เทพปีศาจหวนคืน 1386-1393

บทที่ 1386 การมาถึงของวูหยง

 

สายลมกรรโชกแรง


 


ด้านล่าง ภูเขาที่อุดมสมบูรณ์เคลื่อนตัวไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง


 


ฟางหยวนและสมาชิกนิกายเงานั่งอยู่บนแผ่นหลังของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด แต่พวกเขาไม่มีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินไปกับฉากอันยิ่งใหญ่เหล่านี้


 


พวกเขาอยู่ในสถานการณ์อันตราย


 


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้กำลังไล่ล่าพวกเขา อาจมีผู้อมตะ ปีศาจอมตะ หรือผู้บ่มเพาะสันโดษซุ่มโจมตีพวกเขาเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์


 


พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับฝ่ายธรรมะของภาคใต้ คฤหาสน์วิญญาณอมตะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือวังสวรรค์


 


วังสวรรค์จากไปพร้อมกับค่ายกลวิญญาณของภาคใต้


 


แม้ฟางหยวนและคนอื่นๆจะไม่รู้เหตุผลที่ราชันมังกรรีบร้อนจากไป แต่วังสวรรค์ยังต้องการกำจัดฟางหยวนและนิกายเงา


 


การคาดเดาของฟางหยวนได้รับการยอมรับโดยไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆ


 


หากวังสวรรค์ตระหนักถึงตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขา วังสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ นอกจากผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ วังสวรรค์ยังซ่อนไพ่ตายเอาไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาด


 


อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดรู้ว่าไพ่ที่ซ่อนอยู่คือสิ่งใด


 


สิ่งที่ไม่รู้จักสามารถสร้างแรงกดดันให้กับหัวใจของผู้คนเสมอ


 


ไพ่ที่ซ่อนอยู่ของวังสวรรค์เปรียบเสมือนดาบของเพชฌฆาตที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันจะฟาดลงมาเมื่อใด


 


แม้ฟางหยวนและคนอื่นๆจะสามารถหลบหนีไปยังทะเลทรายตะวันตก ไพ่ใบนี้ก็ยังสามารถติดตามพวกเขา


 


‘เจตจำนงสวรรค์แทรกซึมอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน’


 


‘การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันเป็นการเปิดเผยความลับของข้า ข้าใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยและวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดโดยคิดว่ามันสามารถหลอกเจตจำนงสวรรค์’


 


‘นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของข้าในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากอาณาจักรแห่งความฝัน’


 


ฟางหยวนยืนอยู่บนแผ่นหลังอินทรีย์และใช้วิธีตรวจสอบทุกชนิดรวมถึงท่าไม้ตายอมตะภาพอนาคตสามลมหายใจ


 


ขณะเดียวกันเขาก็ไตร่ตรองถึงความผิดพลาดที่ผ่านมา


 


ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ กระทั่งผู้อมตะระดับเก้ายังเคยทำเรื่องผิดพลาดมากมายในชีวิต ขอบเขตการมองเห็นของผู้คนมีขีดจำกัด ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถคาดเดาหรือเหตุผลอื่นๆ ไม่มีผู้ใดสามารถตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดได้ตลอดชีวิต


 


ทำผิด สำนึกผิด และแก้ไข นี่คือพฤติกรรมของคนเก่ง


 


หากฟางหยวนรู้ข้อมูลนี้ก่อนหน้า เขาจะไม่สำรวจอาณาจักรแห่งความฝันโดยประมาท


 


เมื่อคิดย้อนกลับไป อาณาจักรแห่งความฝันที่ฟางหยวนพบล้วนถูกจัดการโดยเจตจำนงสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรแห่งความฝันบนเส้นทางแห่งวารี เส้นทางแห่งค่ายกล และเส้นทางแห่งความมืด


 


ในความเป็นจริงฟางหยวนต้องการยกระดับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาและเส้นทางแห่งข้อมูลมากที่สุด หากความสำเร็จบนเส้นทางแห่งข้อมูลของเขาเพิ่มสูงขึ้น แม้เขาจะไม่มีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูล แต่เขายังสามารถแก้ปัญหาของตนได้ทีละน้อย ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของฟางหยวนอยู่ในระดับสามัญ หากมันเพิ่มสูงขึ้นรวมกับมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน พลังการต่อสู้ของเขาจะพุ่งสูงขึ้นอีกมาก


 


แม้จะไม่ใช่เส้นทางแห่งกาลเวลาหรือเส้นทางแห่งข้อมูล กระทั่งเส้นทางแห่งดาบ เส้นทางแห่งโชค หรือเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ พวกมันล้วนเป็นประโยชน์ต่อฟางหยวนทั้งสิ้น


 


โดยเฉพาะเส้นทางแห่งดาบ


 


ปัจจุบันฟางหยวนมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งดาบหลายดวงและยังมีมรดกที่แท้จริงของโป้ชิง หากเขากลายเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งดาบ พลังการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง


 


น่าเสียดายที่พวกมันไม่ปรากฏขึ้น


 


‘ในช่วงสุดท้ายข้าพบเพียงอาณาจักรแห่งความฝันที่ไร้สาระ’


 


‘นี่เป็นเพราะเจตจำนงสวรรค์แทรกซึมเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝันและควบคุมการเคลื่อนที่ของพวกมัน เจตจำนงสวรรค์ไม่ต้องการให้ข้ามีความก้าวหน้าอีกต่อไป’


 


บางทีนี่อาจเป็นความลับที่ยังไม่เคยมีผู้ใดค้นพบในชีวิตแรกของฟางหยวน


 


‘ข้าสูญเสียวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืด’


 


‘ตอนนี้ข้ากับคนอื่นๆกำลังเผชิญหน้ากับเจตจำนงสวรรค์ โชคดีที่อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเร็วมาก เจตจำนงสวรรค์ไม่มีเวลาพอที่จะเตรียมการบางอย่าง’


 


ฝ่ายธรรมะของภาคใต้ วังสวรรค์ และเจตจำนงสวรรค์ ทั้งสามกำลังไล่ล่าฟางหยวน


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ตื่นตระหนก


 


เขาวางแผนอย่างรอบคอบและเตรียมตัวมาแล้ว


 


เขาเตรียมใจมาอย่างเพียงพอ


 


การถูกเปิดเผยตัวตนในครั้งนี้ยังดีกว่าในอดีตเพราะฟางหยวนมีไพ่หลายใบที่สามารถใช้รับมือสถานการณ์


 


ปัจจุบันเขาใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาเพื่อคิดวิเคราะห์และวางแผนอย่างต่อเนื่อง


 


“คฤหาสน์วิญญาณอมตะกำลังบินมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้!” เป็นเพียงเวลานี้ที่ไป่หนิงปิงแจ้งเตือน


 


นางได้รับมรดกที่แท้จริงไป่เซียงและมีวิธีการตรวจสอบระยะไกล มันเหมาะสมกับสถานการณ์นี้มากกว่าท่าไม้ตายอมตะภาพลวงตาสามลมหายใจของฟางหยวน


 


หลังจากนั้นการแสดงออกของเทพธิาเมี่ยวหยินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “มันคือศาลาทรายเหินของตระกูลลั่ว!”


 


นางมีความรู้เกี่ยวกับภาคใต้เป็นอย่างดีและสามารถจดจำคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ได้ทันที


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินกล่าวต่อด้วยความตกใจ “มันเร็วมาก!”


 


ศาลาทรายเหินเป็นหนึ่งในคฤหาสน์วิญญาณอมตะของภาคใต้ที่รวดเร็วที่สุด มันกระทั่งเร็วกว่าอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


หากฟางหยวนและคนอื่นๆพึ่งพาเพียงอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด ศาลาทรายเหินจะตามพวกเขาทันในไม่ช้า


 


อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้อยู่ในความคาดหมายของฟางหยวน ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้เวลาฝึกฝนค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศมาก่อนหน้านี้ แม้มันจะถูกรบกวนโดยค่ายกลวิญญาณของจื่อชิวหยู แต่มันก็ส่งผลกระทบไม่มาก ตอนนี้พวกเขากำลังจะใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศอีกครั้ง


 


ศาลาทรายเหินบินอยู่ใกล้กับทิวเขา มันสามารถใช้พลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปฐพีเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานอมตะและเพิ่มความเร็ว


 


ภาคใต้เต็มไปด้วยภูเขา ดังนั้นศาลาทรายเหินจึงเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ


 


ขณะที่มันเคลื่อนที่ ทรายสีน้ำตาลจะลอยอยู่รอบตัวมันตลอดเวลา ภายในคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ นอกจากผู้อมตะตระกูลฮั่วยังมีผู้อมตะระดับแปดเฉิงอู๋เจีย


 


ตระกูลเฉิงเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ของภาคใต้ แน่นอนว่าพวกเขามีผู้อมตะระดับแปด


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉิง เฉิงอู๋เจีย วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกกองกำลังของภาคใต้


 


หากเป็นตระกูลอื่น ตระกูลฮั่วจะไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่ศาลาทรายเหิน


 


“หือ?” การแสดงออกของเฉิงอู๋เจียเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อฟางหยวนและคนอื่นๆหายตัวไปจากการรับรู้ของเขา


 


“พวกเขาใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศงั้นหรือ?” หัวใจของเฉิงอู๋เจียสั่นสะท้านขึ้น จากนั้นแผนที่ของภาคใต้ก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา


 


หลังจากรวมข้อมูลต่างๆเข้าด้วยกัน ในไม่ช้าเฉิงอู๋เจียก็สามารถอนุมานจุดหมายหลายแห่งที่ฟางหยวนอาจปรากฏตัวขึ้น


 


และพื้นที่เหล่านั้นล้วนมีผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้รออยู่ทั้งสิ้น


 


“แผนการของวูหยงไม่เลว” เฉิงอู๋เจียกล่าวเบาๆแต่หลังจากนั้นเขากลับขมวดคิ้ว


 


เขาตระหนักว่าด้วยวิธีนี้ฟางหยวนและคนอื่นๆจะถูกไล่ต้อนไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภาคใต้


 


และที่นั่นวูหยงกำลังรออยู่


 


บ้านไม้ไผ่สายลมอาจเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะอันดับหนึ่งของภาคใต้


 


อย่างไรก็ตามวูหยงกลับใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะหอคอยไฟของตระกูลไท่เพื่อเดินทางไปที่นั่น


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้มีความสามารถในการตรวจสอบ ดังนั้นผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้จึงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับฟางหยวนอย่างรวดเร็ว


 


กล่าวได้ว่าฟางหยวนและคนอื่นๆเหมือนปลาที่ติดอยู่ในตาข่าย


 


ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส ผู้อมตะสี่คนปรากฏตัวขึ้น


 


พวกเขาก็คือกลุ่มของฟางหยวน


 


“นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้ว”


 


“ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของข้าถูกใช้ไปมากมาก”


 


“สถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย ศัตรูรู้ตำแหน่งของเรา พวกเขาสามารถไล่ล่าและซุ่มโจมตีพวกเรา เราควรเปลี่ยนทิศทางและหลบหนีจากการตรวจสอบของพวกเขาหรือไม่?”


 


ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆพูดคุย


 


ฟางหยวนส่ายศีรษะ “ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่บนร่างของพวกเราคือสาเหตุที่แท้จริง พวกเขาจะตามพวกเราทันในไม่ช้าตราบเท่าที่พวกเรายังไม่ลบมันทิ้งไป แผนปัจจุบันของเราคือพยายามหลบหนีอกจากภาคใต้และไปยังทะเลทรายตะวันตกอย่างรวดเร็วที่สุด”


 


หากพวกเขาไปยังทะเลทรายตะวันตก วังสวรรค์จะไม่สามารถระดมกำลังรบและไล่ล่พวกเขาที่ทะเลทรายตะวันตกได้อย่างง่ายดาย


 


“ไป!” ฟางหยวนปล่อยอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมาและออกคำสั่งมัน


 


ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศสามารถข้ามผ่านทางอันยาวไกล แต่มันเป็นค่ายกลวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นระยะการขนส่งของมันจึงไม่มากและสิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือมันใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของผู้อมตะ


 


“เศษซากของนิกายเงา พวกเจ้าจะไปที่ใด?” หลังจากบินมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ฟางหยวนก็ได้ยินเสียงของวูหยง


 


“อา…” ใบหน้าของเทพธิดาเมี่ยวหยินกลายเป็นซีดเผือด


 


“ไม่ต้องกลัว นี่เป็นเพียงวิญญาณอมตะลมกระซิบ” ฟางหยวนตระหนักถึงสิ่งนี้


 


วิญญาณอมตะลมกระซิบสามารถส่งเสียงในวงกว้าง ในทางทฤษฎีมันสามารถส่งเสียงไปทั่วทั้งภาคใต้


 


อย่างไรก็ตามในไม่ช้าบ้านไม้ไผ่สายลมก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดหลังนี้มีความเร็วที่น่าตกใจ


 


นั่นทำให้ระยะทางระหว่างฟางหยวนและวูหยงลดลงเรื่อยๆ


 


“ใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ!” ฟางหยวนตระหนักถึงอันตราย


 


การเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปดไม่ปลอดภัยแม้จะอยู่ห่างไกลก็ตาม


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดถูกเก็บขณะที่ผู้อมตะทั้งสี่ใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศและหายตัวไปทันที


 


อย่างไรก็ตามเมื่อกลุ่มของฟางหยวนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง การแสดงออกของพวกเขากลับไม่น่ามอง


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น? ระยะทางของการเคลื่อนย้ายสถานที่สั้นมาก มันยังไม่ถึงสิบส่วนของก่อนหน้า!”


