พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1383-1388

 บทที่ 1383 ผลที่ตามมาจะน่ากลัวเกินไป

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้เข้าใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะต้องรู้อะไรไม่น้อยแน่นอน จึงถามอีกว่า : ทำไมถึงบอกว่าไม่ปรากฎตัวอีกแล้วล่ะ ตกลงว่าเขาตายหรือยังไม่ตายกันแน่?


จินม่าน : น่าจะยังไม่ตาย


เหมียวอี้ : ทำไมถึงบอกว่าน่าจะยังไม่ตาย เจ้าให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้เหรอ?


จินม่าน : พระปีศาจหนานโปมีวรยุทธ์ที่น่าหวาดกลัวมาก ไม่มีใครรู้ว่าเขามีชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว แข็งแกร่งกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะในตอนนี้เสียอีก ถ้าอนุมานจากคำพูดของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ถ้าพวกเราเป็นเซียน เช่นนั้นพระปีศาจหนานโปก็เป็นเทพ เป็นเทพที่โดดเด่นหาพบได้ยาก! วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพแล้ว อยู่ในระดับที่ไม่ดับสูญและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พวกเราฝึกฝนจนสามารถแยกสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตได้ แต่เขากลับรวมสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้ หล่อหลอมจิตวิญญาณที่ไม่ดับสูญสำเร็จแล้ว ดังนั้นต่อให้เจ้าจะทำลายกายหยาบของเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากจะเผาหลอมจิตวิญญาณของเขา ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถชิงร่างเกิดใหม่ได้ทุกเมื่อ


เหมียวอี้ได้ยินแล้วอกสั่นขวัญผวา บนโลกนี้ยังมีคนที่ฆ่าไม่ตายด้วยเหรอ เขาถามอีกว่า : งั้นก็แปลว่าเขายังไม่ตาย?


จินม่าน : ประมุขปราชญ์ ท่านบอกข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ทำไมจู่ๆ ท่านจึงถามถึงพระปีศาจหนานโป เขาปรากฏตัวอีกแล้วใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาปรากฏตัวอีกหรือเปล่า แค่จู่ๆ ได้ยินคนพูดถึงว่าเขาเคยเป็นบุคคลสำคัญ เลยอยากจะถามเจ้าสักหน่อยว่ารู้จักคนคนนี้มากขนาดไหน


ตอนนี้เขาอยากรู้มากว่าเรื่องของพระปีศาจหนานโปเป็นอย่างไรกันแน่ ถ้าไม่รู้ชัดก็ไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าการที่จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดทิ้งชื่อนี้ไว้หมายความว่าอย่างไร


จินม่าน : ประมุขปราชญ์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พระปีศาจหนานโปไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับหกลัทธิของพวกเรา ถ้าเขาปรากฏตัวอีกครั้งก็จะเป็นภัยใหญ่ของหกลัทธิ!


เหมียวอี้ : ข้าก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเจ้า แค่เพราะได้ยินข่าวมานิดหน่อยจริงๆ ก็เลยอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ผ่านเจ้า อยากจะแน่ใจว่าเขาตายหรือยังไม่ตายกันแน่


จินม่าน : ตายก็น่าจะยังไม่ตาย ตอนนั้นคนที่ฆ่าให้เขาตายได้มีไม่เยอะ คนที่มีพลังดับจิตวิญญาณของเขาได้ก็มีแค่สามคนเท่านั้น คนหนึ่งคืออาจารย์ประมุขชิง คนหนึ่งคืออาจารย์ของประมุขพุทธะ อีกคนคืออาจารย์ของประมุขไป๋ เพียงแต่ทั้งสามล้วนถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายไปแล้ว จิตวิญญาณของทั้งสามโดนหนานโปทำลาย แต่ก็เพราะศึกนั้น พระปีศาจหนานถูกอาจารย์ของประมุขไป๋โจมตีจนสาหัสเช่นกัน ผลปรากฏว่าตอนที่เขาอ่อนแอที่สุด เขาถูกลูกศิษย์ของตัวเองผนึกไว้แล้ว เรียกได้ว่าตอนนั้นยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมที่สุดหลายคนดับสูญทั้งหมดเพราะเข่นฆ่ากันเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่มียุคที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแบบนี้ปรากฏขึ้นมาหรอก


เหมียวอี้ตกตะลึง : พระปีศาจหนานโปยังมีลูกศิษย์อีกเหรอ? อาจารย์ร้ายกาจขนาดนี้ เช่นนั้นลูกศิษย์ก็ไม่ธรรมดาแล้ว ศิษย์ของเขาไปไหนแล้วล่ะ?


จินม่าน : พระปีศาจหนานโปเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่แทบจะไม่สามารถลอกกเลียนแบบได้ ฐานะเดิมของเขาพบได้น้อยมาก จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่เคยเห็นใครได้รับข้อยกเว้นแบบนี้ หลังจากนักพรตปีศาจกับมนุษย์ผสมพันธุ์กัน ตามหลักการแล้วก็เป็นเรื่องยากมากที่จะให้กำเนิดทายาท แต่เขากับเป็นลูกชายของคนกับปีศาจ ไม่น่าเชื่อว่าจะฝึกรวมเคล็ดวิชาปีศาจกับเคล็ดวิชาของมนุษย์ไว้ในร่างเดียวกันได้ ตอนหลังได้รับความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวง เพื่อที่จะล้างแค้น เขาใช้ร่างหยินฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผีอีก บอกไม่ถูกแล้วว่ากายหยาบของเขาเป็นมนุษย์หรือปีศาจหรือผี แต่เป็นเพราะคู่แค้นมีพลังแข็งแกร่งมาก ตอนหลังก็โดนโจมตีจนสาหัสและหนีเอาชีวิตรอดมาได้อีก เขาถึงได้ตัดสินใจเส้นทางเดินของตัวเอง จึงปิดบังตัวตนแล้วขอฝึกกับอาจารย์เก่งๆ ไปทั่ว เข้าไปฝึกในสำนักของลัทธิเต๋าก่อน แล้วก็ฝึกเคล็ดวิชามารอีก สุดท้ายเข้าไปฝึกในสำนักพุทธ ตอนหลังโดนสำนักพุทธเปิดโปงตัวตน ถึงได้ชื่อว่าพระปีศาจหนานโป


เหมียวอี้ทำใจเชื่อได้ยาก : หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาคนเดียวฝึกควบเคล็ดวิชาของหกลัทธิไปแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน?


จินม่าน : ถึงได้บอกไงว่าเป็นคนประหลาดที่เลียนแบบได้ยาก พรสวรรค์ในการฝึกตนของเขาสูงมาก หลังจากเที่ยวฝึกเคล็ดวิชาของหกลัทธิจนทั่วแล้ว กุกคิดได้ถึงจุดร่วมของหกวิชา ในที่สุดก็เดินในเส้นทางของตัวเอง ทว่าตอนที่เขาอยู่ในจุดสูงสุด เพิ่งจะเอาชนะอาจารย์ของประมุขชิง อาจารย์ของประมุขพุทธะและอาจารย์ของประมุขไป๋ได้ กลับโดนลูกศิษย์ของตัวเอง หกคนที่ถูกเรียกว่าเด็กชายหกลัทธิร่วมมือกันโจมตีอย่างรุนแรง ทำลายวรยุทธ์ทั้งตัวของเขา เนื่องจากอาศัยพลังของหกคนนั้นไม่มีทางทำลายจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปได้ จึงผนึกเขาไว้ในสถานที่นิรนามแห่งหนึ่ง เตรียมจะรอให้ศักยภาพของตัวเองมากพอ แล้วค่อยกำจัดจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโป


เหมียวอี้ฟังจบแล้วแทบจะหลุดถามออกมาว่า : อย่าบอกนะว่าเด็กชายหกลัทธินั่นตอนหลังคือประมุขปราชญ์หกลัทธิ?


จินม่านลังเลไปพักใหญ่ สุดท้ายถึงได้ตอบว่า : ใช่แล้ว เป็นประมุขปราชญ์ทั้งหกนั่นเอง เคล็ดวิชาพิเศษหกลัทธิที่ท่านปราชญ์ทั้งหกฝึกฝน พระปีศาจหนานโปก็เป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่สาเหตุที่ประมุขปราชญ์ทั้งหกต้องรังแกอาจารย์ทำลายสำนักก็เพราะไม่มีทางเลือกเช่นกัน พระปีศาจหนานโปถูกทำลายความเป็นมนุษย์ไปหมดแล้ว ถือว่าตัวเองกลายเป้นเทพอย่างแท้จริง ความน่าสะพรึงกลัวยามมีคนแบบนั้นอยู่ข้างกายพวกเขา คนนอกไม่อาจสัมผัสความรู้สึกนี้ได้ ดังนั้นทั้งหกถึงได้อาศัยช่องโหว่ตอนเขาอ่อนแอผนึกเขาไว้แล้ว ตอนหลังประมุขปราชญ์ทั้งหกเป็นจ้าวในดาราจักร ผลปรากฏว่าโดนลูกศิษย์ของสามยอดฝีมือที่โดนฆ่าร่วมมือกันล้างแค้น นั่นก็คือประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋นั่นเอง ในเวลานั้นคนที่รู้ความลับสุดยอดของเรื่องนี้มีไม่เยอะ คาดว่าตอนนี้ก็ยังเป็นคนพวกนั้น ประมุขพุทธะกับประมุขชิงที่อยู่ฝั่งโจรกบฏก็คงไม่เอ่ยเรื่องนี้กับภายนอกเช่นกัน


เหมียวอี้ได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หาย ใครจะไปคิดว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิจะเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน สงสัยกฎระเบียบของพิภพใหญ่ทุกวันนี้จะเกิดขึ้นเพียงเพราะบุญคุณความแค้นในอดีตเท่านั้น จึงถามอีกว่า : พระปีศาจหนานโปถูกผนึกไว้ที่ไหน?


จินม่าน : ประมุขปราชญ์คนก่อนไม่ได้บอกพวกเรา เป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ถ้าคนที่รู้มีเยอะเกินไป ถ้าข่าวเล็ดรอดออกไปแล้วทำให้พระปีศาจหนานโปถูกปล่อยออกมา ผลที่ตามมาก็จะน่ากลัวเกินไป ดังนั้นสถานที่ผนึกจึงมีเพียงประมุขปราชญ์ทั้งหกที่รู้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาได้บอกคนอื่นไว้หรือเปล่า แต่ไม่ได้บอกพวกเราแน่นอน


เหมียวอี้ : หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าพระปีศาจหนานโปถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง แม้แต่ประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็สู้เขาไม่ได้งั้นเหรอ ไม่ใช่แค่หกลัทธิที่จะซวย แม้แต่ประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็จะซวยไปด้วยเช่นกัน


จินม่าน : นั่นก็ไม่แน่ ต้องดูว่าพระปีศาจหนานโปถูกปล่อยออกมาเมื่อไร ถึงอย่างไรตอนนั้นวรยุทธ์ของเขาก็ถูกประมุขปราชญ์ทั้งหกทำลายไปแล้ว ต่อให้เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาจะร้ายกาจ แต่ถ้าอยากจะกลับมามีพลังสุดยอดเหมือนตอนนั้นก็คงไม่ง่าย ตามที่ฐานะของเด็กชายหกลัทธิค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหกประมุขปราชญ์ ตามที่พลังของประมุขปราชญ์ทั้งหกยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในปีนั้นผนึกพระปีศาจหนานโปก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และไม่มีทางอ่อนแอลงด้วย ดังนั้นสามารถแน่ใจได้ว่าตอนที่หกประมุขปราชญ์สิ้นชีพ จิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปก็ยังโดนผนึกอยู่ ถ้าพระปีศาจหนานโปหลุดพ้นออกมาเร็ว เช่นนั้นพลังในตอนนี้ก็ไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าหลุดพ้นออกมาช้า ถ้าอยากจะโผล่หน้ามาตอนนี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิงและประมุขพุทธะแน่นอน


เหมียวอี้ : เจ้าบอกว่าเขาสามารถชิงร่างเกิดใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าเขาครอบครองร่างนักพรตที่มีพลังแข็งแกร่งสักคนล่ะ การฟื้นฟูพลังในปีนั้นก็จะไม่ง่ายดายสำเร็จได้ง่ายหรอกเหรอ


จินม่าน : จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง เคล็ดวิชาฝึกตนของเขามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถ้าครอบครองแล้วใช้ไม่ได้ก็ปลอมแล้ว


เหมียวอี้ : เขาจะตามหาคนถ่ายทอดคนอื่นรึเปล่า?


จินม่าน : มีความเป็นไปได้ เพียงแต่ผู้รับถ่ายทอดไม่ได้เจอกันง่ายๆ แน่นอน ก็เป็นอย่างที่บอก เคล็ดวิชาฝึกตนของเขามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ว่าทุกกายหยาบจะใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งร่างหรือหาผู้สืบทอด ก็ต้องหาคนที่มีกายหยาบเหมาะสม เกรงว่านี่จะเป็นข้อด้อยที่ใหญ่ที่สุดในการฟื้นฟูพลังของเขา สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดในตอนนี้ก็คือ เขาเคยมีประสบการณ์เปลี่ยนกายหยาบมาก่อน เขาจะสร้างอีกคนที่เหมือนตัวเองขึ้นมาหรือเปล่า


เหมียวอี้ : เจ้าหมายความว่า หานักพรตปีศาจกับคนที่ผสมพันธุ์กัน แล้วค่อยเอาลูกชายมาฝึกสองเคล็ดวิชา จากนั้นค่อยให้ฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผี รอให้สร้างหายหยาบที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ค่อยยึดร่างหรือไม่ก็เปลี่ยนให้เป็นลูกศิษย์เหรอ?


