พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1389-1396
บทที่ 1389 เกาก้วนพูดมากไปหน่อย
Ink Stone_Fantasy
หวงฝู่จวินโหรวบอกว่า “ถามเกี่ยวกับเจ้าและปีศาจโลหิต ข้าเลี่ยงเรื่องหนักเน้นแต่เรื่องเบา เล่าเรื่องความแค้นระหว่างเจ้ากับปีศาจโลหิตไปแล้ว ข้าเล่าข้ามเรื่องที่เกี่ยวกับที่ปราสาทดำเนินนภาช่วยเหลือเจ้า เรื่องบางเรื่องข้าไม่สะดวกจะบอกเจ้า แต่ต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับสิบปราสาทดำเนินให้น้อยลงหน่อย ส่วนสาเหตุว่าถามถึงเจ้ากับปีศาจโลหิตทำไม ข้าเองก็ไม่รู้ชัด ข้าถามคนในบ้านแล้ว แต่คนในบ้านข้าก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน ตำหนักสวรรค์เน้นถามหนึ่งพระคนหนึ่ง ถามว่ารู้มั้ยว่าปีศาจโลหิตอยู่กับพระ”
“พระเหรอ?” เหมียวอี้ถามเหมือนประหลาดใจ “พระอะไร?”
หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน บอกว่าเป็นพระที่รูปหล่อมากคนหนึ่ง ข้าเองก็ไม่รู้ชัด ไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์หมายความว่ายังไง”
เหมียวอี้สงบนิ่งไม่ไหวแล้ว เดิมทีเขาก็สงสัยอยู่แล้วว่าศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ตำหนักสวรรค์มาถามอีกว่าปีศาจโลหิตอยู่กับพระรูปหล่อคนหนึ่งหรือเปล่า มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าจะหมายถึงศีลแปด สิ่งที่ทำให้เขาตกใจสงสัยที่สุดก็คือ ปีศาจโลหิตกับศีลแปดเดิมทีก็เป็นแค่สองคนที่ต่ำต้อยเล็กน้อยสำหรับตำหนักสวรรค์ ทำไมถึงดึงดูดความสนใจของตำหนักสวรรค์ได้ล่ะ?
เขานึกเชื่อมโยงไปถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เวลาเหมาะเจาะเกินไปจริงๆ ทางไต้ซือศีลเจ็ดเพิ่งจะส่งข่าวเกี่ยวกับพระปีศาจหนานโปมา เขากำลังสงสัยว่าปีศาจโลหิตกับศีลแปดอยู่ด้วยกัน แล้วตำหนักสวรรค์ก็สืบสาวไปถึงตัวของปีศาจโลหิตกับศีลแปดอีก จะไม่ทำให้สงสัยได้อย่างไร
เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วใช้มือทั้งคู่ประคองไหล่หวงฝู่ พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า “จวินโหรว ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้า ปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหนกันแน่?”
หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว “ในปีนั้นเป็นเจ้าที่ได้เปรียบ อาศัยตำแหน่งฐานะของเจ้าในตอนนี้ ลูกน้องเจ้าที่สามารถฆ่านางตายได้มีตั้งเยอะ ถ้าอยากจะฆ่านางก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ นางไม่กล้าหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว แทบจะหลบเจ้าไม่ทันด้วยซ้ำ ทำไมเจ้ายังคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมปล่อยนางไป?”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายนาง ข้าแค่อยากจะรู้ว่านางอยู่ที่ไหน” เหมียวอี้กล่าว
ตอนนี้ถึงคราวที่หวงฝู่จวินโหรวจะเริ่มประหลาดใจสงสัยแล้ว นางส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้าเองก็กำลังตามหาปีศาจโลหิตเหมือนกัน ตำหนักสวรรค์กำลังให้สมาคมวีรชนติดต่อปีศาจโลหิต แต่พวกเราขาดการติดต่อกับปีศาจโลหิตนานเกินไป ติดต่อไม่ได้มาตลอดเลย ยืนยันได้แค่ว่านางยังมีชีวิตอยู่”
เหมียวอี้กลับตกอยู่ในสภาวะครุ่นคิด สงสัยตัวเองจะเดาไม่ผิด ศีลแปด ปีศาจโลหิตทั้งยังมีไต้ซือศีลเจ็ด เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่เดียวกัน อย่าบอกนะว่าพวกเขาเจอสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปแล้วจริงๆ? แล้วทำไมพวกเขาถึงหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเจอล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วรึเปล่า? มีอันตรายอะไรขึ้นแล้วรึเปล่า? หรือว่าตำหนักสวรรค์ก็รู้ข่าวนี้จากที่ไหนมาแล้วเหมือนกัน ก็เลยกำลังตามหาปีศาจโลหิต ไม่อย่างนั้นทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะ?
“หนิวโหย่วเต๋อ จู่ๆ ตำหนักสวรรค์ก็ตามหานาง เจ้าเองก็ตามหานาง เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าใช่มั้ย? หรือเจ้ารู้สาเหตุที่ตำหนักสวรรค์ตามหานาง หรือว่าเจ้ากับตำหนักสวรรค์มีเป้าหมายเหมือนกัน?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
เหมียวอี้ได้สติกลับมา ส่ายหน้าบอกนางว่า “ไม่ใช่ แค่แค่มีเรื่องจะยืนยันกับปีศาจโลหิตสักหน่อย ไม่เกี่ยวอะไรกับตำหนักสวรรค์ ถ้าเจ้าได้ข่าวที่เกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิต ก็ช่วยบอกข้าให้ทันเวลาได้มั้ย?”
หวงฝู่จวินโหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ พอเอ่ยปากพูดอีกครั้งก็เปลี่ยนประเด็นแล้ว “เจ้ากับเฟยหงมีความสุขกันมากเลยใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตอบอย่างหลอกลวงว่า “อยู่กับเจ้ามีความสุขกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะมีแม่เฒ่าลวี่กดดัน ข้าก็จะไม่รับนางเป็นอนุภรรยาเลย”
หวงฝู่จวินโหรวดันเชื่อคำพูดเหลวไหลแบบนี้ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น พอได้ยินคำพูดหวานไพเราะก็สมองเบลอ ต่อให้ในใจจะสงสัย แต่ก็กลับยินดีคิดไปในทางนั้น ดังนั้นดวงตางามที่วูบไหวจีงเปลี่ยนเป็นอาลัยรักในทันที จู่ๆ เป็นฝ่ายโผเข้าไปกอดเขาก่อน
เหมียวอี้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผลักนางออกแล้วบอกว่า “จวินโหรว ธงพยัคฆ์ดำกำลังจะส่งต่องานให้กำลังพลท้องถิ่น ข้ายังมีงานต้องทำ เกรงว่าจะอยู่กับเจ้าไม่ได้ ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว”
หวงฝู่จวินโหรวโผเข้าสู่อ้อมกอดเขาอีก แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อยู่เป็นเพื่อนข้าสักคืนก็ไม่ได้เหรอ?”
ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ กอปรกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจัดว่าคุ้นเคยกันตั้งนานแล้ว นอกจากจะนัวเนียกันอยู่ในถ้ำหนึ่งคืน เหมียวอี้ยังฉวยโอกาสเกลี้ยกล่อมให้นางช่วยตัวเองสืบข่าว หวงฝู่จวินโหรวเองก็ตอบตกลงเช่นกันว่าถ้าได้ข่าวจะติดต่อเขาทันที
จะไม่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้ เหมียวอี้กำลังหลอกใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของนาง ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากทำแบบนี้ ตอนแรกตัดสัมพันธ์กับนางอย่างเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น ก็เพราะไม่อยากรื้อฟืนความสัมพันธ์กับนางอีก แต่เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว ถ้าไม่ระวังก็อาจจะตกสู่เหวลึกได้ง่ายๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากมายเท่าไร เขาไม่อาจมองดูศีลแปดเป็นอะไรไปโดยไม่สนใจได้ สุดท้ายก็ยังต้องเผชิญหน้ากับคำว่า ‘ควบคุมตัวเองไม่ได้’ จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของหวงฝู่จวินโหรวเพื่อสืบข่าวให้ตัวเอง
วันต่อมาก็แยกจากกัน พอกลับถึงธงพยัคฆ์ดำที่ดาวหกนิ้ว เหมียวอี้ก็เริ่มจัดการเรื่องส่งต่องาน
ท่วาผ่านไปไม่กี่วัน จู่ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน แขกที่มาสวมหมวกทรงสูงสีดำและผ้าคลุมบ่าสีดำ เกาก้วนทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์นำลูกน้องสองคนมาปรากฏตัวอยู่นอกค่ายกลป้องกันของสำนักหกนิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย
คนส่วนใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำไม่รู้จักว่าผู้ที่มาเป็นใคร เหมียวอี้ที่ได้ยินข่าวแล้วออกมาต้อนรับก็ตกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านี้จึงมาได้ ก่อนจะมาก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าเลย เขานำคนไปต้อนรับเข้ามาอย่างหวาดระแวงและเคารพนอบน้อม
พอมาถึงยอดเขา เกาก้วนก็ยืนรับลม กวาดสายตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วก็เงยหน้ามองธงพยัคฆ์ดำที่ปลิวสะบัดอยู่บนยอดสูง ก่อนจะตามหลังเหมียวอี้เข้าไปในจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่
เหยียนซิว หยางชิ่ง และพวกหยางเจาชิงไม่เคยเห็นเกาก้วนมาก่อน แต่พอเห็นเหมียวอี้มีท่าทางระมัดระวังตัว แล้วเห็นสวีถังหรานทำสีหน้าอกสั่นขวัญผวาอีก ก็รู้แล้วว่าผู้ที่มาไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนเฟยหงที่เดินออกจากลานบ้านด้านข้างมาดูความเคลื่อนไหว พอเห็นเกาก้วนก็หยุดฝีเท้าทันที แววตาเบิกกว้างใบหน้าซีดเผือด ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวราวกับเห็นผี ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย
เกาก้วนที่เดินก้าวยาวเข้ามาเหมือนจะสังเกตเห็น จู่ๆ ก็เอียงหน้ามองไป ใบหน้าเย็นชาสายตาเย็นเยียบ กวาดมองเฟยหงแวบหนึ่ง ทำให้เฟยหงก้มหน้าและถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ
เกาก้วนเพียงเหลือบมองแวบหเดียว จากนั้นยกมือ ให้ผู้ติดตามทั้งสองหยุดอยู่กับที่
พอเข้ามาถึงหน้าโถงหลัง เหมียวอี้ก็บอกว่า “น้ำชา!”
จากนั้นเกาก้วนก็บอกอีกว่า “ไม่ต้องแล้ว!”
เหมียวอี้ทำได้เพียงโบกมือห้าม แล้วนำเขาเข้าไปในโถงหลัก
พอเงาร่างทั้งสองคนหายเข้าไปในโถงหลัก พวกหยางชิ่งก็เข้ามาใกล้สวีถังหรานที่ทำสีหน้าไม่ปกติทันที แล้วถามเบาๆ ว่า “คนนี้คือใคร?”
สวีถังหรานบอกด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ก็ผู้พิพากษาหน้านิ่งที่ทั้งผีทั้งเทพล้วนรังเกียจนั่นไง เกาก้วนทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์ที่มีอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิดได้ ผู้มีอำนาจที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากมายตั้งเท่าไรก็ไม่รู้”
พวกหยางชิ่งอกสั่นขวัญผวา ย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้มานานแล้ว จึงถามว่า “จู่ๆ เขามาทำอะไรที่นี่?”
สวีถังหรานตอบว่า “ไม่รู้สิ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้เพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก หวังว่าครั้งนี้จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ ไม่อย่างนั้นคนที่โดนเขาเพ่งเล็งก็ไม่มีสักกี่คนหรอกที่มีจุดจบที่ดี”
ยังคงเคยชินกับะรรมเนียมเก่า เกาก้วนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา พอก้าวเข้ามาในโถงก็สะบัดผ้าคลุมนั่งลงบนตำแหน่งหลักเลย จากนั้นก็จ้องเหมียวอี้ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง
เหมียวอี้ถูกเขาจ้องจนรู้สึกอึดอัด กุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าทูตขวาเกาให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเองเพราะมีเรื่องอะไรจะชี้แยะขอรับ?”
“เจ้ารู้จักปีศาจโลหิตใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ตอบกลับว่า “รู้จักขอรับ ข้าน้อยมีเรื่องขัดแย้งกับนางนิดหน่อย”
“เล่าเรื่องที่มาของความแค้นระหว่างพวกเจ้าสักหน่อยซิ” เกาก้วนกล่าว
พวกเจ้ารู้ผ่านสมาคมวีรชนแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่เขาจะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงเล่าเรื่องราวความแค้นระหว่างทั้งสองให้ฟังคร่าวๆ
เกาก้วนได้ฟังแล้วถามอีกว่า “ข้างกายปีศาจโลหิตมีพระคนหนึ่ง เป็นพระที่หน้าตาหล่อมาก เจ้ารู้จักมั้ย?”
เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้างุนงงว่า “ตอนที่ปีศาจโลหิตยังติดต่อกับข้าน้อยอยู่ ก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ไม่เคยเห็นว่าข้างกายนางมีพระอะไรนะขอรับ แต่ปีศาจโลหิตคงจะเป็นคนของสมาคมวีรชน ทูตขวาเกาไปถามสมาคมวีรชนน่าจะได้คำตอบชัดเจนกว่า”
“เจ้าต้องรับผิดชอบสิงที่เจ้าพูดวันนี้ เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้างกายปีศาจโลหิตมีพระอยู่คนหนึ่ง?” เกาก้วนถาม
“ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ขอรับ” หลังจากเหมียวอี้รับประกันซ้ำๆ ก็กุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าปีศาจโลหิตทำอะไรผิดหรือ ถึงมีค่าพอให้ทูตขวาเกามาถามด้วยตัวเอง”
เกาก้วนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่นานก่อนหน้านี้มีผู้หญิงบ้าคนหนึ่งปรากฏตัวที่น่านฟ้าเถาะติง เป็นปีศาจจิ้งจอกสามหาง นางเอาแต่ตะโกนว่า ‘พระปีศาจหนานโป’ ตอนหลังทำให้ตำหนักสวรรค์แตกตื่นจนต้องพาตัวไป หลังจากรักษานางหายแล้วสอบถาม ถึงได้รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกหนีมาจากดาวเคราะห์ที่ยังไม่รู้จักดวงหนึ่ง…”
ไม่น่าเชื่อว่าเกาก้วนจะเล่าสิ่งที่หูลี่ลี่พูดที่ตำหนักสวรรค์ออกมา เล่าเรื่องสถานที่ผนึก เรื่องที่ศีลแปดกับปีศาจโลหิตบุกเข้าไป รวมทั้งเรื่องที่ปีศาจโลหิตสารภาพกับพระปีศาจหนานโปว่าตัวเองโดนเหมียวอี้โจมตีสาหัส จากนั้นไปพบศีลแปดที่วัดสงบจิต จนกระทั่งพวกหูลี่ลี่หลุดพ้นออกมาได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากศีลแปด เกาก้วนเล่าออกมาหมด
พอได้ยินสิ่งเหลานี้ เหมียวอี้ก็ตะลึงค้าง สงสัยจินม่านจะวินิจฉัยไม่ผิด พระปีศาจนั่นอยากจะได้กายหยาบจริงๆ ด้วย และสุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รับข้อความนั้นจากไต้ซือศีลเจ็ด คาดว่าไต้ซือศีลเจ็ดคงจะฉวยโอกาสครั้งละหนึ่งพันปีเพื่อส่งข่าวมาให้เขา เพราะไต้ซือศีลเจ็ดรับปากแล้วว่าถ้าเจอศีลแปดแล้วจะบอกเขา สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่นิสัยไม่น่าไว้ใจอย่างศีลแปดจะช่วยชีวิตอาจารย์ตัวเองแล้ว
เกาก้วนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “บอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว เจ้าอาจจะไม่รู้จักพระปีศาจนั่น ถ้าเขาหลุดออกมาได้ ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากจะนึกถึง ถ้าเจ้ารู้ที่มาที่ไปของพระนั่นก็พูดออกมา ตำหนักสวรรค์จะตบรางวัลอย่างงาม และไม่แน่ว่าจะเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นแม่ทัพภาคด้วย”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ขอรับ ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับปีศาจโลหิตนั่นเท่าไร ไม่รู้จริงๆ ว่าข้างกายนางมีพระอยู่ด้วยตั้งแต่ตอนไหน”
“ในเมื่อไม่รู้ ก็เก็บเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้มีข่าวเล็ดรอดออกไปเมื่อไร ตำหนักสวรรค์ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้!” เกาก้วนลุกขึ้นยืน หลังจากเตือนเสร็จแล้วก็เดินก้าวยาวออกไป เรียกได้ว่ามาแบบปุบปับ เวลาไปก็ไปแบบปุบปับเช่นกัน
เหมียวอี้รีบตามหลังไปส่ง ส่งจนกระทั่งออกนอกค่ายกลป้องกันนอกประตูไป
ขณะมองคล้อยหลังพวกเขาจากไป เหมียวอี้ก็เอามือลูบคางครุ่นคิด ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย รู้สึกว่าวันนี้ทูตขวาเกาค่อนข้างพูดมาก หลังจากพูดเรื่องสถานที่ผนึกจบก็สิ้นเปลืองคำพูดอีกมากมาย ไม่รู้ว่าทำไมเกาก้วนถึงเล่าเรื่องนี้ให้ตนฟังอย่างละเอียดขนาดนี้
แต่เมื่อมองจากบางมุม ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าสิ่งที่เกาก้วนพูดเป็นความจริง เขารู้จักนิสัยของศีลแปดดีเกินไป นั่นเป็นลักษณะการกระทำของศีลแปดจริงๆ และเช่นเดียวกัน การเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนก็เป็นเรื่องที่ไต้ซือศีลเจ็ดสามารถทำได้จริงๆ
เหมียวอี้สงสัยว่าเกาก้วนรู้อะไรบางอย่างแล้วหรือเปล่า แต่กำลังจงใจใช้คำพูดวางกับดัก แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับศีลแปดจริงๆ เกาก้วนก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้เลย จับไปสอบสวนโดยตรงเลยก็ลดความยุ่งยากไปได้เยอะ
พอเป็นแบบนี้ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา เขากำลังตามหาปีศาจโลหิตเพราอยากรู้สถานการณ์ของศีลแปดอยู่พอดี ผลก็คือพบว่าตำหนักสวรรค์ก็กำลังตามหาปีศาจโลหิตเพื่อจะทำความเข้าใจสถานการณ์ของศีลแปดเช่นกัน ทำให้ช่วงเวลานี้เขากระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข กังวลว่าตำหนักสวรรค์จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือเปล่า เขาเตรียมตัวที่จะถอยเข้าไปหลบในแดนอเวจีแล้ว ตอนนี้พอเกาก้วนเปิดเผยเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าสงสัยจะไม่เป็นอย่างที่ตัวเองกังวล ไม่จำเป็นต้องหนีแล้วเช่นกัน โล่งใจขึ้นบ้างแล้วนิดหน่อย
บทที่ 1390 หน่วยองครักษ์เงา
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นพวกสวีถังหรานก็เข้ามาใกล้ แล้วถามเสียงต่ำว่า “นายท่าน ผู้พิพากษาหน้านิ่งมาหาด้วยเรื่องอะไรขอรับ?”
