ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1382-1385
ตอนที่ 1382 ตู้เซฟสองอัน
ระบบคุ้มกันของตึกใหญ่ในช่วงกลางคืนเข้มงวดกว่าเดิม แต่ในสายตาของพวกเหยียนหมิงซุ่นนี่ไม่ใช่เรื่องนักหนาอะไร พวกเขาได้คำนวณเวลาเปลี่ยนเวรของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้เป็นอย่างดีแล้ว รวมถึงเส้นทางสัญจรของพวกเขาด้วย
“อย่างน้อยมีสามเส้นทางที่ปลอดภัย และเส้นทางนี้ปลอดภัยที่สุด”
ลูกน้องสวมแว่นตาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะชี้แผนที่ไปด้วย เขาเป็นลูกน้องอัจฉริยะด้านการคิดเลขที่เหยียนหมิงซุ่นตั้งใจฝึกมาแม้จะสู้ลี่เมิ่งเฉินไม่ได้แต่ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะที่มีอยู่น้อยคนในประเทศ หลังจากเขาได้เข้าร่วมทีมทุกครั้งที่พวกเขาออกภารกิจผู้บาดเจ็บก็ลดลงฮวบ
เห็นได้ว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาแขนงหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากและแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน
เหยียนหมิงซุ่นเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดอย่างไม่ลังเลใจ เขานำทีมสามคนเข้าไปในตึกใหญ่เหลือสี่คนไว้คอยรับมือด้านหน้าและเฝ้าดูต้นทางด้วย
ความจริงเส้นทางนั้นปลอดภัยจริงดังว่าเพราะตลอดเส้นทางแทบจะคลาดจากเจ้าหน้าที่ที่ตระเวนตรวจอยู่ทุกครั้งไป มีเพียงครั้งเดียวที่ประจันหน้ากันแต่สำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ผ่านการฝึกมา การหลบหลีกศัตรูเป็นหนึ่งในเทคนิคอันช่ำชองของพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีปัญหาใดๆ
เหยียนหมิงซุ่นไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องช่องมิติของฉิวฉิวจึงไม่ได้ให้อีกสามคนตามไปชั้นดาดฟ้าพร้อมกัน แต่ให้พวกเขาเฝ้าอยู่ใต้ตึก
“ถ้าเกิดมีอะไรผิดปกติพวกนายก็รีบหนีไป ใช้แผนที่สองที่เราคุยกันไว้เมื่อคืน” เหยียนหมิงซุ่นพูดสั่ง
“ลูกพี่ ให้พวกเราเข้าไปเถอะ?” ลูกน้องไม่ยอม
หากเริ่มใช้แผนที่สองเมื่อไรเหยียนหมิงซุ่นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาจะยอมตกลงได้อย่างไร?
“ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ ทำตามคำสั่งของฉัน” เหยียนหมิงซุ่นสีหน้าดุดันจนลูกน้องไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ดวงตากลับมีน้ำตาคลอเบ้า
ลูกพี่มักเป็นเผชิญด่านหน้าที่อันตรายที่สุดเสมอ ได้ติดตามลูกพี่แบบนี้ต่อให้พวกเขาต้องตายก็ยอม!
เหยียนหมิงซุ่นเม้มปากพาฉิวฉิวไปยังห้องที่เก็บข้อมูลมูลค่ามหาศาลนั่น เป็นห้องที่ดูไม่เตะตาอะไรซึ่งไม่ต่างจากห้องเก็บของทั่วไปเท่าไร แต่ห้องเก็บของเล็ก ๆที่ไม่เตะตาห้องนี้นี่เองกลับกลายเป็นจุดใจกลางสำคัญของทั้งตึกใหญ่
“ฉันเปิดประตูก่อน รอเดี๋ยว”
ไม่นานเหยียนหมิงซุ่นก็มาถึงห้องเล็กได้ ระบบเลเซอร์ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของที่นี่ถูกลูกน้องปิดไปชั่วคราวซึ่งเขามีเวลาเพียงสองนาทีในการปลดล็อก
อาจเพราะเชื่อมั่นในฝีมือคนแคระตัวเองมากเกินไปสินะทำให้ระบบล็อกของประตูบานเล็กนี้ไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด เหยียนหมิงซุ่นเสียเวลาไม่นานเท่าไร ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็สามารถเปิดมันออกได้แล้ว
“เหลือเวลาอีกหนึ่งนาทีสิบหกวินาที เราต้องรีบทำเวลาแล้ว ฉิวฉิว แกเอาตู้เซฟของแกออกมา ฉันจะเปิดมันเอง”
เหยียนหมิงซุ่นพูดย้ำโดยมีฉิวฉิวพยักหน้ารับแล้วมุดเข้าไปในห้องเล็กนั้นสบาย ๆ ไม่นานก็ตามหาตู้เซฟที่ไว้เก็บข้อมูลได้แต่ปัญหาคือมีถึงสองอัน อันใหญ่หนึ่งกับอันเล็กอีกหนึ่ง
นายผู้ชายอยากได้อันไหนกัน?
