ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1386-1397

 ตอนที่ 1386 รถยนต์สุดหรู


ไม่ว่าจะเหยียนหมิงซุ่นหรือจ้าวเสวียเอ๋อร์หรือจ้าวอิงหัว ทุกครั้งที่พวกเขากลับจากการออกดูงานต่างที่มักซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับรวมถึงรองเท้ากระเป๋าให้เธออยู่เรื่อย ภูเขาที่กองอยู่เต็มบ้านล้วนเป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้ทั้งนั้น


“มีเยอะก็ให้คนอื่นไป ใส่ตัวใหม่ แค่นี้แหละ เดี๋ยวไปถึงแล้วฉันจะส่งข้อความไปหา ทำไมเธอไม่ซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่มาสักเครื่อง ติดต่อสะดวกจะตายไป…” จ้าวเสวียเอ๋อร์บ่นอุบ


“ไม่เอา โทรศัพท์น่าเกลียดขนาดนั้นฉันไม่ใช้หรอก!”


เหมยเหมยปฏิเสธคำขาด ต่อให้ไม่สะดวกไม่สบายก็ไม่ยอมใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หน้าตาคล้ายก้อนอิฐนั่นเด็ดขาด เธอจำได้ว่าอีกไม่กี่ปีก็จะมีโทรศัพท์ขนาดเล็กยี่ห้อโมโตโรลาวางตลาดแล้ว แม้สู้สมาร์ทโฟนไม่ได้แต่ก็ดูดีกว่าก้อนอิฐมากโข


จ้าวเสวียเอ๋อร์กลอกตาทีหนึ่ง ผู้หญิงเรื่องมากแบบนี้แหละ โทรศัพท์แค่โทรได้ก็พอจะไปสนใจหน้าตามันทำไม?


ไม่ได้เลือกสามีสักหน่อย!


เขาวางสายไปแล้วจัดผมเผ้าตรงหน้ากระจกดูท่วงท่าอันสง่าผ่าเผยของตัวเองอีกแวบหนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มพอใจ ขับรถมุ่งไปยังมหาวิทยาลัยของเมืองหลวง ที่นั่นเป็นถึงมหาวิทยาลัยเก่าของเขาเชียว กลับไปเยี่ยมเยียนถิ่นที่เคยอยู่อีกครั้ง!


เหมยเหมยกลับหอพักก่อนแล้วอดลูบท้องไม่ได้เพราะรู้สึกหิวขึ้นมา ตอนนี้ใกล้ถึงเวลามื้อเย็นรอมร่อเดี๋ยวให้พี่สามพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่ดีกว่า


“เหมยเหมยเธอไม่กินข้าวเหรอ?” ฉีฉีเก๋อถือชามข้าวถาม


“ยังไม่ไปกินเลยเดี๋ยวพี่ชายฉันจะมา ฉันต้องอยู่รอเขา เธอไปกินก่อนเลย!” เหมยเหมยลูบหน้าท้องปอย ๆอีกครั้ง แต่เพราะหิวมากจริง ๆจึงเอาขนมแครกเกอร์มาทานรองท้องไปก่อน


“จ้าวเหมยพี่ชายของเธอก็อยู่เมืองหลวงเหรอ? เรียนหนังสืออยู่หรือทำงานแล้ว?” ถังม่านลี่เองก็กำลังถือชามข้าวจะไปทานข้าวได้ยินคำของเหมยเหมยก็เริ่มถามด้วยความอยากรู้ สีอันน่ากับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็ขยับท่วงท่าให้ช้าลงทำหูตั้งคอยฟังอย่างจดจ่อ


มีเพียงเจิ้งเสวี่ยซานที่ไม่คิดจะสนใจสักนิด เธอรู้อยู่แล้วล่ะ


เพียงแต่เธอก็เลือกจะอยู่ต่อ เธอเองก็อยากรู้ว่าคนที่มาคือพี่ชายคนใดของจ้าวเหมย ไม่แน่อาจใช้เป็นประโยชน์ได้!


ขอเพียงเธอทำตัวดี ๆ ไม่แน่คุณปู่อาจจะให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูเธอ!


ในเมื่อลูกหลานของลูกอีกสองคนไม่มีใครที่โดดเด่น ฟ้าช่างมีตาจริง ๆ!


“ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ครอบครัวคุณปู่ฉันเป็นคนเมืองหลวง ฉันเป็นลูกครึ่งเมืองหลวง” เหมยเหมยตอบคลุมเครือเล็กน้อย ถังม่านลี่เป็นคนปากสว่างและจิตใจต่ำทราม คำพูดดี ๆหลังจากถูกเธอแพร่ออกไปไม่แน่อาจความหมายเปลี่ยนก็ได้


ถังม่านลี่นึกอิจฉาสุดฤทธิ์ “ที่แท้เธอก็คนเมืองหลวงเองเหรอ มิน่าบ้านเธอถึงรวยขนาดนี้”


ในความคิดของเธอนั้นทุกที่ในเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยธนบัตร ขอแค่เป็นคนในเมืองหลวงก็ต้องเป็นคนมีเงินกันทั้งนั้น!


เหมยเหมยมุ่นคิ้วเล็กน้อยและไม่พอใจต่อน้ำเสียงถังม่านลี่อย่างมาก “พ่อแม่ฉันทำงาน ไม่นับว่าเป็นคนมีเงิน อีกอย่างคนในเมืองหลวงก็มีคนจน หมู่บ้านเจ่าของพวกเธอก็มีคนรวย เหมารวมไม่ได้นะ”


ถังม่านลี่ยังอยากพูดต่อแต่ฉีเก๋อเก๋อตะคอกใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “เธอจะกินข้าวอยู่ไหม? เอาแต่ถามอยู่ได้ เธอก็รู้อยู่แล้วนี่!”


คนอื่น ๆเห็นว่าฉีเก๋อเก๋อที่ตัวสูงใหญ่กว่าเพื่อนโกรธเข้าแล้วจึงรีบหยิบชามข้าวกับตั๋วอาหารออกไปจากห้องนอน เหลือเพียงถังม่านลี่ที่ยืนต่อไปก็ไร้ความหมายเลยได้แต่เดินจากไปอย่างจนใน


เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เจอคนที่ชอบซักถามประวัติแบบนี้แถมยังเป็นคนปากสว่างอีก มันช่างน่าเบื่อจริงๆ!


ไม่เกินครึ่งชั่วโมงจ้าวเสวียเอ๋อร์ก็มาถึงแล้วจอดรถอยู่ใต้ตึกหอพัก รถโตโยต้าคราวน์รุ่นใหม่ราคาสูงลิ่วดึงดูดสายตาของนักศึกษาที่เดินเข้าเดินออกนับไม่ถ้วนจนหยุดมองเป็นพัก ๆ


เหมยเหมยเห็นรถคันนี้ก็ปวดศีรษะ โตโยต้าคราวน์ในสมัยนี้ไม่ใช่ของหายากหนำซ้ำยังราคาถูกไปกว่าครึ่ง แต่ในยุคนี้นับว่าเป็นรถหรูแล้วจริง ๆ


ตั้งหกแสนเลยนะ!


เงินเดือนของวัยทำงานในยุคนี้แค่สามสี่ร้อย ไหนจะหมั่นโถวที่ราคาแค่ลูกละห้าสตางค์ อยู่ในยุคสมัยที่เงินสิบสตางค์ก็กินจนอิ่มท้องได้ เงินหกแสนจึงเป็นเงินมหาศาลที่หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะคิด


…………………………….


ตอนที่ 1387 จูบ


“พี่สามคราวหลังพี่มาหาฉันขับรถซีดานมาได้ไหม?” เหมยเหมยพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


จ้าวเสวียเอ๋อร์กลอกตาใส่เธอทีหนึ่งแล้วลงรถเปิดกระโปรงท้ายรถขึ้นเผยให้เห็นถุงเล็กถุงใหญ่ ซึ่งไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเหมยเหมยที่ล้วนมีแต่เสื้อผ้าเครื่องประดับแล้วก็กระเป๋านับสิบกว่าชิ้นได้


เหมยเหมยเอามือกุมหน้าผากอย่างอดไม่ได้ “พี่สาม พี่เอามาเยอะขนาดนี้หอพักฉันไม่มีที่วางหรอก พี่เอาไปส่งที่บ้านฉันแล้วกัน ป้าฟางต้องอยู่บ้านแน่นอน”


“เธอเลือกสักสองชุดไว้ใส่ก่อนแล้วเธอเอาของกินพวกนี้ไปกินด้วย ที่เหลือฉันเอาไปส่งให้ที่บ้านเธอ” จ้าวเสวียเอ๋อร์หยิบถุงที่ใส่ขนมขบเคี้ยวออกมาถุงใหญ่แต่ก็ถูกเหมยเหมยปฏิเสธไปเช่นกัน


“ฉันเก็บไว้ครึ่งเดียวพอพรุ่งนี้ต้องไปเข้าค่ายทหารแล้วครูไม่ให้พกขนมไป ที่เหลือพี่ก็เอาไปส่งให้ที่บ้านเถอะ”


เหมยเหมยเลือกเสื้อโค้ทยาวเลยเข่าสีเบจตัวหนึ่งแล้วก็รองเท้าสองคู่รวมถึงขนมขบเคี้ยวอีกครึ่งถุง ส่วนของที่เหลือกับเครื่องประดับเธอไม่แม้แต่จะปรายตามอง เครื่องประดับของเธอเยอะเกินไป ต่อให้เปลี่ยนวันละชิ้นก็ไม่ทันใส่


“เธอว่าทำไมเธอไม่ชอบแต่งตัวกันนะ เสียดายรูปลักษณ์ดี ๆ นี้จริง ๆ เลย”


จ้าวเสวียเอ๋อร์นึกโมโห ตัวเองเลือกกิ๊บติดผมคริสตัลแบรนด์ SWAROVSKI จากถุงชอปปิง เป็นกิ๊บติดผมที่ประณีตมากและจ้าวเสวียเอ๋อร์ถูกใจมันตั้งแต่แรกเห็นพาลรู้สึกว่าเหมาะกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างมาก


“เธอยังวัยรุ่นแต่งตัวจืดชืดขนาดนี้ไปทำไม? ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินซื้อสักหน่อย ฉันติดกิ๊บให้เธอนะ รอเข้าค่ายกลับมาก็สลับใส่วันละตัว ชีวิตวัยรุ่นผ่านไปไว เธอต้องใช้ให้มันคุ้ม”


จ้าวเสวียเอ๋อร์พูดยาวเหยียดและติดกิ๊บให้เหมยเหมยขณะที่เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจวูบหนึ่ง


รุ่นน้องที่เคยพูดประโยคนี้ไปตายอยู่ที่ไหนนะ?


บทจะไปก็ไปเสียอย่างนั้น ไร้ความปรานีมากจริงๆ!


เวลากลางคืน ณ ประเทศอังกฤษ


เซียวเซียงปั่นจักรยานอย่างสุดแรงเพราะเธอเพิ่งเลิกงานจากร้านอาหาร วันนี้ถ้วยชามค่อนข้างมากเลยกลับบ้านช้าไปสักหน่อย เธอต้องรีบปั่นจักรยานให้เร็วขึ้นเพราะไม่อย่างนั้นเจ้าของบ้านต้องปิดประตูแล้วแหง


“ฮัดชิ้ว!”