 


เสียงของวูหยงดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าติดอยู่ในกรงอากาศของข้า ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศของพวกเขาไม่สามารถใช้งานอีกต่อไป”


 


เมื่อเสียงสายนี้จบลง บ้านไม้ไผ่สายลมก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าอีกครั้ง


 


สมาชิกนิกายเงารู้สึกราวกับถูกกดทับโดยภูเขาหิน


 


สถานการณ์อันตราย


 


ผู้อมตะระดับแปดวูหยงปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบ้านไม้ไผ่สายลม!



 

 

 


บทที่ 1387 การหลบหนีของอินทรีย์สวรรค์...

 

“กรงอากาศ!?”


 


“เราถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”


 


“ข้าไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย!”


 


สมาชิกนิกายเงาตกตะลึง


 


พวกเขาไม่รู้ว่าถูกโจมตีตั้งแต่เมื่อใด หากไม่ใช่เพราะผลลัพธ์ของค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ พวกเขาจะคิดว่าวูหยงกำลังข่มขู่


 


ผู้อมตะระดับแปดเป็นตัวตนที่ไม่สามารถประมาท


 


วูหยงเป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีความอาวุโสน้อยที่สุดในภาคใต้แต่เขาเรียนรู้และได้รับมรดกมาจากวูตู๋ซิ่ว เขามีวิธีการมากมาย


 


ฟางหยวนขมวดคิ้วลึก


 


‘ท่าไม้ตายนี้ทำงานอย่างไร?’


 


‘มันอยู่ได้นานเท่าใด?’


 


‘ข้าจะค้นหาจุดอ่อนและทำลายมันได้อย่างไร?’


 


ฟางหยวนครุ่นคิดอย่างหนัก


 


บ้านไม้ไผ่สายลมเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าฟาหงยวนไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด


 


สถานการณ์กดดันมาก ฟางหยวนต้องตัดสินใจทันที


 


เขาออกคำสั่ง “ทุกคนเข้าไปในมิติช่องว่างของข้า!”


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“พวกเจ้าอ่อนแอเกินไป การเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปดเป็นเพียงการรนหาที่ตาย มันจะดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะเข้าไปในมิติช่องว่างของข้าและหาวิธีทำลายท่าไม้ตายอมตะกรงอากาศโดยเร็วที่สุด!” ฟางหยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาและเปิดทางเข้ามิติช่องว่างจักรพรรดิทันที


 


สมาชิกนิกายเงามองหน้ากัน


 


ไห่ลั่วหลันเป็นคนแรกที่เข้าไป เป็นเรื่องปกติที่จะไม่นำตนเองไปสู่ที่ตาย เดิมทีไห่ลั่วหลันคิดว่าฟางหยวนอาจใช้ข้อตกลงพันธมิตรส่งนางออกไปเผชิญหน้ากับวูหยงเพื่อให้เขามีเวลาหลบหนี แต่โดยไม่คาดคิดฟางหยวนกลับไม่ทำเช่นนั้น


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินและนางเสือดำลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตามเข้าไป


 


ความสำเร็จในปัจจุบันของพวกนางเกิดจากมรดกที่แท้จริงของราชันภูเขาม่วงและตอนนี้พวกนางก็เป็นสมาชิกนิกายเงา เหตุผลที่พวกนางทำตามคำสั่งของฟางหยวนเพราะเขาเป็นผู้นำนิกาย


 


ตรงข้ามกับไป่หนิงปิงที่ยังรั้นรออยู่


 


นางไม่กังวลเกี่ยวกับฟางหยวน แต่นางต้องการต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด


 


ไป่หนิงปิงไล่ล่าความตื่นเต้นในชีวิต มันเหมือนฟางหยวนไล่ล่าชีวิตนิรันดร์ ความรู้สึกนี้กระตุ้นไฟแห่งความบ้าคลั่งในหัวใจของทั้งสอง


 


“อย่าโง่ แม้เจ้าจะเปลี่ยนเป็นไป่เซียง วูหยงก็ยังสามารถสังหารเจ้าได้อย่างง่ายดาย” ฟางหยวนค่อนข้างร้อนใจ


 


ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นแต่ยังเข้าไปในมิติช่องว่างของฟางหยวนในที่สุด


 


ฟางหยวนนำอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมาและปิดทางเข้าออกมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


เสียงถอนหายใจของวูหยงดังมาจากด้านหลัง “ฟางหยวน เจ้าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นจริงๆ เจ้าสามารถซ่อนตัวในตระกูลวูของข้าได้เป็นเวลานานโดยปลอมตัวเป็นวูอี้ไห่ เจ้าเป็นคนกล้าหาญอย่างแท้จริง น่าเสียดายหากเจ้าเป็นวูอี้ไห่จริงๆ มันจะดีมาก”


 


การถอนหายใจของวูหยงเกิดจากความเสียดายคนที่มีความสามารถ


 


ฟางหยวนหลบหนีขณะที่วูหยงไล่ล่า


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดปลดปล่อยความเร็วสูงสุดของมันออกมาในสถานการณ์อันตราย


 


อย่างไรก็ตามบ้านไม้ไผ่สายลมยังเร็วกว่า


 


ท้ายที่สุดมันก็เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปด


 


นอกจากนั้นมันยังมีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือมันไม่รู้จักความเหนื่อยล้า


 


ตราบเท่าที่มีพลังงานอมตะอย่างเพียงพอ คฤหาสน์วิญญาณอมตะก็ยังสามารถรักษาสภาพของมันเอาไว้ได้


 


อย่างไรก็ตามอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแตกต่างออกไป


 


มันจะเหนื่อยเมื่อเวลาผ่านไป


 


แต่ฟางหยวนไม่สนใจประเด็นนี้


 


เพราะคฤหาสน์วิญญาณอมตะบ้านไม้ไผ่สายลมจะตามทันก่อนที่อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะเหนื่อย


 


“มีผู้ใดมากับเจ้า เข้ามาพร้อมกัน!” ฟางหยวนหันหน้าไปทางวูหยงและตะโกน


 


“ใจเย็น ข้ามาคนเดียว” วูหยงเผยรอยยิ้มบาง


 


บ้านไม้ไผ่สายลมส่งหยดน้ำค้างพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนราวกับลูกศร


 


ฟางหยวนควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดบินขึ้นลงเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีทั้งหมด


 


“ไม่เลว เจ้ามีทักษะในการบินที่ดี ทักษะบนเส้นทางแห่งทาสยิ่งยอดเยี่ยม” วูหยงยกย่อง


 


ฟางหยวนตระหนักถึงสิ่งผิดปกติ


 


สายลมอันแผ่วเบาลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่รอบตัวเขา


 


มันกระทั่งพัวพันอยู่รอบๆบินของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดและทำให้ความเร็วของมันลดลง


 


‘การโจมตีของวูหยงทำให้ข้าต้องเปลี่ยนทิศทาง ความเร็วของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดลดลงขณะที่บ้านไม้ไผ่สายลมเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง’


 


‘ยังมีมวลอากาศพัวพันอยู่รอบตัวข้า มันควรจะเป็นท่าไม้ตายอมตะกรงอากาศ นอกจากนั้นมันยังสามารถใช้ประโยชน์จากสายลมเพื่อเพิ่มพลังอำนาจ’


 


การโจมตีของวูหยงไม่สามารถสัมผัสร่างกายของฟางหยวนแต่มันยังบรรลุเป้าหมาย


 


ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายลดลงอย่างรวดเร็ว


 


“พวกเจ้ายังไม่พบวิธีทำลายมันอีกงั้นหรือ?” ฟางหยวนถามสมาชิกนิกายเงา


 


“ยาก!”


 


“มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย”


 


“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปด มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย”


 


ฟางหยวนกัดฟันแน่นขณะที่เสียงของวูหยงดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้ากำลังคิดวิธีทำลายท่าไม้ตายของข้าใช่หรือไม่? บอกได้เลยว่าเมื่อพวกเจ้าถูกโจมตีโดยท่าไม้ตายนี้ พวกเจ้าก็ไม่สามารถหลบหนี มันมีระยะการทำงานที่ยาวไกล นอกจากนั้นมันยังอยู่ได้นานถึงแปดนาที”


 


วูหยงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


 


หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลงเมื่อได้รับข้อมูลนี้


 


พฤติกรรมของวูหยงแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตนเองของเขาอย่างชัดเจน เขารู้สึกว่าฟางหยวนอยู่ในกำมือของเขาแล้วและไม่สามารถหลบหนีได้


 


บ้านไม้ไผ่สายลมโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง


 


วูหยงเผยรอยยิ้มบางและชี้นิ้วไปที่ฟางหยวน


 


ท่าไม้ตายอมตะดัชนีมังกรวายุ!


 


หนอนตัวน้อยบินออกมาจากปลายนิ้วของวูหยงก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นมังกรวายุยาวหนึ่งร้อยเมตร


 


มังกรวายุพุ่งเข้าโจมตีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแต่ฝ่ายหลังยังสามารถหลบเลี่ยง


 


ฟางหยวนก้าวออกไปข้างหน้าและปะทะมังกรวายุโดยตรง


 


วูหยงรู้สึกประหลาดใจก่อนจะกลายเป็นความตกใจอย่างรวดเร็ว


 


เพราะหลังจากมังกรวายุปะทะกับฟางหยวน มันไม่ได้รับความเสียหายแต่มันบินกลับไปหาเจ้าของ


 


“บึม!”


 


เสียงระเบิดดังขึ้นขณะที่มังกรวายุพุ่งชนคฤหาสน์วิญญาณอมตะบ้านไม้ไผ่สายลม


 


บ้านไม้ไผ่สายลมสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ความเร็วของมันลดลงมากกว่าครึ่ง


 


ฟางหยวนฉวยโอกาสบังคับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดบินห่างออกไป


 


วูหยงเห็นฟางหยวนในชุดคลุมยาวที่โปร่งแสงและปลดปล่อยกลิ่นอายอันลึกลับออกมา


 


“ท่าไม้ตายนี้ เป็นไปไม่ได้!” วูหยงอุทาน


 


แม้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน แต่ข้อมูลเกี่ยวกับหลิวกวนซื่อก็กระจายไปทั่วทั้งห้าภูมิภาค


 


วูหยงสามารถจดจำท่าไม้ตายนี้เพราะมันคือเกราะหวนคืน


 


นี่ทำให้วูหยงตระหนักว่าฟางหยวนก็คือหลิวกวนซื่อ หลิวกวนซื่อก็คือฟางหยวน


 


ฟางหยวนเห็นความประหลาดใจของวูหยงและคิด ‘ดูเหมือนวังสวรรค์ไม่ได้บอกวูหยงว่าหลิวกวนซื่อคือข้า หรือบางทีวังสวรรค์ก็อาจไม่รู้เรื่องนี้?’


 


ฟางหยวนรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย การเปิดเผยตัวตนของหลิวกวนซื่อจะส่งผลกระทบต่อสายสัมพันธ์ของเขากับภาคเหนือ


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางเลือก


 


เผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปด ฟางหยวนต้องใช้เกราะหวนคืนเท่านั้น


 


แม้วูหยงจะล้มเหลว แต่สายตาของเขากลับร้อนแรงมากขึ้น


 


ฟางหยวนไม่เพียงเป็นวูอี้ไห่และมีนิกายเงาอยู่เบื้องหลัง แต่เขายังมีแม่น้ำหวนคืนและเกราะหวนคือ ตราบเท่าที่วูหยงสามารถจับตัวฟางหยวน รากฐานของตระกูลวูจะก้าวเข้าสู่ระดับใหม่


 


ผลกำไรมหาศาลทำให้วูหยงเคลื่อนไหว


 


นอกจากนี้ฟางหยวนยังเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตระกูลวู


 


“ดี แผนการของข้าไม่สูญเปล่าจริงๆ” วูหยงพึมพำและควบคุมบ้านไม้ไผ่สายลมออกไล่ล่าฟางหยวน


 


ฟางหยวนไม่ได้รับผลกระทบจากกรงอากาศแต่อินทรีย์สวรรค์ยังถูกรบกวน อีกด้านหนึ่งวูหยงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


 


วูหยงบังคับบ้านไม้ไผ่สายลมพุ่งเข้าชนอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดโดยตรง


 


ฟางหยวนถอนหายใจและก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับคฤหาสน์วิญญาณอมตะ


 


วูหยงหัวเราะเบาๆ เขาบินออกจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะและเผชิญหน้ากับฟางหยวน


 


ในเวลาเดียวกันบ้านไม้ไผ่สายลมก็พุ่งเข้าโจมตีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


แม้วูหยงจะไม่ได้อยู่ในบ้านไม้ไผ่สายลมแต่เขายังทิ้งเจตจำนงเอาไว้พร้อมกับพลังงานอมตะจำนวนมาก


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


สถานการณ์ของฟางหยวนยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจของผู้อมตะระดับแปด


 


เขาทำได้เพียงรับการโจมตีของวูหยงและสะท้อนมันกลับไปเท่านั้น


 


หลังจากสิบรอบ วูหยงก็เข้าใจเกราะหวนคืนของฟางหยวนแม้เขาจะไม่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามก็ตาม


 


วูหยงมองไปยังอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต


 


เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ วูหยงจึงใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาเพื่อโจมตีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


 


“ไม่ดีแล้ว!” การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนแปลงไป


 


เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดก็ถูกกระตุ้นและสามารถเอาชนะท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยได้ในที่สุด


 


มันสะบัดปีกและหลบหนี!


 


ฟางหยวนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับวูหยงและบ้านไม้ไผ่สายลมเพียงลำพัง


 


“ยังไม่มีความคืบหน้าอีกงั้นหรือ?” ฟางหยวนกระตุ้นสมาชิกนิกายเงาที่อยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


“เราจะมีความคืบหน้าในเวลาอันสั้นได้อย่างไร!?” ขวัญกำลังใจของไป่หนิงปิงและคนอื่นๆตกต่ำลง


 


วูหยงตะโกน “เมื่อข้าอยู่ที่นี่ อย่าคิดว่าจะสามารถใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ!”


