ลำนำบุปผาพิษ 1387-1394
บทที่ 1387 กวาดล้างคนโสมม
กู้ซีจิ่วเป็นพวกชอบบุ่มบ่าม นางกำลังจะเคลื่อนย้ายพริบตาไป ตี้ฝูอีกลับดึงรั้งนางไว้ “ครั้งนี้เจ้ากับข้าไม่เหมาะจะแยกจากกัน ไปด้วยกันเถิด!”
อันที่จริง กู้ซีจิ่วก็ไม่ยินยอมแยกจากกับตี้ฝูอีเท่าใด ทว่าเขามีฐานะเป็นถึงเทพศักดิ์สิทธิ์ กู้ซีจิ่วรู้ว่าเขามีสายสืบทั่วหล้า ต้องมีลูกน้องมากมายทั้งในที่ลับและในที่แจ้งอย่างแน่นอน เขาทำการสิ่งใดลึกลับซับซ้อนยากที่จะคาดเดา เรื่องบางเรื่องไม่ค่อยสะดวกพูดให้คนนอกฟัง มีหลายสิ่งที่กู้ซีจิ่วก็ไม่รู้เช่นกัน ในเมื่อเขาไม่บอก เธอก็ไม่อยากถาม เกรงว่าตัวเองตามไปอยู่ข้างกายแล้วเขาจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่…
นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะเป็นฝ่ายดึงรั้งเธอไว้ก่อน นี่เขาอยากเปิดเผยเรื่องทั้งหมดของเขาให้เธอรับรู้หรือ?
ภารกิจอย่างแรกในตอนนี้ก็คือสืบหาเรื่องราวเกี่ยวกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม
และผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสืบหาข้อมูลมากที่สุดในทวีปนี้ก็คือหอเงาราตรี ประมุขแห่งหอเงาราตรีคือหลีเมิ่งซย่า
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนี้ปลอมตัวมาได้สองปีโดยไม่ถูกเผยตัวตน เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าสี่ทูตข้างกายตี้ฝูอีเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจริงๆ ไม่ถูกคุมขังก็ถูกควบคุม
ส่วนหลีเมิ่งซย่าอยู่ภายใต้อำนาจของตี้ฝูอีโดยตรง โดยปกติไม่ฟังแม้แต่คำสั่งของสี่ทูต ดังนั้นตี้ฝูอีจึงตัดสินใจไปหานางก่อน
เขาพากู้ซีจิ่วไปสำนักงานใหญ่ของหอเงาราตรีในทันที
สำนักงานใหญ่หอเงาราตรีอยู่ไม่ไกลจากป่าทมิฬ ด้วยฝีเท้าของตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่ว เปรียบเสมือนการเดินทางบนเส้นทางเมฆา เพียงสองชั่วยามก็ถึงที่หมายได้
หอเงาราตรีเป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปนี้ สายสืบทั่วทั้งทวีปล้วนเป็นคนของหอเงาราตรี ไม่มีข่าวคราวใดที่สืบทราบไม่ได้จากที่นี่ ตอนที่กู้ซีจิ่วหายตัวไป ตี้ฝูอีก็ใช้คนของหอเงาราตรี หากกู้ซีจิ่วไม่ได้หายตัวไปในป่าทมิฬ ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่แห่งหนใดของทวีปนี้ คนของหอเงาราตรีก็ต้องตามหาจนเจอ
หอเงาราตรีมีสาขาอยู่ทั่วทั้งทวีป รับงานและรองรับแขกทั่วหล้า ภารกิจลอบสังหาร ภารกิจข้อมูลข่าวสาร คือภารกิจหลัก และเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุด
หอเงาราตรีเป็นกลุ่มที่ลึกลับที่สุด นอกจากสี่ทูตข้างกายตี้ฝูอีแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหัวหน้าใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหอเงาราตรีคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
อีกทั้งภายในหอเงาราตรีมีเพียงประมุขกับหัวหน้าสาขาสิบท่านเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
กู้ซีจิ่วเคยพบกับหลีเมิ่งซย่าประมุขหอเงาราตรี ตอนนั้นที่หนีออกมาจากวังใต้พิภพ ก็เป็นหลีเมิ่งซย่าท่านนี้ที่บังคับเรือ เธอจากไปพร้อมตี้ฝูอี รถม้าก็ยังเป็นบรรณาการจากหลีเมิ่งซย่า…
ตี้ฝูอีกับหลีเมิ่งซย่ามีวิธีพิเศษในการติดต่อกัน หลีเมิ่งซย่าก็มีป้ายหยกสื่อสารเช่นกัน
ตอนที่อยู่โรงเตี๊ยม ตี้ฝูอีเคยใช้ป้ายหยกสื่อสารติดต่อหลีเมิ่งซย่า ทว่าติดต่อไม่ได้เหมือนกันกับสี่ทูต เขาจึงมาดูที่สำนักงานใหญ่ด้วยตัวเอง
หลีเมิ่งซย่าประจำการที่สำนักงานใหญ่ตลอดทั้งปี หากไม่มีสถานการณ์พิเศษ นางไม่มีทางออกไปไหนไกล
…
ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า จ้องมองตัวอักษรใหญ่สี่ตัว ‘หอเงาราตรี’ ที่ส่องประกายสีทองด้วยจิตใจเหม่อลอย
สำนักงานใหญ่หอเงาราตรีในทวีปแห่งนี้เป็นสถานที่ลึกลับยิ่งนัก มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้ว่าตั้งอยู่ที่ใด ยามนี้กลับมีแผ่นป้ายโอ่อ่าติดไว้อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ซ้ำด้านบนยังฝังอัญมณีล้ำค่า ส่องแสงระยิบระยับใต้แสงสุริยัน ดูแล้วช่างสะดุดตานัก
กู้ซีจิ่วมองดูแผ่นป้ายนั้นและกล่าวสรุป “แผ่นป้ายนี้เป็นของใหม่ เพิ่งแขวนติดได้ประมาณสามเดือน”
ตี้ฝูอีพยักหน้ายิ้มหยัน “หอเงาราตรีท่าทางจะมั่งคั่งร่ำรวย ไป เข้าไปกัน นำเงินไปให้พวกเขาอีกสักหน่อย”
การรับภารกิจของหอเงาราตรีมีราคาระบุไว้ชัดเจน ผู้อาวุโสน้อยประจำสาขามีสิทธิ์ตอบรับภารกิจหมื่นตำลึงได้
——————————————————
บทที่ 1388 กวาดล้างคนโสมม 2
ภารกิจแสนตำลึงต้องติดต่อผู้อาวุโสใหญ่ประจำสาขา ภารกิจล้านตำลึงถึงจะมีโอกาสได้พบประมุขหอเงาราตรีซึ่งมาเจรจาด้วยตัวเอง
ตามที่หลีเมิ่งซย่ากล่าว ไม่ง่ายเลยที่นางจะเลี้ยงปากท้องของทุกชีวิต และลูกค้าก็เป็นผู้อุปถัมภ์ ผู้อุปถัมภ์ที่สูงส่งเยี่ยงนี้ย่อมต้องมาดูแลด้วยตัวเองถึงจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจได้
