กระบี่จงมา 139-140

ตอนที่ 139

 

พันมหัศจรรย์ (ต้น)

โดย

ProjectZyphon

สีรัตติกาลเริ่มเข้มข้น ในซอยเมฆคล้อยน้ำไหลนอกประตูหลักของโรงเตี๊ยมชิวหลูสีเสียงน้ำหยดติ๊งๆ เสนาะหูดังเป็นระลอ หลิวฮุหยินยืนอยู่นอกประตูเพียงลำพัง ตรงเอวห้อยเครื่องประดับสีทองอร่ามลักษณะคล้ายตราพยัคฆ์ไว้สองชิ้น


รถม้าคันหนึ่งจอดนอกประตู ชายวัยกลางคนสวมชุดปัญญาชนสีเขียวเดินลงมาจากรถ สีหน้ามีบารมีแม้ไม่ได้แสดงความโกรธ บุคลิกคล้ายแม่ทัพผู้มีความรู้แตกฉาน เพียงแต่สีหน้าของบุรุษในเวลานี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า เมื่อเห็นสตรีแต่งงานแล้วผู้งดงามก็คลี่ยิ้ม “ให้เจ้ารอนานแล้ว พวกเราเข้าไปพูดกันข้างในเถอะ”


สตรีแต่งงานแล้วหมุนตัวกลับเดินนำทางด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย


บุรุษปรายตามองตราพยัคฆ์ตรงเอวนางแล้วขมวดคิ้ว “ต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วแค่นเสียงหยัน “ที่นี่เป็นแค่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่อาจเทียบจวนขุนนางผู้ว่าราชการจังหวัดของใต้เท้าได้ เมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะถูกคนรื้อผนังบังตาที่เป็นจุดขายออกก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเอาไว้ วันนี้ตัวการร้ายยังพาลูกศิษย์ลูกหากลุ่มใหญ่มาพักที่โรงเตี๊ยมข้า ข้าก็ได้แต่กลั้นใจฝืนยิ้มรับใช้นายท่านเซียนซือพวกนี้แต่โดยดี ทั้งหมดนี้ล้วนต้องยกความชอบให้กับใต้เท้าผู้ว่าฯ ที่จัดการดูแลอย่างเหมาะสม…”


บุรุษเพิ่มน้ำหนักเสียงเล็กน้อย “พอแล้วน่า เจียฮุ่ย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพื่อพิธีบวงสรวงศาลเทพวารีครั้งนี้ ข้าเองก็ยุ่งตั้งแต่เช้าตรู่ยันตอนนี้ ตาแดงจนแทบจะลุกติดไฟอยู่แล้ว ที่มาพักผ่อนยังที่ของเจ้า ไม่ใช่ตรงกลับไปที่จวนขุนนางก็เพราะอยากจะหาความสงบสบายหูสักพัก ไม่ได้มาเพื่อฟังเจ้าบ่นจู้จี้”


สายตาของสตรีผู้งดงามฉายแววตำหนิไม่พอใจ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังรู้จักรุกและถอยอย่างเหมาะสม เพียงไม่นานก็เก็บอารมณ์สาวน้อยของตัวเองลงไป เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “เพื่อพิธีเซ่นไหวครั้งนี้ ท่านต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ครึ่งปีเต็ม อยากให้มีหน้ามีตาก็ต้องมีหน้ามีตา ใต้เท้าผู้ว่าราชการมณฑลสุขภาพไม่ค่อยจะดี แม้ว่าจะไม่สามารถมาเยือนได้ด้วยตัวเอง แต่ใต้เท้าสารถีคนสนิทของเขากลับมาร่วมงานแสดงความให้เกียรติแล้ว บวกกับพวกปัญญาชนที่ได้รับคำขนานนามจากราชสำนัก หลวงจีนที่มีชื่อเสียงและนักพรตผู้แฝงเร้นกายก็ถือว่ามีหน้ามีตามากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องการให้จัดเป็นการภายในก็ยิ่งได้ดั่งใจ เงินช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวจากเมืองของเราเอาไปมอบให้เทพวารีเทพแม่น้ำสองท่านของที่อื่นคงพอกระมัง?”


บุรุษพยักหน้ารับ “หลักการคือหลักการนี้จริง”


สตรีแต่งงานแล้วถามเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าเทพวารีหันสือของพวกเราท่านนี้ ในที่สุดก็โปรดปรานในตัวท่านแล้ว? ยอมรับปากว่าจะช่วยให้ท่านช่วงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ มาได้แล้ว?”


บุรุษเอามือสองข้างไพล่หลัง เดินเข้าไปในเรือนเงียบสงบแห่งหนึ่งด้วยความเคยชิน ส่ายหน้าถอนหายใจ “ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นปรากฎตัวไม่ถูกเวลาเลยจริงๆ แค่น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ เขาต้องการแก้แค้นให้ชาวบ้านที่ตายไปอย่างอยุติธรรมผู้นั้นจึงมาตามหาผู้ฝึกลมปราณของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่โรงเตี๊ยมชิวหลูของพวกเจ้า แล้วเปิดศึกต่อสู้กันครั้งใหญ่ ทำให้นักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส เดือดร้อนให้ผนังบังตาของโรงเตี๊ยมพวกเจ้าถูกทำลายรากฐานไปด้วย อันที่จริงหากเรื่องราวดำเนินมาถึงแค่ตรงนี้ ข้ายังพอจะควบคุมสถานการณ์ได้ ยกตัวอย่างเช่นข้าเป็นขุนนางประจำเมือง สามารถส่งรายงานไปให้ราชสำนัก โยนโทษใส่หัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น ปัดนักพรตของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่หาเรื่องก่อนออกไปให้พ้น เพื่อปลอบใจพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มีรากฐานอย่างลึกล้ำมั่นคงอยู่ในแคว้นหวงถิงของพวกเรา แต่ขณะเดียวกันข้าก็จะแอบปล่อยผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นไปอย่างลับๆ อย่างน้อยเรื่องการไล่ล่าในเขตของเมืองก็แค่ทำเป็นผักชีโรยหน้าแสดงออกให้คนนอกดูเท่านั้น เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ ให้เขาสามารถฉวยโอกาสหนีไปได้ ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ถ้าอย่างนั้นสี่มหาสมุทรก็ล้วนเป็นบ้าน คิดดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”


กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษก็เผยสีหน้าหงุดหงิดออกมาเสี้ยวหนึ่ง “แต่นี่ดันมาเกิดเรื่องก่อนหน้าที่จะมีพิธีบวงสรวงเทพแม่น้ำหันสือ ไม่เพียงแต่มีคนมากมายจับตามอง ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าช่วงแรกที่เทพแม่น้ำท่านนี้กลายเป็นองค์เทพได้เพราะอาศัยความช่วยเหลือจากบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ ถึงหยัดยืนได้อย่างมั่นคง? ผลกุศลจากควันธูปนี้ พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ประคับประคองอย่างระมัดระวังมาสองร้อยกว่าปี ไม่เคยเอาเรื่องใดไปรบกวนเทพวารี กลับกันคือสองร้อยกว่าปีนี้ยังคอยเอาของขวัญชิ้นใหญ่ไปเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้านปีละครั้ง นอกจากครั้งหนึ่งที่พรรคประสบหายนะแล้วก็ไม่เคยขาดการติดต่อ แล้วเจ้าคิดว่ามรสุมสะเทือนเมืองครั้งนี้ ใต้เท้าเทพวารีจะเอนเอียงเข้าข้างใครล่ะ?”


สตรีแต่งงานแล้วมองใต้เท้าผู้พิทักษ์เขตปกครองที่เดินวนไปรอบลานกว้างไม่ยอมนั่งลงสักที จึงส่งชาร้อนๆ ไปให้ถ้วยหนึ่งพลางเอ่ยหยอกเย้า “ท่านใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองของข้า ช่วยนั่งลงพูดได้หรือไม่ หากท่านยังเดินวนไปวนมาเช่นนี้ ข้าน้อยคงเวียนหัวตาลายเป็นแน่”


พอนั่งลงแล้ว ชายสวมชุดเขียวก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ตำแหน่งที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น ข้าเพิ่งจะรู้เมื่อสามวันก่อน เดิมคิดจะถ่วงเวลาไปอีกหนึ่งวัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ลากยาวไปหลังพิธีบวงสรวงใหญ่ก่อนค่อยว่ากัน ไม่แน่ว่าอาจจะเว้นชีวิตเขาได้ เจียฮุ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ในศาลเทพวารี หลังจากเทพแม่น้ำหันสือท่านนั้นปรากฏตัวด้วยร่างทองคำแล้ว เขาพูดอะไรกับข้า?”


สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า นางย่อมเดาความคิดของเทพองค์หนึ่งไม่ออกอยู่แล้ว


ในฐานะผู้ดูแลหลักของโรงเตี๊ยมชิวหลู อันที่จริงเมื่อเทียบกับพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์แล้ว สำนักที่สตรีแต่งงานเป็นศิษย์ไม่ได้แย่กว่าเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าพรรคหรือสำนักบนภูเขาทุกแห่งที่มีชื่อเสียงค่อนข้างกว้างขวางต่างก็มีถิ่นที่มั่นคงของใครของมัน พื้นที่สามเขตทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์คือผู้นำในบรรดาพรรคผู้ฝึกตนเล็กใหญ่หลายสิบพรรค


แต่ไม่ว่าจะเป็นสำนักของสตรีแต่งงานแล้วหรือบนภูเขาล่างภูเขาของพื้นที่ทางเหนือแคว้นหวงถิงก็ล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสเทพแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ด้วยตัวเองอย่างยิ่ง


เพราะอย่างไรซะแคว้นหวงถิงก็ไม่ใช่ราชวงศ์ใหญ่อย่างสกุลซ่งต้าหลีหรือสกุลเกาต้าสุย นับตั้งแต่ที่สกุลหงตั้งแคว้นหวงถิงขึ้นมาก็ถือเป็นหนึ่งในสิบสองแคว้นหัวเมืองภายใต้การปกครองของต้าสุย เทพภูเขาและเทพแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้


พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้ต้าสุยยกเลิกข้อห้าม ปล่อยให้สกุลหงแคว้นหวงถิงแต่งตั้ง มอบรางวัลให้แก่เทพภูเขาและแม่น้ำได้ตามใจชอบ แคว้นหวงถิงเองก็ไม่มีความสามารถนี้ หนึ่งเพราะขอบเขตมีจำกัด สองก็เพราะถูกตระกูลเซียนบนภูเขาที่ “แบ่งแยกดินแดนการปกครอง” ควบคุมพื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณโดดเด่นไว้เป็นส่วนมาก


ดังนั้นเทพแม่น้ำที่ควบคุมชะตาแห่งน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งเอาไว้จึงเป็นบทบาทที่สำคัญมากซึ่งขุนนางผู้พิทักษ์เมือง หรือแม้แต่ผู้ว่าราชการมณฑลก็ยังจำเป็นต้องพยายามประจบเอาใจสุดชีวิต


บุรุษวางถ้วยชาลง ใช้สองนิ้วนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ “เทพวารีบอกกับข้าซึ่งหน้าว่า ‘ก่อนหน้าที่ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองจะรู้ที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นหนึ่งวัน ข้าตรวจสอบจนได้ความแน่ชัดแล้ว แม้ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองจะไม่ต้องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม แต่ในเมื่อข้าเป็นเทพวารีแห่งแม่น้ำหันสือก็ต้องเคารพข้อบังคับที่ว่าห้ามข้องเกี่ยวกับวงการขุนนางบนโลกมนุษย์ บวกกับที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองเป็นผู้ควบคุมดูแลท้องถิ่น นับว่าพอจะมีคุณความชอบอยู่บ้าง หากผู้พิทักษ์เมืองคนถัดไปเป็นพวกโง่เขลา สร้างปัญหามากมายที่ต้องให้คนอื่นมาตามเช็ดก้น ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อการสงบใจบำเพ็ญตนของข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจะไม่ส่งรายงานให้กับทางราชสำนัก’”


สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วซีดขาวเล็กน้อย “ความหมายของเทพแม่น้ำท่านนี้คือจะไม่มีทางช่วยให้ท่านขยับขึ้นหน้าไปอีกก้าว?”