เซียวเซี่ยงจามเสียงดังทีหนึ่งแล้วแหงนมองท้องฟ้ากรุงลอนดอนที่นาน ๆ ทีฟ้าจะเปิดด้วยความสงสัย นี่ใครแอบด่าเธอลับหลังกันแน่?


พวกถังม่านลี่ห่อข้าวกลับมาทานที่ห้องพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมา ยซึ่งฉีฉีเก๋อนั้นได้ทานไปถ้วยหนึ่งแล้วแต่ก็ตักกลับมาเพิ่มอีกหนึ่งถ้วยเพราะเธอเป็นคนทานเยอะ ทุกครั้งจะเลือกตักสองรอบโดยทานส่วนแรกก่อนค่อยห่อกลับไปอีกหนึ่งส่วน แบบนี้จะได้ไม่เป็นที่เตะตาใคร


“ผู้ชายคนนั้นกำลังจูบจ้าวเหมยเหรอ? โตขนาดนี้แล้วยังจูบปากกันอีก?”


ถังม่านลี่พึมพำเสียงเบา พวกเธอมองไปยังทิศทางที่เพิ่งเดินผ่านมาเลยเห็นจ้าวเสวียเอ๋อร์ที่กำลังติดกิ๊บให้เหมยเหมย ดูผิวเผินก็เหมือนกำลังจูบกันอยู่นี่นา!


เจิ้งเสวี่ยซานตาเป็นประกายเลยจงใจพูดหยอกเย้า “คงไม่ใช่แฟนหรอกนะ? จ้าวเหมยอายไม่กล้าพูดตรง ๆเลยตั้งใจบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง”


ถังม่านลี่ทำหน้าตกใจเกินเหตุ “แหม คนเมืองกรุงใจกล้าจริง ๆ กลางวันแสก ๆก็จูบกันได้ ที่บ้านเราต่อให้เป็นสามีภรรยายังไม่กล้าทำแบบนี้เลย!”


ทั้งสองคนพูดกันคนละประโยคสองประโยคด้วยความมั่นใจถึงความสัมพันธ์ของจ้าวเสวียเอ๋อร์กับเหมยเหมย


ฉีฉีเก๋อได้ยินแล้วไม่สบายใจอย่างมากเลยตะคอกเสียงต่ำไปที “พวกเธอไม่รู้อะไรก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อย ทั้งที่จ้าวเหมยบอกแล้วว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง จะเอาแฟนมาจากไหน?”


“ลูกพี่ลูกน้องของเธอจะจูบเธอต่อหน้าคนมากมายแบบนี้เหรอ?” ถังม่านลี่จงใจพูดหยอกเย้าทำเอาฉีฉีเก๋อหน้าแดงทันทีพลางถลึงตาดุดันใส่เธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินนำไปข้างหน้า


ประเด็นคือหากมองไปจากมุมของฉีฉีเก๋อผู้ชายคนนั้นเหมือนกำลังจูบเหมยเหมยจริง ฉะนั้นเธอเลยต้องวิ่งไปพิสูจน์ความจริงก่อน บางทีอาจเป็นเพราะจ้าวเหมยลำบากใจที่จะพูดเลยบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องจริง ๆก็ได้


แต่ฉีฉีเก๋อกลับเห็นว่านี่ไม่มีอะไรต้องลำบากใจเลย ชอบก็ต้องกล้าบอกรักอย่างตรงไปตรงมาสิถึงถูก!


ตอนที่ 1388 ยุยงปลุกปั่น


เหมยเหมยส่องกระจกรถดูก็เห็นว่าสวยจริง ๆเลยพูดหยอก “พี่สามไม่เลวนี่ตาดีขึ้นมากเลยนะ พี่มีแฟนแล้วใช่ไหมเนี่ย?”


โดนจ้าวเสวียเอ๋อร์กลอกตาใส่ทีหนึ่ง “พูดเหลวไหล พี่สามของเธอแค่เรื่องงานก็อยากมีสักสามหัวหกแขนแล้ว จะเอาเวลาว่างที่ไหนไปหาแฟน พอแล้วพอแล้ว เธอรีบเก็บของพวกนี้ไปไว้ในหอแล้วไปกินข้าวกัน ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ”


“อ่อ งั้นพี่สามรอฉันแป๊บหนึ่งนะ”


เหมยเหมยหิ้วถุงเดินกลับขึ้นไปชั้นบนและเห็นฉีฉีเก๋อพอดีเลยพูดอย่างมีความสุข “ฉีฉีเก๋อเธอช่วยฉันเอาของกลับไปที ฉันจะไปกินข้าวกับพี่สามของฉัน”


“ได้ เหมยเหมยกิ๊บติดผมที่พี่ชายเธอช่วยติดให้สวยจังเลย” ฉีฉีเก๋อรับถุงมาเลยตั้งใจชี้ไปที่กิ๊บติดผมแล้วกล่าว


เมื่อกี้เธอเดินเร็วเกินไปก็เห็นจ้าวเสวียเอ๋อร์ผละมือถอยห่างจากผมของเหมยเหมยพอดีเลยรู้ว่าเมื่อกี้เธอดูผิดไป คนเขาแค่ติดกิ๊บให้กันเฉย ๆ ไม่ได้จูบกันอย่างที่ถังม่านลี่บอกสักหน่อย


“สวยใช่ไหมล่ะ? นานทีพี่สามฉันจะซื้อของฝากกลับมาให้ ขอบคุณนะ เดี๋ยวฉันจะเอาของอร่อย ๆกลับมาให้เธอ” เหมยเหมยยิ้มคักคิกแล้วพยักหน้าให้พวกถังม่านลี่น้อย ๆก่อนจะกลับขึ้นรถไป


รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับสีอันน่ามองจนตาค้างเลยทีเดียว นี่มันรถโตโยต้าคราวน์รุ่นใหม่ล่าสุด รถคันนี้ราคาไม่เบาเลย แฟนของจ้าวเหมยทำงานอะไรเนี่ยทำไมถึงได้ป๋าขนาดนี้!


“พวกเธอดูผิดแล้ว เมื่อกี้ลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเหมยช่วยติดกิ๊บให้เธอ ไม่ได้จูบกันสักหน่อย” ฉีฉีเก๋อพูดแก้ข่าวอีกครั้ง เธอจะปล่อยให้คนอื่นมาเข้าใจเพื่อนของเธอผิดไม่ได้


ถังม่านลี่กลับไม่เชื่อ “ฉันเห็นเต็มตาว่าพวกเขาจูบกันอยู่ดี ฉันไม่ได้เห็นว่าช่วยติดกิ๊บหรอกนะ ฉีฉีเก๋อเธอก็อย่าช่วยแก้ตัวให้จ้าวเหมยไปหน่อยเลย แฟนก็แฟนสิ มีแฟนขับรถแบบนี้ไม่ได้ขายหน้าสักหน่อย”


ที่บ้านเกิดพวกเธอต่อให้เป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆของอำเภอก็ขับเพียงรถคันเก่า ๆ!


แม้เธอจะไม่รู้เรื่องรถที่แฟนของจ้าวเหมยขับแต่เห็นได้ชัดว่ามีระดับกว่ามาก ต้องมีราคากว่ารถเศรษฐีอันดับต้น ๆ ที่บ้านเกิดเธอแน่นอน


“ทำไมเธอชอบพูดจาเหลวไหลอยู่เรื่อย ฉันว่าเธอคงไม่สบายใจถ้าไม่เห็นโลกนี้ปั่นป่วน วัน ๆทำตัวเหมือนไม้คนขี้[1] ไม่มีขี้ก็ถูกเธอปั่นจนกลายเป็นขี้ไปแล้ว!” ฉีฉีเก๋อพูดไม่เก่งเท่าถังม่านลี่เลยโมโหจนพูดไม่เลือกคำ


เจิ้งเสวี่ยซานกับสวีจื่อเซวียนเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ที่อดพลางก้มมองกับข้าวร้อน ๆไอลอยโขมงที่เพิ่งตักกลับมาเมื่อครู่


ขี้ขี้ขี้ จะให้พวกเธอกินลงได้อย่างไร!


ฉีฉีเก๋อพุ่งกลับเข้าห้องนอนไปด้วยความโมโหตัดสินใจว่ารอเหมยเหมยกลับมาจะบอกเรื่องนี้ให้เหมยเหมยรู้ แม้เธอไม่ฉลาดแต่กลับดูออกว่าคนในห้องแต่ละคนไม่มีใครหวังดีต่อเหมยเหมยเลย


ไม่ใช่คนดีกันสักคน!


ความจริงเจิ้งเสวี่ยซานกับสีอันน่าจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าฉีฉีเก๋อพูดความจริง จ้าวเหมยมาจากครอบครัวฐานะดีไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องพูดปดในเรื่องนี้ ฉะนั้นยุยงให้ถังม่านลี่เป็นคนออกหน้าเพราะอยากดูเรื่องสนุก ๆก็เท่านั้น


อย่างไรเสียพวกเธอไม่ได้พูดอะไร คนออกหน้ามีเพียงถังม่านลี่คนเดียวไม่เกี่ยวกับพวกเธอสักหน่อย


ฉีฉีเก๋อวางถุงไว้บนโต๊ะเหมยเหมยเพราะขนมเยอะเกินไปไม่พอใส่ในลิ้นชักจึงจำต้องวางไว้บนโต๊ะ สีอันน่าเหลือบมองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นแบรนด์จากฮ่องกง บริษัทพ่อของเธอมีลูกค้าชาวฮ่องกงหลายคนที่มักจะซื้อขนมพวกนี้มาฝาก


“กิ๊บติดผมที่จ้าวเหมยติดเมื่อกี้คือสินค้าตัวใหม่ของ SWAROVSKI ใช่ไหม? เหมือนว่าที่เมืองหลวงยังไม่มีตัวนี้นะ ฉันต้องโทรไปถามสักหน่อย” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลอกตาไปมาแล้วพูดพึมพำ เริ่มอวดรวยอีกแล้ว


สีอันน่าโต้กลับอย่างไม่พอใจประโยคหนึ่ง “ถามไปก็เปล่าประโยชน์ อันนี้เพิ่งเปิดตัวที่ฮ่องกงปีนี้ ในประเทศเรายังไม่มีหรอก เธออยากได้คงต้องให้คนหิ้วจากฮ่องกงมาแต่นี่มีจำนวนจำกัด เธอจะซื้อได้ไหมคงพูดยาก”


พูดถึงตรงนี้สีอันน่าก็ได้ใจเล็กน้อย ในที่สุดก็เอาคืนยายอ้วนนี่ได้สักหนแล้ว


……………………………..