 


แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปเขาจะไม่เปิดโอกาสให้ฟางหยวน


 


หลังจากหลายรอบ วูหยงก็กางแขนออกและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะที่เตรียมมาเป็นเวลานาน


 


วิสัยทัศน์ของฟางหวนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาติดอยู่ในสนามรบที่แปลกประหลาดและไม่สามารถหลบหนี


 


“ยอมแพ้และมอบทุกสิ่งของเจ้าให้ข้า ด้วยวิธีนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ฟางหยวน!” วูหยงยื่นคำขาด


 


การแสดงออกของฟางหยวนกลายเป็นมืดมน


 


นี่เป็นสถานการณ์สิ้นหวังอย่างแท้จริง


 


ความหวังเดียวของเขาในเวลานี้คือไป่หนิงปิงและคนอื่นๆสามารถใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเพื่อหลบหนี


 


แต่ในขณะที่วูหยงกำลังจะเคลื่อนไหว การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปยังทิศทางหนึ่ง “ผู้ใด? ออกมา!”


 


เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้อมตะภาคกลาง


 


ทั้งฟางหยวนและวูหยงต่างประหลาดใจที่เห็นคนผู้นี้


 


“เจ้าคือ…ฟงจิวเก้อ!?”



 

 

 


บทที่ 1388 ข้าคือฟงจิวเก้อ

 

ผู้อมตะวัยกลางคนปรากฏตัวต่อหน้าฟางหยวนและวูหยง


 


คนผู้นี้อยู่ในชุดสีแดงขาว เขายืนตัวตรงราวกับหอกหรือดาบ คิ้วของเขาแหลมคม ดวงตาส่องประกาย ใบหน้ามีรอยยิ้มที่อ่อนโยนแต่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา


 


เขาเป็นผู้อมตะภาคกลางที่มีชื่อเสียงกระจายไปทั่วทั้งห้าภูมิภาค เขาเป็นเสาหลักของนิกายคฤหาสน์วิญญาณและเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด


 


เขาก็คือฟงจิวเก้อ!


 


แล้วเขามาที่นี่เพราะเหตุใด?”


 


วูหยงและฟางหยวนประหลาดใจและประหลาดใจ


 


แม้วูหยงจะไม่เคยพบฟงจิวเก้อ แต่เขายังสามารถจดจำคนผู้นี้ได้ทันที


 


หลังจากทั้งหมดผู้อมตะระดับเจ็ดที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดแทบไม่เคยปรากฏขึ้นตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา


 


หากไม่มีหลิวกวนซื่อ ฟงจิวเก้ออาจยังเป็นคนเพียงผู้เดียวที่ประสบความสำเร็จในแง่นี้


 


วูหยงสงบจิตใจลงและเย้ยหยัน “ผู้อมตะภาคกลางกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้างั้นหรือ? ดี ดี”


 


ในการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน วังสวรรค์ฉกชิงผลประโยชน์จากจากฝ่ายธรรมะของภาคใต้


 


ตอนนี้ฟงจิวเก้อยังเข้ามาวุ่นวาย มันจึงกระตุ้นความเกลียดชังของวูหยง


 


ฟางหยวนมองไปที่ฟงจิวเก้อ


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบฟงจิวเก้อ


 


ในชีวิตแรกของฟางหยวน การปรากฏตัวของฟงจิวเก้อได้ทิ้งความประทับใจไว้ในหัวใจของฟางหยวนแล้ว เขาเปล่งประกายมากในสงครามห้าภูมิภาค น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


ความตายของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ภาคกลางสั่นสะเทือนขณะที่อีกสี่ภูมิภาครู้สึกมีความสุข


 


กระทั่งหลังจากกำเนิดใหม่ ฟางหยวนก็ยังเคยพบฟงจิวเก้อ


 


ในด่านรับสืบทอดมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ ฟางหยวนช่วยชีวิตฟงจิวเก้อเอาไว้โดยไม่คาดคิด


 


แม้ฟางหยวนจะไม่ได้ตั้งใจแต่ฟงจิวเก้อก็รอดชีวิตมาได้เพราะฟางหยวน


 


ฟางหยวนมองฟงจิวเก้อและตะโกนเสียงดัง “ฟงจิวเก้อ เจ้าเป็นคนที่วังสวรรค์ส่งมากำจัดข้างั้นหรือ?”


 


ฟงจิวเก้อชำเลืองมองวูหยงก่อนจะหันหน้าไปทางฟางหยวน


 


เมื่อเห็นฟางหยวนอีกครั้ง ฟงจิวเก้อลอบถอนหายใจอยู่ภายใน


 


ความก้าวหน้าของฟางหยวนรวดเร็วเกินไป


 


ครั้งแรกที่ฟงจิวเก้อรู้จักฟางหยวน ฟางหยวนตัดหน้าฟงจินฮวงและฉกชิงแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูไปจากนาง


 


เพราะบุตรสาวของเขา ฟงจิวเก้อจึงรู้สึกชื่อฟางหยวน


 


แต่เขาไม่เคยกังวลแม้แต่น้อย


 


เหตุผล?


 


เพราะเวลานั้นฟางหยวนเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ ความแตกต่างระหว่างผู้อมตะกับมนุษย์ไม่ต่างจากสวรรค์กับพื้นพิภพ พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน


 


อย่างไรก็ตามพัฒนาการของฟางหยวนเหนือความคาดหมายของฟงจิวเก้อไปไกลมาก


 


ฟางหยวนมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเป็นปีศาจต่างโลก เขาเป็นเจ้าของวิญญาณกาลเวลา เป็นผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือดและอื่นๆ เขาก้าวจากขอบเขตมนุษย์สู่ขอบเขตอมตะอย่างรวดเร็วก่อนจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญท่ามกลางผู้มอตะทั้งหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป


 


ผู้อมตะส่วนใหญ่จะไม่มีความสำเร็จดังกล่าวแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ตลอดชีวิตก็ตาม


 


แต่ฟางหยวนทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย


 


‘ข้าไม่ได้คาดหวังว่าหลิวกวนซื่อจะเป็นฟางหยวน ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง วีรบุรุษและผู้เชี่ยวชาญมากมายกำลังจะปรากฏตัวขึ้นและตอนนี้ดูเหมือนฟางหยวนจะเป็นหนึ่งในนั้น’ ฟงจิวเก้อคิด


 


ในเวลาเดียวกันเขาก็เปิดปากกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารีบร้อนเดินทางมาจากภาคกลางเพื่อไล่ล่าวิญญาณอมตะบางดวงที่เทพปีศาจปล้นสวรรค์เคยใช้ แต่ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะมาพบกับเหตุการณ์นี้”


 


‘เขากำลังจะบอกว่าเขาไม่ได้ถูกส่งตัวมาโดยวังสวรรค์งั้นหรือ?’ ฟางหยวนขมวดคิ้ว


 


พิจารณาจากตัวตนของฟงจิวเก้อ เขาไม่จำเป็นต้องโกหก


 


อย่างไรก็ตามวูหยงไม่เชื่อ “ผู้ใดจะคิดว่าฟงจิวเก้อจะมีด้านที่แสแสร้งเช่นกัน เมื่อข้ากระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายเขตแดน เจ้าสามารถจากไปได้อย่างง่ายดายหากเจ้าไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้”


 


ฟงจิวเก้อพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าตั้งใจเข้ามา มันเป็นเพราะข้าติดหนี้ชีวิตต่อฟางหยวน ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงต้องช่วยเขา”


 


“กระไรนะ!?” วูหยงรู้สึกประหลาดใจ


 


ฟางหยวนมึนงงเล็กน้อย


 


วูหยงถามกลับด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ข้าได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือไม่? เจ้าติดหนี้ชีวิตเขา เจ้าจึงต้องการช่วยเขางั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า”


 


วูหยงหัวเราะเสียงดัง


 


ฟงจิวเก้อเป็นผู้อมตะภาคกลางที่ยิ่งใหญ่และจะกลายเป็นสมาชิกวังสวรรค์ในอนาคต


 


แต่เขากลับมาช่วยฟางหยวน?


 


ฟางหยวนคือผู้ใด? ปีศาจต่างโลก เป้าหมายอันดับต้นๆของวังสวรรค์


 


แต่ฟงจิวเก้อยังต้องการช่วยเขา?


 


นี่เป็นเรื่องที่น่าขันอย่างแท้จริง


 


วูหยงหัวเราะ แต่ฟงจิวเก้อก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน


 


เสียงหัวเราะของวูหยงหยุดลงในที่สุด


 


เขารู้ว่าฟงจิวเก้อจริงจัง


 


เขาเป็นคนบ้า!


 


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะต้องการช่วยผู้อมตะฝ่ายปีศาจ!


 


ฟงจิวเก้อไม่เพียงเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ แต่เขายังเป็นตัวตนที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก


 


ขณะเดียวกันฟางหยวนก็ไม่ใช่ปีศาจธรรมดา เขาเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ เขาเป็นเจ้าของวิญญาณกาลเวลา เกราะหวนคืน มรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือด มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เขายึดครองแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู เขาทำลายวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง เขาขัดขวางแผนการท้าทายสวรรค์ของเทพปีศาจจิตวิญญาณ และเมื่อไม่นานมานี้เขายังแทรกซึมเข้าสู่ตระกูลวู สุดท้ายยังกลายเป็นผู้นำนิกายเงา


 


ฟงจิวเก้อต้องการช่วยคนเช่นฟางหยวนจริงๆงั้นหรือ?


 


วูหยงเป็นผู้อมตะระดับแปดฝ่ายธรรมะ แต่ฟงจิวเก้อยังต้องการเผชิญหน้ากับเขาเพื่อช่วยฟางหยวน!


 


‘ไม่ ฟงจิวเก้อแตกต่างจากข้า เขาไม่ได้เป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะตั้งแต่แรก ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นปีศาจอมตะ!’ วูหยงคิด


 


‘ปีศาจที่ไร้เหตุผล!’ วูหยงรู้สึกโกรธ


 


ฟางหยวนคิดถึงอดีตของฟงจิวเก้อ


 


ฟงจิวเก้อเคยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษและไร้ชื่อเสียง


 


เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเสียงและมุ่งมั่นกับมันมาตลอดชีวิต


 


ครั้งหนึ่งเขาเคยร้องเพลงประสานเสียงกับผู้อมตะอีกสองคนอยู่ในหุบเขา


 


พวกเขาร้องเพลงตั้งแต่เวลากลางคืนจนถึงเช้า ทั้งสามหัวเราะและพูดคุยด้วยความปิติยินดี


 


หลังจากหลายปีฟงจิวเก้อได้เรียนรู้ว่าผู้อมตะทั้งสองเป็นปีศาจอมตะที่ฉกชิงวิญญาณอมตะมาจากเจดีย์สวรรค์สีดำและกำลังถูกไล่ล่าโดยนิกายโบราณทั้งสิบ


 


ฟงจิวเก้อรีบไปช่วยพวกเขา


 


ผู้อมตะทั้งสองประหลาดใจที่เห็นฟงจิวเก้อและเปิดปากถาม


 


ฟงจิวเก้อตอบว่า “เมื่อสองสามปีก่อน เราร้องเพลงด้วยกัน ข้าร้องเพลงเกี่ยวกับดวงจันทร์ขณะที่พวกท่านร้องเพลงเกี่ยวกับภูเขาสีเขียวและทะเลสาบสีขาว คนที่สามารถร้องเพลิงเช่นนี้จะเป็นคนใจแคบและปล้นชิงวิญญาณอมตะของผู้อื่นได้อย่างไร ข้าเชื่อใจพวกท่านทั้งสอง”


 


ผู้อมตะทั้งสองซาบซึ้งจนน้ำตาไหล


 


หนึ่งในนั้นกล่าว “ท่าน…เข้าใจเรา เราได้รับมรดกที่แท้จริงเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด แต่เราถูกกล่าวหาโดยนิกายเจดีย์สวรรค์สีดำ เจดีย์สวรรค์สีดำเป็นหนึ่งในสิบนิกายโบราณ ไม่ว่าเราจะอธิบายอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเชือ”


 


อีกคนกล่าวกับฟงจิวเก้อ “เราเคยร้องเพลงด้วยกันเพียงครั้งเดียว เราเป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง เราสองคนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายและไม่มีความหวังเหลืออยู่ มันยังไม่สายที่ท่านจะจากไป”


 


อย่างไรก็ตามฟงจิวเก้อกลับส่ายศีรษะและยืนยันที่จะช่วยพวกเขา


 


ผู้อมตะทั้งสองกล่าวด้วยความกังวล “หากท่านไม่จากไป ท่านจะถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจเช่นเดียวกับพวกเรา”


 


ฟงจิวเก้อหัวเราะ “ไม่มีธรรมะหรือปีศาจ มีเพียงฟงจิวเก้อบนโลกใบนี้ จะอยู่หรือไป ข้าจะเป็นผู้กำหนดชีวิตและความตายของตนเอง”


 


ผู้อมตะทั้งสองหลั่งน้ำตาด้วยความชื่นชมและยินดี


 


ฟงจิวเก้อเอาชนะนิกายเจดีย์สวรรค์สีดำครั้งแล้วครั้งเล่า


 


เมื่ออีกเก้านิกายตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาเร่งส่งกำลังเสริมออกมา


 


ฟงจิวเก้อประกาศท้าทายผู้อมตะทั้งหมด แต่ผู้อมตะจากสิบนิกายโบราณกลับพ่ายแพ้อย่างยับเยิน


 


สิบนิกายโบราณพบกับความพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


 


ในที่สุดนิกายคฤหาสน์วิญญาณก็เคลื่อนไหว เทพธิดาไป่ชิงซึ่งเป็นผู้นำนิกายในเวลานั้นใช้ความรักเปลี่ยนแปลงฟงจิวเก้อและนำเขาเข้าสู่นิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


ย้อนกลับไปเพราะฟงจิวเก้อช่วยผู้อมตะแปลกหน้าสองคนที่ร่วมร้องเพลงกับเขาเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจ


 


มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากตอนนี้ฟงจิวเก้อจะช่วยปีศาจฟางหยวน


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟางหยวนเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้


 


ฟงจิวเก้อยังเป็นคนเดิมไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน


 


ฟางหยวนตระหนักถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังการถอนหายใจของฟงจิวเก้อได้ในที่สุด


 


ฟงจิวเก้อต้องการช่วยฟางหยวนแต่เขายังต้องคิดถึงภรรยาและบุตรสาวตลอดถึงสถานะของตนเอง ดังนั้นเขาจึงต้องกระทำการอย่างลับๆ


 


แต่น่าเสียดายที่วูหยงตระหนักถึงการคงอยู่ของเขา


 


ฟงจิวเก้อไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปรากฏตัวออกมา


 


เช่นเดียวกับในอดีต


 


ไม่มีธรรมะหรือปีศาจ มีเพียงฟงจิวเก้อบนโลกใบนี้


 


จะอยู่หรือไป ข้าจะเป็นผู้กำหนดชีวิตและความตายของตนเอง


 


ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายปีศาจ ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดข้า


 


เพราะข้าคือฟงจิวเก้อ


 


และจะเป็นฟงจิวเก้อตลอดไป!



