กระบี่จงมา 138.1-138.2

ตอนที่ 138.1

 

 ชักคะเย่อ

โดย

ProjectZyphon

 


สุดท้ายเฉินผิงอันที่สอบถามผู้คนไปทั่วได้คำตอบแค่สถานที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมือง ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีโรงเตี๊ยมอย่างที่ชุยฉานพูดถึงมาก่อน เมืองแห่งนี้คือเมืองใหญ่ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง หากคิดจะเดินทางไปยังสถานที่ตั้งเก่าของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ต้องเดินข้ามไปเกือบครึ่งเมือง รอจนคนทั้งกลุ่มเดินไปตามทางที่คนเดินผ่านทางคนหนึ่งบอกไว้ก็ใกล้จะเป็นยามสนธยาแล้ว เบื้องหน้าเห็นเป็นเพียงกำแพงสูงสีชาดแถบหนึ่ง และต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาซอยหนึ่งที่ทางเข้าไม่สะดุดตาเจอ เป็นซอยที่พอจะให้รถม้าสองคนสวนทางผ่านกันอย่างถูไถ


ยิ่งเดินเข้าไปข้างในก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม ระหว่างร่องอิฐสีเขียวที่ปูอยู่ใต้ฝ่าเท้ามีหมอกควันจางๆ ผุดลอยขึ้นมาเป็นระลอก หลังจากล่องลอยเข้าหาผนังสูงสองข้างแล้วก็ค่อยๆ มารวมตัวกันกลายเป็นดั่งกระแสน้ำพุใสสะอาดที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย ยังได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ


เด็กหนุ่มหนุ่มชุยฉานแห่งว่าพวกเฉินผิงอันมีท่าทางฉงนสนเท่ห์ จึงอธิบายว่า “ซอยนี้ก็คือหนึ่งในเรื่องขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีชื่อว่าซอยเมฆคล้อยน้ำไหล เมื่อได้เข้าไปในประตูใหญ่ก็น่าจะได้เห็นผนังบังตาแสงจันทร์แล้ว เนื่องจากในผนังบังตามีวิญญาณที่ไม่รู้ที่มาพักพิงอยู่ รูปร่างของมันจึงไม่แน่นอน โดยส่วนใหญ่แล้วจะคล้ายคลึงกับพระจันทร์ บ้างมืดบ้างสว่าง บ้างกลมบ้างเสี้ยว ซึ่งทั้งหมดจะปรากฏอยู่บนผนังบังตา แต่ผนังบังตาที่มีมูลค่ายังแท้จริงยังต้องเป็นผนังสุริยันจันทรา หากบวกดวงดาวเข้าไปอีก เกรงว่าต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักก็คงยอมเสียหน้าแต่ก็ต้องแย่งชิงมาให้ได้”


ปลายทางของตรอกคือประตูใหญ่บานหนึ่ง บนบานประตูสลักภาพเทพทวารบาลลงสีร่างสูงใหญ่ไว้สององค์ สูงใหญ่ยิ่งกว่าชายฉกรรจ์เสียอีก ดุดันมากบารมี ร่างกายกำยำล่ำสัน ล้วนสวมเสื้อเกราะสีทอง คนหนึ่งขี่เสือถือกระบี่ อีกคนขี่เจียวชูดาบ เทพทวารบาลทั้งสององค์ต่างก็ถลึงตาถมึงทึงมองมาทางตรอกเล็ก เพราะเป็นไม้สลักนูน ไม่ใช่ภาพวาดบนกระดาษที่แปะบนประตูบ้านคนทั่วไป ดังนั้นจึงให้ความรู้สึกที่กดดันจนแทบหายใจไม่ออก


หลี่ไหวแอบกลืนน้ำลาย รู้สึกว่านอนในภูเขาสบายและมีอิสระเสรีมากยิ่งกว่า


ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดอ้าออก สาวงามคนหนึ่งที่มีดอกตาดอกท้อเดินยักย้ายส่ายเอวข้ามธรณีประตูออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ด้านหลังมีดรุณีน้อยมวยผมแกละสองคนเดินตามมา ตรงเอวของพวกนางต่างก็ห้อยกระบี่ยามฝักสีเขียว พวกนางไม่ได้เดินตามสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเข้ามารับแขก แต่ยืนอยู่หน้าประตู


สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามยอบตัวคารวะอย่างสง่างาม “ข้าน้อยหลิวเจียฮุ่ย (การเฉลิมฉลองที่เป็นมงคล) เจียจากคำว่าเจียชิ่ง ฮุ่ยจากคำว่าฮวาฮุ่ย (ชื่อเรียกรวมไม้ดอกและพืชหญ้าต่างๆ) แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเรียกข้าว่าเจียฮุ่ยก็พอ ไม่ทราบว่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะค้างแรมที่โรงเตี๊ยมชิวหลู (ต้นอ้อฤดูใบไม้ร่วง) ของพวกเราหรือไม่? มีการนัดล่วงหน้าหรือไม่?”


เวลาที่สตรีแต่งงานพูด สายตาของนางนั้นจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทำให้คนดวงตาเป็นประกายเขม็ง


เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นไม่สนใจจะตอบคำถามของนาง ไร้มารยาทอย่างยิ่ง สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามกับเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาคมคายจ้องตากัน แม้ฝ่ายแรกจะไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับยังไม่เปลี่ยนแปลง


ทว่าสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด


ในเมืองแห่งนี้ มีใครบ้างที่กล้าไร้มารยาทกับฮูหยินขนาดนี้? ขนาดใต้เท้าผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางใหญ่ของพื้นที่แถบนี้ หากเจอกับฮูหยินตอนไปเที่ยวชานเมืองหรือตอนไปจุดธูปไหว้พระก็ล้วนต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท เรียกขานว่าหลิวฮูหยินหรือไม่ก็เถ้าแก่รองเสมอ หากมีเรื่องจะขอร้อง จำเป็นต้องให้โรงเตี๊ยมชิวหลูหาเส้นสายเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ก็ยิ่งเรียกด้วยความเคารพต่อหน้าว่าหลิวเซียนซือ


ปลายหางตาของสตรีแต่งงานแล้วผู้งดงามเหลือบมองหลินโส่วอีผู้มีสีหน้าเย็นชาอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติจึงจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวพลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่ออีกครั้ง “คุณชายท่านนี้ หรือรู้สึกว่าข้าน้อยและโรงเตี๊ยมชิวหลูมีอะไรไม่เหมาะสม? มาถึงที่นี่จึงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก คิดว่าไม่สมกับชื่อเสียงที่เคยได้ยินมา?”


เด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วจึงยื่นนิ้วชี้ไปยังเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไหว้พระโพธิสัตว์ผิดองค์แล้ว เจ้านายผู้ดูแลเงินคือท่านนี้”


ในใจสตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจไม่น้อย รีบหันมายอบตัวคำนับเฉินผิงอันคนเดียวครั้งหนึ่งถือเป็นการขออภัย ไม่รอให้สตรีผู้นี้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันที่ดึงสายตากลับมาจากประตูบานใหญ่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ตัดสินใจได้แล้วจึงกล่าวว่า “พวกเราคนค่อนข้างเยอะ มีห้องพอหรือไม่?”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน “พอ จะไม่พอได้อย่างไร แม้ว่าอีกไม่นานจะมีพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลเทพแม่น้ำประจำเมืองซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ สามปีครั้ง เซียนซือของแต่ละฝ่ายจึงเดินทางมาเพื่อให้กำลังใจใต้เท้าผู้ว่าฯ กิจการของโรงเตี๊ยมชิวหลูจึงพอครึกครื้นอยู่บ้าง แต่แขกผู้มีเกียรติทุกท่านมาเยือนทั้งที นับเป็นเกียรติของพวกเรา ต่อให้ข้าน้อยต้องยกเรือนหลังเล็กของตัวเองออกมา ย้ายไปพักโรงเตี๊ยมแห่งอื่นชั่วคราว ก็ไม่มีทางปล่อยให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านต้องกลับไปอย่างหมดสนุก”