ฉิวฉิวอยากจะออกไปถามแต่เมื่อสักครู่เจ้านายผู้ชายบอกไว้แล้วว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก เขาเอาไปทั้งสองอันเลยแล้วกันในเมื่อเขาเก็บมันได้!
คุณชายฉิวไม่พูดพร่ำทำเพลงพลางเก็บตู้เซฟทั้งสองไว้ในช่องมิติแล้วมุดออกไปอย่างว่องไวแล้วคายตู้ทั้งสองออกมา ลูกตาดำขลับที่ประกายวิบวับมองเหยียนหมิงซุ่นไม่ละสายตา
เหยียนหมิงซุ่นชะงักไป ในสายข่าวไม่ได้บอกไว้นี่นาว่าในห้องลับมีตู้เซฟสองอัน!
เขาดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วตัดสินใจเปิดตู้เซฟอันเล็กอย่างแน่วแน่ซึ่งใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้พอสมควร ข้างในเป็นข้อมูลตามคาดจริง ๆ เหยียนหมิงซุ่นเอาข้อมูลปลอมใส่เข้าไปแล้วเก็บไว้ที่เดิม
“ลูกพี่ เหลือเวลาอีกแค่สี่สิบวินาทีแล้ว” เสียงลูกน้องดังแว่วจากหูฟัง มือของเหยียนหมิงซุ่นที่เดิมทีคิดจะเปิดตู้อันใหญ่ก็หยุดชะงักอย่างอดไม่ได้
เขาตัดสินใจหอบตู้เซฟทั้งสองถือไว้คนละข้างแล้วโยนฉิวฉิวขึ้นบ่า จากนั้นค่อยปิดประตูห้องลับก่อนจะพูดใส่ไมค์เสียงเบา “เริ่มแผนแรกได้ ปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”
………………………………………………….
ตอนที่ 1383 มีวาสนาไว้เจอกันใหม่
เพราะยังเหลือเวลาอีกสี่สิบวินาที เหยียนหมิงซุ่นจึลงมาชั้นล่างได้อย่างราบรื่น ลูกน้องสามคนเห็นในมือเขามีตู้เซฟอยู่สองอันก็งงเป็นไก่ตาแตก แต่พวกเขาไม่ได้ถามมากไปกว่านี้กลับยื่นแขนออกไปรับมาคนละหนึ่งอันแล้ววิ่งไปข้างนอกพร้อมกัน
“ระวัง…ทางสิบนาฬิกามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทีมเล็กมาแล้ว ทางหกนาฬิกามีประตูทางออกทางหนึ่ง ไปทางนั้น…”
“เดินตรงไปที่เจ็ดนาฬิกา!”