แน่นอน หลีเมิ่งซย่าเก่งกาจเรื่องเจรจาการค้า บ่อยครั้งที่นางทำให้ลูกค้าจ่ายเงินเพิ่มหนึ่งถึงสองส่วนจากเงินรางวัลล้านตำลึงได้ ซ้ำยังชำระทั้งหมดในเร็ววัน…หาเงินได้เก่งยิ่งนัก
ทว่านางรับงานก็มีขีดจำกัด ใช่ว่าจะรับไปเสียทุกงาน อย่างเช่นลอบสังหารทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำนองนี้ นางไม่มีทางรับอย่างแน่นอน แม้ให้สิบล้านก็ไม่รับ
ยามนี้ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วไม่ใช่รูปโฉมเดิม พวกเขาแปลงโฉมและปกปิดกลิ่นอายรอบกายแล้ว ดูแล้วเหมือนเศรษฐีเงินถังผู้มั่งคั่งสง่างาม
ร่างกายอวบอ้วน เสื้อคลุมประดับอัญมณี แม้แต่ปิ่นปักผมบนศีรษะยังฝังไพฑูรย์ ทุกการเคลื่อนไหวเผยให้เห็น ‘ท่าทางของเศรษฐีอันดับหนึ่งของแผ่นดิน’ ส่วนกู้ซีจิ่วปลอมตัวเป็นอนุผู้เลอโฉมข้างกายเขา เสื้อผ้าสดสวย ปักลายวิจิตรงดงาม เมื่อทั้งสองคนเข้ามาก็ทำให้ฝูงชนตาบอดได้เลย
ตี้ฝูอีนำตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงวางตรงหน้าผู้ดูแลต้อนรับ “ข้ามีภารกิจมูลค่าล้านตำลึงต้องการอุปถัมภ์หอเงาราตรี รบกวนเชิญประมุขพวกท่านออกมาสักหน่อย เงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยที่ให้เจ้าไปรายงาน”
น้ำใจหนึ่งหมื่นตำลึงถือเป็นการให้ที่มั่งคั่งยิ่งนัก ผู้ดูแลต้อนรับคนนั้นรีบเชิญพวกเขานั่งลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างลำบากใจ “นายท่านอาจยังไม่รู้ ยามนี้ภารกิจระดับสูงสุดขึ้นราคาแล้ว ต้องการสองล้านตำลึงถึงจะเชิญประมุขออกหน้าเจรจาได้…”
ตี้ฝูอียกนิ้วหัวแม่มือที่สวมแหวนมรกตอันใหญ่ยักษ์ขึ้นพลางหัวเราะ “ข้าพูดว่าภารกิจล้านตำลึง แต่ไม่ได้พูดว่าหนึ่งล้าน…” เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาสะบัดต่อหน้าคนผู้นั้น “สามล้าน!”
คนผู้นั้นเกิดความนับถือขึ้นมาทันที “ขอรับ ข้าน้อยจะไปเชิญประมุขหยางในทันที!” หันกายกำลังจะเดินจากไป ใบหน้าตี้ฝูอีเย็นชาลง “ข้าต้องการพบประมุขสำนักงานใหญ่!”
คนผู้นั้นตกตะลึง กล่าวด้วยรอยยิ้มสุภาพ “ยามนี้ประมุขหยางคือประมุขสำนักงานใหญ่ขอรับ”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “ไม่ถูกต้อง! พวกเจ้ากลั่นแกล้งคนนอกอย่างข้าหรือ? ข้าได้ยินว่าประมุขสำนักงานใหญ่ของพวกเจ้าคือประมุขหลี!”
คนผู้นั้นมองตี้ฝูอีหัวจรดเท้า “นายท่านรู้จักประมุขหลี ประมุขของพวกเราได้อย่างไร?” เห็นได้ชัดว่าเขาเกิดความสงสัย
ตี้ฝูอีส่งเสียงฮึ่มผ่านจมูกคราหนึ่ง “ในเมื่อข้ามาเพื่อเจรจาภารกิจย่อมต้องสืบหาข้อมูลให้ชัดเจนทุกด้าน จะปล่อยให้คนหลอกลวงได้อย่างไร? ดูเหมือนหอเงาราตรีของพวกเจ้าไม่มีความจริงใจอันใด…” เขาพลันลุกขึ้นยืน “ว่ากันว่าหอเงาราตรีซื่อสัตย์น่าเชื่อถือที่สุดในแผ่นดิน ดูเหมือนจะไม่เท่าใด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่แล้ว…” จากนั้นทำท่าต้องการจะจากไป
คนผู้นั้นรีบร้อนหยุดยั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มสุภาพ “นายท่านอาจไม่รู้ ก่อนหน้านี้เป็นประมุขหลีจริงๆ แต่ประมุขหลีเจ็บไข้ป่วยหนัก สละตำแหน่งให้ประมุขหยาง…นายท่านมีภารกิจอันใดก็คุยกับประมุขหยางได้ พูดตามตรง ประมุขหยางพูดคุยง่ายดายกว่าประมุขหลีนัก…”
ตี้ฝูอีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เอ่ยอย่างเย็นชา “ช่างเถิด! ข้าไว้ใจแค่ประมุขหลีของพวกเจ้า หากนางออกมาไม่ได้ เช่นนั้น ภารกิจนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคุยแล้ว!” แล้วพากู้ซีจิ่วจากมา
สายตาที่คนผู้นั้นมองส่งพวกตี้ฝูอีจากไปค่อนข้างเศร้าหมอง…
ปลาตัวใหญ่เช่นนี้ เขาปล่อยให้หลุดลอยไปไม่ได้
เขาส่งสายตาเป็นนัย ให้คนแอบตามพวกตี้ฝูอีไป ถือโอกาสสืบเสาะเส้นทางของพวกเขา
Ink Stone_Romance
บทที่ 1389 กวาดล้างคนโสมม 3
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนที่ตามรอยไปกลับมารายงาน “ทั้งสองคือเฉินเฮ่าซาน ผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรเจาหยางกับอนุคนที่สามสิบแปดของเขา เคยอุปถัมภ์กิจการของหอเงาราตรี แต่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงภารกิจเล็กๆ ไม่กี่แสน เป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจมาโดยตลอด ยามนี้พำนักอยู่ภายในโรงเตี๊ยมในเมืองนี้ ฟังจากน้ำเสียงของพวกเขา คล้ายต้องการจะไปเจรจากับพรรควายุฆาต…”
หัวหน้าหมู่ผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น พรรควายุฆาตก็ทำกิจการประเภทเดียวกันกับหอเงาราตรี เพียงแต่ขนาดเล็กกว่ามาก ถือได้ว่าเป็นสายอาชีพเดียวกัน หรือก็คือคือคู่แข่ง กิจการใหญ่ของหอเงาราตรีย่อมไม่ต้องการให้เขาไปหาพรรควายุฆาต
หัวหน้าหมู่ผู้นั้นหันกายเข้าไปในหอ รายงานเรื่องนี้แก่ประมุขหยาง
ประมุขหยางส่งเสียงฮึ่มเย็นชา “ยามนี้นังคนชั้นต่ำหลีเมิ่งซย่าต่อต้านออกจากหอเงาราตรีไปแล้ว คนของพวกเรากำลังตามล่าสังหารนาง จะให้นางมาเจรจาภารกิจได้อย่างไร?”