 

 

 


บทที่ 1389 ฟางหยวน ฟงจิวเก้อ และวูหยง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” วูหยงหัวเราะเสียงดัง


 


เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


 


เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธฟงจิวเก้อที่ต้องการช่วยฟางหยวน


 


“ดี”


 


“ดี”


 


“พวกเจ้าทั้งคู่เป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ดแต่มีพลังการต่อสู้ระดับแปด”


 


“ให้ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของพวกเจ้า!”


 


ความภาคภูมิใจและความมั่นใจในฐานะผู้อมตะระดับแปดทำให้เจตนาสังหารในหัวใจของวูหยงปะทุขึ้น


 


เขามั่นใจในชัยชนะ


 


หนึ่งต่อสอง?


 


วูหยงเป็นผู้อมตะระดับแปดขณะที่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด


 


มีความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดและระดับแปด


 


โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบ้านไม้ไผ่สายลม!


 


วูหยงคิดไม่ออกว่าเขาจะแพ้ได้อย่างไร


 


การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียด


 


ฟงจิวเก้อค่อยๆเคลื่อนที่เข้าไปหาวูหยงขณะเดียวกันก็กล่าวกับฟางหยวน “เจ้าเคยช่วยชีวิตข้า ตอนนี้ข้ากำลังจะช่วยชีวิตเจ้า บุญคุณได้รับการชำระแล้ว เจ้าควรจากไป แต่เจ้าจะสามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้หรือไม่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง”


 


ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจ


 


พิจารณาถ้อยคำเหล่านี้ ชัดเจนว่าฟงจิวเก้อจะไม่ร่วมมือกับฟางหยวนแต่จะต่อสู้กับวูหยงเพียงลำพัง


 


“ตกลง” ฟางหยวนล่าถอยทันที


 


เขาจะทิ้งโอกาสนี้ได้อย่างไร?


 


เมื่อเห็นฟงจิวเก้อต้องการต่อสู้เพียงลำพัง ช่วยไม่ได้ที่วูหยงจะรู้สึกชื่นชมและกล่าว “เอาล่ะ ให้ข้าเห็นพลังอำนาจของอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของภาคกลาง”


 


จากนั้นเขาก็เก็บบ้านไม้ไผ่สายลมกลับเข้าไปในมิติช่องว่าง


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดเป็นไพ่ตายของเขา


 


มันถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณอมตะระดับแปดหลายดวง โดยธรรมชาติแล้วมันต้องพึ่งพาพลังงานอมตะจำนวนมหาศาล วูหยงใช้งานมันมาเป็นเวลานานในการไล่ล่าฟางหยวน


 


ดังนั้นตอนนี้วูหยงจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ชั่วคราว


 


นี่เหมือนกับการเก็บดาบศักดิ์สิทธิ์ไว้ในฝัก ศัตรูจะไม่มีวันรู้ว่าเมื่อใดที่วูหยงจะชักดาบเล่มนี้ออกมา ความไม่รู้จะสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้กับฝ่ายตรงข้าม


 


ในเวลาเดียวกันสิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตนเองของวูหยง


 


เขาต้องการต่อสู้กับฟงจิวเก้ออย่างยุติธรรม


 


ทั้งสองพร้อมต่อสู้!


 


สายลมกรรโชกแรงรอบตัววูหยงก่อนจะหยุดลงอย่างกะทันหัน


 


ฟงจิวเก้อและฟางหยวนเฝ้ามองอย่างตั้งใจ


 


นี่เป็นสัญญาณของการกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของวูหยง


 


ก่อนหน้านี้กลิ่นอายที่ทรงพลังถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าฟงจิวเก้อหรือฟางหยวน ทั้งคู่ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งใด


 


ฟงจิวเก้อเร่งถอยกลับและสร้างระยะห่างออกจากวูหยง


 


เขาจะกล้าอวดดีกับผู้อมตะระดับแปดได้อย่างไร?


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่าไม้ตายอมตะที่ไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิง การเผชิญหน้ากับมันอย่างประมาทเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น


 


สายลมอ่อนพัดมาอย่างไม่รู้จบสิ้นก่อนจะควบรวมเป็นร่างขนาดใหญ่


 


มันมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์แต่สูงเท่าช้าง ร่างกายของมันเป็นสีน้ำเงินเข้ม มีเขี้ยวอันแหลมคมยื่นออกมาจากปาก แขนคู่มหึมาของมันยาวลงไปถึงเท้า ดวงตาของมันดำสนิท


 


ท่าไม้ตายอมตะนับรบสายลมอ่อน!


 


วูหยงสร้างนักรบสายลมอ่อนหกร่างพร้อมกัน


 


นักรบสายลมอ่อนคำรามเสียงดังด้วยเสียงแหลมสูง


 


พวกมันแบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆละสามคน กลุ่มแรกโจมตีฟงจิวเก้อ กลุ่มที่สองไล่ล่าฟางหยวน


 


ฟงจิวเก้อต้องต่อสู้กับวูหยงขณะที่วูหยงต้องการจัดการทั้งฟงจิวเก้อและฟางหยวน


 


ดวงตาของฟงจิวเก้อส่องประกายขึ้นเมื่อเห็นท่าไม้ตายของวูหยง เขาไม่ถอยแต่ปลดปล่อยการโจมตีระยะไกลออกจากฝ่ามือ


 


“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง”


 


เสียงดังจากฝ่ามือของฟงจิวเก้อ


 


คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไปและสัมผัสนักรบสายลมอ่อนทั้งหก


 


นักรบสายลมอ่อนที่น่าเกรงขามก่อนหน้านี้ถูกหยุดการเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์


 


รูม่านตาของฟางหยวนและวูหยงหดเล็กลงเมื่อเห็นสิ่งนี้


 


ทั้งคู่ตะลึง!


 


ฟงจิวเก้อเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ดแต่ท่าไม้ตายอมตะของเขากลับไม่ด้อยกว่าวูหยง


 


ไม่ว่าจะเป็นฟางหยวนหรือวูหยง ทั้งคู่สามารถมองเห็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งเสียงจำนวนมหาศาลบนร่างของฟงจิวเก้อ


 


มันกระทั่งสามารถเทียบเคียงกับวูหยง!


 


คนผู้นี้ฝึกฝนมาถึงระดับนี้ได้อย่างไร?


 


ฟางหยวนประหลาดใจมากขณะที่เขาสังเกตการต่อสู้จากระยะไกล


 


เหตุผลที่ฟางหยวนสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดเป็นเพราะเกราะหวนคืน แต่ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดเพราะรากฐานที่ลึกซึ้งของเขา


 


หากเปรียบเทียบ ฟางหยวนยังด้อยกว่าฟงจิวเก้ออยู่มาก


 


‘เขาฝึกฝนมาอย่างไร? รากฐานระดับนี้ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถเอาชนะสิบนิกายโบราณและมีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับวูหยง!’


 


‘มันเป็นรากฐานที่แท้จริงหรือเป็นวิธีการชั่วคราวที่คงอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ?’


 


ฟางหยวนไตร่ตรอง


 


โดยธรรมชาติแล้วความสนใจหลักของฟางหยวนยังอยู่ที่ท่าไม้ตายเขตแดนอตะของวูหยง นอกจากนั้นเขายังต้องวิเคราะห์และอนุมานเกี่ยวกับกรงอากาศ


 


ในเวลาเดียวกันสมาชิกนิกายเงาที่อยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวนก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่


 


เมื่อเห็นนักรบสายลมอ่อนกลายเป็นไร้ประโยชน์ วูหยงจึงกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอื่น


 


เขาใช้แส้สายลมฟาดไปที่ฟงจิวเก้อโดยตรง


 


แส้สายลมถูกฟาดออกไปอย่างต่อเนื่องและสร้างเสียงระเบิดที่คมชัดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง


 


ฟงจิวเก้อใช้มือซ้ายจัดการนักรบสายลมอ่อนและใช้หมัดขวาต่อต้านแส้สายลม


 


ฝ่ามือข้างซ้ายของฟงจิวเก้อส่งคลื่นอัดอากาศพร้อมกับเสียงระฆังออกไปโจมตีนักรบสายลม


 


หมัดขวาของเขาส่งเสียงกลองสงครามขณะปะทะแส้สายลม


 


“เคร้ง เคร้ง เคร้ง…”


 


“ปัง ปัง ปัง…”


 


ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับวูหยงได้อย่างเท่าเทียม


 


กระทั่งฟางหยวนยังรู้สึกมึนงง


 


เหตุผลหลักก็คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของฟงจิวเก้อที่ไม่ด้อยกว่าผู้อมตะระดับแปดเช่นวูหยง


 


สิ่งนี้ต่อต้านสามัญสำนึกของโลกผู้อมตะอย่างสมบูรณ์


 


ความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดและระดับแปดก็คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


 


โดยเฉลี่ยแล้วภัยพิบัติพิภพจะมอบร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าให้แก่ผู้อมตะประมาณสองร้อยห้าสิบร่องรอย


 


ภัยพิบัติสวรรค์เจ็ดร้อยห้าสิบร่องรอย


 


ภัยพิบัติใหญ่เจ็ดพันสองร้อยห้าสิบร่องรอย


 


และหมื่นภัยพิบัติแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยห้าสิบร่องรอย


 


ความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดกับระดับแปดมหาศาลมาก ขณะที่ความแตกต่างระหว่างระดับแปดกับระดับเก้าราวกับสวรรค์และพิภพ


 


นี่คือเหตุผลที่ผู้อมตะระดับเก้าสามารถบดขยี้ผู้อมตะระดับแปดและผู้อมตะระดับแปดสามารถจัดการผู้อมตะระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย


 


เมื่อผู้อมตะก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ทุกคนรู้ตรรกะนี้


 


ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อมตะระดับเจ็ดจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเท่ากับผู้อมตะระดับแปด มิฉะนั้นโลกใบนี้คงมีผู้อมตะระดับเจ็ดที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดอยู่มากมาย


 


อย่างไรก็ตามฟงจิวเก้อกลับเป็นข้อยกเว้น เขาสามารถทำลายขีดจำกัดนี้ได้จริงๆ


 


‘หากมันเป็นพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นชั่วคราว มันจะเป็นเรื่องง่ายที่สามารถยอมรับ แต่หากมันเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของเขาจริงๆ มันจะน่ากลัวเกินไป’ ฟางหยวนคิดกับตนเอง


 


วูหยงไม่โกรธที่ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างเท่าเทียม


 


“ดี”


 


“สมกับเป็นฟงจิวเก้อ”


 


“เช่นนั้นลองท่าไม้ตายนี้”


 


วูหยงชี้นิ้วไปที่ฟงจิวเก้อ


 


หนอนตัวน้อยถูกยิงออกจากปลายนิ้วและกลายเป็นมังกรวายุร่างกายใหญ่โตอย่างรวดเร็ว


 


ท่าไม้ตายอมตะดัชนีมังกรวายุ!


