ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 139-142
ตอนที่ 139 จูบแรก
ถึงแม้การประทับจูบนี้จะยาวนานอยู่บ้าง แต่ว่าริมฝีปากของทั้งสองก็เพียงแต่สัมผัสกันเท่านั้น ไม่ได้มีการกระทำใดอื่นตามมาด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่จีเฉวียนได้สัมผัสกับริมฝีปากของหญิงสาว เขารู้สึกว่ามันช่างนุ่มนิ่ม ยิ่งเข้าใกล้ถึงเพียงนี้ ยิ่งคล้ายจะได้กลิ่นหอมของดอกฮว๋ายจากตัวนางเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
พระหัตถ์ที่โอบประคองเอวของนางเอาไว้จึงอดไม่ได้ที่จะรัดให้แนบแน่นขึ้นไปอีก แต่เอวของอิสตรีบอบบางเพียงเท่านี้ หากว่าเขาใช้กำลังมากเกินไป ใช่จะทำให้หักขาดไปหรือไม่
ช่างคิดไม่ออกเสียจริงๆ รูปร่างที่เล็กบางถึงเพียงนี้จะไปเอากำลังมาจากไหนมาอุ้มเขากัน
ชั่วขณะที่ลมหายใจของทั้งสองต่างรดผ่านใบหน้าของกันละกัน กลิ่นอายของบุรุษที่เข้มข้นก็สร้างความกดดันจนตู๋กูซิงหลันแทบจะหายใจไม่ออก
นางจดจ้องมองรูปลักษณ์ที่งดงามของจีเฉวียนที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญว่าจะตัดสินใจเลือกทางไหนดี
นางสมควรที่จะผลักเขาออกไป หรือว่าดึงเขาเข้าแล้วพลิกกลับกลายเป็นฝ่ายเริ่มรุกก่อนดี?
เต้าหู้ทอดส่งมาถึงหน้าประตูหากว่าไม่กินก็คงต้องอดหมดแล้ว!
ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวน่ารังเกียจอยู่บาง แต่ว่าเปลือกนอกเช่นนี้ก็ช่างยั่วให้คนชื่นชอบเสียจริง
คิดไปคิดมา เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้เป็นจิ้งจอกพันปี ย่อมต้องไม่มีทางมาดีกับนางแน่ นางจะต้องไม่หลงใหลไปกับรูปลักษณ์ที่งดงามของเขาง่ายๆ หากว่าตนเองตกหลุมไปแล้ว เกรงว่าแม้แต่ตายอย่างไรก็ยังคงไม่รู้ตัวเลย
หลังครุ่นคิดอยู่นานนางก็ตกลงใจว่าจะไม่ทำสิ่งใดเลยดีกว่า และเพราะในขณะที่จีเฉวียนจูบนางอยู่นั้น นางพลันรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังหยินที่รุนแรงหมุนวนอยู่ภายในร่างของเขา
คนผู้นี้เป็นโอรสสวรรค์แท้ๆ แต่กลับมีพลังหยินรุนแรงหนักแน่นกว่ามารปีศาจถึงสิบเท่า
นี่ทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ในร่างกายของเขามีสิ่งใด……..แฝงอยู่กันแน่?
นางจ้องสบตากับเขาอย่างตรงๆ เพราะคิดจะดูให้แจ่มชัด จีเฉวียนเองก็ถูกนางมองจนนิ่งค้าง
ขนตาของนางทั้งยาวทั้งหนาเป็นแพ แต่ละเส้นล้วนงามงอน ดวงตาของนางนอกจากจะสะท้อนภาพใบหน้าของเขาแล้ว ก็ไม่มีแววว้าวุ่นใดๆ อื่นอีก ทั้งมิได้ตอบรับและมิได้ปฎิเสธ ราวกับสตรีมากประสบการณ์ความรักคนหนึ่ง
จีเฉวียนเอื้อมมือไปปิดบังดวงตาของนาง ขบกัดลงบนริมฝีปากล่างของนางเบาๆ
ตู๋กูซิงหลันที่รู้สึกเจ็บก็ครางออกมาเบาๆ ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา เจ้าฮ่องเต้องค์นี้ช่างเป็นสุนัขโดยแท้ รู้จักกัดคนด้วย!
ในที่สุดจีเฉวียนก็คลายอ้อมแขน
ทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง พยายามจะสงบอารมณ์ของตนเองอย่างสุดความสามารถ หากเขาไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว มีหวังจะต้องถูกนางทำให้หลงใหลแน่ เขาทั้งกรุ่นโกรธทั้งรู้สึกอดรนทนไม่ได้
แต่ว่าการแสดงออกของนางกลับสงบนิ่งอย่างมาก ราวกับว่าถึงจะถูกเขาจูบก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
แม้แต่ใบหน้าก็ไม่แดง
หากว่ากันตามจริง สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว นอกจากจะรู้สึกว่าริมฝีปากของเขาเย็นๆ ชืดๆ และริมฝีปากตนเองโดนขบกัดจนเจ็บอยู่บ้างแล้ว ที่เหลือก็มิได้รู้สึกอะไรอีก
สำหรับนางแล้วก็เหมือนกับการที่มือซ้ายจับกับมือขวา ไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
ที่นางรู้สึกสนอกสนใจยิ่งกว่าก็คือทำไมในร่างของเขาถึงได้มีพลังหยินอย่างหนักแน่นและรุนแรงเช่นนี้
บางที….แม้แต่พลังหยินของหยกสรรพชีวิตที่นางถือครองอยู่ยังไม่อาจเทียบได้กับความรุนแรงของพลังที่อยู่ในร่างของเขา
ก่อนหน้านี้นางมักจะรู้สึกว่าไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ร่างกายของฮ่องเต้องค์นี้ก็จะให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่เสมอ พอวันนี้ได้ใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่ถึงได้รู้สึกว่า ที่แท้เรื่องนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่ ฮ่องเต้องค์นี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
จีเฉวียนกลับอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ขณะที่ตู๋กูซิงหลันสงบเงียบดังทะเลสาบ เขากลับรู้สึกราวกับท้องทะเลที่คลุ้มคลั่ง
ท่าทีที่สงบนิ่งของนางทำให้จีเฉวียนชักจะรู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว “เจ้ายังคงคิดถึงจีเย่ว์อยู่ใช่หรือไม่? “
สตรีในโลกนี้จะมีคนใดที่ถูกคนจูบแล้วยังมีปฎิกิริยาเช่นนี้อยู่บ้าง?
หากว่าไม่ชอบละก็อย่างน้อยๆ ก็ต้องตบกลับมาสักฉาดหนึ่ง หากว่าชื่นชอบ……ก็ไม่ใช่ว่าได้จังหวะแสดงออกพอดีหรอกหรือ?
