื้อที่มีขนาดใหญ่กว่าเผ่าประหลาดธรรมดาๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นดวงตายังเป็นสีทองอ่อน ผิวสีแดงสด แค่มองดูคนอื่นๆ ค้นหาอย่างเย็น แต่ครู่ต่อมา ไข่มุกสีทองพลันขยับ สายตาตกไปที่ภูเขายักษ์ที่สะดุดตามากเบื้องล่าง
ไม่นานนัก เผ่าประหลาดอื่นๆ นับร้อยตนก็บินกลับมาทั้งหมด ยืนประสานมือที่ด้านหน้าอยู่เบื้องหน้าเผ่าประหลาดยักษ์ตนนี้ ทุกตนล้วนมีท่าทีว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ
“มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสองคนที่ทัพแรกพบนั้น อยู่แถวๆ นี้ไม่ผิดแน่ใช่หรือไม่!” เผ่าประหลาดดวงตาสีทองเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“อรหันต์เมิ่งเสียง ข่าวที่ได้มาคือที่นี่ไม่ผิดแน่ แต่ในอาณาบริเวณสองสามร้อยลี้นอกจากภูเขาลูกนั้น ก็ค้นหาไปหมดแล้ว ไม่พบร่องรอยของเผ่าอื่นๆ ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นจะมีชีพจรศิลาแม่เหล็กแฝงอยู่ พวกเราจะไม่อาจตรวจสอบอย่างละเอียดได้” เผ่าประหลาดเพศหญิงวัยเยาว์ตนหนึ่งตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ชีพจรศิลาแม่เหล็ก! เช่นนั้นไม่ง่ายหรือ เปิดออกดูก็ได้แล้ว” เผ่าประหลาดดวงตาสีทองหัวเราะอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ชูมือขึ้น ลำแสงสีแดงสดปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลูกบอลลำแสงสีแดงสดราวโลหิตกลุ่มหนึ่ง และค่อยๆ หดขยายกะพริบวาบๆ ไม่หยุด
นิ้วทั้งห้าประกบกัน เผ่าประหลาดผู้นี้ทำให้ลูกบอลลำแสงที่หมุนโคจรออยู่ในมือ ลอยพลิ้วขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง
ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากมือ และยิ่งไปกว่านั้นยังขยายใหญ่ขึ้นในทันทีจนมีขนาดมหึมา กว่าครึ่งของท้องฟ้าถูกสะท้อนจนเป็นสีแดง
เผ่าประหลาดเผ่านี้คว่ำฝ่ามือลงด้านล่าง แล้วลอยพลิ้วไปด้านล่างอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นยอดเขาพลันมีลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ทันใดนั้นทุกอย่างเป็นดังปกติ
และในตอนนั้นเอง เผ่าประหลาดยักษ์ขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สองตนที่อยู่กลางอากาศพลันขยับแขนในมือพร้อมกัน แล้วทุบลงมาที่ภูเขายักษ์อย่างต่อเนื่อง
พลังมหาศาลไร้รูปร่างแทบจะฉีกชั้นบรรยากาศสองกลุ่มได้ปะทุออกมา แล้วผนึกรวมกันอีกครั้งด้วยพลังที่พลิกภูเขาพลิกทะเลได้ โจมตีไปยังยอดเขาด้านหนึ่งอย่างรุนแรง
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น ภูเขายักษ์ทั้งลูกเกิดเสียงอึกทึกขึ้น ยอดเขาครึ่งหนึ่งค่อยๆ ไถลลงมาราวกับเต้าหู้
……
หานลี่อยู่ภายในถ้ำมหึมาถ้ำหนึ่ง รอบกายมีลำแสงสีเทาเปล่งแสงระยิบระยับ ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้จนไม่มีช่องโหว่โผล่ออกมา แต่สีหน้ากลับดูไม่ได้ จ้องเขม็งไปยังจุดที่ห่างออกไปเพียงเจ็ดแปดจั้ง
ตรงนั้นชายร่างใหญ่สวมชุดสีเทาคนหนึ่งที่ร่างแยกออกเป็นสองส่วนนอนกองจมบ่อโลหิต ด้านข้างมีธงเล็กที่มีประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ด้านหนึ่ง
หานลี่รู้สึกหนาวสะท้าน
ชั่วพริบตาของเมื่อครู่พลันมีลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ร่อนลงตรงจุดที่ชายร่างใหญ่ล้มนอนกองอยู่ในบ่อโลหิต ผลคือกลายเป็นบ่อศพสองบ่อ
เช่นนั้นธงอาคมที่เดิมทีถืออยู่ในมือเพื่อสร้างเขตอาคมพลันเสื่อมประสิทธิภาพ เงาสีแดงทมิฬขนาดเท่ากำปั้นฝูงหนึ่งอาศัยจังหวะนี้หนีไปท่ามกลางลำแสงอัสนีทันที
หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา สตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวมือถือมีดหยดสีแดงสดด้ามหนึ่งเองก็ตะลึงงัน ในถ้ำอีกด้านที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปยี่สิบสามสิบจั้ง มีลำแสงสว่างวาบ เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด ชายหนุ่มแซ่จู้กำลังพาผู้บำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนที่เหลือ ร่วมมือกันล้อมฝูงอสูรคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตเอาไว้
ภายใต้ความคิดที่โคจรอย่างรวดเร็วของหานลี่ ตอนที่คิดจะกระตุ้นลำแสงเทวะดูดปราณให้ดูดแมลงเงาร้อยกว่าตัวเข้าไปข้างในเพื่อไม่ให้เงาสีแดงหนีไปได้นั้น ฉับพลันนั้นใต้ฝ่าเท้าพลันสั่นสะเทือน พื้นดินครึ่งหนึ่งของถ้ำพังทลายลง ในเวลาเดียวกันน้ำที่อยู่ใต้ดินภายในถ้ำพลันพวยพุ่งขึ้นมา คลื่นน้ำสูงสิบกว่าจั้งพลันทะลักออกมา ม้วนเข้ามาอย่างรุนแรง
ถ้ำทั้งถ้ำเริ่มแตกออกเป็นชุ่นๆ
หานลี่ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ภายใต้ความตกตะลึง สองมือพลันร่ายอาคมอย่างไม่ต้องคิด ลำแสงสีเทาบนร่างขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า คลื่นวารีกลืนกินร่างกายเขาเข้าไปภายในชั่วครู่…
หลังจากผ่านไปเวลาหนึ่งกาน้ำชา ลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกมาจากภูเขายักษ์ที่ยอดเขาเหลือเพียงครึ่งยอด
หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ชั่วขณะนั้นเงาร่างคนสิบกว่าสายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศต่ำๆ หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นพวกของชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงาม แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปด้านล่างแล้ว ก็พากันหน้าถอดสี
เห็นเพียงรอบๆ ด้าน มีคนของเผ่าประหลาดที่แผ่นหลังมีปีกสองข้างอยู่อย่างหนาแน่นเกือบร้อยคน กำลังจ้องเขม็งมายังพวกเขาตาเป็นมัน
กลิ่นอายของทุกคน แทบจะดูเหมือนว่าไม่ด้อยไปกว่าระดับเทพแปลง ระดับหลอมสุญตาขึ้นไปมีอยู่มากกว่าหกเจ็ดตน
“คนก็มีอยู่ไม่น้อย แต่มีมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแค่สองคน ข้าคร้านจะลงมือ มอบให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน จับเป็นได้ก็จับเป็น ไม่แน่ว่าอาจจะซักถามอะไรได้” เผ่าประหลาดดวงตาสีทองผู้นั้นมองพลังยุทธ์ของพวกชายหนุ่มแซ่จู้ออกในปราดเดียว พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทันใดนั้นพลันสะบัดปีก มันหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมาก็มาปรากฏห่างออกไปร้อยจั้งเศษ เปล่งแสงสว่างวาบอีกสองครั้ง แล้วหายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
เผ่าประหลาดที่โจมตีแยกภูเขาหมื่นจั้งตนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะถอนกำลังออกไม่สนใจเรื่องนี้เลยจริงๆ
ตอนที่ 1398
ราชันย์สามง่ามราตรี
“เผ่าสามง่ามราตรี! เผ่ามนุษย์ของพวกเราไม่เคยประมือกับเผ่าท่านในสงคราม ทุกท่านมารบกวนการล่าสมบัติของพวกเราอย่างไม่เป็นธรรม และยิ่งไปกว่านั้นยังมาล้อมพวกเราไว้ มีเหตุผลอันใดหรือ?” ชายหนุ่มแซ่จู้มีสีหน้าเขียวคล้ำไปเล็กน้อย แต่หลังจากที่เห็นหัวหน้าของเผ่าสามง่ามราตรีซึ่งไม่อาจมองพลังยุทธ์ออกได้จากไปแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกว่าโชคดีเล็กๆ
“ลงมือ!”