 


รูม่านตาของฟงจิวเก้อหดเล็กลง เขาเร่งล่าถอย


 


มังกรวายุทรงพลังมาก ฟงจิวเก้อไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้โดยตรง


 


นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะท่าไม้ตายอมตะดัชนีมังกรวายุของวูหยงมีวิญญาณอมตะระดับแปดเป็นแกนกลาง


 


ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของฟงจิวเก้ออาจเท่าเทียมกับวูหยงแต่เขาไม่มีวิญญาณอมตะระดับแปด


 


ฟงจิวเก้อไม่สามารถรับมือท่าไม้ตายอมตะระดับแปดด้วยท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดของเขา


 


เขาถอยกลับแต่ยังส่งหมัดและฝ่ามือออกมาอย่างไม่รู้จบสิ้น หลังจากใช้ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดซ้ำๆ ในที่สุดมังกรวายุก็อ่อนแอลง


 


แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฟงจิวเก้อต้องใช้พลังงานอมตะระดับเจ็ดจำนวนมหาศาล


 


ในทางกลับกันวูหยงใช้จ่ายพลังงานอมตะระดับแปดไปเพียงเล็กน้อย


 


ฟงจิวเก้อด้อยกว่าวูหยงในแง่นี้


 


นอกจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า ผู้อมตะระดับแปดยังเหนือกว่าผู้อมตะระดับเจ็ดในแง่มุมอื่นเช่นคุณภาพของพลังงานอมตะหรือวิญญาณอมตะ


 


เพียงมังกรวายุ วูหยงก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ทันที


 


‘ท่าไม้ตายนี้อันตรายมาก ข้าไม่สามารถปล่อยให้มันเข้ามาใกล้’ ฟงจิวเก้อมีสัญชาตญาณที่ไม่ธรรมดา


 


วูหยงซ่อนท่าไม้ตายอีกท่าเอาไว้ มันคือดาบวายุคลั่ง


 


เมื่อท่าไม้ตายนี้ทำงาน มังกรวายุจะระเบิดตัวเองและปลดปล่อยดาบวายุจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา มันเคยแสดงพลังอำนาจออกมาแล้วที่ค่ายกลวิญญาณแม่น้ำโลหิตสีม่วง


 


สัญชาตญาณของฟงจิวเก้อทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงอันตราย


 


เขาถอยกลับและทำให้มังกรวายุอ่อนแอลงด้วยการโจมตีระยะไกล


 


สิ่งนี้ทำให้วูหยงสูญเสียโอกาสและความพยายาม


 


อย่างไรก็ตามมังกรวายุรวดเร็วมาก มันยังสามารถกดดันฟงจิวเก้อ


 


‘นี่ค่อนข้างน่ารำคาญ’ คิ้วของฟงจิวเก้อเริ่มขมวด


 


ตอนนี้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


หากวูหยงกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะต่อไป สถานการณ์ของฟงจิวเก้อจะยิ่งเลวร้ายลง


 


อย่างไรก็ตามในเวลานี้ร่างหนึ่งกลับพุ่งเข้าสู่สนามรบ


 


“บึม!”


 


มังกรวายุปะทะร่างของฟางหยวนโดยตรง


 


มันถูกสะท้อนกลับไปโดยเกราะหวนคืน


 


วูหยงที่กำลังเตรียมท่าไม้ตายใหม่ขมวดคิ้วทันที


 


“นี่คือเกราะหวนคืนงั้นหรือ? น่าทึ่ง!” เห็นพลังอำนาจของเกราะหวนคืน ฟงจิวเก้อต้องประเมินฟางหยวนใหม่อีกครั้ง



 

 

 


บทที่ 1390 สายลมทั้งสี่

 

เกราะหวนคืนสะท้อนมังกรวายุกลับไปที่วูหยง แต่ในเวลาเดียวกันร่างของวูหยงก็ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา


 


ท่าไม้ตายใหม่ถูกกระตุ้นใช้งานในที่สุด


 


หัตถ์ภูตวายุ!


 


มือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและคว้าจับมังกรวายุเอาไว้ในพริบตา


 


มังกรวายุกรีดร้องอย่างน่าเวทนาก่อนที่มันจะระเบิดและกลายเป็นสายลมกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง


 


การแสดงออกของฟงจิวเก้อกลายเป็นเคร่งขรึม


 


มังกรวายุเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หัตถ์ภูตวายุกลับทรงพลังกว่ามาก!


 


หากฟงจิวเก้อถูกโจมตีโดยสิ่งนี้ ผลลัพธ์อาจน่าอนาถเกินกว่าผู้ใดจะจินตนาการถึง


 


หากฟางหยวนไม่เข้าแทรกแซงในช่วงเวลาสำคัญ ฟงจิวเก้อต้องเผชิญหน้ากับมังกรวายุและหัตถ์ภูตวายุในเวลาเดียวกัน นั่นจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก


 


การแสดงออกของวูหยงกลายเป็นไม่น่ามองเช่นกัน


 


เขาใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการเตรียมท่าไม้ตายนี้และคิดว่ามันจะสามารถเอาชนะฟงจิวเก้อ


 


แต่การแทรกแซงของฟางหยวนกลับทำลายความหวังของเขา


 


ในความเป็นจริงวูหยงตั้งใจใช้ท่าไม้ตายหัตถ์ภูตวายุจับตัวฟงจิวเก้อทั้งเป้น


 


หากเขาบรรลุเป้าหมายนี้ เขาจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล


 


ประการแรก หากวูหยงสามารถจับตัวตนเช่นฟงจิวเก้อ มันจะเพิ่มชื่อเสียงให้เขาและส่งอิทธิพลอย่างมากต่อฝ่ายธรรมะของภาคใต้


 


ประการที่สอง การจับเป็นฟงจิวเก้อจะไม่สร้างความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ไขกับวังสวรรค์


 


หากเขาสามารถเจรจากับวังสวรรค์ เขาอาจได้รับวิญญาณอมตะจากค่ายกลวิญญาณกลับคืน แม้จะเป็นเพียงบางส่วน ศักดิ์ศรีของวูหยงในภาคใต้ก็ยังจะพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


มันจะทำให้ตระกูลวูเกิดเสถียรภาพ


 


แต่ฟางหยวนกลับขัดขวางแผนการของเขา


 


‘สองคนนี้…’


 


‘หากข้าใช้ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด ฟงจิวเก้อจะสามารถต่อต้านหรือกระทั่งตอบโต้’


 


‘หากข้าใช้ท่าไม้ตายอมตะระดับแปด แม้ข้าจะสามารถปราบปรามฟงจิวเก้อ แต่ข้าต้องผ่านเกราะหวนคืนของฟางหยวน เมื่อท่าไม้ตายถูกสะท้อนกลับ ข้าจะกลายฝ่ายที่พบกับความสูญเสีย’


 


เปลือกตาของวูหยงกระตุก


 


เขากำลังพบปัญหาและรู้สึกกังวลเล็กน้อย


 


หากเขาเผชิญหน้าเพียงฟางหยวน วูหยงสามารถปฏิบัติกับฟางหยวนเช่นกระสอบทราย หากเขาเผชิญหน้ากับฟงจิวเก้อ เขายังสามารถกำหราบอีกฝ่าย


 


แต่การเผชิญหน้าสองคนพร้อมกัน…


 


วูหยงรู้สึกกังวล


 


‘มีความหวังไม่มากนักที่จะทำลายเกราะหวนคืนในระยะเวลาสั้นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่าไม้ตายนี้และข้าไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา’


 


‘บางทีวังสวรรค์และถ้ำสวรรค์นิรันดรอาจมีมาตรการตอบโต้เกราะหวนคืนแล้ว’


 


‘แต่วิธีเดียวในเวลานี้คือโจมตีพวกเขาต่อไปจนกว่าพวกเขาจะไม่สามารถรับมือการโจมตีของข้า เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะมีโอกาสฆ่าพวกเขา’


 


หากไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ วูหยงก็หายไปจากวิสัยทัศน์ของฟางหยวนและฟงจิวเก้อ


 


“เขาอยู่ที่ใด?” ฟางหยวนมองไปที่ฟงจิวเก้อ


 


วูหยงถอยหนึ่งก้าวเพื่อเดินหน้าต่อ วิธีการตรวจสอบของฟางหยวนไม่ดีนักและไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งของวูหยง


 


ฟงจิวเก้อส่ายศีรษะ “ดูเหมือนเขาจะใช้เขตแดนเพื่อซ่อนตัว”


 


กระทั่งฟงจิวเก้อยังพบเพียงรายละเอียดที่คลุมเครือเท่านั้น


 


เมื่อเขากล่าวจบ สนามรบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที


 


“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”


 


สายลมกรรโชกแรงทำให้เกิดเสียงกรีดเฉือนอากาศ


 


ดาบสายลมก่อตัวขึ้นและพุ่งเข้าโจมตีศัตรู


 


“ดี” ฟางหยวนไม่ตกใจแต่มีความสุข


 


อย่างไรก็ตามดาบสายลมกับพุ่งเข้าโจมตีฟงจิวเก้อ


 


วูหยงต้องการกำจัดฟงจิวเก้อก่อนจะจัดการฟางหยวน


 


นี่เป็นตัวเลือกที่ฉลาดมาก


 


เพราะมีเพียงฟงจิวเก้อเท่านั้นที่สามารถตอบโต้ เมื่อเขาตายหรือถูกจับกุม ฟางหยวนจะไม่สามารถทำสิ่งใด


 


ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มสดใส “น่าสนใจ ข้ากำลังถูกดูแคลน”


 


น้ำเสียงของเขาไม่มีความโกรธแต่แฝงไว้ด้วยความยินดีและอยากรู้อยากเห็น


 


ฟงจิวเก้อส่งหมัดและฝ่ามือออกไปทำลายดาบสายลม


 


แต่หลังจากถูกทำลาย ดาบสายลมยังสามารถควบรวมเป็นดาบเล่มใหม่


 


ฟงจิวเก้อไม่กล้าปล่อยให้ดาบสายลมสัมผัสร่างกาย แต่กระทั่งเขาจะสามารถทำลายพวกมัน สถานการณ์ของเขาก็ยังไม่ดีนัก


 


ฟางหยวนรีบเข้าไปช่วยฟงจิวเก้อ


 


ดาบสายลมที่ปะทะร่างของฟางหยวนถูกสะท้อนกลับทั้งหมด


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ถูกส่งกลับไปที่วูหยงแต่เป็นสนามรบแห่งนี้


 


แม้วูหยงจะเป็นผู้ควบคุมแต่เขาใช้เขตแดนเพื่อสร้างดาบสายลม ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกโจมตีโดยตรง


 


วูหยงซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งและรู้สึกเบิกบานใจเมื่อเห็นสิ่งนี้


 


ฟางหยวนพยายามป้องกันอย่างเงียบๆ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นเท่านั้น


 


สถานการณ์ของฟงจิวเก้อเริ่มดีขึ้นเมื่อได้รับการคุ้มครองจากฟางหยวน เขาคิดก่อนส่งเสียงไปหาฟางหยวน “ปกป้องข้าขณะที่ข้าทำลายเขตแดนนี้”


 


ฟางหยวนตะลึงก่อนจะเห็นด้วย


 


ก่อนหน้านี้เขาอนุมานมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำลายเขตแดนของวูหยงด้วยความแข็งแกร่งของเขา อีกด้านหนึ่งเขากำลังคิดวิธีทำลายกรงอากาศและใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเพื่อหลบหนี


 


ดังนั้นเขาจึงต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุด


 


หากเขาปล่อยให้ฟงจิวเก้อต่อสู้กับวูหยงเพียงลำพัง ในไม่ช้าวูหยงจะสามารถปราบปรามฟงจิวเก้อและสามารถจัดการเขาได้ในที่สุด


 


ฟงจิวเก้ออาจมีพลังการต่อสู้ระดับแปดแต่เขายังเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด


 


ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงต้องเข้ามาช่วย


 


ฟงจิวเก้อเริ่มใช้ท่าไม้ตายของเขาและปล่อยให้ฟางหยวนป้องกัน


 


ความไว้วางใจนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้วูหยงจึงเร่งการโจมตี


 


ดาบสายลมไม่สามารถทำสิ่งใดฟางหยวนกับฟงจิวเก้อ


 


ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องที่แปลกประหลาดก็เริ่มดังขึ้น


 


หลายลมหายใจต่อมาประกายสายฟ้าก็แลบลั่นขึ้นรอบๆฟางหยวนและฟงจิวเก้อ


 


“ระวัง มันคือสายฟ้ามรกต” ฟงจิวเก้อเตือน


 


ประกายสายฟ้าทำให้ฟางหยวนต้องปิดเปลือกตาลง


 


เขาต้องใช้วิธีบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปลี่ยนดวงตาของเขาให้เป็นดวงตามังกร ด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถต้านทานประกายสายฟ้าเหล่านั้น


 


ฟางหยวนต้องรักษาเกราะหวนคืนเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาลแต่เปลี่ยนได้เพียงดวงตา


 


สายฟ้ามรกตฟาดลงมาที่ฟางหยวนก่อนจะสะท้อนกลับไปและสร้างความเสียหายให้กับสนามรบ


 


สายฟ้ามรกตบางส่วนพุ่งเข้าปะทะร่างของฟงจิวเก้อแต่มันกลับหายไปเมื่อเข้าใกล้เขา


 


ฟงจิวเก้อกำลังเตรียมท่าไม้ตายอมตะ แต่เขาไม่ได้พึ่งพาฟางหยวนอย่างสมบูรณ์ เขาใช้วิธีป้องกันบางอย่างเพื่อปกป้องตนเอง


 


ฟางหยวนโล่งใจเมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้


 


เมื่อเห็นว่าสายฟ้ามรกตไม่มีประโยชน์ วูหยงจึงเปลี่ยนวิธี เขาส่งไข่มุกสีเขียวลงมาราวกับสายฝน


 


“ระวัง มันคือน้ำค้างหยก” ฟงจิวเก้อเตือนอีกครั้ง


 


ไข่มุกสีเขียวโปรยปรายลงบนร่างของฟางหยวนแต่สะท้อนกลับออกไปเช่นเดิม


 


อย่างไรก็ตามฟงจิวเก้อทำได้ไม่ดีนัก


 


แม้ไข่มุกส่วนใหญ่จะหายไปแต่บางส่วนยังตกลงบนร่างของเขาและสร้างเสียงคมชัด


 


ร่างของฟงจิวเก้อราวกับเครื่องดนตรีในร่างมนุษย์ มันส่งเสียงอันไพเราะออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


วูหยงหัวเราะเสียงดังและเปิดเผยตัวเองออกมาราวกับเขากำชัยชนะเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว “มันมีการโจมตีที่ซ่อนอยู่ ชื่อของมันคือเสียงอมตะ ฟงจิวเก้อ เจ้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเสียง เหตุใดเจ้าไม่สามารถประเมินการโจมตีนี้?”