นางกลับดีนัก ทำตัวเป็นมนุษย์ไม้ตนหนึ่ง
นี่แสดงว่าอย่างไรกัน? แสดงว่าในใจของนางเขาก็แค่มีก็ได้ไม่มีก็ได้เท่านั้นหรือ ไม่สามารถทำให้นางหวั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อยงั้นสิ
หากพูดให้ชัดเจนลงไปอีกก็คือนางไม่ได้สนใจเขาเลยแม้สักนิดหนึ่ง
หรือไม่ก็ในใจของนางที่จริงมีผู้อื่นจับจองอยู่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีพื้นที่ใดๆ ให้เขาอีก
” ไม่เสียหน่อย ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ ” ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลไปก็หลายครั้งแล้ว เขากับหม่อมฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็จากไปไกลแล้ว พระองค์จะยังทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม? “
” ยิ่งอธิบายก็คือมีเจตนาปกปิด “สีพระพักตร์ของจีเฉวียนกลับมาเป็นเย็นชาดุจเช่นเดิม
เขาคงบ้าไปแล้ว! ถึงได้มาสนใจว่าในใจนางมีใครกันแน่ แล้วยังจะหงุดหงิดกับปฎิกิริยาของนางอีก
แต่หากใจนางไม่มีจีเย่ว์แล้ว ทำไมถึงได้เฉยชากับจูบของเขานัก?
ตู๋กูซิงหลัน “…..” นางปิดปากนิ่งเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใด
เพราะถึงนางจะอธิบายเช่นไร เขาก็มิได้ยอมรับฟัง
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลายเป็นหนักอึ้งอยู่อีกนาน จนกระทั่งถ่านไฟในห้องก็มอดดับลงแล้ว สายลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาในห้อง ร่างกายของจีเฉวียนก็เย็นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความเย็นนี้คล้ายจะแทรกซึมเข้าไปจนถึงกระดูก แม้แต่พระพักตร์ที่งดงามยามนี้ก็แทบจะไม่มีสีเลือดแล้ว
ในที่สุดพระองค์ก็ประทับยืนขึ้น ดวงเนตรหงส์ยังคงจับจ้องนางอยู่อีกครู่ใหญ่
ยามที่พระองค์น้อมเอวลงมา อาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าสร้างความกดดันต่อนาง ” เจ้าเป็นไทเฮา จงจดจำฐานะของตนเองเอาไว้ให้ดี! หากว่ายังกล้าอาลัยเสียดายจีเย่ว์อยู่อีกละก็ ถึงแม้เขาจะอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเพียงไร เราก็ฆ่าเขาได้อยู่ดี”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็สะบัดชายฉลองพระองค์เสด็จจากไป แต่พอเสด็จถึงประตูใหญ่ก็ชะงักพระบาทก้าวหนึ่ง หันพระพักตร์กลับมามองนางชั่วแวบ
ตู๋กูซิงหลันเองก็มองตามไปเช่นกัน ยามที่ดวงตาทั้งสี่สบประสาน เขาก็ยังคงไม่อาจมองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหวในด้วยตาของนางแม้แต่น้อย
สมองของพระองค์ปรากฎภาพค่ำคืนนั้นยามที่นางและจีเย่ว์โอบกอดกันอย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็ไม่ลบภาพนั้นออกไปได้
ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของเขาเสด็จจากไป ค่อยยกมือขึ้นสัมผัสกับริมฝีปากของตนเอง เขาไปเอาความคิดที่ว่านางรักจีเย่ว์มาจากไหนกัน?
วิญญาณทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่นานค่อยได้ทีกระโดดออกมาบ้าง ” หลันหลัน จูบแรกของเจ้าก็โดนเอาไปเสียง่ายๆ แบบนี้ ขอถามหน่อยเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า? “
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่นาน ” จูบแรกหรือ? ชาติก่อนตอนเจ๊ถ่ายหนัง แม้แต่ฉากวาบหวามบนเตียงก็ถ่ายมาแล้วนิ? “
วิญญาณทมิฬ “…..” โว้ย! สตรีหน้าไม่อาย!
ตอนนั้นเพื่อติดตามค้นหาปีศาจชั้นสูงที่แอบสิงอยู่ในร่างของดาราสาวคนหนึ่งนางจึงได้เข้าสู่วงการภาพยนต์ เรื่องแรกที่ถ่ายทำก็คือ ตำนานเซียนกระบี่แมรี่ซู นางเล่นเป็นนางมารที่มีจิตใจชั่วร้ายตนหนึ่ง
นางมารผู้มีจิตใจชั่วร้ายได้พยายามล่อลวงและครอบครองพระเอกที่เป็นจอมเทพมากว่าหนึ่งพันปี พระเอกกลับไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย แต่อยู่ดีๆ ก็บังเอิญมีนางเอกกระต่ายขาวโผล่ออกมา ทำอะไรก็ไม่รู้ให้พระเอกหลงรักเข้า
ผู้ชายในเรื่องตั้งแต่อันดับหนึ่งถึงอันดับห้าต่างก็หลงรักนางเอก โดยเฉพาะเบอร์สองที่ทุ่มเทอย่างที่สุด นางเอกก็เลยลังเลอยู่ระหว่างพระเอกและพระรองเลือกไม่ได้เสียที
พระรองร้อนใจอยากจะได้ครอบครองนางเอก จึงถูกนางมารร้ายยั่วยุให้ทำเรื่องน่าละอายขึ้นมา วางแผนรวบรัดจัดการนางเอก แต่สุดท้ายขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับเสียข้าวสารไปกำมือ ทำให้ตนเองตกหลุมพรางแทน ยามที่นางกับพระรองกระทำเรื่องอย่างว่ากันก็ถูกนางเอกพบเข้าพอดี นางเอกจึงตัดสินใจสะบัดพระรองทิ้งไปแล้วโผเข้าสู่อ้อมอกพระเอก
พระรองจึงเกลียดนางสุดชีวิต และเคียดแค้นพระเอกที่สุด เพื่อช่วยพระเอกแล้ว นางมารร้ายยอมถูกพระรองคุมขังในนรก ทุกวันถูกพระรองลงทัณฑ์ด้วยพันศรแทงหัวใจทำร้ายนางจนตายในที่สุด
สุดท้ายพระเอกและพระรองต่างใช้กำลังทั้งหมดแย่งชิงนางเอก และเพราะรักอย่างแทบเป็นแทบตายพระรองกลับยอมอุทิศตนสุดชีวิต แม้แต่ตอนจบสุดท้ายยังยอมรับกระบี่ตายแทนนางเอก
การแสดงของนางที่มีเสน่ห์รัดรึง ยั่วยวน ชั่วร้ายและน่าหลงใหลทำให้ผู้ชมติดตามจนไม่อาจกระพริบตา กระทั่งผู้ชมทั้งหลายต่างรู้สึกว่าพระเอกช่างตาบอดไปแล้ว ละทิ้งหญิงงามที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล ไปคว้าเอาความรักบริสุทธิ์งี่เง่าแทน
ตอนที่ 140 สตรีที่ถูกทิ้งในตำหนักเย็น
ฉากกอดรัดฟัดเหวี่ยงบนเตียงสามนาทีนั้น ถูกเหล่าแฟนคลับบนอินเตอร์เน็ตยกให้เป็นฉากวาบหวามสุดโรแมนติกของเรื่อง
และเพราะว่าเป็นหนังตำนานเซียน ที่จริงแล้วจึงแค่เผยขาอ่อนและไหปลาร้าเท่านั้น ภายใต้ผ้าโปร่งสีแดงที่คลุมไว้ทำให้มองเห็นแค่เงาคนเคลื่อนไหว แต่ความคิดของคนดูสามารถปะติดปะต่อจินตนาการได้ ภาพที่ออกมาจึงดูงดงามดุจความฝันฉากหนึ่ง
ผู้ชมพากันเรียกร้อง : อยากเห็นเจ๊หลันทอดเสน่ห์ อยากเห็นเจ๊หลันฟาดแส้!