หัวหน้าหมู่ผู้นั้นกล่าว “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”
ประมุขหยางกล่าว “พวกเขานำตั๋วเงินพกติดตัวมางั้นรึ?”
“ขอรับ! ข้าน้อยตรวจสอบดูแล้ว”
ประมุขหยางส่งสัญญาณมือ น้ำเสียงโหดเหี้ยม “เก็บพวกมันซะ! แล้วทำลายศพทิ้ง”
หัวหน้าหมู่ผู้นั้นตกตะลึง ลำบากใจ “เกรงว่านี่จะขัดกับปณิธานเดิมของพวกเราหอเงาราตรี ลอบสังหารลูกค้าเป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาด หากผู้ใดละเมิด จำต้องถูกแล่เนื้อเถือหนัง…”
ประมุขหยางกล่าวอย่างเหลืออด “นั่นมันเป็นกฎที่นังคนชั้นต่ำหลีตั้งขึ้น ยามนี้นางเองก็อยู่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ยังจะมาเคารพกฎของนางอะไรอีก! ตอนนี้ข้าเป็นใหญ่!”
หัวหน้าหมู่ผู้นั้นพยักหน้า “ข้าน้อยเพียงเกรงว่าพวกผู้อาวุโสจะไม่ยอมรับ…”
ประมุขหยางแค่นเสียงเย็นชา “ผู้อาวุโสแปดคน หนีตามนังคนชั้นต่ำหลีไปสามคน ที่เหลืออีกห้าคนเป็นคนคร่ำครึไม่จำเป็นต้องสนใจ พยายามอย่าให้พวกเขารู้เรื่องเป็นพอ ส่งคนที่คล่องแคล่วว่องไวสักหน่อยไปจัดการ อย่าให้ทิ้งร่องรอยเป็นอันขาด”
“ขอรับ!” หัวหน้าหมู่ผู้นั้นส่งเสียงตอบรับแล้วจากไป
ประมุขหยางกำลังลังเลใจ หัวหน้าหมู่อีกคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่าผู้อาวุโสเหลียงขอพบ
ประมุขหยางส่งสัญญาณมือ บ่งบอกให้ผู้อาวุโสเหลียงเข้ามา
ประมุขหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ผู้อาวุโสเหลียง ข้าให้เวลาเจ้าสองเดือนตามล่าสังหารนังคนชั้นต่ำหลี เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราว? ผู้อาวุโสอย่างท่านไม่อยากทำงั้นหรือ?!”
สีหน้าผู้อาวุโสเหลียงค่อนข้างเขียวคล้ำ “ประมุขหยาง ดีชั่วอย่างไรหลีเมิ่งซย่าก็เคยเป็นประมุขของพวกเรา ท่านเรียกขานนางว่านังคนชั้นต่ำเยี่ยงนี้ไม่ดีกระมัง?”
ประมุขหยางตบโต๊ะ “นังคนชั้นต่ำผู้นี้ขัดค่ำสั่งท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างเปิดเผย มีความผิดฐานดูหมิ่น! ทำให้หอเงาราตรีของพวกเราเกือบถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายระบายความโกรธ เป็นข้าเองที่ลำบากไปขอความเมตตาถึงทำให้หอเงาราตรีแคล้วคลาด ตอนนั้นข้าให้สัญญาว่าจะต้องจับกุมนังคนชั้นต่ำหลีส่งให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ได้ เพื่อเป็นการชดเชยความผิด แต่ผ่านมาเนิ่นนานพวกเจ้ายังจับตัวไม่ได้ ต้องเป็นเพราะพวกเจ้ายังเห็นแก่ความรู้สึกครั้งเก่าไม่กล้าลงมือ…หรือพวกเจ้าก็ต้องการจะต่อต้านเหมือนนังคนชั้นต่ำหลี?!”
เขาให้ตำหนิด้วยใบหน้าถมึงทึง ผู้อาวุโสเหลียงคนนั้นไม่กล้าพูดจาอันใดอีก
ประมุขหยางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าดูแคลนข้า รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้เป็นผู้อาวุโสมาก่อนก็มารั้งตำแหน่งประมุขนี้แล้ว ความจริงข้าก็คร้านจะดำรงตำแหน่งประมุขนี้ เพียงแต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบตำแหน่งนี้ให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าย่อมต้องพยายามสุดความสามารถ ไม่ทำให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดหวัง
ผู้อาวุโสเหลียงก้มหน้าไม่พูดจาอะไร
ประมุขหยางเอ่ยถามขึ้นอีก “ผู้อาวุโสเหลียง คนของเจ้าเป็นยอดฝีมือที่สุดของหอเงาราตรีนี้ ภายในสองเดือนกว่าที่ผ่านมาไม่มีทางที่จะสืบหาอะไรไม่ได้เลยกระมัง?”