ตอนที่ 1389 ตกหลุมพราง


อย่างอื่นเธออาจไม่เชี่ยวชาญเท่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน แต่เครื่องประดับของ SWAROVSKI ไม่มีใครคุ้นเคยไปกว่าเธออีกแล้ว


เพราะปกติเธอซื้อยี่ห้อนี้มากที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องประดับยี่ห้ออื่น เครื่องประดับของ SWAROVSKI ราคาไม่แพงเกินเหตุแถมยังสวยงามประณีตใส่แล้วไม่ดูโหล


ฉะนั้นสีอันน่าเลยมีเครื่องประดับของ SWAROVSKI มากมายราวกับนักเก็บสะสมมืออาชีพที่พูดได้ไม่จบไม่สิ้น


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแค่นหัวเราะทีอย่างไม่สบอารมณ์เพราะโดนสีอันน่าชิงตัดหน้าไปก่อน ทั้งที่เมื่อก่อนเธอต่างหากจะเป็นฝ่ายให้ความรู้เจ้าพวกคนเชยพวกนี้


“ฉันใส่ของ SWAROVSKI ไม่บ่อยนัก คริสตัลราคาตก คนที่ไม่มีเงินแต่อยากอวดรวยถึงซื้อแบรนด์นี้ ปกติฉันซื้อแต่แบรน์อย่างพวกคาเทียร์” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโพล่งออกมาก่อนจะถอนหายใจทีหนึ่ง เมื่อเห็นสีแย่ย้ำแย่ของสีอันน่าอารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันตา


สีอันน่าแค่นหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง “งั้นความหมายของเธอคือจ้าวเหมยก็ไม่มีเงินแต่อยากอวดรวยเหมือนกันสินะ?”


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางตบหน้าขาด้วยความหงุดหงิดทีหนึ่ง โอ๊ย ทำไมเธอถึงลืมเรื่องนี้ไปได้!


“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นนะ เธออย่าเอากะละมังขี้ครอบหัว[2]ฉันสิ กิ๊บติดผมของจ้าวเหมยเป็นของลิมิเต็ด จะไปเทียบกับรุ่นทั่วไปได้อย่างไร?”


เจิ้งเสวี่ยซานกับสวีจื่อเซวียนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง อาหารในถ้วยชามยากจะกลืนลงท้องเหลือเกิน ทั้งที่พอจะทำใจจากไม้คนขี้ของฉีฉีเก๋อมาได้แล้วแต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็พูดคำว่ากะละมังขี้อีก


ยังจะให้กินข้าวอยู่ไหม?


“อะไรเรียกว่าลิมิเต็ดเหรอ?” ถังม่านลี่เริ่มถามด้วยอยากรู้อีกแล้ว


แต่ครั้งนี้ไม่มีคนช่วยไขข้อข้องใจแก่เธออีกเพราะคุณหนูใหญ่เหริ่นอารมณ์ไม่ดีคร้านจะสนใจเธอเลยตอบกลับเสียงห้วนประโยคหนึ่งว่า “เธอจะถามเยอะอะไรหนักหนา? อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีปัญญาซื้อ!”


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่มองถังม่านลี่ที่ทำหน้าถมึงทึงอีกแล้วเตรียมทานข้าว แต่พอเห็นเมนูไข่แดงผักฟักทองที่ตัวเองตักมาพาลทำให้นึกถึงกะละมังขี้ที่ตนเพิ่งพูดไปเลยรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


บ้าเอ้ย!


เธอขุดหลุมให้ตัวเองอีกแล้ว!


ตักอะไรไม่ตักดันมาตักฟักทองที่หน้าตาคล้ายขี้ที่สุด!


“ไม่กินแล้ว ถังม่านลี่เธอจะกินมั้ย?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยื่นกับข้าวที่เธอตักมาให้และมั่นใจว่ายายบ้านนอกคนนี้ต้องไม่ปฏิเสธ ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย–


ถังม่านลี่เห็นกับข้าวในถ้วยชามของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเพียงแวบเดียวก็ทำตาลุกวาวรีบเขยิบเข้ามาทันที แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นพูดรักษาภาพลักษณ์ “ความจริงของฉันก็พอกินแล้วแต่ข้าวแต่ละเม็ดยากนักกว่าจะได้มา จะฟุ่มเฟือยไม่ได้ ฉันช่วยกินแทนเธอแล้วกัน”


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหยิบกระเป๋าสตางค์เตรียมไปทานข้าวที่ร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัย ได้ยินดังนั้นเลยแค่นเสียงแล้วพูดว่า “เสแสร้ง!”


กลับไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ถังม่านลี่แม้จะหน้าด้านไปสักหน่อยและน่ารำคาญไปสักนิด นอกจากนิสัยที่ชอบพูดโกหกอย่างอื่นก็ไม่เลว อย่างน้อยน้ำดื่มตลอดหลายวันนี้ล้วนมีถังม่านลี่คอยเติมให้เธอ กับข้าวเมื่อกี้ถือว่าเป็นค่าจ้างแล้วกัน!


ไม่อย่างนั้นวิธีกินข้าวของยายบ้านนอกคนนี้มีเพียงหมั่นโถวลูกใหญ่กับผัดผักหนึ่งอย่าง สักวันต้องผอมแห้งตัวกระร่องแน่!


สีอันน่าเองก็ทานข้าวในถ้วยไม่ลงเพราะเธอก็ตักเมนูไข่แดงผักฟักทองมาเช่นกันจึงเลียนแบบเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเลื่อนถ้วยชามไปตรงหน้าถังม่านลี่ “ของฉันก็ฝากเธอช่วยจัดการทีนะ!”


เธอคว้ากระเป๋าสตางค์ตะโกนใส่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน “เชี่ยนเชี่ยนรอฉันด้วย เราไปกินด้วยกันสิ!”


“ฉันกับเธอกินไม่เหมือนกัน ไปกินด้วยกันไม่ได้หรอก!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนปฏิเสธอย่างไม่ลังเล


“จะไม่เหมือนได้ยังไงเล่า ฉันเลี้ยงเธอก็ได้!”


“ฉันขาดเงินกินข้าวเหรอ?”


“งั้นเธอเลี้ยงฉันแทนก็ได้ ฉันไม่มีเงิน!”


“แบบนี้ยังค่อยว่าหน่อย!”


……


เดินไปไม่กี่ก้าวเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็รู้สึกถึงความผิดปกติ


แย่แล้ว นี่เธอตกหลุมพรางยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์นี่เข้าแล้ว!


คนทางใต้เจ้าแผนการแบบนี้แหละ วันหลังต้องอยู่ห่างคนเจ้าเล่ห์นี่ให้ไกลหน่อย!


ถังม่านลี่ที่อยู่ในห้องนอนมองกับข้าวสามอย่างตรงหน้าอย่างครุ่นคิดและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เลือกทานของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก่อนส่วนของสีอันน่าเก็บไว้ทานคืนนี้ ของตัวเธอเองไว้เอาน้ำร้อนแช่เป็นอาหารเช้าวันพรุ่งนี้แล้วกัน


เช่นนี้ก็ประหยัดเงินค่ากับข้าวได้อีกสองมื้อ เมืองใหญ่นี่ช่างดีเสียจริง!


……………………


[1] ไม้คนขี้ คนจีนใช้เปรียบเปรยคนที่ชอบพูดยุยงกุข่าวลือ


[2] เอากะละมังขี้ครอบหัว เปรียบคนที่ถูกพูดจาใส่ร้ายป้ายสี


ตอนที่ 1390 นิยายของเธอพี่สามจะเอาไปถ่ายเอง


เดิมทีจ้าวเสวียเอ๋อร์จะพาเหมยเหมยไปร้านอาหารหรูแต่ร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัยส่วนมากมีไว้บริการนักศึกษาแล้วจะมีร้านอาหารหรูได้อย่างไร ขับรถอยู่ตั้งนานก็หาไม่เจอ


“หรือว่าเราเข้าไปกินในเมืองกันเถอะ!” จ้าวเสวียเอ๋อร์เสนอความคิดเห็น


เหมยเหมยไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ “กินที่นี่ก็พอแล้ว ฉันยังต้องกลับไปปั่นงานวาดภาพอีก”


สุดท้ายเหมยเหมยก็เป็นฝ่ายเลือกร้านอาหารซึ่งเธอก็สุ่มเลือกเอามั่ว ๆ ร้านนี้ให้ความรู้สึกดีกว่าหน่อยที่เจ้าของร้านและภรรยาเจ้าของร้านเก็บกวาดสะอาดพอสมควร เหมยเหมยขอห้องส่วนตัวสั่งกับข้าวไปไม่กี่อย่างแล้วให้จ้าวเสวียเอ๋อร์พูดเรื่องสำคัญ


“ไม่ต้องรีบ ขอฉันดื่มน้ำชาสักอึกก่อน เพิ่งกลับจากฮ่องกงก็รีบตรงมาหาเธอทันทีไม่ทันดื่มน้ำสักอึกด้วยซ้ำ” จ้าวเสวียเอ๋อร์ดื่มน้ำไปทีเดียวสามแก้วถึงพรูลมหายใจยาว


ร้านอาหารเขตมหาวิทยาลัยมีข้อดีคือเร็วและราคาสมเหตุสมผล รสชาติก็ไม่แย่ ไม่นานภรรยาเจ้าของร้านก็ยกมาเสิร์ฟก่อนจะทยอยตามกันมาจนครบ


“ฉันได้คุยกับหลินฮั่นเหวินที่ฮ่องกงมาบ้างแล้ว เขาพูดถึงนิยายเรื่อง ‘เจ้าหญิงอัปลักษณ์’ ของเธอ บอกว่ามีบริษัทภาพยนตร์หลายแห่งอยากซื้อลิขสิทธิ์เธอใช่ไหม?” จ้าวเสวียเอ๋อร์ถามตรง ๆ


เหมยเหมยที่หิวโซมานานตักข้าวเริ่มลงมือทานทันที นี่เป็นร้านอาหารเสฉวนร้านหนึ่งซึ่งเธอได้สั่งหมูสามชั้นผัดพริกเสฉวนกับเนื้อปลาผัดพริก รสชาติค่อนข้างดีพอสมควร


ได้ยินดังนั้นเลยเงยหน้าขึ้นดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ “ใช่ แต่ฉันปฏิเสธไปหมดเลย จานนี้อร่อยดี พี่สามรีบกินสิ”


จ้าวเสวียเอ๋อร์ก็หิวแล้วเช่นกันจึงทานไปถามไป “ทำไมเธอถึงปฏิเสธหมดเลยล่ะ? หลินฮั่นเหวินบอกว่าบริษัทยูนิเวอร์แซลที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกงยังไปหาเขาเลย”


“ไม่ชอบก็ปฏิเสธไปสิ ต้องมีเหตุผลอะไรมากมายด้วยเหรอ!”