ในความคิดของตู๋กูซิงหลัน ตอนที่ร่วมแสดงบนเตียงเดียวกันกับนักแสดงชายนั้นก็ถือเป็นฉากวาบหวามแล้ว
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะแค่ทำท่าโอบๆ กอดๆ ที่สวยงามเท่านั้นก็เถอะ…..
พอคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน นักแสดงชายที่เคยเป็นคู่แสดงกับนางนั้น แต่ละคนล้วนแต่เด็ดๆ ดังๆ ทั้งนั้น
โอ้ คนงามทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กทั้งหลาย ตอนนี้คงไม่ได้เจออีกแล้ว
สุดท้ายต่อมาอาจารย์ของนางมาเห็นฉากที่นางแสดงเข้า ก็ออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามมิให้นางทำอีก ทั้งยังกำหนดข้อบังคับสามข้อเอาไว้ : ห้ามจูบ ห้ามขึ้นเตียง ห้ามเปิดเผยเนื้อหนัง
ดังนั้นจูบกับฮ่องเต้ในวันนี้ ก็เป็นแค่จูบจริงๆ
วิญญาณทมิฬเห็นสีหน้าที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงอดีตของนาง ก็ถอนใจเบาๆ สองครั้ง “ข้าว่าเจ้าฮ่องเต้นั่น น่าจะคิดอยากเล่นฉากวาบหวามกับเจ้าอยู่ “
ตู๋กซิงหหลัน “………” ให้เล่นกับฮ่องเต้น่ะหรือยังคงแล้วไปเถอะ จะอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ลูกกัน ไม่ดีไม่ดีหรอก
วิญญาณทมิฬทำหน้าลึกลับ “ข้ารู้สึกว่าเขาต้องมีแผนการจัดการเจ้าอยู่แน่”
ตู๋กูซิงหลัน ” ข้าว่าเขากำลังวางหลุมพลางอยู่ต่างหาก “
วิญญาณทมิฬครุ่นคิดอย่างละเอียด “ที่เจ้าพูดก็ถูก เขาคิดจะล่อลวงเจ้า ให้เจ้าตกหลุมรักเขา จากนั้นค่อยยึดครองหัวใจของเจ้าไว้ ทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในตำหนักเย็นอย่างแท้จริง! “
” ดูสิ ข้าบอกให้เจ้าล่อลวงเขาแต่แรก เจ้าก็ไม่ทำ พอตอนนี้ถูกฮ่องเต้หลอกลวงบ้าง เสียดายเลยไหมละ? “
ตู๋กูซิงหลัน “??? “
ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าสมองของตนเองตามไม่ทันอยู่บ้างนะ?
……………………………..
เมื่อฝ่าบาทมีรับสั่งให้ยกเลิกการคัดเลือกพระสนม ก็ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องผิดหวัง
ที่ตำหนักชางอู๋ บาดแผลของอันหว่าจรือฟื้นฟูจนหายดีแล้ว นางแต่งหน้าอย่างงดงาม สวมใส่กระโปรงกำมะหยี่ชั้นเลิศที่สูงค่า
ท่านย่า เรื่องนี้จะทำอย่างไรดี ข้าเข้าวังมาก็เพื่อจะแต่งงานกับฝ่าบาทนะเจ้าคะ ยามนี้ฝ่าบาทยกเลิกการคัดเลือกนางสนมไปแล้ว เช่นนี้ก็กลายเป็นว่าข้าไม่มีโอกาสแล้วนะสิ? “
อันหว่านจือคุกเข่าอยู่ที่ข้างกายของอันหร่วน กอดขานางไว้ด้วนความกระเง้ากระงอด
” อยู่ดีๆ กลับยกเลิกการคัดเลือกนางสนมเสียเฉยๆ เรื่องนี้แม้แต่ข้าก็ยังดูฮ่องเต้ไม่ออกเช่นกัน ” อันหร่วนที่กำลังปิดตาสวดลูกประคำในกำมือ พอถูกอันหว่านจือโยเยเข้าใส่ก็ได้แต่ลืมตาขึ้นมา
“ข้าว่ายังจะไม่ใช่ฝีมือของสตรีในตำหนักเฟิงหมิ่งผู้นั้นอีกหรือ! ” อันหว่านจือกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ ” ท่านย่าเจ้าคะ วันทั้งวันท่านก็เอาแต่อยู่เฝ้าในตำหนักชางอู๋หลังนี้ ทำไมถึงได้ไม่สนใจข่าวคราวในวังบ้างเลย! “
” ฟังว่าเมื่อหลายวันก่อนนางเฒ่าเจียงคนนั้นพาหลานสาวสายนอกของนางมาเข้าพบตู๋กูซิงหลัน คงคิดจะให้ตู๋กูซิงหลันช่วยพูดอะไรดีๆ ให้ในยามที่คัดเลือกนางสนม จะได้ให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งนังซ่งหรูหย้วนนั่นเป็นพระสนมเฟย “
” แต่แล้วเป็นไงละ? ตู๋กูซิงหลันผู้นั้นไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ กลับยุให้ฝ่าบาทโยนพวกมันทั้งสองคนออกนอกวังไป! “
” ข้าเห็นกับตาเลยว่ายายหลานคู่นั้นถูกเอาไปโยนทิ้งอย่างไร! ฮิๆ ผู้คนมากมายต่างพากันหัวเราะพวกนาง”
อันหร่วนเพียงแต่รับฟังเท่านั้น
” ท่านย่าเจ้าคะ ไยท่านถึงยังนิ่งเฉยอยู่ได้? ” อันหว่านจือเห็นท่าทางที่ไม่รีบไม่ร้อนของนาง ตัวเองก็ชักจะเดือดร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว
” ก่อนหน้านี้ไม่เห็นฝ่าบาทจะมีท่าทีว่าต้องการยกเลิกการคัดเลือกนางสนม แต่ว่าแค่เสด็จไปตำหนักเฟิ่งหมิงเพียงรอบเดียว ก็กลายเป็นเช่นนี้ นี่จะต้องเป็นเพราะตู๋กูซิงหลันแน่ๆ! “
” นางเป็นไทเฮาอยู่ดีๆ แต่แล้วกลับไม่ต้องการ คิดจะครอบครองฝ่าบาทเอาไว้เพียงผู้เดียว! ท่านรีบคิดหาวิธีเร็วเข้าสิเจ้าคะ “
อันหร่วนสวดประคำช้าลงเรื่อยๆ ” เจ้าเด็กคนนี้ ทำอะไรรีบๆ ลนๆ “
” ข้าจะไม่รีบได้อีกหรือเจ้าคะ? หากว่าเกิดตู๋กูซิงหลันกลายเป็นสนมคนโปรดของฝ่าบาทขึ้นมา เช่นนั้นข้าจะยังมีโอกาสได้เป็นพระสนมอีกหรือ? ” อันหว่านจือไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย
” นางเป็นไทเฮา ย่อมถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจอยู่ร่วมกับฝ่าบาท อย่างมากก็ได้แต่สะบัดสะบิ้งตามอารมณ์สาวน้อย หรือไประบายอารมณ์ใส่พวกพระสนมในวัง เจ้ายังจะถือเป็นจริงเป็นจังด้วยหรือ? ” อันหร่วนตอบอย่างไม่รีบร้อน