สุดท้ายเฉินผิงอันจึงเลือกเรือนหลังใหญ่ที่ชื่อว่าน้ำค้างกระจ่าง ตำแหน่งใกล้กับบ่อน้ำโบราณของอดีตศาลเทพอภิบาลเมืองมากที่สุด ถือเป็นเรือนอันดับหนึ่งของโรงเตี๊ยมชิวหลู ที่ยังว่างมาจนถึงตอนนี้เพราะราคาแพงเกินไป ไม่คิดตามจำนวนคน แต่คิดเป็นวัน วันละสองพันตำลึงเงิน คนที่มาพักในโรงเตี๊ยมชิวหลูล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับสถานะเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่เรื่องของการฝึกตนนี้ หากไม่รู้จักคิดคำนวณอย่างละเอียด ไม่มีตระกูลหรือที่พึ่งที่มีรากฐานลึกล้ำ หรือหากไม่มีวิธีหาทรัพย์สมบัติมาให้ตัวเอง ก็มักจะยากจนข้นแค้นอย่างมาก แตกต่างจากเซียนซือที่ร่ำรวยอู้ฟู่ในจินตนาการของชาวบ้านร้านตลาดอย่างสิ้นเชิง


บ่อโบราณแห่งนั้นของโรงเตี๊ยมชิวหลูเป็นที่ตั้งของตาน้ำพุที่ทำให้ปราณวิญญาณไหลรินจริง แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว การที่ต้องจ่ายเงินวันละสองพันตำลึงเงินเพื่อสิ่งนี้ถือเป็นการค้าขาดทุนที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเรือนหลังนี้จึงมักจะเป็นเศรษฐีของท้องถิ่นที่ทุ่มเงินเพื่อใช้รับรองขุนนางใหญ่หรือจอมยุทธ์ในยุทธภพ


หลิวฮูหยินพาแขกผู้ทรงเกียรติต่างถิ่นกลุ่มนี้เดินลอดระเบียง สุดท้ายไปถึงเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง มุมหนึ่งของลานกว้างปลูกกล้วยไว้กอใหญ่ มีอ่างน้ำทำจากหินขนาดครึ่งตัวคนหนึ่งอ่าง ด้านในเลี้ยงปลาหลีหลากหลายสีสันหนึ่งกลุ่ม บนผิวน้ำคือดอกบัวตูมที่ยังไม่ผลิบาน


หลิวฮูหยินชี้ไปยังกระดิ่งชิ้นหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะหินแล้วกล่าวว่า “หากมีธุระ พวกเจ้าก็แค่เขย่ากระดิ่งทองแดงนี้เบาๆ ก็จะมีสาวใช้ที่มือเท้าคล่องแคล่วรุดมาที่เรือนทันที อีกอย่างก็คือตรงประตูหลังของเรือนหลังนี้ หากผลักประตูไม้ไผ่เดินไปทางทิศเหนือประมาณสามสิบกว่าก้าวจะมองเห็นศาลาพักร้อนหลังหนึ่ง มีชื่อว่าศาลาหยุดเท้า ด้านในวางเบาะนั่งไว้สามอัน เซียนซือสามารถดูดซับปราณวิญญาณจากในศาลาได้ ทางฝ่ายของบ่อน้ำ เราไม่เปิดให้คนนอก หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พวกเราจำไว้แล้ว จะไม่เดินเลยศาลาหยุดเท้าไปยังบ่อโบราณแห่งนั้นโดยพลการ”


หลิวฮูหยินหรี่ดวงตาดอกท้อที่มีชีวิตชีวาตามธรรมชาติคู่นั้นลง คลี่ยิ้มจริงใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ใจเขาใจเรา ก็คือพุทธจิต”


หลี่เป่าผิงถามด้วยความใคร่รู้ “หลิวฮูหยิน ตรงประตูใหญ่ของพวกเจ้าไม่ควรมีผนังบังตาตั้งอยู่หรอกหรือ?”