ผู้อาวุโสคล้ายลังเลใจ ประมุขหยางกลับเป็นคนที่สังเกตสีหน้าคนเก่ง จึงส่งเสียงข่มขู่ ทำให้ผู้อาวุโสเหลียงพูดความจริงได้ในที่สุด “ข้าน้อยสืบทราบมาว่าพวกหลีเมิ่งซย่าเข้าไปหลบซ่อนตัวภายในหุบเขานภาจร…”
——————————————————————–
บทที่ 1390 กวาดล้างคนโสมม 4
ประมุขหยางแย้มยิ้ม สายตาดุดัน “เช่นนั้นยังรีรออันใดอีก? เจ้ารวมตัวผู้อาวุโสอีกสี่คนกับยอดฝีมือคนอื่น มุ่งหน้าไปหุบเขานภาจรจับกุมพวกนาง!”
“ขอรับ!” ผู้อาวุโสเหลียงส่งเสียงตอบรับ
ประมุขหยางนั่งถอนหายใจยาวอยู่ตรงนั้น มีผู้อาวุโสห้าคนกับยอดฝีมือมากมายออกโรง ต่อให้มีหลีเมิ่งซย่าสองคนก็จับกุมกลับมาได้สบาย!
“นังคนชั้นต่ำหลี เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน! แต่ละวันหยิ่งผยองราวกับนกยูง ข้าจับเจ้าได้เมื่อใด จะต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสวิธีของข้า ทำให้เจ้าจะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้!” เขาพึงพอใจ หัวเราะได้ใจเบาๆ
“วิธีของเจ้าคืออะไรหรือ? ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ” เสียงที่เย็นชาและเนิบนาบดังมาจากเบื้องหลังเขา
เขาตกใจหันหลังกลับไปทันที เห็นคนสองคนยืนสง่าอยู่เบื้องหลัง คนหนึ่งอาภรณ์ม่วงโบกสะบัด หน้ากากเงินทรงผีเสื้อส่องประกายภายใต้แสงเทียน ดวงตาดุจคลื่นทะเลลึกสีครามจ้องมองมาที่เขา
อีกทั้งข้างกายเขา มีสตรีสวมเสื้อคลุมสีทะเลสาบ รูปโฉมงดงาม ดวงตาสดใสเป็นประกายดุจน้ำพุ เย็นชาและคมกริบดังคมมีด กลิ่นอายรอบกายค่อนข้างเย็นเยือก กำลังกอดอกจ้องมองเขา
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!
ประมุขหยางตื่นตระหนก หันกายคุกเข่าลงโดยสัญชาตญาณ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมา ข้าน้อยมิทราบ ไม่ทันได้ต้อนรับ ขอท่านโปรดอภัย” และมองสตรีนางนั้นแวบหนึ่ง “แม่นางท่านนี้คงเป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์? ท่านทูตสวรรค์กับฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์มาถึงพร้อมกัน ถือเป็นเกียรติของหอเงาราตรียิ่งนัก…”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับสตรีนางนั้นมองหน้ากับแวบหนึ่ง สตรีนางนั้นโค้งยิ้มมุมปาก “เจ้าช่างมีน้ำใจ เพียงแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์?”
ประมุขหยางก้มหน้าพูด “คือว่า…ข้าน้อยได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์สนิทสนมกัน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปไหนมาไหนด้วยกันกับฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ตลอด…
สตรีนางนั้นยกยิ้มมุมปาก “ความหมายของเจ้าคือ ฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์มีสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?”
ประมุขหยางตื่นตกใจ “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าน้อย…ข้าน้อย…”
สตรีนางนั้นเอ่ยขึ้นอีก “เจ้าเรียกขานข้าว่าเป็นฮูหยินของเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใดกันแน่?”
ประมุขหยางเอ่ย “ข้าน้อยได้ยินว่า…ได้ยินว่าฮูหยินคือเซียนหญิงลี่หวาง ดินแดนเบื้องบนส่งมาช่วยเหลือผู้คน”
ดวงตาของสตรีนางนั้นวาบไหวเล็กน้อย นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “สมแล้วที่เป็นประมุขหอเงาราตรี รู้เรื่องราวไม่น้อยเลยจริงๆ ทว่าฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้วคล้ายจะบอกว่าข้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคลุมเครือไม่ชัดเจน หรือจะบอกเป็นนัยว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์?”
สีหน้าประมุขหยางพลันแปรเปลี่ยน คุกเข่าตึงตัง “ข้าน้อยมิกล้า! ข้าน้อยเพียงได้ยินว่าฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์รับคำสั่งจากเทพศักดิ์สิทธิ์มา ให้ร่วมมือกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสรรค์สร้างโลกหล้า…เทพศักดิ์สิทธิ์คือเทพศักดิ์สิทธิ์ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ทั้งสองย่อมไม่อาจนำมาพูดปนกัน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนั้นบริสุทธิ์ สุริยันจันทราเป็นพยานได้…”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแย้มยิ้ม ยกมือดึงสตรีนางนั้นมาไว้ในอ้อมกอด สตรีนางนั้นก็อิงแอบในอ้อมกอดของเขา เอ่ยถามอย่างเยือกเย็นว่า “เช่นนี้เล่า?”
ประมุขหยางนิ่งอึ้ง
เขาตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราทำเช่นนี้ เจ้ายังดูความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ออกอีกหรือ?”
“นี่…” ประมุขหยางเหงื่อออกมากขึ้น
นางพูดอย่างสบายใจ “ข้ากับเขามีใจต้องกัน พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้าว่าระหว่างพวกเราบริสุทธิ์รึ?”
ประมุขหยางพูดอึกอัก “ข้าน้อย…ข้าน้อย…” เขาคล้ายจะรู้แจ้ง รีบกล่าวว่า “เซียนหญิงลี่หวางกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงจะเป็นคู่สวรรค์บรรจงสร้างที่แท้จริง…”
บทที่ 1391 กวาดล้างคนโสมม 5
สตรีนางนั้นถอนหายใจ “แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีใจปฏิพัทธ์ต่อแม่นางกู้ซีจิ่ว เจ้ารู้ข่าวสารฉับไวที่สุด เป็นความจริงหรือไม่?”
ประมุขหยางรีบเอ่ยตอบ “กู้ซีจิ่วจะคู่ควรกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้อย่างไรกัน? นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ยามนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเวทนานางถึงได้หมั้นหมายกับนาง ผู้ที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชมชอบอย่างแท้จริงก็คือท่านเซียนลี่หวาง…”
สตรีนางนั้นเอามือเท้าแก้ม “จริงหรือ? มีสิ่งใดมายืนยัน?”