 


เมื่อเสียงหัวเราะเของวูหยงหยุดลง เสียงสายลมก็เริ่มดังขึ้นในสนามรบ


 


เสียงลมอันแผ่วเบาดังก้องอยู่ในจิตใจของฟางหยวน เกราะหวนคืนของเขาเริ่มสั่นไหวราวกับระลอกคลื่น


 


‘ไม่ดีแล้ว เสียงอมตะมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางการโจมตีทั้งสี่รูปแบบ แม้ข้าจะมีเกราะหวนคืนแต่ข้าก็ทำได้เพียงป้องกันตนเองเท่านั้น แล้วข้าจะช่วยฟงจิวเก้อได้อย่างไร?’ หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง


 


ท่าไม้ตายเขตแดนของวูหยงเรียกว่าสายลมทั้งสี่ มันสามารถใช้การโจมตีสี่รูปแบบ มันถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของตระกูลวูและส่งผ่านมาจากรุ่นสู่รุ่น


 


การโจมตีทั้งสี่รูปแบบคือ ดาบสายลม สายฟ้ามรกต น้ำค้างหยก และเสียงอมตะ


 


มันเป็นไพ่ตายของตระกูลวูที่ทำให้พวกเขาสามารถปกครองภาคใต้มาตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน



 

 

 


บทที่ 1391 เพลงแยก

 

ไม่ว่าจะเป็นดาบสายลม สายฟ้ามรกต น้ำค้างหยก หรือเสียงอมตะ แก่นแท้ของมันล้วนเป็นวิธีการบนเส้นทางแห่งวายุ


 


บรรพบุรุษของตระกูลวูที่สร้างท่าไม้ตายเขตแดนอมตะนี้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวายุและชัดเจนว่าเขาสามารถเลียนแบบวิธีการบนเส้นทางสายอื่นไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแห่งดาบ เส้ทางแห่งสายฟ้า เส้นทางแห่งวารี และเส้นทางแห่งเสียง


 


ภายใต้การโจมตีชนิดนี้ ฟางหยวนไม่สามารถทำสิ่งใดขณะที่ฟงจิวเก้ออยู่ในสถานการณ์อันตราย


 


แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณอมตะมากมาย มีสัตว์อสูรและอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน แต่เผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปดเช่นวูหยง สิ่งเหล่านั้นล้วนไร้ประโยชน์


 


ฟางหยวนทำได้เพียงใช้เกราะหวนคืนเพื่อรักษาสถานการณ์ของตนเองเอาไว้เท่านั้น แต่น่าเสียดายแม้เขาจะมีไพ่ตายใบนี้เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใด


 


เสียงอมตะดังขึ้นเรื่อยๆ เกราะหวนคืนของฟางหยวนสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง


 


แต่ฟางหยวนกังวลเกี่ยวกับฟงจิวเก้อมากกว่า


 


เลือดสีแดงไหลออกมาจากจมูก ปาก และดวงตาของฟงจิวเก้อ


 


ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


 


‘บัดซบ! หากยังเป็นเช่นนี้ ท่าไม้ตายของฟงจิวเก้อจะถูกทำลาย เขาจะพบกับฟันเฟือนของความล้มเหลวและได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมกับการโจมตีของวูหยง เขาอาจตายทันที’


 


ฟางหยวนเข้าใจสิ่งนี้แต่เขาไม่มีอำนาจที่จะทำสิ่งใด


 


โดยธรรมชาติแล้วฟางหยวนไม่ได้กังวลเกี่ยวกับฟงจิวเก้อ แต่หากฟงจิวเก้อเสียชีวิต เขาต้องเผชิญหน้ากับวูหยง


 


แม้พลังอำนาจของกรงอากาศจะหายไปขณะที่เขาสามารถใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศได้อีกครั้ง แต่เขาจะไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นต่อหน้าวูหยง


 


อย่างไรก็ตามขณะที่สถานการณ์กำลังเอนเอียงไปทางวูหยง ฟงจิวเก้อกลับพ่นลมหายใจออกมา ร่างกายของเขาผ่อนคลายลง


 


หลังจากนั้นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา


 


ฟงจิวเก้อค่อยๆเปิดปากและเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงอันแผ่วเบา


 


เสียงของเขาไม่สูง มันทุ้มและต่ำ แต่ฟางหยวนและวูหยงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน


 


การแสดงออกของวูหยงเปลี่ยนไป


 


เขาป้องกันตัวด้วยเสียงอมตะแต่เผชิญหน้ากับบทเพลงของฟงจิวเก้อ เสียงอมตะราวกับไม่เคยมีอยู่


 


การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปเช่นกัน


 


แม้เขาจะไม่รูสึกแต่ระลอกคลื่นบนเกราะหวนคืนของเขายังสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง


 


มันกระทั่งรุนแรงกว่าเสียงอมตะของวูหยง


 


‘เหลือเชื่อ เขามีท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งเสียงที่ทรงพลังมาก มันโจมตีทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ข้ายังอยู่ในระยะการโจมตีของมัน ข้าควรออกห่างจากฟงจิวเก้อ’ ฟางหยวนรีบถอยกลับ


 


วูหยงเลือกล่าถอยเช่นกัน ร่างของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


ความสามารถในการบุกหรือล่าถอยคือข้อได้เปรียบของท่าไม้ตายเขตแดน


 


เขตแดนสายลมทั้งสี่โจมตีอย่างดุเดือดด้วยดาบสายลม สายฟ้ามรกต น้ำค้างหยก และเสียงอมตะ


 


แต่ฟงจิวเก้อไม่สนใจพวกมัน เขาใช้ร่างกายรับการโจมตีทั้งหมดขณะที่ยังร้องเพลงต่อไป


 


เพลงนี้มีท่วงทำนองที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย แต่มันแฝงไว้ด้วยความลึกซึ้งของเส้นทางแห่งเสียง


 


เสียงเพลงดังขึ้นเรื่อยๆ และทำให้วูหยงรู้สึกมึนงงมากขึ้น


 


‘นี่คือท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งเสียงงั้นหรือ? ทรงพลังนัก!’


 


เมื่อระดับเสียงร่วงลงสู่เสียงต่ำ ความเศร้าหมองและความรู้สึกซาบซึ้งก็พุ่งเข้าโจมตีหัวใจของวูหยงและทำให้เขารู้สึกอยากร้องไห้


 


โดยปราศจากการแจ้งเตือน วูหยงรู้สึกถึงการแยกจาก


 


ความเจ็บปวดของการพลัดพลาด ความโศกเศร้าของการแยกจากคนรัก


 


ห่างกันแต่อดีตยังอยู่


 


บางครั้งมันโศกเศร้าเหมือนเผชิญหน้ากับความอยุติธรรม


 


บางครั้งโศกเศร้ากับความโหดร้ายของความจริงที่อยู่ตรงหน้า


 


บางครั้งขุ่นเคืองเหมือนกำลังกรีดร้องอยู่ในหัวใจ


 


บางครั้งมืดมนราวกับร้องไห้โดยปราศจากน้ำตา


 


ร่างของวูหยงสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงก่อนที่เขาจะกระอักเลือดคำโตออกมาจากปาก


 


วูหยงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเมื่อเขาค้นพบว่าท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสายลมทั้งสี่กำลังพังทลายลง


 


สิ่งที่ทำให้วูหยงประหลาดใจที่สุดคือวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย แต่พวกมันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไปและเริ่มแยกตัวออกจากกันด้วยตัวของพวกมันเอง


 


นี่มันเรื่องไร้สาระใด!?


 


ตราบเท่าที่วิญญาณแกนกลางไม่ถูกทำลาย ท่าไม้ตายเขตแดนก็ยังสามารถใช้งาน


 


แต่ตอนนี้วิญญาณทั้งหมดกลับแยกออกจากกันและกำลังจากไปโดยที่วูหยงไม่สามารถควบคุม


 


และผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ก็คือบทเพลงของฟงจิวเก้อ!


 


ในไม่ช้าฟางหยวนก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพบว่าท่าไม้ตายเขตแดนของวูหยงพังทลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว


 


ฟางหยวนประหลาดใจมาก


 


วูหยงต้องการยกเลิกท่าไม้ตายเขตแดนแต่มันสายไปแล้ว


 


ในเสี้ยวพริบตาเขตแดนทั้งหมดก็พังทลายลง ผู้อมตะทั้งสามสามารถมองเห็นท้องฟ้าที่สดใสอีกครั้ง


 


วูหยงกระอักเลือดออกมาจากปาก เขาถูกบังคับให้ออกมาจากที่ซ่อน ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาวขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะแตกต่างจากค่ายกลวิญญาณอมตะ เมื่อมันถูกทำลาย ผู้ใช้งานจะได้รับผลกระทบย้อนกลับที่รุนแรง


 


ยิ่งท่าไม้ตายเขตแดนแข็งแกร่งเท่าใด ผลกระทบย้อนกลับก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น


 


สายลมทั้งสี่!


 


นี่เป็นท่าไม้ตายเขตแดนอมตะที่ตระกูลวูใช้กำหราบภาคใต้ทั้งหมด มันทรงพลังมาก ดังนั้นเมื่อมันพังทลายลง วูหยงจึงได้รับผลกระทบที่รุนแรงมาก


 


“ช่างเป็นท่าไม้ตายที่อัศจรรย์นัก! มันมีชื่อว่าอย่างไร?” วูหยงถามฟงจิวเก้อ


 


ฟงจิวเก้อไม่ตอบแต่เขายังร้องเพลงต่อไป


 


การแสดงออกของวูหยงเปลี่ยนไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะบ้านไม้ไผ่สายลมออกมา


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดมีการป้องกันที่ทรงพลัง วูหยงสามารถรักษาตัวเองได้อย่างสงบที่นั่น


 


สำหรับค่าใช้จ่าย มันไม่ใช่ปัญหา


 


วูหยงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้


 


แต่ในไม่ช้าผลลัพธ์กลับทำให้เขาตกใจอีกครั้ง


 


บทเพลงของฟงจิวเก้อทำให้บ้านไม้ไผ่สายลมสั่นไหวและเริ่มส่งสัญญาณของการพังทลาย


 


นี่คือคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปด!


 


มันหมายความว่าท่าไม้ตายของฟงจิวเก้อเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปด!


 


เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของวูหยงก็กลายเป็นมืดครึ้ม เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนอีกต่อไปและบังคับคฤหาสน์วิญญาณอมตะพุ่งเข้าชนฟงจิวเก้อโดยตรง


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะไม่มีจุดอ่อนที่เด่นชัด มันสามารถอาละวาดและทำลายทุกสิ่งในสนามรบ


 


นี่ไม่ใช่เพียงข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ แต่มันยังผ่านการทดลองมาอย่างซ้ำๆ


 


โดยธรรมชาติแล้วคฤหาสน์วิญญาณอมตะแต่ละหลังจะมีความสามารถเฉพาะตัว


 


ตัวอย่างเช่นคุกทมิฬของเผ่าไห่สามารถกักขังสัตวอสูรบรรพกาล


 


บ้านไม้ไผ่สายลมมีท่าไม้ตายของมันแต่การกระทำของวูหยงที่ใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะพุ่งชนฟงจิวเก้อโดยตรงถือเป็นทางเลือกที่ฉลาด


 


ท้ายที่สุดแล้วการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะก็ต้องใช้เวลา


 


การพุ่งชนโดยตรงใช้เวลาน้อยที่สุดและเป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมา


 


ท่าไม้ตายอมตะของฟงจิวเก้ออาจทรงพลังแต่ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถขยับจากจุดนั้นและทำได้เพียงหลบเลี่ยงการโจมตีเท่านั้น


 


ฟางหยวนและวูหยงสังเกตเห็นข้อบกพร่องนี้


 


ฟงจิวเก้อแทบจะไม่สามารถป้องกันตัว หากบ้านไม้ไผ่สายลมพุ่งชน เขาจะกลายเป็นเนื้อบด


 


ในช่วงเวลาคับขัน ฟางหยวนไม่สามารถยืนมองอยู่ข้างสนามรบ หากฟงจิวเก้อตาย คนต่อไปจะเป็นเขา


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงก้าวออกไปข้างหน้าและปิดกั้นเส้นทางของบ้านไม้ไผ่สายลม


 


ฟางหยวนไม่สามารถใช้กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเปลี่ยนมือและแขนของเขาให้เป็นกรงเล็บมังกรด้วยการกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ด


 


วิญญาณอมตะทั้งหมดถูกยืมมาจากตระกูลวูและตอนนี้พวกมันกำลังถูกใช้กับวูหยง!


 


วูหยงรู้สึกแน่นหน้าอกเมื่อเห็นฉากนี้ เขาโกรธมากและยิ่งเทพลังงานอมตะให้กับบ้านไม้ไผ่สายลมมากขึ้นไปีอก


 


“บึม!”


 


ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ฟางหยวนถูกส่งลอยกลับหลังราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่


 


แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขาด้อยกว่าบ้านไม้ไผ่สายลม แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


 


ในทางตรงข้ามบ้านไม้ไผ่สายลมสูญเสียวิญญาณระดับมนุษย์ไปเป็นจำนวนมากจากการปะทะ


 


นี่ทำให้บทเพลงของฟงจิวเก้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น


 


วูหยงฉวยโอกาสบังคับคฤหาสน์วิญญาณอมตะพุ่งเข้าชนฟงจิวเก้ออีกครั้ง ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มกระตุ้นใช้การโจมตีของบ้านไม้ไผ่สายลม


 


อย่างไรก็ตามในเวลานี้ฟงจิวเก้อกลับบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


การโจมตีของวูหยงพลาดเป้า การแสดงออกของเขากลายเป็นตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธ ฟงจิวเก้อสามารถเคลื่อนไหวตั้งแต่แรกแต่เขาตั้งใจหลอกศัตรู


 


บทเพลงยังดำเนินต่อไปขณะที่คฤหาสน์วิญญาณอมตะบ้านไม้ไผ่สายลมพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง


 


แม้บ้านไม้ไผ่สายลมจะเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดแต่มันใช้วิญญาณไม่มากนัก


 


ด้วยวิญญาณเพียงไม่กี่ดวง บทเพลงของฟงจิวเก้อจึงยิ่งมีประสิทธิภาพและแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน


 


การแสดงออกของวูหยงกลายเป็นมืดมน


 


สถานการณ์ไม่เอื้อประโยชน์ต่อเขาอีกต่อไป


 


ในเวลานี้ฟางหยวนก็กลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง


 


วูหยงก่นเสียงเย็นและมองไปยังฟางหยวนกับฟงจิวเก้อก่อนจะตัดสินใจบังคับบ้านไม้ไผ่สายลมจากไป


 


เพียงชั่วครู่บ้านไม้ไผ่สายลมก็บินออกจากสนามรบและกลายเป็นจุดสีดำก่อนจะหายไปจากเส้นขอบฟ้า


 


วูหยงถูกบังคับให้ล่าถอย!