สตรีเผ่าสามง่ามตรีคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนของเผ่าที่เหลือร้อยกว่าคนได้ยิน พลันหัวเราะร่วนให้พวกของชายหนุ่มแซ่จู้ แต่ปากเล็กๆ กลับพ่นคำสั่งสังหารที่เย็นเยียบออกมา คาดไม่ถึงว่าจะไม่อธิบายเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นบุรุษและสตรีที่อยู่รอบๆ พลันสะบัดมีดดาบในมือ แล้วทยอยกันปล่อยมีดลำแสงที่หนาเป็นพิเศษเป็นสายๆ ออกมาจากขวานและใบมีดยักษ์
สถานการณ์เช่นนี้เหมือนกับครั้นเมื่อเผ่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรร่วมมือกันโจมตีฝูงมดโลหิตดำก่อนหน้านี้ก็ไม่ปาน แต่แค่ผู้ที่ถูกล้อมไว้เปลี่ยนเป็นฝั่งมนุษย์บ้างเท่านั้น
แม้นว่าจำนวนคนและพละกำลังจะค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ชายหนุ่มผมสีเงินก็ไม่ได้เหลือทนจนต้องโจมตีอย่างมดโลหิตดำ ทันใดนั้นคนของเผ่ามนุษย์สิบกว่าคนก็ทยอยกันปล่อยสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาด้วยความลนลาน กลายเป็นลำแสงหลากสีสันต้านทานเอาไว้อย่างสุดชีวิต หนึ่งในนั้นมีคนสำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกายออกมา ร่างกายพลิ้วไหวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ หมายจะสะบัดก้นแนบ
ท่ามกลางความตกตะลึงระคนโกรธแค้นของชายหนุ่มแซ่จู้ เขากลับร่างกายพลิ้วไหวมาอยู่ข้างสตรีผู้งดงาม ทั้งสองคนยื่นมือที่กำแน่นข้างหนึ่งออกมา ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าและแดงสองสายก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ทันใดนั้นพลันอ้าปากออก พ่นธงเล็กๆ ด้ามหนึ่งออกมา
เมื่อพ่นธงเล็กๆ ที่มีอักขระนิรนามหนาแน่นตั้งไม่รู้กี่ชั้นออกจากปากสองด้าม ก็เปล่งแสงนับหมื่นสายออกมา ทันใดนั้นทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นลำแสงยักษ์สีแดงฟ้าชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้
ในตอนนั้นเองมีดลำแสงเหล่านั้นก็ตวัดไปกลางอากาศกลายเป็นรอยสีขาวเป็นสายๆ
เสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นขึ้น มีดลำแสงระเบิดออก
ลำแสงที่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสร้างขึ้นต้านทานเอาไว้ได้เพียงชั่วครู่ ก็ถูกมีดลำแสงสับทะลุออก แล้วถูกกลบไปจนหมด
เสียงร้องอันเจ็บปวดรวดร้าวดังออกมาท่ามกลางระเบิดอย่างต่อเนื่อง
แต่มีดลำแสงยักษ์สองสามสายนี้กลับไม่ได้เข้าร่วมการโจมตี แต่ฉับพลันนั้นกลับเปลี่ยนทิศทางสับลงไปกลางอากาศห่างจากใจกลางไปไม่ไกลนักสองสามที่
หลังจากตวัดผ่านรอยแยกสีขาวเป็นสายๆ ไปแล้ว ลำแสงสีโลหิตกลางอากาศก็ทยอยกันทะลักออกมากลางอากาศ ร่างที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนสองสามร่างร่วงดิ่งลงไปหาพสุธา
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นที่แต่เดิมอำพรางกายอยู่ ไม่อาจหนีรอดจากเงื้อมมือของเผ่าสามง่ามราตรีเหล่านั้นไปได้ ถูกสับร่างออกอย่างง่ายดาย
ครานี้ลำแสงตรงใจกลางค่อยๆ หม่นแสงลง เผยสถานการณ์ด้านในออกมา
เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่เดิมมีสิบกว่าคน ครานี้เหลือยืนอยู่แค่ห้าหกคน หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มแซ่จู้และภรรยารวมอยู่ด้วย
คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอาศัยสมบัติที่แข็งแกร่ง ต้านทานการร่วมมือกันโจมตีของสามง่ามราตรีเอาไว้ ส่วนคนอื่นๆ นั้น แน่นอนว่าต่างถูกโจมตีจนกลายเป็นผุยผง
และไม่ว่าจะเป็นธงยักษ์ของชายหนุ่มและภรรยา หรือว่าสมบัติสองสามชิ้นที่ลอยอยู่เบื้องหน้าของคนอื่นๆ ครานี้ล้วนหม่นแสงลง บ้างก็สำแดงรอยแตกเป็นเส้นเล็กๆ ออกมา
เห็นได้ชัดว่าล้วนได้รับความเสียหาย ไม่อาจรับการโจมตีต่อไปได้อีก
แต่หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังเหลืออยู่เห็นความน่ากลัวจากการโจมตีจากเหล่าสามง่ามราตรีเมื่อครู่ ก็ไม่อาจยืนนิ่งรอความตายอยู่ที่เดิมได้อีก
ทันใดนั้นชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงาม พลันชี้ไปที่ธงยักษ์สองด้ามเบื้องหน้า
หลังจากที่ธงทั้งสองด้ามหมุนติ้วๆ แล้วก็เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็สั่นคลอนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น พวกมันระเบิดตัวเองออกพร้อมกัน
ชั่วขณะนั้นพายุเฮอร์ริเคนสีแดงฟ้าสองกลุ่มพลันปรากฏขึ้น พวยพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในชั่วพริบตา!
ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงามร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นลำแสงสองสายจมหายเข้าไปในพายุเฮอร์ริเคน จากนั้นก็กระตุ้นพายุเฮอร์ริเคนสองกลุ่มให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กลายเป็นสิ่งมหึมาสูงสองสามร้อยจั้ง เปล่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้องออกมาพุ่งตัดท้องฟ้าไปอย่างดุดัน
เหล่าสามง่ามราตรีบุรุษและสตรีที่ต้านอยู่เบื้องหน้านั้น แม้ว่าจะมีนิสัยชอบความรุนแรง เห็นความน่ากลัวของพายุเฮอร์ริเคน ก็อดที่จะเกิดความโกลาหลขึ้นไม่ได้
มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออีกสองสามคนทั้งตกตะลึงระคนดีใจ และถือโอกาสนี้กลายเป็นสายรุ้งไล่ตามพายุเฮอร์ริเคนไปติดๆ เป็นสายๆ
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้รู้ดีว่า หากไม่คว้าโอกาสรอดชีวิตครั้งสุดท้ายนี้ ก็ไม่มีหนทางให้รอดแล้ว
จุดที่พายุเฮอร์ริเคนสีฟ้าแดงพุ่งผ่านไปบรรยากาศรอบๆ พลันรางเลือนบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดถึงพลานุภาพที่น่ากลัว เมื่อเห็นพายุเฮอร์ริเคนทะลวงเข้าไปในฝูงชนของสามง่ามราตรี ฉับพลันนั้นเงาสีดำขนาดยักษ์สองสายก็ปรากฏขึ้นเหนือพายุเฮอร์ริเคน ยังไม่ทันที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออยู่จะพบว่าเกิดอะไรขึ้น เสียง “ตูม” พลันดังขึ้นสี่ครั้ง พลังมหาศาลไร้รูปร่างสี่กลุ่มโจมตีไปยังพายุเฮอร์ริเคนพร้อมกัน
ชั่วขณะนั้นพายุเฮอร์ริเคนพลันสั่นคลอน ถูกต้านทานเอาไว้ที่เดิม
คาดไม่ถึงว่าสามง่ามราตรียักษ์สูงห้าสิบหกสิบจั้งสองตนที่ลอยอยู่ด้านหลังสามง่ามราตรีตนอื่นๆ จะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏขึ้นทั้งสองฝั่งของพายุเฮอร์ริเคน กำปั้นทั้งสี่ที่ใหญ่ยักษ์ราวกับห้องห้องหนึ่งโจมตีออกไปพร้อมกัน อาศัยแค่แรงมหาศาลก็ต้านทานพายุเฮอร์ริเคนเอาไว้ได้
ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงามที่อยู่ในพายุเฮอร์ริเคนพลันตกตะลึง ทั้งสองใส่ลมปราณทั้งหมดลงไปในทันทีอย่างไม่ต้องคิด พายุเฮอร์ริเคนสีฟ้าแดงหนาแค่ครึ่งหนึ่งพุ่งออกไปอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ดูเหมือนภูเขาขนาดย่อมทั้งสองที่อยู่กลางอากาศ พลันเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบที่ดวงตา แขนทั้งสี่โบกสะบัด คาดไม่ถึงว่าจะรางเลือนไป
กำปั้นเงาขนาดยักษ์สองสามสายปรากฏขึ้นทั้งสองฝั่งของพายุเฮอร์ริเคน ครู่ต่อมา ก็โจมตีไปยังพายุเฮอร์ริเคนอย่างบ้าคลั่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง ชั่วขณะนั้นลำแสงหลีกหนีก็เปลี่ยนทิศทาง หมายจะหนีไปจากบริเวณนั้น
แต่ในตอนนั้นเอง รอบด้านพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น มีดลำแสงขนาดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนพลันเปล่งเสียงร้องครวญออกมา
คนของเผ่าสามง่ามราตรีนับร้อยตนที่อยู่รอบๆ คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มโจมตีระลอกที่สอง
ครานี้ไม่เพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีจะเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงามในพายุเฮอร์ริเคนเองก็หน้าถอดสี
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน
……
ในส่วนลึกของใต้ดิน หานลี่ที่รอบกายมีลำแสงสีเทาเปล่งแสงระยิบระยับ กำลังหนีไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ รอบกายของเขามีลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นรอบๆ ไม่หยุด ตัดสลับกับลำแสงสีเทาที่ห่อหุ้มเรือนร่างของเขาไปมาไม่หยุด จากนั้นก็เปล่งแสงระยิบระยับเป็นชั้นๆ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก!