ประมุขหยางกล่าวไปว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ผู้คุ้มกันทั้งสี่คอยรับใช้ท่าน ซ้ำยังมอบรถม้าที่ดีที่สุดให้ท่านใช้เดินทางด้วย ถึงขั้นที่สั่งให้ประชาชนทั่วหล้าเมื่อเห็นรถม้าของท่านก็ต้องคุกเข่าคารวะให้การต้อนรับแต่ไกล ดูหมิ่นล่วงเกินไม่ได้แม้แต่น้อย…กู้ซีจิ่วผู้นั้นไม่ได้รับการให้เกียรติเช่นนี้เลย หลังจากกู้ซีจิ่วผู้นั้นหนีงานแต่งไป ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็สั่งการให้ทั้งแผ่นดินควานหาตัวนาง ข้าน้อยก็เคยเข้าร่วมการค้นหาร่องรอยของนางเพื่อจับกุม เพียงน่าเสียดายที่นางเจ้าเล่ห์เกินไป ไม่ทราบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในซอกเหลือบรูใด จวบจนยามนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดหาตัวพบ ตามความคิดเห็นของข้าน้อย นางจะต้องถูกสัตว์ร้ายใดเขมือบไปแล้วเป็นแน่ แม้แต่กระดูกไม่หลงเหลือแล้ว เป็นธรรมดาที่จะตามหาไม่พบ ท่านเซียนไม่จำเป็นต้องเก็บสตรีเช่นนั้นมาใส่ใจหรอกขอรับ นางไม่มีค่าพอให้ท่านต้องพะวง…”
สตรีนางนั้นแย้มยิ้ม ลุกขึ้นมา สะบัดกระโปรงเบาๆ ก่อนก้าวมาอยู่เบื้องหน้าประมุขหยาง เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจว่า “ประมุขหยาง เห็นแก่ความภักดีที่ท่านมีต่อเซียนหญิงลี่หวางถึงเพียงนี้ ข้าจะบอกความลับเล็กๆ น้อยๆ กับเจ้าข้อหนึ่ง เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
ประมุขหยางรีบประจบประแจงนาง “เชิญท่านเซียนกล่าวมาเถิด ข้าน้อยล้างหูรอฟังอย่างยินดีขอรับ”
“ข้าไม่ใช่เซียนหญิงลี่หวางอะไรนั้น ข้าคือกู้ซีจิ่วหญิงชาวบ้านที่เจ้าเอ่ยถึงอย่างไรเล่า…”
ประมุขหยางตะลึงงัน ร่างกายเขาพลันสั่นสะท้าน เบิกตากว้าง “เจ้า…เป็นไปไม่ได้!”
“หืม? ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ?” กู้ซีจิ่วไม่สะทกสะท้าน
“พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วเป็นขั้นแปดชัดๆ แต่ท่าน…ท่านเป็นขั้นสิบแล้ว กู้ซีจิ่วหายตัวไปแค่แปดปี จะทะลวงเข้าสู่ขั้นนี้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร? ท่านเซียน…ท่านเซียนอย่าได้ล้อเล่นเลยขอรับ นี่ไม่น่าขบขันเลย…”
กู้ซีจิ่วคลี่ยิ้ม “อันที่จริงข้ายังมีความลับจะบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง…”
เธอขยับเข้าใกล้เขาเล็กน้อย “ข้าเป็นฮูหยินของเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ และเป็นฮูหยินของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ด้วย…”
ประมุขหยางตาโตเท่าไข่ห่านแล้ว “หนึ่งหญิงสองชาย…”
มุมปากกู้ซีจิ่วยกขึ้นแวบหนึ่ง “คุณหนูอย่างข้ารักนวลสงวนตัวถึงเพียงนี้ จะออกเรือนกับบุรุษสองคนได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นคล้ายว่าประมุขหยางจะนึกถึงความเป็นไปได้อันใดขึ้นมาได้ สายตาพลันหันเหไปที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซึ่งยืนชมละครอยู่ด้านข้าง “หรือว่า…หรือว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็คือ…ก็คือท่านเทพ…”
ความลับนี้ช่างยิ่งใหญ่โดยแท้ เขาไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกไปเลย!
ทูตสวรรค์ฝ่ายยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบแวบหนึ่ง “ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดแล้ว! เช่นนั้นเจ้าตายไปก็ไม่มีห่วงแล้ว…”
กล่าวยังไม่ทันขาดคำ ประมุขหยางก็กระโดดพรวดขึ้นมาปานกระต่าย ยื่นมือไปหมายจะคว้ากู้ซีจิ่ว!
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะจับกู้ซีจิ่วมาเป็นตัวประกัน แต่เบื้องหน้าพลันพร่าเลือน กู้ซีจิ่วที่เมื่อครู่ยังยืนลอยชายอยู่ข้างกายเขาหายไปแล้ว
วินาทีต่อมา เบื้องหน้าเขามีลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งวาบขึ้น หัวใจเขาปวดแปลบขึ้นมาในทันใด!
จากนั้นเขาก็ล้มลงไป
ประมุขหยางเป็นผู้บำเพ็ญขั้นแปด แต่พออยู่ต่อหน้าสองคนนี้ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะโต้กลับด้วยซ้ำ ถูกปลิดชีพไปทันที
กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ “เดิมทีข้ายังคิดจะหลอกถามเขาต่ออีกหน่อย ท่านกวาดล้างคนโสมมเร็วเกินไปแล้ว!”
ตี้ฝูอีดีดนิ้วคราหนึ่งพลางเอ่ยว่า “คันมือไปชั่วขณะ…เรื่องราวส่วนใหญ่ก็ทราบชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรให้ล้วงต่อหรอก”
————————————————————————————-
บทที่ 1392 คางคกริอยากลิ้มรสหงส์ฟ้า
ตี้ฝูอีดีดนิ้วคราหนึ่งพลางเอ่ย “คันมือไปชั่วขณะ…เรื่องราวส่วนใหญ่ก็ทราบชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรให้ล้วงต่อหรอก” ขณะที่กล่าว ก็ใช้มือจิ้มไปที่หว่างคิ้วของประมุขหยางด้วย ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงวิญญาณสีขาวจางๆ กลุ่มก็ถูกดึงออกมา
ก่อนตายประมุขหยางฝึกฝนจนบรรลุขั้นแปดแล้ว ดวงวิญญาณก่อตัวจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนแล้ว มันสั่นสะท้านดิ้นรนอยู่ที่ปลายนิ้วตี้ฝูอีอย่างสุดชีวิต คิดจะหลบหนี ตี้ฝูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร ถึงได้ส่งเสริมให้คนอย่างเจ้าขึ้นเป็นประมุข?”