……
อัจฉริยะหนุ่มแว่นคอยสังเกตแผนที่ตึกใหญ่จากคอมพิวเตอร์พลางชี้นำให้พวกเหยียนหมิงซุ่นหนีออกจากตึกใหญ่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ระหว่างทางหนีเหยียนหมิงซุ่นกลับจับสังเกตสิ่งผิดปกติได้ จากทิศทางที่อัจฉริยะหนุ่มแว่นชี้นำพวกเขาเจอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาถึงสองครั้งแล้ว
แม้ทุกครั้งจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่มากและพวกเหยียนหมิงซุ่นก็กำจัดได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง แต่ชัดเจนแล้วว่ามันผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้น? เส้นทางที่นายบอกว่าปลอดภัยกลับไม่ปลอดภัย” เหยียนหมิงซุ่นถามขึ้น
อัจฉริยะหนุ่มแว่นที่อยู่บนรถใต้ตึกเองก็สังเกตถึงความผิดปกติ เขาสืบตามร่องรอยไปไม่กี่วินาทีก็พบปัญหาเลยตบโต๊ะด้วยความโกรธ “ลูกพี่ ระบบป้องกันของประเทศ Y ใช้เทคนิคใหม่พิเศษ แค่มีคนลักลอบเข้ามาก็จะปล่อยศัตรูจำลองมาป่วนอีกฝ่ายอัตโนมัติ ตอนนี้ทางผมเองก็วุ่นวายไปหมดแล้ว…”
“ไม่ต้องพูดมาก นายพูดมาตรง ๆ เลยว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร?” เหยียนหมิงซุ่นฟังเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูงพวกนี้อย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาไม่รู้เรื่องสักนิด
“ลูกพี่ รอเราเข้าไปรับลูกพี่” อัจฉริยะหนุ่มแว่นพับจอลง
ให้ตายสิ เขาผิดพลาดเองที่คิดไม่ถึงว่าประเทศ Y จะมีระบบป้องกันที่ทันสมัยขนาดนี้ เท่าที่เขารู้มาทั้งโลกมีเพียงประเทศ M กับประเทศ D เท่านั้นที่มี
เหยียนหมิงซุ่นปฏิเสธคำขาด “ไม่ต้อง เริ่มแผนการแรกเลย ฉันจะคุ้มกันพวกนายเอง”
“ลูกพี่…”
“ปฏิเสธตามคำสั่ง!”
เหยียนหมิงซุ่นส่งต่อตู้เซฟอันใหญ่กับฟิล์มของจริงให้ลูกน้องสามคน ส่วนตัวเองเลือกอุ้มตู้เซฟอันเล็กพุ่งออกไป เขาต้องไปล่อความสนใจของคนพวกนั้น ลูกน้องสามคนกัดฟันแล้ววิ่งหนีไปอีกทาง
พวกเขาต้องรีบทำเวลา หากพวกเขาหนีไปก่อนลูกพี่ถึงมีความเป็นไปได้ที่จะหนีรอด
“อยู่ตรงนี้…เร็ว…จับตัวมันไว้!”
เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินล้อมมาทางนี้ เมื่อเห็นเขาอุ้มตู้เซฟอันเล็กก็ยิ่งฮึกเหิมตะโกนร้องเสียงดัง
เหยียนหมิงซุ่นมุดใต้มุดซ้ายมุดขวาด้วยไหวพริบคอยวนเวียนอยู่แต่ในตึกใหญ่และมีกระสุนเฉียดผ่านแฉลบตัวเขาแต่ไม่มีนัดไหนจะถูกตัวเขาเลยสักนิด ฉิวฉิวส่งเสียงร้องด้วยความประหม่า นายหญิงโกหกเขา!
ไม่มีกระรอกตัวเมียแสนสวยในต่างประเทศ!
เขาไม่เห็นแม้แต่ปลายขน!
หนึ่งนาทีผ่านไปแล้ว
“ลูกพี่ เราออกมาแล้ว” เสียงลูกน้องดังขึ้นจากหูฟัง
เหยียนหมิงซุ่นถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มาสิ…มาสนุกกันให้เต็มที่ไปเลย!
เขายังอุ้มตู้เซฟอันเล็กไว้แน่นแต่เปลี่ยนทิศทางการหนีโดยไม่เลือกจะเล่นซ่อนแอบอีกต่อไป
“ศัตรูจะเอาข้อมูลหนีไปแล้ว ขอกำลังเสริมจากสำนักงานใหญ่!” มีคนรู้ทันแผนของเหยียนหมิงซุ่นเลยตะโกนร้องเรียกกำลังเสริมเสียงดัง เหยียนหมิงซุ่นใจหล่นวูบและเพิ่มความเร็วขึ้น
เขาสัญญากับเหมยเหมยไว้แล้วว่าจะต้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย!