บุรุษยิ้มขื่น “อยู่ที่ว่าคืนนี้ข้าจะจับคนผู้นั้นไปไต่สวนทำคดีหรือไม่”


สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกเสียใจภายหลัง “เมื่อครู่นี้ข้าไม่ควรพาลแง่งอนใส่ท่าน”


แต่แล้วนางก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “เทพแม่น้ำหันสือผู้นี้มีชื่อเสียงที่ดีงามมาหลายร้อยปี แต่พอเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของตัวเองเข้าจริงๆ ก็ยังช่วยแค่คนของตัวเองโดยไม่สนว่าจะเป็นฝ่ายถูกต้องหรือไม่ไม่ใช่หรือ? คนที่ถูกผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นทำร้ายก็เป็นแค่ลูกศิษย์รุ่นที่สามของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่เขาถึงขนาดกล้าเกิดตัณหาขึ้นมาในศาลเทพอภิบาลเมือง เห็นสาวงามก็น้ำหายหกอยากครอบครอง ตอนแรกก็ฆ่าสองสามีภรรยานอกเมืองก่อน ตอนหลังพอรู้ว่าลูกของพวกเขาหนีไปได้ยังตามไปไล่ฆ่าข้ามวันข้ามคืน คนสามสิบกว่าคนของทั้งหมู่บ้านถูกเขาฆ่าทิ้งไม่มีเหลือ การกระทำที่โหดร้ายจนไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่บนโลกเช่นนี้ถูกผู้ฝึกตนอิสระผู้นั้นมาเจอเข้าโดยบังเอิญ และก่อนที่จะแก้แค้นแทนคนของครอบครัวนั้น ผู้ฝึกตนอิสระยังเลือกประกาศข่าวนี้ออกไปให้แพร่หลายอย่างชาญฉลาด แม้แต่หน้าประตูที่ว่าการของพวกท่านก็ยังมีประกาศแปะ พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ ผู้ฝึกตนอิสระถึงได้มาที่โรงเตี๊ยมชิวหลูของพวกเราแล้วต่อสู้กับเจ้าฆาตกรผู้นั้น ทั้งในและนอกเมืองล้วนมีแต่เส้นสายของเขาเทพแม่น้ำ จะไม่รู้ความจริงแม้แต่นิดเลยหรือ?”


บุรุษกลับไม่ได้เจ็บแค้นเฉกเช่นสตรีแต่งงานแล้ว เขาเพียงกล่าวอย่างปลงอนิจจังเบาๆ ว่า “หลักการแห่งสวรรค์ กฎหมายบ้านเมืองและอารมณ์ของมนุษย์ สิ่งที่ผู้ฝึกตนแสวงห้าก็คือมหามรรคาแห่งฟ้าดิน กฎหมายบ้านเมืองและความรู้สึกของมนุษย์จะเป็นเช่นไร เมื่อวางอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกลมปราณยังจะนับเป็นอะไรได้อีก? ถอยไปพูดอีกก้าว สำหรับเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้ กฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ไร้ประโยชน์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ในมือของขุนนางขั้นสี่ชั้นเอกอย่างข้ากลับไม่มีประโยชน์ เมื่ออยู่ในมือผู้ว่าฯ เฒ่ามีประโยชน์เล็กน้อย มีเพียงอยู่ในมือของฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”


สตรีแต่งงานแล้วพึมพำเสียงเบา “หากตำแหน่งขุนนางผู้พิทักษ์เมืองของท่านนี้ไปอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลีแทนล่ะ?”


สายตาของบุรุษเข้มงวดขึ้นมาทันใด ตบที่เท้าแขนของเก้าอี้อย่างแรง “หลิวเจียฮุ่ย ห้ามพูดเหลวไหล! ต่อให้ต้าหลีจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็มีชาติกำเนิดเป็นคนป่าเถื่อน หากสกุลซ่งต้าหลีได้ควบรวมพื้นที่ทางเหนือจริงๆ ก็ต้องเป็นวันที่สายอารยธรรมปัญญาชนของทิศเหนือในแจกันสมบัติทวีปเราล่มสลายอย่างแท้จริง!”


สตรีแต่งงานแล้วขุ่นเคืองยิ่ง “หากเจ้าใจกล้ารักความเที่ยงธรรมจริง ทำไมไม่ละเมิดคำสั่งของเทพแม่น้ำผู้นั้น แล้วปกป้องผู้ฝึกตนอิสระให้ถึงที่สุดเสียเลยล่ะ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเทพวารีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดฝีมือผู้นี้จะสามารถปิดแผ่นฟ้าทิศเหนือของแคว้นหวงถิงได้ด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ หากไม่มีหนทางอื่น อย่างมากข้าก็ยกกองกำลังของสำนักมางัดข้อกับงูเจ้าถิ่นอย่างพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์นี้เสียเลย!”


บุรุษชี้หน้าสตรีแต่งงานแล้ว โกรธจนกลายเป็นขำ “อายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังทำตัวไร้เดียงสาน่าหัวเราะถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าที่ฮ่องเต้ต้าหลีมีพลังอำนาจอย่างทุกวันนี้ได้ ตลอดทางที่เดินมาล้วนราบรื่นสมปรารถนาทุกสิ่งอย่างงั้นหรือ? ขนาดพื้นที่เขตการปกครองของพวกเรายังเป็นแบบนี้ งั้นก็ลองจินตนาการดูสิว่าราชวงศ์ต้าหลีที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนั้นจะชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอย่างไร? ในฐานะของกษัตริย์แห่งประเทศหนึ่ง ความสกปรกชั่วร้ายและความสามารถในการอดทนของเขาย่อมไม่ใช่สิ่งเจ้าและข้าจะจินตนาการได้”


สตรีแต่งงานแล้วเงียบเสียงลงไป


บุรุษดื่มน้ำชา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าสุดขีด กระตุกคอเสื้อ พูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าคือศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนตระกูลฉีจำเป็นต้องพยายามรักษากฎเกณฑ์ไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ข้าก็ยังเป็นขุนนางของแคว้นหวงถิง ในเขตการปกครองมีประชาราษฎรที่ต้องให้การดูแลนับล้านคน จำเป็นต้องช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุข มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ มีอาหารให้กินอิ่มนอนหลับ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางใช้เมตตาธรรมและคุณธรรมกับทุกเรื่อง เพราะข้าจำเป็นต้องก้มหัวค้อมเอวขอกำลังคนขอสมบัติอาคมจากเหล่าตระกูลเซียนที่มีอิทธิพล เพื่อใช้ต้านทานกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติสารพัดอย่าง จำเป็นต้องเอาของขวัญไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ขอร้องให้เทพวารีเทพแม่น้ำที่หยิ่งยโสเหล่านั้นพยายามกักเก็บโชคชะตาไว้ในขอบเขตของข้าให้ได้มากหน่อย ประชาชนยากจนล่างภูเขาก็ดี ตระกูลใหญ่ร่ำรวยก็ช่าง เมื่อเสียเปรียบ ถูกเหล่าเซียนซือรังแก ข้าก็ได้แต่คอยปะชุนซ่อมแซม รื้อกำแพงตะวันออกซ่อมกำแพงตะวันตก พยายามปลอบใจทุกคนให้ได้ดีที่สุด”