เหมียวอี้หันกลับมากวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง รู้ว่าถ้าไม่บอกอะไรเลย ก็จะยิ่งทำให้ทุกคนเป็นกังวล จึงตอบส่งเดชว่า “ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องอะไร ถามเรื่องระหว่างข้ากับปีศาจโลหิตในปีนั้นไปนิดหน่อย”
“ปีศาจโลหิต?” พวกเขาขมวดคิ้ว ส่วนใหญ่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเท่าไรนัก
เหมียวอี้เปลี่ยนประเด็นพูด “อีกไม่กี่วันกำลังพลท้องถิ่นจะส่งคนมารับงานต่อ ทุกคนไปยืนยันกับทางธงอินทรีสิบกองทัพอีกสักหน่อย พยายามเตรียมเรื่องส่งต่องานให้เหมาะสม”
“รับทราบ!” พวกลูกน้องเอ่ยรับคำสั่ง
ไม่ใช่แค่เกาก้วนที่มาหาเหมียวอี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่แช่น้ำแร่อยู่ในรังภูเขากันดารไกลๆ ก็ได้รับข่าวจากบิดาตัวเองเช่นกัน
ตัวกำลังแช่อยู่ในบ่อน้ำแร่ มือกำลังถือระฆังดารา หลังจากฟังที่บิดาถามจบแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ในใจมีโทสะก็ทำลายขวดโหลจนแตก : ข้าเคยร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อจัดการกับปีศาจโลหิตนั่น ทำไมเหรอ?
บิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม : ข้างกายปีศาจโลหิตมีพระด้วยหรือเปล่า?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : ตัวคนเดียว ไม่เห็นว่าข้างกายนางจะมีพระอะไรเลย เออใช่ ปีศาจโลหิตนั่นมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับหวงฝู่จวินโหรว อาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชน ตอนที่ปีศาจโลหิตตกอยู่ในมือข้า ก็เป็นหวงฝู่จวินโหรวที่วิ่งมาช่วยนางออกไป ท่านพ่อ ท่านถามเรื่องนี้ทำไมเหรอ?
บิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิง : ไม่มีอะไร ก็แค่ถามเฉยๆ เล่าขั้นตอนที่เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อร่วมมือกันจัดการปีศาจโลหิตให้ฟังสักหน่อย
เรื่องราวผ่านไปนานมากแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด มีหรือที่จะเก็บเรื่องปีศาจโลหิตอะไรนั่นมาใส่ใจ หลังจากเล่าเหตุการณ์ที่ติดอยู่ในความทรงจำให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ก็ถามว่า : ท่านพ่อ ท่านไม่ถามสักหน่อยเหรอว่าตอนนี้ข้าเป็นยังไงบ้าง?
บิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิงสนใจแค่เรื่องที่ลูกชายตัวเองไปเกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิต ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ตอบกลับเพียงว่า : วันหลังค่อยคุยกัน
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดไม่ออก ถือระฆังดาราชกลงบนผิวน้ำ แล้วเงยหน้าร้องอย่างเศร้าเสียใจ “ปัดโถ่โว้ย!”
นึกถึงตอนแรก ตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ นั่นเป็นความมีหน้ามีตาระดับไหนกัน อยู่ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงการมีสาวงามล้อมหน้าล้อมหลังอะไรนั่นเลย ขนาดเรื่องการกินอยู่ยังเป็นปัญหา ในรัศมีหลายพันลี้มีแค่บ่อน้ำแร่ที่นับว่าเป็นทำเลทองที่เขายึดครอบครองไว้ได้ รอบข้างเรียกได้ว่ารกร้าง ลูกน้องก็มีเทพแห่งผืนดินสองคน เป็นชายชราทั้งคู่ แม้แต่จะคุยกันสักคำก็ไม่มี
แต่พอพูดถึงปีศาจโลหิต เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นึกถึงหนิวโหย่วเต๋ออีก ตอนแรกพวกเขาสองคนร่วมมือกันทำเรื่องนี้ อยู่ที่นี่นอกจากมองฟ้าก็ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยจริงๆ น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติมาก เขาถึงได้หยิบระฆังดาราอีกอันออกมาติดต่อเหมียวอี้ อยากจะถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง อยากจะดึงเหมียวอี้มาอยู่เป็นเพื่อนแก้เซ็งสักหน่อย
ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง การเป็นมนุษย์ของเขาก็ล้มเหลวพอสมควร ลองคิดไปคิดมา นอกจากเหมียวอี้แล้ว ลูกหลานตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขาก็ไม่มีสหายเลยสักคน
เหมียวอี้ในตอนนี้กำลังลาดตระเวนธงอินทรีสิบกองทัพ จู่ๆ ก็ได้รับข่าวจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า : พี่เซี่ยโห้ว ทำไมถึงนึกขึ้นได้ว่าอยากคุยกับข้าล่ะ?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : เมื่อครู่นี้จู่ๆ พ่อข้าก็ถามเรื่องที่ข้ากับเจ้าสู้กับปีศาจโลหิตในปีนั้น พูดถึงเจ้าแล้ว เลยปลุกความคะนึงหาที่ข้ามีต่อน้องหนิว น้องหนิวว่างเมื่อไรล่ะ มาเล่นที่บ้านข้าสักหน่อยสิ
เหมียวอี้ไม่ใส่ใจอะไรเช่นกัน เรื่องที่ทั้งสองร่วมมือกันสู้กับปีศาจโลหิตไม่ได้มีช่องโหว่อะไร ขณะกำลังจะเขย่าระฆังดาราบอกปัด จู่ๆ มือก็หยุดนิ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง ศีลแปดก็เจอเซี่ยโห้วหลงเฉิง!
ในปีนั้นที่ศีลแปดมาถึงพิภพใหญ่เป็นครั้งแรก เนื่องจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนพาลหาเรื่อง เขาเคยโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงจับตัวไป ตอนหลังเพื่อที่จะช่วยเขาออกไป ศีลแปดก็เคยแอบอ้างว่าตัวเองเป็นคนจากแดนสุขาวดี ศีลแปดถึงขั้นบอกฉายานามของตัวเองไปแล้วด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องปีศาจโลหิตก่อน เขาเองก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ตกใจจนเหงื่อแทบท่วมตัว ไปหาสถานที่ลับตาคนทันที แล้วเขย่าระฆังดาราถามว่า : ขนาดพ่อเจ้ายังถามถึงเลยเหรอ?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : ก็แค่ถามถึงเหตุการณ์ตอนที่ข้ากับเจ้าร่วมมือกันจัดการปีศาจโลหิตในปีนั้น
เหมียวอี้คิดไปคิดมา แล้วก็บอกว่า : ก่อนหน้านี้เกาก้วนทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์ก็มาถามเรื่องปีศาจโลหิตกับข้า
เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้ยินแล้วตกใจ : ผู้พิพากษาหน้านิ่งนั่นก็ไปหาเจ้าเหรอ? ปีศาจต่ำต้อยคนหนึ่งก็ทำให้เขาแตกตื่นได้ด้วยเหรอ?
เหมียวอี้ : ไม่ว่าจะยังไงข้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล พี่เซี่ยโห้ว เจ้าเล่าเรื่องที่พ่อเจ้าถามมาให้ละเอียดสักรอบซิ ข้าจะเทียบดูว่ามีปัญหาอะไร ดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า
เขาเป็นคนที่โดนหลอกง่าย ด้วยการซักถามแบบอ้อมค้อมของเหมียวอี้ เขาจึงเล่าสิ่งที่ตัวเองถามตอบกับบิดาให้ฟังอย่างละเอียดแจ่มแจ้งทันที
พูดเลี่ยงๆ กลับไปกลับมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่โยงไปถึงศีลแปด เหมียวอี้ก็โล่งอก เขารู้จักสมองของหมีควายเซี่ยโห้วดี น่าจะไม่รอดกับดักของเขา แต่ก็ยังไม่วางใจ ถามอีกว่า : พ่อเจ้าถามเจ้าแค่เท่านี้เหรอ ไม่ได้ถามอย่างอื่นใช่มั้ย?
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลิกตัวอยู่ในบ่อน้ำ แล้วถามว่า : ยังจะถามอะไรได้อีกล่ะ ก็ถามแค่นี้แหละ หรือว่าเจ้ายังมีปัญหาอะไรอีก?
เหมียวอี้ : ไม่มีอะไร ข้าแค่กังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว เออใช่ ตอนนี้เจ้าสบายดีรึเปล่า?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : ถิ่นธุรกันดารที่แม้แต่นกยังไม่บินไปขี้ จะสบายยังได้ล่ะ น้องหนิว ข้าเป็นเทพเทพแห่งภูผา มีหน้าที่เฝ้าพื้นที่ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนก็เพ่นพ่านไปทั่วไม่ได้ เมื่อไรเจ้าจะมาล่ะ เรามาเจอกันหน่อยมั้ย?
เหมียวอี้ : ตอนนี้ข้าก็โดนล้อมคอกอยู่เหมือนกัน เอาไว้ค่อยเจอก็แล้วกัน ถ้าขยับตัวได้แล้วจะไปหาเจ้า…
หลังจากอ้างอย่างขอไปทีเพื่อปฏิเสธเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราเงียบๆ ก็ทำสีหน้าจริงจัง พึมพำกับตัวเองว่า “เก็บเจ้าหมีควายนี้ไว้ไม่ได้แล้ว!”
แต่จะให้ใครลงมือให้ดีล่ะ? เซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลดขั้นไปอยู่ไกลมาก ไม่สามารถไปถึงได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ด้วยสถานะของเขาตอนนี้ไม่สะดวกจะละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่นานเกินไป จะให้ทางปราสาทดำเนินนภาลงมือให้เหรอ? แบบนั้นไม่เหมาะสม นี่เป็นการสังหารหลานชายของตระกูลเซี่ยโห้ว ปราสาทดำเนินนภาอาจจะไม่ทำ ถ้าให้ปราสาทดำเนินนภารู้ว่าตัวเองมีใจคิดร้ายก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ติดต่อจินม่านให้สั่งคนที่เหลือรอดของลัทธิอู๋เลี่ยงลงมือ? เจตนาที่คนกลุ่มนั้นแต่งตั้งให้ตนเป็นประมุขปราชญ์นั้นยากจะคาดเดา ถ้ามีเจตนาไม่ซื่อแล้วแอบถามอะไรที่ไม่ควรรู้ได้จากปากเจ้าหมีควายนั่นล่ะ…เขาไม่อยากให้ศีลแปดเข้ามาเกี่ยวข้อง
คิดไปคิดมา ก็พบว่าคนที่เหมาะสมที่สุด และไว้ใจได้มากที่สุดมีเพียงคนเดียว เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเยียนเป่ยหง…
ตำหนักดาราจักร ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นแผ่นหยกที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญเอาไว้ให้กับประมุขชิง จากนั้นก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“ขอรับ!” หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ ก็กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ฝ่าบาท ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมา ว่าทูตขวาเกาไปหาหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ไม่รู้ว่าทูตขวาตำหนักสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขาไปหาหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยด้วยตัวเองเพราะมีเรื่องอะไร”
ประมุขชิงก็ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ทีแท้ก็เรื่องนี้ จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “เกาก้วนทำงานได้ละเอียดรอบคอบ ถ้าเพ่งเล็งเรื่องไหนแล้วก็ใส่ใจรายละเอียดมาตลอด การที่เขาไปหาหนิวโหย่วเต๋อก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เจ้าไม่ต้องคิดมาแล้ว ในนั้นมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนโค้งกายเล็กน้อย แต่พึมพำในใจว่า สงสัยฝ่าบาทจะมีเรื่องอะไรที่ปิดบังตนอยู่
ที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ประมุขชิงไม่ได้บอกเขาเรื่องพระปีศาจหนานโป เรื่องบางเรื่องประมุขชิงไม่อยากให้มีคนรู้เยอะเกินไป แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้ว่าก่อนหน้านี้ประมุขชิงเคยเรียกพวกเซี่ยโห้วท่ามาประชุม การที่เขาถามครั้งนี้เพราะมีเจตนาจะหยั่งเชิง เมื่อเห็นประมุขชิงไม่อยากพูดให้ชัดเจน เขาก็ทำได้เพียงไม่ถามอีก
พอพูดถึงเกาก้วน เกาก้วนก็มาแล้ว หลังจากเข้ามาทำความเคารพฝ่าบาทแล้วก็พยักหน้าให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเล็กน้อย ถือว่าเป็นการทักทายกันแล้ว
“ทางแดนสุขาวดีเป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขชิงถาม
แดนสุขาวดี? ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบพึมพำ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวโยงไปถึงแดนสุขาวดีแล้ว
เกาก้วนตอบว่า “ทางแดนสุขาวดียังสืบไม่พบข่าวที่เกี่ยวกับพระสองคนนั้น แต่คุณชายใหญ่บอกไว้แล้ว ว่าภายในเวลาสั้นๆ สืบได้ไม่ละเอียดขนาดนั้น เดี๋ยวต่อไปจะให้เบื้องล่างสืบให้ถึงที่สุด นอกจากนี้ หลังจากข้าน้อยกลับมาก็ไปหาหนิวโหย่วเต๋อด้วยตัวเอง ไปสืบถามให้ละเอียดอีกครั้ง พบว่านอกจากความแค้นเล็กน้อยที่มีกับปีศาจโลหิต หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ”
ประมุขชิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามซือหม่าเวิ่นเทียนอีกว่า “การตายของน้องชายสนมหาน เกี่ยวข้องกับแต่ละตระกูลหรือเปล่า?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรจากแต่ละตระกูลเลย เทพประจำดาวมะเมียคนที่เป็นผู้แนะนำสนมหานก็กำลังสืบหาอย่างโจ่งแจ้ง ตามหลักการแล้ว ต่อให้ต้องการจะเล่นงานคนในตระกูลของสนมหาน ก็สามารถยัดข้อหาแล้วค่อยกำจัดทิ้งได้เลย ไม่จำเป็นต้องลักลอบทำให้ยุ่งยากแบบนี้ เกรงว่าจะเจอโจรผู้ร้ายแล้วจริงๆ ขอรับ”
สนมหานคือหนึ่งในสนมของประมุขชิง หานหมิงซานซึ่งเป็นน้องชายของนางโดนดักสังหาร ผู้ติดตามหลายคนก็หายไปด้วยเช่นกัน จนกระทั่งคนในบ้านติดต่อไม่ได้ ถึงได้รู้ว่าคนตายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้สนมหานจึงวิ่งมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าประมุขชิง ถึงแม้ประมุขชิงจะไม่แยแสการตายของหานหมิงซาน และไม่สนใจความทุกข์ของสนมหาน แต่แบบนี้เท่ากับมีคนตบหน้าเขา เขาย่อมเดือดดาลอยู่แล้ว จึงสั่งให้คนสืบหาอย่างถึงที่สุด
ประมุขชิงเอียงหน้ามองเกาก้วนอีก “ส่งคนของเจ้าที่อยู่ทางนั้นไปสืบหรือยัง?”
เกาก้วนตอบว่า “ตรวจสอบแล้วขอรับ ข้าถึงขั้นไปสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง หานหมิงซานออกมาจากบ่อนพนันที่ตลาดสวรรค์ ได้ยินว่าชนะได้เงินเยอะมาก แล้วก็โปรยเงินอวดรวยบนถนน ตอนหลังพอออกจากตลาดสวรรค์ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น จากการตรวจสอบ ข้าน้อยก็เห็นด้วยกับทูตซ้ายซือหม่า คงจะถูกโจรผู้ร้ายเพ่งเล็งเข้าแล้ว…แต่ก็มีจุดที่มีเงื่อนงำเช่นกัน”
“มีจุดไหนที่มีเงื่อนงำ?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนตอบว่า “ตอนหลังข้าน้อยหาพยานผู้เห็นเหตุการณ์พบ จากการสอบถาม ผู้ร้ายใช้ดาบใหญ่ และทักษะการต่อสู้ก็ค่อนข้างเหมือน…” เขาลังเลนิดหน่อย เหมือนไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดดี
ประมุขชิงหรี่ตาถาม “เจ้ากลายเป็นคนอึกอักไปตั้งแต่เมื่อไร บอกมา! เหมือนใคร?”
เกาก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ค่อนข้างคล้ายหน่วยองครักษ์เงา!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนได้ยินแล้วตกใจ พลันเงยหน้ามองประมุขชิง ทั้งตำหนักสวรรค์มีคนที่รู้จัก ‘หน่วยองครักษ์เงา’ ไม่เยอะ ในมือประมุขชิงกุมกำลังพลกลุ่มหนึ่งไว้ มีจำนวนไม่เยอะแต่กลับเป็นกำลังพลที่ห้าวหาญที่สุด เป็นกำลังพลลับของประมุขชิง หรือเรียกได้ว่าเป็นทหารกล้าตายที่ประมุขชิงแอบฝึกอย่างลับๆ ประมุขชิงเป็นผู้บัญชาการโดยตรง เอาไว้ใช้ทำเรื่องที่บอกใครไม่ได้โดยเฉพาะ แต่ไหนแต่ไรมาประมุขชิงไม่นำมาใช้งานง่ายๆ
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเกาก้วนถึงอึกอักไม่ยอมพูด เห็นได้ชัดว่าเกาก้วนกำลังสงสัยว่าเรื่องนี้มีประมุขชิงแอบบงการ ไม่อย่างนั้นนอกจากประมุขชิงแล้ว ก็ไม่มีใครระดมพลของหน่วยองครักษ์เงาได้
ประมุขชิงได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ถามเสียงต่ำว่า “เกาก้วน เจ้ากำลังสงสัยว่าข้าเป็นคนทำเรื่องนี้เหรอ?”
เกาก้วนส่ายหน้า “นี่ก็คือจุดที่ข้าน้อยรู้สึกว่ามีเงื่อนงำ หานหมิงซานต่ำต้อยคนเดียวไม่มีค่าพอให้ฝ่าบาทใช้งานหน่วยองครักษ์เงาเลย แต่พยานที่ข้าน้อยได้ตัวมาให้การว่าเหมือนจะเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงาที่ลงมือจริงๆ”
บทที่ 1391 ธรรมเนียมดั้งเดิมของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา
Ink Stone_Fantasy
สายตาประมุขชิงจ้องตรงไปที่เขา “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงาทำ?”
เกาก้วนตอบว่า “ไม่แน่ใจขอรับ แต่เหมือนมากจริงๆ ข้าน้อยสามารถพาพยานมาได้” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้ประมุขชิงสอบถามด้วยตัวเอง
“ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างมีความรับผิดชอบได้ ว่าข้ารู้จักสถานการณ์ของหน่วยองครักษ์เงาดี ช่วงนี้ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวเลย” ประมุขชิงพูดเหมือนยืนยันอีกครั้ง เหมือนกำลังเตือนเกาก้วนว่าอย่าพูดเหลวไหล
แม้แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนยังแอบส่งสายตาให้เกาก้วน แต่เกาก้วนกลับพูดอย่างจริงจังมากว่า “ฟังจากคำให้การของพยาน คนที่สังหารหานหมิงซานมีวรยุทธ์ไม่สูง แค่ระดับบงกชรุ้งเท่านั้น ต่อให้หน่วยองครักษ์เงาไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ในหน่วยองครักษ์เงาอาจจะมีผู้สืบทอดอยู่ข้างนอกหรือเปล่าขอรับ?”