เพียงแต่ประเทศ Y ให้ความสำคัญกับข้อมูลขีปนาวุธฉบับนี้มากเกินไปถึงขั้นส่งกองกำลังทหารออกมา และเป็นเพราะเหยียนหมิงซุ่นยังอุ้มตู้เซฟอันเล็กอยู่เลยทำให้ประเทศ Y เข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนขโมยข้อมูลเลยไม่ทันสังเกตเห็นคนอื่น ๆ ลูกน้องเจ็ดคนไปถึงสนามบินได้อย่างราบรื่น ราบรื่นเสียจนพวกเขายังไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันทำภารกิจสำเร็จได้ง่ายขนาดนี้” มีคนเอ่ย
“เพราะลูกพี่ออกหน้ารับทุกอย่างไว้แทน ไม่ได้ ฉันจะกลับไปช่วยลูกพี่!” มีคนทนไม่ไหวอีกต่อไปคิดจะย้อนกลับไปแต่กลับถูกคนอื่นคว้าตัวไว้
“นายกับเจ้าแว่นสี่คนเอาข้อมูลกับตู้เซฟขึ้นเครื่อง เรากลับไปรับลูกพี่ มีวาสนาไว้กลับไปกินเหล้าด้วยกันใหม่ ถ้าหมดวาสนาต่อกันก็ขอฝากลูกเมียและครอบครัวของเราสามคนด้วย พวกนายช่วยหาเวลาไปดูแลด้วยแล้วกัน!”
ลูกน้องอีกคนที่อายุค่อนข้างมากทิ้งให้คนที่อายุน้อยที่สุดสี่คนอยู่ต่อ เขาและอีกสองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันตัดสินใจหวนกลับคืนสู่ความมืดทิ้งสี่คนที่เหลือยืนมองทั้งน้ำตาแล้วกัดฟันขึ้นเครื่องไปอย่างไม่ลังเลใจอีก
ตอนที่ 1384 สวยมาแต่เกิด
หลังจากจบงานพิธีปฐมนิเทศเปิดการศึกษาเหมยเหมยก็ย้ายเข้าหอพักแต่ค้างเพียงคืนเดียว ในเช้าวันที่สามของภาคการศึกษาใหม่นักศึกษาใหม่จะต้องเข้าฝึกทหาร ค่ายทหารอยู่เขตชานเมืองที่ห่างไปจากมหาวิทยาลัยหลายสิบลี้ และมีกำหนดการหนึ่งเดือน
“ฉันจะต้องเอาครีมกันแดดแล้วก็ครีมให้ความชุ่มชื้น อายครีม แผ่นมาส์กหน้า…โอ๊ย ของที่ฉันต้องเอาไปด้วยเยอะจังเลย กระเป๋าเดียวใส่ไม่พอ แต่กฎก็กำหนดไว้ว่าเอาไปได้แค่กระเป๋าเดียว…ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย?”
สีอันน่ามองกองเครื่องสำอางของเธอด้วยความเครียด กฎของการฝึกทหารกำหนดไว้ว่านักศึกษาทุกคนพกกระเป๋าไปได้เพียงใบเดียว แค่เครื่องสำอางของสีอันน่าก็ใส่กระเป๋าใบเดียวไม่พอแล้วจึงกำลังเครียดอยู่!
แค่นี้ก็ช่างมันเถอะแต่น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของเธอฉันอย่างนู้นฉันอย่างนี้ น้ำเสียงขึ้น ๆ ลง ๆทำเอานฟังไม่ไหวจริง ๆ
“ของพวกนี้ไว้ทำอะไรบ้างเหรอ?” ถังม่านลี่ถามเป็นความรู้ด้วยความถ่อมตัวพร้อมดวงตาที่ประกาย
นับตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมาเธอเหมือนฟองน้ำที่แห้งเหี่ยวราวกับคอยซึมซับความรู้ด้วยความกระหาย แน่นอนว่าเฉพาะเรื่องเสื้อผ้าเครื่องสำอางเท่านั้น
“เครื่องสำอางไง ผู้หญิงสมัยนี้ใครบ้างที่ออกจากบ้านแล้วไม่แต่งหน้า!” สีอันน่าเอามือปิดปากหัวเราะเคอะเขิน สายตาฉายแววหยามเหยียดวูบหนึ่ง ช่างเชยเสียจริง
ถังม่านลี่เบ้ปาก เธอรู้อยู่แล้วว่าเป็นเครื่องสำอาง เมื่อก่อนเธอก็เคยปัดแก้มมาก่อนนะแต่เธออยากรู้ว่ากระปุกและขวดเป็นกองของสีอันน่าคืออะไร ต้องใช้เงินเท่าไรถึงซื้อได้
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจงใจหาเรื่องสีอันน่า “เธอเอาไปมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้ไม่ตากแดดเธอก็ดำขนาดนี้แล้ว ดำกว่านี้ก็ไม่เป็นไรหรอก กลัวอะไร!”