เหมยเหมยตักข้าวใส่ปากอีกคำ บริษัทยูนิเวอร์แซลเป็นบริษัทบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกงในเวลานี้ก็จริง แต่เธอจำได้ว่าอีกไม่กี่ปีบริษัทนี้ก็ต้องล่มหายสาบสูญไป แต่ต่อให้ไม่หายสาบสูญเธอก็ไม่เคยคิดจะขายลิขสิทธิ์ให้คนอื่นถ่ายเป็นละครภาพยนตร์มาก่อน เธออยากถ่ายเอง


เธอมีความคิดที่อยากจะก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์ของตัวเองมาโดยตลอดนับ ตั้งแต่สยงมู่มู่เข้าวงการนี้และเพื่อป้องกันไม่ให้สยงมู่มู่เจอโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าซ้ำเหมือนชาติที่แล้วจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทเองเลย


เพียงแต่ว่าเธอยังไม่คุ้นเคยกับวงการนี้นัก อีกทั้งเหยียนหมิงซุ่นเองก็ยังตามหาตัวเลือกสำหรับดูแลบริษัทบันเทิงที่เหมาะสมไม่เจอจึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้


“เหมยเหมยเธออยากก่อตั้งบริษัทบันเทิงเป็นของตัวเองหรือเปล่า?” จ้าวเสวียเอ๋อร์ยิ้มตาหยีถาม


“แคร้ง”


เหมยเหมยที่กำลังคีบเนื้อซี่โครงชิ้นหนึ่งเข้าปากเผลอมือกระตุกจนเนื้อซี่โครงตกใส่จาน เธอเองก็คร้านจะคีบใหม่เลยมองจ้าวเสวียเอ๋อร์แล้วถาม “พี่สามพี่คิดจะพูดอะไร อย่ามัวแต่เสียเวลาเลย”


จ้าวเสวียเอ๋อร์พอจะเดาบางอย่างได้เลยยิ้มกล่าว “ฉันพูดตรง ๆเลยแล้วกัน ฉันจะก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์ จะให้เหมยซูหานแบ่งเค้กไปคนเดียวไม่ได้ เหมยเหมย ฉันอยากใช้นิยายของเธอเป็นไม้แรกให้บริษัทฉัน!”


“ทำไมฉันต้องเชื่อพี่ด้วย? ถ้าเกิดมันไม่ดัง นิยายของฉันก็เสียหายหมดสิ!” เหมยเหมยคีบเนื้อซี่โครงใหม่ ปากเล็กมันแผลบแต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมาทำเอาจ้าวเสวียเอ๋อร์โมโหแทบตาย


“ถุยถุยถุย เด็กน้อยพูดไม่คิด ขอให้ราบรื่นมีโชคมีชัยเถิด!”


จ้าวเสวียเอ๋อร์กราบฟ้าดินสามครั้งพร้อมพูดงึมงำเหมือนท่องบทสวดก่อนจะกลอกตาให้เหมยเหมยอีกที “จะไม่ดังได้อย่างไร? พี่สามเธอหาผู้กำกับไว้แล้วด้วย ฟางชิงผิงรู้จักมั้ย? หล่อนเป็นถึงผู้กำกับดังที่ถ่ายแต่หนังแนวกุ๊กกิ๊กของไต้หวันเชียวนะ รับรองว่าถ่ายนิยายของเธอดังเป็นพลุแตกสะท้านฟ้าจนภูตผีต้องร้องไห้”


เหมยเหมยสีหน้าวูบไหว เธอรู้จักฟางชิงผิงอยู่แล้วซึ่งผลงานละครแนวรักหวานโรแมนติกหลายเรื่องของเธอมียอดผู้ชมสูงลิ่ว บอกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกละครแนวรักโรแมนติกเลยก็ว่าได้ หากให้เธอถ่ายก็ยังพอไหว!


“พี่สามพี่เกลี้ยกล่อมผู้กำกับฟางได้จริงเหรอ? ฉันได้ยินมาว่าผู้กำกับฟางงานยุ่งมากจะมีเวลามาถ่ายละครได้ที่ไหนกัน” เหมยเหมยชักสงสัยว่าจ้าวเสวียเอ๋อร์กำลังหลอกเธอหรือเปล่า


…………………


ตอนที่ 1391 พูดเรื่องที่ไม่เข้าหูไว้ก่อนล่วงหน้า


จ้าวเสวียเอ๋อร์ล้วงรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า โชคดีที่เขาเตรียมตัวมาดีรู้อยู่แล้วว่าลูกพี่ลูกน้องไม่ได้เกลี้ยกล่อมง่ายขนาดนั้น


“เห็นหรือยัง นี่แหละผู้กำกับฟางผู้ยิ่งใหญ่ ฉันโชคดีไม่น้อยที่ช่วงนี้ผู้กำกับฟางออกงานที่ฮ่องกง ฉันนัดเธอไปดื่มน้ำชาแล้วตอบตกลง ความจริงผู้กำกับฟางสนใจจะถ่ายนิยายของเธออยู่แล้ว พอรู้ว่าเธอคือน้องสาวฉันก็ตอบตกลงทันทีไม่มีอิดออด”


จ้าวเสวียเอ๋อร์ยังเหนือคาดเพราะตอนแรกคิดว่าคงต้องเสียแรงพูดโน้มน้าว แต่คิดไม่ถึงว่าฟางชิงผิงจะยอมตกลงง่าย ๆ บอกว่าหากเขาเกลี้ยกล่อมเหมยเหมยได้ฝั่งเธอก็ไม่มีปัญหาใด


เหมยเหมยยิ้มดีใจอย่างอดไม่ได้ เธอไม่คิดว่าผู้กำกับชื่อเสียงโด่งดังจะรู้จักและชื่นชมหนังสือของตน รู้สึกเป็นเกียรติมากจริง ๆ!


“งั้นก็ได้ รอพี่ก่อตั้งบริษัทแล้วเรามาเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ ต่อให้เป็นพี่น้องกันคิดบัญชีก็ต้องทำให้ชัดเจนไปเลย” เหมยเหมยพูดเรื่องที่ไม่เข้าหูไว้ก่อนล่วงหน้า


จ้าวเสวียเอ๋อร์กลับพรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง กลอกตาทีหนึ่งแล้วถามเสียงกลั้วหัวเราะ “เหมยเหมยจะร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วยมั้ย?”


อนาคตเขาคิดจะชิงกับเหมยซูหานจึงจำต้องกอดที่พึ่งตัวสำคัญอย่างเหยียนหมิงซุ่นไว้ให้แน่น ไม่อย่างนั้นอาศัยเขาเพียงคนเดียวไม่มีทางต่อกรเฮ่อเหลียนเช่อได้แน่นอน


เหมยเหมยอยากจะร่วมหุ้นด้วยอยู่แล้ว ต่อให้จ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่เสนอเธอก็จะเป็นฝ่ายพูดเอง อีกทั้งมีอีกหลายเงื่อนไขที่เธอต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนล่วงหน้า


“เรื่องร่วมหุ้นไม่มีปัญหา แต่มีสามข้อที่ฉันต้องบอกไว้ก่อน นอกจากฉันกับพี่ที่เป็นสกุลจ้าว ในบริษัทห้ามมีคนสกุลจ้าวคนที่สามโผล่มาอีก อย่างที่สองมู่มู่ก็ต้องร่วมหุ้นด้วย อย่างที่สามเกี่ยวกับหนังสือของฉัน ไม่ว่าจะเรื่องเลือกนักแสดงหรือการปรับเปลี่ยนบทฉันต้องเข้าร่วมทุกกระบวนการ ถ้าฉันคัดค้านก็ห้ามทำต่อเด็ดขาด”


เธอยื่นเงื่อนไขสามข้อในทีเดียว หากจ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่ตอบตกลงเธอก็แค่รอต่อไป รอให้เหยียนหมิงซุ่นหาคนได้เธอค่อยจัดการถ่ายเอง


จ้าวเสวียเอ๋อร์ยิ้มแห้ง เงื่อนไขข้อที่สองกับข้อที่สามเขาไม่แย้งอะไร แต่ข้อแรกกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย น้องสาวปลีกตัวจากตระกูลจ้าวแล้วจริงๆ สินะ!


แต่พอลองคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตระกูลจ้าวทำกับน้องสาวคนนี้ไว้เมื่อสองปีก่อนมันก็…


หากเปลี่ยนเป็นเขาที่โดนกระทำเช่นนี้บ้างเกรงว่าตอนนี้ก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน!


“ได้ ฉันตกลงทั้งสามข้อ บริษัทฉันจะแบ่งหุ้นให้เธอร้อยละยี่สิบห้า มู่มู่ร้อยละสิบ หนังสือสัญญารออีกสักพักเราค่อยมาเซ็น” จ้าวเสวียเอ๋อร์เองก็ตอบตกลงอย่างไม่อิดออด


เหมยเหมยยิ้มกว้างแล้วใช้น้ำชาแทนเหล้า “ชนแก้ว ขอให้บริษัทใหม่ของพี่สามรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา!”


จ้าวเสวียเอ๋อร์ยิ้มแฉ่ง นี่ค่อยฟังเข้าท่าหน่อย!


“เหมยเหมย ปกติคุณปู่พูดถึงเธอบ่อยมากนะ เธอ…” คุยเรื่องงานเสร็จจ้าวเสวียเอ๋อร์ชักอยากคุยเรื่องที่บ้านบ้าง แม้รู้ทั้งรู้อาจสร้างความไม่พอใจให้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด…


“ว้าว หมูสามชั้นผัดพริกเสฉวนจานนี้อร่อยจริง ๆ พี่สามกินเยอะ ๆนะ”


เหมยเหมยพูดเสียงดังเกินจริงแล้วคีบเนื้อติดมันชิ้นโตใส่ถ้วยจ้าวเสวียเอ๋อร์ เอาให้เลี่ยนตายไปเลย ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเธอไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด!


จ้าวเสวียเอ๋อร์ถอนหายใจเบา ๆ และไม่ได้ทานเนื้อติดมันชิ้นนั้น เขาไม่ชอบทานเนื้อติดมันที่สุด นี่น้องสาวจงใจเล่นงานเขาอยู่สินะ!


เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่บ้านอีก เกิดความห่างเหินขนาดนี้ใช่ว่าบอกให้ผ่านก็จะผ่านไปได้ง่าย ๆ หวังว่าคุณปู่จะอายุยืนยาวหน่อยรอจนกว่าน้องสาวจะดึงหนามที่ทิ่มแทงใจชิ้นนั้นออกได้


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับสีอันน่าเพิ่งวิ่งไปถึงหลังมหาวิทยาลัยก็เห็นรถคันงามแสนโดดเด่นของจ้าวเสวียเอ๋อร์กำลังจอดอยู่หน้าประตูร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งคู่สบสายตากันแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปยังร้านอาหารร้านนั้นอย่างพร้อมใจกันโดยไม่ได้นัดหมาย


พวกเธอจงใจนั่งข้างนอกทานเหมือนไม่ใส่ใจอะไรมากแต่จะมองเข้าไปด้านในเป็นพัก ๆ จนไม่รู้รสชาติอาหารด้วยซ้ำ


เหมยเหมยทานจนหน้าท้องแน่นพลางเรอสามครั้งติดกันถึงเดินออกมา ปราดเดียวก็เห็นทั้งสองคนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่นอกร้านอาหารเลยชะงักไป สองคนนี้สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย!