จินม่าน : ถ้าอยากจะปรับตัวให้เข้ากับเคล็ดวิชาฝึกตนของเขา ก็เกรงว่าจะต้องทำแบบนี้เท่านั้น เพียงแต่มีโอกาสต่ำมาที่นักพรตปีศาจกับมนุษย์สมสู่กันแล้วจะให้กำเนิดลูกชาย ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำสำเร็จหรือเปล่า


เหมียวอี้ : เรื่องนี้ใครจะรู้ล่ะ ตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหลุดออกมาหรือยัง…


จู่ๆ เขาที่กำลังถือระฆังดาราก็ตัวสั่น ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้าง ความคิดหนึ่งที่น่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาในหัวเขา นักพรตปีศาจกับคน ปีศาจโลหิตกับศีลแปด…


เขาสงสัยมาตลอดว่าปีศาจโลหิตกับศีลแปดอยู่ด้วยกัน เพียงแต่ไม่กล้าแน่ใจเต็มร้อย จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดก็เอ่ยถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ พอนำมาเชื่อมโย่งกับการคาดเดาเมื่อครู่นี้ ผลลัพธ์ที่ทำให้เขาขนลุกขนพองก็แทบจะทำให้เขาไม่กล้าคิดต่อไป


ความคิดในหัวแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาพอจะเข้าใจศีลแปดอยู่บ้าง หลายปีมานี้เหมียวอี้ผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดนั้น อุปสรรคชีวิตความเป็นความตายคงจะแพร่ไปทั่วทั้งพิภพใหญ่แล้ว ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ศีลแปดจะไม่เคยได้ยินข่าวของเขาเลยสักนิด หลังจากได้ยินข่าวต่อให้จะไม่อยากกลับมา แต่ก็ควรจะส่งข่าวมาถามเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้สักนิด ทำไมผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ข่าวสักนิดเลย? เขาสงสัยเรื่องนี้มาตลอด อย่าบอกนะว่าศีลแปดตัดขาดไมตรีถึงขั้นนี้แล้ว? เขากังวลมาตลอดเช่นกันว่าเกิดเรื่องขึ้นกับศีลแปดแล้วหรือเปล่า แต่จากการเชื่อมต่อระฆังดาราก็ทำให้เขาแน่ใจได้ว่าศีลแปดยังไม่ตาย เขาสงสัยมาตั้งแต่แรกว่าศีลแปดกำลังขาดอิสระหรือเปล่า?


ตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดมาถึงพิภพใหญ่ ก็บอกว่าขอเพียงเข้าใจเขตที่ศีลแปดอยู่ก็จะสามารถสัมผัสได้ว่าศีลแปดอยู่ตรงไหน ตามหลักการแล้วใช้เวลาหาไม่กี่พันปีก็น่าจะไปมาทุกดวงดาวที่รู้จักแล้ว ไม่ว่าศีลแปดจะอยู่ที่ไหนก็น่าจะสัมผัสได้แล้วสิ ควรจะหาพบได้แล้ว แต่ผ่านไปนานไม่ติดต่อมา จู่ๆ ก็ติดต่อมาว่า ‘พระปีศาจหนานโป’ พอติดต่อซ้ำก็ติดต่อไม่ได้แล้ว แบบนั้นแปลว่าไต้ซือศีลเจ็ดกับศีลแปดล้วนถูกขังอยู่ในที่เดียวกันและไม่สะดวกจะติดต่อกับภายนอกใช่มั้ย?


จินม่านตอบมาว่า : ประมุขปราชญ์ได้ยินคนพูดถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ จากไหนกันแน่ ตามหลักการแล้วพระปีศาจหนานโปหายตัวไปหลายปีแล้ว คนที่รู้จักตอนนี้น่าจะมีไม่เยอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอยู่ดีๆ ใครจะเอ่ยถึง?


พอนึกถึงผลลัพธ์ที่น่าหวาดกลัวนั้น เหมียวอี้ก็เริ่มร้อนรนแล้ว จะมีกะจิตกะใจมาคุยเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร เขาเองก็บอกไม่ได้ด้วยว่าเกี่ยวข้องกับศีลแปดและอาจารย์ ได้แต่ถามไปว่า : เจ้าติดตามประมุขปราชญ์คนก่อนมาหลายปีขนาดนี้ มีเบาะแสอะไรที่จะตัดสินได้มั้ยว่าพระปีศาจหนานโปถูกผนึกไว้ที่ไหน?


เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับศีลแปดแล้วไม่สนใจ ตอนนี้ร้อนใจอยากจะยืนยันว่าศีลแปดปลอดภัยหรือไม่


จินม่านส่ายหน้า : ไม่ทราบค่ะ! ในปีนั้นพวกเราถึงขั้นไม่รู้เลยว่าประมุขปราชญ์ทั้งหกเป็นเด็กชายหกลัทธิในอดีต และถูกประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ร่วมมือกันโจมตี สูญเสียสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์แล้ว ประมุขปราชญ์ทั้งหกถึงได้เปิดเผยบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนออกมา สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป พวกเราก็ไม่รู้สถานการณ์เลยสักนิด


เมื่อเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความอะไร เหมียวอี้ก็บอกว่า : ได้! เดี๋ยวข้าจะหาทางสืบอีกที!


จินม่าน : ประมุขปราชญ์ ท่านคิดจะหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเหรอ?


ทว่าเหมียวอี้ตัดขาดการติดต่อไปแล้ว


เหมียวอี้ไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกตนอย่างสงยที่ธงพยัคฆ์ดำแล้ว หลังจากออกจากห้องสมาธิ ก็รีบเตรียมงานของธงพยัคฆ์ดำ จากนั้นก็พาเหยียนซิวออกไปด้วยกันเงียบๆ


หยางชิ่งที่มองตามขมวดคิ้วมุ่น สำหรับเรื่องที่เหมียวอี้ถามถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ ขึ้นมากะทันหัน ทั้งยังออกไปแบบปุบปับ ไม่รู้เหมือนกันว่าในนั้นมีอะไรเกี่ยวเนื่องกัน


บทที่ 1384 ประหลาดใจสงสัย

Ink Stone_Fantasy

เขตหวงห้ามของวังสวรรค์ ตำหนักชีพนิรันดร์ สถานที่ฝึกตนราชันสวรรค์ นอกจากราชันสวรรค์ ถ้าราชันสวรรค์ไม่อนุญาตก็ไม่มีใครบุกเข้ามาได้


แต่ในเวลานี้ เกาก้วนทูตตรวจการขวาของตำหนักสวรรค์กลับเร่งฝีเท้าบุกตรงเข้ามา บนศีรษะสวมหมวกทรงสูงสีดำ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์แต่ดูจริงจัง ผ้าสีดำที่คลุมบ่าสะบัดตามจังหวะการก้าวเดิน ทหารยามปล่อยให้เขาเข้ามา


ขณะมองดูเกาก้วนเดินก้าวยาวเข้ามา ทหารยามก็แปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าทูตขวาเกาจะดันทุรังมารบกวนการฝึกตนของฝ่าบาท จะต้องพบฝ่าบาทให้ได้ นี่เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมาก พวกทหารยามแอบส่งสายตาให้กัน จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน


วังสวรรค์มีสภาพอากาศหลากหลาย พอเข้ามาในอาณาเขตตำหนักชีพนิรันดร์กลับหนาวเย็น แต่เห็นไอของพลังจิตวิญญาณราวกับหมอกจางๆ


พอเดินมาตรงหน้าประตูตำหนักที่ปิดสนิท เกาก้วนก็ใช้แขนสองข้างดัน เปิดประตูที่สูงใหญ่หนาหนักเข้าไปโดยตรง เสียงทุ้มทึบดังขึ้นขณะประตูเปิด เขาก้าวเดินเข้าไปแล้ว


ประมุขชิงกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่กลางตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า เมื่อได้ยินเสียงก็กล่าวถามอย่างเนิบนาบว่า “มีเรื่องอะไรทำไมรีบร้อนขนาดนี้?”


เขาเองก็รู้เช่นกัน ว่าถ้าไม่มีเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ เกาก้วนก็ไม่มีทางรบกวนเขา


เกาก้วนยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกล หลังจากกุมหมัดคารวะแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฝ่าบาท! เกิดเรื่องแล้วขอรับ”


ประมุขชิงพลันลืมตาสองข้าง ถ้าสามารถทำให้คนเยือกเย็นอย่างเกาก้วนพูดว่า ‘เกิดเรื่องแล้ว’ ออกมาได้ ก็แปล่วาเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน จึงถามว่า “มีเรื่องอะไร? มีข่าวของเจ้าสามไป๋เหรอ?”


“เกรงว่าจะยุ่งยากกว่าเรื่องของคุณชายสามขอรับ” เกาก้วนตอบ


“หืม?” ประมุขชิงยืนขึ้นทันที แล้วหรี่ตามถามว่า “ยุ่งยากกว่าเรื่องของเจ้าสามไป๋เหรอ เรื่องอะไร?”


เกาก้วนมองซ้ายมองขวาในตำหนักชีพนิรันดร์ แล้วตอบว่า “ต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่เร่งด่วน ข้าน้อยพาคนคนหนึ่งมาด้วย เกรงว่าจะต้องดูหมิ่นสถานที่ฝึกตนของฝ่าบาทสักหน่อย”


ประมุขชิงพยักหน้า


เกาก้วนพลิกฝ่ามือคว้า หยิบจิ้งจอกดำสามหางตัวหนึ่งออกมาจากประเป๋าสัตว์ คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวจิ้งจอกดำสามหาง แล้วโยนลงบนพื้น


แสงสีทองสว่างวาบ จิ้งจอกดำสามหางกลายเป็นสตรีชุดดำคนหนึ่ง รูปร่างสวยหยาดเยิ้ม แต่กลับผมยุ่งกระเซิง นอนหมอบข้างตัวสั่นระริกอยู่บนพื้น พยายามส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ปากก็พูดมั่วไปเรื่อยว่า “พระปีศาจหนานโป…พระปีศาจหนานโป…พระปีศาจหนานโป…”


เมือ่กล่าวคำนี้ออกมา ประมุขชิงก็พลันเบิกตากว้าง ลุกพรวดแล้วกางนิ้วทั้งห้า ดูดสตรีชุดดำเข้ามา จับคอเสื้อของนางพลางตะคอกถาม “พูดให้ชัดเจน พระปีศาจหนานโปอยู่ที่ไหน?”


ผลก็คือพบว่าสตรีชุดดำสายตาเลื่อนลอย ไม่มีทางเพ่งมองจุดไหนได้ เอาแต่พึมพำซ้ำๆ ว่า “พระปีศาจหนานโป” บางครั้งก็หลุดพูดคำว่า “อย่านะ” ออกมา น้ำตาและน้ำมูกไหลพร้อมกัน มุมปากยังมีฟองสีขาวด้วย


ประมุขชิงพลันเอียงหน้ามองเกาก้วน “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


“เป็นบ้าไปแล้ว!” เกาก้วนตอบ แล้วบอกอีกว่า “คนของหน่วยตรวจการขวาบังเอิญได้ยินลูกศิษย์ของสำนักหิมะทะนงที่น่านฟ้าเถาะติงกำลังพูดถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ ตอนที่ข้าน้อยพลิกอ่านรายงานของแต่ละที่ก็ตกใจมาก นำคนไปตรวจตรวจสอบสถานการณ์ที่สำนักหิมะทะนงด้วยตัวเองทันที ตอนที่ข้าน้อยไปถึง จิ้งจอกดำสามหางก็กำลังถูกสำนักหิมะทะนงขังไว้ ตามที่เจ้าสำนักหิมะทะนงบอกมา เป็นนางเองที่ประสาทเสียบุกเข้ามาในเขตของสำนักหิมะทะนง ตอนที่จับนางได้ นางก็เป็นบ้าไปแล้ว ปากพึมพำประโยคนั้นไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกันว่านางหนีมาจากไหน และไม่ทราบถึงตัวตนของนางด้วย ตอนที่นางปรากฏตัวของบนตัวก็ไม่มีแล้ว ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องอะไรมา ตอนหลังข้าน้อยให้ทุกคนของสำนักหิมะทะนงปิดปากไว้ ห้ามเปิดเผยต่อภายนอกแม้เพียงครึ่งคำ ข้าน้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ถึงได้พาปีศาจจิ้งจอกสามหางมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่วังสวรรค์”


“คำพูดของสำนักหิมะทะนงเชื่อถือได้มั้ย?” ประมุขชิงถาม


เกาก้วนตอบว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ข้าน้อยไปสืบสวนด้วยตัวเอง น่าจะไม่ได้โกหก มีคนไม่น้อยเห็นกับตาตัวเองว่าจิ้งจอกดำสามหางบุกเข้ามาในสำนักหิมะทะนง”


“พระปีศาจหนานโป…น่านฟ้าเถาะติง…” ประมุขชิงหรี่ตาพึมพำ “น่านฟ้าเถาะติงมีเขตแดนติดต่อกับแดนสุขาวดี อย่าบอกนะว่าหนีออกมาจากแดนสุขาวดี?”


เกาก้วนตอบว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทางเข้าออกแดนสุขาวดีมีคนเฝ้าอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนสังเกตเห็นตอนนางตอนที่นางบุกเข้าออก แต่ด้วยสภาพของนางแบบนี้ ถ้าหนีไปทั่วดาราจักรก็สะดุดตาเกินไป โดนคนดักไว้ได้ง่ายๆ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ บนตัวนางไม่มีต้นทุนให้ดีได้ไกลขนาดนั้น หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้านางไม่ได้โผล่ออกมาจากทุกซอกทุกมุมของน่านฟ้าเถาะติง ก็คงหนีมาจากดาราจักรนอกน่านฟ้าเถาะติง”


“มีเหตุผล!” ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ ครุ่นคิดตามครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เอียงหน้าร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนไปนอกตำหนัก “เรียกปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว สี่อ๋องสวรรค์ไปประชุมที่ตำหนักดาราจักร”


ปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเป็นชื่อเรียกที่ให้เกียรติ ชื่อเดิมคือเซี่ยโห้วท่า เป็นท่านปู่ของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ส่วนสี่อ๋องสวรรค์ก็มีอิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี


บ้านของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากวังสวรรค์ หรือพูดได้อีกอย่างว่าล้อมพิทักษ์อยู่รอบวังสวรรค์ เมื่อได้รับคำสั่งเรียกพบ หลังจากสี่อ๋องสวรรค์เจอหน้ากันข้างนอกก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน จะสืบข่าวจากกันและกันสักหน่อยว่าประมุขชิงเรียกพบด้วยเรื่องอะไร ผลปรากฏว่าไม่มีใครรู้


ทั้งสี่มาถึงตำหนักดาราจักรก่อน พอรอไปสักครู่ก็เห็นเซี่ยโห้วท่าที่ผมขาวและมีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้าถือไม้เท้ามา


ยามปกติท่านนี้ไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในราชสำนัก ไม่ค่อยปรากฏตัวในราชสำนักเท่าไร หรือพูดได้อีกอย่างว่าตาแก่หนังเหนียวตายยากที่หลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัยก็มาเช่นกัน ทั้งสี่แปลกใจนิดหน่อย ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าประมุขชิงมีเรื่องอะไรถึงได้เรียกท่านนี้มาแล้ว


ถึงแม้จะพึมพำในใจ แต่ก็จะเสียมารยาทไม่ได้ ทั้งสี่กุมหมัดคารวะอย่างเคารพนอบน้อมพร้อมกัน “คารวะท่านปู่สวรรค์!”


ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ทั้งสี่จะมีอำนาจมากกว่าท่านนี้ แต่หลานสาวของอีกฝ่ายคือภรรยาคู่ชีวิตของราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์ที่เป็นมารดาของใต้หล้า เกียรติพิเศษนี้มีเพียงหนึ่งเดียว กอปรกับตระกูลเซี่ยโห้วเป็นตระกูลเก่าแก่จริงๆ ตอนที่ตระกูลเซี่ยโห้วบงการสิ่งต่างๆ ได้ สี่อ๋องสวรรค์ยังเป็นเพียงทหารเล็กๆ ต่ำต้อยอยู่เลย มีสิทธิ์เพียงเฝ้ามองอย่างมีความหวังแต่ไม่ได้ใกล้ชิด ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะข่มใต้หล้าได้ไม่เท่าแต่ก่อน แต่ก็ยังเป็นต้นไม้ที่มีรากลึก ไม่มีใครรู้ชัดว่าอีกฝ่ายยังมีไพ่อะไรที่ยังไม่เผยออกมา ประกอบกับเป็นผู้อาวุโสฝ่ายตระกูลราชินีสวรรค์ แม้แต่ราชันสวรรค์เองเวลาพบเขาก็ยังต้องเกรงใจ


ก็เพราะว่ามีความมั่นใจนี้ ราชันสวรรค์ถึงได้แต่งงานกับหลานสาวของเขาที่หน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่นจนถึงขั้เรียกได้ว่าหน้าตาพื้นๆ เป็นฮูหยินเอกแต่งตั้งเป็นราชินีสวรรค์


“อืม!” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างวางมาดผู้อาวุโส และไม่ได้คารวะกลับด้วย บอกเพียงว่า “อ๋องสวรรค์ทั้งสี่ก็มาเหมือนกันรึ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกพวกเราเพราะมีธุระอะไร?”


โค่วหลิงซวีตอบว่า “พวกเราก็กำลังครุ่นคิดอยู่เหมือนกัน” อีกสามคนพยักหน้าตาม บอกใบ้ว่าไม่รู้เช่นกัน


พอคนมากันครบ ทางประมุขชิงก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน ไม่นานก็ปรากฏตัวเดินออกมาพร้อมเกาก้วน


ทั้งห้าคนที่อยู่ในตำหนักทำความเคารพพร้อมกัน “คารวะฝ่าบาท!”


“ไม่ต้องมากพิธี!” ประมุขชิงยกมือบอกให้ยืนตรง หลังจากนั่งลงหลังโต๊ะยาว ก็เอียงหน้าบอกใบ้เกาก้วนที่ยืนอยู่ข้างกัน


เกาก้วนโบกมือดึงคนคนหนึ่งออกมาทันที โยนลงในตำหนัก คนที่ตกลงบนพื้นก็คือสตรีชุดดำจิ้งจอกดำสามหางนั่นเอง


“พระปีศาจหนานโป…พระปีศาจหนานโป…อย่านะ…พระปีศาจหนานโป…” ฮูหยินชุดดำร้องไห้ตัวสั่นหวาดกลัว เอามือลูบคลำบนพื้น พอเห็นคนก็เอามือปิดหน้าอกอย่างขี้ขลาดตาขาวอีก


พอทั้งห้าคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างได้ยินชื่อ ‘พระปีศาจหนานโป’ ก็เบิกตากว้างทันที เซี่ยโห้วท่าที่แก่จนหนังตาจะปิดก็พลันเบิกตากว้างเช่นกัน พวกเขาจ้องมองสตรีชุดดำที่ตัวสั่นระริกโดยไม่ละสายตา


ผ่านไปครู่เดียวก็หันกลับไปจ้องประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูง เซี่ยโห้วท่าเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามว่า “ฝ่าบาท นี่คือ?”


“เกาก้วน อธิบายให้ท่านปู่สวรรค์ฟังหน่อย อีกประเดี๋ยวเกรงว่าจะต้องอาศัยให้ปู่สวรรค์ลงมือช่วย” ประมุขชิงตอบ


“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ แล้วเล่าสิ่งที่เล่าให้ประมุขชิงฟังก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบหนึ่ง


หลังจากฟังที่เขาเล่าจบ ทั้งห้าก็ทำสีหน้าประหลาดใจสงสัย มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา


หลังจากประมุขชิงเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาแล้ว ก็บอกว่า “ปู่สวรรค์ เจ้ากับพระปีศาจหนานโปเคยคลุกคลีกันมาก่อน ในปีนั้นตระกูลเซี่ยโห้วก็เคยจัดการเรื่องบางอย่างให้พระปีศาจหนานโป นับว่าเจ้าค่อนข้างรู้จักเขา เรื่องนี้เจ้ามองว่าอย่างไร?”


ความสงสัยประหลาดใจบนใบหน้าเซี่ยโห้วท่ายากจะหายไป เขาเป็นคนที่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างประมุขชิงกับพระปีศาจหนานโป ถ้าพระปีศาจหนานโปกลับมาอีกครั้ง แล้วรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วไปขอพึ่งพาลูกศิษย์ของศัตรู เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะเผชิญภัยพิบัติ ที่จริงในปีแรกๆ ตระกูลเซี่ยโห้วถูกสนับสนุนโดยพระปีศาจหนานโป เพียงแต่ตอนหลังพระปีศาจหนานโปยิ่งขาดความเป็นมนุษย์ไปหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหวาดกลัวมากขึ้นทุกวัน การที่เด็กชายหกลัทธิกล้าตัดสินใจลงมือกับพระปีศาจหนานโป ก็เป็นเพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วยุยงอยู่เบื้องหลัง


หลังจากพระปีศาจหนานโปสิ้นอำนาจแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้กลืนคำพูด ช่วยเหลือสนับสนุนเด็กชายหกลัทธิให้กลายเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิในภายหลัง ตอนหลังมีประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ปรากฏตัวออกมา ตระกูลเซี่ยโห้วเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลจึงไปยืนฝ่ายพวกประมุขพุทธะ ตอนหลังก็เกิดความขัดแย้งภายในระหว่างประมุขชิง ประมุขพุทธะและประมุขไป๋ ตระกูลเซี่ยโห้วก็มายืนอยู่ฝ่ายประมุขชิง หลังจากประมุขชิงแต่งงานกับหลานสาวตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว เขาก็ใช้อำนาจอิทธิพลของตระกูลช่วยประมุขชิงคุมให้หล้าให้สงบมั่นคง


ที่จริงตระกูลเซี่ยโห้วผ่านความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันมาไม่น้อย ต้องเลือกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้ตั้งตระหง่านมั่นคงดั่งขุนเขาได้จนถึงทุกวันนี้


ไม่ใช่ว่าตระกูลเซี่ยโห้วชอบทรยศ แต่เป็นเพราะจำใจเลือกยามเผชิญกับความเป็นความตาย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะดับสูญไปตั้งนานแล้ว


เซี่ยโห้วท่าประหลาดใจสงสัยอยู่นานมาก ก่อนจะกล่าวอย่างทำใจเชื่อได้ยากนิดหน่อยว่า “ในปีนั้นเด็กชายหกลัทธิผนึกหนานโปไว้แล้ว ไม่มีใครรู้สถานที่ผนึกนอกจากเด็กชายหกลัทธิ น่าจะไม่เปิดเผยให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดไปแล้วมีคนเจตนาไม่ดีปล่อยหนานโปออกมา ผลลัพธ์ก็จะเลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการถึงเลย ไม่มีทางที่หกคนนั้นจะไม่รู้ถึงหลักการนี้ น่าจะผิดปากไว้สนิทสิถึงจะถูก”


ประมุขชิงกล่าวว่า “ตามหลักการแล้ว เด็กชายหกลัทธิควรจะผนึกพระปีศาจหนานโปไว้แน่นหนาดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ไม่มีทางที่จะให้โอกาสเขาหลุดออกมาง่ายๆ เพียงแต่ทำไมปีศาจต่ำต้อยคนหนึ่งจึงเอ่ยถึงพระปีศาจหนานโปแล้วหวาดหวั่นเช่นนี้? จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ท่านปู่สวรรค์ เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกที ท่ามกลางผู้คนในปีนั้น จะมีใครมั้ยที่อาจรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”


เซี่ยโห้วท่าจมอยู่ในความคิด มือข้างหนึ่งประคองไม้เท้า มืออีกข้างฝั้นขยี้หนวดเครา


“ก่อนที่เด็กชายหกลัทธิจะตาย พวกเขาได้บอกสถานที่ผนึกให้คนที่ลงมือสังหารรู้หรือเปล่า?” อ๋องสวรรค์ฮ่าวถาม


ประมุขชิงกล่าวว่า “ความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก ถ้าเด็กชายหกลัทธิอยากจะล้างแค้นจริงๆ บอกที่สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปรู้ ถ้าจะปล่อยก็คงปล่อยออกมานานแล้ว คงไม่ขังไว้นานขนาดนี้แล้วค่อยลงมือ”


เซี่ยโห้วท่าราวกับถูกเตือนความจำ พูดต่อว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ เด็กชายหกลัทธิรู้ถึงความน่ากกลัวของพระปีศาจหนานโป และรู้ด้วยว่าพระปีศาจหนานโปมีพลังอภินิหารในการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระปีศาจหนานโปต้องการจะล้างแค้น ต่อให้เด็กชายหกลัทธิตายไปแล้ว พระปีศาจหนานโปก็สามารถทำให้พวกเขาเกิดได้อีกครั้ง ทำให้พวกเขาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะลทุกข์ตลอดไปโดยไม่ให้กลับตัว ต่อให้เด็กชายหกลัทธิจะต้องการบอก ก็จะบอกเพียงคนที่สามารถทำลายจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปทิ้งได้เท่านั้น ดังนั้นคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปคงจะเป็น…คุณชายสาม!”


บทที่ 1385 ฟืนคืนจิตวิญญาณ

Ink Stone_Fantasy

“คุณชายสาม?” สี่อ๋องสวรรค์หลุดอุทานพร้อมกัน โค่วหลิงซวีถามเสียงต่ำว่า “ปู่สวรรค์ ท่านหมายความว่า คุณชายสามกลับมาแล้วเหรอ?”


เกาก้วน คนเดียวที่ยืนอยู่ข้างกายประมุขชิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น


เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “เรื่องนี้ก็ยังยืนยันไม่ได้”


ประมุขชิงกล่าวว่า “ถ้าเจ้าสามกลับมาจริงๆ ขอเพียงเขาปรากฏตัว ก็ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้ ท่านปู่สวรรค์ เหตุใดเจ้าจึงวินิจฉัยว่าเจ้าสามจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป แล้วทำไมถึงคิดว่าเขาสามารถจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปได้?”


“เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าเป็นลูกน้องของเด็กชายหกลัทธิ ข้าน้อยเพียงตระหนักได้ในบางครั้ง ไม่กล้าแน่ใจทั้งหมดเช่นกัน” เซี่ยโห้วท่ากล่าว


“พูดออกมาได้เลย” ประมุขชิงกล่าว


อ๋องสวรรค์ทั้งสี่ก็ทำสีหน้าตั้งใจฟังเช่นกัน


เซี่ยโห้วท่าใช้มือขยี้เคราขาวพร้อมกล่าวอย่างลังเล “ฝ่าบาทคงจะจำได้ ว่าในปีนั้นคุณชายสามเดาทางหนีทีไล่สุดท้ายของเด็กชายหกลัทธิได้อย่างแม่นยำ จึงรีบไปดักไว้ ผลปรากฏว่าฆ่าเด็กชายหกลัทธิแต่กลับปล่อยลูกน้องของเด็กชายหกลัทธิให้ถอยเข้าไปในแดนอเวจี ได้ยินว่าในตอนนั้นเด็กชายหกลัทธิขอร้องวิงวอนคุณชายสาม ทำให้คุณชายสามใจอ่อนไปชั่วขณะ ถึงได้ปล่อยกากเดนของหกลัทธิไป ฝ่าบาทลองคิดดูสิ ฝ่าบาท คุณชายใหญ่และคุณชายสามล้วนอยากรู้สถานที่ผนึกจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปจากปากเด็กชายหกลัทธิ ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น คุณชายสามจะไม่ถือโอกาสถามสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้อย่างไร?”


ประมุขชิงเดินออกมาจากหลังโต๊ะยาว เดินอ้อมออกมาช้าๆ จนมาถึงข้างล่าง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ในปีนั้นข้ากับพี่ใหญ่เคยถามเจ้าสามแล้ว ถามว่าเขาได้ถามสถานที่ผนึกหรือเปล่า แต่เจ้าสามไม่ได้บอก”


โค่วหลิงซวีถามอย่างเนิบนาบว่า “หรือว่าฝ่าบาทลืมไปแล้ว ในปีนั้นหลังจากรู้ว่าคุณชายสามปล่อยผู้เหลือรอดของหกลัทธิไป ท่านกับคุณชายใหญ่ก็เดือดดาลพอสมควร ถึงขั้นทะเลาะกับคุณชายสามด้วย และหลังจากถามว่าสถานที่ผนึกอยู่ที่ไหน เดิมทีก่อนหน้านี้คุณชายสามอาจจะอยากบอกก็ได้ บางทีอาจะเป็นเพราะหลังจากทะเลาะกันแล้ว คุณชายสามเกิดช่องว่างในจิตใจ จึงปิดบังความจริงไว้”


ประมุขชิจึงกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าสามจะปิดบังไม่ยอมบอก แต่เขาจะไม่รู้ถึงผลลัพธ์หลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดพ้นออกมาเชียวเหรอ อีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปได้เหรอ? ตามหลักเหตุผลแล้วต่อให้เขาจะปิดบังพวกเรา เขาก็คงไปทำลายจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปก่อนแล้ว”


“นี่ก็คือจุดที่ข้าน้อยคิดรู้สึกว่าน่าสงสัยเหมือนกัน ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่กล้ายืนยันว่าใช่คุณชายสามหรือเปล่า” เซี่ยโห้วท่ากล่าว


“ไม่ว่าตอนนี้จะพูดอะไรก็เป็นการคาดเดาทั้งนั้น!” ประมุขชิงหันตัวมา โบกมืชี้สตรีวัยกลางคนที่หดหัวตัวสั่นคลานไปตรงประตู “นางเคยเห็นพระปีศาจหนานโปใช่มั้ย แล้วพระปีศาจหนานโปนั่นหลุดออกมาหรือเปล่า ทำให้นางได้สติกลับมาก็จะรู้เอง ได้ยินว่าในมือปู่สวรรค์มีสมุนไพรฟื้นจิตวิญญาณสามต้นที่ได้มาเมื่อปีก่อนๆ เกรงว่าจะต้องให้ท่านปู่สวรรค์นำมาสิ้นเปลืองกับเรื่องเล็กๆ สักต้นแล้ว”