หลิวฮูหยินถอนหายใจ ไม่เต็มใจจะบอกเล่าเรื่องวงใน เพียงกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ก่อนหน้านี้มีเรื่องเล็กน้อยเกิดขึ้น ผนังบังตาสูญเสียภาพแห่งพระจันทร์ไปจึงรื้อทิ้งไปแล้ว”


ห้องสี่ห้อง หลี่เป่าผิงกับเซี่ยเซี่ยหนึ่งห้อง หลี่ไหวกับเฉินผิงอัน ชุยฉานกับอวี๋ลู่ ห้องสุดท้ายเป็นของหลินโส่วอีที่ถือว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว


หลังเข้ามายังที่แห่งนี้ หลินโส่วอีก็จิตใจปลอดโปร่งอย่างแท้จริง ความรู้สึกมหัศจรรย์เช่นนั้นราวกับว่าก่อนหน้านี้เร่งเดินทางอยู่บนพื้นดินโคลนท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ ทุกย่างก้าวต้องดึงเท้าออกมาจากโคลนเหนียวหนืด แต่ตอนนี้พอท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทางเดินไม่เพียงแต่แห้งสนิท ยังได้เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สะอาดเอี่ยมชุดใหม่ ความรู้สึกเวลาที่เดินบนเส้นทางย่อมต้องเบาตัวผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง


หลินโส่วอีเพียงแต่สงสัยเล็กน้อย ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความจอแจกลับมีพื้นที่มงคลที่เหมาะแก่การฝึกตนแบบนี้ซ่อนตัวอยู่ด้วยหรือ?


แต่ตลอดทางที่เดินมากลับไม่เจอแขกคนอื่นๆ เลย ตามคำบอกของหลิวฮูหยิน กิจการของโรงเตี๊ยมชิวหลูไม่แย่ ทว่ากลับแตกต่างจากโรงเตี๊ยมในเมืองหลายแห่งที่พวกเขาเดินผ่านซึ่งมีคนเดินเข้าเดินออกขวักไขว่ มองดูคักคึกอยู่มาก

 

 

 


ตอนที่ 138.2

 

ชักคะเย่อ

โดย

ProjectZyphon

หลังจากหลิวฮูหยินจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็เอาตะกร้าไม้ไผ่ที่สะพายอยู่บนหลังไปวางไว้ในห้อง หยิบกล่องไม้หนักอึ้งกล่องหนึ่งออกมา ด้านในมีปิ่นหยกสี่อันที่รูปแบบธรรมดาที่สุดวางเรียงกัน สองอันในนั้นทำจากหยกมันแพะ อุ่นลื่นเรียบเนียน และยังมีเนื้อหยกสีมรกตกับสีดำ หากรวมกับกล่องใบนี้ด้วย เฉินผิงอันต้องจ่ายเงินไปทั้งหมดหนึ่งร้อยตำลึงเงิน


ระหว่างที่ตามหาโรงเตี๊ยมชิวหลู พวกเขาเดินผ่านร้านขายหยกและหินอัญมณีแห่งหนึ่ง เดิมทีเฉินผิงอันแค่อยากจะเข้าไปดูเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเองสักเล็กน้อยเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกใจพวกมันเพียงแค่มองปราดเดียว หยกทั้งสี่วางนอนอยู่ในกล่องไม้ที่เปิดอ้า น่ารักน่ามอง ทำให้คนเกิดความชื่นชอบ


เมื่อเฉินผิงอันได้ยินเจ้าของร้านบอกราคาที่ทำให้คนอ้าปากค้างแล้วก็ไม่คิดจะซื้อมา แต่ชุยฉานแอบส่งสัญญาณบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันซื้อปิ่นหยกกล่องนี้มาให้ได้อยู่หลายครั้ง สุดท้ายถึงกับพูดว่าหากเฉินผิงอันไม่ยอมซื้อ เขาชุยตงซานจะซื้อไว้เอง เฉินผิงอันกัดฟันปรึกษากับเจ้าหมอนั่นเรียบร้อย จึงตกลงกันว่าให้ลงบัญชีไว้ก่อนเหมือนเงินค่าที่พัก


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงติดเงินเด็กหนุ่มชุดขาวก้อนแรก หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยเด็ดขาด


เจ้าของร้านแถมมีดแกะสลักอันเล็กที่ใช้กับหยกโดยเฉพาะให้เฉินผิงอันหนึ่งเล่ม ขณะเดียวกันยังอธิบายให้เด็กหนุ่มฟังถึงความแข็งและอ่อนที่แตกต่างกันของเนื้อหยกสามชนิด เวลาที่ลงมีดควรรู้จังหวะหนักเบา เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ ไม่ให้พลาดไปแม้แต่คำเดียว