“เจ้าหมายความว่า ในหน่วยองครักษ์เงามีคนเปิดเผยเคล็ดวิชาฝึกตนสู่ภายนอกงั้นเหรอ?” ประมุขชิงหรี่ตาถาม
“ข้าน้อยแค่สงสัยเท่านั้นเองขอรับ เช่นนั้นก็แปลว่าการวินิจฉัยของข้าน้อยผิดพลาด ควรจะค้นหาหลักฐานเพื่อวินิจฉัยไปในทิศทางอื่น” เกาก้วนตอบ
ประมุขชิงเงียบแล้ว เกาก้วนอยู่กับเขามานานหลายปีขนาดนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้จักลักษณะการทำงานของเกาก้วน ถ้ามั่นใจในตัวผู้ต้องสงสัยชัดเจนขนาดนี้ โดยส่วนใหญ่จะไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้นเกาก้วนคงไม่พูดออกมาต่อหน้าเขา จะต้องมีเรื่องจริงให้อ้างอิงแน่นอน
ดังนั้นระดับความจงรักภักดีของหน่วยองครักษ์เงาทำให้เขารู้สึกสั่นคลอน นั่นคือหน่วยกล้าตายที่เขาแอบฝึกเองอย่างลับๆ ถ้าขยายการตรวจสอบหน่วยองครักษ์เงาจริงๆ ล่ะ? ถ้าขยายการตรวจสอบ ก็จะส่งผลต่อระดับความจงรักภักดีของขุนนางหน่วยองครักษ์เงาอยู่ดี แต่ถ้าจะไม่ตรวจสอบ พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังพลที่จงรักภักดีกับตนที่สุดอาจจะมีปัญหา เขาก็กินอยู่หลับนอนไม่เป็นสุขแล้ว…
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมู่หรงซิงหัว!
เมื่อทราบว่ามู่หรงซิงหัวนำคนมาปรากฏตัวที่สำนักหกนิ้ว พวกเหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย
คนมาถึงจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำแล้ว มู่หรงซิงหัวยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยใบหน้าอมยิ้ม สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มู่หรง นี่เจ้านำคนมารับงานที่นี่ต่อเหรอ?”
“ข้าเป็นฝ่ายขอมาเอง” มู่หรงซิงหัวตอบพร้อมรอยยิ้ม
สวีถังหรานแปลกใจ “ที่นี่เหมือนจะอยู่นอกอาณาเขตของเฉาว่านเสียงไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้า…” เขาเอามือตบหน้าผากทันที เป็นคำถามที่ง่ายมาก ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่อาณาเขตของเฉาว่านเสียง แต่กลับเป็นอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวน ตราบใดที่ระหว่างหัวหน้าภาคใต้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวนไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน การไว้หน้ากันก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร
“เลื่อนตำแหน่งแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ
คนที่จะมารับงานต่อในอาณาเขตผืนนี้ของเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนระดับผู้บัญชาการใหญ่ของอำนาจท้องถิ่น ไม่อย่างนั้นกำลังทหารที่ควบคุมดูแลอาจจะไม่พอ แต่ในเมื่อมู่หรงซิงหัวสามารถมารับงานต่อได้ ก็เห็นได้ชัดว่าเลื่อนตำแหน่งแล้ว
ทว่ามู่หรงซิงหัวกลับส่ายหน้าตอบ “เปล่าหรอก เพียงแต่มาแทนผู้บัญชาการใหญ่ชั่วคราว รอให้ขุดแร่ที่นี่เสร็จแล้ว ถ้าหากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่โต”
ทุกคนทำท่าเข้าใจกระจ่างในทันที พอจะเข้าใจบ้างแล้ว มู่หรงซิงหัวเพิ่งจะถูกย้ายออกมาจากตลาดสวรรค์ ไม่มีประสบการณ์อะไรในท้องที่เลย ถ้าจะให้เลื่อนขั้นโดยตรงก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป นี่เป็นการทำงานเพื่อหาประสบการณ์เฉยๆ สร้างผลงานสักนิดหน่อย ในภายหลังเมื่อแต่งตั้งให้อย่างเป็นทางการก็จะสมเหตุสมผลแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว การเฝ้าจุดขุดแร่ ความเสี่ยงอะไรก็ไม่มี ทั้งยังมีเฉาว่านเสียงหนุนหลัง คาดว่าในเขตของท่านโหวเทียนหยวนคงจะมีไม่กี่คนที่กล้ากลั่นแกล้งนาง ในภายหลังเรื่องนี้ย่อมราบรื่น การมีคนหนุนหลังทำให้เลื่อนขั้นสะดวกจริงๆ
เรื่องราวในตอนหลังก็ไม่ซับซ้อนเช่นกัน หัวหน้าที่รับส่งต่องานทั้งสองฝ่ายยืนยันตัวตน อนุญาตให้กำลังพลจากอำนาจท้องถิ่นไปจุดขุดแร่ที่ธงอินทรีสิบกองทัพควบคุมเพื่อรับงานต่อ หลังจากยืนยันแล้วว่าการส่งต่องานเบื้องล่างไม่มีอะไรผิดพลาด ธงอินทรีสิบกองทัพก็จะถอนกำลัง ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ดาวหกนิ้วแล้ว
ค่ายกลป้องกันที่คุ้มครองสำนักหกนิ้วถูกถอนออกไปแล้ว ธงพยัคฆ์ดำก็ถอนกำลังแล้วเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักหกนิ้วจะผ่อนคลายได้ สำนักหกนิ้วกลับอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาด้วยซ้ำ สถานที่อื่นไม่มีที่พักที่ดีกว่านี้แล้ว มู่หรงซิงหัวต้องการจะใช้สำนักหกนิ้วเป็นฐานประจำการชั่วคราว
เมื่อเทียบกันแล้ว กำลังพลธงพยัคฆ์ดำประจำการอยู่ที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่มู่หรงซิงหัวกลับต้องประจำการที่นี่ในระยะยาว ถ้าขุดแร่ไม่เสร็จก็คงจะไม่ออกไป แล้วเจ้าถิ่นก็ดันก้าวราวเผด็จการเสียด้วย เดิมทีดาวหกนิ้วก็อยู่ในสังกัดของอีกฝ่ายอยู่แล้ว สามารถทำผิดอย่างเหิมเกริมได้เลย ไม่ได้มีวินัยในตนเองเหมือนทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ โชคดีที่เหมียวอี้เห็นแก่ไมตรีที่มีต่อกันมาหลายปี ก่อนจะไปก็ได้บอกมู่หรงซิงหัวไว้ว่า “หลายปีมานี้นับว่าเจ้าสำนักไป๋ช่วยเหลือข้าพอสมควร หวังว่ามู่หรงจะดูแลแทนสักหน่อย”
มู่หรงซิงหัวย่อมเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในนั้นดี จึงยิ้มให้ไป๋หลันพร้อมบอกว่า “เจ้าสำนักไป๋วางใจได้ ข้าบอกกำลังพลเบื้องล่างไว้แล้ว นอกจากนี้ ในรายชื่อขุดแร่ก็จะให้สิทธิพิเศษก่อนเช่นกัน”
เจ้าสำนักไป๋หลันดีใจทันที กุมหมัดคารวะขอบคุณซ้ำๆ “ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองที่ดูแลค่ะ” นางส่งสายตาซาบซึ้งไปให้เหมียวอี้
เหมียวอี้ไปแล้ว ไม่มีความอสลัยอาวรณ์ต่อดาวหกนิ้วเช่นกัน นำทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงพยัคฆ์ดำเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว กลุ่มคนที่หนาแน่นดำพืดหดเล็กลงและหายไปจากขอบฟ้า
ดาวจูจื่อ กองบัญชาการชั่วคราวของกองมังกรดำ กำลังพลธงพยัคฆ์สิบกองทัพทยอยกันมารวมตัวอย่างโอ่อ่าอลังการ
กำลังพลธงพยัคฆ์ดำมาถึงแล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ทยอยกันมาถึงแล้ว ทัพกลางของกองมังกรดำส่งคนออกไปนำมาประจำการ
กำลังพลที่อยู่ทางนี้เพิ่งจะจัดหาที่พักเสร็จ อีกด้านหนึ่งของภูเขาก็มีเงาคนกลุ่มหนึ่งแฉลบมา จ้านหรูอี้ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินนำลูกน้องมาถึงแล้ว
เจอผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว เหมียวอี้ค่อนข้างสับสนใจความรู้สึก ปรากฏว่าจ้านหรูอี้เป็นฝ่ายยิ้มและกุมหมัดคารวะทักทายก่อน “พี่หนิวมาแล้วเหรอ”
เหมียวอี้จำต้องกุมหมัดคารวะทักทายกลับอย่างขอไปที “จ้านคนสวย”
“ข้าเองก็เพิ่งมาถึง ไปพบท่านแม่ทัพภาคด้วยกันเลยดีมั้ย” จ้านหรูอี้กล่าว
พี่น้องของธงพยัคฆ์ดำเห็นฉากนี้แล้วทำสีหน้าแปลกๆ เหมียวอี้ก็อึดอัดมากเช่นกัน ดันไม่สะดวกจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าลูกน้อง จึงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วนำคนเดินไปพร้อมกับจ้านหรูอี้
พอมาถึงตีนเขาที่ตั้งของจวนแม่ทัพภาค พวกลูกน้องรออยู่ตรงนี้ แล้วทั้งสองก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน ไปพบเนี่ยอู๋เซี่ยว
เมื่อเห็นทั้งสองมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตัวเองพร้อมกัน เนี่ยอู๋เซี่ยวกับโป๋เยวก็ทำสีหน้าแปลกนิดหน่อย เหมียวอี้เองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน กลับเป็นจ้านหรูอี้ที่เยือกเย็นสงบนิ่งเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน กลับทำให้ผู้ชายทั้งสามดูใจแคบนิดหน่อย
ทั้งสองก็แค่คารวะตามมารยาท ถึงอย่างไรก็มาที่นี่แล้ว ถ้าไม่คารวะก็จะฟังดูเหลวไหล ส่วนเรื่องงานที่จะต้องปรึกษาหารือกันจริงๆ ก็ต้องรอให้กำลังพลธงพยัคฆ์สิบกองทัพมาถึงครบก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะแต่ละกองทัพก็ไปประจำการค่อนข้างไกล
จากนั้นหลังจากลงจากเขาแล้ว ทั้งสองก็ต่างคนต่างกลับค่ายของตัวเอง
ในวันนั้นกำลังพลธงพยัคฆ์สิบกองทัพมากันครบแล้ว วันต่อมาเนี่ยอู๋เซี่ยวถึงได้ออกคำสั่งเรียกพบ
หลัวอวี้ของทัพกลาง ทังเยี่ยนจวี๋ของธงพยัคฆ์ฟ้า หยางหรงก่วงของธงพยัคฆ์ม่วง ฟู่หลินชุนของธงพยัคฆ์ขาว อูเจ้าชิงของธงพยัคฆ์ทอง เหวยเหรินฟางของธงพยัคฆ์เขียวเงิน เฮ่อจือโย่วของธงพยัคฆ์ดิน หนิวโหย่วเต๋อของธงพยัคฆ์ดำ เหวินเหรินโหย่วเต้าของธงพยัคฆ์แดง อวี๋ว่านหลี่ของธงพยัคฆ์เขียว จ้านหรูอี้ของธงพยัคฆ์น้ำเงิน ผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำทั้งสิบเอ็ดคนมาถึงครบแล้ว เมื่อบวกกับกำลังพลเดิมของกองมังกรดำ ก็รวมได้ทั้งหมดยี่สิบคนที่กำลังประชุมอยู่ในตำหนักใหญ่
ไม่กี่ปีมานี้ ทุกคนล้วนเคยเห็นหน้ากันมาก่อน ทุกคนรู้จักกันหมด เพียงแต่เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วสะดุดตานิดหน่อย มีแค่เขาคนเดียวที่สวมเกราะรบทหารเลวหกแถบ คนที่เหลือล้วนสวมเกราะรบแม่ทัพสีม่วงเหมือนกันหมด
หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่เบ้องบนถามถึงสถานการณ์การส่งต่องานแล้ว ก็กวาดสายตามองทุกคนแล้วถามว่า “ครั้งนี้ขอบใจทุกคนที่ลำบากเฝ้าจุดขุดแร่ เดี๋ยวในภายหลังเบื้องบนจะแบ่งตามปริมาณแร่ที่ขุดได้เพื่อแจกจ่ายให้พวกเราเป็นรางวัล นอกจากนี้ ข้าก็ได้คำสั่งมาจากเบื้องบนด้วย ตอนนี้กองมังกรดำยังไม่มีภารกิจอะไร ให้เฝ้าอยู่ที่ดาวจูจื่อชั่วคราว หลังจากทุกคนลงไปแล้วก็จัดหาที่พักปรับปรุงกำลังพล แล้วรอฟังคำสั่งจากเบื้องบนเงียบๆ”
“หา! ไม่มีภารกิจเหรอ…”
คนในตำหนักที่เดิมทีฟังคำสั่งเงียบๆ ตอนนี้มีเสียงฮือฮาทันที เหมือนจะวุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว เริ่มแย่งกันวิพากษ์วิจารณ์แล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่เบื้องบนทำสีหน้าเครียดขรึมเล็กน้อย
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ทางซ้ายขวาด้านหลังสุดสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก เหมือนจะผิดคาดกับปฏิกิริยาของคนในนี้นิดหน่อย ถึงอย่างไรทั้งสองก็เพิ่งมาเข้าร่วมประชุมรวมทั้งกองมังกรดำเป็นครั้งแรก
“ท่านแม่ทัพภาค ข้าน้อยได้ยินมาว่าหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาต้องการดึงกำลังพลออกไปเกือบกองละสองล้านห้าแสน รวมเป็นกำลังพลห้าล้านเพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่น่านฟ้าเถาะติง ทัพเป่ยโต้วของข้าช่วงชิงรายชื่อมาได้สองธงพยัคฆ์ จะไม่มีภารกิจได้อย่างไร?” เสียงตะโกนถามของผู้หญิงดังขึ้น ทังเยี่ยนจวี๋ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ฟ้าเอ่ยถามนำเป็นคนแรก
เนี่ยอู๋เซี่ยวกล่าวเสียงต่ำว่า “ภารกิจของสองธงพยัคฆ์แบ่งให้กองมังกรฟ้ากับกองมังกรดิน”
เฮ่อจือโย่วผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดินตะคอกตามว่า “ทำไมถึงให้กองมังกรฟ้ากับกองมังกรดินล่ะคะ ท่านแม่ทัพภาคได้พยายามช่วงชิงมาเต็มที่หรือเปล่า?”
เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบว่า “ย่อมพยายามช่วงชิงมาเต็มที่อยู่แล้ว แต่รายชื่อมีน้อยเกินไป แต่ละกองล้วนอยากได้ สุดท้ายท่านหัวหน้าภาคใช้วิธีจับฉลากเพื่อตัดสินใจ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่พวกเราดวงไม่ดี จะบอกว่าแม่ทัพภาคไม่ได้พยายามเต็มที่ได้ยังไง?”
อูเจ้าชิง ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ทองแสยะยิ้ม”การจับฉลากครั้งนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ ทำไมกองมังกรฟ้ากับกองมังกรดินถึงได้ไปพอดีล่ะ?”
ปั้ง! เนี่ยอู๋เซี่ยวพลันตบโต๊ะลุกขึ้นยืน แล้วตะคอกว่า “อูเจ้าชิง เจ้าหมายความว่ายังไง? หรือเจ้าสงสัยว่าท่านหัวหน้าภาคเล่นตุกติก?”
อูเจ้าชิงตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ เพียงแต่การจับฉลากโดนกองมังกรฟ้ากับกองมังกรดินพอดี จะไม่ให้คนสงสัยก็คงยาก ถ้าอยากจะให้ยุติธรรม ไม่สู้เปลี่ยนจากรายชื่อธงพยัคฆ์สองกองทัพให้เป็นธงอินทรียี่สิบกองทัพไปเลยสิ แบบนี้จะได้ฝนตกทั่วฟ้าได้ทุกกอง ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดรายงานขึ้นไป!”
“ใช่! เปลี่ยนจากรายชื่อธงพยัคฆ์สององทัพให้เป็นธงอินทรียี่สิบกองทัพ…” คนอื่นๆ ก็เริ่มตะโกนเห็นด้วยเช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นความโกรธของมวลชน ตะโกนกันให้มั่วไปหมดว่า “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดรายงานขึ้นไป!”
ท่ามกลางผู้บัญชาการใหญ่ทุกคน นอกจากหลัวอวี้ผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางแล้ว ก็มีแค่เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ใจเย็นที่สุด ทั้งสองที่ไม่พูดอะไรเลยมองหน้ากันเลิกลั่ก เห็นฉากแบบนี้แล้วทำไมดูเหมือนกำลังล้อมโจมตีแม่ทัพภาคเลยล่ะ ได้ยินว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวมีอำนาจบารมีมากที่กองมังกรดำไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เห็นได้ชัดว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวโดนเถียงจนหาทางลงไม่ได้ สุดท้ายก็ตะคอกอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่า “ข้าจะรายงานความเห็นของพวกเจ้าขึ้นไปให้ แต่เบื้องบนจะอนุมัติหรือไม่ข้าก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจนะ”
กลุ่มคนโวยวายเสียงดังว่า “ก็ต้องดูว่าท่านแม่ทัพภาคจะพยายามเต็มที่หรือไม่”
“แยกย้ายได้แล้ว!” เนี่ยอู๋เซี่ยวโบกมือ แล้วเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
กลุ่มคนในตำหนักใหญ่พากันเดือดดาลในใจอีกพักหนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้แยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ
หลังจากออกจากจวนกองมังกรดำ คนกลุ่มนี้ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความโมโหก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว
เหมียวอี้ชำเลืองมองสองครั้ง แล้วรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฉวยโอกาสดึงตัวเฮ่อจือโย่วผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดิน แล้วกุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะ “พี่เฮ่อ เมื่อครู่นี้ที่ทุกคนเถียงจนแม่ทัพภาคหาทางลงไม่ได้เพราะมีเจตนาอะไรเหรอ?” เขามองดูปฏิกิริยาของทุกคนออก เหมือนเป็นกันก่อกวนสร้างความวุ่นวายล้วนๆ
“พี่เฮ่อ!” จ้านหรูอี้ก็ตามเข้ามาฟังเช่นกัน
เฮ่อจือโย่วมองดูท่าทางของทั้งสองแล้วยิ้มบางๆ รู้ว่าสองคนนี้มาใหม่จึงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หน่วยองครักษ์ซ้ายขวามีกำลังพลมากมายขนาดนั้น จะเอาภารกิจจากไหนมากมายมาให้ทุกคนไปปฏิบัติพร้อมกันได้ล่ะ แต่หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาอย่างพวกเราไม่มีอาณาเขตของตัวเอง ไม่มีทรัพยากรให้ตักตวง ถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่งร่ำรวยก็ต้องหวังพึ่งผลงานทางทหาร ถ้าไม่มีภารกิจแล้วจะรอผลงานทางทหารโง่ๆ จากไหนล่ะ ภารกิจพวกนี้ถ้าไม่แย่งแล้วจะตกมาถึงพวกเราได้ยังไง เด็กที่ร้องไห้เป็นถึงจะมีนมกิน แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้ช่วงชิงมาไม่ได้ก็ต้องโวยวายขึ้นไปสักหน่อย หลังจากกลับไปแล้วจะได้พูดได้สะดวกว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว ไม่อย่างนั้นกลับไปแล้วก็ไม่มีทางอธิบายแก้ตัวกับพวกลูกน้องได้น่ะสิ! พวกเจ้าวางใจเถอะ นายท่านแม่ทัพภาคไม่ถึงขั้นโมโหกับเรื่องแบบนี้หรอก ทั้งข้างล่างข้างบนล้วนเป็นแบบนี้ นี่ก็คือธรรมเนียมดั้งเดิมของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา ช่วงชิงมาได้นับว่าเป็นความสามารถ ถ้าช่วงชิงมาไม่ได้ก็สมน้ำหน้าแล้วที่โดนลูกน้องเถียงจนหาทางลงไม่ได้”
บทที่ 1392 เยียนเป่ยหงพลาดพลั้ง
Ink Stone_Fantasy
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้สบตากันอย่างพูดไม่ออก นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
เฮ่อจือโย่วหลือบมองคู่แค้นที่ก่อเรื่องจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่ว แล้วก็ทำท่าเหมือนอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากจะถามว่าเรื่องระหว่างทั้งสองเป็นอย่างไรกันแน่ ทะเลาะกันขนาดนั้นแล้วทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ แต่เพราะนึกถึงเรื่องจริงอันน่าอับอายที่จ้านหรูอี้ทำไว้ เขาก็ไม่สะดวกจะเอ่ยปากถามจริงๆ สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ บอกว่าตัวเองยังมีธุระต้องทำ ต้องขอตัวไปก่อน
จากนั้นทั้งสองก็ต่างคนต่างกลับที่พักของตัวเอง
พอกลับมาถึงที่ประจำการของธงพยัคฆ์ดำ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังก้มหน้า เดินช้าๆ เข้าไปในเขตค่าย กำลังครุ่นคิดถึงภารกิจที่น่านฟ้าเถาะติง เขาจำได้ว่าตอนที่เกาก้วนเอ่ยถึงเรื่องปีศาจจิ้งจอก ก็เหมือนว่านางจะถูกพบที่น่านฟ้าเถาะติงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าภารกิจในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า
เดินไปได้ไม่นานก็หยุดฝีเท้าอีก พอเงยหน้ามอง ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังดักมองตนด้วยสีหน้าเฝ้าคอย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพนั่นเอง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามอย่างงุนงงว่า “ทำอะไรกัน?”