บุรุษหลับตาลง “หากไม่เอาตัวรอดไปวันๆ เช่นนี้ ข้าคงลาออกจากตำแหน่งขุนนางหรือไม่หมวกขุนนางก็คงปลิวหายไปนานแล้ว พอเป็นเช่นนี้ ตอนที่ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นเอาประกาศแผ่นแรกไปติด เขาก็จะถูกใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองบางคนที่เป็นฝ่ายแจ้งข่าวแก่เทพวารีพาทหารและนักพรตไปจับตัวมาแล้ว หากไม่เป็นเช่นนี้ หลังจากที่คืนนี้ผู้ฝึกตนอิสระตายไป เขาก็จะไม่มีแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพ แน่นอนว่าคนก็ตายไปแล้ว ตายแล้วจะมีป้ายหน้าหลุมศพหรือไม่ จะมีคนเอาเหล้ามาคารวะหรือไม่ จะมีคนจดจำการกระทำอันดีงามที่เขาเคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จะมีอะไรต่างกันตรงไหน?”


ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองท่านนี้ลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดตรงหน้าต่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “รัชศกเจียลู่ปีที่สองของแคว้นหวงถิง ซึ่งก็คือเมื่อสิบปีก่อน เขตการปกครองสามแห่งซึ่งรวมถึงเขตการปกครองเฮ้อ ตอนกลางคืนได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง โดยที่เขตการปกครองเฮ้อร้ายแรงที่สุด ทั้งกระท่อม บ้านเรือน กำแพงและวัดวาอารามต่างก็ล้มครืน คนตายไปหกหมื่นกว่าคน นับจากเหตุการณ์นั้นหนึ่งเดือน หรืออาจจะแค่ห้าวัน หรืออาจจะแค่ไม่กี่วัน จนกระทั่งถึงช่วงสิ้นปี แม่น้ำลำคลองสายใหญ่ทั้งหมดทางทิศเหนือซึ่งรวมไปถึงแม่น้ำหันสือต่างไหลเชี่ยวกรากคลื่นซัดรุนแรง ลำพังเพียงแค่เขตการปกครองของเรา น้ำในแม่น้ำก็ท่วมทับคนตายไปเกือบหนึ่งร้อยคน รัชศกเจียลู่ปีที่สี่ เขตการปกครองเม่าของทางทิศใต้ก็มีภูเขาเคลื่อนขยับ รัชศกเจียลู่ปีที่แปด เขตการปกครองเหิงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สายน้ำตัดสลับกันมั่วซั่ว เรือจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน กลางดึกของช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพลันเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ไฟลุกลามไปยังเรือหลายพันลำ คนหลายหมื่นเหลือแต่ซากตอตะโก แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไม่มียกเว้น”


สีหน้าของบุรุษเศร้าหมอง ริมฝีปากสั่นระริก “ภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้คือภัยพิบัติทางธรรมชาติจริงๆ หรือ?ชาวบ้านไม่รู้ความจริง แต่ข้ารู้”


บุรุษหันหน้ากลับมามองสตรีแต่งงานแล้ว “ข้ายังถึงขั้นรู้ด้วยว่าก่อนที่ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นจะถูกจับและฆ่าตายต้องด่าว่าข้าคือสุนัขรับใช้พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์และเทพแม่น้ำหันสือ เกลียดข้ายิ่งกว่าที่เกลียดพวกเขามากนัก”


สตรีแต่งงานแล้วเผยอปากแต่ก็ไม่พูดอะไร


สีหน้าของบุรุษเริ่มสงบนิ่ง “ข้าแน่ใจแล้วว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ตายไป อีกไม่นานในเมืองของเราจะมีข่าวลือที่คนจากตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายจงใจเผยแพร่ออกไป บอกว่าเพื่อประจบเอาใจพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าถึงขนาดตามหาที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนคนนั้นอย่างยากลำบากแล้วล้อมสังหารเขา”


สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจ “มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเช่นนี้”


บุรุษคลี่ยิ้ม “ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ ไม่ได้พูดให้เจ้าฟัง แต่พูดให้ตัวเองฟัง…”


แม้ว่ากลางบ่อน้ำโบราณของโรงเตี๊ยมชิวหลูจะมีควันขาวผุดขึ้นมาเป็นระลอก จากนั้นจึงล่องลอยไปสี่ทิศ แต่อันที่จริงแล้วระดับน้ำต่ำมาก ทว่าจู่ๆ ระดับน้ำในผนังด้านในบ่อที่เต็มไปด้วยตะใคร่สีเขียวเข้มพลันเพิ่มทะยานขึ้นสูงจนมีระดับเท่ากับปากบ่อ จากนั้นก็มีชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเกราะ ในมือถือง้าวสั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว สองข้างแก้มของบุรุษเต็มไปด้วยเครายาว นอกจากนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนปกติ


บุรุษกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่เห็นเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งทำสมาธิในศาลาพักร้อนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาทะยานร่างขึ้นสูง พริบตาเดียวก็พลิ้วกายลงมาในเรือนที่ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองมานอนค้าง เอ่ยเสียงดังกังวาน “ผู้พิทักษ์เมืองเว่ย หัวของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นถูกข้าตัดด้วยมือตัวเองแล้ว ตอนนั้นยังมีคนนอกมากมายที่มารอชมเรื่องสนุก น่าเจ็บใจที่ก่อนตายเจ้าคนไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นคนนั้นสบถด่าผู้พิทักษ์เมืองเว่ยด้วยคำพูดบาดหูยิ่งนัก เรื่องลับบางอย่างที่ไม่อาจแพร่งพรายให้คนนอกรู้ของผู้พิทักษ์เมืองเว่ยก็ถูกเจ้านั่นแฉเสียหมดเปลือก แถมยังกล้าสาดน้ำโคลนใส่ใต้เท้าตระกูลข้าอีกต่างหาก ข้าโมโหนัก เดิมคิดจะให้เขาตายด้วยวิธีที่รวดเร็วฉับไว แต่เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนผู้พิทักษ์เมืองเว่ยจึงแทงร่างเขาไปหลายรูก่อนจะตัดศีรษะ เรื่องนี้จบแล้ว หลังข้ากลับไปจะรายงานสถานการณ์ให้ใต้เท้าฟังอย่างแน่ชัด วางใจได้ จะไม่มีทางปล่อยให้คำพูดชั่วช้าก่อนตายของเจ้าคนผู้นั้นทำลายมิตรภาพอันดีระหว่างเจ้ากับใต้เท้าของข้าเด็ดขาด”