 ตอนที่ 1392 ต่างมีแผนในใจ


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับสีอันน่าโยนตะเกียบทิ้งอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ววิ่งหนีทั้งที่ยังไม่ทันจ่ายเงิน เจ้าของร้านวิ่งตะโกนไล่ตามหลังมาจนสีอันน่าเอาศอกกระทุ้งใส่อย่างแรง “เธอเป็นคนเลี้ยง!”


ให้ตายสิ!


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนถลึงตาใส่สีอันน่าด้วยความขุ่นเคืองทีหนึ่งแล้วล้วงเงินสิบหยวนจากกระเป๋าสตางค์ยัดใส่มือเจ้าของร้าน “ไม่ต้องทอน”


เธอค่อยวิ่งไล่หลังสีอันน่าไปอย่างเร่งรีบ ซึ่งสีอันน่ากำลังทักทายเหมยเหมยอยู่ทว่าสายตากลับเหลือบมองไปทางจ้าวเสวียเอ๋อร์เป็นระยะ ๆ ด้วยแววตาปลาบปลื้มแต่แฝงด้วยความเขินอาย


ต้องบอกว่าจ้าวเสวียเอ๋อร์ดูดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อ่อนโยนสุภาพบุรุษริมฝีปากแดงฟันขาว ยิ่งไม่ต้องพูดชุดสูทสั่งตัดพิเศษที่สวมใส่ รวมถึงรถยนต์สุดหรูเป็นคะแนนพิเศษยิ่งทำให้มีเสน่ห์มากกว่าเดิม


ถึงทำเอาสีอันน่ากับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหลงเสียจนหน้ามืดตามัวไปหมด


“จ้าวเหมย นี่พี่ชายของเธอเหรอ?” เสียงของสีอันน่าหวานย้อยเสียจนแทบกลั่นออกมาเป็นน้ำตาลอยู่แล้ว จ้าวเสวียเอ๋อร์นึกถึงเนื้อติดมันชิ้นเมื่อสักครู่อย่างน่าแปลกพาลรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาชั่ววูบ จึงมองมาทางสีอันน่าแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้


เขาอยากดูสักหน่อยว่าหน้าตาสวยปานนางฟ้าเพียงใดถึงได้ส่งเสียงน่ารังเกียจได้ขนาดนี้!


แต่ดูเพียงแวบเดียวเขาก็ไม่อยากดูอีกเป็นครั้งที่สอง หากจะเอ่ยถึงนิยามความงามที่จ้าวเสวียเอ๋อร์มีต่อผู้หญิง อย่างอื่นเขาไม่ร้องขออะไรมากแค่ผิวขาวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขาไม่ชอบคนสวยผิวดำคล้ำที่ไม่มีรสนิยมแบบนั้น!


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวงามผิวสีช็อกโกแลตอย่างสีอันน่าเลย เขานึกปุเลี่ยนแทบตาย!


สีอันน่ากลับหลงผิดเข้าใจว่าจ้าวเสวียเอ๋อร์สนใจเธอเลยอดดีใจไม่ได้ ดัดเสียงให้หวานยิ่งกว่าเดิมอีกหน่อย “สวัสดีค่ะพี่ชายจ้าวเหมย ฉันชื่อสีอันน่า เป็นรูมเมทของจ้าวเหมย”


จ้าวเสวียเอ๋อร์พยักหน้ารับด้วยสีหน้าราบเรียบพลันอดถูมือไม่ได้ น้องสาวของเธอเสียงไพเราะน่าฟัง หวานหยดย้อยทว่าไม่รู้สึกเลี่ยนและน่าขนลุกขนาดนี้ แต่ทำไมพอฟังเสียงยัยคนนี้มากเข้ากลับรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น


พูดดี ๆ ไม่ได้หรือไงกัน?


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนใช้ก้นดันสีอันน่าที่กำลังพยายามโปรยเสน่ห์ออกไปแล้วยิ้มกล่าว “ฉันคือเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เพื่อนร่วมชั้นเรียนและรูมเมทของจ้าวเหมย สวัสดีค่ะพี่ชายของจ้าวเหมย!”


จ้าวเสวียเอ๋อร์ถึงค่อยคลายหัวคิ้วลง ในที่สุดก็มีคนปกติเสียที เขาพยักหน้าให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเช่นกันพลางเอ่ยปากพูดอย่างเอ็นดูประโยคหนึ่งว่า “หลังจากนี้คงต้องรบกวนฝากเหมยเหมยของเราให้พวกเธอดูแลด้วยแล้ว”


“พี่ชายจ้าวเหมยสบายใจได้เลย รับรองว่าดูแลแน่นอนค่ะ!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเอามือทุบอกพูดรับปากโดยใช้เสียงกลบเสียงน่าขนลุกของสีอันน่า


เหมยเหมยจะไม่รู้ทันได้อย่างไรว่าสองคนนี้กำลังคิดแผนอะไรกันอยู่ อยากเป็นพี่สะใภ้สามของเธอสินะ เธอลอบยิ้มในใจได้แต่ทำทีไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรทั้งนั้น


เนื่องด้วยมารยาทขากลับจ้าวเสวียเอ๋อร์จึงพาพวกเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับมาด้วย ต่อให้ห่างจากหอพักเพียงไม่กี่ก้าวก็ตาม


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับสีอันน่าคอยมองอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถที่มีระดับอย่างตื่นเต้นและเปิดโลก ต้องบอกว่าในยุคสมัยนี้การตกแต่งรถยี่ห้อโตโยต้าคราวน์ดีที่สุดที่แม้แต่รถยี่ห้ออื่นยังเทียบไม่ได้ นั่งสบายกว่ามากเช่นกัน


ทั้งคู่มองจนละสายตาไม่ได้พลางคิดในใจว่าคิดไม่ผิดเลยที่ออกมาทานข้าวมื้อนี้ พี่ชายของจ้าวเหมยร่ำรวยจริง ๆ หากได้อยู่บนเรือนใกล้น้ำเอื้อมถึงจันทร์ [1]การที่พวกเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างยากลำบากก็นับว่าได้ค่าตอบแทนแล้ว!


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับคิดมากกว่าหน่อยเพราะเธอพอจะรู้ตัวว่าตัวเองอ้วนถึงขนาดนี้โอกาสที่จะชนะคงไม่สูงนัก ฉะนั้นเธอยิ่งอยากผูกความสัมพันธ์กับพี่ชายจ้าวเหมยไว้ให้ดีเพื่อจะได้ช่วยเรียกลูกค้าให้บริษัทครอบครัวตัวเอง


พี่ชายจ้าวเหมยต้องรวยกว่าครอบครัวเธอมากแน่นอน พ่อของเธอขับรถซีดานที่พูดถึงราคาก็ไม่ถูกนัก แต่กลับเทียบรถยนต์ที่ตกแต่งสุดเลิศอย่างโตโยต้าคราวน์คันนี้ไม่ได้เลย ซึ่งก็บ่งบอกว่าพี่ชายของจ้าวเหมยรวยกว่าครอบครัวเธอไม่รู้กี่เท่า!


ต้องประจบประแจงไว้สิ!


พ่อแม่ของเธอมีลูกสาวอย่างเธอเพียงคนเดียว อนาคตบริษัทก็เป็นของเธอ เธอย่อมต้องหาลู่ทางไว้ให้บริษัทตัวเองอยู่แล้ว!


……………………..


 ตอนที่ 1393 พี่ชายของฉันคือบุคคลว่างงาน


ระยะทางจากร้านอาหารถึงหอพักสั้นนักไม่กี่นาทีก็ถึงเสียแล้ว สีอันน่ากับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอดถอนหายใจอย่างนึกเสียดายไม่ได้ นี่ยังไม่ทันคุยเลยทำไมถึงแล้วล่ะ!


“เหมยเหมย เดือนหน้าวันเกิดคุณปู่ เธออย่าลืมเชียวล่ะ” ขณะที่ลงจากรถจ้าวเสวียเอ๋อร์พูดเตือน


“รู้แล้ว ฉันเตรียมของขวัญไว้แล้ว ไม่ลืมหรอก พี่สามรีบกลับไปเถอะ” เหมยเหมยรู้สึกใจฝ่ออยู่บ้าง ความจริงเธอลืมมันไปนานแล้วแต่เหยียนซินหย่าเตือนเธอก่อนมาที่นี่ ซึ่งของขวัญก็ได้เหยียนซินหย่าคอยเตรียมไว้ให้


จ้าวเสวียเอ๋อร์ยิ้มอย่างพึงพอใจ เพิ่งก้าวขึ้นรถได้ครึ่งตัวก็โผล่หน้าออกมาตะโกนว่า “เสื้อผ้าเครื่องประดับที่ฉันซื้อให้อย่าลืมใส่นะ ของพวกนี้คือสินค้าใหม่หมดเลย อีกไม่กี่วันพี่ก็จะไปฮ่องกงไว้จะซื้อมาให้อีก”


“ไม่เอาแล้ว เสื้อผ้าฉันเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว ไม่ทันใส่แล้ว โอ้ย พี่สามอย่ามัวแต่พูดมากเลยรีบไปเถอะ!”


เหมยเหมยผลักเขาทีหนึ่งอย่างระอาพลางยัดตัวเขาเข้าไปในรถแถมยังช่วยปิดประตูรถให้ด้วยเพื่อเร่งให้เขารีบไป ไม่เห็นสองสาวข้าง ๆ จ้องตาเป็นมันเลยหรือไงกัน!


จ้าวเสวียเอ๋อร์ลูบจมูกอย่างไม่พอใจหน่อย ๆ สตาร์ทรถยนต์ขับออกไปช้า ๆ ไม่กี่เมตรก็โผล่หน้าออกจากหน้าต่างตะโกนเสียงดังว่า “เมื่อวานฉันให้เลขาโอนเงินค่าขนมให้เธอ อยู่ในบัตรใส่เงินอั่งเปาที่ฉันทำไว้ให้เธอ เธออย่าลืมไปถอนออกมาใช้นะ ใช้หมดพี่สามค่อยโอนให้เธอเพิ่ม”


เหมยเหมยร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก แล้วตอบกลับเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์จ้าวเสวียเอ๋อร์ถึงยอมกลับอย่างพึงพอใจ


วิธีสำคัญที่เขาใช้เชื่อมความสัมพันธ์กับน้องสาวคนนี้มาตลอดหลายปีก็คือบัตรใส่เงินค่าขนมใบนี้นี่เอง!


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองหลังรถสุดหรูอย่างอิจฉาแล้วอดพูดไม่ได้ว่า “จ้าวเหมย พี่ชายเธอดีกับเธอจัง!”


เธอเองก็อยากมีลูกพี่ลูกน้องที่ทั้งรวยทั้งใจป้ำแล้วยังหล่อเหลาด้วยเหมือนกัน!


เสียดายที่ลูกพี่ลูกน้องแต่ละคนของเธอหน้าตาเหมือนหัวขโมย พอเห็นพ่อเธอไม่มีลูกชายก็จับจ้องมรดกครอบครัวเธอ แต่ละคนเห็นเธอเป็นดั่งศัตรูอยากให้เธอออกจากบ้านแล้วถูกรถชนตาย กินข้าวให้สำลักตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!