“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่ามีภารกิจอะไรมั้ย?” หลี่จื้อหย่วนกุมหมัดถาม
เหมียวอี้กวาดสายตามองแววตาอันฮึกเหิมเร่าร้อนของคนกลุ่มนี้ แล้วก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในตำหนักประชุมของกองมังกรดำ ทำให้รู้ทันทีว่าเรื่องแบบเดียวกันกำลังจะเกิดกับตัวเอง มีหรือที่เขาจะเอ่ยเรื่องที่ภารกิจถูกแย่งไป จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือบอกทันทีว่า “ท่านแม่ทัพภาคบอกว่าไม่มีภารกิจ ตอนนี้ให้ประจำการพักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วคราว”
กลุ่มคนมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ทว่าเหมียวอี้เร่งฝีเท้าเดินผ่ากลางทุกคนไปอย่างรวดเร็ว หนีไปแล้ว
เงาร่างสูงใหญ่กำยำที่สวมชุดคลุมสีแดงหยุดลอยอยู่ในดาราจักร เยียนเป่ยหงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครากำลังจ้องดาวทะเลพิษที่อยู่ตรงหน้า เมื่อแน่ใจสถานที่แล้ว เขาก็พลิกเก็บแผนที่ดาวในมือ จากนั้นดึงชุดคลุมสีแดงบนตัวออก เผยให้เห็นชุดเดินทางกลางคืนสีดำที่อยู่ข้างใน หน้ากากผีที่ดุร้ายสวมใส่ไว้บนใบหน้าแล้ว
พอกางแขนสองข้างออก ศีรษะก็พุ่งไปที่ดาวทะเลพิษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
พอฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไป มหาสมุทรผืนใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตา ในทะเลอันกว้างใหญ่ของที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิต เพราะน้ำทะเลมีพิษ นี่ก็คือที่มาของชื่อดาวทะเลพิษนั่นเอง บนแผ่นดินที่ถูกโอบล้อมด้วยน้ำทะเลมีรอยสีเขียวเป็นจุดๆ เป็นพืชพรรณที่ดำรงอยู่ได้ด้วยน้ำฝน แต่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว
เยียนเป่ยหงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหันมองรอบๆ จากนั้นก็ลาดตระเวนบนท้องฟ้าเหนือแผ่นดินใหญ่อีก สายตากวาดค้นหาเบื้องล่าง เน้นค้นหาตรงจุดที่มีพืชพรรณสีเขียว
เมื่อค้นหาอยู่นานแต่ไม่เจอเป้าหมาย จู่ๆ เขาก็หยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า พลันใช้หมัดชกลงไปบนผิวดินหนึ่งครั้ง
บึ้ม! แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน ฝุ่นดินตลบฟุ้งขึ้นมา บนผิวดินปรากฏโพรงขนาดใหญ่ รอบๆ แตกแขนงราวกับใยแมงมุม
ด้านบนของฝุ่นดินที่ปลิวว่อน เยียนเป่ยหงลอยรออยู่เงียบๆ กำลังกวาดสายตาค้นหาไปรอบๆ
รอได้สักประเดี๋ยวเดียว ตรงที่ไกลๆ ก็มีจุดสีดำจุดหนึ่งเหาะมา ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีเทาเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นสอง
หลังจากเข้ามาใกล้ ชายชราชุดคลุมเทาก็ก้มมองกหลุมลึกด้านล่าง มีสีหน้าอกสั่นขวัญผวาอย่างเห็นได้ชัด เขาเหลือบมองเยียนเป่ยหงพร้อมถามว่า “ข่าเป็นเทพแห่งผืนดินของที่นี่ ใครกันมาพาลกำเริบเสิบสานที่นี่?”
“ข้าเป็นสหายเก่าของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตั้งใจมาเยี่ยมเขาโดยเฉพาะ เขาอยู่ที่ไหน?” เยียนเป่ยหงถาม
ชายชราผมขาวชุดเทาอึ้งไปครู่เดียว คาดว่าคงไม่ผิดพลาดแน่ ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ ใครจะมาหาเรื่องที่นี่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้ายั่วโมโหเทพแห่งภูผาที่มีภูมิหลังแบบนั้นได้ จึงเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มทันที ถ้าไปล่วงเกินสหายของเทพแห่งภูผาก็จะเกิดปัญหา คงไม่ดีหากจะไปยั่วโมโหคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างเจ้าหมีควายเทพแห่งภูผา จึงเปลี่ยนการกระทำเป็นตรงกันข้ามทันที จึงหยิบระฆังดาราออกมาแล้วถามด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ทันที “ขออนุญาตถามถึงนามอันยิ่งใหญ่ของท่าน ตาแก่คนนี้จะบอกท่านเทพแห่งภูผาให้”
“ข้าจะเป็นใครเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์รู้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นข้าแล้วก็ย่อมรู้เอง” เยียนเป่ยหงกล่าว
ชายชราจนปัญญา ทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราติดต่อ
“ท้องฟ้าสดใส พื้นดินเปล่าเปลี่ยว ท้องฟ้าสดใส พื้นดินเปล่าเปลี่ยว ข้าเบื่อหน่ายอยู่ลำพัง…”
บนเนินเขาที่เปล่าเปลี่ยว คนคนหนึ่งกำลังเดินเนิบนาบอยู่บนไหล่เขา ทั้งยังสะบัดแขนกึ่งเดินกึ่งไถลกลิ้งลงไปที่ไหล่เขาอีกด้าน ใต้เท้ามีเสียงเหยียบก้อนกรวด คนคนนี้ก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง บนศีรษะเขาสวมมงกุฎดอกไม้ ในมือถือน้ำเต้าสุราใบใหญ่ ดื่มจนเมามายพลางร้องเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้น เดินโซเซอยู่ระหว่างภูเขา ดูออกเลยว่าไม่ได้เหงาแบบธรรมดา
ถึงแม้จะสูงศักดิ์เป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เหมือนไม่ต่างอะไรกับการโดนตระกูลเซี่ยโห้วทอดทิ้ง โชคดีที่มีน้องชายนำของมาส่งให้จำนวนหนึ่งในยามว่าง ยกตัวอย่างเช่นสุราที่อยู่ในมือ หรือไม่ก็ส่งผู้หญิงมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็ต้านทานความเบื่อหน่ายไม่ได้อยู่ดี
ถึงแม้เซี่ยโห้วหู่เฉิงจะย้ำกับเขาหลายครั้ง ว่าคนอื่นอยากจะได้ความสงบเงียบแบบนี้ยังไม่ได้เลย พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ก็ควรสงบจิตสงบใจฝึกตน ถ้าวรยุทธ์เพิ่มขึ้นแล้ว ตระกูลใช้งานเขาได้แล้ว เดี๋ยวก็จะย้ายเขาออกไปเอง
แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงขมขื่นใจ! ตระกูลเซี่ยโห้วทำเพื่อประโยชน์ของวงศ์ตระกูล เห็นได้ชัดว่าจงใจจะควบคุมเขาไว้ที่นี่ ตระกูลทำแบบนี้ก็เพื่อจะลดความยุ่งยาก เขาจะได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ขาดแคลนคนที่มีวรยุทธ์สูง จะเพิ่มหรือขาดเขาไปสักคนก็ไม่เป็นไรเลย บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้ออกจากที่นี่ไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
เขาเรอหนึ่งทีแล้วหยิบระฆังดาราออกมา หลังจากได้ข่าวแล้วก็แปลกใจอยู่บ้าง มีคนมาหาข้างั้นเหรอ? เขาแทบจะไม่ได้คิดอะไรในหัวเลย กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร มีคนมาแก้เซ็งให้ได้ก็พอแล้ว จึงตอบอย่างยินดีปรีดาว่า : ข้าอยู่ที่ภูเขาทางทิศเหนือ รีบพาตัวเขามาที่นี่
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เยียนเป่ยหงที่สวมหน้ากากผีถึงได้เหาะตามหลังชายชรามาแล้ว เยียนเป่ยหงก็ข่มใจเอาไว้เช่นกัน ไม่รีบร้อนไปให้ถึง
“นายท่าน ข้าพาสหายของท่านมาแล้ว” พอเหยียบลงพื้น ชายชราก็ประสานมือโค้งกายคารวะเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างนอบน้อม
เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่สนใจเขา แต่กลับเอียงหน้า เอียงซ้ายเอียงขวามองเยียนเป่ยหง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้าคือใครกัน? ถอดหน้ากากออกมา”
ไม่รู้จักเหรอ? เทพแห่งผืนดินหันกลับไปมองทันที
เยียนเป่ยหงตอบว่า “เซี่ยโห้วหู่เฉิงให้ข้านำของมาให้เจ้า” เรื่องเกี่ยวกับเซี่ยโห้วหู่เฉิง เขาเองก็ได้ยินมาจากปากเหมียวอี้เช่นกัน
“ของอะไร?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม
เยียนเป่ยหงมองประเมินเซี่ยโห้วหลงเฉิงแวบหนึ่ง เน้นมองมงกุฏดอกไม้บนศีรษะเขา ในดวงตาฉายแววสงสัย รูปลักษณ์ภายนอกสอดคล้องกับที่เหมียวอี้บรรยาย เพียงแต่ศีรษะใหญ่ขนาดนี้สวมมงกุฎดอกไม้…เขากังวลนิดหน่อยว่าถ้าฆ่าผิดคนจนแหวกหญ้าให้งูตื่นจะเป็นการสร้างปัญหาให้เหมียวอี้ จำเป็นต้องระมัดระวัง จึงถามว่า “เจ้าพิสูจน์มาก่อนว่าเจ้าคือเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้ข้าดูแผ่นหยกขุนนางของเจ้าสักหน่อย”
ดวงตาเซี่ยโห้วหลงเฉิงฉายแววสงสัย ถ้าน้องชายจะส่งคนให้นำของมาให้เขา ก็จะต้องบอกเขาก่อนแน่นอน หลายปีมานี้ก็ทำแบบนี้ สายตาไปหยุดอยู่บนหน้ากากผีของอีกฝ่าย ในดวงตาเริ่มฉายแววระแวดระวัง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาทันที “ให้ข้ายืนยันกับน้องชายข้าก่อน”
มีหรือที่เยียนเป่ยหงจะปล่อยให้เขายืนยัน การที่สามารถติดต่อกับเซี่ยโห้วหู่เฉิงได้ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เขาแทบจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ดาบใหญ่ผลึกแดงบริสุทธิ์ด้ามหนึ่งอยู่ในมือแล้ว ควงดาบออกมาอย่างรวดเร็วราวกับเงาผี “อา!” เทพแห่งผืนดินที่บังหน้าอยู่ร้องโอดครวญทันที โดนฟันขาดเป็นสองท่อนแล้ว
เซี่ยโห้วหลงเฉิงตกใจมาก โชคดีที่เขาเตรียมพร้อมป้องกันไว้ล่วงหน้า กำไลบนข้อมือระเบิดแสงออกมา เงากำไลที่ลอยวนเวียนออกมาจำนวนมากยิงระเบิดออกมา ทุ่มใส่เงาดาบฟันเข้ามาตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ของวิเศษขั้นห้าประเภทนี้ต้านทานเยียนเป่ยหงในปัจจุบันไม่ได้เลย กำไลกลุ่มหนึ่งที่ระเบิดยิงเข้ามาโดนเยียนเป่ยหงใช้ดาบฟันกระเด็นออกไปจำนวนไม่น้อย
ทว่ากลับเป็นการช่วยชีวิตเซี่ยโห้วหลงเฉิงเอาไว้ ในขณะที่กำไลโดนฟันจนอับแสงสั่นสะเทือน กระแทกชนบนร่างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังกระอักเลือดหลบไม่ทัน โดนกำไลที่สะเทือนกลับมากระแทกจนตัวเองกระเด็นออกไป หลบเงาดาบที่ฟันแสกหน้าเข้ามาได้แล้ว
กำไลหลายสิบวงโดนฟันกระเด็นออกไปแล้ว แต่กลับยังมีกำไลสิบล้านวงหมุนวนล้อมโจมตีไปทางเยียนเป่ยหง แต่เห็นเยียนเป่ยหงพลันหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เงาดาบนับไม่ถ้วนฟันเข้ามาจากทั่วสารทิศ แกร๊งๆๆ กำไลสิบล้านวงกระเด็นออกไปจนหมดทันที แสงสว่างดับวูบ พลังงานหมดแล้ว ไม่มีทางบินกลับมาได้อีกแล้ว
เยียนเป่ยหงยกดาบขึ้นมา แล้วไล่ฟันเซี่ยโห้วหลงเฉิง
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะเหยียบลงพื้นและอาเจียนเป็นเลือด พอหันกลับมาก็ตกใจแทบขวัญกระเจิง รีบโบกมือโยนเงาสีดำเงาหนึ่งใส่เยียนเป่ยหงที่พุ่งเข้ามาทนัที
กระเป๋าสีดำใบหนึ่งพลันขยายมาตรงหน้าเขา เยียนเป่ยหงที่พุ่งเข้ามาหยุดยั้งตัวเองไม่ทัน โดนโจมตีจนฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก อยากจะถลันตัวหลบ แต่กลับโดนเชือกนับไม่ถวนที่ยิงออกจากกระเป๋าพร้อมกับเสียงลมวูบๆ มัดไว้แล้ว พายุหมุนที่พัดวูบออกมาจากกระเป๋าหอบเขาหมุนวนไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
เยียนเป่ยหงตกใจมาก พบว่าตัวเองประมาทเกินไปแล้ว บนตัวลูกหลานตระกูลขุนนางมีของวิเศษไม่ขาดเลย เขาจึงพลิกข้อมือหมุนดาบใหญ่ทันที ขณะกำลังจะตัดเชือก แต่กระเป๋าสีดำกลับไม่ให้โอกาสเขา พอแวบผ่านไป ก็เก็บเขาเอาไว้ในกระเป๋าทันที
พายุหมุนหยุดนิ่ง หินทรายที่พัดม้วนอยู่บนผิวดินค่อยๆ หยุดลง มีเพียงฝุ่นดินที่ตลบอบอวล กระเป๋าสีดำที่หดเล็กลงแวบกลับเข้ามาแล้ว มาตกอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง
“แค่กๆ…ถุย!”เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังไอถ่มน้ำเลือดออกมา จากนั้นก็พลิกตัวนั่งลง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตรงมุมปากมีรอยเลือด หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดเข้าปาก หลังจากปลอบประโลมอาการแสบร้อนในช่องอก ถึงได้คว้ากระเป๋าสีดำที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา ยังคงมีสีหน้าหวาดกลัว
ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะลดขั้นให้เขามาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเซี่ยโห้วหู่เฉิงเห็นพี่ชายอยู่ที่นี่โดยไม่มีกำลังพลที่สามารถปกป้องได้สักคน บวกกับนิสัยของพี่ชายที่ทำให้คนเอ่ยปากว่าลำบาก มีเรื่องกับคนอื่นไว้เยอะเกินไป ถึงได้มอบของวิเศษของตัวเองไว้ให้พี่ชายป้องกันตัว เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้ว ว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานมันสามารถช่วยชีวิตพี่ชายไว้ได้ครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็รู้สึกโชคดีไม่หาย โชคดีที่น้องชายมอบของวิเศษชิ้นนี้ไว้ให้ ตอนนั้นตัวเองยังไม่ยอมรับไว้ รู้สึกว่าน้องชายจำเป็นต้องใช้มากกว่า เขาไม่เคยโดนลอยสังหารเลย จึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายดึงดันยัดใส่มือเขา ครั้งนี้เขาจะต้องรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่นอน
ตอนนี้เขากลัวแล้วจริงๆ กำลังมองซ้ายมองขวา กังวลว่าจะมีคนมาฆ่าตนอีก จึงนำเกราะรบผลึกแดงมาสวมไว้บนตัวแล้ว
ใครจะคิดว่าสิ่งที่กลัวจะมาเยือน บางทีอาจจะได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน เงาคนสองคนเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว มาหยุดจ้องประเมินด้านล่าง
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังตกใจเตรียมจะสังเวยของวิเศษ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็อึ้งอีก เพราะเขารู้จักคนสองคนที่อยู่บนฟ้า ตอนที่เขาเคยไปเป็นที่ปรึกษาให้การทดสอบ เขาเคยเจอสองคนนี้มาก่อน เป็นลูกน้องของทูตขวาเกาก้วนที่จัดการทดสอบ คนหนึ่งชื่อจางหลวนซาน อีกคนชื่อเผยโม่
ทั้งสองเหยียบลงพื้นตรงหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง จางหลวนซานพลิกมือเผยป้ายคำสั่งของป้ายคำสั่งหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง พวกเราได้รับคำสั่งให้มาสอบสวน…เกิดเรื่องอะไรกับเจ้า?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงราวกับได้เห็นเทพผู้ช่วยชีวิต รีบร้อนลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เป็นเพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไปจริงๆ ร้องบอกเมือนผีสางว่า “รีบพาข้าออกไป มีคนต้องการจะสังหารข้า…” เขารีบเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
จางหลวนซานเดินเข้ามาแล้ว ใช้แขนข้างหนึ่งประคองเขาขึ้นมา แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใครกันต้องการจะฆ่าเจ้า?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ข้าก็อยู่ของข้าดีๆ จู่ๆ เขาก็โผล่มา บอกว่าเป็น…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็มองไปข้างหลังเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
จางหลวนซานหันขวับกลับไป ฉึก ศีรษะกระเด็นออกไปแล้ว แสงสะท้อนคมดาบแวบผ่านท่ามกลางเลือดในอกที่พุ่งขึ้นมา มีเสียงดังอีกฉึก คมดาบนั้นถือโอกาสแทงเข้ามาในคอของเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว
บทที่ 1393 ดักซุ่ม ธนูดาวตก!