แสงสีรุ้งผุดวาบจากปลายนิ้ว วิญญาณดวงนั้นกรีดร้องอยู่ในกลุ่มแสงสองครา สลายเป็นควันในทันใด
กู้ซีจิ่วยกนิ้วให้เขา “โหดมาก!”
ตี้ฝูอีดึงเธอเข้ามา ยื่นมือไปหาเธอแล้วใช้คาถาชำระล้าง
กู้ซีจิ่วสั่นระริก “ท่านทำอะไร?”
“เมื่อกี้เจ้าเข้าใกล้สวะผู้นี้เกินไป” ตี้ฝูอีวางท่าจริงจัง
กู้ซีจิ่วอับจนวาจา นิสัยจู้จี้จุกจิกของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังคงเหมือนไม่เปลี่ยนจริงๆ เธอกับประมุขหยางคนนี้ถึงขั้นที่ไม่ได้เฉียดโดนตัวกันจริงๆ เลยด้วยซ้ำ…
เธอทำลายซากศพนั้นทิ้ง กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เรื่องราวโดยรวมกระจ่างแล้ว เซียนหญิงลี่หวางที่โผล่มาจากไหนไม่รู้คนนั้นอ้างตัวว่าเป็นฮูหยินของเทพศักดิ์สิทธิ์ ร่วมมือกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้นเดินหมากตานี้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้ต้องรู้จักท่านดีอย่างยิ่ง ปลอมตัวเป็นท่านได้แนบเนียนนัก ด้วยเหตุนี้จึงตบตาคนทั้งโลกได้ อาศัยชื่อเสียงของท่านกระทำตามอำเภอใจ แม้แต่สานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ ก็ถูกหลอกไปด้วย แปลกนัก พวกมู่เฟิงก็น่าจะรู้จักท่านดีมิใช่หรือ? ทำไมถึงติดกับล่ะ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากว่าพวกเขาใช้แค่เล่ห์กลธรรมดาย่อมทำสี่ทูตติดกับไม่ได้ บางทีอาจจะใช้วิชากู่บงการจิตใจคนด้วย”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้น่าจะใช่หลงฟั่นกระมัง? ไอ้คนผู้นี้เป็นแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ! หาโอกาสก่อเรื่องได้ตลอด!” เธอใคร่ครวญดูอีกเล็กน้อย “ตามที่ท่านว่าไว้ก่อนหน้านี้ หลงฟั่นต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยสิบปีถึงจะออกมาโลดแล่นได้อีกครั้ง ยามนี้เพิ่งผ่านไปแปดปี ซ้ำยังก่อเรื่องขึ้นสองปีแล้ว เช่นนี้นับได้ว่าเขาฟื้นฟูได้ตั้งแต่ปีที่หกแล้วน่ะสิ ดูท่าเซียนหญิงอะไรนั่นจะมีบทบาทไม่น้อยเลย ซ้ำนางยังแอบอ้างเป็นฮูหยินของเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย…ฮูหยินของเทพศักดิ์สิทธิ์ สำหรับฮูหยินที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาคนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง? มาๆ พูดคุยกันหน่อย”
กู้ซีจิ่วสวมบทบาทเป็นนักข่าว
ตี้ฝูอียื่นมือรั้งเธอเข้าสู่เข้าอ้อมแขน จุมพิตหน้าผากคราหนึ่ง “ฮูหยินของเปิ่นจุนมีเจ้าเพียงผู้เดียว ส่วนคนอื่น…คางคกริอยากลิ้มรสหงส์ฟ้า เจ้าว่าหงส์ฟ้าจะรู้สึกอย่างไรเล่า?”
กู้ซีจิ่วเม้มปากยิ้มแวบหนึ่ง “ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็อาจะเป็นหงส์ฟ้าเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นนางเซียนจากโลกเบื้องบนมิใช่หรือ?”
ตี้ฝูอีปรายตามองเธอแวบหนึ่ง “นี่เจ้าหึงหวงหรือ?”
กู้ซีจิ่วยิ้มแต้ “เปล่านะ ข้าดีใจมากต่างหาก สามีของข้าเลิศล้ำมากพอถึงทำให้สตรีมากมายถึงเพียงนี้คะนึงหาได้…”
ตี้ฝูอีดึงเธอให้ออกเดิน “ความเลิศล้ำของสามีเจ้าไม่จำเป็นต้องให้หมาแมวพวกนี้มายืนยันหรอก ไปกันเถอะ”
กู้ซีจิ่วชักมือกลับ “เดี๋ยวก่อน พวกเราต้องจัดการปัญหาที่จะตามมาด้วย”
เธอไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรจัดการแปลงโฉมให้ตี้ฝูอี ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอแปลงโฉมเป็นประมุขหยางผู้นั้น ส่วนตี้ฝูอีแปลงโฉมเป็นผู้อาวุโสเหลียง จากนั้นทั้งสองคนเดินออกมา พลางเอ่ยสั่งการหัวหน้าหมู่ที่อยู่ด้านนอกสองสามประโยค บอกว่าจะออกไปจัดการธุระข้างนอกกับผุ้อาวุโสเหลียง อีกสามสี่วันถึงจะกลับมา ให้พวกเขาเฝ้าที่นี่ให้ดี
หัวหน้าหมู่คนนั้นค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อครู่เขาเห็นผู้อาวุโสเหลียงออกไปแล้วชัดๆ แล้วย้อนกลับมาอีกตอนไหนกัน?
เพียงแต่ผู้อาวุโสเหลียงคนนี้วรยุทธ์ล้ำเลิศ เดิมทีก็ไปมาไร้ร่องรอยอยู่แล้ว
บทที่ 1393 อดีตไม่อาจไขว่คว้า
เพียงแต่ผู้อาวุโสเหลียงคนนี้วรยุทธ์ล้ำเลิศ เดิมทีก็ไปมาไร้ร่องรอยอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้หัวหน้าหมู่คนนี้จะสงสัย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ตี้ฝูอีวางมือไว้บนไหล่ของกู้ซีจิ่ว ถอนหายใจแผ่วๆ คราหนึ่ง “ซีจิ่ว ข้าว่าพวกเรานับวันยิ่งสมกันขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดเจ้าไม่เกิดให้เร็วกว่านี้สักหลายร้อยปีนะ?”