” เป็นไทเฮาแล้วอย่างไร นั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่านางอายุเพียงสิบหน้าปีเท่านั้น แถมยังเกิดมาเป็นนางจิ้งจอกขนานแท้ บุรุษคนใดพอเห็นนางแล้วจะไม่หวั่นไหวใจได้บ้างกัน? ” อันหว่านจือลุกขึ้นมา นางเดินไปรอบๆ ห้องอย่างอย่างไม่อาจสงบใจลงได้ “ยิ่งไปกว่านั้นธรรมเนียมของแคว้นต้าโจวเองก็เปิดกว้าง เรื่องที่ลูกชายจะแต่งกับแม่เลี้ยงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนิเจ้าคะ “
” ถึงจะเปิดกว้างเพียงไร แต่ว่าในวังก็มีกฎระเบียบอยู่มากมายยิ่งกว่า ” อันหร่วนตอบ ” ข้ารู้จักฝ่าบาทดี พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักษาตนอยู่ในกรอบประเพณี ไม่มีทางที่พระองค์จะยอมกระทำเรื่องที่ผิดกฎของบรรพชนเพียงเพื่อสตรีเพียงนางเดียว “
แต่ว่าการคัดเลือกนางสนมก็ถูกยกเลิกไปแล้ว ข้าควรทำเช่นใดถึงจะสามารถทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยในตัวข้า แต่งตั้งข้าเป็นพระสนมได้กันละเจ้าคะ? “
เรื่องนี้สำหรับนางแล้วถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ที่ครั้งก่อนนางไปเสียทีที่ตำหนังเฟิ่งหมิง นางก็ไม่กล้าไปไหนในวังอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอีก เข้าวังมาก็ตั้งนานแล้วแต่ว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทเป็นเช่นไรกลับไม่เคยได้เห็น แค่คิดจะให้ฝ่าบาทสังเกตเห็นนางบ้างไยจึงยากเย็นเช่นนี้
ทั้งหมดนี่ย่อมต้องโทษนางหญิงชั่วตู๋กูซิงหลันผู้นั้น ทำให้นางเสียโอกาสในการเข้าร่วมคัดเลือกนางสนมไปเสียเปล่าๆ!
” เจ้าจะวุ่นวายไปทำไม ” อันหร่วนวางประคำสวดมนต์ในมือลง หันไปกล่าวกับนางว่า “การคัดเลือกนางสนมถูกยกเลิกแล้ว นี่จึงจะเป็นเรื่องดีต่อตัวเจ้า “
“ท่าย่ากล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไรเจ้าคะ? ” อันหว่านจือมองดูนางด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
” ทุกวันนี้เจ้าก็พำนักอยู่ในวังหลวงอยู่แล้ว เรื่องที่จะได้พบฝ่าบาทเมื่อไหร่ก็แค่ช้าเร็วเท่านั้น หากว่าไปยืนรวมอยู่กับสตรีเหล่านั้น ก็เท่ากับไปเป็นหัวผักกาดหรือไชเท้าให้ฝ่าบาททรงเลือก ไหนเลยจะเทียบได้กับหอสูงริมน้ำ ได้รับแสงจันทร์ก่อน หากว่าฝ่าบาททรงได้เจอกับเจ้าเพียงผู้เดียว เจ้ายังจะกังวลว่าไม่มีโอกาสอีกหรือ? “
อันหร่วนกล่าวเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ของอันหว่านจือก็ทอประกายสดใส สาวเท้าวิ่งเข้ามาถึงข้างกายนาง คว้าเอวของนางเอวไว้อย่างแนบแน่น ออดอ้อนว่า “ท่านย่า ข้ารู้อยู่แล้วว่า ท่านดีต่อหว่านจือที่สุดแล้ว “
ยากนักที่ใบหน้าซึ่งจริงจังอยู่เสมอของอันหร่วนจะปรากฎรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง “บิดามารดาของเจ้าจากไปเร็วเกินไป มอบเจ้าให้ข้าดูแล ข้าย่อมจะต้องเห็นเจ้าเสมือนลูกหลานแท้ๆ หากไม่ดีกับเด็กน้อยอย่างเจ้าให้มาก จะให้ไปดีกับใครเล่า? “
อันหว่าจรือผงกศีรษะอย่างหนักแน่น “ถึงแม้ว่าท่านพ่อท่านแม่จะยังอยู่ ก็เกรงว่าคงจะไม่มีทางรักข้าเท่ากับท่านย่าได้หรอกเจ้าค่ะ “
อันหร่วนมองดูท่าทางที่ออดอ้อนและเชื่อฟังของนาง ก็ยิ่งเพิ่มพูนความรักในตัวนางเข้าไปอีก ” หลายปีนี้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่เขาจงหลิงมาตลอด ย่าจะต้องไม่ยอมให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมเด็ดขาด “
พูดแล้วนางก็ยกเอาประคำสวดมนต์ขึ้นมาคล้องไว้บนมืออีกครั้ง ” มานี่เถอะ ย่ามีคำพูดบางอย่างจะกล่าวกับเจ้า “
” อืม เจ้าค่ะ ” อันหว่านจือเขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีก
………………………………………………..
แม้ใกล้จะสิ้นปีเข้าไปทุกที แต่หิมะกลับตกลงหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หลายวันนี้ก็ไม่เคยหยุด
ในพระตำหนักตี้หัว ถ่านเงินชั้นดีถูกเผาจนหมดไปหลายตระกร้า งานของบ้านเมืองในช่วงนี้ก็ยิ่งมากมาย ทุกวันฮ่องเต้ทรงวุ่นวายกับการสะสางงานราชการ แม้จะเลิกประชุมแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด
ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ทรงตอบฎีกาที่หนาหนักติดต่อกันหลายเล่ม พระองค์ทรงฉลองพระองค์คลุมสีทองตัวหนา สะบัดพู่กันในพระหัตถ์อย่างต่อเนื่อง
หลี่กงกงที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง ได้แต่ชมดูจนปวดใจ
ผู้คนทั้งแผ่นดินต่างอิจฉาในพระราชอำนาจบารมี แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่าผู้ซึ่งครอบครองอำนาจและบารมีนี้จะต้องตื่นก่อนไก่โห่ นอนหลังสุนัขเห่าหอนอยู่ทุกวัน
ตอนที่ 141 ปวงประชาเป็นสุข ทั่วทั้งแผ...