Ink Stone_Fantasy
“เอื้อ…เจ้า…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบิกตากว้างมีเลือดไหลออกจากมุมปาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาพาลเกเรกำเริบเสิบสานมาหลายปีขนาดนี้ อาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลเพื่อใช้อำนาจบาตรใหญ่ แม้แต่เรื่องชั่วก็ทำล่วงเกินคนอื่นมาหมดแล้ว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีวันนี้ ที่สำคัญคือเขาไม่รู้เลยว่าคนที่โผล่มาฆ่าเขาอย่างต่อเนื่องกันต้องการจะฆ่าเขาเพราะอะไร
เงาแสงกระบี่วับวาบอีกครั้ง พอศีรษะเอียง ทั้งตัวก็ล้มลงไปข้างหลัง
เผยโม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังจางหลวนซาน มองดูจางหลวนซานล้มลงวางกระบี่ในบี่อย่างช้าๆ เลือดสีแดงสดไหลลงตามคมกระบี่ กำลังมองดูจางหลวนซานหายใจรวยริน ทั้งสองไม่มีความแค้นต่อกันมาก่อน ทั้งยังคบค้ากันมาหลายปี เพียงแต่ไม่คิดว่าก่อนว่าต้องฆ่าเขาในการเดินทางครั้งนี้ เพราะที่นี่เกิดเหตุไม่คาดคิดนิดหน่อย จำเป็นต้องลงมือ
ตอนที่เลือดหยดที่สองไหลตกลงตามคมกระบี่ จู่ๆ เผยโม่ที่ร่ายอิทธิฤทธิ์มองไปโดยรอบก็โบกกระบี่ในมือ กระบี่กลายเป็นลำแสง บึ้ม! แทงทะลุไหล่เขาลูกหนึ่งจนเป็นโพรง
ที่ด้านหลังไหล่เขา ชายชราคนหนึ่งที่มีสีหน้าตกใจกลัว กำลังย่องคลำหินผาเพื่อไปซ่อนตัว พอหันหน้ามาก็ตกใจจนหน้าถอดสี “เอื้อ…” ลำแสงที่ยิงออกมาตัดศีรษะของเขาโดยตรง ศีรษะกับร่างกายอยู่คนละที่กัน กลิ้งล้มอยู่ที่พื้น
ลำแสงนั้นเลี้ยวกลับมาตกอยู่ในมือของเผยโม่แล้ว พอสะบัดรอยเลือดบนกระบี่ทิ้ง เผยโม่ก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จากนั้นเก็บกระบี่วิเศษ แล้วรีบจัดการศพหลายศพอย่างรวดเร็ว ปลอมแปลงบาดแผลบนตัวศพ เดิมทีหน้าที่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็คือการสืบคดีอยู่แล้ว เขาอยู่ที่หน่วยหน่วยตรวจการฝ่ายขวามาหลายปี ชำนาญการใช้วิธีการนี้มาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าลงมือง่ายๆ แบบนี้
หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าที่ถืออยู่ในมือเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตกอยู่ในมือเขา เขารีบลบต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แล้วใส่ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไปควบคุมของวิเศษนี้
หลังจากศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียดแล้ว ก็โบกมือโยนกระเป๋าออกมา กระเป๋าขยายใหญ่ขึ้นและกางออก คายคนคนหนึ่งออกมาพร้อมเสียงลมพัด จากนั้นกระเป๋าก็หดกลับทันที ถูกคว้าอยู่ในมือของเผยโม่แล้ว
เยียนเป่ยหงที่หลุดออกมาได้ถือดาบมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองออกมาอีกครั้งได้อย่างไร สายตาเขาหยุดจ้องอยู่ที่มือเผยโม่ จ้องกระเป๋าวิเศษในมือเผยโม่ แล้วก็กวาดมองร่างของพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัย
เผยโม่ที่ยืนอยู่ข้างล่างโบกกระบี่ชี้มา ถามว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นคนฆ่าพวกเขาเหรอ?”
เยียนเป่ยหงสงสัยนิดหน่อย ตอนแรกเขาก็ยังนึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนฆ่า ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะถามว่าเขาฆ่ารึเปล่า อย่าบอกนะว่ายังมีคนอื่นอีก? หรือว่าเหมียวอี้ส่งคนอื่นมาด้วยเพื่อป้องกันความผิดพลาด?
เยียนเป่ยหงรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่น ก็ถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าเป็นใครกัน?”
เผยโม่เผยป้ายคำสั่งในมือพร้อมตอบว่า “หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์! เจ้าเป็นใคร?”
เยียนเป่ยหงตกใจแล้ว หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์ เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อน ทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
ดาบในมือขยับเล็กน้อย เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฆ่าปิดปาก ทว่าสายตาไปหยุดอยู่ที่กระเป๋าวิเศษในมืออีกฝ่าย ทำให้กังวลใจอยู่บ้าง เมื่อครู่เขาเพิ่งได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของอาวุธวิเศษชิ้นนี้ บวกกับไม่รู้ถึงความตื้นลึกในพลังของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตายไปแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนฆ่าก็ตาม สรุปก็คือตัวเองบรรลุเป้าหมายแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเองยังสวมหน้ากากอยู่บนใบหน้า อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จึงรีบพุ่งตัวขึ้นฟ้าหลบหนีแล้ว
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” เผยโม่ตะโกนอย่างเดือดดาล แล้วถลันตัวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ลำแสงสายหนึ่งถูกปล่อยออกจากมือ ยิงสังหารขึ้นไปบนท้องฟ้า
แกร๊ง! เยียนเป่ยหงโบกมือฟันออกมาดาบหนึ่ง ทำให้กระบี่บินกระเด็นออกไป แล้วก็รีบหนีห่างออกมา
พอเรียกกระบี่บินกลับมาแล้ว เผยโม่ก็ตามติดไม่ยอมปล่อย ไล่ตามไปจนถึงดาราจักร เรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อย เหมือนวรยุทธ์ของทั้งสองจะพอๆ กัน แต่ที่จริงวรยุทธ์ของเผยโม่สูงกว่าเยียนเป่ยหงไม่น้อย
เยียนเป่ยหงที่หันกลับมามองเป็นระยะตกใจมาก เห็นเผยโม่หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังติดต่อตำหนักสวรรค์ ตำหนักสวรรค์มีคนเยอะมีกำลังมาก สามารถระดมพลกลุ่มใหญ่ได้ทุกเมื่อ ถ้าถูกกำลังพลตำหนักสวรรค์ดักขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว ตรงหน้ากลับสลัดฝ่ายตรงข้ามทิ้งไม่หลุด อบากจะฆ่าทิ้งก็กลัวของวิเศษในมืออีกฝ่าย เขายังนึกไม่ออกว่ามีวิธีการไหนสามารถรับมือกับของวิเศษชิ้นนั้น
เยียนเป่ยหงที่กำลังรีบหนีหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจหาจุดที่ดีที่สุดในการเอาตัวรอด นับเป็นความโชคดีในความโชคร้าย สถานที่ที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลดขั้นให้มาอยู่ค่อนข้างเปลี่ยวห่างไกลความเจริญ จุดที่ไม่ห่างจากตรงนี้มากก็คืออาณาเขตดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบ มันถูกเรียกว่า ‘ทะเลดาวสับสน’ เยียนเป่ยหงเริ่มขมวดคิ้วจ้อง การหนีเข้าไปใน ‘ทะเลดาวสับสน’ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว แต่เขาก็ไม่อยากหนีเข้ามาที่นี่ สาเหตุที่เรียกที่นี่ว่าทะเลดาวสับสน ก็เพราะคนที่ล่วงล้ำเข้าไปจะหลงทางได้ง่ายมาก ถ้าไปหลงทางอยู่ในนั้นแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะออกไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต
แต่เขาไม่มีทางเลือก หลังจากที่อื่นได้รับข่าว กำลังพลตำหนักสวรรค์จะต้องมาปิดล้อมในทันทีแน่นอน ตัวเขาเองโดดเดี่ยวกำลังน้อย ถ้าไปที่อื่นก็เกรงว่าจะหนีพ้นได้ยาก ภายใต้ความจำใจ เขาทำได้เพียงแข็งใจล่วงล้ำเข้าไปทาง ‘ทะเลดาวสับสน’ แล้วค่อยคิดหาทางเอาตัวรอดอีก
ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ด้านนอกทะเลดาวสับสนมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งล้อมไว้แล้ว จุดประสงค์หลักก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ร้ายหลบหนีไปซ่อนตัวในนั้น
ระหว่างทาง เยียนเป่ยหงก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้เช่นกัน รีบบอกสถานการณ์ทางนี้ให้เหมียวอี้รู้ ไม่ว่าขั้นตอนจะเป็นอย่างไร แต่สรุปก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงตายแล้ว จะได้แก้ไขความกังวลให้เหมียวอี้ได้
ในค่ายของทัพกลาง เหมียวอี้นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวเพียงลำพัง หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว สีหน้าก็ค่อนข้างแย่
ไม่ผิดหรอก เขาเป็นคนส่งเยียนเป่ยหงไปฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่กลับประเมินเซี่ยโห้วหลงเฉิงต่ำไป เยียนเป่ยหงทำพลาดแล้ว ขนาดเยียนเป่ยหงเองยังเกือบจะตายน้ำตื้นเลย แต่ที่แปลกก็คือ เขากลับไม่รู้ว่าใครกันที่ฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปแล้ว จู่ๆ ดันมีคนหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์โผล่มา และตอนนี้ก็กำลังตามกัดเยียนเป่ยหงไม่ปล่อย
เรื่องนี้แปลกนิดหน่อย เบี่บงเบนไปจากสิ่งที่เขาคาดคิดเยอะมาก ตอนนี้เท่ากับสร้างปัญหาใหญ่ให้เยียนเป่ยหงแล้ว ทั้งยังสร้างปัญหาใหญ่ให้ตัวเองด้วย ถ้าเยียนเป่ยหงตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์ขึ้นมา ต่อให้เขาจะเชื่อใจว่าเยียนเป่ยหงจะไม่ทรยศเขา แต่ด้วยวิธีการสืบสวนต่างๆ นาๆ ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์ เกรงว่าจะทำให้เยียนเป่ยหงทำตามใจตัวเองไม่ได้
เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เขาคงส่งเหยียนซิวไปจัดการเรื่องนี้แล้ว เหยียนซิวติดตามอยู่ข้างกายเขามาหลายปี เคยเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาก่อน สามารถทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงลดความระวังตัวได้ จะทำให้การลอบสังหารสำเร็จได้ง่ายมาก แต่ประเด็นสำคัญที่คิดในตอนนั้นก็คือ ที่นี่อยู่ห่างจากอาณาเขตของเซี่ยโห้วหลงเฉิงมากเกินไป ในฐานะที่เหยียนซิวเป็นกำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าหายตัวนานเกินไปก็จะถูกคนสงสัยได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาตายอย่างกะทันหันหลังจากที่ถูกตระกูลเซี่ยโห้วถามถึงเรื่องปีศาจโลหิต ถึงอย่างไรข้างกายเหมียวอี้ก็ยังมีสายลับของตำหนักสวรรค์อยู่หนึ่งคน ถึงได้ส่งคนที่สามารถหลบเลี่ยงไม่ให้ความน่าสงสัยตกมาถึงตัวเหมียวอี้ได้อย่างเยียนเป่ยหงไป แต่ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้
เยียนเป่ยหงบอกเขาไว้แล้ว ว่าเตรียมตัวจะหนีเข้าไปในทะเลดาวสับสน ถ้าหนีไม่พ้นจริงๆ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์ ให้เหมียวอี้ช่วยดูแลหงซิ่วกับหงฝูด้วย
เหมียวอี้รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร เพื่อที่จะปกป้องเหมียวอี้ เยียนเป่ยหงได้เตรียมตัวสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว และเยียนเป่ยหงก็เป็นชายชาตรีที่จะเป็นหรือจะตายก็ได้มาตลอด ไม่ใช่คนที่แยแสความเป็นความตาย
ทว่าสถานที่ไกลเกินไป นอกจากเหมียวอี้จะไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย ยังเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจอีกด้วย ถ้ามีเวลารับมือก็ว่าไปอย่าง แต่ภายในเวลาสั้นๆ เขาไม่สามารถหาใครไปช่วยเหลือได้ทันเวลา ดังนั้นตอนนี้ก็ช่วยอะไรเยียนเป่ยหงไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่หวังว่าเยียนเป่ยหงจะหลบเข้าไปในทะเลดาวสับสนได้อย่างราบรื่น เขาทำได้เพียงนั่งรอฟังข่าวจากเยียนเป่ยหงอยู่ที่นี่
เมื่อได้รับรายงานจากเผยโม่ กำลังพลตำหนักสวรรค์ก็เคลื่อนไหวทันที กำลังพลท้องถิ่นที่ประจำอยู่รอบทะเลดาวสับสนรีบดักเส้นทางหลบหนีของเยียนเป่ยหงตามที่ได้รับรายงานจากเบื้องบน มีข่าวส่งมาหาเผยโม่ไม่ขาดสาย ทำให้สามารถดักทางได้อย่างแม่นยำ
หมอกดาวกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ไม่ใช่หมอกดาวจริงๆ หรอก เป็นฝุ่นละออง ฝุ่นละอองที่มีแสงเล็กน้อยเมื่ออยู่ภายใต้การส่องหักเหของแสง ฝุ่นละอองบริเวณกว้างหยุดนิ่งอยู่นดาราจักร เป็นสีขาวขมุกขมัว ราวกับเป็นหมอกดาวขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
ชั่วพริบตาที่เยียนเป่ยหงพุ่งตัวเข้ามา กำลังพลหลายหมื่นก็พุ่งออกจากฝุ่นละอองอย่างกะทันหัน การวางกำลังที่หนานแน่นดักทางอยู่ข้างหน้า ผู้ที่บัญชาการกำลังพลกลุ่มนี้ก็คือแม่ทัพภาคคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้กลับไม่เห็นคนที่สวมเกราะม่วงของแม่ทัพแล้ว เห็นเพียงเกราะรบสีทองเหมือนกันหมด
เยียนเป่ยหงตกใจนิดหน่อย ตกตะลึงกับปฏิกิริยาที่รวดเร็วของตำหนักสวรรค์ ส่งคนมาดักทางเขาได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ
เขาไม่รู้ว่าที่นี่มีกำลังพลของตำหนักสวรรค์ประจำการอยู่ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เหมียวอี้เองก็ไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่เช่นกัน
สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาค่อนข้างสงสัย อาศัยนักพรตบงกชทองกลุ่มนี้มีหรือที่จะดักเขาได้ เพื่อเป็นการระมัดระวังตัว เขารีบสวมเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์สูงที่เหมียวอี้มอบให้เขา แล้วถือดาบพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
“เตรียมตัว!” ในทัพใหญ่มีคนตะโกนเสียงดัง
กำลังพลหลายหมื่นที่กำลังถืออาวุธชูสลอนรีบเผยเชือกมัดเซียนออกมา แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ต้องสงสัยจะพุ่งเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ราวกับมองข้ามความสามารถในการทำลายอิทธิฤทธิ์ของเชือกมัดเซียน มองเห็นพวกเขาเป็นแค่เครื่องประดับจริงๆ แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้แล้วว่าเยียนเป่ยหงเอาความมั่นใจมาจากไหน
“ปล่อย!” ผู้บัญชาการทัพตะโกนสั่งเสียงดัง
เชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นยิงเข้ามาราวกับห่าฝนทันที แทบจะฝังให้ศัตรูอยู่ในกองเชือก
“เฮ่อ!” เยียนเป่ยหงตะโกนอย่างเกรี้ยวดราด ทั้งตัวพุ่งออกไปราวกับลูกธนูคม หมุนตัวออกดาบ ดาบล่องหนหลายสายพุ่งออกไปทั่วสารทิศด้วยความเร็วสูง ราวกับดอกไม้กำลังเบ่งบาน
เสียงระเบิดดังอย่างหนาแน่นก้องดาราจักร เมื่อคมดาบไปถึงตรงไหน เชือกมัดเซียนที่บินเข้ามาก็จะระเบิดขาด ต้านทานความคมของดาบใหญ่ผลึกแดงนี้ไม่ได้
“อ๋า…” มีเสียงร้องตกใจดังขึ้นเป็นแถบๆ
ท่ามกลางเชือกมัดเซียนที่ขว้างออกมาอย่างหนาแน่น มีดอกไม้ดอกหนึ่งระเบิดออกมา ไม่น่าเชื่อว่าศัตรูจะถือดาบมือเดียวสังหารฝ่าออกมาแล้ว
พอเยียนเป่ยหงพุ่งออกมา ก็รีบโบกดาบกวาดบนร่างกายตัวเอง ป้องกันร่างกายท่อนบนได้ แต่กลับป้องกันร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ร่างกายท่อนล่างโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้แล้ว ซวบ! พอคมดาบผ่านไป เชือกมัดเซียนกองใหญ่ที่มัดท่อนล่างไว้ก็ระเบิดออกทั้งหมด จากนั้นแสงดาบก็พุ่งออกมา ทั้งตัวโจมตีไปยังกลุ่มคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ราวกับโยนหินก้อนใหญ่ลงในน้ำ คลื่นคนกระจายไปทั่วไป
“อา…” เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบ
กลุ่มคนที่หนาแน่นอยู่ข้างหนาหลบการโจมตีที่รวดเร็วของเยียนเป่ยหงไม่ทัน ทำให้มีคนตายนับร้อยในชั่วพริบตาเดียว
สถานการณ์การสู้รบวุ่นวายมาก เยียนเป่ยหงสังหารฝ่าออกมาในอึดใจเดียว ฉวยโอกาสพุ่งตัวหนีเข้าไปในทะเลดาวสับสนอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ใครจะคิดว่าตอนที่เขากำลังจะเข้าใกล้ฝุ่นละอองผืนใหญ่ ลำแสงสิบสายก็ยิงออกมาจากฝุ่นละอองด้วยความเร็วสูงราวกับดาวตก ดักซุ่มโจมตี ธนูดาวตก!