“เหอะ!”
สีอันน่าถลึงตาใส่เธอแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าจัดเครื่องสำอางต่อ เธอยังไม่กล้าหาเรื่องเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมากนัก ยายอ้วนนี่ดูช่ำชองเกินไปแถมยังเป็นเจ้าถิ่น ก่อนที่จะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเธอต้องคอยสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ
“จ้าวเหมยเธอเตรียมเสร็จหรือยัง?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้เสียงตอบรับจากสีอันน่าเลยหมดอารมณ์ หันสายตาไปยังเหมยเหมยที่กำลังอ่านหนังสืออยู่จึงถามด้วยสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม คิดอยากจะผูกมิตรไว้สักหน่อย
“เสร็จแล้ว” เหมยเหมยชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางบนโต๊ะที่ไม่ได้ถูกยัดจนเต็ม มีเพียงเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนรวมถึงของใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกายแล้วก็ครีมบำรุงอีกหนึ่งขวด
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนร้องออกมาด้วยความตกใจ “จ้าวเหมยทำไมเธอถึงเอาไปแค่นี้ล่ะ? ครีมกันแดดเธอเอาไปหรือยัง? ครีมบำรุงผิวเอาไปหรือยัง? แล้วก็ขนม ฉันได้ยินว่ากับข้าวที่ค่ายเหมือนข้าวหมูเลยนะ ละแวกนั้นไม่มีร้านขายของชำอีก ไม่เตรียมขนมไปก็แย่สิ”
อย่างเธอก็เอาไปเพียงครีมกันแดดกับครีมมาส์กหน้า พื้นที่ที่เหลือในกระเป๋าไว้สำหรับขนมขบเคี้ยวทั้งสิ้น!
เหมยเหมยยิ้มส่ายหน้า “ฉันเอาครีมบำรุงไปขวดหนึ่งพอแล้ว แค่มีของกินก็พอ ฉันไม่เรื่องมาก”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยิ้มพลางจงใจพูดว่า “นั่นสิ เธอสวยมาตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องสำอางตบแต่ง คนบางคนต่อให้โบะจนหน้าหนาเหมือนกำแพง มันจะดำก็ดำอยู่ดี”
เหมยเหมยฉีกยิ้มกล่าวอย่างระอา “ฉันก็ตากแดดจนผิวคล้ำเหมือนกันแต่ไม่กี่วันก็จะกลับมาขาวเหมือนเดิม”
“นั่นก็เพราะเธอสวยผิวดีมาแต่เกิดไง” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดเสียงรั้นซึ่งเหมยเหมยก็ปล่อยเลยตามเลยก่อนจะอ่านหนังสือต่อแต่หัวใจกลับบินหายไปตั้งนานแล้ว
สีอันน่าที่อยู่หนึ่งในนั้นทำหน้าถมึงทึงแล้วกระแทกกระปุกและขวดเสียงดังกระทบกระทั่ง เธอต้องลดจำนวนเครื่องสำอางลงหน่อยแล้วแต่เธอไม่ทันสังเกตว่าเผลอทำครีมกันแดดหลุดตกใส่ในลิ้นชักที่เปิดออก ซึ่งสีอันน่าก็ไม่เห็นแต่อย่างใด
ถังม่านลี่มองไปที่กระเป๋าลายดอกไม้แสนเชยของตัวเองแล้วพูดเอาใจ “อันน่า เอางี้เธอฝากไว้ที่ฉันก็ได้ กระเป๋าฉันว่างอยู่”
สีอันน่าตาลุกวาวแล้วยิ้มให้ถังม่านลี่ “ขอบคุณนะ ถึงตอนนั้นฉันจะสอนวิธีบำรุงผิวให้เธอ”
ถังม่านลี่เองก็ยิ้มตอบ กำลังรอประโยคนี้อยู่เชียว!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแค่นหัวเราะทีหนึ่งโดยไม่พูดอะไร แม้ฐานะทางบ้านสีอันน่าจะดีอยู่บ้างแต่หล่อนเป็นคนขี้เหนียวที่สุด ถังม่านลี่ไม่มีทางได้ผลประโยชน์อะไรจากหล่อนหรอก
…………………….