ฎีกาที่ไม่มีวันหมด งานแผ่นดินที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ละเรื่องฝ่าบาทล้วนเป็นต้องแก้ไขด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง สำหรับพระองค์แล้วเรื่องของบ้านเมืองไม่มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องเล็กสักเรื่องเดียว
ผู้คนรอบข้างต่างทราบเพียงว่าฝ่าบาททรงพระทัยแข็งถึงขั้นไร้น้ำพระทัย แต่ตัวเขาอยู่รับใช้ฝ่าบาทมานาน ย่อมรู้ดีว่าฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างแท้จริง
ยามก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ยึดสมบัติของรองมหาเสนาฯ มานั้น ฝ่าบาททรงมีรับสั่งออกไปว่าให้ระดมความช่วยเหลือไปบรรเทาทุพภิกขภัยในเมืองหลีโจว ทั้งยังเบิกเอาเงินหมื่นตำลึงทองออกมาจากท้องพระคลังส่งไปด้วยพร้อมๆ กัน
ผู้ที่ส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปก็ยังเป็นถึงหัวหน้ากองรักษาพระองค์ลับหลงเซียวที่พระองค์ทรงไว้พระทัยมากที่สุด
ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคตไป หลีโจวประสบกับภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรง ประชาชนต้องอพยพแตกซ่านกระเซ็น ถึงแม้ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้คุณชายรองตระกูลตู๋กูเดินทางไปบรรเทาทุกข์ด้วยตนเองพระองค์ก็ยังไม่อาจวางพระทัย
ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะโปรดแสดงพระราชอำนาจ แต่กับประชาชนแล้วทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง
เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีผู้ใดทราบ
พวกเขายิ่งไม่เคยคิดว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ ยามที่ทรงพระเยาว์เพื่อหมั่นโถชิ้นเดียวกลับโดยผู้คนทุบตีจนพระชงฑ์หัก แต่ละวันใช้ชีวิตอย่างยากลำบากถึงขนาดต้องยื้อแย่งอาหารกับสุนัข
ครั้งหนึ่ง…….เพื่อให้ได้กินอาหารสักมื้อ ถึงขนาดไปยังตลาดมืดลงสนามต่อสู้กับสัตว์ร้ายให้ผู้คนได้ชม
ผู้คนทั่วหล้าต่างทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพ่อไก่ขนเหล็ก แต่กลับไม่เคยรู้ว่าพระองค์ทรงผ่านประสบการณ์เช่นไรมาบ้าง เงินทุกอีแปะที่พระองค์ได้รับมาล้วนต้องแลกด้วยหมัดและเลือดเนื้อทั้งนั้น แล้วไยพระองค์จะไม่ทรงมัธยัสถ์ได้เล่า?
จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังจำได้ดีว่า วันที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์นั้นได้ทรงรับสั่งกับเขาอย่างไรบ้าง
” เราต้องการให้แผ่นดินนี้ ไม่มีเด็กน้อยที่ต้องตกระกำลำบากเช่นเราอีก ไม่ต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ ไม่ต้องให้พี่น้องแก่งแย่ง ไม่ต้องอดอยากเหน็บหนาว ไม่ต้องเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมาย”
” เราจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ปวงประชาเป็นสุขร่วมกันทั่วทั้งแผ่นดิน”
แม้แต่เรื่องที่ยกเลิกการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ประสงค์จะให้วังหลังเพิ่มพูนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอีก
ฝ่าบาทที่เป็นเช่นนี้……..เมื่อคิดขึ้นมาทีไร หลี่กงกงก็พลางจะน้ำตาไหล
จีเฉวียนถือพู่กันไว้ในพระหัตถ์ สีพระพักตร์หนักหน่วง วันนี้หิมะตกหนัก แม้แต่ในพระตำหนักของฮ่องเต้ยังมีหิมะท่วม ที่อื่นๆ ก็คงยิ่งลำบากหนักหนากว่านี้
แท้จริงแล้วมีหลายเมืองที่ยามนี้ต้องประสบภัยพิบัติเพราะหิมะแล้ว
พระองค์ขมวดพระขนงแน่น ทอดถอนพระทัยเบาๆ รับสั่งให้หลี่กงกงเติมฟืนลงไปในไฟอีกหลายๆ ก้อน
เรื่องนี้หากว่าจัดการได้ไม่ดี ไม่รู้ว่าจะต้องมีครอบครัวที่บ้านแตกสาแหรกขาดอีกสักเท่าไหร่ มีผู้คนอีกเท่าไหร่ที่จะกลายเป็นคนไร้บ้าน นั่นมิใช่สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา
ในยามนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของขันทีน้อยเข้ามากราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท อันหร่วนกูกูขอพระราชทานอนุญาตเข้าเฝ้า”
จีเฉวียนมิได้เงยหน้าก็ตรัสว่า ” เชิญนางเข้ามาเถอะ “
เพียงครู่เดียว ก็เห็นอันหร่วนกูกูเดินนำอันหว่านจือเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
นี่เป็นครั้งแรกที่อันหว่านจือได้เข้ามาในพระตำหนักตี้หัว พระตำหนักมิได้วิจิตรงดงามดั่งที่นางวาดภาพไว้ ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นงานไม้ที่เรียบง่าย ทั้งกว้างขวางและดูวังเวง
ในห้องทรงพระอักษรล้วนเต็มไปด้วยชั้นหนังสือใหญ่เล็กมากมาย ล้วนแล้วแต่สีดำอึมครึม ฮ่องเต้กำลังประทับนั่งทอดพระเนตรฎีกา ทรงฉลองพระองค์คลุมตัวใหญ่ พระเกศาที่ยาวสยายดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย พระพักตร์ที่งดงามดุจเทพเซียนนั้น ยามนี้คล้ายกัยถูกฉาบไว้ด้วยหิมะชั้นหนึ่ง
หัวใจของอันหว่านจือลิงโลดขึ้นอย่างไม่อาจระงับ นางเดินตามหลังอันหร่วนมา แอบลอบมองดูฮ่องเต้ด้วยความระมัดระวัง
นี้ก็คือสามีในอนาคตของนาง สามีชั่วชีวิตของนางอันหว่านจือ
ช่างเป็นจริงสมคำเล่าลือ ฝ่าบามทรงสูงส่งองอาจเกินผู้ใดทัดเทียม
ใบหน้าของนางแดงขึ้นอย่างไร้สาเหต นางยิ่งก้มศีรษะลงไปอีก หัวใจก็โลดเต้นไม่ยอมหยุด
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาทมาก่อน ในใจก็เคว้งคว้างอยู่ตลอด ไม่อาจแน่ใจได้ว่าฝ่าบาทจะคู่ควรกับตัวนางหรือไม่