กล่าวจบ ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้ก็จากไป ไม่มีการอิดออดยืดเยื้อ


สตรีแต่งงานแล้วยืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูเรือน


ดูจากลักษณะนิสัยของผู้ฝึกตนคนนั้น ตามคำบอกของบุรุษในห้องแล้ว หากก่อนตายจะด่าว่าเขาเป็นสุนัขรับใช้ใครก็ตามถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับแฉความลับของบุรุษในห้องต่อหน้าพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์และคนมากมายของเมืองกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะก่อนหน้านี้บุรุษเคยมีการพูดคุยกับเขาอย่างลับๆ มาก่อน ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ความคิดในใจของอีกฝ่ายดี หากจะบอกว่าในฐานะของผู้พิทักษ์เมือง บุรุษเลือกเปลี่ยนวิธีการมาทรยศนักพรตคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นคำพูดก่อนตายที่เกินความจำเป็นของผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ก็ไม่ปกติอย่างสิ้นเชิง


“ก่อนหน้านี้ที่ข้าคิดว่า นับว่าดูถูกเขาเกินไป”


ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างฝึกตนอย่างเป็นทางการมาหลายปีจึงเข้าใจวิธีการของผู้ฝึกตนได้เร็วกว่าสตรีแต่งงานแล้ว เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ล่างภูเขามีผู้ผดุงความเป็นธรรม”

 

 

 


ตอนที่ 140

 

พันมหัศจรรย์ (ท้าย)

โดย

ProjectZyphon

ในขอบเขตของต้าหลี เทพแม่น้ำทั้งหมดที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก เมื่อมาอยู่ในสายตาของชาวบ้านทั่วไปก็เป็นเพียงแค่รูปปั้นดินเผาร่างทองรูปหนึ่งและศาลอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เป็นมหาเทพห้าขุนเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกันนี้ ไม่มีข้อยกเว้น


แต่หากเป็นบุรพแจกันสมบัติทวีปที่นอกเหนือจากต้าหลีแล้ว อย่าว่าแต่เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูอำเภอหลงเฉวียน หรือแม่น้ำชงตั้นของเมืองหงจู๋เลย เกรงว่าต่อให้เป็นองค์เทพระดับล่างอย่างแม่ย่าลำคลองหลงซวีที่ขอแค่มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางท้องถิ่น บวกกับบริเวณใกล้เคียงไม่มีตระกูลเซียนที่ทรงอิทธิพล ก็ล้วนสามารถสร้างจวนภูเขาแม่น้ำที่เปิดเผยโจ่งแจ้งได้ และขนาดของจวนนั้นก็แทบไม่ต่างจากจวนขุนนางระดับสูงของราชสำนักในโลกมนุษย์ ซ้ำอาจถึงขั้นเหนือกว่าอีกด้วย


ในฐานะหนึ่งในองค์เทพที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นหวงถิง เทพแม่น้ำหันสือจึงใช้เวลาหลายปีสร้างจวนโอ่อ่าหรูหราที่แขวนกรอบป้ายว่า ‘มหาวารี’ ไว้ในช่วงแม่น้ำที่ไม่มีเมืองอยู่ใกล้ในรัศมีร้อยลี้ กินอาณาบริเวณพันไร่ เพียงแต่หลังประกาศบอกกับคนนอกไปว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้คือสกุลฉู่ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นหวงถิง คนรุ่นหลังของสกุลฉู่ที่รู้วิธีการหาเงินจึงได้ครอบครองกิจการยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็คือเทพแม่น้ำหันสือ


คืนนี้ในจวนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เสียงเพลงคลอเคล้าเสียงหัวเราะเบิกบาน สลับเปลี่ยนไปด้วยเสียงกระทบกันของจอกเหล้า


เหล่าผู้สูงศักดิ์นั่งกันอยู่เต็มห้องโถง


สองฝากผนังแขวนโคมฉางหมิง (สว่างยาวนาน) ดารดาษ วัตถุประเภทนี้ต่อให้เป็นตระกูลบนภูเขาก็ยังถือว่าสมบัติล้ำค่าที่มีให้เห็นไม่มากนัก ความแพงของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวโคมซึ่งถูกสร้างอย่างประณีตบรรจง แต่อยู่ที่เครื่องหอมน้ำลายมังกรหนึ่งหยดต่างหาก ส่วนใหญ่แล้วโคมฉางหมิงจะถูกนำไปใช้ในห้องลับของกษัตริย์หรือในสุสานหลวง แค่เอาเทียนไขธรรมดามาแท่งหนึ่ง จากนั้นหยดน้ำมันตะเกียงที่ได้มาจากไขมันปลาวาฬมังกรหอมใต้ทะเลลึกลงไปบนใส้เทียนหนึ่งหยด หากคุณภาพของเครื่องหอมน้ำลายมังกรดีพอ ไฟในโคมนี้อยู่ได้นานร้อยปีก็ไม่ดับ อีกทั้งกลิ่นหอมประหลาดยังคงอยู่เนิ่นนาน สามารถทำให้จิตใจสงบ ไม่แพ้เครื่องหอมชั้นเยี่ยมเลย


ชายสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงอันเป็นที่นั่งของประธาน ในมือถือจอกเหล้าหยกขาว แกว่งเบาๆ สุราสีทองอร่ามเหนียวข้นก็ส่งกลิ่นหอมกำจาย


ตรงหน้าอกชุดคลุมของบุรุษปักรูปวงกลมรูปหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปมังกรสีทองนอนขดตัว


ในห้องโถงมีแขกที่เดินทางมาจากทิศไกลยี่สิบกว่าคน ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีฐานะไม่ธรรมดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายสวมชุดคลุมสีดำผู้นี้กลับยังมีท่าทางนอบน้อมเปี่ยมมารยาท บางครั้งสีหน้าและแววตาฉายความกริ่งเกรง ไม่เหมือนแค่ความเคารพที่แขกมีต่อเจ้าของบ้านเท่านั้น


……


โรงเตี๊ยมชิวหลู


ในห้อง เด็กหนุ่มชุดขาวจากไปนานแล้ว อาศัยแสงจากตะเกียง เฉินผิงอันแกะสลักปิ่นหยกขาวชิ้นแรกเสร็จแล้ว จึงเงยหน้ามองหลี่ไหวที่นอนฟุบหน้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง “เจ้าชอบคำว่าหลี่ไหวหรือคำว่าไหวอิน (ร่มเงาต้นไหว)? หากสลักชื่อของเจ้าก็จะเหมือนเป่าผิงกับโส่วอี เรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก แต่ถ้าเป็นไหวอินก็จะพอมีความหมายแฝงอยู่บ้างเล็กน้อย”


หลี่ไหวมีเรื่องวุ่นวายในใจ พอได้ยินก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตามใจเจ้า ข้ายังไงก็ได้”


เฉินผิงอันหยิบปิ่นหยกสีหมึกชิ้นนั้นขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเอาชิ้นนี้นะ? สีสันของมันค่อนข้างเหมาะกับคำว่าไหวอิน”


หลี่ไหวพยักหน้ารับ จากนั้นก็ปลุกระดมความกล้าถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าจะต่อยให้หลินโส่วอีตายในหมัดเดียวเพราะความโกรธหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าถึงแม้หลินโส่วอีจะเป็นผู้ฝึกลมปราณอะไรนั่นแล้ว แต่ถ้าเขาทะเลาะกับเจ้า ข้าก็คิดว่าคงต้องแลกหมัดกันสักสองสามหมัดมากกว่า อันที่จริง หลินโส่วอีนิสัยไม่ค่อยดีอยู่บ้าง ค่อนข้างเงียบขรึมเป็นน้ำเต้าตัน ใส้ก็คดงอหลายตลบ (เปรียบเปรยว่ามีอุบายเยอะ) กว่าพวกเรา แต่เขาก็ไม่ใช่คนจิตใจชั่วร้ายนะ…”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คิดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าจะทะเลาะกับหลินโส่วอีได้ยังไง”


หลี่ไหวพูดเสริมขลาดๆ อีกหนึ่งประโยค “แล้วถ้าหลินโส่วอีเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเจ้าก่อนล่ะ เฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นเจ้าจะลงมือก็ได้ แต่แค่สั่งสอนเขานิดหน่อยก็พอแล้ว จำไว้ว่าอย่าหนักมือเกินไป หลินโส่วอีเป็นลูกหลานคนรวย ไม่ได้หนังหนาอย่างข้าที่ถูกหลี่เป่าผิงทุบตีอยู่หลายทีก็ยังไม่เป็นอะไร ข้ารู้สึกว่าเขาทนรับไม่ไหวหรอก”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของคนอย่างไรจึงได้แต่พูดว่า “ข้าจะระวัง”


คราวนี้หลี่ไหววางใจได้จริงๆ แล้ว จึงรีบยิ้มกว้าง ลุกขึ้นวิ่งไปทางหีบหนังสือใบเล็ก หยิบเอาหุ่นไม้สีสันกับเงินก้อนนั้นออกมาแล้วกลับมานั่งลงข้างโต๊ะเหมือนเดิม พอจัดวางให้หุ่นไม้เหยียบบนเงินก้อนแล้วก็ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก่อนหน้านี้หลินโส่วอีบอกกับข้าว่า เขตการปกครองและนครใหญ่ใต้หล้าล้วนใช้กฎระเบียบและพิธีการที่ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ตั้งให้แก่ราชวงศ์ในการสร้างหอเทพอภิบาลเมือง ในอำเภอที่มีศาลเทพอภิบาลเมืองจะมีขุนนางพ่อแม่อย่างผู้พิทักษ์เมือง นายอำเภอ ฯลฯ ที่ทำหน้าที่ปกป้องดูแลในโลกมนุษย์ ส่วนตำแหน่งของเทพอภิบาลเมืองก็คือควบคุมดูแลโลกแห่งความตาย ลาดตระเวนพื้นที่ในปกครอง ป้องกันไม่ให้ภูตผีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาก่อเรื่อง เฉินผิงอัน เจ้าว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่พวกเราไปเยือนก่อนหน้านี้มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังตั้งอยู่ในตัวเมือง ทำไมถึงยังเรียกว่าศาลอีกล่ะ? ทำไมถึงไม่เรียกว่าหอเทพอภิบาลเมือง? อีกอย่างเมื่อตอนกลางวันพวกเราเดินเล่นอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองนานขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่าอันที่จริงพวกเราได้เจอกับเทพอภิบาลเมืองแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็เท่านั้น?”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าต้องไปถามชุยตงซานผู้นั้น”


หลี่ไหวส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ชอบไอ้หมอนั่น ทำตัวลึกลับประหลาดนัก”


……


ในห้องหนึ่ง แม่นางหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนั่งอยู่ตรงข้ามกันโดยมีตะเกียงหนึ่งดวงกั้นกลาง คนหนึ่งกำลังเช็ดขลุ่ยไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งยกแขนสองข้างขึ้นกอดอกจ้องอีกฝ่ายเขม็ง


แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกล่าวว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนกลางคืนเจ้าชอบนอนกรนเสียงดังราวเสียงฟ้าผ่า ตอนกลางคืนข้านอนอยู่ในกระโจมของตัวเองห่างจากเจ้าไกลถึงขนาดนั้นก็ยังได้ยินเสียงของเจ้า”


เด็กสาวผิวดำเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ “ขอโทษที เวลานอนข้าไม่กรน”


หลี่เป่าผิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ได้นอนกรน?”


เซี่ยเซี่ยใช้ท้องนิ้วลูบคลำไปบนขลุ่ยไม้ไผ่เบาๆ จงใจเลิกคิ้วเลียนแบบท่าทางของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง “เพราะข้าคือผู้ฝึกลมปราณ คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของพวกเจ้าอย่างไรล่ะ?”