สาวน้อยผู้นี้จัดการเรื่องราวได้รอบคอบไร้ช่องโหว่
เนื่องจากเรื่องราวซับซ้อนเกินไป ยามนี้พวกเขาเหมาะจะดำเนินการอย่างลับๆ ไม่เปิดเผยร่องรอย หากว่าจู่ๆ ประมุขหยางที่อยู่ในห้องหายตัวไป จะต้องกระตุ้นความสงสัยของคนอื่นๆ ในหน่วยเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจนำไปรายงานให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้นทราบ ทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน
ยามนี้นางปลอมตัวเป็นประมุขหยางเดินส่ายอาดๆ ออกไป ทุกคนทราบกันว่าประมุขหยางออกไปข้างนอก ดังนั้นหายไปหลายวันก็ไม่มีใครตรวจสอบอะไร…
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่ลับ ส่วนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมอยู่ในที่แจ้ง เขาสามารถตรวจสอบเรื่องเหล่านี้อย่างปลอดโปร่งโจ่งแจ้งได้
ยามนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาสอน กู้ซีจิ่วก็สามารถจัดการเรื่องราวได้สอดคล้องกับความคิดของเขาแล้ว สองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันมาแปดปี สบตากันแวบเดียวก็ลงมือได้สอดคล้องไร้ช่องโหว่แล้ว หากว่านางเกิดเร็วกว่านี้สักหลายร้อยปี เขากับนางคงเป็นสามีภรรยากันมาหลายร้อยปีแล้ว…
กู้ซีจิ่วหัวเราะคิกๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าสามีภรรยามีอาถรรพ์เจ็ดปี เจ็ดปีผ่านไปความรักจะแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน เบื่อหน่ายกระทบกระทั่งกันได้ง่ายๆ หากว่าพวกเราครองคู่กันมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจกลายเป็นคู่แค้นกันไปนานแล้ว!”
ตี้ฝูอีขำออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “ไม่เชื่อใจตัวเองถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
กู้ซีจิ่วหยักมุมปาก “อดีตไม่อาจไขว่คว้าได้ ข้าใส่ใจเพียงปัจจุบันกับอนาคตเท่านั้น หนทางในอนาคตของพวกเรายังต้องเดินกันอีกยาวไกล…ข้าบรรลุขั้นสิบแล้วนะ อยู่กับท่านไปได้นานแสนนาน…”
ทั้งสองคนคุยเล่นกันไปตลอดทาง ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา ลากเงาร่างของพวกเขาให้ยืดยาว
….
หุบเขานภาจรเป็นหุบเขาที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายยิ่งนัก
ในหุบเขานภาจรเต็มไปด้วยหนองน้ำ สัตว์มีพิษชุกชุม ถ้าไม่มีวรยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป ไม่มีผู้ใดกล้าวิ่งเข้ามาเสี่ยงภัยในสถานที่แห่งนี้…
หลีเมิ่งซย่ากับผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามรวมถึงลูกน้องที่จงรักภักดีต่อนางซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ที่นี่สายลมคมดั่งมีด หนึ่งปีสี่ฤดูล้วนมีลมแรงตลอด ซ้ำลมนั้นยังเป็นพายุหมุนด้วย สิ่งมีชีวิตในหุบเขาหากไม่ระวังก็จะถูกพายุหมุนกวาดม้วนจนแหลกเป็นชิ้นๆ มนุษย์อยู่ที่นี่หนึ่งวันก็ลำบากยากแค้นยิ่งนักแล้ว แต่พวกเขากลับอยู่ที่นี่มากว่าสองเดือนแล้ว
สถานที่แห่งนี้ไม่มีอาหารและเครื่องดื่ม และไม่สามารถสร้างบ้านเรือนได้ เนื่องจากต่อให้สร้างบ้านขึ้นมาก็จะถูกพายุหมุนที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นประจำพัดปลิวไป ยามที่ทุกคนเหนื่อยล้าอย่างยิ่งแล้วต้องการพักผ่อนจริงๆ ก็ต้องหาหินสักก่อนมาพิง ซ้ำยังต้องผลัดกันเฝ้ายามด้วย ถ้ามีสัตว์มีพิษหรือว่าพายุหมุนเข้ามาโจมตี ก็ต้องลุกขึ้นมาสู้หรือไม่ก็หลบหนี…
ส่วนอาหารการกินก็ต้องเสี่ยงชีวิตออกไปจับจ่าย หนนี้หลีเมิ่งซย่ายั่วโทสะของ ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ เข้า ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจึงมีคำสั่งเด็ดขาด ให้ทั้งแผ่นดินไล่ล่าสังหารพวกเขาหลายคนนี้
คำสั่งของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทรงอานุภาพยิ่งกว่าราชโองการของจักรพรรดิเสียอีก ไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดเข้าแถวจ่อรอจับกุมพวกเขา ในบรรดาคนเหล่านั้นรวมยอดฝีมือคนอื่นๆ ของหอเงาราตรีไว้ด้วย…
ทุกคนล้วนเคยคลุกคลีตีโมงด้วยกัน ทราบรูปแบบการทำงานดี ดังนั้นพวกเขาจึงหลบหนีได้ยากลำบากยิ่งนัก แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ในระหว่างนี้โชคดีที่อดีตพวกพ้องหักใจจับกุมพวกเขาไม่ลง จึงทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้าง ถึงขั้นที่ยังมีบางคนลอบส่งข่าวแจ้งพวกเขาด้วย มิเช่นนั้นพวกเขาคงถูกจับได้นานแล้ว
ชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่อัตคัดยากแค้นอย่างยิ่ง พวกหลีเมิ่งซย่าอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว แต่ละคนราวกับเพิ่งคลานออกมาจากหลุม เรียกได้ว่าขอทานยังดูสะอาดกว่าพวกเขาเสียอีก
หลีเมิ่งซย่านั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง…
—————————————————————–
บทที่ 1394 เขาเป็นตัวปลอม
หลีเมิ่งซย่านั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ที่นี่คือเนินหินแห่งหนึ่ง บนเนินเขาเต็มไปด้วยหิน เหมือนอนุสรณ์สถานหินแห่งหนึ่ง รอบข้างคือหนองน้ำมืดมิด นับว่าเป็นปราการตามธรรมชาติ
ลูกน้องไม่กี่คนของนางนั่งล้อมวงอยู่รอบกายนาง คนเหล่านี้เป็นชายชาตรีที่ไม่ยอมก้มหัวให้สถานการณ์ลำบากยากแค้นใดๆ ทว่าบัดนี้ดวงหน้ากลับเศร้าหมองอยู่บ้าง
พวกเขาสามารถอดทนต่อความบากลำบากต่างๆ นานา เพียงแต่วันคืนเช่นนี้กลับไร้ที่สิ้นสุด พวกเขามองไม่เห็นความหวังใดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือในใจของพวกเขายังคงแบกรับข้อหาทรยศต่อผู้เป็นนายเอาไว้ด้วย
พวกเขาเคารพนับถือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาโดยตลอด และภูมิใจยิ่งนักที่เขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังตน แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องหันหลังให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างไม่มีทางเลือก ถูกเขาสั่งไล่ล่าสังหาร ความรู้สึกในใจนั้นยากจะพรรณนาโดยแท้
“หัวหน้าหลี ท่านว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคล้ายตัวปลอมหรือ? แต่ว่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้วทำไมเขายังไม่เผยพิรุธออกมาอีกล่ะ?”