เหมยเหมยยิ้ม “ก็ใช้ได้มั้ง แต่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง”


เธอหันหลังเดินกลับห้อง สีอันน่าเข้ามาประชิดตัวอย่างกระตือรือร้น “จ้าวเหมยพี่ชายเธอทำงานอะไรเหรอ? เขาอายุเท่าไหร่เหรอ?”


“คนว่างงาน อายุก็ไม่น้อยแล้ว” เหมยเหมยจงใจพูด


สีอันน่าสะอึกไปแล้วจงใจตอบกลับ “คนว่างงานที่ไหนจะขับรถดี ๆแบบนี้ได้? รถของพี่ชายเธออย่างน้อยก็หลายแสนหรือเปล่า?”


“รถเป็นของเพื่อนเขา พี่ชายฉันยืมมาอวด ความจริงเขาจนจะตาย” เหมยเหมยยิ้มตาหยีช่วยปัดเป่าโชคความรักให้พี่สามของเธอ เห็นสีอันน่ายิ้มค้างถึงได้วิ่งขึ้นชั้นบนอย่างมีความสุข


อย่างสีอันน่าหรือคิดจะเป็นพี่สะใภ้สามของเธอ?


ยอมเลือกเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยังดีกว่า!


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก จะว่าไปเธอยังเอนเอียงไปทางลูกพี่ลูกน้องของเซียวเซ่ออย่างเซียวเซียงมากกว่า เพียงแต่หญิงสาวคนนี้ก็ดื้อรั้นนัก เพื่อสร้างหน้าสร้างตาให้พ่อแม่จึงดึงดันไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ หนำซ้ำยังบอกว่าเรียนไม่จบปริญญาเอกก็จะไม่กลับประเทศ


เฮ้อ ดูท่าพี่สามของเธอยังต้องโสดไปอีกหลายปีเลยล่ะ!


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเหลือบมองสีอันน่าอย่างสมน้ำหน้าแวบหนึ่งแล้วรีบล้มเลิกความคิดที่มีต่อจ้าวเสวียเอ๋อร์


เธอไม่อยากมีความรัก เธอต้องการแค่ภูเขากองเงินกองทอง


อย่างมากไว้อนาคตค่อยหารับสมัครลูกเขยช่วยเฝ้าบริษัทให้พ่อของเธอ!


คนในหอพักอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เหมยเหมยเอาเนื้อแกะย่างเสียบไม้ที่ตั้งใจซื้อเมื่อสักครู่ออกมา แต่เดิมทีเธออยากซื้อให้แค่ฉีฉีเก๋อคนเดียว แต่จะให้คนเดียวก็ดูไม่ดีเท่าไรเลยจำใจต้องแบ่งให้ทุกคนทาน


“ว้าว เหมยเหมยช่างแสนดีจริง ๆ เลย ฉันกำลังหิวเนื้อย่างอยู่พอดีเลย!” ฉีฉีเก๋อคว้าเนื้อแกะย่างเสียบไม้ขึ้นมาแทะอย่างเอร็ดอร่อย แม้รสชาติไม่เด็ดเท่าไรแต่ยังดีกว่าไม่มี


ถังม่านลี่เองก็หยิบมาทานไม้หนึ่งอย่างไม่เกรงใจ ต่อให้หนังท้องของเธอจะตึงมากแล้วแต่เรื่องที่เป็นผลประโยชน์ไม่มีทางไม่ทำเด็ดขาด


ฉีฉีเก๋อมองถังม่านลี่ที่หน้าด้านอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง เมื่อกี้เพิ่งนินทาว่าร้ายเหมยเหมยไป ตอนนี้กลับมาทานของที่เหมยเหมยซื้อมา ทำไมถึงได้หน้าไม่อายขนาดนี้นะ!


……………………………


[1] หมายถึงได้สัมผัสใกล้ชิดคนฐานะที่สูงกว่าหรือเรื่องใดที่ได้รับผลประโยชน์


ตอนที่ 1394 เนื้อของฉันไม่ให้เธอกิน


“เหมยเหมย ผู้ชายคนเมื่อกี้คือลูกพี่ลูกน้องของเธอ แล้วยังช่วยติดกิ๊บให้เธอด้วยใช่ไหม?” ฉีฉีเก๋อถามเสียงดังลั่น


“ใช่ ลูกชายลุงสองของฉันเอง นี่ไง กิ๊บติดผมอันนี้ สวยใช่ไหมล่ะ?”


เหมยเหมยชี้ไปที่กิ๊บที่ติดอยู่บนผมด้วยความแปลกใจว่าทำไมฉีฉีเก๋อถึงถามเช่นนี้


ถังม่านลี่สายตาวูบไหวแวบหนึ่งและเริ่มทานเนื้อช้าลงรู้สึกใจฝ่อขึ้นมา


ฉีฉีเก๋อชี้ไปที่ถังม่านลี่ว่า “เมื่อกี้หล่อนบอกว่าพี่สามของเธอเป็นแฟนของเธอ แล้วยังบอกว่าเมื่อกี้พี่สามของเธอไม่ได้ช่วยติดกิ๊บให้เธอแต่กำลังจูบเธออยู่ ฉันบอกว่าไม่ใช่หล่อนก็ยังเถียงฉัน!”


หญิงสาวจากแดนทุ่งหญ้าผู้ตรงไปตรงมากลับเล่าเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ออกมาจนหมดเปลือกเหมือนเม็ดถั่วกลิ้งลงจากบนไม้ไผ่ไม่มีผิด ฉีฉีเก๋อคิดว่ามีเรื่องอะไรหากเอาไปซุบซิบลับหลังสู้เปิดใจคุยกันตรง ๆดีกว่า นี่เป็นกฎแห่งแดนทุ่งหญ้าของเธอ


เหมยเหมยหน้านิ่งขรึม เกิดไฟโทสะที่ยากจะบรรยายขึ้นในใจ สกปรกโสโครกสิ้นดี


ถังม่านลี่หดคอน้อย ๆแล้วพูดแก้ตัวเสียงเบา “ก็ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่ดูผิดไปสักหน่อย หัวหน้าห้องเจิ้งยังบอกว่าเป็นแฟนกันเลยด้วยซ้ำ ก็ตำแหน่งนั้นดูเป็นอย่างนั้นนี่นา…”


เจิ้งเสวี่ยซานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและนึกเกลียดยายโง่คนนี้เหลือเกิน ก่อนจะรีบอธิบาย “ฉันสายตาสั้น มองไม่ชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ได้ยินถังม่านลี่บอกว่าจ้าวเหมยกำลังจูบกันอยู่ฉันถึงได้พูดขึ้นตามสัญชาตญาณว่าเป็นแฟนถึงจะจูบกันได้ ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าถังม่านลี่จะดูผิดไป”


ถังม่านลี่เริ่มร้อนใจ ไหงกลายเป็นความผิดเธอได้ล่ะ?


“ทั้งที่หัวหน้าห้องเจิ้งเธอพูดก่อนต่างหากว่าเป็นแฟนฉันถึงพูดตาม ฉันดูผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฉัน…”


“เธอเป็นคนบอกว่าจูบก่อนฉันถึงว่าอย่างนั้น…”


เจิ้งเสวี่ยซานเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนอะไร เธอได้คิดหาทางเอาตัวรอดไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนจะเอ่ยประโยคก่อนหน้านี้แล้ว คนโง่อย่างถังม่านลี่ก็มีไว้หลอกใช้อยู่แล้ว


เหมยเหมยฟังสองคนนี้กัดกันอย่างไม่สบอารมณ์ เธอดึงหน้าลงแย่งเนื้อปิ้งที่เพิ่งทานได้เพียงครึ่งจากมือถังม่านลี่มาโยนทิ้งใส่ถังขยะ แล้วรวบเนื้อย่างเสียบไม้ทั้งหมดยัดให้ฉีฉีเก๋อ


“ฉีฉีเก๋อเธอกินเถอะ เนื้อย่างของฉันไม่ให้คนที่จิตใจสกปรกกิน”


เจิ้งเสวี่ยซานสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกแล้วเอ่ยเสียงเบา “จ้าวเหมยเธอพูดแบบนี้ก็เกินไปหรือเปล่า?”


“ฉันจำได้แม่นว่าฉันเคยบอกไว้ก่อนจะออกจากห้องไปว่าลูกพี่ลูกน้องแท้ ๆของฉันมาหา หรือว่าหัวหน้าห้องเจิ้งตาไม่ดี หูก็ไม่ดีด้วยเหมือนกันเหรอ?” เหมยเหมยแค่นหัวเราะใส่ อย่าคิดว่าเธอจะดูไม่ออกถึงความคิดชั่วร้ายของผู้หญิงคนนี้


เจิ้งเสวี่ยซานเถียงไม่ออกเลยจำต้องกล่าวว่า “ฉันได้ยินไม่ชัดจริง ๆ ก็ได้ ถือว่าเป็นความผิดของฉัน ฉันขอโทษเธอแล้วกัน ขอโทษ”


เธอกัดฟันแน่นลุกยืนโค้งให้เหมยเหมยทีหนึ่งอย่างจริงจัง ทำเอาทุกคนชะงักค้างไป และยังรู้สึกว่าจ้าวเหมยเอาจริงเอาจังเกินไปแล้ว


เหมยเหมยทำหน้าเย็นชาปลีกตัวหนีจากเจิ้งเสวี่ยซาน “ฉันจะรับคำขอโทษเธอไว้แล้วกัน หัวหน้าห้องเจิ้งเธอเป็นถึงหัวหน้าห้องที่คุณครูมอบหมายหน้าที่สำคัญไว้เชียว อย่างไรก็ต้องมีความคิดเป็นของตัวเองหน่อยสิ? ทำไมถึงหูเบาขนาดนี้ล่ะ? คราวหลังเธอต้องระวังหน่อยนะ อย่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียด!”


เจิ้งเสวี่ยซานกัดฟันเค้นรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณเธอที่ชี้ความผิดของฉันให้ฉันรู้ ฉันจะแก้ไขแน่นอน”


ครั้งนี้เธอผิดคาดไปเอง ไม่คิดว่าฉีฉีเก๋อจะตรงไปตรงมาแบบนี้ เธอจำบทเรียนครั้งนี้ไว้แล้ว วันหลังต้องระวังตัวให้ดี!


เธอเองก็ไม่อยากมีเรื่องกับจ้าวเหมย แต่ใครใช้ให้คุณปู่ไม่ชอบจ้าวเหมยกันล่ะ!


เพื่อเอาใจคุณปู่เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่น!


ถังม่านลี่มองเนื้อย่างอีกครึ่งไม้ในถังขยะอย่างเสียดายแล้วนั่งลงเงียบ ๆ ใครจะรู้ว่าจ้าวเหมยจะเจ้าอารมณ์ขนาดนี้บทจะโกรธก็โกรธขึ้นมาจริง ๆ มิน่าถึงว่ากันว่าคนในเมืองไม่มีน้ำใจ ไม่ได้พูดผิดเลยแม้แต่นิดเดียวจริง ๆ!


……………………….