เยียนเป่ยหงสะบัดแขน ดึงตัวทหารสวรรค์ที่ดิ้นรนคนหนึ่งมาขวางไว้ตรงหน้า
เขาเป็นคนที่เลี้ยงชีพด้วยการสู้รบ ประสบการณ์ในการเข่นฆ่าโชกโชนยิ่งกว่าเหมียวอี้เสียอีก ก่อนหน้านี้ตอนเห็นสถานการณ์สู้รบแบบนี้ก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ทหารสวรรค์เกราะทองสีเดียวกันหมด คนที่ยศต่ำนั้นไม่มี คนที่ยศสูงก็ไม่มีเช่นกัน เขาสงสัยแล้วว่าจะมีการเล่นตุกติก ตอนที่สังหารฝ่าออกมาจึงถือโอกาสจับตัวประกันหลายคนเอามาคอยป้องกัน
ฉึก! ลำแสงรวมตัวกัน แทงทะลุเกราะทองตรงหน้าอกตัวประกันโดยตรง เกิดเป็นรูเลือด แล้วก็ทะลุเกราะรบด้านหลังอีกด้วย ถึงแม้อานุภาพการโจมตีจะสิ้นกำลังลงไม่น้อย แต่ก็ยังมีอานุภาพมากอยู่ดี เสียงแกร๊งๆ ดังต่อเนื่องหลายรอบ แสงดอกธนูแหลมคมทะลุคนที่อยู่ข้างหน้า และโดนบนร่างกายเยียนเป่ยหงอย่างแรง
บทที่ 1394 แกล้งตายเพื่อหนี
Ink Stone_Fantasy
แทบจะในชั่วพริบตาเดียว เยียนเป่ยหงทำสีหน้าดุร้าย สีหน้าพลันแดงสดราวกับเลือด ดวงตาสองข้างก็แดงฉานเช่นกัน
ปั้งๆๆ…เสียงชนโจมตีดังขึ้นอย่างหนาแน่นแทบจะพร้อมกัน
“อั้ก…” เยียนเป่ยหงที่เงยหน้ากระอักเลือดสดสะเทือนจนกระเด็นออกไปแล้ว
ลูกธนูดาวตกสิบดอกไม่ได้แทงทะลุร่างของเขา ไม่มีทางฝ่าเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงบนตัวเขาไปได้ หลังจากโจมตีหนึ่งครั้งก็เลี้ยวกลับมาทันที ฝ่าเข้ามาในฝุ่นละอองผืนใหญ่
ส่วนเยียนเป่ยหงก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว กางแขนขาทั้งสี่ลอยอยู่ในดาราจักเงียบๆ ดวงตาสองข้างปิดสนิท ตรงมุมปากยังมีหยดเลือดลอยขึ้นมา ใบหน้าซีดขาว เมื่อครู่นี้ยังเป็นสีแดงเลือดอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับขาวซีดเหมือนกระดาษ
ดาบใหญ่ก็หลุดมือไปแล้วเช่นกัน แต่กำลังลอยอยู่ข้างกาย คนหนึ่งคนกับดาบหนึ่งเล่มกำลังลอยตามแรงเฉื่ออย่างเงียบงัน
มีคนสิบคนถลันตัวออกมาท่ามกลางฝุ่นละออง สามคนที่อยู่ตรงกลางสวมเกราะม่วงของแม่ทัพ ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาสวมเกราะทอง แต่ละคนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือ
เครื่องมือของกำลังพลท้องถิ่นสู้ของกองทัพองครักษ์ไม่ได้ ทุกคนของกองทัพองครักษ์ล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แต่กำลังพลท้องถิ่นนั้นห่างไกลกันมาก จำเป็นต้องแจกให้ตามการเฝ้าประจำการ
“ช่างเป็นวิชาดาบที่ร้ายกาจ ขนาดเชือกมัดเซียนเยอะขนาดนั้นยังสกัดเขาไม่ได้ ตายรึยัง?” แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ทางซ้ายเดาะลิ้น
แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ทางขวายิ้มเจื่อน “ถึงแม้จะจับตัวประกันมาเป็นโล่ขวางไว้ ลดพลังไปแล้วไม่น้อย แต่ลูกธนูสิบดอกยิงรวมไปที่จุดเดียว ต่อให้ยิงไม่ทะลุแต่ก็สะเทือนจนตายอยู่ดี ท่านแม่ทัพภาค เบื้องบนต้องการให้พวกเราจับเป็น แต่พวกเราฆ่าตายไปแล้ว แบบนี้จะรายงานผลการปฏิบัติงานไม่สะดวกนะขอรับ!”
แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ตรงกลางแสยะยิ้ม “คนคนนี้มุทะลุดุดันโหดร้ายขนาดนี้ จะให้ดันทุรังสู้กับเขารึไงล่ะ? เบื้องบนก็มีวิธีการพูดของเบื้องบน คนเบื้องล่างอย่างพวกเราต้องคำนึกถึงชีวิตพี่น้องทหาร ตราบใดที่จับตัวได้ก็จะรายงานผลการปฏิบัติงานได้ แต่ถ้าตายแล้วพวกเราก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน…” สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่เกราะรบบนตัวเยียนเป่ยหง ทำให้เกิดความคิดบางอย่างทันที
ในตอนนี้ เผยโม่ที่ตามมาทีหลังเห็นสถานการณ์ทางนี้แล้วขมวดคิ้ว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ตายแล้วเหรอ?”
ดูจากสายตาของเขาแล้ว เหมือนไม่อยากให้เยียนเป่ยหงตาย แต่พอเหลือบไปเห็นคนสิบคนโผล่ออกจากฝุ่นละอองล้อมเข้าไป เขาก็ทำสีหน้าร้อนใจอีกครั้ง จะให้ของบนตัวเยียนเป่ยหงตกไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้ เขารู้จักสันดานของกำลังพลท้องถิ่นพวกนี้ดีเกินไป จึงเผยป้ายคำสั่งของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทันที แล้วจะโกนว่า “ห้ามใครแตะต้องของบนตัวผู้ตาย!”
แม่ทัพเกราะม่วงที่นำหน้ามา และเป็นแม่ทัพภาคของกำลังพลกลุ่มนี้เช่นกัน พอกวาดสายตามอง ต่อให้จะไม่เห็นป้ายคำสั่ง ก็พอจะเดาได้ว่าผู้ที่มาคือคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาที่ไล่ตามผู้ร้ายมาตลอดตามที่เบื้องบนบอก แต่เนื้อติดมันมาถึงมือแล้ว มีหรือที่เขาจะปล่อยให้ของมีค่าบนตัวผู้ตายถูกคนอื่นชุบมือเปิบไป จึงรีบตะโกนทันทีว่า “ขวางเขาไว้!”
กำลังพลหลายหมื่นรีบรวมตัวกันอีกครั้ง มาขวางเผยโม่เอาไว้แล้ว
เผยโม่หยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า เผยป้ายคำสั่งให้ทุกคนดูพร้อมบอกว่า “หน่วยตรวจการฝ่ายขวาได้รับคำสั่งให้มาสืบคดี หลีกไปให้หมด”
การที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะสืบคดี ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากกำลังพลเบื้องล่างด้วย ถ้าอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา การเผชิญหน้ากับกำลังพลหลายหมื่นก็ทำให้เขาขยับไปไหนไม่ได้เลย อีกฝ่ายขวางไม่ให้เขาเข้าไป เขาก็ไม่มีทางเข้าไปได้เช่นกัน
ส่วนแม่ทัพภาคท่านนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว เตรียมจะรีดไถของที่อยู่บนตัวเยียนเป่ยหง
เจ้านายกินเนื้อ ลูกน้องกินน้ำ คนที่เหลือเข้าใจแล้วว่าท่านแม่ทัพภาคมีเจตนาอะไร จึงพุ่งตัวตามเข้ามาทันที เตรียมจะขอส่วนแบ่งด้วย
ทว่าในตอนนี้เอง เยียนเป่ยหงก็กางนิ้วทั้งห้า ดาบใหญ่ที่ลอยอยู่ไม่ไกลพลันพุ่งยิงเข้ามา ถูกดูดมาไว้ในมือเขาแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทพลันเปิดออก พลิกตัวสังหารไปยังสิบคนที่พุ่งเข้ามา
เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันหันแบบนี้ ทำให้สิบคนที่พุ่งมาตรงหน้าเยียนเป่ยหงลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เงาดาบเปลี่ยนจากหนึ่งกลายเป็นสิบอย่างรวดเร็วดุดัน ฟันไปที่ทั้งสิบคนอย่างบ้าคลั่ง
แม่ทัพภาคที่พุ่งนำมาคนแรกชูธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาต้านทานด้วยความตื่นตระหนก แกร๊ง! ตัวธนูสีแดงที่ทนทานสามารถต้านทานการโจมตีได้หนึ่งครั้ง
แม่ทัพเกราะม่วงอีกสองคนก็ต้านทานได้เช่นกัน ส่วนอีกเจ็ดคนกลับไม่ได้ตอบสนองเร็วขนาดนั้น โดนท่าหนึ่งดาบสิบฟันของเยียนเป่ยหงโจมตีจนกลายเป็นเหมือนกลีบดอกไม้สิบสี่กลีบ
ห้าวหาญดุร้ายขนาดนี้ โดนลูกธนูดาวตกยิงโดนไปสิบดอกแต่ยังมีอานุภาพการโจมตีแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำให้แม่ทัพเกราะม่วงทั้งสามตกใจมาก เรียกได้ว่าหลบหลีกอย่างลุกลี้ลุกลน
เยียนเป่ยหงกวาดดาบพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดาบไถลผ่านส่วนท้องของแม่ทัพภาคท่านนั้นไปพร้อมดอกเลือดที่สาดกระจาย เขาฟันจนเอวขาดทั้งคนทั้งเกราะรบ สังหารจนเกิดเสียงร้องโอดครวญ ส่วนแม่ทัพเกราะม่วงอีกสองคนที่ถลันหลบไปทางซ้ายและขวาก็รีบง้างสายธนู เยียนเป่ยหงจึงรีบพุ่งเข้าไปในฝุ่นละอองผืนใหญ่ข้างหน้า พลาดโอกาสที่จะสังหารอีกสองคนแล้ว ทำได้เพียงรีบหนีเอาชีวิตรอด!
บึ้มๆ! เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง ลำแสงสองสายยิงออกมาพร้อมกัน ไล่ตามเยียนเป่ยหงไป
เยียนเป่ยหงสะบัดมือปล่อยทหารสวรรค์เกราะทองสองคนออกมา ให้ซ้อนกันกำบังไว้ข้างหลังสองคน ตอนนี้ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดแล้ว ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดเช่นกัน ทั้งตัวเปลี่ยนไปราวกับมารคลั่ง
“อา…อา…” มีเสียงร้องโอดครวญสองครั้ง ลำแสงสองสายยิงรวมไปที่จุดเดียว ฝ่าทำลายเกราะทองแล้ว ทะลุร่างสองร่างต่อเนื่องกัน ยิงโดนแผ่นหลังของเยียนเป่ยหงพร้อมเสียงดังตูมตามสองครั้ง
“อั้ก…” เยียนเป่ยหงที่กำลังกระอักเลือดสดถูกยิงจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง แต่กลับเป็นการผลักเขาเข้าไปกลางฝุ่นละอองผืนใหญ่ ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้สลบ แต่พุ่งเข้าไปในทะเลดาวสับสนอย่างไม่คิดชีวิต ถลันตัวเข้าไปแล้ว
พอเหลือบมองเยียนเป่ยหงที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแวบหนึ่ง เผยโม่ก็ชี้ไปยังแม่ทัพเกราะม่วงสองคนที่ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทั้งให้ทุกคนไปค้นหาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
แม่ทัพเกราะม่วงทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง คนที่อยู่ทางซ้ายถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องชายคนนี้ เจ้ากำลังล้อเล่นรึเปล่า? คนหนีเข้าไปในนั้นแล้ว จะไปค้นหาได้ยังไง? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าที่นี่เป็นยังไง ถ้าคนมากมายขนาดนี้บุ่มบ่ามเข้าไป จะมีสักกี่คนที่จะหาทางออกมาได้?”
“พวกเจ้า…” เผยโม่โมโหแทบแย่ เขาสะบัดแขนเสื้อที่ใหญ่โคร่ง แล้วถือกระบี่พุ่งเข้าไปใน ‘หมอกหนา’ เพียงลำพัง
“เฮอะ ช่างกล้าหาญจริงๆ” แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ทางขวาพูดเหยียด
กำลังพลหลายหมื่นมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ขณะมองดูแม่ทัพภาคที่โดนฟันขาดสองท่อน ทุกคนก็เงียบงันพูดไม่ออก
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็พากันเงยหน้า เห็นเพียงเผยโม่พุ่งออกมาจาก ‘หมอกหนา’ อย่างหน้าดำคร่ำเครียด
แม่ทัพเกราะม่วงคนขวาหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “ยังนึกว่ากล้าหาญบุกเข้าไปจริงๆ เสียอีก สงสัยจะอ้อมรอบนอกนิดหน่อยแล้วก็ถ่อกลับมา เจ้าก็รู้จักกลัวเหมือนกันนี่!”
เผยโม่เข้ามาใกล้ แล้วตะคอกว่า “ข้าบอกพวกเจ้าไม่ให้บุ่มบ่าม ทำไมไม่เชื่อฟัง? ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เขาจะหนีไปได้เหรอ!”
“เจ้าเป็นใครกัน?” แม่ทัพเกราะม่วงคนขวาแสยะยิ้มถาม
“ตาบอดรึไง? ได้รับคำสั่งจากหน่วยตรวจการฝ่ายขวาให้มาสืบคดี!” เผยโม่เผยป้ายคำสั่งอีกครั้ง
แม่ทัพเกราะม่วงคนซ้ายเถียงว่า “พวกเราไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน หน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็ไม่มีสิทธิ์มาบงการพวกเราเหมือนกัน! แล้วอีกอย่าง พวกเราก็ไม่รู้จักป้ายคำสั่งของตรวจการฝ่ายขวา พี่น้องเอ๊ย พวกเจ้ามีใครรู้จักหรือเปล่า? ถ้ารู้จักก็บอกกันสักคำ”
“ไม่รู้จัก!” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม่ทัพเกราะม่วงคนซ้ายโบกมือชี้เผยโม่ทันที “ข้าว่าเจ้าน่ะทำตัวน่าสงสัยมาก ล้อมเขาเอาไว้ รอให้ยืนยันตัวตนเขาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
คำพูดประโยคเดียวก็สามารถผลักความรับผิดชอบของฝ่ายตัวเองไปจนหมดแล้ว
ดังนั้นเผยโม่จึงถูกล้อมอยู่ตรงกลางกำลังพลกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกล้าลงมือทำอะไรเผยโม่โดยพลการ เรื่องบางเรื่องถ้ามีเหตุผลรองรับก็ยังพอไหว แต่ถ้ากล้าไปยั่วโมโหหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจริงๆ ผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ ก้นตัวเองก็ไม่ได้สะอาดสักเท่าไร ถ้าโดนตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ ก็จะรับไม่ไหว ดังนั้นไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องทำตามกฎ ตราบใดที่มีเหตุผล เบื้องบนก็จะช่วยปกป้องเจ้าได้
เผยโม่รีบหยิบระฆังดาราออกมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
ผ่านไปไม่นาน เบื้องบนของกำลังพลกลุ่มนี้ก็ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ว่าให้ปล่อยตัวคนที่ล้อมไว้ เผยโม่สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ขณะที่ตัวอยู่กลางทาง เขากลับหาดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเพื่อหยุดพัก หยิบกระเป๋าวิเศษของเซี่ยโห้วหลงเฉิงโยนลงบนพื้น แล้วหยิบกระบี่วิเศษผลึกแดงออกมา จากนั้นแทงเข้าไปหนึ่งครั้ง…
ท่ามกลางหมอกหนาผืนใหญ่ สายตาสามารถมองเห็นได้เพียงสิบกว่าจั้ง เยียนเป่ยหงที่ยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวลงท้องหลบหนีได้เกือบครึ่งวันแล้ว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สุดท้ายก็บังเอิญเจอดาวดวงหนึ่ง จึงไปเหยียบลงบนนั้นเพื่อหอบหายใจ ตอนนี้ใบหน้าขาวซีดแล้ว เขาปักดาบใหญ่ในมือลงบนพื้น โดยชี้ด้ามดาบไปยังทิศทางที่ตัวเองจากมา เขาเดินทางเข้ามาในแนวตรง รู้สึกว่าในภายหลังตัวเองจะสามารถออกจากที่นี่ได้โดยผ่านตรงนี้
แต่ไม่นานก็สีหน้าเปลี่ยน เขาพบว่าดาวดวงนี้กำลังหมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ ทิศทางที่มาหายไปแล้ว
“เหอะๆ…” เขาหัวเราะอย่างน่าเวทนา แล้วหยิบระฆังดาราออกมารายงานข่าวดีให้เหมียวอี้ฟัง
เหมียวอี้กำลังนั่งรอฟังข่าวอยู่ในค่ายใหญ่ พอทราบว่าเยียนเป่ยหงหนีรอดได้แล้วเขาก็โล่งอก ถามว่า : พี่ใหญ่เยียน ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
เยียนเป่ยหง : ไม่เป็นอะไร
โดนธนูดาวตกยิงติดต่อกันสองครั้ง ถึงแม้จะใช้คนมาเป็นโล่เพื่อลดพลังโจมตีแล้วไม่น้อย บนตัวมีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงป้องกัน แต่นี่เป็นการโดนธนูสิบสองดอกยิง จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีเคล็ดวิชาฝึกตนพิเศษที่เขาฝึกปกป้องร่างกาย เกรงว่าคงจะสิ้นชีพไปนานแล้ว ถึงแม้จะพ้นเคราะห์มาได้หนึ่งครั้ง แต่วรยุทธ์บนตัว…วรยุทธ์ของเขาเดิมทีคือบงกชรุ้งขั้นเจ็ด ครั้งแรกที่โดนลูกธนูก็ลดจากขั้นเจ็ดเป็นขั้นหก ครั้งที่สองที่โดนลูกธนูถึงแม้จะโดนแค่สองดอก แต่วรยุทธ์กลับลดลงอย่างรุนแรงยิ่งกว่า ลดจากบงกชรุ้งขั้นหกกลายเป็นบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง
ผลลัพธ์จากการฝึกตนหลายพันปี เรียกได้ว่าถูกทำลายภายในครั้งเดียว เพียงแต่สำหรับคนอย่างเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปขอความดีความชอบต่อหน้าเหมียวอี้ นอกเสียจากเขาจะไม่ตอบตกลง ถ้าตอบตกลงแล้วก็ไม่มีอะไรน่าพูดน่าบ่น การสังหารลูกหลานสายตรงของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาไม่มีทางช่วยคนอื่นทำเรื่องแบบนี้ แต่เหมียวอี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับ เขาไปไหนมาไหนคนเดียวมาตลอด ไม่มีสหายที่ไหน เหมียวอี้เรียกได้ว่าเป็นสหายเพียงคนเดียวของเขา
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี นั่นก็คือเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว นี่ก็คือจุดที่ก้าวร้าวของ ”มหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน’ มันสามารถระเบิดวรยุทธ์ให้พลังของตัวเองเพิ่มขึ้นหลายเท่าได้ในชั่วพริบตาเดียว เพราะแบบนี้ถึงได้ต้านทานลูกธนูสิบสองดอกนั่นได้ เพียงแต่ถึงแม้ ”มหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน’ จะสามารถเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลที่ตามมาหลังจากระเบิดวรยุทธ์ก็ร้ายแรงมากเช่นกัน หลักการก็ไม่ซับซ้อนเลย ยกตัวอย่างเช่นเวลาบรรลุระดับใหญ่ๆ เดิมทีจะต้องทนรับการย้อนทำร้ายของ ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ดูดกลืนไว้ในปริมาณที่มากเกินไป กลับกลายเป็นว่าต้องทนรับการย้อนทำร้ายของ ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ เยอะมาก เมื่อเกินขีดจำกัดที่จะรับไหว เมื่อถึงเวลาที่ควบคุมไม่ไหวก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง
เหมียวอี้ : ไม่ได้หลงทางใช่มั้ย?