ตอนที่อยู่บนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา ปิ่นหยกสีเขียวมรกตที่อาจารย์ฉีเคยมอบให้หายไปเหมือนมีปีกบินหนีเอง ตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกกับหลี่เป่าผิงแล้วว่า วันหน้าหากมีโอกาสตนจะซื้อปิ่นอันหนึ่งแล้วแกะสลักอักษรแปดคำนั้นลงไป


ตอนนี้เพียงแค่เปลี่ยนจากหยกหนึ่งอันเป็นสี่อันเท่านั้น


หลังจากวางหีบหนังสือใบเล็กลงตรงมุมกำแพงแล้ว หลี่ไหวก็ขึ้นไปนอนหงายผึ่งบนเตียง กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มว่า “ช่างเป็นสถานที่ของเทพเซียนจริงๆ ท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวไม่มีวาสนานี้”


 เด็กชายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบลุกขึ้น เดินไปนั่งยองอยู่มุมกำแพง เปิดหีบหนังสือออกแล้วยื่นมือลงไปคลำพักหนึ่งก็เอาหุ่นไม้สีสันและหุ่นปั้นดินเผารูปคนออกมาวางไว้ข้างฝ่าเท้าทั้งหมด หลี่ไหวยื่นหน้ามองเข้าไปในหีบหนังสือที่ว่างเปล่า จากนั้นก็หันขวับไปมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน กล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า “ชุยตงซานไม่ใช่คนดีจริงๆ เงินก้อนนั้นหายไปแล้ว! เฉินผิงอัน จะทำยังไงดีล่ะ ข้าไปขอคืนมาได้ไหม?”


เฉินผิงอันวางกล่องไม้และมีดแกะสลักลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มเหม่อลอย สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ


พอได้ยินเสียงบ่นของหลี่ไหว เฉินผิงอันก็หันหน้าไปพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้แมลงเงินเป็นของเจ้าแล้ว หากอยู่กับเขาจริงๆ เจ้าต้องไปเอาคืนมาได้อยู่แล้ว”


หลี่ไหลจึงรีบวิ่งออกไปจากห้อง “ข้าจะไปคิดบัญชีกับชุยตงซาน”


เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าต้องพูดกับเขาดีๆ”


เฉินผิงอันเดินไปปิดประตู กลับมานั่งข้างโต๊ะอีกครั้ง สองนิ้วหยิบมีดแกะสลักหยกเล่มเล็กที่ใบมีดแคบขึ้นมาชั่งน้ำหนักของมันอยู่เงียบๆ


ปิ่นหยกของเขาควรจะสลักคำว่าอะไรลงไป ง่ายมาก นั่นก็คือตัวอักษรเล็กๆ แปดตัวที่สลักบนปิ่นหยกชิ้นที่หายไป หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก


แต่ปิ่นหยกที่เหลืออีกสามชิ้น เขาคิดว่าจะมอบให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนถือเป็นของขวัญจากลาหลังไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยในอนาคต


เป่าผิง (แจกันสมบัติ) โส่วอี (สมาธิมุ่งมั่น)  ไหวอิน (ร่มเงาต้นไหว)


สุดท้ายเฉินผิงอันที่เกาหัวแรงๆ ก็คิดได้แค่สามคำนี้ แม้ว่าจะไม่สง่างามแม้แต่นิดเดียว แต่ก็รับประกันได้ว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาด


หลินโส่วอีพลันผลักประตูให้เปิดอ้า ตัวเขายืนอยู่นอกประตู สีหน้าเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง? จ่ายเงินตั้งสองพันตำลึงเงินเพียงแค่เพื่อค้างคืนที่นี่คืนเดียวเนี่ยนะ?!”


เฉินผิงอันหันหน้าไปเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นเคยด้วยความงงงัน


ข้างกายหลินโส่วอีมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนเอาสองมือสอดประสานอยู่ในชายแขนเสื้อ ใบหน้าฉีกยิ้มกวนอารมณ์


หลินโส่วอีโมโหจนปากคอสั่น ชี้หน้าเฉินผิงอัน “เงินสองพันตำลึง! เจ้าเฉินผิงอันคือลูกชายผู้ว่าราชการเมืองนี้ หรือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ฐานะสูงส่งยิ่งกว่า?”