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ได้ตามคนส่วนใหญ่ขึ้นไปบนพื้นดิน แต่เสียงอันดังสนั่นเมื่อครู่ แม้ว่าเขาจะอยู่ใต้ดินลึกขนาดนี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดถึงความน่ากลัวของระเบิดในครั้งนี้
หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่พุ่งออกไป จะถูกสังหารจนหมดแล้ว
หานลี่ครุ่นคิดแล้วพลันใจหายวาบ
จะว่าไปแล้วที่ถ้ำใต้ดินพังถล่มลงมาและระลอกคลื่นยักษ์พัดมาเมื่อครู่นั้น คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าสำแดงความสามารถลี้ธรณีหนีไปใต้ดินเพราะชีพจรศิลาแม่เหล็ก จึงทำได้เพียงพุ่งออกไปบนพื้นดินจากช่องหิน แต่เขาที่มีลำแสงเทวะดูดปราณ เดิมทีก็สามารถควบคุมพลังเบญจธาตุและพลังแม่เหล็กจำนวนมากในใต้หล้าอยู่แล้ว จึงลองเสี่ยงหนีไปทางใต้ดิน
ประกอบกันเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขาจึงสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเผ่าประหลาดที่แข็งแกร่งกลางอากาศในทันที ไหนเลยจะกล้ารั้งรออยู่ที่นี่ต่อไป จึงปล่อยลำแสงเทวะดูดปราณออกมาอย่างไม่ต้องคิด หมายจะหนีไปทางใต้ดิน
ทว่าก่อนที่จะหนีลงใต้ดิน คางคกเที่ยงแท้ดวงตาสีเขียวมรกตกลับพุ่งออกมาจากส่วนลึกของถ้ำในสภาพที่มีแผลเต็มตัวฝูงหนึ่ง และมาพบกับหานลี่อย่างพอดิบพอดี
มีเรื่องดีๆ เข้ามาหาถึงที่ แน่นอนว่าเขาจึงไม่มีทางปล่อยไป ทันใดนั้นจึงสำแดงความสามารถต่างๆ ออกมาอย่างไม่เสียดายลมปราณ แค่พบหน้าก็สังหารคางคกเที่ยงแท้ที่เดิมทีก็สู้ไม่ไหวเหล่านั้นทิ้ง หลังจากเก็บซากมันไปแล้ว ก็หนีไปใต้ดินทันที
ส่วนสมุนไพรดอกพันใจที่ชายหนุ่มแซ่จู้พูดถึง เขานั้นไม่มีเวลาไปตามหาเลยสักนิด
ความร้ายกาจของชีพจรศิลาแม่เหล็กนั้นเหนือกว่าที่หานลี่คิดเอาไว้ แต่ลำแสงเทวะดูดปราณของเขาก็ไม่ธรรมดา อาศัยพลังของภูเขาเทวะดูดปราณก็พอจะคุ้มครองตนเองได้ ชดเชยพลังแรงดูดมหาศาลในส่วนลึกของใต้ดินไป
แม้นว่าเผ่าประหลาดเหล่านี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ในอาณาเขตของชีพจรศิลาแม่เหล็ก คิดดูแล้วก็ไม่กล้าแอบตามรอยเขาเข้าไปใต้ดิน
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่พลันรู้สึกผ่อนคลายลง
น่าเสียดายที่ไม่อาจตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ ได้ เพราะชีพจรศิลาแม่เหล็ก มิเช่นนั้นก็คงวางใจมากกว่านี้
ในตอนที่ในหัวของหานลี่มีความคิดผุดขึ้นเต็มไปหมดนั้น เขาที่อยู่ใต้ดินก็พุ่งหนีไปได้สองสามพันลี้แล้ว ลำแสงสีเงินรอบด้านก็ค่อยๆ จางลง
หลังจากที่ลำแสงสีเงินสลายหายไป หานลี่ก็เปลี่ยนสีหน้า รู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว ทันใดนั้นจึงแผ่จิตสัมผัสขึ้นไปบนพื้น
ด้านบนมีสิ่งประหลาดเหมือนกับหุบเขาแห่งหนึ่ง สามด้านติดกับภูเขา มีทางออกเพียงด้านหนึ่ง ทุกแห่งล้วนเป็นสีเขียวขจี ไม่มีสิ่งใด และสัมผัสถึงกลิ่นอายของอสูรโบราณที่แข็งแกร่งและเผ่าประหลาดไม่ได้
หลังจากที่หานลี่ตรวจสอบซ้ำอีกสองสามครั้ง ในที่สุดถึงได้วางใจ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปบนพื้นดิน
เบื้องหน้าเปล่งประกาย หลังจากที่ลำแสงหม่นแสงลง คนก็มาหยุดอยู่กลางอากาศห่างจากพื้นไปยี่สิบสามสิบจั้ง
แต่เมื่อหานลี่กวาดสายตาไป สายตาก็ตกไปที่บริเวณรอบๆ ร่างทั้งร่างหนาวสะท้าน พลันชะงักค้าง
เห็นเพียงห่างจากต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งไปได้ร้อยจั้งเศษ มีภูตอัปลักษณ์ร่างกายสูงใหญ่สองตนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่
ปีกที่แผ่นหลังของสามง่ามราตรีสองตนใหญ่โตเป็นพิเศษ ร่างกายสูงสิบจั้งเศษ ครานี้กำลังเอียงศีรษะมองมา แววตาประหลาดใจ
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเห็นสามง่ามราตรีสองตน แต่เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนร่างของสามง่ามราตรีทั้งสองตน เมื่อกวาดจิตสัมผัสไป ดูเหมือนว่ายอดของต้นไม้ยักษ์นั้นจะว่างเปล่า
นั่นหมายถึงอะไร หานลี่ย่อมรู้ดี
สามง่ามราตรีสองตนนี้มีพลังยุทธ์เหนือกว่าเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าราชันย์สามง่ามราตรีในเผ่าสามง่ามราตรี
เช่นนั้นเขาจะไม่รู้สึกหนาวสะท้านจนแม้แต่ลมหายใจยังหยุดชะงักได้อย่างไร
ในตอนที่หานลี่ร้องอุทานอย่างขมขื่นอยู่ในใจ สามง่ามราตรีสองตนยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีกด้านหนึ่งห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ลำแสงพลันสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีห้าสีอีกสายหนึ่งพุ่งออกมาจากใต้ดิน คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งปรากฏตัว
หานลี่มองไปตาค้าง เมื่อเห็นคนผู้นี้อย่างชัดเจน ใบหน้าก็อดที่จะฉายแววประหลาดใจไม่ได้
คนผู้นี้มีร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ใต้ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนสำเภาหยกห้าสี นั่นก็คือสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยว
สตรีผู้นี้มองเห็นหานลี่พลันมีสีหน้ายินดี คิดจะเอ่ยปากทักทาย เมื่อสายตากวาดไปมองเห็นสามง่ามราตรีระดับสูงสองตนที่ยืนนิ่งอยู่ สีหน้าก็เขียวคล้ำไปเล็กน้อย
ตอนที่ 1399
ทาส
“แปลกจัง! กลิ่นอายของสองคนนี้เหมือนกับสองคนที่อยู่ในกลุ่มมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่ข้าพบเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าพวกนั้นไร้ประโยชน์เสียจริง คาดไม่ถึงว่าเรื่องแค่นี้ก็ยังจัดการไม่ได้” สามง่ามราตรีตนหนึ่งมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่านขณะเอ่ย
คิดไม่ถึงว่าสามง่ามราตรีตนนี้คือหัวหน้าสามง่ามราตรีที่สับภูเขาไปก่อนหน้านามว่า ‘เมิ่งเสียง’ ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
“ราชันย์อมตะ! ใต้ดินในบริเวณนี้มีชีพจรศิลาแม่เหล็ก สองคนนี้มีฝีมือหนีมาทางใต้ดินโดยไม่ได้รับผลกระทบได้ ก็ไม่อาจโทษลูกน้องของท่านได้” สามง่ามราตรีอีกตนหนึ่งกลับหัวเราะหึๆ ออกมาขณะเอ่ย มองปราดเดียวก็รู้สาเหตุที่หานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวหนีออกมาได้
“หึ นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยให้เจ้าสองคนนี้หนีมา กลับไปข้าจะลงโทษพวกมัน เจ้าสองคนหนีมาถึงที่นี่ได้ ก็นับว่ามีฝีมือ ทว่าก็ต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้” ราชันย์สามง่ามราตรีตนแรกแค่นเสียงอย่างเย็นชา ชูมือหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้น หมายจะลงมือสังหารทั้งสองคน
หานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวพลันหน้าเปลี่ยนสี
แผ่นหลังของคนผู้หนึ่งมีเสียงฟ้าฟาด คาดไม่ถึงว่าจะหงส์เงาห้าสีและวิหคเงาขนาดยักษ์สีเขียวปรากฏขึ้น หลังจากที่ทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบ ก็กลายเป็นปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง
อีกคนหนึ่งสำเภาห้าสีใต้ฝ่าเท้าเปล่งเสียงร้องคำราม หมุนวนแล้วกลายเป็นมังกรวารีประหลาดห้าหัวยาวสิบจั้งเศษตัวหนึ่ง หัวทั้งห้าแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางดุดัน
“ราชันย์อมตะ ช้าก่อน! สองคนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นเงาเที่ยงแท้ของหงส์สวรรค์และวิหคมัจฉา ใต้ฝ่าเท้าของอีกคนหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นมังกรเที่ยงแท้แปลงร่าง จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมังกรวารีห้าสี ช่างน่าสนใจจริงๆ!” สามง่ามราตรีอีกคนหนึ่งเห็นหานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวสำแดงความสามารถเมื่อครู่ กลับดวงตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากตะโกนห้ามสหาย