หลี่เป่าผิงเชิดคางขึ้นสูง ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีหีบหนังสือใบเล็กไหม?”


เซี่ยเซี่ยหมดคำจะเอ่ย


นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดก็หยิบตำราเล่มนั้นออกมาจากในหีบหนังสือ แล้วเริ่มอ่าน คือบันทึกการท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำเล่มที่นางชื่นชอบมากที่สุด ในหนังสือเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของภูเขาและแม่น้ำ เขียนเรื่องของภูตผีปีศาจ เขียนเรื่องของปัญญาชนกับเซียนจิ้งจอก แม่นางน้อยอ่านอย่างเคลิบเคลิ้ม บางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง บางครั้งลิงโลด บางครั้งก็เหม่อลอย


เซี่ยเซี่ยล้วนเห็นอยู่ในสายตา นางยื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาวาดไล้ไปตามกรอบหน้าเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว


……


หลินโส่วอีนั่งหลับตาอยู่ในศาลาพักร้อนขนาดเล็ก สมาธิมุ่งมั่นแน่วแน่ สูดลมหายใจเข้าฌานเ รับสัมผัสกับ “น้ำไหล” ที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน คลื่นลูกใหญ่ม้วนเม็ดทรายเข้าหา ดึงเอาแก่นสำคัญสกัดไว้ จำกัดกากเดนทิ้งไป ค่อยๆ เก็บแก่นของปราณน้ำที่ดูเหมือนจะไหลรินอยู่รอบๆ บ่อน้ำมาทีละนิด แล้วเก็บเข้าไปไว้ในลมปราณของตัวเอง


ต่อให้ตรงบ่อน้ำโบราณจะมีความเคลื่อนไหวดังมาไม่น้อย เด็กหนุ่มก็ยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน ยังดีที่ภูตผีที่ลอยออกมาจากน้ำในบ่อไม่ได้มีเป้าหมายเป็นหลินโส่วอี ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ข้องเกี่ยวกัน


‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่หลินโส่วอีถูกใจตั้งแต่แรกเห็นตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนคือตำราลับลัทธิเต๋าที่ใช้ฝึกเวทห้าอสนี เกี่ยวพันกับการฝึกตนที่เป็นรูปธรรมของห้าขอบเขตล่าง มีเพียงข้อความที่อธิบายกว้างๆ พอสังเขปเท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ในมือของหลินโส่วอีที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์อนุมาน ประสิทธิผลที่ได้รับกลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง


เพียงไม่นานช่องโพรงลมปราณหลายแห่งในร่างของหลินโส่วอีก็ให้ความรู้สึกเหมือนปูดพองขึ้นมา หลินโส่วอียังคงไม่ยินดีหยุดมือ ตลอดระยะทางที่ขึ้นเขาลงห้วย ไม่เคยมีครั้งไหนที่สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์และเข้มข้นได้เหมือนครั้งนี้ หลินโส่วอีไม่ยินดีปล่อยผ่านไป ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลินโส่วอีก็หน้าแดงปลั่งคล้ายมนุษย์ธรรมดายามที่หิวโหยสุดจะทนแล้วตรงหน้าวางปลาและเนื้อกองโต จึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง สวาปามรวดเดียวจนอิ่มแปล้


จู่ๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ตบลงมาบนไหล่ของหลินโส่วอี หลินโส่วอีเรอดังเอิ้ก แล้วถือโอกาสพ่นลมขุ่นมัวเฮือกหนึ่งออกไป เป็นลมขุ่นมัวสมชื่ออย่างแท้จริงเพราะทั้งเหม็นทั้งสกปรก แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นรีบโบกชายแขนเสื้อสีขาวราวหิมะแรงๆ เพื่อปัดไล่ปราณสกปรกขุ่นมัวที่สั่งสมมาหลังจากที่หลินโส่วอีถือกำเนิดทิ้งไปพลางบ่นว่า “เจ้านี่ช่างใจกล้ายิ่งนัก ไม่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองอิ่มตายหรือไง?”


สีหน้าหลินโส่วอีตะลึงงัน กล่าวด้วยความสงสัย “ผู้ฝึกลมปราณดูดซับเอาปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างฟ้าดินมายิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ?”


เด็กหนุ่มชุดขาวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็อย่างที่เซี่ยเซี่ยเคยพูดไว้ จอกเหล้าหนึ่งจอกจะใส่เหล้าพันจินได้อย่างไร?  หากยิ่งเยอะก็ยิ่งดีอย่างที่เจ้าพูด พวกผู้ก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองว่าบรรพบุรุษทั้งหลายก็ไม่ควรกลืนปราณวิญญาณในใต้หล้าหลายแห่งลงท้องให้หมดไปนานแล้วหรือ ไหนเลยจะยังเหลือโอกาสให้กับผู้ฝึกลมปราณคนอื่น? แน่นอนว่าต้องค่อยๆ ขยับไปทีละก้าวตามขั้นตอน บุกเบิกถ้ำสถิตได้กี่หลังก็ดูดซับเอาปราณวิญญาณไปได้มากเท่านั้น”


หลินโส่วอียกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก รู้สึกหวาดผวาทีหลังเล็กน้อย


เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งขัดสมาธิ มองไปยังบ่อโบราณที่มีปราณวิญญาณผุดลอยขึ้นมา เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ที่ปราณแห่งเซียนล่องลอยเช่นนี้ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางอย่างเป็นทางการ หรือไม่ก็ปรมาจารย์วิถีวรยุทธเท่านั้นถึงจะมองเห็น สำหรับชาวบ้านร้านตลาดแล้ว ต่อให้ยื่นหัวเข้าไปในบ่อน้ำก็ได้แต่รู้สึกว่าอากาศเย็นกว่าที่อื่นเล็กน้อยเท่านั้น


เด็กหนุ่มชุยฉานหันหน้ากลับมาเอ่ยยิ้มๆ “ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้หนึ่งครั้ง เจ้าให้ข้ายืมยันต์หนึ่งแผ่น ดีไหม? เป็นการยืม วันหน้าข้ายังต้องคืนให้”


หลินโส่วอีลังเลอยู่พักใหญ่


เด็กหนุ่มชุยฉานกระตุกมุมปาก “วางใจเถอะ ไม่ใช่สี่แผ่นที่มีค่ามากที่สุด แค่ยันต์ผงทองที่ดีมาก แต่ไม่ถือว่าดีที่สุดแผ่นหนึ่งเท่านั้น”


หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ได้”


ชุยฉานดีดนิ้วดังเป๊าะ ยันต์สีทองแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกของหลินโส่วอี แล้วหล่นลงกลางฝ่ามือของเขา ชุยฉานก้มหน้าลงพิศมอง สายตาฉายแววชื่นชม


กระดาษยันต์คือหนึ่งในรากฐานของลัทธิเต๋าสายใหญ่อย่างพรรคมหายันต์ กระดาษยันต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลกมนุษย์ก็คือกระดาษสีเหลือง เหนือขึ้นมาอีกระดับก็คือกระดาษแข็งเหลืองที่เรียกว่า “หวงสี่” (ราชลัญกรเหลือง) ซึ่งลัทธิเต๋าทั่วหล้ามักใช้กันเป็นประจำ


ในบรรดานี้ยังมีกรณีพิเศษอีกส่วนหนึ่ง ก็คือกระดาษยันต์สีครามที่ได้รับการขนานนามว่า “ฟ้าใสหลังฝน” รวมไปถึงกระดาษยันต์หลากหลายสีสัน ซึ่งเป็นวัตถุที่ตระกูลโอรสสวรรค์นำมาใช้ทำพระราชโองการโดยเฉพาะ โดยมากจะใช้ในการแต่งตั้งขุนนางใหญ่บุ๋นบู๊ขณะช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง ตระกูลร่ำรวยทั่วไปต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้


โดยทั่วไปแล้วจะเป็นลัทธิเต๋าที่ใช้กระดาษยันต์ ยันต์ของลัทธิเต๋าคือรากฐาน คือต้นกำเนิดดั้งเดิมแห่งอักขระยันต์บนโลกมนุษย์ ถูกขนานนามว่าเป็นบรรพบุรุษของสายของยันต์มากมาย แต่ไม่แน่เสมอไปว่ากระดาษยันต์จะถูกจำกัดอยู่เฉพาะกระดาษสีเหลืองเท่านั้น เจินเหรินและเทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋าไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษยันต์ที่จับต้องได้จริงก็สามารถวาดยันต์กลางอากาศ แล้วทำให้กลายมาเป็นยันต์วิเศษแผ่นหนึ่งได้เลย ส่วนสำนักการทหารก็มียันต์อักษรสังหารและสยบ ลัทธิขงจื๊อเองก็มีคัมภีร์เนื้อหาที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่าสำนักการทหารเล็กน้อย อีกทั้งตัวอักษรที่ใช้ส่วนใหญ่ยังเป็นตัวบรรจง และอักษรตัวบรรจงก็ยังแบ่งออกเป็นอีกเจ็ดแปดชนิดตามวิธีเขียนของปรมาจารย์ มีชื่อเรียกมากมายอาทิเช่น “แปดบรรจง” “บรรจงเก้า” ลัทธิพุทธเชี่ยวชาญในการสร้างตราประทับ แม้ว่าจะมียันต์อยู่เหมือนกัน แต่ค่อนข้างจะหาได้ยาก


หลินโส่วจึงถามด้วยความใคร่รู้ “นี่คือวิชาอภินิหารอะไร?”


ชุยฉานเก็บยันต์ผงทองแผ่นนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยตอบ “รอจนเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็จะเข้าใจได้เอง ผู้ฝึกลมปราณในเวลานี้สามารถรวบรวมเจตจำยงให้กลายเป็นเส้นสายแห่งหัวใจ ระดับการฝึกตนสูงต่ำ ตบะลึกตื้นล้วนเป็นตัวตัดสินถึงความมากน้อยและความหนาบางของเส้นสายแห่งหัวใจ คำว่าหยิบของผ่านความว่างเปล่าก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ”


ตอนนี้หลินโส่วอีคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามขั้นสูงสุด การที่เขาสามารถฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็เรียกได้ว่าเดินหนึ่งก้าวขึ้นฟ้าอย่างแท้จริง


ทั้งเป็นเพราะเด็กหนุ่มเองคือตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนมาตั้งแต่เกิด แล้วก็เป็นเพราะเหล้าของอาเหลียง


คนมีเงินชอบซื้องูตัวใหญ่มาจากนายพรานแล้วกรีดเอาดีงูผสมกับเหล้า สรรพคุณทางยาน่าตะลึง


ถ้าเช่นนั้นเมื่อเป็นเหล้าที่แช่มาจากโอสถปีศาจของมหาปีศาจขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง ความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจะมีมากแค่ไหน เพียงคิดก็พอจะจินตนาการได้


เด็กหนุ่มชุดขาวลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีพูดว่า “อาเหลียงคือคนที่นำทางเจ้าเดินขึ้นไปบนภูเขาแห่งการฝึกตน จงทะนุถนอมโชควาสนานี้ไว้ให้ดี หากเจ้าไม่รู้จักเห็นค่าของมัน ข้าจะ…”


หลินโส่วอีตัดบทถามโดยตรง “จะทำไม?”


เด็กหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ข้าจะไม่ดีใจ”


คำพูดเดิมของเด็กหนุ่มชุยฉานคือ “ข้าจะฆ่าเจ้า”


หลังจากที่ความรู้สึกเหมือนตัวพองค่อยๆ ถดถอยหายไป หลินโส่วอีก็เริ่มหลับตาทำสมาธิ ใช้เรือนกายของตนไปเก็บลมรวมน้ำมาสร้างเป็นสะพานแห่งอมตะของตัวเอง


เด็กหนุ่มชุดขาวแตะปลายเท้ากระโดดออกจากศาลาพักร้อน เดินตรงไปยังบ่อน้ำเก่าแก่บ่อนั้น นิ้วสองข้างคีบยันต์ผงทองที่ยืมมาจากหลินโส่วอี


หลินโส่วอีตะโกนเสียงต่ำ “ชุยตงซาน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”


สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เดินขึ้นไปยืนบนปากบ่อ หันหน้าหาหลินโส่วอีที่อยู่ในศาลา เด็กหนุ่มชุยฉานชูสองนิ้วขึ้นสูง โบกยันต์ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วมือเบาๆ ก้าวถอยไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างตกลงไปในบ่อ ขณะเดียวกันก็พึมพำว่า “หลบน้ำ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)