คนเป็นบ้ากับคนได้รับบาดเจ็บมีลักษณะต่างกัน ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์จะสูงกว่านี้ แต่ถ้าให้สมุนไพรเซียนทั่วไปช่วยก็ฟื้นฟูกลับมาได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นยาเทวดาสำหรับเยียวยาบาดแผลอย่างสมุนไพรเซียนซิงหัว ถ้ามาใช้กำโรคประเภทนี้ก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด


เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถึงแม้สมุนไพรเทพจะล้ำค่าหายาก แต่ก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องด่วน ตราบใดที่สามารถสืบถามที่มาที่ไปได้ สละใช้สมุนไพรเทพสักต้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”


พูดจบก็พลิกฝ่ามือ สมุนไพรเทพสีเขียวมรกตเปล่งแสงระยิบระยับสูงประมาณหนึ่งนิ้วต้นหนึ่งลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา จากนั้นก็หันไปมองสตรีที่คลานอยู่ตรงประตู


ก่วงลิ่งกง อ๋องสวรรค์ก่วงพลันโบกมือ เกิดเสียงดังซวบ สตรีชุดดำไถลพื้นกลับมาทันที มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วท่า ในแววตาที่เลื่อนลอยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


สมุนไพรเทพที่เปล่งแสงงดงามอยู่บนฝ่ามือเซี่ยโห้วท่าลอยลงช้าๆ ลอยไปหมุนวนเบาๆ เหนือศีรษะของสตรีวัยกลางคน ภายใต้การกระตุ้นจากพลังอิทธิฤทธิ์ แสงอันงดงามบนสมุนไพรเทพสีเขียวมรกตพ่นออกมา จู่ๆ ลำแสดงสายหนึ่งก็ส่องยิงลงด้านล่าง ครอบศีรษะสตรีคนนั้นเอาไว้


ทุกคนในตำหนักล้วนได้เห็นฉากนี้ พวกเขารออย่างเงียบๆ


หลังจากนั้นพักใหญ่ แววตาที่เลื่อนลอยลอกแลกของผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ กลับมากระจ่างชัดเหมือนเดิม สีหน้าหวาดกลัวบรรเทาลงไม่น้อย สายตาเริ่มมองสำรวจทางซ้ายและขวา เพียงแต่โดนอ๋องสวรรค์ก่วงควบคุมไว้ ร่างกายยังคงขยับไม่ได้


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ลำแสงที่ยิงออกจากสมุนไพรเทพสีเขียวมรกตก็หดกลับอย่างกะทันหัน เพียงแต่สมุนไพรเทพทั้งต้นหดเล็กลงหลายเท่า เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า “น่าจะหายดีแล้ว” จากนั้นก็พลิกฝ่ามือเก็บสมุนไพรเทพเอาไว้


อ๋องสวรรค์ก่วงเอาสองมือไขว้หลังเช่นกัน ส่วนสตรีวัยกลางคนคนนั้น หลังจากพบว่าร่างกายตัวเองเป็นอิสระแล้ว นางก็รีบลนลานลุกขึ้นมา พอหันมองคนที่อยู่รอบๆ พบว่าตรงหว่างคิ้วพวกเขามีสัญลักษณ์วรยุทธ์ที่กลายเป็นภาพจริง นางก็ตกใจไม่เบา ถามอย่างหวาดกลัวว่า “พวกเจ้าเป็นใคร?”


ฮ่าวเต๋อฟางพยักหน้าบอกว่า “สมุนไพรเทพของปู่สวรรค์มีสรรพคุณไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย สงสัยจะหายแล้วจริงๆ”


ตุ้ง! เซี่ยโห้วท่ากระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้น แล้วตะคอกว่า “ปีศาจต่ำต้อยบังอาจ เห็นราชันสวรรค์แล้วยังกล้าโอหัง!”


ราชันสวรรค์? สตรีชุดดำทสีหน้าประหลาดใจสงสัยทันที


“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด!” ประมุขชิงยกมือเบาๆ “เกาก้วน พานางไปดูหน่อย”


“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินเข้ามาใกล้ ดึงแขนสตรีคนนั้นเอาไว้ แล้วลากออกไปนอกตำหนักดาราจักร


พวกประมุขชิงหันตัวมามองพร้อมกัน


ผ่านไปไม่นาน เกาก้วนก็ดึงสตรีคนนั้นกลับมาอีก ในตอนนี้นางตกใจจนหน้าซีดขาวแล้ว ก่อนหน้านี้นางยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่พอถูกดึงออกมาดู นางก็เห็นหงส์ร่อนมังกรรำ บรรยากาศที่เป็นมงคล ตำหนักใหญ่โอ่อ่าที่สร้างจากลูกแก้วพลังปรารถนาทั้งหลัง พอเห็นทหารยามเกราะแดงมากมายขนาดนั้น บวกกับเสียงตะคอกของเซี่ยโห้วท่าที่อยู่ตรงหน้า ก็มีหรือที่จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ตัวเองมาอยู่ที่วังสวรรค์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นราชันสวรรค์!


ในตอนนี้เมื่อเห็นประมุขชิงที่สวมชุดคลุมมังกรยืนอยู่ตรงกลาง นางก็แทบจะเข่าอ่อนโดยสัญชาตญาณ เสียงเข่ากระแทกพื้นดังตุ้บ หน้าผากแนบพื้นไม่ยอมเงยขึ้น ได้แต่กล่าวเสียงสั่นว่า “ปีศาจต่ำต้อยคารวะราชันสวรรค์ ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนนาน!”


คนที่เหลือมองตามประมุขชิงที่เดินช้าๆ เข้ามาใกล้นาง ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “เงยหน้าขึ้นมา”


สตรีชุดดำเงยหน้าช้าๆ อย่างสั่นเทิ้ม อารมณ์หวาดกลัวในดวงตานั้นยากจะปิดบัง ประมุขชิงกลับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้าชื่อว่าอะไร มาจากที่ไหน?”


สตรีชุดดำตอบเสียงสั่นว่า “ปีศาจต่ำต้อยชื่อหูลี่ลี่ มาจากดาวรกร้างในเขตสถานที่ไร้ระเบียบ”


ประมุขชิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง เกาก้วนที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครบางคนทันที และเหมือนจะได้รับคำตอบบางอย่างด้วยความเร็ว เกาก้วนตอบว่า “ที่ดาวรกร้างในเขตสถานที่ไร้ระเบียบมีปีศาจจิ้งจอกดำสามหางที่ชื่อว่าหูลี่ลี่จริงขอรับ วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า สอดคล้องกับนางพอดี”


ประมุขชิงลดเกียรติตัวเองถามนางต่อไป “หูลี่ลี่ ก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าถึงเป็นบ้าไปแล้วล่ะ?”


“บ้าไปแล้ว…” หูลี่ลี่อึ้งทันที เหมือนจะนึกย้อนอะไรบางอย่างได้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ส่ายหน้าตอบว่า “ปีศาจต่ำต้อยไม่ทราบ ปีศาจต่ำต้อยรู้เพียงว่าก่อนหน้านี้ปวดหัวเหมือนจะระเบิด พอได้สติกลับมาก็เจอฝ่าบาทแล้วเพคะ”


“ตอนที่เจ้าเป็นบ้าไป ปากเจ้าเอาแต่ตะโกนว่าพระปีศาจหนานโป เป็นเพราะอะไรกันแน่?” ประมุขชิงถาม


เซี่ยโห้วท่าที่อยู่ข้างๆ ตะคอกตามมาว่า “ห้ามปิดบังอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น…”


ประมุขชิงที่กำลังจ้องหูลี่ลี่ยกมือขึ้นเล็กน้อย เซี่ยโห้วท่าทำได้เพียงหยุดขู่เข็ญ ที่จริงเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่กังวลที่สุดว่าพระปีศาจหนานโปจะกลับมาอีก ผลที่ตามมาน่ากลัวเกินไปสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว ดังนั้นจึงค่อนข้างร้อนใจ


แต่ในขณะที่หูลี่ลี่มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ร่างกายก็เริ่มสั่นอีกครั้ง ในดวงตามีน้ำตาเม็ดใหญ่เอ่อล้นออกมา น้ำตาไหลพราก กล่าวด้วยเสียงสะอื้นเศร้าโศกแบบขาดๆ หายๆ ว่า “เขาเป็นมารร้าย”


ทุกคนเบิกตากว้างทันที ประมุขชิงมองซ้ายมองขวา เซี่ยโห้วท่าอดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “เจ้าเคยเห็นพระปีศาจหนานโปเหรอ?”


หูลี่ลี่พยักหน้า


“เขาหน้าตาเป็นยังไง?” เซี่ยโห้วท่าถามอีก


“หัวโล้น ตัวสูงมาก คลุมจีวรเฉียง เปลือยไหล่ข้างเดียว เปลือยแขนสองข้าง เปลือยเท้าสองข้าง” หูลี่ลี่ตอบ


คนอื่นๆ ยังดีอยู่ แต่ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่ากลับทำสีหน้าจริงจังแล้ว คนอื่นไม่เคยเห็นพระปีศาจหนานโป แต่พวกเขาสองคนกลับเคยเห็น โดยเฉพาะเซี่ยโห้วท่าที่สนิทกับพระปีศาจหนานโป รู้ว่าสิ่งที่หูลี่ลี่บรรยายถึงก็คือลักษณะท่าทางของพระปีศาจหนานโป


พอคนอื่นเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง ก็รู้ทันทีว่าปีศาจจิ้งจอกพูดสอดคล้องไปแปดเก้าส่วน


เซี่ยโห้วท่าเหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อ ถามอีกว่า “ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ใบหน้าของเขาเป็นอย่างไร?”


หูลี่ลี่ส่ายหน้าร้องไห้ “มองเห็นไม่ชัดค่ะ”


“เจ้าเคยเห็นไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงบอกว่ามองเห็นไม่ชัด?”


“ทั้งตัวเขาเหมือนรูปหล่อพระพุทธรูปในวัด ทั้งตัวราวกับทาด้วยทอง เปล่งแสงสีทอง เห็นชัดแค่รูปลักษณ์ภายนอกคร่าวๆ มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงไม่ชัดค่ะ”


เมื่อได้ยินคำตอบนี้ พวกเขารวมทั้งประมุขชิงก็สบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่ที่เซี่ยโห้วท่า ในดวงตาฉายแววฉงนสนเท่ห์


เซี่ยโห้วท่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นั่นก็คือธรรมลักษณ์จิตวิญญาณของเขา ตอนแรกที่โดนเด็กชายหกลัทธิควบคุมไว้ข้าก็เคยเห็นแล้ว คนที่เคยเห็นตอนอยู่ตรงนั้นมีแค่พวกข้าเจ็ดคน คนนอกน่าจะไม่รู้ ดูเหมือนปีศาจจิ้งจอกจะไม่ได้โกหก ดูท่าแล้วพระปีศาจหนานโปคงจะยังไม่มีกายหยาบ!”


เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว โค่วหลิงซวีก็พูดแทรกว่า “หูลี่ลี่ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าเห็นเขาที่ไหน?”


หูลี่ลี่ “ในหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หลบแสงหลบลมได้ดี ในเหวลึกด้านล่างมีวัดที่แปลกประหลาดมาก เป็นวัดที่ฝังเลี่ยมอยู่ในหน้าผา เขาอยู่ในวัดแห่งนั้น แต่เขาไม่ได้ออกมา ทุกครั้งที่เดินไปถึงประตูวัดแล้วจะกระโดดออกมา ในวัดก็จะมีเสียงระฆังดังพักหนึ่ง ทำให้เขาสะเทือนกลับไป เขายืนดูพวกเราได้จากประตูวัดเท่านั้น พวกเราก็ต้องไปยืนตรงประตูวัดเท่านั้นถึงจะมองเห็นเขาได้”


พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ประมุขชิงเอามือขยี้เคราพร้อมบอกว่า “ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าจิตวิญญาณของเขายังถูกผนึกอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกมา”


เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้าตามเช่นกัน


โค่วหลิงซวีถามอีกว่า “วัดกับหุบเขานั่นอยู่ที่ไหน?”


“ปีศาจต่ำต้อยก็ไม่ทราบ ตอนที่ปีศาจต่ำต้อยกำลังโดนไล่สังหาร ตอนที่หลงทางอยู่ในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จักถึงได้ล่วงล้ำเข้าไปที่นั่น” หูลี่ลี่ตอบ


“งั้นเจ้าก็บอกมาให้ละเอียดว่าไปได้อย่างไรและกลับมาได้อย่างไร” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว


หูลี่ลี่ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง เล่ารายเอียดที่มาที่ไปให้ฟังทันที


ตามที่นางบอกก่อนหน้านี้ ตอนที่นางโดนไล่สังหาร นางบังเอิญหลงทางเข้าไปที่นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ในตอนนั้นนางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็เห็นเป็นดาวเคราะห์ที่สวยงามดวงหนึ่ง เมื่อตรวจดูแผนที่ดาวก็พบว่าเป็นสถานที่ที่ยังไม่ถูกค้นพบ ยังนึกว่าตัวเองได้ค้นพบดาวดวงใหม่แล้ว หลังจากนางเข้าไปและเหยียบลงพื้น ก็พบทันทีว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพมายา และบนดาวดวงนั้นก็มีพลังงานลึกลับกลุ่มหนึ่ง เป็นพลังงานที่ทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ของคนสูญเสียการควบคุม ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงคนสวดมนต์ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเดินไปตามเสียงสวดมนต์นั้น สุดท้ายนางก็เดินเข้าสู่ฝันร้ายที่ก่อกวนนางทั้งชีวิต


พอฟังถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็กล่าวเสียงต่ำว่า “มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโป ทำลายกายหยาบกับพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังอาศัยจิตวิญญาณใช้เคล็ดวิชาได้อีก!”