“ราชันย์วัฏสงสาร เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าอยากให้ข้าปล่อยพวกมันไป อีกอย่างข้าน้อยไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกด้วยความเคารพ นายท่านเรียกข้าด้วยแซ่เถิด” สามง่ามราตรีตนแรกย่นคิ้ว แม้นว่าจะสลายลำแสงโลหิตออกตามคำพูด แต่กลับหันหน้ามาเผยสีหน้าไม่พอใจ
“ฮ่าๆ เรื่องนี้ข้าเผลอละเลยเอง อรหันต์เมิ่งเสียง เมื่อครู่เจ้ากับข้าไม่ได้กำลังโต้เถียงเรื่องนี้กันอยู่หรือ ไม่สู้ใช้สองคนนี้มาเดิมพันเป็นอย่างไร?” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ราชันย์วัฏสงสาร’ หัวเราะฮ่าๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกของสหายเป็นแซ่แทนจริงๆ
“เดิมพัน เดิมพันอะไร?” สามง่ามราตรีนามว่า ‘เมิ่งเสียง’ ชักสีหน้า เหมือนจะเดาเจตนาของอีกฝ่ายออก
“ง่ายมาก เอาเรื่องที่เราสองคนโต้เถียงกันเมื่อครู่มาเป็นการเดิมพัน ใครทำสำเร็จก่อน ก็ถือว่าเป็นฝ่ายชนะเป็นอย่างไร?” ราชันย์วัฏสงสารเบะปาก เผยสีหน้าโหดเ**้ยมออกมา
“หึ แค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสองคน พวกเราแค่ลงมือก็เอาชีวิตของพวกมันได้แล้ว จะมาตัดสินผู้แพ้ชนะอะไร?” ราชันย์อมตะเอ่ยอย่างเย็นชาเป็นพิเศษ
“สองคนนี้ล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ยิ่งไปกว่านั้นเราสองคนยังไม่อาจลงมือเองได้ ไม่สู้ปล่อยทาสของพวกเราไปต่อกรกับมันเป็นอย่างไร เช่นนั้น คิดดูแล้วการต่อกรกับเผ่ามนุษย์สองคน ก็เพียงพอจะให้เจ้าและข้ารู้แล้วว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ” ราชันย์วัฏสงสารกลับเอ่ยอย่างมีแผนการ
“ทาส…เยี่ยม ตามที่เจ้าว่า หรือว่าข้ายังต้องกลัวว่าจะแพ้เจ้า?” ราชันย์อมตะมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนจะรู้สึกว่าการพนันครั้งนี้ไม่มีปัญหาอะไร ในที่สุดก็ตอบตกลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ฮ่าๆ เยี่ยมมาก เจ้าสองคนได้ยินที่พวกข้าคุยกันแล้ว อย่าหาว่าพวกเรารังแกพวกเจ้าเลย ให้โอกาสพวกเจ้าได้มีรอดชีวิตครั้งหนึ่ง ให้พวกเจ้าหนีไปก่อนพันลี้ เราสองคนถึงจะปล่อยทาสออกไปสังหารพวกเจ้า แต่ต้องระวังหน่อย เจ้าสองคนอย่าแยกกันเกิดร้อยลี้ มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าพวกเราสองคนลงมือเอง” ราชันย์วัฏสงสารพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับพวกของหานลี่อย่างเคร่งขรึม
“พันลี้?” หลังจากที่หานลี่ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ปีกกึ่งโปร่งใสบนแผ่นหลัง สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้น
“ใช่แล้ว แน่นอนว่าหากภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป พวกเราไม่หนีออกไปเกินพันลี้ ข้าก็จะส่งทาสออกไปเช่นกัน อย่าคิดว่าจะโชคดีล่ะ” ราชันย์วัฏสงสารเอ่ยอย่างราบเรียบ แต่เนื้อหาในคำพูดกลับไร้ความรู้สึกเป็นอย่างมาก
หานลี่หางตากระตุก เอียงศีรษะเหลือบมองสตรีแซ่เสี้ยวที่อยู่ใกล้ๆ สตรีผู้นี้ส่งยิ้มฝืนๆ ให้ สีโลหิตบนใบหน้าฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย แต่เมื่อประสานกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางแล้ว ก็จึงยิ่งเผยความอ่อนแอออกมา
“ตกลง สหายเสี้ยว พวกเราไปกันเถิด!” หานลี่เงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นปีกที่แผ่นหลังพลันขยับ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมาคนกลับมาปรากฏตัวในระยะร้อยจั้ง เปล่งแสงสว่างวาบกลางอากาศอย่างเงียบๆ ปรากฏตัวขึ้นข้างกายสตรีแซ่เสี้ยว คาดไม่ถึงว่าจะร่อนลงมาบนร่างของมังกรวารียักษ์ห้าหัวเช่นกัน
ความสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาของหานลี่ หลังจากที่สามง่ามราตรีสองคนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว แววตาพลันฉายแววตกตะลึงออกมา แต่ทันใดนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สตรีแซ่เสี้ยวพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
ในเมื่อทั้งสองถูกตัดสินว่าให้หนีไปด้วยกัน แน่นอนว่าหานลี่มีความสามารถมากขนาดไหน โอกาสรอดของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นสตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ให้หานลี่เอ่ยปาก เท้าเรียวแตะไปบนมังกรวารีประหลาดห้าหัวใต้ฝ่าเท้า
หัวทั้งห้าของมังกรวารีตนนี้พลันสะบัด กลายเป็นลำแสงห้าสีห่อหุ้มร่างของทั้งสองไว้ในทันที พุ่งตรงไกลออกไป ความเร็วน่าตกตะลึงเช่นกัน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไปตรงขอบฟ้า
ราชันย์สามง่ามราตรีสองตนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แค่จ้องเขม็งไปยังจุดที่ทั้งสองหนีไปอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะมั่นใจในสิ่งที่เรียกว่า ‘ทาส’ อย่างเต็มเปี่ยม
จากความเร็วในการควบคุมลำแสงหลีกหนีห้าสีของสตรีแซ่เสี้ยว ระยะพันกว่าลี้ ใช้เวลาแค่ครึ่งเค่อก็มาถึงแล้ว
แต่ในเมื่อราชันย์สามง่ามราตรีสองคนให้เวลาหนึ่งก้านธูป หลังจากที่สตรีผู้นี้บินออกมาได้ร้อยกว่าลี้ ก็ลดระดับความเร็วลงในทันที จากนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่เอว ด้านบนมีแผ่นหยกสีขาวหิมะบินออกมา กลายเป็นลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้
“หยกลำแสงสีขาวถูกสร้างขึ้นจากพลังของอาทิตย์เที่ยงแท้ ถึงแม้จะเป็นราชันย์สามง่ามราตรีระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่อาจใช้แค่จิตสัมผัสสอดแทรกเข้ามาในนี้ได้ จากนี้พวกเราก็คุยกันได้อย่างวางใจแล้ว” สตรีแซ่เสี้ยวอธิบายอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ากลับเผยความโศกเศร้าออกมา
“มีอะไรต้องคุย ครั้งนี้เกรงว่าพวกเราคงมีแต่ต้องตายมากกว่าอยู่แล้ว” หานลี่มุมปากกระตุก เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“สหายคิดว่าราชันย์สามง่ามราตรีสองตนนั้นมีพลังขนาดไหน?” สตรีแซ่เสี้ยวกลับดวงตาเปล่งประกายสองสามครั้ง ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมาขณะเอ่ยถาม
“ขนาดไหน? อย่างน้อยที่สุดก็เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเรา แม้นว่าข้าจะไม่อาจตรวจสอบกำลังที่แท้จริงของพวกมันได้ แต่ข้าก็เคยเผชิญหน้ากับพฤกษาวิญญาณระดับเงินของเผ่าพฤกษามาแล้ว แต่ความรู้สึกที่แผ่มาถึงข้ากลับสู้สามง่ามราตรีสองตนนั้นไม่ได้เลย เกรงว่าสามง่ามราตรีทั้งสองคงจะไม่ใช่ราชันย์สามง่ามราตรีธรรมดาๆ” หานลี่ตอบกลับอย่างขบคิดอย่างละเอียด
“ความหมายของสหายคือ พวกมันอาจจะเป็นมหาราชันย์สามง่ามราตรี?” สตรีแซ่เสี้ยวร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ถึงแม้จะไม่ใช่ เกรงว่าก็อาจจะเป็นรองแค่นั้น” หานลี่ตอบกลับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เช่นนั้นสีหน้าของสตรีแซ่เสี้ยวก็ยิ่งดูไม่ได้
“สหายเสี้ยว รู้จักทาสที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องไม่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจมาก” หานลี่เอ่ยถามกลับ