 

 

 


บทที่ 1392 แผนการของเจตจำนงสวรรค์

 

วูหยงล่าถอย แต่ฟางหยวนและฟงจิวเก้อกลับไม่มีความสุข


 


ฟางหยวนและฟงจิวเก้อต่างหวังว่าวูหยงจะต่อสู้กับพวกเขาจนตายกันไปข้างหนึ่ง


 


แต่วูหยงไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาเลือกที่จะล่ถอยอย่างมีเหตุผลและชาญฉลาด


 


เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดฝ่ายธรรมะ แต่ต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ดสองคน เขากลับต้องล่าถอย


 


หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป วูหยงจะสูญเสียชื่อเสียงบางส่วน


 


เหตุผลที่มันเป็นเพียงบางส่วนเพราะเขาต่อสู้กับฟงจิวเก้อและหลิวกวนซื่อที่มีชื่อเสียง


 


วูหยงต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมากในการทำเรื่องนี้


 


แน่นอนว่าเขามีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยม


 


ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสายลมทั้งสี่ถูกทำลาย วูหยงพบฟันเฟือนของความล้มเหลวและได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


แต่ด้วยการคงอยู่ของบ้านไม้ไผ่สายลม เขายังสามารถต่อสู้


 


อย่างไรก็ตามฟงจิวเก้อสามารถเคลื่อนไหวขณะใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขา นอกจากนั้นฟางหยวนยังเคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม


 


นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยม


 


วูหยงสามารถล่าถอยได้ตามต้องการ เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับฟางหยวนและฟงจิวเก้ออย่างสิ้นหวัง เขาสามารถรอโอกาสที่ดีกว่าในภายหลัง


 


แม้ฟางหยวนจะมีเกราะหวนคืนขณะที่ฟงจิวเก้ออาจมีท่าไม้ตายเขตแดนอมตะแต่เขาก็ไม่สามารถกักตัววูหยงเพราะฝ่ายหลังมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบ้านไม้ไผ่สายลม


 


แม้ฟางหยวนกับฟงจิวเก้อจะร่วมมือกันแต่มันยังมีช่องว่างขนาดใหญระหว่างพวกเขากับวูหยง


 


หากมีเพียงวูหยง พวกเขาอาจมีความหวังที่จะได้รับชัยชนะ


 


แต่วูหยงมีบ้านไม้ไผ่สายลม พลังการต่อสู้ของพวกเขาแตกต่างกันมาก


 


“ฟางหยวน ไปซะ” ฟงจิวเก้อกล่าวกับฟางหยวน


 


เขากล่าวอย่างชัดเจน


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง


 


ฟงจิวเก้อมองฟางหยวนอย่างลึกซึ้ง เขาไม่แสดงอารมณ์แต่ในไม่ช้าเขาก็หันหน้าไปทางจุดสีดำที่เส้นขอบฟ้า


 


มันคือบ้านไม้ไผ่สายลม!


 


“ครั้งก่อนเจ้าช่วยชีวิตข้า วันนี้ข้าจะช่วยชีวิตเจ้า จากนี้ไปบุญคุณถูกชดใช้อย่างสมบูรณ์แล้ว” ฟงจิวเก้อกล่าว


 


ฟางหยวนขมวดคิ้ว “นั่นไม่ถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของข้า วูหยงคงฆ่าเจ้าไปแล้ว เจ้าช่วยข้า ข้าก็ช่วยเจ้า เจ้ายังติดหนี้บุญคุณข้า”


 


แต่ฟงจิวเก้อกลับกล่าวต่ออย่างแผ่วเบา “หากข้าบอกว่าไม่ติดหนี้ มันก็หมายความว่าหัวใจของข้าสงบสุข ข้าไม่มีภาระผูกพันเหลืออยู สิ่งที่เจ้าคิดเป็นเรื่องของเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า จำไว้ว่าหากข้ารอดไปได้ ข้าจะไล่ล่าเจ้า แม้เจ้าจะหนีไปสุดขอบโลก ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป ระวังตัวด้วย”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนหัวเราะ


 


เขาเข้าใจเจตนาของฟงจิวเก้อ


 


ฟงจิวเก้อช่วยเขาเพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่วิธีนี้ขัดต่อสถานะผู้อมตะฝ่ายธรรมะของเขา มันยังจะทำให้ภรรยาและบุตรสาวของเขาตกอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดใจ


 


ดังนั้นหลังจากฟงจิวเก้อช่วยฟางหยวน เขาจึงต้องไล่ล่าและฆ่าฝ่ายหลังเพื่อพิสูจน์ความภักดีของตนรวมถึงปกป้องภรรยาและบุตรสาว


 


“เอาล่ะ คราวหน้าที่เราพบกัน เราจะเป็นศัตรู” ฟางหยวนกล่าวขณะเปิดทางเข้าออกมิติช่องว่างและนำกลุ่มของไห่ลั่วหลันออกมา


 


ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ!


 


ฟงจิวเก้อไม่ตอบสนอง เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับแต่บินเข้าไปหาวูหยงโดยตรง


 


หากฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเพื่อหลบหนี วูหยงอาจไล่ล่า ดังนั้นเพื่ตอบแทนบุญคุณ ฟงจิวเก้อจึงต้องอยู่ที่นี่เพื่อกีดขวางบ้านไม้ไผ่สายลม


 


วูหยงรู้สึกขมขื่นเมื่อเห็นฟางหยวนจากไป


 


เขาเสียใจเล็กน้อย หากเขาไม่ได้มาที่นี่เพียงลำพัง เขาจะสามารถจัดการทั้งฟางหยวนและฟงจิวเก้อ


 


แต่เขาไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของตระกูลวูเสียหาย ดังนั้นเขาตัดสินใจมาที่นี่เพียงผู้เดียว


 


สถานที่แห่งนี้ไม่ไกลจากทะเลทรายตะวันตก


 


อาจกล่าวได้ว่าการหลบหนีของฟางหยวนจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน


 


“ข้าประมาทเกินไป!”


 


“ข้าไม่คิดว่าวังสวรรค์จะช่วยปีศาจฟางหยวน!”


 


วูหยงมองฟงจิวเก้อที่บินเข้ามาและแสดงออกอย่างเย็นชา


 


นี่คือคนที่ทำลายแผนการของวูหยง เขาสมควรตาย!


 


แต่…


 


ฝ่ายตรงข้ามมีพรสวรรค์และสถานะสูงส่ง วูหยงลังเลเล็กน้อย


 


การจับตัวฟงจิวเก้อมีประโยชน์มากกว่าการสังหาร


 


หากเขาสังหารฟงจิวเก้อ วูหยงจะกลายเป็นศัตรูของวังสวรรค์และภาคกลาง ขณะที่วังสวรรค์เก็บความลับเรื่องวูอี้ไห่เอาไว้


 


หากฟงจิวเก้อถูกจับ วูหยงจะสามารถเจรจากับภาคกลางโดยใช้คนผู้นี้เป็นเครื่องมือต่อรอง


 


ในความเป็นจริงวูหยงคิดเรื่องนี้มาตลอด หากเขาต้องการฆ่าฟงจิวเก้อตั้งแต่แรก เขาจะไม่โจมตีในลักษณะนั้น


 


วูหยงไม่ใช่มือสังหาร เขาเป็นผู้นำกองกำลังใหญ่ เขาต้องพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่าง มันไม่ใช่เพียงการต่อสู้แต่เขาต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา


 


ท่าไม้ตายอมตะเพลงแยก!


 


ฟงจิวเก้อใช้ท่าไม้ตายอมตะนี้อีกครั้ง


 


วูหยงก่นเสียงเย็น ตอนนี้วูหยงเพิ่มวิญญาณหลายดวงเข้าไปในคฤหาสน์วิญญาณอมตะบ้านไม้ไผ่สายลม ดังนั้นมันจึงทนทานกว่าก่อนหน้า


 


การต่อสู้ที่ดุเดือดยังดำเนินต่อไป


 


วูหยงเป็นฝ่ายได้เปรียบแต่เขายังได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


เผชิญหน้ากับบ้านไม้ไผ่สายลม ฟงจิวเก้อทำได้เพียงต่อสู้จากระยะไกลโดยใช้พลังอำนาจของเพลงแยกเท่านั้น


 


วูหยงเป็นนักวางแผน เพียงเมื่อคฤหาสน์วิญญาณอมตะถูกแยกชิ้นส่วนออกไปถึงระดับหนึ่ง เขาก็จะล่าถอยออกไปเพื่อซ่อมแซมมันก่อนจะหวนกลับมาอีกครั้ง


 


เพลงแยกของฟงจิวเก้อไม่มีพลังโจมตีแต่มันทำให้วิญญาณกระจัดกระจายออกไป วูหยงสามารถรวบรวมพวกมันได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว


 


ปัญหาเดียวของวูหยงก็คือการประกอบร่างคฤหาสน์วิญญาณอมตะไม่ใช่เรื่องง่าย


 


แต่การต่อสู้ครั้งนี้ถูกกำหนดแล้ว


 


ฟงจิวเก้อไม่สามารถเอาชนะ


 


หากพวกเขาต่อสู้กันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง ฟงจิวเก้อยังมีโอกาสได้รับชัยชนะ


 


แต่วูหยงไม่ใช่คนโง่หรือบ้าบิ่น เขาสามารถล่าถอยและกลับมาได้ตามปรารถนา


 


กระทั่งอัจฉริยะเช่นฟงจิวเก้อก็ยังไม่มีความหวังที่จะได้รับชัยชนะ


 


ในเวลาเดียวกัน เทพธิดาจื่อเว่ยกำลังเฝ้ามองการต่อสู้ของฟงจิวเก้อและวูหยงผ่านกระดานหมากรุกกลุ่มดาว


 


“ถึงเวลาแล้ว” เทพธิดาจื่อเว่ยพึมพำ


 


ปรากฏว่าการเผชิญหน้าของฟงจิวเก้อกับวูหยงเป็นแผนการของเจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาว ด้วยความช่วยเหลือจากวังสวรรค์ ฟงจิวเก้อที่กำลังไล่ล่าปีศาจอมตะกลับพบฟางยวนโดยบังเอิญ


 


กระทั่งฟงจิวเก้อยังถูกขังไว้ในที่มืด


 


ในความเป็นจริงแม้แต่วังสวรรค์ยังรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวถึงวางแผนเช่นนี้


 


กลิ่นอายที่ทรงพลังของฟงจิวเก้อลดลงอย่างมาก เขาได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถโจมตีได้อีกครั้งเดียว


 


ในทางตรงข้ามวูหยงที่อยู่ในบ้านไม้ไผ่สายลมยังอยู่ในสภาพที่ดี


 


สู้และถอย


 


มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุด กลยุทธ์ที่เหมาะสมของวูหยงทำให้เขาสามารถเอาชนะฟงจิวเก้อ


 


“ฟงจิวเก้อ หากเจ้ายอมจำนน ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าและส่งเจ้ากลับภาคกลางเพื่อรอการพิพากษาจากวังสวรรค์” วูหยงกล่าวเสียงดัง


 


ฟงจิวเก้อยิ้ม “โอ้ วูหยง หากเจ้าสามารถรับการโจมตีต่อไปของข้า ข้าจะยอมแพ้เจ้า”


 


การแสดงออกของวูหยงเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


ถึงจุดนี้ฟงจิวเก้อยังมีไพ่ตายเหลืออยู่!


 


“ย้อนกลับไปในวันนั้น เหตุผลที่ข้ามีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับว่าข้ามีพลังการต่อสู้ระดับแปดเป็นเพราะท่าไม้ตายนี้ ฟังให้ดี บทเพลงที่เจ็ดของข้า…”


 


“หยุดก่อน ฟงจิวเก้อ!” เป็นเพียงเวลานี้ที่สองร่างปรากฏขึ้นในสนามรบ


 


ทั้งสองต่างเป็นผู้อมตะระดับแปด


 


พวกเขาคือผู้อมตะจากสิบนิกายโบราณของภาคกลาง!


 


“หือ?” วูหยงประหลาดใจ แท้จริงแล้ววังสวรรค์ยังมีไพ่ที่ซ่อนอยู่ สิ่งนี้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของเขา


 


ในความคิดเห็นของวูหยง หากพวกเขามีกำลังเสริม เหตุใดพวกเขาไม่ใช้มันก่อนหน้านี้?


 


“เป็นเพราะพวกเขามาไม่ทันงั้นหรือ?” วูหยงคาดเดา


 


วูหยงเย้ยหยัน “คนภาคกลาง พวกเจ้ามาในจังหวะที่ดี พวกเจ้าไม่เพียงฉกชิงวิญญาณอมตะของภาคใต้ แต่สมาชิกของพวกเจ้ายังปกป้องปีศาจ!”