 ตอนที่ 1395 ตึงได้หย่อนได้


เหมยเหมยคิดไม่ถึงว่าเจิ้งเสวี่ยซานจะโค้งขอโทษตามปากว่าจริง ๆ บ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้ตึงได้หย่อนได้ เจ้าแผนการยิ่งกว่าอู่เยวี่ย อู่เยวี่ยถือตัวกว่านี้ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางโค้งตัวขอโทษแน่นอน


ไม่เช่นนั้นเหมยเหมยคงไม่มีวันดึงอู่เยวี่ยลงมาได้อย่างง่ายดายหรอก หากอู่เยวี่ยในตอนนั้นเจ้าแผนการและหน้าด้านอย่างเจิ้งเสวี่ยซาน เกรงว่าตอนนี้คงไม่รู้ว่าใครจะตายในมือใคร!


เหมยเหมยเริ่มเกิดความระแวงขึ้นในใจพลางมองเจิ้งเสวี่ยซานด้วยสายตาลึกซึ้งแวบหนึ่ง


คราวหลังจะต้องระวังคน ๆนี้ไว้ให้ดี!


หมาที่ไม่เห่าแถมยังซ่อนตัวเก่ง เวลากัดขึ้นมาจะโหดที่สุด!


เหมยเหมยเปลี่ยนความคิดเป็นการกล่าวกึ่งตักเตือนว่า “ในเมื่อหัวหน้าห้องเจิ้งกับถังม่านลี่เข้าใจผิดงั้นเรื่องนี้ก็จบแค่นี้เถอะ ฉันก็ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ แต่ฉันจำเป็นต้องพูดไม่เข้าหูไว้ก่อน ถ้าฉันได้ยินเรื่องจูบกับแฟนแพร่ออกไปข้างนอกก็อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าแล้วกัน”


ประโยคสุดท้ายเหมยเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเยือกเย็นจนถังม่านลี่สะดุ้งวาบอย่างอดไม่ได้ รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างหวาดผวา


น่าแปลกเหลือเกิน ทำไมจ้าวเหมยถึงพูดจาได้น่ากลัวกว่าคุณย่าของเธออีกล่ะ?


“เราไม่ใช่คนปากพล่อยสักหน่อยจะไปพูดซี้ซั้วได้อย่างไรกัน ทำไมต้องมองโลกในแง่ลบด้วย…” ถังม่านลี่รู้สึกไม่สบายใจพลางก้มหน้าบ่นอุบอิบแต่ดวงตากลับจ้องเนื้อย่างเสียบไม้บนโต๊ะเป็นระยะ ๆจนน้ำลายสอ


มันหอมมากจริง ๆนะ!


“รู้ก็ดี ทุกคนกินเนื้อเถอะ ตรงนี้ยังมีขนมขบเคี้ยวอีกนิดหน่อย”


เหมยเหมยเก็บความเย็นชาพลางวางเนื้อย่างลงเหมือนเดิม ทั้งยังแกะถุงใส่ขนมขบเคี้ยวที่จ้าวเสวียเอ๋อร์เอามาให้เผยให้เห็นอมยิ้มสีสันสดใสไว้บนโต๊ะ เธอรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้น่าจะไม่ทาน แต่ในเมื่อเธอชวนแล้วจะทานหรือไม่ก็แล้วแต่


ฉีฉีเก๋อกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อสักครู่บรรยากาศในห้องน่ากลัวจัง อีกทั้งดูเหมือนเธอจะเป็นต้นเหตุเสียด้วย


แต่เธอไม่คิดว่าตนเป็นฝ่ายผิด ทั้ง ๆที่พวกถังม่านลี่ต่างหากที่ใส่ร้ายเหมยเหมย เธอในฐานะเพื่อนก็ต้องบอกสิ ป๊าเคยบอกไว้ว่ากับเพื่อนต้องคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่


อืม อย่างไรเสียเธอก็ไม่ผิด!


ทานต่อดีกว่า!


ฉีฉีเก๋อหยิบเนื้อย่างขึ้นมาแทะต่อ แล้วยังแกะโซโคลาตล์ถุงหนึ่งทานไปด้วย เห็นของที่ดำสนิทเป็นแท่ง ๆ ฉีฉีเก๋อเลยถามด้วยความสงสัย “เหมยเหมย อันนี้คืออะไรเหรอ?”


“โซโคลาตล์ ไม่ต่างจากช็อกโกแลตเท่าไหร่ อร่อยมากเหมือนกัน” เหมยเหมยยิ้มอธิบายแล้วดึงมาทานแท่งหนึ่งด้วยความรู้สึกที่นึกอยากทานขึ้นกะทันหัน


“อืม อร่อยจริง ๆด้วย เหมยเหมยขนมอันนี้ซื้อที่ไหนเหรอ? ฉันก็อยากไปซื้อเหมือนกัน” ฉีฉีเก๋อทานไปถามไป เธอทานขนมของเพื่อนไปตั้งมากแล้ว ตามมารยาทเธอก็ต้องซื้อของอร่อย ๆตอบแทนเพื่อนบ้าง เอาแต่ทานของเพื่อนฟรี ๆคงไม่ดีเท่าไร


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็หยิบโซโคลาตล์มาทานหนึ่งถุง เธอแค่ดูยี่ห้อก็รู้ทันทีว่าเป็นสินค้านำเข้า “ยี่ห้อแบบนี้ต้องไปซื้อตามห้างสรรพสินค้าในเมืองหลวง ราคาแพงหูฉี่ ถุงเล็ก ๆแบบนี้ตั้งหลายหยวน โรงเรียนเราก็มีขายแต่เป็นยี่ห้อของประเทศเราเอง รสชาติแย่ไปหน่อยแต่ราคาถูก”


มือของถังม่านลี่ที่เพิ่งยื่นออกไปสั่นระริกแล้วชักกลับอัตโนมัติ


พระเจ้า!


อมยิ้มที่ใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือเธอต้องซื้อด้วยราคาหลายหยวน ขนมคุกกี้ที่ราคาแพงที่สุดจากร้านขายของชำในหมู่บ้านเธอห้าร้อยกรัมก็แค่หนึ่งหยวนกว่าเท่านั้นเอง แม่ของเธอซื้อมาห้าร้อยกรัมทานได้ตั้งหนึ่งเดือน!


ถังม่านลี่หวนนึกถึงสมัยวัยเด็กที่ในหมู่บ้านพวกเธอมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง หล่อนได้ยินมาว่าเคยเป็นคุณหนูใหญ่มาก่อน เป็นคนเมืองจิน ต่อให้ขึ้นเขาลงนาทุกวันแต่หญิงสาวผู้นี้ก็มักแต่งตัวสะอาดสะท้านสวยงามอยู่เสมอ


หญิงสาวผู้นั้นเคยบอกเธอไว้ประโยคหนึ่งแต่เมื่อนั้นเธอยังเด็กเลยไม่เข้าใจ ตอนนี้กลับเข้าใจได้แล้ว


‘คนที่รวยจริง ๆมักเสาะหาการใช้ชีวิตที่มีอาหารละเอียดประณีต แต่ไม่ใช่การทานแบบจัดหนักจัดเต็ม!’


จ้าวเหมยน่าจะเป็นคนรวยที่แท้จริงอย่างที่หญิงสาวคนนั้นเคยบอกไว้สินะ?


 ตอนที่ 1396 หายสาบสูญ


ฉีฉีเก๋อไม่ใช่คนกินยาก หากอร่อยก็ทานเยอะหน่อย ไม่อร่อยก็ทานน้อยหน่อยแต่ขอแค่มีให้ทานก็พอ เธอรีบวิ่งไปซื้อขนมขบเคี้ยวถุงใหญ่จากห้างสรรพสินค้ากลับมา ไม่ว่าจะเป็นลูกพรุนอบแห้ง โซโคลาตล์ มอลทีเซอร์ ถั่วลิสงหนังปลา เนื้ออบแห้ง แฮมต่าง ๆเป็นต้น


“เหมยเหมย เธอยัดใส่กระเป๋าไปหน่อย ถึงตอนนั้นไว้เรามากินด้วยกัน”


กระเป๋าของฉีฉีเก๋อยัดเต็มหมดแล้วเลยเริ่มพุ่งเป้าหมายไปที่กระเป๋าของเหมยเหมย เหมยเหมยิ้มพลางยื่นกระเป๋าไปให้ เรื่องเล็กน้อยนี่นา


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเหลือบมองขนมขบเคี้ยวปริมาณมหาศาลที่ฉีฉีเก๋อซื้อกลับมาแวบหนึ่ง สมองอันชาญฉลาดของเธอเริ่มคำนวณราคาทั้งหมดก็เผลอตกใจเล็กน้อย


ฉีฉีเก๋อไม่ได้ซื้อของราคาถูก บวกกันไปมาอย่างน้อยก็สามสิบหยวนแล้ว ดูท่าทางครอบครัวหญิงสาวจากแดนทุ่งหญ้าก็ฐานะดีไม่เบา วันไหนว่าง ๆค่อยไปสืบหาว่าพ่อแม่ฉีฉีเก๋อทำงานอะไรแล้วกัน


แน่นอนว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้คิดอะไร เธอแค่นึกสงสัยล้วน ๆหรือเป็นตามสัญชาตญาณเธอไปแล้ว หากไปยังสถานที่แปลกใหม่หรือรู้จักคนแปลกหน้าเธอจะค้นหาประวัติอีกฝ่ายอย่างละเอียดโดยไม่รู้ตัว เช่นนี้เธอถึงจะสบายใจ


หากไม่เช่นนั้นเธอจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ


ค่ำคืนนี้บรรยากาศในห้องออกจะอึดอัดไปสักหน่อย ทุกคนต่างพูดจากันอย่างระแวดระวัง อีกทั้งยังแอบเหลือบมองเหมยเหมยเป็นระยะ ๆ น่าจะกลัวเธอไม่พอใจสินะ


เหมยเหมยเห็นทุกการกระทำในสายตาแต่ไม่คิดจะผ่อนปรนแต่อย่างใด


ตอนนี้เธอเองก็ถือว่าเป็นบุคคลมีชื่อเสียงไม่มากก็น้อย ไม่ใช่ว่าคนมีชื่อเสียงจะต้องเย็นชาถือตัว แต่หากเธอไม่วางท่าสักหน่อยปัญหาจะต้องมาถึงตัวแน่นอน


อย่างเช่นเรื่องจูบที่เพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ ทั้งที่เธอบอกแล้วว่าเป็นพี่ชายแต่เจิ้งเสวี่ยซานกับถังม่านลี่กลับยังจงใจกุข่าวลือ หากไม่ใช่ว่าฉีฉีเก๋อบอก เกรงว่ารอให้เธอรู้อีกทีคงจะ–


ข่าวลือที่จ้าวเหมยกับชายแปลกหน้ายืนจูบกันอยู่หน้าตึกหอพักอย่างโจ่งแจ้งจะต้องว่อนไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยแน่


อาจจนถึงกระทั่งมีคนพูดจนแสลงหูหาว่าเธอเป็นเมียน้อยที่มีป๋าคอยดูแลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่นา!