“เรื่องนี้น้องหญิงเคยได้ยินมาจากปรมาจารย์ในสำนัก ว่ากันว่าระดับรับราชันย์ในเผ่าสามง่ามราตรีจะเลี้ยงดูครึ่งภูตครึ่งปีศาจเอาไว้ ปกติแล้วจะให้กินโลหิตบริสุทธิ์ของตัวราชันย์เอง ดังนั้นพละกำลังจึงยิ่งสูงและแข็งแกร่งขึ้นตามตัวของราชันย์สามง่ามราตรี ส่วนความสามารถนั้นจะอยู่ในระดับหนึ่งถึงสามส่วนของตัวราชันย์สามง่ามราตรี อันตรายมาก ดังนั้นหากสามง่ามราตรีสองตนคือมหาราชันย์สามง่ามราตรีจริงๆ เกรงว่าทาสของพวกเขา ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา” สตรีแซ่เสี้ยวขบกรามแน่น
หานลี่ได้ฟังพลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
“เรื่องมาถึงครานี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดพวกเราสองคนคงต้องแลกเปลี่ยนความสามารถและพละกำลังคร่าวๆ ต่อกันและกันแล้ว จะได้ร่วมมือกันได้สะดวกขึ้น” สตรีแซ่เสี้ยวเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“อันใด เซียนเสี้ยวคิดจะต่อกรกับทาสเหล่านั้น?” หานลี่ขมวดคิ้วแล้วกลับเอ่ยถาม
“ไม่โจมตีให้พวกมันล่าถอย พวกเราจะหนีรอดได้อย่างไร” สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินแล้วพลันตกตะลึง
“สหายคงไม่คิดจริงจังกับแผนของราชันย์สามง่ามราตรีสองตนนั้นหรอกนะ หากทาสพวกนั้นสังหารพวกเราได้ยังพอว่า หากกลับเป็นพวกเราที่สังหารมันได้ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะลงมือเองจริงๆ หรือ? ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยสัญญากับพวกเราว่าหากสังหารทาสได้ก็จะไว้ชีวิตของพวกเรานะ” หลังจากที่หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงเรื่องนี้ แต่ทำตามความรู้สึกอย่างไม่อยากคิดมากเท่านั้น
“เช่นนั้นสหายมีแผนอย่างไร?” ดวงตาสดใสของสตรีแซ่เสี้ยวจ้องเขม็งไปยังหานลี่ ย้อนถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่มี ตอนนี้มีเพียงต้องรอดูสถานการณ์แล้ว แต่หากทาสนั้นน่ากลัวอย่างที่เจ้าพูด พวกเราคงไม่อาจต่อกรได้ ต่อให้ไม่ประมือแค่หนี แต่จะหนีการไล่ล่าของราชันย์สามง่ามราตรีสองตนนั้นอย่างไร นอกเสียจากว่าพลังยุทธ์ของพวกเราจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า บรรลุระดับผสานอินทรีย์ถึงจะเป็นไปได้ หรือไม่ก็ต้องพบเขตอาคมส่งตัวแถวๆ สักแห่ง แล้วส่งตัวออกไปสักสองสามหมื่นลี้ ถึงจะหนีพ้นได้” หานลี่เม้มริมฝีปาก ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ สตรีแซ่เสี้ยวกลับมีสีหน้าแปลกประหลาดฉายแวบผ่าน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ทว่าการร่วมมือกันต้านทานศัตรู ก็เป็นวิธีที่ไม่มีวิธีใดแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็รักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้สักพัก” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำออกมา
สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างจนปัญญาเช่นกัน ทันใดนนั้นก็เอ่ยปากแนะนำเคล็ดวิชาและความสามารถของสมบัติของตนเอง…
หลังจากผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา หานลี่และพวกก็กดลำแสงหลีกหนี แต่ยังคงอยู่ห่างออกไปพันลี้
ในตอนนั้นเองจุดที่ห่างออกไป เสียงร้องเหมือนเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นสองครั้ง น้ำเสียงแหลมสูงสะท้านฟ้า
ตอนที่ 1400
ซุ่มกำลัง
สตรีแซ่เสี้ยวที่อยู่ในลำแสงห้าสีกำลังปรึกษาอะไรกับหานลี่อยู่ เมื่อได้ยินเสียงหอนประหลาดๆ ก็มีสีหน้าตึงเครียดในทันใด สองมือพลันร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นลำแสงห้าสีที่ห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทำให้นางและหานลี่หายวับไป
ชั่วครู่ความเร็วก็เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า!
หานลี่แค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน สองตาหรี่ลงสัมผัสอะไรสักอย่าง อาศัยสตรีผู้นี้พาเขาบินไปข้างหน้า
แม้ว่าสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวจะเพิ่มความเร็วขึ้นสูงถึงเพียงนี้ แต่หลังจากบินไปได้สองสามร้อยลี้ เสียงเห่าหอนด้านหลังก็ยังชัดเจนมาก
แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันถ่ายทอดเสียงอย่างราบเรียบมาว่า
“ทั้งสองอยู่ห่างจากเราไม่ถึงสามร้อยลี้ ความเร็วมากกว่าตอนนี้มาก อาศัยแค่ความเร็วระดับนี้ไม่มีทางยืดเวลาไปได้ สถานที่ประมือ อยู่ห่างจากราชันย์สามง่ามราตรีทั้งสองตนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรงก็แล้วกัน”
หานลี่เอ่ยพลางยักไหล่ ปีกสองข้างที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นด้านบนพลันมีวิหคเงาลวงตาสีเขียวสายหนึ่งบินออกมา ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในลำแสงห้าสีที่อยู่รอบๆ ด้าน
ลำแสงหลีกหนีทั้งลูกสั่นเทาอย่างหนัก ทันใดนั้นความเร็วของลำแสงหลีกหนีพลันเพิ่มขึ้นสองสามเท่า กลายเป็นเงาลวงจางๆ สายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบขณะกำลังพุ่งไปด้านหน้า
“ขอบพระคุณพี่หานที่ช่วยเหลือ!” สตรีแซ่เสี้ยวเห็นเช่นนั้น พลันเอ่ยขอบคุณด้วยความยินดี
“วิธีการเช่นนี้จะสูญเสียลมปราณเป็นจำนวนมาก ข้าเองก็ไม่อาจรักษาระดับได้นานนัก และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อาจหนีไปได้ไกลจริงๆ มิเช่นนั้นเกรงว่าราชันย์สามง่ามราตรีทั้งสองคงลงมือแทรกแซงแล้ว” หานลี่กลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว พี่หานเก็บลมปราณไว้ต่อกรกับศัตรูจะดีกว่า” สตรีแซ่เสี้ยวเองก็พยักหน้า
หานลี่ได้ฟังแล้วพลันหัวเราะอย่างขมขื่น และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จะว่าไปแล้วแม้นว่าทาสเหล่านั้นจะร้ายกาจขนาดไหน เขายอมสูญเสียจิตสัมผัส ปล่อยแมลงกลืนทองออกมาสองสามร้อยตัวในคราเดียว บีบหรือสังหารหนึ่งในนั้นก็น่าจะไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งสำคัญก็คือทาสเหล่านั้นมีสองตน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีราชันย์สามง่ามราตรีสองตนคอยเฝ้ามองอยู่ไกลๆ เขาจะไม่กล้ากระทำการที่เสี่ยงเช่นนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่มีความช่วยเหลือของหานลี่ แม้นว่าทาสทั้งสองตัวด้านหลังจะรวดเร็วมาก ครานั้นก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้มากนัก
ชั่วพริบตาก็ไล่ตามกันไปเป็นระยะทางสองสามพันลี้
ครั้นเมื่อหานลี่รู้สึกว่าห่างกันพอสมควรแล้ว ก็เก็บวิหคเงาลวงตาสีเขียวไป แล้วหยุดลำแสงหลีกหนีของสตรีแซ่เสี้ยว
ชั่วครู่ทั้งสองคนก็ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ จ้องเขม็งไปยังขอบฟ้าที่ไกลออกไปตาไม่กะพริบ
ไกลออกไปมีลำแสงสีเพลิงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงร้องคำราม โลหิตขนาดสองสามจั้งสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พุ่งเข้าไปหาทั้งสองคนราวกับสายฟ้า
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น สองมือพลันถูเข้าหากันอย่างไม่ต้องคิด ชูมือขึ้นอีกครั้ง หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสองครั้ง ประจุไฟฟ้าสีทองหนาเท่าปากชามสองสายพลันพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบพลางโจมตีไปยังเมฆสีโลหิตสองกลุ่ม
เมฆสีโลหิตสองกลุ่มดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง มันคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างยิ่ง แค่พลิ้วไหวก็แวบผ่านประจุไฟฟ้ามา และยังคงพุ่งเข้ามาทางหานลี่ต่ออย่างไม่หยุดยั้งเลยสักนิด!