ยามนี้พอได้เห็นตัวจริงแล้ว หัวใจค่อยโล่งขึ้นบ้าง ในแผ่นดินนี้คงจะมีแต่เพียงบุรุษเช่นฝ่าบาทเท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นสามีของนาง
“บ่าวอันหร่วน ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ” อันหร่วนทูลพลางก็คุกเข่าลงไปคำนับจีเฉวียน
อันหว่านจือเองก็คุกเข่าตามไปด้วย
จีเฉวียนรีบโบกพระหัตถ์ “หมัวมัวมิต้องมากมารยาท นั่งลงค่อยพูดเถอะ “
อันหร่วนมองดูพระองค์ ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น ในเมื่อฮ่องเต้ประทานเก้าอี้ให้นั่งนางก็มิได้ปฎิเสธ หลังจากที่นางนั่งลงแล้ว ก็ใช้ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเฝ้ามองจีเฉวียน “ยามที่บ่าวไปจากวังหลวงนั้น ฝ่าบาทยังทรงเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ เพียงพริบตาเดียวสิบแปดปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว ยามนี้ฝ่าบาททรงกลายเป็นเจ้าแผ่นดินที่เปี่ยมไปด้วยพระบารมี หากว่าฮองเฮาได้ทรงเห็นเข้าละก็ จะต้องดีพระทัยอย่างยิ่งเป็นแน่เพคะ “
เมื่อเอ่ยถึงฉางซุนฮองเฮา พู่กันในพระหัตถ์ของจีเฉวียนก็ชะงักไป เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรอันหร่วนที่เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวไปหมด “หมัวมัวเป็นแม่นมของพระมารดา อีกทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงที่ดูแลเรามา เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา ไม่จำเป็นต้องเรียกตนเองเป็นบ่าวอีก”
อันหร่วนจรือรีบส่ายหน้าปฎิเสธ “บ่าวมีฐานะใดกัน บ่าวล้วนจำจดได้อย่างดี ไม่กล้าอาจเอื้อมแม้แต่น้อยเพคะ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเลี้ยงดูบ่าวให้ได้แก่ชราอยู่ในวัง เพียงเท่านี้บ่าวก็ซาบซึ้งในน้ำพระทัยแล้วเพคะ”
นางพูดไป ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “บ่าวกลับมารอบนี้ เรื่องหลักๆ ก็คือคิดถึงฝ่าบาท พูดไปก็เป็นการบังอาจอยู่บ้าง บ่าวเห็นฮองเฮาดังบุตรสาวแท้ๆ มาโดยตลอด ยอมต้องเห็นพระองค์เป็นดั่งหลานชายแท้ๆ ไปด้วย เพียงแต่ฐานะของบ่าวต่ำต้อยจึงได้แต่เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้แต่เพียงในใจเท่านั้น”
” หมัวมัวมีใจเช่นนี้ เราก็ขอรับเอาไว้แล้ว ต่อไปเจ้าอยู่ในวัง ก็อยู่ให้สบายเถิด เราย่อมต้องมิให้เจ้าได้รับความลำบากอีก”
น้อยนักที่จีเฉวียนจะมีน้ำพระทัยเช่นนี้ สำหรับอันหร่วนแล้วพระองค์เห็นแกที่นางเคยเป็นแม่นมของพระมารดา เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนก็เท่านั้น
“บ่าวขอขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ” อันหร่วนทูลตอบ พอนางยกมือขึ้นโบก อันหว่านจือที่อยู่เบื้องหลังนางค่อยก้าวออกมา
ในมือของนางประคองเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำตัวหนึ่งไว้ ศีรษะก้มต่ำ ราวกับว่าไม่กล้ามองดูฝ่าบาท
ยามนี้ อันหร่วนค่อยทูลว่า “ฝ่าบาทเพคะ อากาศเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ บ่าวจดจำได้ว่าพระองค์กลัวความหนาว ดังนั้นจึงได้ทำชุดฤดูหนาวขึ้นมาตัวหนึ่ง วันนี้ตั้งใจนำมาถวายเป็นพิเศษเพคะ”
ทันทีที่นางพูดจบ อันหว่านจือก็ประคองเสื้อหนาวที่หนาหนักนั้นไปยังที่ข้างโต๊ะอักษร คุกเขาลงไป
ริมฝีปากแดงของนางแย้มพราย ทูลว่า “ขอฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตรเพคะ”
เสื้อกำมะหยี่ตัวหนา แต่เข็มเล็กๆ กลับปักลอดลงไปได้ ฝีเข็มที่ละเอียดละออนั้น ดูก็รู้ว่าผู้ที่เย็บเสื้อตัวนี้ขึ้นมาจะต้องมีความตั้งใจเพียงไร
จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ไปลูบเบาๆ สัมผัสนั้นอบอุ่น แสนสบาย
” เราจำได้ว่ายามที่ยังเป็นเด็ก ทุกปีในฤดูหนาว หมัวมัวจะต้องทำชุดกำมะหยี่ให้เราหลายๆ ชุด”
อันหร่วนได้ฟังแล้ว ก็แสดงสีหน้าย้อนคิดไปถึงความหลังเช่นกัน ” หากว่าฝ่าบาทมิได้ทรงรังเกียจ ต่อไปทุกปียามเข้าหน้าหนาว บ่าวจะทำมาถวายพระองค์ “
นางเคยอยู่ในวังมานานหลายปี ย่อมรู้ดีว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับฮ่องเต้ผู้ทรงสูงส่งนั้น มีแต่ความจริงใจเท่านั้นจึงจะล้ำค่า
โดยเฉพาะสำหรับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ทรงสูญเสียพระมารดาไปตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนี้
นับตั้งแต่ที่ฉางซุนฮองเฮาทรงสิ้นไปนั้น พระองค์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าอดีตฮ่องเต้อีก ทั้งๆ ที่เป็นถึงพระราชโอรสสายตรง แท้ๆ แต่กลับกลายเป็นผู้ที่ไม่ได้รับความโปดปราน ต่อมา…..ยังเคยถูกส่งไปยังต่างแคว้นเพื่อเป็นตัวประกันด้วยซ้ำ
สามารถพูดได้ว่า การดูแลจากผู้ใหญ่นั้น เป็นเรื่องมากเกินความจำเป็นสำหรับฮ่องเต้พระองค์นี้
” แน่นอนว่าต้องมิได้รังเกียจอยู่แล้ว ” จีเฉวียนทรงรับฉลองพระองค์มาไว้ในพระหัตถ์ ยามนี้พระพักตร์ที่เย็นชาจนเป็นน้ำแข็งอยู่เสมอค่อยปรากฎความอบอุ่นขั้นมาหลายส่วน
ความอบอุ่นที่ได้รับจากเสื้อคลุมตัวนี้ ทำให้พระองค์ทรงคิดถึงยามที่เคยประทับอยู่กับพระมารดายามที่เป็นเด็ก
พระองค์ที่ยังทรงพระเยาว์ ทุกปีในยามที่หิมะตกในฤดูหนาวมีแต่ตอนที่ได้ประทับอยู่เคียงข้างพระมารดาเท่านั้น ที่ทำให้พระองค์สัมผัสกับความอบอุ่นได้
สายตาของอันหว่านจือ จับจ้องไปบนร่างของพระองค์ ยามนี้หัวใจของนางเองก็ราวกับฤดูใบไม้ผลิที่ผลิบานด้วยความตื่นเต้น
ตอนที่ 142 หากว่าอาหลันเห็นข้า จะชอบห...