เยียนเป่ยหง : เกรงว่าจะหลงทางแล้ว
เหมียวอี้ : ไม่ต้องกังวล ข้าจะคิดหาทางช่วยท่านออกมา
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ ขณะที่เหมียวอี้กำลังโล่งอก เขาก็เริ่มขมวดคิ้วและเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในค่าย เขาได้ฟังสถานการณ์ที่ทะเลดาวสับสนจากเยียนเป่ยหงแล้ว ถ้าตอนนี้อยากจะเข้าไปใกล้ก็เกรงว่าจะลำบาก ต่อให้จะเดินทางอ้อมไปก็จะถูกพบได้ง่ายเช่นกัน ตำหนักสวรรค์จะต้องส่งกำลังพลมาเฝ้าไว้แน่นอน ถ้าอยากจะหลบหูหลบตาตำหนักสวรรค์ให้พ้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หนทางเดียวในตอนนี้ก็คงจะมีแต่รออีกสักระยะ รอให้ทหารยามของตำหนักสวรรค์ผ่อนความเข็มงวดลงก่อน แล้วค่อยฉวยโอกาสเข้าไปใกล้ ถึงอย่างไรก็เป็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักสวรรค์จะใช้กำลังพลจำนวนมากเพื่อเฝ้าเยียนเป่ยหงคนเดียวอยู่ตลอดเวลา
ทว่าเขากลับประเมินผลกระทบของเรื่องนี้ต่ำไป ภายใต้การส่งเสริมจากคนที่มีเจตนาบางอย่าง การตายของเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลายเป็นเรื่องรองแล้ว มือสังหารอย่างเยียนเป่ยหงต่างหากที่สำคัญที่สุด
บทที่ 1395 สามร้อยสามสิบห้าคน
Ink Stone_Fantasy
รูปภูตผีปีศาจสลักนูนอยู่บนผนังทั้งสองฝั่ง แสดงลักษณะอันน่าเกรงขามออกมาทั้งหมด ดวงตาขวาที่เยือกเย็นข้างหนึ่งสลักอยู่ตรงผนังด้านหน้า กำลังจ้องมองในตำหนักใหญ่อย่างเย็นเยียบ บางครั้งก็จ้องมองนอกประตูใหญ่ ดวงตาขวาข้างนี้เป็นตัวแทนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ที่นี่ก็คือตำหนักใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานั่นเอง
เผยโม่ที่ถูกเรียกกลับมาอย่างเร่งด่วนกำลังยืนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในตำหนักใหญ่
เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำกำลังเดินไปเดินมาเงียบๆ อยู่ในตำหนักใหญ่ สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดจริงจัง
หลังจากฟังที่อีฝ่ายเล่าคร่าวๆ จนจบ เกาก้วนก็หยุดฝีเท้าแลวหันตัวช้าๆ สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้าเผยโม่ แล้วถามอย่างเนิบนาบว่า “ตอนที่เจ้ากับจางหมานซานไปถึง เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถูกฆ่าแล้วเหรอ?”
“ใช่ขอรับ แล้วก็มีเทพแห่งภูผาสองคนของเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วย” เผยโม่ตอบ
“จางหมานซานกับเจ้ามีศักยภาพพอๆ กัน ทำไมเจ้าไม่เป็นอะไร แต่เขากลับตายแลว?” เกาก้วนถาม
เผยโม่ตอบว่า “ผู้ร้ายเห็นข้าน้อยถือระฆังดาราติดต่อขอกำลังหนุน เลยเร่งรีบที่จะหนีเอาตัวรอด ไม่มาพัวพันกับข้าน้อยอีก ข้าน้อยถึงได้โชคดีพ้นเคราะห์ไปได้ขอรับ
“ตามที่เจ้าเห็น เจ้าว่าผู้ร้ายเป็นใคร?” เกาก้วนถามอีก
“ผู้ร้ายสวมหน้ากาก ข้าน้อยไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่เพราะทัพที่ประจำการอยู่ที่ดาวทะเลดาวสับสนทำอไรเหิมเกริม ผู้ร้ายก็ไม่มีทางหนีไปได้เลย” เผยโม่ตอบ
เกาก้วนเหล่ตาจ้องเขา ในดวงตาแฝงความหมายลึกล้ำอย่างอธิบายไม่ถูก สุดท้ายก็ก้าวช้าๆ เดินผ่านตัวเขาไปพร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า “ตามข้าไปวังสวรรค์”
ในตำหนักดาราจักร ไม่ได้เรียกพบบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์เหมือนแต่ก่อน ประมุขชิงในตอนนี้กำลังแต่งตัวเรียบร้อยนั่งอย่างเคร่งขรึมจริงจังอยู่ข้างหลังโต๊ะยาว เริ่มหรี่ดวงตาที่ยาวเล็กทั้งคู่ ในดวงตาฉายแววดุร้ายเย็นเยียบเป็นระยะ จ้องมองเผยโม่ที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องล่าง
เขาไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากเผยโม่เล่าเสร็จ เกาก้วนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็แอบมองปฏิกิริยาของประมุขชิงแวบหนึ่ง เสร็จแล้วดีดนิ้วไปทางเผยโม่
รอจนกระทั่งเผยโม่กุมหมัดคารวะขอตัวออกไปแล้ว ประมุขชิงถึงได้เอ่ยถามว่า “ควบคุมสถานที่เกิดเหตุแล้วหรือยัง?”
เกาก้วนตอบว่า “หลังจากได้รับรายงานจากเผยโม่ ข้าน้อยก็ติดต่อให้กองทัพที่ประจำการอยู่แถวนั้นปิดล้อมสถานที่ไว้ทันทีขอรับ”
“แล้วลูกน้องสองคนของเจ้าถ่อไปที่นั่นทำไม?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนไม่ได้พูดอะไรมาก ตอบแค่ประโยคเดียวก็ชัดเจนแล้วว่าไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิง “เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับปีศาจโลหิตเคยคลุกคลีกัน”
“ทางท่านปู่สวรรค์บอกว่าเคยถามแล้วแต่ไม่มีอะไรเคยเกี่ยวข้องกันลึกซึ้งไม่ใช่เหรอ?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนตอบว่า “เรื่องนี้สำคัญและเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ข้าน้อยยังอยากไปยืนยันอีกสักหน่อย อยากจะให้ลูกน้องพาตัวเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา กดดันเขาสักหน่อยให้เขาจัดระเบียบความคิดอีกรอบ พอมาคิดดูตอนนี้แล้ว เป็นข้าน้อยที่ประมาทไป ข้าน้อยควรจะไปถามด้วยตัวเอง ข้าน้อยสงสัยว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะรู้อะไรบางอย่าง เลยโดนฆ่าปิดปากแล้ว”
“เจ้าหมายความว่า ทางท่านปู่สวรรค์มีเรื่องอะไรปิดบังข้างั้นเหรอ?” ประมุขชิงหรี่ตาถาม
“บางทีเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อาจจะไม่พูดความจริงกับตระกูล” เกาก้วนตอบ
ประมุขชิงหลับตาลงช้าๆ พร้อมอกว่า “เจ้าไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเองสักหน่อย”
เกาก้วนได้รับคำสั่งและออกไปได้ไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ถูกเรียกมาอย่างรีบร้อนอีก พอประมุขชิงเห็นเขาก็บอกทันทีว่า “เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เกาก้วนกำลังตรวจสอบ เจ้าไปหาเกาก้วน ไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยเหมือนกัน”
ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ในใจรู้สึกฉงนเล็กน้อบ ปกติการสืบคดีจะเป็นหน้าที่ของเกาก้วน เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงให้เกาก้วนไปคนเดียวแล้วไม่วางใจ ยังต้องให้ตนไปด้วยอีก?
“ขอรับ!” เขาเพิ่งจะเอ่ยรับ แต่ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะกล่าวเสริมอีกว่า “เรียกท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วไปดูด้วยกันเลย”
ดาวทะเลพิษ สถานที่เกิดเหตุที่มีกำลังพลหลายพันเฝ้าอยู่
หลังจากเกาก้วนนำคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุแล้ว ก็ไปยืนอยู่ข้างๆ ไม่รบกวนอีกสองคนที่กำลังดูผ่านๆ ตา
เซี่ยโห้วท่าสีหน้าแย่มาก ไม่ใช่เพราะการตายของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตอนนี้เขาไม่เก็บเรื่องการตายของเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาใส่ใจเลย แต่สายตากำลังมองบนรอยดาบหลายรอยบนพื้นดินรอบๆ ที่เหมือนจะถูกพายุหมุนพัดกวาดไปแล้ว รอยดาบทุกรอยทำให้เกิดร่องลึกยาวสิบกว่าจั้งหลายรอยที่ผิวดิน นี่เป็นสภาพของการการยิงกระจาย นี่เป็นการใช้ดาบโจมตีหลายครั้งกว่าจะเกิดสภาพแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดร่องรอยที่ได้สัดส่วนเท่ากันแบบนี้ อานุภาพของการลงดาบหนึ่งครั้งจะต้องทิ้งรอยดาบไว้บนหินดินที่ฝังกลบหนึ่งรอย ถึงแม้บางที่จะถูกฝังกลบไปแล้ว แต่เมื่อดูจากความสมดุลในการยิง ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเกิดจากการต่อสู้กันในตอนหลัง
วิชาดาบแบบนี้เขาเหมือนจะคุ้นตา และเป็นเพราะคุ้นเคยกับวิชาดาบแบบนี้ สีหน้าของเขาเลยแย่มาก
ซือหม่าเวิ่นเทียนเห็นร่องรอยที่อยู่บนพื้นแล้ว ตอนนี้เขาเก็บรวบรวมกำไลของเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กระจายอยู่รอบๆ มาตรวจดูด้วยกัน หลังจากตรวจดูรอยดาบบนกำไลทุกวงตามลำดับ เขาก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงถึงให้เขามาด้วยตัวเอง กับเรื่องแบบนี้ ถ้าให้คนเพียงคนเดียวออกมาสืบหาผลลัพธ์ เกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่วางใจ
หลังจากคนกลุ่มนี้ตรวจสอบที่นี่แล้ว ก็ออกเดินทางอีกครั้ง ไปที่นอกทะเลดาวสับสน
กองทัพที่เฝ้าอยู่ที่ทะเลดาวสับสนตกใจแล้ว นอกจากทูตซ้ายขวาของหน่วยตรวจการตำหนักสวรรค์จะปรากฏตัวพร้อมกันแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วก็มาดูด้วยตัวเองเช่นกัน พวกเขานึกไม่ถึงว่าการไปล่วงเกินคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาคนเดียวจะทำให้เกิดสถานการณ์ใหญ่โตขนาดนี้…อย่างน้อยพวกเขาก็รู้สึกแบบนี้
เกาก้วนเรียกกำลังพลที่เฝ้าอยู่มาถามด้วยตัวเอง ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเซี่ยโห้วท่าไม่สนใจว่าเกาก้วนจะอนุญาตหรือไม่ พวกเขามาเฝ้าฟังอยู่ข้างๆ ด้วยตัวเองแล้ว
เรื่องราวมากมายที่กำลังพลที่นี่เห็นกับตาตัวเองนั้นหลอกไม่ได้ หลังจากรู้สถานการณ์โดยละเอียดของผู้ร้ายที่นี่ไปแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเซี่ยโห้วท่าก็ยิ่งมีสีหน้ากดดันและย่ำแย่
เกาก้วนที่ตรวจสอบเสร็จแล้วรีบขอคำสั่ง ไม่นานก็ระดมกำลังพลได้เป็นทัพใหญ่หลายแสน พอกำลังพลประจำที่ เกาก้วนก็ออกคำสั่งมังกรตรงนั้นเลย “ถอดอาวุธของกองทัพที่เฝ้าอยู่ทุกคน คุมตัวทั้งหมดไปสืบสวนที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา”
รองแม่ทัพภาคของกองทัพที่เฝ้าอยู่ตกใจมาก รีบตะโกนบอกเทพประจำดาวที่อยู่ข้างกายเกาก้วนว่า “เทพประจำดาว หน่วยตรวจการฝ่ายขวากำลังอาศัยอำนาจล้างแค้นส่วนตัว เทพประจำดาวต้องให้ความยุติธรรมกับพวกข้าน้อยนะ!”
“หุบปาก! จะมีเรื่องอะไรหรือไม่ รอตรวจสอบแล้วก็ย่อมรู้ถึงความบริสุทธิ์ของพวกเจ้าเอง ตอนนี้ทุกคนต้องให้ความร่วมมือแต่โดยดี” เทพประจำดาวท่านนั้นตะโกนบอก เขาเองก็ไม่อยากให้กำลังพลจำนวนมากของตัวเองถูกจับไปที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาเช่นกัน แต่อ๋องสวรรค์เบื้องบนถ่ายทอดคำสั่งลงมาด้วยตัวเอง ว่าต้องการให้กำลังพลระดับล่างให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา เขาเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร ทำได้เพียงโบกมือ
กำลังพลหลายแสนที่เกาก้วนนำมาเองเบียดเข้าไปพร้อมกันทันที ค้นยึดสิ่งของบนตัวกำลังพลที่เฝ้าที่นี่จนหมดเกลี้ยง แล้วเริ่มคุมตัวทุกคนให้ติดตามคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาที่เกาก้วนเลือกไปยังหน่วยตรวจการฝ่ายขวาด้วยกัน
นอกจากสมาชิกที่คอยควบคุมตัว กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เหลือก็รับภารกิจเฝ้าที่นี่ต่อ
เกาก้วนจ้องหมอกหนาผืนใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง สุดท้ายก็นำคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจากไปอย่างรวดเร็ว
ตำหนักดาราจักร เกาก้วนที่กลับมารายงานผลการปฏิบัติงานรายงานการผลการสืบสวนเบื้องต้นให้ฟัง
หลังจากประมุขชิงได้ฟังแล้ว สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวซือหม่าเวิ่นเทียน ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวสนับสนุน “ข้าน้อยเห็นการสืบสวนของทูตขวาเกากับตาตัวเอง กำลังพลหลายหมื่นของกองทัพที่เฝ้าประจำตรวจค้นมาแล้ว!” เขาใช้สองมือยื่นแผ่นหยกให้
ประมุขชิงดูดมาไว้ในมือ พออ่านไปเรื่อยๆ หนังหน้าก็เริ่มตึงทีละนิด และในตอนนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนมารายงานว่า “ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วนำเซี่ยโห้วเหยามาขอพบฝ่าบาทขอรับ”
“ให้เข้ามา!” ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ
ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วท่าก็นำชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งมาปรากฏตัว เค้าโครงหน้าตาคล้ายซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่หลายส่วนแต่ดูแล้วไม่ได้หยาบคายเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง และเขาก็คือบิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง
จุดประสงค์ที่เซี่ยโห้วเหยามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะอะไร จะมาเป็นฝ่ายอธิบายเรื่องที่ติดต่อกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก่อนหน้านี้แล้วถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิต ตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่าหลังจากลูกชายตายจะเสียใจหรือไม่
หลังจากเซี่ยโห้วเหยาเล่าจบ เซี่ยโห้วท่าก็กุมหมัดพูดต่อว่า “ฝ่าบาท คนที่ลงมือสังหารหลานชายของข้าน้อยไม่ธรรมดา ฝ่าบาทได้โปรดคืนความยุติธรรมให้ด้วยขอรับ”
บนใบหน้าประมุขชิงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ได้ยินเพียงเขากล่าวเสียงเรียบว่า “ท่านปู่สวรรค์วางใจเถิด ข้าจะสืบเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด!”
หลังจากให้สองพ่อลูกออกไปแล้ว ประมุขชิงก็เรียกซ่างก่วนชิง ผู้การใหญ่วังสวรรค์เข้ามาที่ตำหนักดาราจักร
ซ่างก่วนชิงที่สวมชุดดำทั้งตัว ใบหน้าเริ่มจะแก่ชรา ผมสีขาวเงินประแผ่นหลังเดินเข้ามาแล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท!”
ประมุขชิงหลับตาลงพร้อมกล่าวว่า “ทูตซ้าย เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้การใหญ่ฟังสักหน่อย”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
พอซ่างก่วนชิงฟังจบ หลังที่ค่อมเล็กน้อยก็ยืดตรงทันที ถามอย่างตกใจว่า “ฝ่าบาทสงสัยหน่วยองครักษ์เงาหรือขอรับ?”
ประมุขชิงตอบว่า “ไม่มีอะไรสงสัยหรือไม่สงสัย ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว จะไม่ถามไถ่ก็ไม่ได้ เรียกรวมหน่วยองครักษ์เงามา ส่งต่อให้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาสืบสวนอย่างถึงที่สุด”
ซ่างก่วนชิงกล่าวอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ฝ่าบาท ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ปัญหาอาจไม่ได้มาจากหน่วยองครักษ์เงา เดิมทีหน่วยองครักษ์เงาก็…ถ้าฝ่าบาทไม่เชื่อใจพวกเขา เกรงว่าจะทำให้พวกเขาผิดหวังท้อใจ ฝ่าบาทได้โปรดทบทวนอีกครั้ง”
ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบส่ายหน้า ซ่างก่วนชิงนี่ก็จริงๆ เลย ราชันสวรรค์ขี้ระแวงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีหรือที่จะยอมให้คนมาก่อกวนอยู่ข้างเตียง
เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงกลาวออกมาอย่างเย็นเยียบว่า “ตรวจสอบ!”
“ฝ่าบาท…” ซ่างก่วนชิงยังคิดจะโน้มน้าว แต่เมื่อสบกับสายตาเย็นเยียบดุร้ายของประมุขชิง เขาก็เงียบแล้วกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”
หลังจากเกาก้วนกับซ่างก่วนชิงถอยออกไปได้ไม่นาน ชายชราสองคนก็เข้ามาด้วยกัน คนหนึ่งตัวสูง คนหนึ่งตัวผอม โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายขวามาถึงแล้ว เป็นเหมือนอย่างเคย ประมุขชิงสั่งให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอีกรอบ แล้วสุดท้ายก็ออกคำสั่งว่า “เรื่องนี้ถ้าส่งให้พวกไม่ขยันทำงานจัดการ ข้าไม่วางใจ หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาดึงกำลังพลไปฝั่งละห้าล้านคน เข้าไปค้นหาในทะเลดาวสับสนให้ข้า ต้องจับเป็นเท่านั้น!”
“ขอรับ!” ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่งพร้อมกัน
นอกตำหนักใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ชายหนุ่มชุดดำหลายร้อยคนกำลังยืนอยู่อย่างเงียบๆ ซ่างก่วนชิงที่เป็นคนนำตัวมาหันไปมองกลุ่มคนแวบหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเดินไปยืนข้างเกาก้วนที่อยู่หน้าบันไดหน้าตำหนัก แล้วยื่นแผ่นหยกส่งให้เกาก้วน “รายชื่อสมาชิกกับประวัติความเป็นมาอยู่ในนี้แล้ว”
หลังจากเกาก้วนโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อขอบคุณ ก็บอกอีกว่า “รบกวนผู้การใหญ่เตรียมรายชื่อผู้ที่รบตายและผู้ที่ไม่อยู่ให้ข้าอีกฉบับด้วย”
ซ่างก่วนชิงถอนหายใจพลางพยักหน้า หลังจากหันตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มองดูกลุ่มชายหนุ่มที่ยืนอยู่เงียบๆ อีกครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไป
เกาก้วนกวาดตามองชายหนุ่มหลายร้อยคนที่ยืนอยู่หน้าตำหนัก จากนั้นหันตัวเดินเข้าไปในตำหนัก หลังจากนั่งลงแล้วตรวจรายชื่อในแผ่นหยกคร่าวๆ แล้ว ก็พึมพำว่า “สามร้อยสามสิบห้าคน…” หลังจากเงียบไปสักพักก็เงยหน้าขึ้น แล้วบอกว่า “ควบคุมตัวทั้งหมดเอาไว้ พาไปสอบสวน”
จุยหย่วนที่อยู่ข้างกันถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน พวกเขา…ล้วนเป็นคนของฝ่าบาท ถ้าพวกเขาไม่ให้ความร่วมมือจะทำอย่างไรขอรับ?”