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว ประจุไฟฟ้าสีทองสองสายพลิ้วไหว หักเลี้ยวและพุ่งกลับไปหาราวกับอสรพิษ โจมตีไปยังเมฆโลหิตอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
หลังจากเสียง “ตูม” ดังขึ้นสองครั้ง ฉากที่ทำให้จิตใจของหานลี่หนักอึ้งปรากฏขึ้น
ประจุไฟฟ้าสีทองหนาขนาดนั้นโจมตีไปยังเมฆโลหิต กลับจมหายเข้าไปข้างในราวโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี หลังจากที่เมฆโลหิตสองกลุ่มพลิ้วไหว ก็เปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่เบื้องหน้าห่างจากทั้งสองไปสิบจั้งเศษ แม้กระทั่งกลิ่นคาวคละคลุ้งที่โชยออกมาจากเมฆโลหิตก็ยังได้กลิ่นอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ กลับเป็นสตรีแซ่เสี้ยวที่อยู่ด้านข้าง ที่แววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ ร่ายอาคมกระตุ้นในใจ
เบื้องหน้าของสตรีผู้นี้และหานลี่มีลำแสงสว่างจ้า หัวมังกรวารีขนาดสองสามจั้งสองหัวพุ่งออกมาจากลำแสง คอยืดยาวออกไป ปากกัดโลหิตสองกลุ่มไปครึ่งหนึ่ง
เมฆโลหิตที่เหลือเองก็สลายตัวออกจากกัน
เมื่อเห็นฉากนี้สตรีแซ่เสี้ยวพลันดีใจ ครั้นเมื่อหมายจะหันหน้าไปเอ่ยอะไรกับหานลี่นั้น
รูม่านตาของหานลี่กลับหดเล็กลง ลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบพลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“ระวัง เจ้าสองสิ่งนั้นรวดเร็วมาก อย่าถูกพวกมันตบตาเข้า”
“อะไรนะ?” สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินแล้วพลันตะลึงงัน ไล่สายตาไปตามหานลี่อย่างรีบร้อน ถึงได้พบว่าห่างจากพวกเขาไปยี่สิบสามสิบจั้ง ตัวประหลาดสีแดงโลหิตสองตัวที่ดูคล้ายหมาป่าและวานรปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ชั่วพริบตาที่เมฆโลหิตถูกทำลาย ตัวประหลาดสองตัวก็อาศัยความเร็วที่น่ากลัวของมัน เปล่งแสงสว่างวาบหนีออกมาจากเมฆโลหิต
เป็นเพราะความเร็วของมันรวดเร็วมาก และยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบงัน สตรีแซ่เสี้ยวจึงดูไม่ออกในทันที แต่กลับถูกหานลี่ใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างมองออกได้ในปราดเดียว
ตัวประหลาดทั้งสองยืนอยู่นิ่งอยู่สูงออกไปจากทั้งสองฝั่ง หัววานรตัวหมาป่าปีกค้างคาว กายสีแดงสด ปากมีเขี้ยวงอกออกมาเต็มไปหมด บางครั้งก็มีลิ้นของอสรพิษแลบออกมา ดวงตาปีศาจสีแดงคู่หนึ่งกลับฉายแววโหดเ**้ยมและเจ้าเล่ห์เพทุบายออกมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือตัวประหลาดที่มีสติปัญญาสูงส่ง
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าทาส!
แม้นว่าสตรีแซ่เสี้ยวจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ครานี้หลังจากที่ได้เห็นของจริงแล้ว ก็ยังขนลุกซู่
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเขาไม่มีผลต่อพวกมัน ดูแล้วหากพวกมันไม่ได้ถูกหลอมขึ้นด้วยของชั่วร้ายอะไรสักอย่าง เดาว่าเคล็ดวิชาอาทิตย์เที่ยงแท้ขจัดอาถรรพ์คงไม่มีผลกับพวกมันมากนัก มีเพียงต้องเผชิญหน้าแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ ฉับพลันนั้นก็ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ท้ายทอย
ลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งปกป้องเรือนร่างของเขาเอาไว้ ในเวลาเดียวกันภูเขาสีดำลูกหนึ่งก็หมุนคว้างกะพริบวาบเลือนๆ อยู่ในนั้น นับว่ามหัศจรรย์มาก
หลังจากที่สตรีแซ่เสี้ยวมีสีหน้าเคร่งขรึม ปากก็บริกรรมคาถา ชั่วขณะนั้นเบื้องหน้าพลันบิดเกลียวหมุนวนอีกครั้ง หัวมังกรวารีอีกสามหัวและมังกรวารีมีหนวดห้าหัวปรากฏขึ้นตามลำดับ ร่างกายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสองสามเท่า
ราวกับจิตวิญญาณ หัวห้าหัวสะบัดไปทางทาสทั้งสอง เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา ท่าทีคุกคาม
ในตอนนั้นเองทาสทั้งสองกลับชิงลงมือก่อน
ปีกค้างคาวสีแดงสดที่แผ่นหลังพลันสะบัด ร่างทั้งร่างพลิ้วไหวกลายเป็นเส้นไหมสีโลหิตสายหนึ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทาสปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของพวกของหานลี่ แล้วกระโจนลงมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หัวขนาดยักษ์ทั้งห้าของมังกรวารีมีหนวดห้าหัว พุ่งเข้ามาหมายจะกลืนกินอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
ร่างของทาสพลิ้วไหว ร่างกายหายวับไปราวกับของเหลว
หัวมังกรวารีทั้งห้าต่างกัดไปกลางอากาศพร้อมกัน
มันไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จุดต่างๆ ตามร่างกายก็มีเส้นไหมโลหิตบางๆ ปรากฏขึ้น และเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป จากนั้นหัวทั้งห้าและร่างกายที่ใหญ่โตของมังกรวารีก็กลายเป็นชิ้นๆ อย่างไม่มีค้างลางมาก่อน และทยอยกันสลายหายไป
จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมังกรวารีมีหนวดห้าสีนี้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกทาสโจมตีจนสลายหายไป
ลำแสงสีโลหิตสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ กลางอากาศมีเส้นไหมโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และพุ่งตรงเข้ามาห่อหุ้มร่างขอสตรีแซ่เสี้ยวเอาไว้
หานลี่แค่นเสียงอย่างเย็นชา เบื้องหน้ามีลำแสงสีเทาแผ่ออก ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มร่างของสตรีเอาไว้ ภูเขาสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ เคลื่อนย้ายมาอยู่เหนือศีรษะของสตรีผู้นี้
เส้นไหมสีโลหิตแผ่ขยายออกไป แหวกผ่านอากาศจนเกิดเสียงพรึ่บๆ ตัดไปบนลำแสงสีเทา และสับออกอย่างไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเส้นไหมสีโลหิตก็สับภูเขาสีดำออก
แทบจะในเวลาเดียวกันจุดที่หานลี่อยู่ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาโลหิตจางๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้น
กรงเล็บแหลมสองกรงยื่นออกมา และตะปบออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีลมพายุเลยสักนิด
ท่ามกลางเงาโลหิต ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่หนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ
คาดไม่ถึงว่าทาสอีกตนจะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับหานลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถือโอกาสที่ถูกทาสอีกตนหนึ่งดึงความสนใจ ทำการลอบโจมตี
จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของหานลี่ ตอนแรกกลับสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด แต่เมื่อกรงเล็บที่แหลมคมมาปะทะกับลำแสงสีเทาที่ห่อหุ้มร่างอยู่ เขาจะหลบหลีกก็สายไปเสียแล้ว
กรงเล็บที่แหลมคมคู่นั้นพลิ้วไหวเบาๆ กรงเล็บลำแสงปรากฏขึ้น ชั่วขณะนั้นก็สับลำแสงสีเทาออก จับแผ่นหลังของหานลี่เอาไว้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
ครานี้ในที่สุดหานลี่ก็สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่เบื้องหลัง ฉับพลันนั้นพลันร้องตะโกนออกมา บนร่างมีชุดคลุมสีทองเงินปรากฏขึ้น
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองเงินอันหนาแน่นปรากฏขึ้นบนชุด
กรงเล็บที่แหลมคมทั้งสองตะปบลงไป
เสียงตูมพลันดังสนั่นขึ้น!