ประมุขชิงโบกมือ บอกใบ้ไม่ให้เขาพูดอะไร แล้วก็ให้หูลี่ลี่พูดต่อไป


บทที่ 1386 พระหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง

Ink Stone_Fantasy

อารมณ์ความคิดของหูลี่ลี่เหมือนจะย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ตอนที่ไปถึงหุบเขา นางเริ่มหายใจถี่กระชั้น แววตาสื่ออารมณ์หวาดกลัว…


ในหุบเขานั้นหนาวเย็น สีของท้องฟ้ามืดสลัวอยู่ตลอด มีโครงกระดูกมากมาย ทั้งยังมีชายหญิงที่เปลือยร่างอยู่นับพัน แต่ละคนไม่ได้สวมเสื้อผ้า ในบรรดาชายหญิงพวกนั้นมีเพียงสองประเภท มีแค่มนุษย์กับปีศาจเท่านั้น มนุษย์มีชายกับหญิง แต่ปีศาจกลับมีนานาชนิด เรื่องเดียวที่ชายหญิงพวกนั้นทำกันก็คือสมสู่ เป็นการผสมพันธุ์ระหว่างคนกับปีศาจ ส่วนหูลี่ลี่เอง นางก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ตั้งแต่เดินลงไปในหุบเขาแล้ว ถอดเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองจนหมด เดินเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังสมสู่กัน นางแทบจะผสมพันธุ์กับมนุษย์อยู่แบบนั้นทุกวัน


ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ในใจต่างก็รู้ชัดแจ่มแจ้ง แต่ในหัวมีเสียงสวดมนต์ดังก้องอยู่ตลอด แต่ละคนไม่มีทางควบคุมตัวเองได้ ล้วนกำลังอาศัยความปรารถนายุคดึกดำบรรพ์เพื่อความเริงรมย์


คนจำนวนมากผสมพันธุ์กันถี่ขนาดนี้ มักจะมีอัตราการตั้งครรภ์เกิดขึ้นเสมอ และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้วก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จะหลุดพ้นจากการผสมพันธุ์แบบถี่ๆจะได้ขึ้นมาพักผ่อนรอคลอดอยู่นอกวัดบนหน้าผา พระปีศาจหนานโปก็กำลังยืนดูพวกนางอยู่ในประตูใหญ่นั้น


คนกับปีศาจผสมพันธุ์กัน เดิมทีก็มีอัตราความสำเร็จไม่สูงอยู่แล้ว แต่หูลี่ลี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน มีอัตราการตั้งครรภ์สูงเป็นพิเศษ นางอยู่ในหุบเขานั้นหลายพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งครรภ์สำเร็จไปสิบกว่าครั้ง ตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนหลัง นางให้กำเนิดทายาทเป็นทารกชายหญิงไปแล้วสิบกว่าคน


หลังจากให้กำเนิดลูกแล้ว นางถึงได้เริ่มเข้าสู่ฝันร้ายอย่างแท้จริง หลังจากลูกหย่านมไปแล้ว หากมีอาหารไม่เพียงพอ ก็จะเริ่มดื่มเลือดกินเนื้อ แหล่งที่มาของเลือดเนื้อพวกนั้นก็มีชายหญิงนับหมื่นที่ผสมพันธุ์กัน


หลังจากลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้น พระปีศาจหนานโปก็เริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกตนให้เด็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปถ่ายทอดวิชาลับอะไรให้ คนอื่นที่อยู่ที่นี่จะควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไม่ได้ แต่เด็กที่เขาฝึกสอนกลับสามารถฝึกตนที่นี่ต่อไปได้ เพียงแต่ไม่มีทางใช้พลังอิทธิฤทธิ์ตอนอยู่ที่นี่ได้เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ หลังจากเด็กน้อยเติบโต ก็จะไปฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผีอีก แต่ไม่มีใครสามารถผ่านด่านที่ทรมานที่สุดในการสลับหยินหยางได้เลย แต่ละคนสิ้นชีพอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่โหยหวนเศร้ารันทด หลังจากตายแล้วร่างกายของพวกเขาก็จะถูกแบ่งให้คนอื่นๆ กินอีก


หูลี่ลี่ได้แต่มองดูลูกที่ตัวเองคลอดตายอนาถคนแล้วคนเล่า ทั้งยังได้แต่มองลูกตัวเองถูกคนอื่นกิน ความรู้สึกแบบนั้นคนนอกไม่มีทางเข้าใจได้


ตอนหลังมีปีศาจสาวกับพระหนุ่มหล่อคู่หนึ่งมาในหุบเขา ปีศาจสาวก็เหมือนกับคนอื่นๆ แต่พระหนุ่มเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงสวดมนต์และมาเข้าร่วมการผสมพันธุ์ พระหนุ่มเหมือนจะตกใจกับภาพเหตุการณ์ในหุบเขา จึงหนีออกไปทันที แต่ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่นี่ได้ ภายใต้การควบคุมของพระปีศาจหนานโป ชายหญิงที่อยู่ในหุบเขาจึงดักไม่ให้เขาหนีเอาชีวิตรอด พวกนั้นไล่สังหารเขา


พระหนุ่มยากที่จะสู้กับคนจำนวนมากขนาดนั้นได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปีนหน้าผาที่สูงอันตรายโดยไม่คิดชีวิต ปีนขึ้นมาบนหลังคาวัด พอได้ครอบครองจุดยุทธศาสตร์ เขาก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งบุรุษที่ต้านทานคนได้นับหมื่น พอมีคนปีนขึ้นมาหนึ่งคน ก็โดนเขาเตะลงไปหนึ่งคน ขนาดผู้หญิงที่มากับเขาก็ยังโดนเตะลงไปอย่างไม่เกรงใจ โดนเขาเตะทีเดียวจนตกลงไป เกือบจะกระแทกพื้นตายแล้ว


พระหนุ่มเตะไปพลางด่าพระปีศาจหนานโปที่โดนขังอยู่ในวัดไปพลาง ด่าได้หยาบคายมา ไม่ว่าคำไหนก็ด่าออกมาได้ทั้งนั้น เป็นคำพูดที่คนออกบวชไม่น่าจะพูดออกมาได้เลย


เมื่อเห็นว่ามีคนตกลงมาบาดเจ็บล้มตายไม่น้อยแต่ก็ยังทำอะไรพระหนุ่มไม่ได้ พระปีศาจหนานโปถึงได้หยุดรุกโจมตี เพียงแต่พระหนุ่มนั่นก็โดนล้อมไว้บนหลังคาวัดแล้ว ไม่กล้าลงมาอยู่ดี ตอนนั้นพระหนุ่มกับพระปีศาจหนานโปจึงเจรจากัน พูดจาดีๆ ตามประสาลูกศิษย์ชาวพุทธเหมือนกัน หวังว่าพระปีศาจหนานโปจะปล่อยเขาออกไปได้ พระปีศาจหนานโปก็เสนอเงื่อนไขเช่นกัน แต่พระหนุ่มไม่เชื่อใจพระปีศาจหนานโป สุดท้ายทั้งสองก็ยังเจรจาล้มเหลว


พระหนุ่มโดนขังอยู่บนหลังคาปีแล้วปีเล่า บางทีอาจจะได้เห็นาภพอนาถในหุบเขานั่นกับตาตัวเองแล้ว ในที่สุดก็มีอยู่วันหนึ่ง เหมือนพระหนุ่มจะตัดสินใจอะไรได้ จึงนั่งขัดสมาธิบนบนหลังคา นับลูกประคำบนข้อมือ เริ่มสวดมนต์เสียงดัง เหมือนเป็นการอ่านออกเสียง ข่มควบคุมบทสวดมนต์ไร้เสียงของพระปีศาจหนานโป


ถึงแม้จะควบคุมไม่อยู่ แต่เมื่อผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ก็ไม่น่าเชื่อว่าปราณหยินกับกลิ่นอายชั่วร้ายในหุบเขาจะถูกเขาทำให้คลายออกไปแล้ว


และในวัดแห่งนั้น ทุกๆ หนึ่งพันปีจะมีเสียงระฆังดังมาก จะดังอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง เวลานั้นเสียงสวดมนต์ที่พระปีศาจหนานโปใช้ควบคุมคนจะเงียบลง และพลังลึกลับบนดาวเคราะห์ที่หยุดยั้งพลังอิทธิฤทธิ์ก็จะหายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง


และสิบกว่าปีหลังจากพระหนุ่มนั่นมา โอกาสหนึ่งครั้งในหนึ่งพันปีก็มาถึงอีกแล้ว ทุกคนต่างก็ได้สติกลับมา จึงถือโอกาสหลบหนีทันที ต้องการจะหลุดพ้นจากหุบเขานั่น


ทว่าโอกาสนี้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น รอจนกระทั่งทุกคนอาการบรรเทา เพิ่งจะหนีออกมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้นได้ไม่นาน เสียงสวดมนต์ของพระปีศาจหนานโปที่ติดอยู่ในหัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปลงสิ่งต้องห้ามอะไรไว้บนร่างกายของทุกคนหรือเปล่า ทุกคนกลับไปที่หุบเขานั้นอย่างว่านอนสอนง่ายอีก


และเนื่องจากพระหนุ่มเพิ่งเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ถึงเบาะแสที่อยู่ในนั้น รอจนกระทั่งตอนที่เขาเข้าใจสถานการณ์และคิดจะหนี เขาก็หนีออกไปไม่ได้เลย เพราะเขาเพิ่งมีวรยุทธ์บงกชม่วง ถ้าไม่มีใครช่วยก็ไม่มีทางหนีออกมาจากดาวดวงนั้นได้ แต่เขากลับฉวยโอกาสหนีออกมาจากหุบเขาได้แล้ว พระปีศาจหนานโปควบคุมให้พวกเราไปจับตัวเขา พวกเรานับหมื่นคนไล่ล่าเขา ส่วนเขาก็หนีเอาชีวิตรอดอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้กินอะไรหลายปีขนาดนั้น ทั้งยังใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่เขาก็ยังวิ่งได้ไวมาก สุดท้ายเขาก็หนีลงไปอยู่ในทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว


ใครจะคิดว่าหนึ่งพันปีหลังจากนั้น พระหนุ่มนั่นก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ฉวยโอกาสตอนที่สิ่งแปลกปลอมนั่นหายไปอีกครั้ง หนีออกมาตะโกนเสียงดังเรียกเพื่อนร่วมทางของเขา ในที่สุดปีศาจสาวที่มาพร้อมเขาตอนแรกก็พาเขาเหาะหนีออกไปด้วยกัน แต่ก็เป็นเหมือนเดิม ทุกคนถูกพระปีศาจหนานโปเรียกกลับไปอย่างรวดเร็ว พระหนุ่มนั่นถูกเพื่อนร่วมทางจับกลับมาแล้ว แต่พอได้เหยียบลงพื้น พระหนุ่มนั่นก็ชักกระบี่ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วตัดแขนเพื่อนร่วมทางคนนั้นทิ้งเสียเลย หนีไปได้อีกแล้ว


พระปีศาจหนานโปควบคุมให้พวกเราไล่ตามเขาอีก แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพระหนุ่มกินอิ่มและเตรียมตัวมาดี วิ่งหนีได้เร็วกว่าเดิม พวกเราไล่ตามไม่ทันเลย สุดท้ายก็ได้แต่ดูเขาหนีเข้าไปในทะเลสาบไป


แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี พระนั่นก็ไม่รู้ว่าจับงูพิษกับแมลงพิษมาจากไหนมากมาย โยนเข้าไปล้างแค้นในหุบเขา ทุกคนโดนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ มีคนไม่น้อยโดนกัดจนบาดเจ็บ สุดท้ายก็มีคนตายเพราะพิษหลายร้อยคน ทำให้พระปีศาจหนานโปโมโหมาก


พอได้ยินถึงตรงนี้ พวกประมุขชิงก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าพระหนุ่มที่ประหลาดขนาดนี้โผล่มาจากไหน เซี่ยโห้วท่าอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พระนั่นมีฉายานามว่าอะไร? มาจากสำนักไหน?”


หูลี่ลี่ตอบว่า “ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่เปิดเผยฉายานามกับที่มาของตัวเองเลย ตอนที่ด่าพระปีศาจหนานโปก็ใช้คำว่า ‘กู’ ตอนหลังพระปีศาจหนานโปจึงเรียกเพื่อนร่วมทางของเขามาถาม…ที่จริงข้าเคยเห็นเพื่อนร่วมทางของเขามาก่อน นางคือปีศาจโลหิตผู้โด่งดังในสถานที่ไร้ระเบียบ เป็นลูกหลานของปรมาจารย์มารโลหิต เพียงแต่หลังจากพระปีศาจหนานโปถามแล้วถึงได้รู้ ว่าที่แท้ปีศาจโลหิตก็คือคนของสมาคมวีรชน พระปีศาจหนานโปจึงถามถึงที่มาของพระหนุ่มนั่นทันที ปีศาจโลหิตบอกว่านางโดนคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋ออะไรสักอย่างที่ดาวเทียนหยวนโจมตีจนสาหัส แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตอนหลังเลยไปถึงวัดจิตสงบที่ดาวเทียนหยวน บังเอิญว่าที่วัดจิตสงบโดนโจรปล้นพอดี นางได้ช่วยชีวิตเจ้าอาวาสวัดจิตสงบเอาไว้ เจ้าอาวาสมีฉายานามว่าศีลแปด คือพระหนุ่มคนนั้นนั่นเอง ปีศาจโลหิตตกหลุมรักพระหนุ่ม แต่พระหนุ่มกลับถูกอาจารย์ของตัวเองใช้วิชาลับระงับจุดหยางเอาไว้ ไม่สามารถทำเรื่องระหว่างชายหญิงได้ นางจึงดันทุรังพาตัวพระหนุ่มนั่นตระเวนไปทั่วทุกที่เพื่อหาวิธีปลดผนึกวิชาลับ ไปตามหาคนมากมายแต่ก็ไม่มีประโยชน์ ตอนหลังพบคนคนหนึ่งชี้แนะ บอกว่าที่นี่มีคนที่สามารถปลดผนึกให้พระหนุ่มนั่นได้ ก็เลยเสาะหาตามคำแนะนำ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมาตกอยู่ในเงื้อมมือพระปีศาจหนานโป”


คนในตำหนักสบตากันแวบหนึ่ง อิ๋งจิ่วกวงขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมไปโยงกับหนิวโหย่วเต๋อได้อีก?”