แม้เธอไม่หวั่นต่อข่าวลือพวกนี้แต่เวลาได้ยินแล้วมันน่ารำคาญใจ ต้องตัดไฟแต่ต้นลมถึงจะดี!


คิดว่าวันนี้เธอเคยเตือนไปแล้วเจิ้งเสวี่ยซานคงไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปสร้างข่าวลืออีก ส่วนถังม่านลี่ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองฉลาดทั้งที่เป็นเพียงอาวุธไว้หลอกใช้ของคนอื่นมาตลอดเท่านั้น


เหมยเหมยเดาไว้ไม่มีผิด เจิ้งเสวี่ยซานมีแผนจะทำเช่นนี้จริง ๆ เสียงติฉินนินทาของผู้คนหากมีมากก็พอจะทำลายชีวิตของคน ๆหนึ่งได้ ต่อให้จ้าวเหมยยอดเยี่ยมเพียงใด ทว่าหากมีข่าวฉาวมากไปต้องส่งผลกระทบต่อเจ้าตัวแน่นอน


แต่ตอนนี้จ้าวเหมยเหลือแค่เจาะจงชื่อแล้ว หากเธอยังเอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่อีกก็เท่ากับเปิดตัวเป็นปรปักษ์กับจ้าวเหมยอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้เธอไม่อยากแตกคอกับจ้าวเหมยหรอกนะ!


เวลาหกโมงเช้าอีกวันต้องไปรวมตัวกันที่สนามซึ่งเหมยเหมยตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่า ในฝันมีแต่เหยียนหมิงซุ่นถูกคนไล่ฆ่า เธอเป็นห่วงมากจะให้ข่มตาหลับต่ออย่างไรไหวเลยโทรหาลุงเหลา


“ยังไม่มีข่าวจากทางนั้นเลยเหรอคะ?”


ลุงเหลาชะงักไปพลางตอบกลับ “ยังเลยครับ พวกคุณชายหมิงยังไม่กลับมา แต่ลูกพี่เมิ่งบอกว่าคุณชายหมิงรับภารกิจอื่นต่อคาดว่าน่าจะกลับมาช้าสักหน่อย บอกให้คุณหนูไปเข้าค่ายฝึกทหารอย่างสบายใจ ไม่แน่หลังกลับจากค่ายคุณชายหมิงก็อาจกลับมาแล้ว”


เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างผิดหวัง และนึกโทษเฮ่อเหลียนชิงอยู่ในใจ


ทำไมถึงมอบหมายภารกิจให้เหยียนหมิงซุ่นอีกแล้วนะ!


ต้องจงใจเพราะไม่อยากให้เธออยู่กับพี่หมิงซุ่นแน่นอน เหอะ…ตาแก่โรคจิต!


เฮ่อเหลียนชิงที่อยู่สวนฟาร์มเพิ่งตื่นก็จามเสียงดังพลางลูบจับจมูกปอย ๆ อย่างสงสัยแต่ก็ไม่สนใจนัก หันไปถามเสี่ยวเมิ่งที่อยู่ข้างกายว่า “มีข่าวจากทางหมิงซุ่นบ้างหรือยัง?”


เสี่ยวเมิ่งทำหน้ากังวลเล็กน้อย “ยังครับ ข้อมูลเอากลับมาแล้วและมีข่าวดีที่คาดไม่ถึงด้วย ประเทศ Y ได้คิดค้นส่วนหัวของขีปนาวุธแล้ว หมิงซุ่นขโมยหัวขีปนาวุธนั่นออกมาด้วยแต่ตอนนี้เขากลับหายสาบสูญ”


……………………


ตอนที่ 1397 มีกระรอกตัวเมียแสนสวยแล้ว


เฮ่อเหลียนชิงเลิกคิ้วสูงอย่างเหนือคาด เหยียนหมิงซุ่นเอาหัวขีปนาวุธกลับมาได้เชียวหรือ นี่มันสำคัญกว่าข้อมูลเสียด้วยซ้ำ ฝ่ายกลาโหมคงสุขสบายไปอีกหนึ่งปีเลยล่ะ!


แต่ลูกชายของเขายังไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง!


“ฝั่งประเทศ Y มีคนอยู่อีกไหม?” เฮ่อเหลียนชิงถาม


“มีอีกสี่คน พวกเขาคลาดกับหมิงซุ่น ตอนนี้ทางประเทศ Y ประกาศกฎอัยการศึกทั้งประเทศ พวกเขาเลยต้องคอยแอบตามหา ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวแต่พวกเขาคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่หมิงซุ่นจะหลงอยู่ในทะเลทราย”


เฮ่อเหลียนชิงเงียบไปพักหนึ่งแล้วออกคำสั่ง “ส่งคนไปตามหาทางนั้น แล้วเน้นหาตามทะเลทราย”


ประเทศ Y ค่อนประเทศมีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายซึ่งเมืองหลวงเองก็เป็นเมืองที่ถูกล้อมด้วยทะเลทรายเช่นกัน ภายใต้การไล่ล่าอย่างหนักหน่วงการหนีเข้าทะเลทรายจะเป็นวิธีที่รักษาชีวิตได้ดีที่สุด ฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงถึงร้อยละแปดเก้าสิบที่เหยียนหมิงซุ่นจะอยู่ทะเลทราย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะทนได้อีกกี่วัน?


“ครับ!” เสี่ยวเมิ่งโทรรายงานคำสั่ง คิด ๆแล้วก็เอ่ยขึ้นอีก “เหมยเหมยโทรมาถามหลายรอบแล้วยังพอหาข้ออ้างได้ชั่วคราว แต่กลัวว่าจะหลอกได้อีกไม่นาน”


“ปิดได้กี่วันก็กี่วัน ยัยเด็กนี่น่ารำคาญจะตายชัก ถ้ารู้เรื่องเข้าต้องมาหาเรื่องฉันทุกวันแน่” เฮ่อเหลียนชิงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ยายเด็กคนนี้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นเรื่อย ๆ อกตัญญูอย่างถึงที่สุด


เสี่ยวเมิ่งปากกระตุกพลางตอบรับคำอย่างนอบน้อม


เขากับเฮ่อเหลียนชิงไม่ค่อยเป็นห่วงเหยียนหมิงซุ่นนักเพราะเหยียนหมิงซุ่นเคยผ่านการฝึกเอาตัวรอดจากทะเลทรายที่แสนจะเข้มงวดมาก่อน อย่าว่าแต่ทะเลทรายเลยต่อให้จับไปโยนไว้ในป่าอะเมซอนเหยียนหมิงซุ่นก็สามารถเอาชีวิตรอดได้เป็นอย่างดี


เพียงแต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นจะหนีออกจากทะเลทรายได้เมื่อไร อีกทั้งรอบทะเลทรายต้องมีกองทัพทหารของประเทศ Y คอยเฝ้าระวังอยู่ สิ่งที่พวกเขาคิดได้ประเทศ Y ก็ต้องคิดได้ ประเทศ Y สูญเสียของสำคัญขนาดนั้นไปแล้วกลัวว่าอยากจะกลืนกินเหยียนหมิงซุ่นเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้นเสียด้วยซ้ำ


ฉะนั้นพวกเขาต้องส่งคนไปรับเหยียนหมิงซุ่นกลับมา!


ณ ประเทศ Y


ผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ลมร้อนกระหน่ำพัดใส่หน้า


เหยียนหมิงซุ่นย่ำบนลงผืนทรายทีละก้าว ๆด้วยรองเท้าที่พื้นรองเท้าขาดไปตั้งนานแล้วซึ่งตอนนี้กำลังสวมรองเท้าผ้าที่ทำขึ้นเองกับมือ ในมิติของฉิวฉิวมีเสื้อผ้าของเหมยเหมยอยู่ไม่น้อยเขาจึงเลือกฉีกกางเกงยีนส์ตัวหนึ่งเย็บรองเท้าคู่เก่าให้กลายเป็นรองเท้าผ้าอย่างง่ายคู่หนึ่ง ป้องกันไม่ให้ฝ่าเท้าเกิดรอยบาดแผลจากไอร้อนระอุจากเม็ดทราย


ฉิวฉิวฟุบอยู่บนไหล่ร้อนจนแลบลิ้นหอบแฮ่ก ส่ายหางไปมาเป็นระยะ ๆ


ฉาฉาที่แต่เดิมยังนอนอยู่บนหัวฉิวฉิวคอยชมภาพทิวทัศน์เมืองใหม่อย่างออกรสแต่ก็ร้อนจนมุดเข้าเสื้อของเหยียนหมิงซุ่น แม้เสื้อผ้าของนายผู้ชายก็ร้อนไม่แพ้กันแต่ก็ดีกว่าโดนแสงอาทิตย์สาดส่องโดยตรง


แสงอาทิตย์จ้าเกินไป งูตัวน้อยใกล้ละลายเต็มทีแล้ว!


“ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น…แล้วจะมีกระรอกตัวเมียมาจากไหนเนี่ย? ร้อนจะตายอยู่แล้ว…”


ฉิวฉิวส่ายหางไปมาอย่างขุ่นเคืองแล้วเอากรงเล็บตะปบเป็นพัก ๆด้วยความโกรธ!


สถานที่แห่งนี้มีแต่ทะเลทราย แล้วแบบนี้จะมีกระรอกตัวเมียตัวงามได้อย่างไร?


หนูทะเลทรายตัวเมียหน้าตาอัปลักษณ์กลับมีไม่น้อย!


จู่ ๆเหยียนหมิงซุ่นก็เร่งความเร็วขึ้นไวปานสายฟ้าพุ่งไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนเอานิ้วล้วงจับหนูทะเลทรายสีดำขลับตัวหนึ่งมาอยู่ในมือเขา คว้าหางห้อยตัวลงมาร้องจิ๊ดจิ๊ดไม่หยุด


“อ้วนดี ไหนดูสิว่าตัวผู้หรือตัวเมีย ฉิวฉิวแกมีโชคแล้ว เป็นตัวเมีย”


เหยียนหมิงซุ่นพลิกตัวหงายดูแวบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อฉิวฉิวด้วยสีหน้าเย็นชา ทว่าสายตากลับยียวน


ต่อให้ร้อนทั้งตลอดทางก็ช่างแต่สิ่งที่ทำให้เขารำคาญยิ่งกว่าอะไรก็คือเสียงบ่นของเจ้าตัวเล็กนี้ ไหนจะกรงเล็บที่ตะปบไม่หยุดทั้งยังส่ายหางไปมา เหลือแค่นั่งขี้ใส่หัวเขาแล้ว เห็นแก่เจ้าตัวเล็กนี่เพิ่งสร้างคุณงามความดีมาและยังต้องพึ่งพาแหล่งน้ำจากเขาอีกเฉย ๆหรอกนะ


เหยียนหมิงซุ่น…จะยอมทน!


ไม่ใช่แค่ทนแต่ยังต้องช่วยเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้คุณชายฉิวด้วย!


ที่โวยวายมาตลอดทางก็เพราะไม่มีกระรอกตัวเมียแสนสวยไม่ใช่หรือไง!


ทีนี้คงพอใจแล้วสินะ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)