“ใช่แล้ว ระยะนี้พวกเราออกไปจับจ่าย เห็นว่าเขาออกเดินทางอีกแล้ว พวกมู่เฟิงสี่ผู้คุ้มกันติดตามอยู่ข้างกายเหมือนปกติ หากว่าเขาเป็นตัวปลอม อย่างน้อยพวกมู่เฟิงก็ต้องมองออกสิ ต้องไม่ปกป้องเขาเป็นแน่…”
“หัวหน้าหลี บางทีพวกเราอาจผิดพลาดไปแล้วจริงๆ…”
หลีเมิ่งซย่าลูบเรือนผมที่ยุ่งเหยิง นัยน์ตางดงามฉายแววเด็ดเดี่ยว “ตัวปลอม! เขาเป็นตัวปลอม! ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงจะไม่ดีต่อสตรีอื่น จะไม่สั่งไล่ล่าสังหารแม่นางกู้ซีจิ่วเด็ดขาด!”
ทุกคนเงียบงัน ในที่นี้นอกจากหลีเมิ่งซย่าแล้วล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้น ทุกคนเป็นบุรุษเหมือนกันย่อมเข้าใจบุรุษด้วยกันเป็นอย่างดี
“หัวหน้าหลี ข้ารู้สึกว่าการตัดสินด้วยจุดนี้ออกจะไม่ยุติธรรมนัก บุรุษ…อันที่จริงในกระดูกของบุรุษล้วนมีนิสัยได้ใหม่ลืมเก่ากันทั้งนั้น…นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วที่หนีงานแต่งไปทำให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลายเป็นที่ขบขันถึงเพียงนั้น ถ้าเป็นบุรุษธรรมดาพบเจอเรื่องเช่นนี้ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเทพธิดาก็สามารถตัดขาดได้ นับประสาอะไรกับคนอย่างท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเล่า? ข้ารู้สึกว่าการที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำเช่นนี้อันที่จริงก็ปกติ…”
“ใช่ หัวหน้าหลี ข้อนี้ไม่มีน้ำหนักพอนะ”
หลีเมิ่งซย่าสางเส้นผม “พวกเจ้าไม่เข้าใจ! ข้ามีสัญชาตญาณ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะไม่ปฏิบัติต่อแม่นางกู้เช่นนั้น…ยิ่งไปกว่านั้นคือการกระทำอันไร้มโนธรรมของเขาในไม่กี่ปีมานี้พวกเจ้าก็เห็นแล้วนี่ ก่อชนวนสงครามขึ้นด้วยตัวเอง เห็นชีวิตคนดั่งต้นหญ้า ข้าเห็นกับตาว่าเขาสั่งการให้สังหารตระกูลไป๋หลี่ที่ต่อต้านเขาทั้งตระกูล ตระกูลไป๋หลี่ที่น่าสงสาร ตระกูลเก่าแก่ที่สืบสกุลกันมานานนับพันปีต้องมาถูกสังหารล้างตระกูลเช่นนี้…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงไม่มีทางทำเช่นนี้!”
ทุกคนไม่พูดอะไรอีก ใช่แล้ว สองปีมานี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายประหนึ่งถูกมารสิงร่าง อารมณ์ร้ายไร้เมตตา เอะอะก็สังหารคน ต่อต้านเพียงน้อยก็สั่งประหารเก้าชั่วโคตร นี่ค่อนข้างแตกต่างจากพฤติกรรมในกาลก่อนของเขา
“บางที…บางทีผู้ทำการใหญ่อาจจะไม่ใส่เรื่องหยุมหยิม ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เคยบอกแล้ว ว่าเขาจะยุทธวิธีรวมใต้หล้าให้เป็นปึกแผ่น เช่นนี้ภายหน้าถึงจะไม่มีสงครามที่เดือดร้อนวุ่นวายอีก ดังนั้น…ดังนั้นเรื่องที่นิสัยของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องที่พอใจได้…”
หลีเมิ่งซย่าร้องเฮอะ “ยุทธวิธีไม่ได้แปลว่าจะสังการประชาชนเยี่ยงหมูเยี่ยงหมาได้…สงครามปกติมีการบาดเจ็บล้มตายก็แล้วไปเถิด แต่เพื่อสร้างกองทัพแล้วเขาไม่เลือกวิธีการเลย สังหารทหารกล้าผู้ชาญการศึกบางส่วนด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมทารุณ กล่าวอะไรทำนองว่าเพื่อสะสมไอพยาบาทของผู้คน จากนั้นก็เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารคนที่อำมหิตไร้จิตใจ ซ้ำยังให้เครื่องจักรสังหารหล่านี้เข่นฆ่าครอบครัวของพวกเขาเองด้วย…การกระทำชั่วช้าเช่นนี้มีอะไรต่างจากมารร้ายกัน?”
ทุกทอดถอนใจ หลีเมิ่งซย่าพูดถูก นี่เป็นจุดที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้รับไม่ได้ที่สุด
ถึงแม้หอเงาราตรีจะเป็นหน่วยสังหาร ทว่ามิได้สังหารคนส่งเดช
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น