 


วูหยงไม่กลัว


 


เขาได้รับการปกป้องจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะและมีผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้เป็นกำลังเสริม


 


แต่ผู้อมตะภาคกลางทั้งสองเตรียมตัวมาแล้ว


 


หนึ่งในนั้นกล่าว “แม้เราจะอยู่ต่างภูมิภาค แต่เราทุกคนล้วนเป็นสมาชิกฝ่ายธรรมะ เราต้องทำงานร่วมกัน เรานำวิญญาณอมตะออกไปก่อนหน้านี้เพราะเกรงว่าปีศาจจะทำลายพวกมัน เราพร้อมที่จะส่งคืนวิญญาณอมตะเหล่านั้นกลับไปยังเจ้าของเดิม”


 


“โอ้?” วูหยงรู้สึกประหลาดใจ


 


อีกคนกล่าวต่อ “สำหรับการปกป้องปีศาจ เราจะจัดการเรื่องนี้ ฟงจิวเก้อ เจ้าเต็มใจที่จะรับคำสั่งจากวังสวรรค์และไล่ล่าฟางหยวนจนกว่าเจ้าจะสามารถเอาชีวิตของเขาหรือไม่?”


 


ฟงจิวเก้อคิดก่อนตอบ


 


“ข้าเต็มใจ”



 

 

 


บทที่ 1393 กินคน

 

พื้นทรายกว้างใหญ่ราวกับไร้ที่สิ้นสุด


 


ท้องฟ้าสีฟ้า ก้อนเมฆสีขาว และแสงแดดที่ร้อนแรง


 


“ในที่สุดข้าก็มาถึงทะเลทรายตะวันตก” ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากกำแพงภูมิภาคก่อนจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


เขาเป็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมขาว ผมดำ ดวงตาสีเข้ม ใบหน้าราวกับประติมากรรมหยก


 


แน่นอนว่าเขาก็คือฟางหยวน!


 


ฟงจิวเก้อปิดกั้นวูหยงเพื่อให้ฟางหยวนมีเวลาหลบหนี


 


ร่างทารกอมตะสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาค ในความเป็นจริงกำแพงภูมิภาคถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา มันเหมือนกับปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ


 


ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน และคนอื่นๆ อยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวน นี่ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาคมาได้เช่นกัน


 


มิติช่องว่างของฟางหยวนมีรากฐานเพียงพอที่จะเก็บผู้อมตะเหล่านี้


 


หากเป็นผู้อมตะทั่วไป พวกเขาต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่งหลังจากข้ามกำแพงภูมิภาค แต่ด้วยร่างทารกอมตะ ฟางหยวนสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้อย่างง่ายดายและไม่ได้รับความเสียหายใดๆ


 


หลังการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้ ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของนิกายเงาและได้รับมรดกมากมายจากราชันภูเขาม่วง เขาสูญเสียตัวตนของวูอี้ไห่ ขณะเดียวกันตัวตนของหลิวกวนซื่อก็ถูกเปิดเผย วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดตกอยู่ในกำมือของวังสวรรค์ สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาสูญเสียพลังการต่อสู้ระดับแปดอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!


 


ระหว่างทางฟางหยวนคิดเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้มาตลอด เขาสรุปว่าครั้งนี้เขาทั้งได้กำไรและขาดทุน


 


‘ผู้ใดจะคิดว่าเจตจำนงสวรรค์จะสามารถแทรกซึมเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน หากข้าไม่ได้สำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน เจตจำนงสวรรค์จะไม่พบข้า’


 


‘อย่างไรก็ตามนิกายเงาจะโจมตีอาณาจักรแห่งความฝันในที่สุด’


 


‘แม้ตอนนี้ข้าจะอยู่ในทะเลทรายตะวันตก แต่ข้าสูญเสียวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดและยังถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบบนเส้นทางแห่งข้อมูลของวังสวรรค์ สิ่งสำคัญที่สุดคือเจตจำนงสวรรค์กำลังเฝ้าดูข้าอยู่ตลอดเวลา ร่องรอยของข้าถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์’


 


การหลบหนีจากภาคใต้มายังทะเลทรายตะวันตกเป็นเพียงการบรรเทาสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น


 


หากวังสวรรค์หรือเจตจำนงสวรรค์มีเวลาเพียงพอในการวางแผน ทะเลทรายตะวันตกจะกลายเป็นสถานที่อันตรายเช่นกัน ฟางหยวนจะถูกโจมตีโดยผู้อมตะจากทุกทิศทาง


 


ดังนั้นความต้องการเร่งด่วนของเขาในเวลานี้ก็คือการกำจักร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่บนร่างกายของพวกเขาออกไปและหาวิธีซ่อนตัวจากเจตจำนงสวรรค์


 


‘กองกำลังพันธมิตรผีดิบของทะเลทรายตะวันตกถูกทำลายแต่ทรัพยากรของพวกเขายังคงอยู่’


 


‘นอกจากนั้นยังมีแหล่งทรัพยากรที่สามารถผลิตวิญญาณอมตะ’


 


ทะเลทรายตะวันตกมีทรัพยากรของนิกายเงาเหลืออยู่มากมาย


 


ฟางหยวนต้องรีบไปยังสถานที่เหล่านั้น


 


‘ฟงจิวเก้อช่วยข้าและตอบแทนบุญคุณหมดแล้ว’


 


‘การพบกันของเราบังเอิญเกินไป มันอาจเป็นแผนการส่วนหนึ่งของวังสวรรค์’


 


‘หากเขาไล่ล่าข้า แม้ข้าจะมีเกราะหวนคืน ข้าก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใดกับเขา สิ่งสำคัญคือภาคกลางจะส่งผู้เชี่ยวชาญมามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป’


 


‘ข้าต้องรีบจัดการ!’


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของฟางหยวนก็ส่องประกายขึ้น


 


ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล!


 


แสงสีขาวส่องประกายขึ้น ในเวลาต่อมาฟางหยวนก็กลายเป็นมังกรดาบบรรพกาล


 


มังกรดาบบรรพกาลเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง


 


นอกจากนั้นเขายังใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ


 


เขาพุ่งผ่านอากาศไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ


 


หลายวันต่อมาในทะเลทรายแปรผัน


 


ที่นี่เป็นทะเลทรายที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของทะเลทรายตะวันตก


 


เช่นเดียวกับทะเลตะวันออกที่มีทะเลไหลเชี่ยว ทะเลแสงสีรุ้ง ทะเลฉลาม และทะเลอื่นๆ


 


ทะเลทรายตะวันตกมีทะเลทรายที่แตกต่างกันกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป


 


ผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง อี้ฉวน หรือที่รู้จักกันในนาม ยุงอสูร ลอยอยู่เหนือทะเลทรายแห่งนี้


 


เขาสวมชุดเกราะหนังสีดำ เขามีจมูกแหลม ดวงตาเรียวเล็ก เส้นผมสีดำที่ยุ่งเหยิงเหมือนวัชพืช


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ากำลังตามล่าเด็กชายขนนก แต่บางทีข้าอาจพบสุสานผีดิบของกองกำลังพันธมิตรผีดิบของทะเลทรายตะวันตก”


 


เขารู้สึกพอใจกับผลงานของตนเองขณะพยายามดมกลิ่น


 


“พบแล้ว” ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้น เขาติดตามกลิ่นสายนั้นลงไปที่ทะเลทรายแปรผัน


 


เมื่อเข้าใกล้พื้นทราย เกราะสีดำของเขาก็ส่องแสงที่น่าขนลุกออกมา


 


“บึม!”


 


ด้วยเสียงระเบิดอันแผ่วเบา เขาทะลวงลงไปในพื้นทรายราวกับกำลังกระโดดลงไปในน้ำ


 


ยุงอสูรปิดเปลือตาลง แม้ทรายจะร้อนมาก แต่พวกมันไม่ส่งผลกระทบต่อเขา


 


แม้เขาจะมองไม่เห็นสิ่งใด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ยุงอสูรมีวิธีตรวจสอบด้วยการดมกลิ่น เบาะแสชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เขายังมุ่งหน้าต่อไป


 


ทันใดนั้นเขาก็ทะลวงออกมาจากพื้นทรายและพบถ้ำใต้พิภพแห่งหนึ่ง


 


ยุงอสูรไม่แปลกใจ


 


มีถ้ำมากมายซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลทรายแปรผัน


 


ในอดีต สัตว์อสูรแรกกำเนิดสองตัวต่อสู้กันที่นี่ หนึ่งในสอง อูฐค้างคาวปราณพิภพพ่ายแพ้และเสียชีวิตอยู่ที่นี่


 


อูฐค้างคาวปราณพิภพมีสองรูปแบบคือค้างคาวและอูฐ เมื่อมันท่องเที่ยวไปในทะเลทราย มันจะอยู่ในรูปลักษณ์ของอูฐสีน้ำตาลที่เคลื่อยที่ได้ช้า แต่เมื่อมันบิน มันจะกลายเป็นค้างคาวหยกที่มีร่างกายเล็กเท่ากำปั้นมนุษย์และรวดเร็ว


 


หลังจากอูฐค้างคาวปราณพิภพตาย ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างของมันก็กระจาายไปในทะเลทรายและทำให้เกิดเป็นทะเลทรายแปรผัน


 


ที่นี่เต็มไปด้วยถ้ำที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลทราย มันเหมือนฟองอากาศที่อยู่ในน้ำ


 


ยุงอสูรอยู่ที่มุมหนึ่งของถ้ำแห่งนี้


 


ไม่มีอากาศ มนุษย์จะตายทันทีหากพวกเขามาที่นี่ อย่างไรก็ตามพวกเขาจะไม่ตายเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ปราณพิภพจะทำให้พวกเขากลายเป็นหิน


 


แน่นอนว่ายุงอสูรสามารถต่อต้านสิ่งนี้


 


เขาดมกลิ่นต่อไปและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเด็กชายขนนก


 


ระหว่างทางเขาเดินผ่านถ้ำหลายแห่ง


 


ถ้ำเหล่านี้มีขนาดแตกต่างกัน บางแห่งมีขนาดเท่าห้องโถง บางแห่งมีขนาดเท่าวัง


 


ในที่สุดเขาก็มาถึงถ้ำที่พิเศษแห่งหนึ่ง


 


“กลิ่นอายนี้เข้มข้นมาก! เด็กชายขนนกต้องอยู่แถวนี้!”


 


ยุงอสูรพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นแต่ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกตกใจ


 


“ถ้ำแห่งนี้ใหญ่โตเกินไป มันเหมือนเมืองของมนุษย์”


 


“ปราณพิภพของที่นี่หนาแน่นจนทำให้เกิดพายุทรายปราณพิภพ?”


 


ในไม่ช้ายุงอสูรก็พบว่าที่ใจกลางของถ้ำแห่งนี้มีบางสิ่งที่ดูเหมือนทรัพยากรอมตะ


 


“พายุทรายนี้เกิดจากปราณพิภพ มันปกป้องทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดที่ล้ำค่าเอาไว้!”


 


ยุงอสูรมีความสุขแต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกกังวล


 


เขามีความสุขที่พบทรัพยากรอมตะ นี่เป็นกำไรมหาศาล


 


ความกังวลของเขาคือพายุทรายที่รุนแรง มันทรงพลังและรับมือได้ยาก


 


“เดี๋ยว!”


 


“กลิ่นอายของเด็กชายขนนกอยู่แถวนี้ นั่นหมายความว่าเขามาที่นี่ เหตุใดเขาถึงไม่นำแก่นแท้ปราณพิภพชิ้นนี้ไป?”


 


รูม่านตาของยุงอสูรหดเล็กลงเมื่อรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายหนึ่งดังมาจากด้านหลังของยุงอสูร “ยุงอสูร ในที่สุดเจ้าก็มาที่นี่ ฮ่าฮ่า ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ รับท่าไม้ตายของข้า”


 


“โอ้ ไม่!” ยุงอสูรต้องการหลบแต่มันสายเกินไปแล้ว


 


พายุขนนกที่สร้างจากแสงสีฟ้าปะทะร่างของยุงอสูร


 


มันนำยุงอสูรเข้าไปในพายุทราย


 


เสียงกรีดร้องของยุงอสูรดังขึ้น


 


ในที่สุดเด็กชายขนนกก็ปรากฏตัวขึ้น เขาอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กอ้วน ใบหน้าสีดอกกุหลาบและดูอ่อนเยาว์ เขามองพายุทรายและหัวเราะเสียงดัง


 


ในไม่ช้าเสียงของยุงอสูรก็หยุดลง เลือดสีแดงรั่วไหลออกมาจากพายุทรายแต่พื้นทรายก็กลืนกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว


 


เสียงหัวเราะของเด็กชายขนนกหยุดลงขณะที่ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความกังวล


 


“ทรงพลังนัก!”


 


เขาสูดหายใจลึก “ดังคาด ค่ายกลวิญญาณของกองกำลังพันธมิตรผีดิบทรงพลังจริงๆ ยุงอสูรเป็นผู้อมตะระดับหก แต่เขายังทนได้ไม่นาน หือ ผู้ใด?”


 


เด็กชายขนนกหันหลังกลับและพบร่างหนึ่งปรากฏขึ้น


 


‘บัดซบ! ผู้อมตะระดับเจ็ด!’ เด็กชายขนนกตระหนักถึงกลิ่นอายของคนผู้นี้และรู้สึกขมขื่น


 


เขาสังเกตอย่างระมัดระวังและพบว่าชายผู้นี้มีรูปลักษณ์ที่น่าทึ่งมาก


 


‘ช่างหล่อเหลานัก!’


 


‘จากท่าทางของเขา ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ’


 


ขณะที่เด็กชายขนนกกำลังคาดเดา ฟางหยวนก็มองไปที่เขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข “ดี นี่เป็นคนที่สามที่ข้าพบ หลังจากกินเจ้า ความอยากอาหารของข้าจะลดลง”


 


“กระไรนะ!?” เด็กชายขนนกตกใจและรีบล่าถอย “ฝ่ายธรรมะอันใด!? เขาต้องการกินข้างั้นหรือ? ท่านพี่ช่วยข้าด้วย!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)