ท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีทองเงินสองสีที่ดีดออกมา แขนสีแดงสดพลันมีควันสีเขียวทะลักออกมา แต่กรงเล็บทั้งสองก็ดูเหมือนใบมีดที่แหลมคมอย่างไรอย่างนั้น นิ้วทั้งห้าเคลื่อนไหวทะลวงผ่านสายฟ้าไป ตะปบแผ่นหลังของหานลี่เอาไว้แน่น
แต่ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นแผ่นหลังของหานลี่พลันมีแขนสีทองจางๆ สี่แขนปรากฏขึ้น โจมตีไปยังกรงเล็บทั้งสอง ไม่รู้เพราะเหตุใด คาดไม่ถึงว่าจะมาถึงก่อน ต้านทานกรงเล็บที่แหลมคมคู่หนึ่งเอาไว้ และเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ราวกับโลหิตเสียดสีกันดังขึ้น
กรงเล็บเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ แขนสีทองทั้งสี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่แค่ชั่วระยะเวลาที่ล่าช้าไป หานลี่พลันบิดกาย กลายเป็นเส้นไหมสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ เขามาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง จ้องเขม็งไปยังทาสที่ลอบโจมตีตนเองตนนั้น สีหน้าเคร่งขรึมมาก
ทาสตนนั้นโจมตีไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย ยืนกลอกตาไปมาอยู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งสตรีแซ่เสี้ยวอาศัยภูเขาเทวะดูดปราณของหานลี่ต้านทานเส้นไหมโลหิตที่หนาแน่นเอาไว้ได้ และเคลื่อนย้ายออกมายี่สิบสามสิบจั้งเศษเช่นกัน
เส้นไหมโลหิตเหล่านี้ผนึกรวมตัวกันที่ตรงกลาง กลายเป็นหัววานรร่างหมาป่าดังเดิมอีกครั้ง แววตาฉายแววโหดเ**้ยมขณะจ้องมายังสตรีแซ่เสี้ยวเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าทาสสองตนนี้แบ่งเป้าหมายกันแล้ว จึงแยกกันจับจ้องหานลี่และสตรีผู้นี้
“ทำตามแผนเถิด” ฉับพลันนั้นหานลี่พลันเอ่ยกับสตรีผู้นั้นหนึ่งประโยค
“ตกลง!” สตรีแซ่เสี้ยวพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ในมือมีจานอาคมชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น อีกมือหนึ่งมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ตบไปทางจานอาคมอย่างรุนแรง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ฉับพลันนั้นในระยะร้อยจั้งเศษโดยมีทาสทั้งสองตนเป็นศูนย์กลางพลันมีธงเล็กๆ หลากสีสันสามสิบหกด้ามปรากฏขึ้น
เมื่อธงเหล่านี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก็มีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่เมื่อสตรีแซ่เสี้ยวร่ายอาคมกระตุ้น ชั่วขณะนั้นพลันขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด ชั่วพริบตาก็มีขนาดสิบกว่าจั้ง ธงทุกด้ามมีอักขระลอยวนอยู่ ท่าทางดุดันน่าเกรงขาม
และแทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่เองพลันร่ายอาคม ในธงมีเส้นไหมสีทองเปล่งแสงระยิบระยับเป็นสายๆ ปรากฏขึ้น กะพริบเรืองๆ ล้อมทาสทั้งสองเอาไว้ตรงกลางอย่างไม่เกรงใจ
ตอนที่ 1401
เขตอาคมลำแสง
หานลี่และสตรีผู้นี้วางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำและเขตอาคมธงนิรนามเอาไว้ตั้งนานแล้ว
ครานี้เมื่อกระตุ้น แม้ไม่รู้ว่าเขตอาคมธงเหล่านั้นมีคุณสมบัติอย่างไร แต่อาศัยแค่พลังของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำแล้วก็กักทาสทั้งสองไว้ข้างในในทันที
ทาสตนหนึ่งเห็นเช่นนั้นพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นแววตาพลันฉายแววเย็นเยียบ แขนขาทั้งสี่เคลื่อนไหว กลายเป็นเงาโลหิตจางๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ฝืนทะลวงออกมาจากเขตอาคมกระบี่
เห็นได้ชัดว่าจากความเจ้าเล่ห์ของทาส แน่นอนว่ารู้ว่าหากอยู่ในนี้ต่อคงไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรแน่
เขตอาคมมหากระบี่ทองคำมีความอัศจรรย์ถึงขั้นไหน แม้นว่าทาสจะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่ขอบของเขตอาคมกระบี่ เส้นไหมสีทองสองสามร้อยสายพลันปรากฏขึ้น แล้วม้วนไปข้างหน้าในเวลาเดียวกัน
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ก้อนโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมา ทันใดนั้นพลันพลิ้วไหว ทารกผนึกรวมตัวกันอีกครั้ง
แต่ไม่รอให้ตัวประหลาดตัวนี้พุ่งออกมาจากเขตอาคมอีกครั้ง รอบด้านพลันเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า เส้นไหมสีทองหนาๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และผนึกเข้ากับร่างของมันอย่างรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด
ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ สับทาสตนนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เสียง “ปังๆ” ดังสนั่นขึ้น ชิ้นเนื้อทั้งหมดระเบิดออกโดยอัตโนมัติ และจากรูปร่างของหมอกโลหิตที่ยังคงม้วนวนอยู่ด้านนอกเขตอาคมกระบี่นั้น
มันกลับสับไปที่เส้นไหมกระบี่รอบด้านไม่หยุด ไม่สนใจเลยสักนิด
หานลี่ที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววสว่างวาบ
กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาของเขาไม่ได้มีความสามารถแค่นี้ ทันใดนั้นจึงกระตุ้นอาคมกระบี่ในใจ สำแดงความสามารถของกระบี่บินที่อยู่รอบๆ
เห็นเพียงเส้นไหมกระบี่ที่เดิมเปล่งแสงสีทองเรืองรอง สั่นเทาแล้วกลายเป็นสีขาวราวกับหิมะ ไอเย็นเยียบบางๆ ทะลักออกมาจากเส้นไหมกระบี่เหล่านั้นไม่หยุด
เช่นนั้นแม้นว่าหมอกโลหิตนั้นจะไร้รูปร่าง แต่เมื่อถูกเส้นไหมกระบี่ธาตุเย็นที่หนาแน่นสับออกแล้ว ชั่วพริบตาตรงผิวก็มีชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้น สุดท้ายเสียง “แกรก” ก็ดังขึ้น หมอกโลหิตกลายเป็นก้อนผลึกน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยสักนิด
เสียงฟ้าผ่าดัง “เปรี้ยงๆ” ระหว่างเส้นไหมกระบี่มีประจุไฟฟ้าบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดีดตัวออกมาพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นท่ามกลางลำแสงสีทอง น้ำแข็งทั้งก้อนพลันกลายเป็นผุยผง ปลิวว่อนไปทั่วทุกสารทิศ
หานลี่หยักมุมปากขึ้น อดที่จะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
แต่ครู่ต่อมารอยยิ้มพลันแข็งค้างในชั่วพริบตา
เห็นเพียงผุยผงเหล่านั้นมีลำแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นและทยอยกันหลอมละลาย กลายเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต ไม่รอให้เส้นไหมรอบๆ สับลงมาอีกครั้ง ก็พุ่งกลับไปด้านหลังทั้งหมด
จากนั้นใจกลางของเขตอาคมพลันมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ รวมตัวกันกลายเป็นทาสตนนั้นอีกครั้ง
และในตอนนั้นเองแม้นว่าลำแสงโลหิตบนร่างของทาสจะหม่นแสงลงส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยชัดเจนนั้น
แม้นว่าเขตอาคมมหากระบี่ทองคำจะทำให้ตัวประหลาดถอยออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้มันบาดเจ็บจริงๆ ได้
ความหวาดกลัวในใจของหานลี่พลันเพิ่มพูนขึ้น!
ทันใดนั้นเขาก็ไม่ได้ปริปากใดๆ โคจรลมปราณในร่างกายไม่หยุด กระตุ้นพลานุภาพของเขตอาคมกระบี่จนถึงขีดสุด ชั่วขณะนั้นในเขตอาคมกระบี่พลันมีเส้นไหมสีทองปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ มีเกือบสองสามพันสาย ล้วนปรากฏขึ้นรางๆ ล้อมตรงใจกลางเอาไว้
ความเร็วมากกว่าเดิมเท่าหนึ่ง ชั่วครู่ก็ปิดผนึกเอาไว้
ถือโอกาสนี้หานลี่เหลือบตาไป เห็นสตรีแซ่เสี้ยวที่อยู่ด้านนอกเขตอาคมกระบี่ หลับตาทั้งสองข้างลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แต่มือหนึ่งกลับถือจานอาคมเอาไว้ ปากบริกรรมคาถาไม่หยุด ไม่รู้ว่ากำลังแสดงความสามารถอะไรอยู่ คาดไม่ถึงว่าต้องใช้เวลากระตุ้นเขตอาคมธงนานขนาดนี้
ธงอาคมสามสิบหกด้ามนั้นมีอักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่ สั่นเทาน้อยๆ ไม่หยุด
อักขระเหล่านั้นล้วนเป็นตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงิน!
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แต่ในตอนนั้นเอง ทาสอีกตนหนึ่งในเขตอาคมกระบี่กลับลงมือแล้ว
ทาสตนนี้ไม่เหมือนกับทาสตนแรก แขนขาทั้งสี่ไม่ได้ขยับเลยสักนิดในเขตอาคมกระบี่ แต่ปีกคู่ที่แผ่นหลังพลันกระพือ ส่วนต่างๆ ของร่างกายมีหนวดสีแดงโลหิตยี่สิบสามสิบเส้นพุ่งออกมา ทุกเส้นมีความยาวสองสามจั้ง บางเบาเป็นอย่างมาก
ยังไม่รอให้หานลี่มองออกว่าคือเคล็ดวิชาอะไร เส้นไหมสีโลหิตเหล่านั้นก็สะบัดเริงระบำขึ้นพร้อมกัน กลายเป็นแส้เงารางๆ ที่รุนแรงราวกับพายุฝนกระหน่ำกลุ่มหนึ่ง ห่อหุ้มตนเองเอาไว้
มองจากไกลๆ แส้เงาเหล่านี้ดูเหมือนลูกบอลสีโลหิตขนาดยักษ์เส้นหนึ่ง และขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
เช่นนั้นชั่วพริบตาลูกบอลโลหิตก็โจมตีไปยังเส้นไหมกระบี่ที่ล้อมอยู่รอบๆ
เสียงเสียดสีอันแสบแก้วหูดังขึ้น ลำแสงสีทองและลำแสงสีโลหิตตัดสลับกัน อานุภาพของเขตอาคมกระบี่ของหานลี่ถูกแส้เงาต้านทานเอาไว้ได้อย่างคาดไม่ถึง ไม่อาจผ่าออกได้ดังเดิม