“ถ้าควรใช้การทรมานก็ต้องใช้การทรมาน ไปจัดการได้เต็มที่เลย จะต้องหาคำตอบให้ฝ่าบาทให้ได้” เกาก้วนตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ใช้การทรมานกับคนพวกนี้เนี่ยนะ? จุยหย่วนได้ยินแล้วอกสั่นขวัญผวา…
บทที่ 1396 แย่งชิงภารกิจมาได้
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่จุยหย่วนเดินออกมาจากตำหนักใหญ่อีกครั้ง คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานับพันคนก็ปรากฏตัว มาล้อมชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนนั่นไว้ เพียงแต่ยังไม่รู้สถานะตัวตนของคนพวกนี้ ตัวตนของคนพวกนี้ถูกปิดเป็นความลับมาตลอด
เมื่อชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนเห็นว่าตัวเองถูกล้อมเอาไว้ ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ละคนกวาดมองรอบข้างด้วยสายตาเย็นเยียบ
เงาร่างของเกาก้วนปรากฏอยู่ในประตูใหญ่ ยืนสงบนิ่ง สายตาเยือกเย็นไม่หวั่นไหว มองดูชายหนุ่มกลุ่มนั้นอย่างเงียบๆ ขนาดและสมาชิกของคนกลุ่มนี้ทำให้คนอื่นเดาทางยากมาตลอด วันนี้ทั้งหมดอาจจะมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่มีทางรับประกันได้ว่าคนที่ประมุขชิงซ่อนไว้ในกลุ่มนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาหมดแล้วหรือยัง
จุยหย่วนกำลังเดินลงบันไดอย่างช้าๆ พอโบกมือใหญ่สัญญาณ กำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานับพันก็ก้าวขึ้นมาค้นตัวทันที
พฤติกรรมที่ไร้ความเกรงใจแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนค่อนข้างรู้สึกขัดแย้ง ถึงขั้นมีคนจำนวนไม่น้อยสะบัดแขนผลักคนที่เข้ามาค้นตัวอย่างไร้มารยาทออกไป ทั้งยังสบตากันอย่างโกรธเคือง
จุยหย่วนหันกลับมามองเกาก้วนในตำหนักแวบหนึ่ง เกาก้วนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ยังคงมองด้านนอกอย่างเงียบๆ
“นายท่าน!” ท่ามกลางชายหนุ่มสามร้อยกว่าคน มีคนหนึ่งตะโกนเรียกหัวหน้าของตัวเองอย่างคับแค้น ราวกับกำลังถามว่าเพราะอะไร?
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม สิ่งที่ควรบอกก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเหรอ?”ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งที่มีผมขาวแซมที่จอนสองข้างพลันหันมาตะโกนบอกเหล่าพี่น้อง เขาเองก็ยืนอย่างมั่นคงเพื่อให้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาค้นตัวเช่นกัน พอเขาหันกลับมาตะโกนแบบนี้ เหล่าพี่น้องก็พากันเม้มริมฝีปากแน่นและหยุดขัดขืนเช่นกัน เพียงแต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำสีหน้าไม่ยอม
เพียงแต่ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าหันกลับไปสบตากับคนที่ผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดอยู่ในประตูตำหนักใหญ่ แล้วเตือนเสียงดังว่า “ทูตขวาเกา ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้หรอก ก่อนหน้านี้พวกเราส่งมอบของบนตัวขึ้นไปหมดแล้ว ตอนนี้มาแบบตัวเปล่า ค้นบนตัวพวกเราก็ไม่เจอของอะไรหรอก”
จุยหย่วนหันกลับไปมองในตำหนักแวบหนึ่ง เกาก้วนที่ยืนอยู่ในประตูตำหนักใหญ่ไม่ตอบอะไร สีหน้าสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทีอะไรต่อหน้าฝูงชน
การไม่แสดงท่าทีก็ถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งแล้ว จุยหย่วนโบกมืออีกครั้ง
ไม่สนใจว่าชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนนั้นจะเต็มใจหรือไม่ กำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทำตามหน้าที่ต่อไป ถึงขั้นทำเกินไปด้วยซ้ำ นั่นก็คือผนึกวรยุทธ์ของพวกเขาทุกคน จากนั้นก็ค้นตัวอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ค้นไม่เจออะไรทั้งนั้น ถึงได้คุมตัวทั้งหมดไปขังในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา…
ภารกิจหน้าที่แบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกเป็นภารกิจที่ทุกคนล้วนแย่งกัน ส่วนอีกประเภทก็คือภารกิจที่ทุกคนล้วนอยากผลักไส ยกตัวอย่างเช่นการไปจับคนที่ทะเลดาวสับสน สาเหตุสำคัญเป็นเพราะภารกิจประเภทนี้ใช่ว่าพยายามสุดความสามารถแล้วจะทำสำเร็จได้ นอกจากจะทำภารกิจไม่สำเร็จแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะทำให้ตัวเองเข้าไปพัวพันเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากรับภารกิจนี้ ทุกครั้งที่เจอกับเรื่องแบบนี้ ก็ทำได้เพียงแบ่งสรรกันไปเสียเลย
ถ้าการแบ่งสรรภารกิจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็เหลือแค่วิธีส่งตัวไปหรือไม่ก็จับฉลาก คนที่ถูกเรียกชื่อก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
ห้าล้านรายชื่อของหน่วยองครักษ์ซ้ายแบ่งให้แต่ละหน่วยส่งกำลังพลมาหน่วยละห้าแสน แล้วแต่ละหน่วยก็ให้แต่ละทัพส่งรายชื่อกำลังพลมาทัพละห้าหมื่นรายชื่อ แล้วแต่ละทัพก็ค่อยแบ่งให้แต่ละกองส่งกำลังพลมากองล่ะห้าพันรายชื่อ
ดาวจูจื่อ จวนแม่ทัพภาคชั่วคราวของกองมังกรดำ ผู้บัญชาการใหญ่สิบธงพยัคฆ์มารวมตัวกันในตำหนักประชุมอีกครั้ง
หลังจากกล่าวเกริ่นนำตามธรรมเนียมแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่เบื้องบนก็กระแอมให้คอโล่ง ก่อนจะกวาดสายตามองทุกคนพร้อมแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ “ช่วงก่อนหน้านี้มีผู้ร้ายหลบหนีเข้าไปในทะเลดาวสับสน หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาตัดสินใจจะดึงกำลังพลห้าล้านคนไปจับตัวผู้ร้ายที่ทะเลดาวสับสน รายชื่อห้าล้านคนถูกแบ่งสรรไปที่กองต่างๆ กองมังกรดำของข้าก็ได้รับมาห้าพันรายชื่อเช่นกัน ภายในสามวันนี้จะต้องจัดระเบียบกำลังพลและออกเดินทางไปรวมตัวกับทัพใหญ่แล้ว ไม่ทราบว่าแต่ละธงพยัคฆ์มีความมั่นใจว่าจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรือไม่?”
เขาได้พูดไว้อย่างชัดเจนมากแล้ว เป็นภารกิจที่แบ่งสรรมา ทุกคนเลิกคิดที่จะปัดความรับผิดชอบไปได้เลย
แต่ใครจะคาดคิด เหมียวอี้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างรีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะอย่างอดใจรอไม่ไหว “ธงพยัคฆ์ดำยินดีส่งกำลังพลห้าพันไปปฏิบัติภารกิจนี้ขอรับ”
เนี่ยอู๋เซี่ยวงุนงง เซี่ยงไป่กงและโป๋เยว รองแม่ทัพภาคทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก
นอกจากจ้านหรูอี้แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์อีกแปดคนก็งุนงงเช่นกัน สาเหตุที่ตัดจ้านหรูอี้ออก ก็เพราะจ้านหรูอี้ก้าวขึ้นมาแย่งชิงภารกิจด้วยเช่นกัน “ธงพยัคฆ์น้ำเงินยินดีส่งกำลังพลห้าพันไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วยค่ะ”
ทุกคนตรงนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที ทังเยี่ยนจวี๋ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ฟ้าก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดส่งเสริมจิตใจที่ซื่อสัตย์ของผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองด้วยค่ะ”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ประหลาดใจ ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แย่ง แต่กลับช่วยพวกเขาได้ซ้ำ?
แต่ใครจะคาดคิด ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์อีกเจ็ดคนแทบจะรีบกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดช่วยให้ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองสมปรารถนา”
กำลังสนับสนุนพวกเขาสองคนงั้นเหรอ? เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้สังเกตได้ทันทีว่ามีอะไรในกอไผ่ อดไม่ได้ที่จะหันซ้ายกันขวาดูปฏิกิริยาของทุกคน
สำหรับเหมียวอี้ เขาจำเป็นต้องช่วงชิงภารกิจในครั้งนี้ให้ได้ เขากำลังกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะไปช่วยเยียนเป่ยหงที่ทะเลดาวสับสนได้อย่างไร ใครจะคิดว่าจะต้องไปทำภารกิจที่นั่น พอได้ยินข่าวก็ดีใจมาก ย่อมต้องไปแย่งชิงอยู่แล้ว จึงยอมแลกทุกอย่างเพื่อช่วงชิงภารกิจนี้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าโดนคนอื่นแย่งไป เขาก็จะพลาดโอกาสดีนี้ไปแล้ว แต่นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ที่จ้านหรูอี้ช่วงชิงภารกิจก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ถึงแม้ตอนนี้นางจะเปลี่ยนท่าทีการวางตัวแล้ว แต่ความรู้สึกอยากแข่งขันกับเหมียวอี้ที่ข่มกลั้นไว้ในใจก็ยังไม่หายไป ถ้าจะบอกว่าแย่งกับเหมียวอี้ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ทำให้นางสับสนแล้วเช่นกัน
เนี่ยอู๋เซี่ยวยังจะพูดอะไรได้อีก ภารกิจที่ทุกคนล้วนอยากผลักไส ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเป็นฝ่ายขอไปปฏิบัติภารกิจเอง ถ้าฝืนผลักไปให้คนอื่นอีกก็จะฟังดูเหลวไหลเช่นกัน การบังคับจนทำให้ทุกคนทำงานแบบไม่ตั้งใจเต็มที่มันสนุกมากนักเหรอ? เพียงแต่เหมียวอี้ยังจัดการง่ายหน่อย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาก็ไม่เป็นไร แต่ประเด็นสำคัญคือจ้านหรูอี้ เบื้องบนสั่งมาว่าจะให้เกิดเรื่องกับนางไม่ได้ ถ้าปล่อยให้นางไปเป็นอะไรที่ทะเลดาวสับสน ตัวเองก็จะแก้ตัวไม่สะดวกแล้ว
หลังจากไตร่ตรองแล้ว ก็กล่าวอย่างลังเลอีกว่า “จะบันทึกภารกิจนี้ไว้ให้พวกเจ้าสองคนก่อนแล้วกัน รอให้ข้ารายงานขึ้นไปขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก่อน รอดูว่าที่อื่นจะมีความคิดเห็นยังไง แล้วค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้ายอีกที”
เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำอะไร ต่อให้เขาจะฝืนใจแต่ก็ต้องไป จึงกล่าวขอร้องอีกว่า “ข้าน้อยยินดีนำคนไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ขอรับ”
เดิมทีจ้านหรูอี้อยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่พอเห็นเหมียวอี้เป็นแบบนี้ นางก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน จึงกล่าวขอร้องอีกครั้ง “ข้าน้อยมาที่กองมังกรดำเป็นครั้งแรก ยังไม่ได้สร้างผลงาน ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดช่วยให้ข้าน้อยสมปรารถนา!”
“เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน!” เนี่ยอู๋เซี่ยวพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
พอกำลังพลเบื้องล่างแยกย้ายกันไป เหมียวอี้ก็ตามไปขอคำชี้แนะจากผู้บัญชาการใหญ่เฮ่อจือโย่วแห่งธงพยัคฆ์ดินอีก “พี่เฮ่อ ครั้งก่อนท่านบอกว่านี่เป็นธรรมเนียมดั้งเดิมของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา แล้วทำไมวันนี้?”
เฮ่อจือโย่วงงไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็อมยิ้มอย่างมีความลับ เขาไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น กุมหมัดคารวะแล้วขอตัวจากไปเลย
เหมียวอี้มึนงงเหมือนในสมองมีหมอกหนาทึบ หลังจากกลับมาที่ค่ายทหารแล้วก็ย่อมหาใครสักคนมาถามขอคำชี้แนะ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหง
“ผู้บัญชาการใหญ่!” พอรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองได้ฟังก็ร้อนใจทันที มู่อวี่เหลียนแย่งพูดก่อนว่า “ภารกิจที่เปลืองแรงแต่ไม่ได้รับการชื่นชมแบบนี้ ย่อมไม่มีใครอยากไปแย่งอยู่แล้ว แต่ละธงพยัคฆ์อยากจะให้มีคนออกหน้าทำเรื่องนี้ใจจะขาด แต่ผู้บัญชาการใหญ่ไปแย่งภารกิจแบบนี้มาได้ยังไง?”
พวกหยางชิ่งที่อยู่ในค่ายก็ทำสีหน้าสงสัยเช่นกัน เฟยหงเดินเนิบนาบถือน้ำชาถ้วยหนึ่งเข้ามา แล้ววางตรงหน้าเหมียวอี้เบาๆ แล้วก็ไม่ไปไหนแล้ว
“ทำไมถึงเปลืองแรงแต่ไม่ได้รับการชื่นชมล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ
มู่อวี่เหลียนอธิบายว่า “นายท่าน ที่ทะเลดาวสับสนนั่นเป็นสถานที่แบบไหน ถ้าอยากจะหาคนจากที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร ความดีความชอบนี้ ต่อให้จะตั้งใจทำแต่ก็แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย มิหนำซ้ำก็ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่หายเข้าไปในนั้นแล้วไม่ได้กลับออกมาอีก ภารกิจที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะทำไม่สำเร็จ ทั้งยังต้องไปเสี่ยงอันตรายมากขนาดนั้น ย่อมไม่มีใครรับภารกิจประเภทนี้อยู่แล้ว”
ชวีหย่าหงก็ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน นางบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ต้องทราบไว้นะ ต่อไปนี้ถ้ามีภารกิจแบ่งสรรมาอีกก็จะต้องไตร่ตรองให้ดี แบบนั้นแสดงว่าต้องไม่มีใครอยากรับแน่นอน มันถึงได้ถูกแบ่งมาแบบนี้ เฮ้อ! แต่ท่านแม่ทัพภาคยังไม่ได้ตัดสินใจ ตอนนี้ปฏิเสธก็ยังทันนะคะ”
พวกหยางชิ่งเข้าใจกระจ่างในทันที ในที่สุดเหมียวอี้ที่กำลังขมวดคิ้วก็เข้าใจแล้ว แต่เขาจะปฏิเสธอได้เหรอ? ไม่ได้หรอก!
ไม่ได้ก็ส่วนไม่ได้ แต่ปากก็ยังต้องอ้างเหตุผลที่ฟังขึ้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียว ยังต้องดึงคนกลุ่มใหญ่ไปเสี่ยงอันตรายด้วย เหมียวอี้จึงยืนขึ้นแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “หนิวคนนี้มาอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำหลายปีแล้ว ยังไม่ได้สร้างผลงานเลย ถ้ามากลับคำพูดตอนนี้จะมีที่ยืนในกองมังกรดำได้ยังไง?” คำพูดนี้เขาตั้งใจพูดให้เฟยหงที่อยู่ข้างๆ ฟัง
มู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหง สองคนที่เป็นคู่ศัตรูเกิดความคิดเห็นที่ตรงกันอย่างที่พบเห็นได้ยาก แต่จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว ผู้ตรวจการอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วก็ปวดหัวเช่นกัน เขารายงานขึ้นไปอีกครั้ง เขาเดาว่าเบื้องบนคงจะไม่ตอบตกลง แต่ใครจะคิดว่าพอข่าวไปถึงโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโพ่จวินคิดอะไรอยู่ เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักผู้บัญชาการองครักษ์พักหนึ่ง ในหัวเอาแต่นึกถึงสิ่งที่ประมุขชิงหลุดปากพูดถึงจ้านหรูอี้ในตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า
หลังจากครุ่นคิดตามลำพังเป็นเวลานาน เขาก็ส่ายหน้า ตอนนี้ตัดสินใจได้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที อนุมัติ!
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็ได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากเนี่ยอู๋เซี่ยว สั่งให้ธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินดึงกำลังพลจำนวนสองพันห้าร้อยไปเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้
เบื้องบนจำกัดเวลาให้กระชั้นชิดมาก เมื่อได้รับคำสั่งมาแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองก็รีบเรียกรวมกำลังพล
คนของธงพยัคฆ์ทั้งสองกองทัพที่ถูกเรียกไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้บ่นนิดหน่อย เหมียวอี้ระดมพลแล้วประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคน ภารกิจในครั้งนี้ หนิวจะร่วมสู้ร่วมถอยกับพี่น้องทุกคน ถ้าจะต้องเข้าทะเลดาวสับสน ข้าก็จะเข้าไปคนแรก!”
ขนาดเขายังพูดแบบนี้แล้ว ทุกคนยังจะพูดอะไรได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น คำสั่งทหารก็หนักแน่นดุจขุนเขาด้วย
กลับเป็นจ้านหรูอี้ที่ตกใจมากหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้จะนำคนไปที่ทะเลดาวสับสนด้วยตัวเอง หลังจากกลับมาแล้ว นางก็ถามลูกน้องจนรู้ต้นสายปลายเหตุแล้วเช่นกัน ทำให้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อย เดิมทีนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อก็จะต้องเสียใจทีหลังเหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสุดโต่งขนาดนี้ นี่เป็นการล้อเล่นกับชีวิต!
ผู้หญิงคนนี้จึงกัดฟัน กับเรื่องแบบนี้นางไม่ย้อมล้าหลังคนอื่น จะไปด้วยตัวเองเช่นกัน
ทั้งสองสั่งงานลูกน้องเรียบร้อย แล้วเลือกกำลังพลให้ออกเดินทางไปด้วยกัน
รอจนกระทั่งทั้งสองนำกำลังพลห้าพันไปถึงนอกทะเลดาวสับสน ทัพใหญ่สิบล้านก็นับว่ามารวมตัวกันครบแล้ว
คนที่คอยบัญชาการการจับกุมในครั้งนี้มีสองคน มาจากทัพกลางของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา เป็นรองผู้ตรวจการใหญ่สองคนของทัพกลาง คนหนึ่งชื่อไป่หลี่เฟิง อีกคนชื่อฮ่วนอู๋เปียน สองคนนี้บัญชาการร่วมกัน จะได้สะดวกในการติดต่อกำลังพลหน่วยองครักษ์ทั้งสองฝ่าย การส่งบุคคลระดับสูงขนาดนี้มาบัญชาการ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง จะเห็นได้ถึงการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็ยังไปสัมผัสใกล้ชิดกับรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงวางกำลังตามคำสั่งเบื้องบน
เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะปล่อยให้ทัพใหญ่สิบล้านเข้าไปจำนวนมากแล้วไม่ได้กลับออกมา เพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยของทัพใหญ่ จึงเตรียมการเชื่อมต่อแบบร่างแห ใช้วิธีค้นหาแบบดึงแห พยายามคงไว้ซึ่งการเชื่อมต่อจากข้างบนลงข้างล่าง พยายามรับประกันว่าหลังจากทอดแหออกไปแล้ว ตอนดึงแหกลับมาจะสามารถนำกลับมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น