ตอนที่ 1385 พี่สามบุกมา
ช่วงพลบค่ำเหมยเหมยตั้งใจโทรหาลุงเหลาโดยเฉพาะกำชับเขาให้โทรบอกเธอทันทีที่ได้ข่าวเหยียนหมิงซุ่น ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม ลุงเหลาตอบตกลง เขารู้มากกว่าเหมยเหมยเล็กน้อยและรู้ถึงความเสี่ยงของเหยียนหมิงซุ่นมากกว่าเขาเองก็เป็นห่วงเช่นกัน
อู่เชากับเจียงซินเหมยต่างส่งข้อความหาเหมยเหมย พอเหมยเหมยได้บัตรโทรศัพท์มาก็รีบโทรกลับทันที
ตอนแรกอู่เชาเองก็อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง แต่คะแนนสังคมและวัฒนธรรมของเขาไม่ดีเท่าไรสอบเข้าได้แต่คณะภาษาจีนของวิทยาลัยครูของเมืองหลวง ส่วนเจียงซินเหมยก็ไม่ได้เข้าร่วมหน่วยยุทโธปกรณ์เหมือนชาติที่แล้วแต่กลับสอบเข้าวิทยาลัยภาพยนตร์ของเมืองหลวงแทน ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ต่างไปจากอดีตชาติอย่างสิ้นเชิง
มหาวิทยาลัยของพวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันแต่กลับอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเหมยเหมยค่อนข้างมาก สองคนนี้ก็ต้องไปฝึกทหารในวันพรุ่งนี้เช่นกันเลยโทรมาบอกล่วงหน้า นัดไว้ว่าหลังจบการฝึกทหารค่อยหาเวลาทานข้าวด้วยกัน
เหมยเหมยย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว ช่วงนี้มีเวลาเจอเพื่อนเก่าน้อยเกินไป
ตอนนี้สยงมู่มู่โด่งดังจนฉุดไม่อยู่ ไม่เพียงแค่แต่งเพลงแต่ยังร้องเพลงเองเลยงานยุ่งจนหัวหมุน เซียวเซ่อเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วแต่กำลังวุ่นอยู่กับการสืบกิจการครอบครัว ซึ่งก็งานยุ่งเช่นกันเลยไม่ได้เจอกันนาน
ใต้ตึกหอพักมีตู้โทรศัพท์สาธารณะ ป้าหอขายบัตรโทรศัพท์พอดี มีทั้งสิบหยวนยี่สิบสามสิบห้าสิบหยวน เหมยเหมยซื้อห้าสิบหยวนเพียงพอให้เธอโทรคุยไปอีกเดือน
เพิ่งดึงบัตรโทรศัพท์ออกมาเพจเจอร์ในมือก็แผดเสียงดังทันที เป็นข้อความจากจ้าวเสวียเอ๋อร์ “อีกครึ่งชั่วโมงจะไปหา”
เหมยเหมยอมยิ้มน้อย ๆ หลังจากแตกคอกับตระกูลจ้าวเมื่อสองปีก่อนเธอกับเหล่าลูกพี่ลูกน้องอย่างจ้าวเสวียไห่จึงไม่ค่อยติดต่อกันบ่อยนัก หนึ่งปียังไม่โทรหากันสักครั้งเพราะทุกคนต่างจงใจหลบหน้ากันอยู่
จ้าวเสวียกงกลับโทรหาเธออยู่บ่อยครั้งแต่ก็รู้สึกได้ว่าไม่สนิทเหมือนวัยเด็กอีกแล้ว แต่นับว่ายังมีความสัมพันธ์ที่สนิทกว่าใคร จ้าวเสวียเอ๋อร์กลับเป็นคนที่ติดต่อบ่อยมากกว่า