“ศีลแปด…” ประมุขชิงพึมพำ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร พอผ่านไปครู่เดียวก็ได้คำตอบแล้ว เขาเก็บระฆังดาราแล้วบอกกับคนอื่นๆ ว่า “ให้ฝั่งแดนสุขาวดีสั่งคนไปตรวจสอบแล้ว ที่ดาวเทียนหยวนมีวัดที่ชื่อวัดจิตสงบจริงๆ แต่วัดร้างไปแล้ว และในรายชื่อที่วัดรายงานขึ้นไปก็ไม่มีคนที่ชื่อ ‘ศีลแปด’ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดจิตสงบ”


พอหูลี่ลี่ได้ยินก็หวาดกลัวแล้ว เอาศีรษะโขกพื้นซ้ำๆ “ฝ่าบาท ปีศาจต่ำต้อยไม่ได้โกหกนะ ตอนนั้นได้ยินแบบนี้จริงๆ เพคะ”


“ไม่ได้บอกว่าเจ้าโกหก” ประมุขชิงกล่าว แล้วเอียงหน้าไปพูดกับเกาก้วนว่า “ไปถามสมาคมวีรชนหน่อยว่ามีปีศาจโลหิตหรือเปล่า ถ้าหากมี ก็ถามหน่อยว่าเกี่ยวอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อกันแน่”


ทุกคนที่อยู่ที่ตรงนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งโง่ ต่างก็รู้ว่าสมาคมวีรชนคือเขี้ยวเล็บของเขา


“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ


ผ่านไปสักพัก เขาก็เก็บระฆังดาราแล้วบอกว่า “มีคนที่ชื่อว่าปีศาจโลหิตจริงๆ ส่วนจะอยู่กับพระที่ชื่อศีลแปดหรือไม่นั่น สมาคมวีรชนก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ปีศาจโลหิตขาดการติดต่อไปนานมากแล้วจริงๆ และเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ขอรับ”


อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอีกว่า “ทำไมไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็เกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กนั่น”


เขายังคิดจะให้หลานสาวแต่งงานกับเหมียวอี้อยู่เลย ถ้าเหมียวอี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ใครยังจะกล้าให้แต่งอีกล่ะ


“อ้อ!” ประมุขชิงถามว่า “เรื่องเป็นยังไง?”


เกาก้วนตอบว่า “บอกว่าสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อเข้ามาทำงานกับตำหนักสวรรค์ก็ยังเกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิตบ้างบางส่วน ตามที่สมาคมวีรชนบอก หนิวโหย่วเต๋อในตอนนั้นยังไม่ได้เข้าตำหนักสวรรค์ เพิ่งจะบริหารร้านขายของชำซื่อตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ออกไปเที่ยวแล้วล่วงล้ำเข้าไปในดาวมารโลหิต เลยโดนปีศาจโลหิตเพ่งเล็ง โดนเก็บเข้าไปอยู่ในค่ายกลมารโลหิต ทว่าปีศาจโลหิตไม่ได้อะไรเลยแถมยังขาดทุน นอกจากจะโดนหนิวโหย่วเต๋อทำลายค่ายกลมารโลหิตแล้ว ยังแย่งชิงสมบัติที่เป็นแกนค่ายกลของค่ายกลมารโลหิตไปด้วย เพื่อที่จะไล่ตามยาเม็ดโลหิตเก้าเม็ดที่ใช้เพิ่มวรยุทธ์คืน ปีศาจโลหิตจึงสืบที่อยู่ของหนิวโหย่วเต๋อผ่านสมาคมวีรชน เตรียมจะลงมือฆ่าหนิวโหย่วเต๋อแล้วชิงของกลับมา แต่กลับโดนหนิวโหย่วเต๋อกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกในตอนนั้นสมคบกันเล่นงาน จับตัวปีศาจโลหิตเอาไว้แล้ว และปีศาจโลหิตก็โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ยังเป็นสมาคมวีรชนที่ออกหน้าช่วยปีศาจโลหิตออกไป โชคดีที่เคล็ดวิชาฝึกตนของปีศาจโลหิตไม่ธรรมดา จึงรักษาวรยุทธ์ได้บางส่วน แต่จากวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าก็กลายเป็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับสมาคมวีรชนก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน กอปรกับร้านขายของชำซื่อตรงที่เขาวางแผนบริหารผงาดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ผู้มีอำนาจอิทธิพลจำนวนไม่น้อยเป็นกังวล ข้างนอกมีสมาคมวีรชน ข้างในมีผู้มีอำนาจ ภายใต้การโดนบีบของสองฝั่ง หนิวโหย่วเต๋อจึงไม่มีทางเลือก นำหุ้นสองส่วนในมือไปมอบให้โค่วเหวินหลานผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเพื่อแลกตำแหน่งว่างสักตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ ถึงได้รักษาชีวิตเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้ เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้ขอรับ”


บทที่ 1387 หยุดยั้งหนานโป

Ink Stone_Fantasy

“เซี่ยโห้วหลงเฉิง…” ฮ่าวเต๋อฟางเหล่ตาถาม “ท่านปู่สวรรค์ นี่คนของตระกูลท่านใช่มั้ย?”


เซี่ยโห้วท่ากล่าวอย่างอึดอัดเก้อเขินเล็กน้อย “เป็นเจ้าเด็กเปรตที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง”


ก่วงลิ่งกงก็พูดเสริมเช่นกัน “โค่วเหวินหลาน นึกไม่ถึงว่าขนาดหลานชายของพี่โค่วก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”


โค่วหลิงซวีก็กล่าวอย่างอึดอัดเช่นกัน “พอได้ยินทูตขวาเกาเตือนแบบนี้ ก็เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้เช่นกัน”


สาเหตุที่เขากับเซี่ยโห้วท่าอึดอัดเก้อเขิน ก็เป็นเพราะสองตระกูลได้หุ้นไปจากร้านขายของชำซื่อตรงไปแล้วสองส่วน เดิมทีก็ไม่เป็นอะไรหรอก เป็นร้านค้าร้านหนึ่งเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเปิดโปงออกมาต่อหน้าประมุขชิง


ประมุขชิงเหลือบมองซ้ายมองขวา เรื่องบางเรื่องรู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนหาบันไดลงไม่ได้ ที่สำคัญคือเมื่อคนในตำแหน่งระดับนี้ทำเรื่องแบบนี้ จะให้เขาลงโทษอย่างไรล่ะ? เขาแค่อยากจะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเกี่ยวข้องอะไรกับพระปีศาจหนานโปรึเปล่า ในเมื่อไม่เกี่ยวข้อง มันก็เป็นคนละเรื่องกันเลย เขาวางใจแล้วเช่นกัน ถามหูลี่ลี่ต่อว่า “ตอนหลังล่ะ?”


หูลี่ลี่เล่าต่อว่า หลังจากพระหนุ่มโยนสัตว์มีพิษลงมาครั้งหนึ่งแล้ว พระปีศาจหนานโปก็กลัวว่าเขาจะมาก่อกวนอีก จึงทำได้เพียงส่งคนประมาณพันคนไปล้อมหุบเขาเอาไว้ แต่หลังจากนั้นพระหนุ่มนั่นก็ไม่ได้กลับมาอีก ทว่ารอจนใกล้จะถึงเวลาอีกหนึ่งพันปีครั้งต่อไป ตอนที่ทุกคนหนีอีกครั้ง พระหนุ่มนั่นก็วิ่งออกมาแล้ว ทุกคนหนีด้วยความเร็วสุดชีวิต แต่เขากลับวิ่งมาถล่มหุบเขา รีบฝังกลบให้หุบเขาเรียบเสมอกัน นี่คือเรื่องที่ทุกคนอยากทำแต่ไม่กล้าทำ แบบนั้นจะยั่วโมโหใหเพระปีศาจหนานโปสะกดจิตให้เจ้าฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อ แต่พระหนุ่มนั่นทำแล้ว


แต่ฝังกลบหุบเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีทางหยุดยั้งพระปีศาจหนานโปไม่ให้เรียกทุกคนกลับไปได้ และไม่มีทางทำให้ทุกคนหลุดพ้นจากการควบคุมของพระปีศาจหนานโปด้วย แต่กลับสร้างปัญหาใหญ่ไว้ให้พระปีศาจหนานโปแล้ว เพราะทำให้เขามองไม่เห็นความเคลื่อนไหวนอกวัดอีก พวกเราก็ทำได้เพียงหยุดผสมพันธุ์กันชั่วคราว ได้ไปขุดหุบเขาที่ถล่มลงมาแทน แต่หุบเขาก็ลึกเกินไป แถมพวกเราก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ด้วย ใช้เวลาขุดไปหนึ่งร้อยปีเต็มกว่าจะเจอวัดที่อยู่ข้างล่างอีกครั้ง ในนั้นยังมีคนโดนถล่มทับตายหลายสิบคนอีก


เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พระหนุ่มนั่นมาก่อกวนอีก ภายใต้ความเดือดดาลชั่วขณะ พระปีศาจหนานโปจึงส่งลูกน้องส่วนใหญ่ไปทั่วทุกที่เพื่อจับตัวพระหนุ่มนั่นมา แต่ใครจะคิดว่าพระหนุ่มจะเดาออกแล้วว่าพระปีศาจหนานโปจะมาล้างแค้นเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะวางกับดักใหญ่เอาไว้ล่วงหน้า มีคนโดนเขาสังหารทิ้งไปนับพัน กดดันให้พระปีศาจหนานโปจำเป็นต้องเรียกคนกลับไป


หลังจากนั้นหลายร้อยปี อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีพระชราโผล่มาอีกหนึ่งคน แต่ที่แปลกก็คือวิชาของพระปีศาจหนานโปใช้ไม่ได้ผลกับพระชราคนนี้ และตอนที่พระชราปรากฏตัวในหุบเขา พระหนุ่มนั่นก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน โบกมือสองข้างตะโกนเรียกอย่างร้อนใจซ้ำๆ ว่า : ท่านอาจารย์ รีบหนีไป พระปีศาจที่โดนผนึกอยู่ข้างในควบคุมคนได้


ตอนนี้พวกเราถึงได้รู้ ว่าที่แท้พระชราก็คืออาจารย์ของพระหนุ่มนั่น อาจารย์ออกมาจากสำนักเดียวกัน ไม่แปลกใจที่ไม่กลัววิชาของพระปีศาจหนานโปเหมือนกัน


พวกประมุขชิงมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง มีคนอายุน้อยโผล่มาหนึ่งคน แล้วก็มีคนชราโผล่มาอีกหนึ่งคน ทั้งยังหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปพบ แล้วก็ไม่กลัวมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน?


จากนั้นก็ได้ยินหูลี่ลี่เล่าต่อว่า หลังจากพระชราเห็นภาพเหตุการณ์ในหุบเขา ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมน่าเคารพ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่สนใจสิ่งที่พระหนุ่มห้าม ดันทุรังล่วงล้ำลงไปในหุบเขานั้น พระปีศาจหนานโปเห็นดังนั้นจึงสั่งให้พวกเราไปจับตัวพระชรา แต่ใครจะคิดว่าพระหนุ่มนั่นจะร้อนรน ลากสัตว์มีพิษกลุ่มหนึ่งโยนลงไปในหุบเขาอีก สุดท้ายก็บุกเข้าไปในหุบเขา ดึงผ้าปิดหลังทิ้ง ที่หลังเขามีดาบและกระบี่เป็นกองเสียบไว้ เขาใช้สองมือถือดาบและกระบี่สังหารฝ่าเข้าไปในหุบเขานั่น


พวกเราทุกคนมีร่างเปลือยเปล่า สิ่งของพวกกำไลเก็บสมบัติถูกเก็บไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีอาวุธอะไรเลย จะสู้พระหนุ่มที่ถืออาวุธสองมือนั่นได้ยังไง จึงถูกฟันบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย สุดท้ายพวกเราเก็บก้อนหินขว้างใส่ ทำให้พระหนุ่มหัวแตกเลือดกำเดาไหล ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว กดดันให้พระหนุ่มดึงที่เลือดเต็มตัวลากอาจารย์ของเขาปีนขึ้นไปบนหลังคาวัดอีก พอเขาถืออาวุธเฝ้าจุดยุทธศาสตร์ได้แล้ว พวกเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน


เมื่อพระปีศาจหนานโปเห็นดังนั้น ก็ไม่ให้พวกเราไปสังเวยชีวิตโดยสูญเปล่าอีก ให้พวกเราถอยลงมา ส่วนพระหนุ่มที่เลือดเต็มตัวนั่น ตอนแรกก็ด่าพระชราแบบสาดเสียเทเสีย ด่าประมาณว่าโดนพระชราวางกับดัก ไม่มีความสุภาพเกรงใจต่ออาจารย์ของตัวเองเลย


แต่พระปีศาจหนานโปนั่นกลับกล่าวชื่นชมพระหนุ่มน้อย บอกว่าไม่น่าเชื่อว่าเขาจะช่วยชีวิตอาจารย์โดยไม่สนใจชีวิตตัวเอง


จากนั้นพระชราก็เกลี้ยกล่อมให้พระปีศาจหนานโปวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ พระปีศาจหนานโปจึงบอกว่าตัวเองเป็นพระอยู่แล้ว พระชราเลยถามเขาว่าทำไมถึงโดนขังไว้ที่นี่ พระปีศาจหนานโปบอกว่าตัวเองโดนลูกศิษย์ทรยศ ถึงได้ตกต่ำจนมีจุดจบแบบนี้ ตอนนั้นพวกเราถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วประมุขปราชญ์หกลัทธิล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขาทั้งหมด


ตอนหลังพระชราจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยวางบุญคุณความแค้น เริ่มถกธรรมะกับพระปีศาจหนานโป ทั้งสองฝ่ายสนทนาธรรมกัน ถกธรรมะเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ ทว่าพระปีศาจหนานโปมีวิชาทางพุทธสูงส่งเลิศล้ำ สุดท้ายพระชราก็สู้ไม่ได้ พระชราบอกว่าเอาชนะเขาไม่ได้ โดนพระปีศาจหนานโปเทศนาจนน้ำตานองหน้า จึงคุกเข่าหมอบกราบ บอกว่ายินดีจะชำระจิตใจขอฝากตัวเป็นศิษย์พระปีศาจหนานโป เกือบจะกลายเป็นลูกศิษย์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว โชคดีที่พระหนุ่มน้อยนั่นลงมือได้ทันเวลา เก็บหินที่พวกเราขว้างขึ้นไปบนหลังคา แล้วใช้หินทุบอาจารย์ตัวเองจนสลบไปแล้ว


จากนั้นพระปีศาจหนานโปก็จะถกธรรมะกับพระหนุ่มน้อยอีก บอกว่าขนาดอาจารย์ของเจ้ายังคิดว่าข้าถูกเลย ทำไมเจ้ายังไม่เปลี่ยนมาอยู่ลัทธิข้าอีก พระหนุ่มน้อยก็เริ่มถกธรรมะกับเขาแล้วเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่พูดออกมามีแต่คำหยาบคาย ด่าทอพระปีศาจหนานโปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ส่วนอาจารย์ของเขา พอฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งก็โดนเขาตบสลบไปครั้งหนึ่ง พระปีศาจหนานโปโดนเขาจนอับอายโมโห จึงไม่ถกธรรมะกับเขาอีกแล้ว


ประมุขชิงและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วตะลึงงัน มองหนั้นไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก อยากจะทำความรู้จักพระหนุ่มน้อยนั่นสักหน่อย


หูลี่ลี่ยังไม่หยุดเล่า


ทว่าพระชราโดนพระปีศาจหนานโปเกลี้ยกล่อมเรียบร้อยแล้ว ตกอยู่ในสภาวะถูกมารผจญ พระหนุ่มน้อยตบพระชราสลบไปสิบกว่าครั้ง แต่ทุกครั้งที่พระชราฟื้นขึ้นมาก็จะมัวเมาไม่ได้สติ ภายใต้ความจนใจ พระหนุ่มน้อยจึงแก้เชือกที่ผูกติดอาวุธบนร่างกายตัวเอง แล้วเอาเชือกนั้นมามัดพระชราไว้เสียเลย


หลังจากนั้น พระหนุ่มน้อยทำทุกวิถีทางเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระชราได้สติกลับมา แต่ผลปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ ภายใต้ความจนใจ พระหนุ่มน้อยจึงนั่งขัดสมาธิบนหลังคา แล้วเริ่มท่องบทสวดมนต์ให้พระชราฟังด้วยความเคารพเลื่อมใส ท่องบทสวดมนต์หนึ่งบทซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ส่วนพระปีศาจหนานโปก็เหมือนจะพบวิธีการสู้กับพระหนุ่มน้อยแล้ว จึงนั่งขัดสมาธิสวดมนต์อยู่ในอารามด้านล่างเช่นกัน ในหุบเขาจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงสวดมนต์ของคนสองคนดังต่อเนื่องไม่หยุด บทสวดมนต์สองประเภทเป็นการประลองสติปัญญากัน พวกเราฟังแล้วปวดหัวจนหัวแทบจะระเบิด


วิชาทางพุทธของพระหนุ่มน้อยสู้พระปีศาจหนานโปไม่ได้ กอปรกับบทสวดมนต์ที่พระปีศาจหนานโปสวดเหมือนจะคลายปริศนาบทสวดมนต์ของพระหนุ่มน้อย พระหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งประนมมือแทบจะเป็นบ้าประสาทเสีย อาจารย์ที่โดนเขามัดก็ยิ่งร้องโอดครวญอย่างทรมาน พวกเราก็ทุกข์ทรมานจนแทบทนไม่ไหวเหมือนกัน ในหุบเขามีเสียงร้องโอดครวญดังเป็นแถบ


พระปีศาจหนานโปก็มีวิชาพุทธล้ำลึกจริงๆ พอเขาสวดมนต์ไปได้หนึ่งวัน ในหุบเขาก็เริ่มหนาวเย็นอีกครั้ง พอสวดไปได้สองวัน เมฆดำก็ปกคลุมบนท้องฟ้า ลมหนาวในหุบเขากลายเป็นหนาวเหน็บเข้ากระดูก บนหน้าผามีน้ำค้างแข็งเกาะ เมื่อสวดมนต์ไปได้สามวัน ก็ไม่รู้ว่าเรียกรวมพลังอัปมงคลของฟ้าดินมาจากไหน ทั้งยังมีวิญญาณหยินกับลูกไฟผีลอยมา ปะปนกันอยู่ในลมหนาวที่พัดหวีดหวิว


วัดที่สร้างฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาถูกน้ำค้างแข็งเกาะแล้ว บนตัวพระหนุ่มน้อยก็มีน้ำค้างเกาะเช่นกัน หนาวจนตัวสั่นเทิ้ม เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะหนี แต่การมีอาจารย์เป็นภาระก็ทำให้หนีไม่ได้เลย พระหนุ่มน้อยที่ใกล้จะประสาทเสียพลันหยิบกระบี่ขึ้นมา แทงบนร่างกายตัวเองหนึ่งแผล หลังจากทำให้ตัวเองได้สติซ้ำไปซ้ำมา ก็รีบสวดบทสวดมนต์สู้กับพระปีศาจหนานโปต่อไป สรุปก็คือ ยิ่งสวดมนต์ก็ยิ่งสวดได้ช้าลง ทุกครั้งที่ใกล้จะเสียสติยอมแพ้ พระหนุ่มน้อยก็จะใช้กระบี่แทงบนร่างกายตัวเองหนึ่งครั้ง พอเวลาผ่านไปหนึ่งปี เกรงว่าบนตัวเขาคงจะแทงหลายพันแผลไม่ไหวแล้ว เพราะที่ผ่านมาก็แทบจะแทงไปสิบกว่าแผลต่อหนึ่งวัน


เมื่อได้ยินแบบนี้ พวกประมุขชิงก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเคารพเลื่อมใส ถึงแม้พระที่พ่นคำหยาบเต็มปากจะไม่มีท่าทีเหมือนพระ แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีความเด็ดเดี่ยวมากขนาดนี้


พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วฟังหูลี่ลี่เล่าต่อไป


ตอนพลังลึกลับสูญเสียการควบคุมทุกๆ หนึ่งพันปี โชคดีที่พระหนุ่มน้อยก็ได้ฉวยโอกาสเตรียมตัวไว้แล้ว เขากลืนสมุนไพรเซียนซิงหัวเอาไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทนไหวเลย


ทว่าเมื่อใช้วิธีปลุกตัวเองให้ได้สติด้วยความเจ็บปวดนานๆ เข้า ความรู้สึกเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความชินชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนหลังพระหนุ่มน้อยทำให้ตัวเองเจ็บตัวอย่างไรก็ไม่ได้ผล ภายใต้การควบคุมของพระปีศาจหนานโป ทั้งตัวเขาเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งอยู่ไม่สุขแล้ว ยามสวดมนต์ก็สวดแบบขาดๆ หายๆ เช่นกัน


แต่พระหนุ่มน้อยยังคงยืนหยัดต่อไป สุดท้ายก็ถึงขั้นเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด


พระหนุ่มน้อยที่ทนความเจ็บปวดทรมานไม่ไหว จู่ๆ ก็ชกลงบนหลังคาวัดอย่างแรงหนึ่งหมัด ชกจนกำปั้นมีเลือดสดไหลและเห็นกระดูกขาว ทว่าหลังจากโจมตีไปครั้งเดียว ก็ได้ไปกระตุ้นสิ่งต้องห้ามที่อยู่ในวัดแล้ว ในวัดมีเสียงระฆังดัง “เหง่งหง่าง” ทำให้พระปีศาจหนานโปที่กำลังสวดมนต์ไม่หยุดหุบปากทันที


เสียงระฆังนี้ทำให้พระหนุ่มน้อยพบวิธีแก้ปัญหา พระหนุ่มน้อยคว้ากระบี่มาแทงทะลุหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่โยนขึ้นมาบนหลังคา จากนั้นถอดจีวรมาห่อกระบี่ไว้ แล้วใช้เชือกมัดก้อนหินให้แน่น ทำเป็นไม้ตีบักฮื้ออันหนึ่ง แล้วก็นั่งขัดสมาธิสวดมนต์บนหลังคาอีกรอบ พอพระปีศาจหนานโปที่โดนขังอยู่ในวัดเริ่มสวดมนต์ เขาก็จะโบกกระบี่นั่นเคาะตีบนหลังคาทันที ทำให้เสียงระฆังในวัดดังขึ้นและหยุดยั้งไม่ให้พระปีศาจหนานโปสวดมนต์ต่อไปได้


พระหนุ่มน้อยใช้วิธีการนี้หยุดยั้งพระปีศาจหนานโปได้แล้ว จากนั้นในหุบเขาก็ได้ยินเพียงเสียงสวดมนต์ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจากเขาเพียงคนเดียว พระปีศาจหนานโปก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน พระหนุ่มน้อยสวดมนต์อยู่บนหลังคาได้ร้อยปี ใช้เวลาไปร้อยปีกว่าจะสลายปราณหยินชั่วร้ายที่พระปีศาจหนานโปเรียกมารวมไว้ในหุบเขาได้ วิญญาณหยินถูกขับไล่ให้หนีไป อารมณ์คับแค้นสลายไปหมดสิ้น


การสวดมนต์ด้วยความเคารพเลื่อมใสไม่หยุดหนึ่งร้อยปีของพระหนุ่มน้อย ก็ได้ทำให้เขาสวดได้คล่องชำนาญไร้ที่เปรียบเช่นกัน ลิ้นอ่อนดุจดอกบัว แต่ละคำที่เปล่งออกมาราวกับไข่มุก เสียงนั้นตราตรึงอยู่ในใจพวกเรา


ทันใดนั้น ในหุบเขาที่ไม่เคยมีฝนตกมาก่อนก็มีฝนสาดลงมาดับความแห้งแล้งท่ามกลางเสียงสวดมนต์ มีสายรุ้งสายหนึ่งทอดผ่านท้องฟ้าเหนือหุบเขา พระหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่บนหลังคามีลักษณะสง่าน่าเกรงขาม หลังจากเปียกน้ำฝนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะสงบใจได้ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในจิตใจสลายหายไปไม่น้อย และบทสวดมนต์ที่พระหนุ่มน้อยนั่นสวดวันแล้ววันเล่าก็ได้สลักอยู่ในหัวของพวกเราแล้ว มีบางคนเริ่มนั่งลงสวดตามเสียงดัง จากนั้นก็จุดชนวนให้ทุกคนสวดตามแล้วเช่นกัน


หลังจากพวกเราท่องบทสวดมนต์แล้ว พวกเราก็พบว่าตัวเองหลุดพ้นจากการควบคุมของพระปีศาจหนานโปได้ มีคนฉวยโอกาสหนีทันที แต่ใครจะคิดว่าพอเกิดความคิดที่ไม่ซื่อสัตย์ ชั่วพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในการควบคุมเหมือนเดิม พวกเราก็เลยไม่กล้าคิดไม่ซื่ออีก ต้องนั่งลงสวดมนต์อยู่ในหุบเขาตามพระหนุ่มน้อยด้วยกันอย่างพร้อมเพียง


คนมากมายขนาดนี้สวดมนต์เสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงดังไม่หยุด ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ราวกับส่งผลกระทบมหาศาลต่อพระปีศาจหนานโปที่โดนขังอยู่ในวัด พระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัดคำรามอย่างเจ็บปวดทรมาน ตอนหลังพระปีศาจหนานโปจึงโต้ตอบด้วยบทสวดมนต์ที่ใช้ควบคุมพวกเรา พระหนุ่มน้อยจึงเคาะหลังคาให้ระฆังดังอีกครั้ง ทำให้ระงับพระปีศาจหนานโปต่อไปได้อีก จากนั้นพระปีศาจหนานโปก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้อีกเลย


บทที่ 1388 ค้นหาให้ข้า!

Ink Stone_Fantasy

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี พระหนุ่มน้อยกำลังสวดมนต์เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ในที่สุดพระชราก็หลุดพ้นจากความคิดหมกมุ่น ได้สติกลับมาแล้ว


ความมุมานะความพากเพียรและความยึดมั่นของพระหนุ่มน้อยไม่ได้สูญเปล่า เขาแก้มัดพระชราด้วยความปลื้มปีติยินดี และพระชราก็ยืนมองพวกเราที่กำลังสวดมนต์อย่างพร้อมเพรียงกันอยู่บนศาลา ฟังเสียงสวดมนต์ที่ดังไม่ขาดสายอยู่ในหุบเขา แล้วก็มองพระปีศาจหนานโปที่ถูกขังอยู่ในวัดโวยวายว่า “อามิตาพุทธ” จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิสวดมนต์บทนั้นด้วยเช่นกัน


ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่ดังก้องทั้งวันทั้งคืนอยู่ในหุบเขา พระปีศาจหนานโปเหมือนจะได้รับความทรมานอย่างเต็มที่ ร้องโอดครวญทั้งวันทั้งคืน บางครั้งก็ร้องไห้อย่างปวดใจ บางครั้งก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งก็คำรามอย่างเศร้าโศก


ทำซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้อยู่หลายร้อยปี โอกาสครั้งละหนึ่งพันปีนั่นมาถึงอีกแล้ว


โอกาสมาถึงแล้ว ราวกับเป็นฟางช่วยชีวิต ทุกคนพากันหนีอย่างบ้าคลั่ง พระหนุ่มน้อยก็ดึงพระชราขึ้นมาเช่นกัน ตะโกนเสียงดังให้เขาหนีไป แต่พระชรากลับไม่ยอมไป หยิบไม้ตีกระบี่ของพระหนุ่มน้อยขึ้นมาแทน เขาตีลงบนหลังคาวัดครั้งแล้วครั้งเล่า ตีให้เสียงระฆังดังในวัด


พวกเราบางส่วนที่เหาะขึ้นฟ้ามาแล้วมองลงไปถึงได้เข้าใจ ว่าพระชรากำลังเสียสละตัวเองหยุดยั้งพระปีศาจหนานโป ไม่ให้โอกาสพระปีศาจหนานโปใช้เคล็ดวิชา สร้างโอกาสให้พวกเราหนีเอาชีวิตรอด ไม่อย่างนั้นถ้าโอกาสนี้ผ่านไปแล้ว พวกเราก็หนีไม่พ้นอยู่ดี จะถูกเรียกกลับไปเหมือนครั้งก่อน


พวกเราเห็นพระหนุ่มน้อยฉุดดึงพระชราสุดชีวิต เพื่อที่จะหนีเอาชีวิตรอด พวกเราแทบจะไม่สนใจพวกเขาเลย มีเพียงปีศาจสาวร่วมทางของพระหนุ่มน้อยที่เหาะกลับลงไปด้านล่างอีก ไม่ได้หนีออกมาพร้อมกับพวกเรา


พอพูดถึงตรงนี้ หูลี่ลี่ก็มีสีหน้าเศร้าสลดและหยุดพูด


คนในตำหนักสบตากันแวบหนึ่ง แล้วประมุขชิงก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “แล้วศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นไม่ได้หนีออกไปเหรอ?”


หูลี่ลี่ตอบว่า “น่าจะไม่ได้หนีเพคะ เพื่อที่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้น พวกเขาน่าจะอยู่เพื่อควบคุมพระปีศาจหนานโปต่อไป ไม่อย่างปีศาจต่ำต้อยผู้นี้คงไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฝ่าบาท”


คนในตำหนักส่ายหน้าปลงอนิจจัง โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ความดื้อรั้นของคนที่ออกบวช บางครั้งก็ทั้งน่านับถือทั้งน่าถอนหายใจจริงๆ!”


“คนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว ถ้าเหลือพวกเขาไว้สามคน อาจารย์และลูกศิษย์ควรจะหนีไปได้ในครั้งเดียว ถึงอย่างไรมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปก็ไม่ส่งผลต่อสองคนนั้น เพียงแต่เมื่อพลาดโอกาสครั้งล่ะหนึ่งพันปีนั้นไปแล้ว ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนพระปีศาจหนานโปนั่นไปอีกหนึ่งพันปี ทั้งยังขาดอานุภาพเสียงสวดมนต์ที่เกิดจากการรวมพลังของคนกลุ่มใหญ่คอยควบคุม อาศัยความสามารถของพระปีศาจหนานโป ก็ไม่รู้ว่าศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นจะยังเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือเปล่า” เซี่ยโห้วท่ากล่าว


ฟงัจากที่พวกเขาพูด ปีศาจโลหิตแทบจะไม่มีตัวตนอะไรสำหรับพวกเขาเลย


“แล้วเจ้าเป็นบ้าได้ยังไงล่ะ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม


หูลี่ลี่ตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้วรึเปล่า จำได้เพียงว่าตัวเองหนีออกมาไกลมากแล้ว แต่จู่ๆ ในหัวก็มีเสียงสวดมนต์ของพระปีศาจหนานโปดังขึ้นอีก คำว่า ‘อภัย’ ที่พระปีศาจหนานโปเปล่งออกมาดังก้องอยู่ในหัวข้า ในหัวข้าเต็มไปด้วยภาพพระปีศาจหนานโปยืนอยู่ตรงประตูวัด คนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่ทราบเช่นกัน หลังจากได้สติกลับมาแล้วข้าก็เห็นเพียงฝ่าบาทและพวกท่าน”


“เจ้ายังจำเส้นทางไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้มั้ย?” ก่วงลิ่งกงถาม


หูลี่ลี่คุกเข่าส่ายหน้า “ตอนที่ข้าไปที่นั่นข้าหลงทางอยู่ในดาราจักร เลยล่วงล้ำเข้าไปที่นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่หนีออกมาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองสามารถหนีออกมาได้ ข้าจำได้ไม่ชัดเจนว่าตัวเองกลับมาได้อย่างไร ไม่ทราบเส้นทางค่ะ”


พวกเขาได้ยินแล้วขมวดคิ้ว อิ๋งจิ่วกวงถามว่า “แล้วคนมากมายที่หนีออกมาพร้อมเจ้าล่ะ ไปไหนกันหมดแล้ว?”


หูลี่ลี่ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ทราบค่ะ ตอนนั้นหลังจากทุกคนหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนั้นแล้ว ก็กระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง ไม่ทันได้นัดอะไรกันก่อน แทบจะไปกันคนละทิศคนละทาง ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครไปที่ไหนบ้าง จะทราบได้อย่างไรว่าไปที่ไหน”


อิ๋งจิ่วกวงถอนหายใจช้าๆ “ดาราจักรนิรนาม คนมากมายขนาดนั้น ที่กลับมาได้อย่างราบรื่นคงจะมีไม่กี่คน หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นบ้าเหมือนนางหรือเปล่า ถ้าอยากจะหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปให้พบอีกก็ยากแล้ว”


เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นอย่างที่นางบอก ปีศาจโลหิตเคยคุยกับพระปีศาจหนานโปมาก่อน บอกว่านางกับพระหนุ่มน้อยนั่นได้รับคำชี้แนะถึงได้ไปที่นั่น ไม่เหมือนนางที่ล่วงล้ำเข้าไปมั่วๆ แล้วก็พระชราคนนั้นอีก เขาหาสถานที่ผนึกพบได้อย่างไร ทั้งศิษย์และอาจารย์ล้วนไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น อาจจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่า หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีคนรู้จักสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ขอเพียงหาให้พบว่าใครชี้แนะพระหนุ่มน้อยนั่น ก็จะหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว!”


“ไม่มีเบาะแสเลยสักนิด แล้วจะไปหาคนที่ชี้บอกทางพระหนุ่มน้อยได้จากที่ไหน?” โค่วหลิงซวีถามเขา


สุดท้ายทุกคนก็แทบจะมองไปที่ประมุขชิงที่เป็นเจ้าบ้านของตำหนักสวรรค์พร้อมกัน ดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร


ประมุขชิงเอามือไขว้หลังและเงยหน้าเล็กน้อย เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เห็นเขาก้มหน้าจ้องหูลี่ลี่ แล้วถามว่า “เจ้าเริ่มเดินทางจากที่ไหนจึงไปอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จักได้ ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”


หูลี่ลี่ตอบว่า “ในปีนั้นที่ข้าโดนไล่สังหาร ข้าหนีจากน่านฟ้าเถาะติงออกไปถึงอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จัก หลังจากหลงทางก็เดินทางร่อนเร่ไปทั่วดาราจักรเป็นเวลาสิบกว่าปี สุดท้ายถึงได้ล่วงล้ำเข้าไปยังสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป”


“เป็นน่านฟ้าเถาะติงอีกแล้ว!” เซี่ยโห้วท่าพึมพำเสียงต่ำ มองดูคนที่เหลือ พบว่าคนอื่นกำลังต่างคนต่างทำสีหน้าครุ่นคิด


ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้หูลี่ลี่ก็ถูกพบตัวที่น่านฟ้าเถาะติง ตอนก่อนไปก็อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง พอกลับมาแล้วก็โผล่ที่น่านฟ้าเถาะติงอีก ความเชื่อมโยงที่อยู่ในนี้ควรค่าให้ครุ่นคิด


โค่วหลิงซวีถามอีกว่า “หลังจากเจ้าหนีออกจากสถานที่ผนึก จนกระทั่งวันนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว?”


หูลี่ลี่ก็จำได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน ทำได้เพียงใช้นิ้วนับรอบโคจรของอวัยวะในร่างกาย สุดท้ายก็คำนวณเวลาจากอัตราความเร็วของการแก่ชรา แล้วตอบว่า “ตั้งแต่ออกจากสถานที่ผนึกมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ใช้เวลาไปแล้วประมาณห้าปีค่ะ”


โค่วหลิงซวีหรี่ตากล่าวว่า “ตอนไปใช้เวลาสิบกว่าปี ตอนกลับใช้เวลาเพียงห้าปี…”


“ตอนที่นางไปนางหลงทาง หนีเพ่นพ่านไปทั่วดาราจักร ระหว่างทางมีอ้อมบ้างก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ตอนกลับอาจจะกลับโดยใช้ทางตรงก็ได้” อิ๋งจิ่วกวงกล่าว


ดังนั้นพวกเขาจึงหันกลับไปมองประมุขชิง


เห็นเพียงประมุขชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือรอโอกาสหนึ่งพันปีรอบต่อไป ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พระศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นก็น่าจะกลับมาแล้ว ถ้าเจอพระกับลูกศิษย์ก็น่าเจอเส้นทางไปที่นั่น แต่จะเอาความหวังไปฝากไว้กับสิ่งเดียวไม่ได้ จะรอต่อไปแบบนี้โดยเสียเวลาเปล่าไม่ได้ด้วย อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี!”


ทั้งสี่ยืนเรียงแถว แล้วกุมหมัดเอ่ยรับ “ขอรับ!”


สี่อ๋องสวรรค์เหรอ? หูลี่ลี่ที่กำลังคุกเข่าได้ยินแล้วตกใจ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นท่านเหล่านี้มาอยู่ตรงหน้าตัวเอง


ประมุขชิงกล่าวด้วยแววตาวูบไหว “เมื่อก่อนยังไม่มีเบาะแสก็ยังไม่เป็นไร ในเมื่อมีเบาะแสแล้วก็จะปล่อยไปง่ายๆ ไม่ได้ พวกเจ้าคงจะรู้ว่าถ้าพระปีศาจหนานโปกลัยมาอีกครั้งแล้วจะมีผลอะไรตามมา ข้าสั่งให้พวกเจ้าทั้งสี่ดึงกำลังพลของตัวเองมาคนละห้าล้าน ข้าจะดึงกำลังพลจากกองทัพองครักษ์มาอีกห้าล้าน แล้วกระจายกำลังจากจุดที่หูลี่ลี่ออกมาจากน่านฟ้าเถาะติงในปีนั้น ค้นหาให้ข้า ค้นหาทุกฝีก้าว!”


“รับทราบ!” หลังจากทั้งสี่เอ่ยรับแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็กุมหมัดคารวะอีก “ฝ่าบาท เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ก็จะต้องมีข้ออ้างอะไรสักหน่อยหรือเปล่าขอรับ ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้คนคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ถึงอย่างไรก็ไม่สะดวกจะให้ข่าวนี้เล็ดรอดออกไป”


ประมุขชิงตอบว่า “บอกแค่ว่าทางนั้นมีคนพบดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยจำนวนมาก ไปในนามของการบุกเบิกอาณาเขตใหม่!”


พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วย ประมุขชิงหันกลับมาบอกเกาก้วนอีกว่า “ส่งนางไปที่แดนสุขาวดี บรรยายหน้าตาของพระทั้งสองให้ชัดเจน แล้วให้ทางนั้นตรวจสอบประวัติที่มาที่ไปของพระสองคนนั้นสักหน่อย”


“รับทราบ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่ง


ดาวเทียนหยวน ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในห้องนอนบนตึกเก็บระฆังดารา นางกัดริมฝีปาก ทำท่าทางเหมือนทั้งรักทั้งแค้น


จู่ๆ เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายติดต่อนางก่อน นัดนางไปเจอกันนอกเมือง สำหรับคนทรยศคนนั้น หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้จริงๆ ว่าจะด่าอย่างไรดี จะลืมก็ลืมไม่ลง จะตัดก็ตัดไม่ขาด และที่จริงนางก็คิดวนเวียนอยู่ตลอดว่าจะติดต่อเขาไปดีมั้ย นางเองก็มีธุระจะติดต่อเขาเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน


นางนั่งส่องกระจกอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เดิมทีจะหวีผมแต่งตัวนิดหน่อยเท่านั้น แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนความคิด ไม่แต่งหน้าแต่งตัวแล้ว เปลี่ยนเป็นปลอมตัวแทน เสร็จแล้วถึงได้ออกไป


พอออกจากเมืองมาถึงกลางภูเขาที่อยู่ไกลจากตัวเมืองนาง ก็ถึงยอดเขาแห่งหนึ่งที่นัดกันไว้แล้ว ขณะกำลังมองซ้ายมองขวา เงาคนคนหนึ่งก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้หนา ถ้าไม่ใช่เหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้


หวงฝู่จวินโหรวยกมือถอดเครื่องปลอมตัวบนใบหน้าออกแล้วเช่นกัน จงใจหันตัวไปอย่างเย็นชา แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “เจ้ากับข้าตัดขาดกันแล้ว ทำไมยังมาหาข้าอีก?”


พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็เก้อเขินเล็กน้อย เขาตัดสินใจว่าจะไม่มาหาผู้หญิงคนนี้อีกแล้วจริงๆ แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต นึกไม่ถึงว่ายังต้องขอให้นางช่วย เขาเองก็ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ทำให้นางขุ่นเคืองใจ ถ้าติดต่อกับนางผ่านระฆังดารา ก็อาจจะขอให้ช่วยไม่สำเร็จ เลยต้องมาด้วยตัวเองสักเที่ยว


พอเดินมาถึงตรงหน้านาง เขาก็กระแอมแล้วบอกว่า “ตรงนี้ไม่ใช่ที่คุยกัน เปลี่ยนที่คุยกันได้มั้ย ที่ไหล่เขาตรงนั้น ข้าขุดถ้ำไว้เรียบร้อยแล้ว”


หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้าเหล่ตามอง “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “จวินโหรว ก่อนหน้านี้ถ้ามีจุดไหนที่ข้าทำไม่ถูก เจ้าเป็นผู้ใหญ่ควรจะใจกว้าง อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ถือว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษเจ้าตรงนี้เลย” พูดจบก็โค้งกายกุมหมัดคารวะ


หวงฝู่จวินโหรวเบี่ยงตัวหลบ “ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” ดวงตางามชำเลืองซ้ายขวา “อนุภรรยาคนนั้นของเจ้าล่ะ ถ้าให้นางเห็นเจ้ากับข้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดกันได้”


เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดจาอ่อนโยนกับนางอย่างไร สุดท้ายก็ยื่นมือมาคว้าแขนนางเดินออกไปเลย


“เอ๊! เจ้าทำอะไร อย่ามาฉุดกระชาก…” ปากหวงฝู่จวินโหรวตำหนิ แต่ก็ยังกึ่งผลักไสกึ่งตามเขาเข้าไปในถ้ำตรงไหล่เขาแล้ว


และบนภูเขา เหยียนซิวก็ปรากฏตัวเช่นกัน กำลังสังเกตการณ์รอบๆ


ในถ้ำภูเขา เหมียวอี้ดึงหวงฝู่จวินโหรวเข้ามากอดแล้ว เขาประกบจูบบนริมฝีปากนาง อุดปากนางเอาไว้


หวงฝู่จวินโหรวผลักเขาสองทีแต่ก็ผลักไม่ออก จึงใช้แขนสองข้างคล้องคอเขาแล้วตอบสนองอย่างเร่าร้อนเสียเลย


ไม่ง่ายเลยกว่าทั้งสองจะผละออกจากกัน หวงฝู่จวินโหรวมองเขาด้วยแววตาคับแค้นเล็กน้อย แล้วถามเบาๆ ว่า “อนุภรรยาของเจ้าสวยกว่าข้าอีก ยังจะมาหาข้าอีกทำไม?”


เหมียวอี้กำลังร้อนใจ ไม่อ้อมค้อมกับนางเช่นกัน ถามตรงๆ เลยว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะมีธุระจะให้เจ้าช่วย จวินโหรว เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน?”


หวงฝู่จวินโหรวทำท่าเหมือนตกใจ “จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังเอาแต่คิดจะไปหาเรื่องนางอยู่อีกเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าอย่าไปแตะต้องปีศาจโลหิตอีกเลย เมื่อไม่นานมานี้ ทางตำหนักสวรรค์เพิ่งจะมาหาสมาคมวีรชน แล้วคนในบ้านก็มาหาข้าอีก กำลังสืบข่าวเรื่องปีศาจโลหิต ถึงขั้นถามถึงเจ้าด้วย”


ในทางตรงกันข้าม ถึงคราวที่เหมียวอี้จะตกใจบ้างแล้ว เขาถามว่า “อยู่ดีๆ ตำหนักสวรรค์จะสืบเรื่องปีศาจต่ำต้อยไปทำไม แล้วทำไมถึงดึงข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)