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง สองมือพลันร่ายอาคม
เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนรอบๆ ด้าน แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบสีขาวออกมาอีกครั้ง ม้วนกระโจนเข้าไปหาเงาสีโลหิต
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น หานลี่มีสีหน้าดูไม่ได้
เมื่อไอเย็นเยียบสีขาวโพลนสัมผัสกับแส้เงาสีโลหิต ก็ถูกพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งดีดกลับมา แม้นว่าหนวดเหล่านั้นจะถูกไอเย็นเยียบผนึกเอาไว้เป็นน้ำแข็ง แต่แค่ขยับก็แตกสลายออกหายวับไปจากไร้ร่องรอย
คาดไม่ถึงว่าไอเย็นเยียบจะไม่มีผล
ในตอนนั้นเองบนร่างของทาสตนนั้นพลันมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ หนวดยี่สิบสามสิบเส้นพุ่งออกมาอีกครั้ง แล้วเข้าร่วมการเริงระบำ
ชั่วขณะนั้นลูกบอลโลหิตพลันเปล่งเสียงระเบิดปังๆ ออกมา กระบี่เส้นไหมที่แต่เดิมยืนกรานอยู่กับลูกบอลโลหิต คาดไม่ถึงว่าจะพัวพันเข้ากับหนวด เริ่มถูกบีบให้ล่าถอยไป และยิ่งไปกว่านั้นความเร็วยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนทาสอีกตนนั้นดูเหมือนว่าจะถูกการเคลื่อนไหวของสหายกระตุ้นอะไรบางอย่าง หลังจากที่ร่างกายหมุนวน ร่างกายก็กลายเป็นเงาโลหิตรางๆ กลุ่มหนึ่ง ทะลวงเข้าหาเส้นไหมสีทองอีกด้าน
เส้นไหมสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนผิวของเขา หมุนโคจรพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
ผลคือฉากที่เหมือนกันพลันปรากฏขึ้น เส้นไหมสีทองทยอยกันถูกเงาโลหิตรางๆ บีบจนต้องล่าถอยไปเรื่อยๆ ไม่อาจต้านทานได้
หานลี่สูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง ดูแล้วเขตอาคมมหากระบี่ทองคำคงไม่อาจต่อกรกับทาสสองตนนี้ได้แล้ว
สะบัดแขนเสื้อ ลูกบอลกลมๆ สีทองเงินสิบกว่าลูกม้วนวนเข้ามาอยู่ในมือ
หานลี่ซ่อนไข่มุกอัสนีเอาไว้ในแขนเสื้อ จ้องเขม็งไปยังสถานการณ์ในเขตอาคมกระบี่ สีหน้าดำคล้ำอย่างหาที่เปรียบ
พริบตานั้นเสียงบริกรรมคาถาเบาๆ แต่เดิมพลันหยุดชะงัก แล้วหยุดลง
หานลี่ดีใจหันหน้ากลับไปมองอย่างรวดเร็ว
เห็นเพียงสตรีแซ่เสี้ยวกระตุ้นเขตอาคมเสร็จแล้วดังคาด จานอาคมในมือเปล่งแสงสีทองบาดตาออกมา อักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมเรือนร่างของสตรีผู้นี้เอาไว้ ในเวลาเดียวกันท้องฟ้าก็มืดครึ้มตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รอบๆ มีพายุทะมึนพัดเข้ามา แม้นจะลูกไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อสัมผัสกันกลับหนาวเย็นจนทิ่มแทงกระดูกราวกับสามารถแช่แข็งหัวใจได้อย่างไรอย่างนั้น
การสำแดงของสตรีผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการใช้พลังวิญญาณฟ้าดิน
นอกจากนี้จานอาคมในมือของสตรีแซ่เสี้ยวยังมีพลังที่แข็งแกร่งมากกลุ่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้หานลี่ใจหายวาบ ความรู้สึกประหลาดที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาตอนที่เผชิญหน้ากับราชันย์สามง่ามราตรีทั้งสองเมื่อครู่จะเป็นความจริง
หานลี่ตะลึงงัน จ้องจานอาคมในมือของสตรีแซ่เสี้ยว กลับถูกลำแสงที่เจิดจ้าจนแสบตาทำให้ตาพร่าเลือน
ไม่ทันต้องคิดมาก แววตาของเขาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สำแดงความสามารถของเนตรวิญญาณวารีกระจ่างขั้นสุด ชั่วขณะนั้นสถานการณ์ในจานอาคมพลันปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
“อักษรจ้วนทอง”
หานลี่ตะลึงงันร้องอุทานด้วยน้ำเสียงแห้งผากออกมา
ผิวของจานอาคมมีอักษรสีทองปรากฏขึ้น! แม้นว่าจะไม่รู้จักสักตัว แต่ดูจากรูปร่างของมันและพลังวิญญาณอันน่ากลัวที่แฝงอยู่ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอักษรจ้วนทองที่ลึกลับกว่าอักษรลูกอ๊อดสีเงินในตำนาน
อักษรในตำนานชนิดนี้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงในแดนวิญญาณ ก็รู้จักเพียงไม่กี่คน
ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงการจับจ้องของหานลี่ สตรีแซ่เสี้ยวฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่ ฉับพลันนั้นสองมือที่ถือจานอาคมเอาไว้พลันชูขึ้นบนท้องฟ้า
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
จานอาคมที่มีลำแสงสีทองห่อหุ้มอยู่ หมุนวนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ ตรงใจกลางมีลูกบอลลำแสงสีทองขนาดเท่ากำปั้นปรากฏออกมา พลังแรงกดสูงเสียดฟ้า
ชั่วพริบตาบรรยากาศรอบๆ ก็ดำทะมึน ชั่วครู่พายุก็ก่อตัวขึ้น
สอดคล้องกันธงยักษ์สามสิบหกด้ามด้านล่างพลันเปล่งเสียงร้องคำรามของมังกรและพยัคฆ์ออกมา จุดลำแสงต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบๆ ทะลักเข้าไปรวมตัวกันที่ธง
ชั่วพริบตาธงทั้งหมดก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ครู่ต่อมาก็สั่นเทา เปล่งเสาลำแสงสามสิบหกสายออกมาพร้อมกัน หนาเท่าปากชาม เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเมฆสูงกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเมฆสีดำกลางอากาศพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ทันใดนั้นเขตอาคมลำแสงขนาดยักษ์ร้อยจั้งเศษก็ปรากฏออกมาจากเมฆสีดำ ใจกลางของเขตอาคมลำแสงนั้นตรงกับจานอาคมกลางลำแสงสีทองที่อยู่ด้านล่างอย่างพอดิบพอดี จากนั้นก็พ่นเส้นไหมสีทองบางๆ ออกมาสายหนึ่ง จมหายเข้าไปในลำแสงสีทองที่พ่นออกมาจากจานอาคม ชั่วขณะนั้นลูกบอลกลมๆ สีทองก็ลอยขึ้น ตรงไปหาใจกลางของเขตอาคมลำแสงยักษ์
จนถึงครานี้หานลี่พลันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เขตอาคมธงมีอานุภาพขนาดไหน ก่อนหน้านี้สตรีแซ่เสี้ยวไม่ได้บอกอะไรกับเขามากนัก แค่ให้ยื้อเวลาให้นางเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูแล้วแม้ว่าเขตอาคมนี้จะสำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมาหรือไม่ แต่ก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อานุภาพเหนือกว่าเขตอาคมมหากระบี่ทองคำของเขา
ทว่าสตรีแซ่เสี้ยวที่มือถือจานอาคมเอาไว้ตลอดในครานี้กลับมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาราวกับเม็ดฝน ใบหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต ท่าทางซวนเซเหมือนจะล้มลง
ในที่สุดลูกบอลลำแสงสีทองก็ถูกดูดเข้าไปในใจกลางของเขตอาคมลำแสง ชั่วขณะนั้นก็รวมตัวกันท่ามกลางเสียงหึ่งๆ เขตอาคมลำแสงที่แต่เดิมน่าตกตะลึงอยู่แล้ว เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ อาณาเขตขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า แทบจะปกคลุมท้องฟ้าทั้งผืนเอาไว้
พลังแรงกดที่แผ่ออกมาจากเขตอาคมลำแสง ต่อให้เป็นหานลี่เองร่างกายก็ยังพลิ้วไหว อดที่จะถอยร่นออกไปสองสามก้าวไม่ได้
ในเวลาเดียวกันราชันย์สามง่ามราตรีสองตนที่อยู่ห่างออกไปสองสามพันลี้ พลันมองสบตากันด้วยความตกตะลึง ร่างกายพลิ้วไหวโดยไม่เอ่ยปากใดๆ ทั้งสองคนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
ครานี้ในที่สุดทาสทั้งสองก็ร้องคำรามขณะพุ่งออกมาจากเขตอาคมมหากระบี่ทอง ลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ กระโจนเข้าไปหาพวกของหานลี่
หานลี่พลันตกตะลึงตอนที่กำลังคิดจะปล่อยไข่มุกอัสนีในมือออกไปนั้น เขตอาคมลำแสงกลางอากาศกลับพ่นเสาลำแสงสีขาวนวลสองสายออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปยังร่างของทาสทั้งสองตน
ทาสทั้งสองตนที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งส่งเสียงกึกๆ ออกมา ชั่วครู่ก็หายวับไปจากกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“เขตอาคมส่งตัว”
สายตาของหานลี่อยู่ในระดับใด มองปราดเดียวก็รู้ว่าทาสทั้งสองไม่ได้ถูกสังหารไป แต่ถูกส่งตัวไปที่ไหนสักแห่งในชั่วพริบตาท่ามกลางลำแสงสีขาว
สตรีแซ่เสี้ยวยิ้มอย่างพึงพอใจ หันหน้าไปคิดจะเอ่ยอะไรกับหานลี่ กลับหน้าเปลี่ยนสี กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่ง พุ่งตรงไปยังเขตอาคมลำแสงที่อยู่กลางอากาศ
แม้นว่าหานลี่จะรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย แต่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ในหัวก็มีความคิดผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวไล่ตามสตรีผู้นั้นไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
และในตอนนั้นเองกลางอากาศห่างออกไปรอยจั้งสองจุดก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฉับพลันนั้นเงาร่างยักษ์สองสายก็กระพือปีกยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ มองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกของหานลี่เข้าพอดี
ทันใดนั้นเสียงคำรามสองเสียงพลันดังขึ้น สามง่ามราตรีตนหนึ่งควงกำปั้นเข้าโจมตี สามง่ามราตรีอีกตนหนึ่งกลับมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในมือ ลำแสงขนาดยักษ์สับออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น