ตอนที่เกิดเรื่องที่บ้านเมื่อสองปีก่อนจ้าวเสวียเอ๋อร์ไปต่างประเทศไม่ได้อยู่เมืองหลวง กลับมาถึงเพิ่งรู้เรื่องพวกนี้ซึ่งปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือตักเตือนจ้าวอิงหย่งพ่อของตัวเอง อย่างที่สองฟื้นฟูความสัมพันธ์กับน้องสาวคนนี้
จ้าวเสวียเอ๋อร์ฉลาดมาก เขาเข้าใจดีกว่าใคร
ตระกูลจ้าวในตอนนี้ครอบครัวจ้าวอิงหัวต่างหากที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด อีกทั้งลูกพี่ลูกน้องคนนี้ยังเป็นคู่หมั้นของคุณชายหมิงผู้ลึกลับคนนั้นอีก เขาคงโง่หากจะเลือกตีตัวออกห่างจากครอบครัวคุณอาเล็กอยู่แล้ว!
แม่ของเขาเฉยชาเกินไป พ่อของเขาก็สติเลอะเลือนเกินไป เฮ้อ!
ความพยายามของจ้าวเสวียเอ๋อร์ยังมีผล ตระกูลจ้าวมีคนตั้งมากมาย มีเพียงจ้าวเสวียเอ๋อร์ที่ค่อนข้างสนิทกับเหมยเหมยซึ่งติดต่อกันเป็นอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่คุณปู่จ้าวเองนอกจากโทรไปสุขสันต์วันปีใหม่และวันเกิดปกติก็แทบไม่โทรหาด้วยซ้ำ
สองปีนี้จ้าวเสวียเอ๋อร์ขยายบริษัทใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ สร้างสรรค์รูปแบบอาหารจานด่วนฉบับภาษาจีนสไตล์ใหม่และเปิดสาขาไปตามเมืองต่าง ๆ นอกจากนี้ยังลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ตัวเองเงินทุนไม่พอเลยเกลี้ยกล่อมให้เหมยเหมยลงทุนด้วยกันจำนวนหนึ่งก่อนจะได้กำไรไปเต็ม ๆ รถยนต์เปลี่ยนจากซีดานขนาดกลางเป็นโตโยต้า คราวน์ทันที แถมยังซื้อมาในราคาสูงถึงหกแสนหยวน
เพื่อรถคันนี้จ้าวเสวียเอ๋อร์ยังปวดใจอยู่นานกว่าครึ่งปีก็ยังทำใจไม่ได้!
ในเมื่อยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเหมยเหมยเลยไม่ได้รอที่ใต้อาคารแต่โทรหาจ้าวเสวียเอ๋อร์ “พี่สาม พี่มามีเรื่องอะไร?”
“ทำไม? ไม่มีธุระก็ไปหาเธอไม่ได้เหรอ? ฉันเป็นพี่ของเธอนะ!” จ้าวเสวียเอ๋อร์ตัดสินใจเทียบจอดรถข้างทางเพราะโทรศัพท์เคลื่อนที่หนักเกินไปแค่มือข้างเดียวเขายกไม่ไหว
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขายังมีอนาคตที่ยาวไกลแถมยังหาเงินได้ตั้งมากมาย ตายแล้วไม่คุ้ม!
จ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่เสียเวลาพูดกับเธอมากเลยตัดบทพูด “ฉันเพิ่งกลับมาจากฮ่องกง ซื้อเครื่องประดับกับเสื้อผ้าออกใหม่จากที่นั่นมาให้เธอด้วย แล้วก็มีเรื่องจะปรึกษาเธอหน่อย”
“แต่เสื้อผ้าเครื่องประดับของฉันมีเยอะมากแล้วนะ!” เหมยเหมยเอือมระอาเหลือเกิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น