เมื่อครู่สายพระเนตรของฝ่าบาทยังเย็นชาอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา นี่…..เป็นเพราะตัวนางใช่ไหม?
นางเงยหน้าขึ้นกว่าเดิม กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันยินดีจะถวายงานอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดไปเพคะ”
เมื่อครู่จีเฉวียนไม่ทันได้จงใจมองนางเลย พอได้ฟังเสียงของนางจึงหันไปมองชั่วแวบหนึ่ง
และแวบเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พระองค์ได้เห็นดวงตาและคิ้วของนาง……
ความนุ่มนวลบนพระพักตร์ก็แข็งค้างไปในทันที ดวงเนตรหงส์ปรากฎแววตายุ่งเหยิง
” ทูลฝ่าบาท นี่คือ หว่านจือ เป็นหลานสาวของบ่าวเองเพคะ นางอยู่กับข้าเฝ้าสุสานที่เขาจงซานมาสิบกว่าปี ” อันหร่วนรีบอธิบาย “นางเป็นเด็กที่น่าสงสาร ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีมารดา ยิ่งไม่ได้รับความรักจากบิดา ดังนั้นจึงมีแต่บ่าวที่รับนางมาเลี้ยงเอาไว้ข้างกายเพคะ”
อันหว่านจือรู้ดีว่าตนเองสิ้นไร้บิดามารดาแท้ๆ แต่อันหร่วนกลับกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้ฝ่าบาทรู้สึกว่านางและพระองค์ช่างน่าสงสารดุจเดียวกัน เป็นการกระตุ้นความเห็นใจจากพระองค์
จีเฉวียนทรงนิ่งฟัง พักใหญ่หลังจากนั้นก็พิงพระองค์ไปกับพนักเก้าอี้ ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอันหว่านจืออีกครั้ง ” อายุเท่าไรแล้ว “
“ทูลฝ่าบาท บ่าวปีนี้อายุสิบหกแล้วเพคะ? ” อันหว่านจือก้มศีรษะลงไป นางลอบใช้สายตาที่สุกสกาวแอบมองอีกครั้ง สีหน้าปรากฎความเหนียมอาย “ตั้งแต่เล็กบ่าวมักจะเคยได้ยินท่านย่ากล่าวถึงพระองค์ ในใจรู้สึกเคารพเทิดทูนอย่างยิ่งมาตลอดเพคะ”
” เราถามอะไร เจ้าก็บอกเช่นนั้น หากว่าเราไม่ได้ถาม ก็อย่าได้กล่าวมากความ” จีเฉวียนทรงพับเก็บฎีกาในพระหัตถ์ สายพระเนตรตกลงบนริมฝีปากของนาง
สีแดงเข้มที่ดูงามสง่าเช่นนี้ เป็นสีที่พระองค์จำได้ว่าเป็นสีโปรดของพระมารดา
แต่เมื่อมาอยู่บนริมฝีปากของนาง กลับดูเหลาะแหละไปเสียอย่างนั้น
อันหว่านจือถูกพระองค์สั่งสอน ในใจก็ร้อนลนขึ้นมา ยิ่งศีรษะลงไปอีกตอบว่า ” เพคะ บ่าวรู้ผิดแล้ว”
” ฝ่าบาท เด็กคนนี้ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เป็นเพราะย่าอย่างหม่อมฉันสั่งสอนนางได้ไม่ดี ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญา ” อันหร่วนรีบช่วยนางคลายวงล้อม
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ฝ่าบาทก็เป็นผู้ที่เย็นชาอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาสิบแปดปีแล้ว จะทรงเย็นชายิ่งขึ้นกว่าเดิม
จีเฉวียนมิได้ตรัสสิ่งใด โบกพระหัตถ์ให้หลี่กงกงนำเสื้อผ้าไปเก็บเอาไว้
“ฝ่าบาทเพคะ บ่าวยังมีเรื่องจะขอร้องอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ” ว่าแล้วอันหร่วนก็ลงมาคุกเข่าลงที่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์
” หมัวมัวว่ามาเถอะ ” จีเฉวียนมิได้ทำให้นางลำบากใจ
อันหร่วนหันไปดูอันหว่านจือแวบหนึ่ง ก็กราบทูลว่า “ในแผ่นดินนี้ บ่าวเหลือแต่เพียงอันหว่านจือเป็นญาติเพียงคนเดียวแล้ว ดังนั้นคิดขอพระเมตตาจากฝ่าบาทรับนางไว้เป็นบ่าวรับใช้ของพระองค์ อย่างน้อยจะได้รับการอบรมสั่งสอนเสียบ้าง อนาคตจะได้สามารถหาครอบครัวดีๆ ให้นางแต่งออกไปได้ ขอเพียงให้นางได้แต่งกับบุรุษที่ดีที่ตนพอใจ ยายแก่อย่างหม่อมฉันก็นับว่ามีหน้าไปตอบตระกูลอันได้แล้วเพคะ
“
อันหว่านจือได้ฟัง ก็คิดจะปฎิเสธนางออกไปในทันที ท่านย่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?
แค่ให้ฝ่าบาทรับนางเป็นสนมก็จบแล้วมิใช่หรือ? ไยจะต้องให้นางไปเป็นบ่าวรับใช้ด้วย?
แล้วยังคิดจะหาบ้านสามีให้นางอีก? นางมาที่เมืองหลวงก็เพื่อจะแต่งกับฝ่าบาทนะ!
แต่ว่านางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป จึงได้แต่คุกเข่าอยู่บนพื้น แม้ในใจจะไม่ยินดี แต่สีหน้ายังคงอ่อนแอน่าสงสารดุจเดิม
เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทมิได้รับสั่งอย่างไร อันหร่วนก็ถือโอกาสโขกศีรษะลงไปเสียงดังหลายๆ ที “ขอฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วยเพคะ! “
” ลุกขึ้นมาเถอะ ” ฝ่าบาทโบกพระหัตถ์ แล้วจึงหันไปทอดพระเนตรอันหว่านจืออีกครั้ง
อันหว่านจือถูกมองจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด ในใจขบคิดไม่หยุดว่าหากนางสามารถยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ กลางวันก็ถวายการรับใช้ กลางคืนก็ได้รับความโปรดปราน นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมเพียงไร
“หลี่กงกง ตำหนักตี้หัวยังมีตำแหน่งนางกำนัลใดว่างๆ อยู่อีกหรือไม่” ครู่หนึ่งจีเฉวียนก็ทรงหันไปถามหลี่ต้าชิง
อีกแล้ว! ชีวิตของคนสนิทช่างไม่ง่ายดายเลย!
หลี่กงกงรู้สึกว่าตนเองถูกทดสอบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คราวนี้ชัดเจนเลยว่าฝ่าบาทจงใจมอบบททดสอบที่ยากเข็ญให้กับเขา
นางกำนัลนั้นมีมากมายหลายระดับชั้น หากจะว่ากันระดับต่ำไล่ลงไปจนถึงรับเวรทำงานยามกลางคืนก็ล้วนมีอยู่
หากว่ากันที่ระดับสูงขอเพียงได้ยืนประจำการณ์รับใช้อยู่ข้างพระองค์ได้ก็มี
แต่ว่ายามปกติผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาทล้วนเป็นเหล่าขันทีน้อย นางกำนัลในตำหนักตี้หัวแม้แต่คุณสมบัติจะได้เข้าใกล้พระองค์ก็ยังไม่มี
แต่ว่าอันหร่วนกูกูผู้นี้มีฐานะพิเศษออกไป
ที่จริงแล้วของเพียงมีรับสั่งของฝ่าบาทเพียงคำเดียว อันหว่านจือคิดจะทำงานในตำแหน่งใดล้วนแต่เป็นได้หมด
เขากลืนน้ำลายลงไปหายอึก ครุ่นคิดอยู่นานถึงได้ตอบเสียงเบาไปว่า ” ทูลฝ่าบาท ตำหนักตี้หัวไม่มีตำแหน่งว่างเลยพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงทวนคำตอบนั้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “อืม ไม่มีเลยรึ “
อันหร่วนได้แต่ยอมรับด้วยความเสียดาย “ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าหว่านจือเด็กคนนี้ไม่มีบุญเลย เฮ่อ”
นางทอดถอนใจออกมา ในมือก็ปรากฎประคำสวดมนต์สายหนึ่ง จีเฉวียนทรงมองเห็นอย่างชัดเจน ประคำสวดมนต์นี้เป็นของที่ยามพระมารดาทรงพระชนม์อยู่ ทรงถือติดพระหัตถ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
พระมารดาที่มีพระทัยใฝ่ทางธรรม ก่อนสิ้นพระชนม์ทรงประทานของติดกายเช่นนี้ให้กับอันหร่วน แสดงให้เห็นว่าทรงให้ความสำคัญกับอันหร่วนเพียงไร
สีพระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนไปในทันที แต่เพียงครู่เดียวก็กลับสงบลงดังเดิม ตรัสกับอันหว่านจือว่า “ห้องอักษรขาดนางกำนัลยกน้ำชาคนหนึ่ง พรุ่งนี้เจ้าลงมาที่ตำหนักค่อยยกน้ำชาเถอะ
อันหว่านจือมิได้ยินดีแม้แต่น้อย ก็แค่นางกำนัลยกน้ำชาเท่านั้น นี่ไหนเลยจะเหมาะสมกับฐานะของนางกัน
แต่ว่าคิดๆ ดูแล้ว หากทุกๆ วันสามารถได้อยู่ใกล้ชิดฝ่าบาทเพียงลำพังเช่นนั้น ถึงต้องยอมลำบากสักหลายๆ วันก็ไม่เป็นอะไร
นางจะทำให้ฝ่าบาทชื่นชอบนาง ให้ความสำคัญกับนาง ไม่อาจแยกจากนางอีกต่อไป!
ดังนั้นนางจึงรีบถวายคำนับจีเฉวียนด้วยความตื่นเต้น ” เพคะ บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
มุมปากของอันหร่วนเองก็มีรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ “บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาทแทนหว่านจือด้วยเพคะ เด็กคนนี้สามารถมีโชคเช่นนี้ได้ คงเพราะว่าชาติก่อนทำบุญสั่งสมมาเป็นแน่ “
……………………..
การคัดเลือกนางสนมมิได้ถูกจัดขึ้น แต่ข้างกายฝ่าบาทกลับเพิ่มนางกำนัลยกน้ำชาขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้ถึงกับแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว
ยามที่ข่าวแพร่มาถึงหูของซูเหม่ยนั้น นางกำลังแต้มชาดลงบนหน้าผากอยู่
กลีบดอกไม้บนหว่างคิ้วนี้เป็นนางลงมือวาดด้วยตนเอง ดูเย้ายวนอย่างยิ่ง สีผึ้งที่ใช้แต่งแต้มบนริมฝีปากก็งดงาม เดิมที่ก็เป็นหญิงงามผู้หนึ่งอยู่แล้ว เมื่อตั้งอกตั้งใจแต่งหน้าขึ้นมา ก็ยิ่งเปล่งประกายเฉิดฉันจนกระชากวิญญาณผู้คน
” กุ้ยเฟยเพคะ ไยท่านยังจะมีอารมณ์บรรจงแต่งองค์ได้อีก” กระทั่งหยูฟู่นางกำนัลประจำตัวของนางก็ยังร้อนใจขึ้นมาแล้ว “ท่านกลับมาก็ตั้งหลายวันแล้ว แต่ฝ่าบาทยังมิได้เสด็จมาที่ตำหนักชุ่ยเวยของพวกเราเลยสักครั้ง พวกคนที่ไร้ปัญญาที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นต่างก็ชักจะลิ้นยาวปากยื่นกันขึ้นมาแล้ว ถึงได้กล้าพูดกันว่าพระสนมท่านมิอาจเทียบได้กับหญิงสาวชาวป่าคนหนึ่ง “
ซูเหม่ยคล้ายกับว่าฟังไม่ได้ยินเคยสักคำ เมื่อแต่เสร็จจนถึงพู่กันสุดท้ายนางถึงได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กับหยูฟู่ “เจ้าว่าวันนี้ข้าดูดีหรือไม่? “
หยูฟู่ชะงักไปเล็กน้อย “กุ้ยเฟยย่อมงดงามอยู่แล้วเพคะ “
” เช่นนั้นอาหลันเห็นข้าแล้วจะชอบหรือไม่? ซูเหม่ยอารมณ์ดียิ่งนัก นางสวมชุดกระโปรงสีแดงสด เมื่อลุกขึ้นยืนก็หมุนรอบตัวครั้งหนึ่ง
พอหมุนตัวมาถึงด้านหน้า แม้แต่หยูฟู่ยังรู้สักลุ่มหลงจนมึนงง
” ไม่ว่าใครเมื่อได้พบท่านก็ต้องชอบด้วยกันทั้งนั้นเพคะ ” หยู่ฟู่กล่าว นางไม่เข้าใจเลยว่าพระเนตรทั้งสองของฝ่าบาทนั้นบอดไปแล้วหรือ ถึงได้ทรงละเลยกุ้ยเฟยไม่สนพระทัย ไปคว้าเอาคนเช่นอันหว่านจือมาแทน
” เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะไปหาอาหลัน ” ซูเหม่ยกล่าวแล้วก็ยกกระโปรงขึ้นวิ่งออกไปโดยทันที
” กุ้ยเฟยเพคะ ด้านนอกยังมีหิมะตกอยู่เลยเพคะ ” หยู่ฟู่รีบติดตามออกไป นางไม่ลืมคว้านวมอุ่นมือติดไปให้ด้วย
ตำหนักชุ่ยเวยและพระตำหนักตี้หัวอยู่ใกล้กัน นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมา ผู้ที่ประทับในตำหนักนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่ง แต่สำหรับกุ้ยเฟยแล้วกลับไม่เคยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเช่นนี้เลยสักครั้ง ยามปกติก็แทบจะไม่เคยก้าวเท้าไปยังตำหนักตี้หัวเลยเสียด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น