เฉินผิงอันขมวดคิ้ว วางมีดแกะสลักลงเบาๆ ลุกขึ้นยืนเตรียมจะพูด แต่หลินโส่วอีกลับหมุนตัวก้าวยาวๆ จากไปแล้ว


หลี่ไหวแอบย่องเข้ามาในห้อง ในมือถือเงินก้อนนั้นเอาไว้ เด็กชายไม่กล้าเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ จึงไปนั่งอยู่ริมขอบเตียง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย


เฉินผิงอันปรายตามองเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วนั่งกลับลงไปบนม้านั่งอีกครั้ง


ชุยฉานยืนพิงประตู ตัวการร้ายในครั้งนี้ยังไม่ลืมกระพือลมจุดไฟ “รสชาติของความหวังดีถูกมองเป็นเจตนาร้าย คงไม่ค่อยน่าชิมเท่าไหร่สินะ?”


เฉินผิงอันไม่สนใจเขา


ชุยฉานคิดแล้วก็เดินเข้ามาในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ยกมือข้างหนึ่งเท้าคาง คลี่ยิ้มมองหน้าเฉินผิงอันแล้วราดน้ำมันลงบนกองเพลิงต่ออีกครั้ง “เจ้าว่าหลินโส่วอีจะคิดว่าเงินส่วนตัวของเจ้าคือสมบัติร่วมกันของกลุ่มพวกเจ้าหรือเปล่า ดังนั้นทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าเจ้าจ่ายเงินครั้งนี้ก็เพื่อการฝึกตนของเขา แต่พอหลินโส่วอีที่นิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว อีกทั้งยังมีความคิดเกี่ยวกับทรัพย์สินตั้งแต่อายุยังน้อยลองชั่งน้ำหนักผลดีผลร้ายดูแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขาดทุน ถึงได้พาลโมโหใส่เจ้า? ข้าคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ข้อนี้อยู่นะ”


สีหน้าของเฉินผิงอันไม่เปลี่ยนแปลง


ชุยฉานหัวเราะคิกคัก “รู้สึกว่าข้าชอบสร้างเรื่องใช่ไหมล่ะ?”


ชุยฉานพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เข้าใจข้าผิดแล้ว ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่ข้าซื้อของผุๆ พังๆ ห่อนั้นมา แล้วจ่ายด้วยเงินก้อนนั้น แต่พอแมลงเงินไปตกอยู่ในมือของคนแปลกหน้ากลับฉวยโอกาสแปลงร่างเป็นตั๊กแตนกลับมาอยู่ข้างกายเจ้านายอีกครั้ง เจ้าเลยคิดว่าข้าใช้เวทคาถาหลอกลวงคนอื่น ใช่ไหม? ผิดแล้ว ผิดมาก ผิดมหันต์ คนผู้นั้นก็คือผีพนันที่พร้อมยอมทุ่มหมดหน้าตัก ดูจากโชคชะตาของเขาคือผีอายุสั้นที่ไม่รู้จักถนอมโชควาสนา หากข้าให้เงินทองของจริงเป็นทุนในการเล่นพนันกับเขา นั่นต่างหากถึงจะเป็นการทำร้ายเขา ไม่แน่ว่าผ่านไปแค่ไม่กี่วันเขาอาจประสบหายนะ ตอนนี้ไม่มีเงินให้เอาไปเล่นพนัน เจ้าคนไม่เอาถ่านผู้นั้นยังต้องไปขโมยสมบัติของในบ้านมาขายอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน”


ในที่สุดเฉินผิงอันก็ยอมเปิดปาก “นับตั้งแต่ที่เจ้าลงจากรถมาแนะนำศาลเทพอภิบาลเมือง แล้วถือโอกาสพูดถึงโรงเตี๊ยมชิวหลูแห่งนี้ อันที่จริงเป็นการวางกับดักข้าสินะ? แต่ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าการทำลายคนอื่นโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ ทำไปแล้วจะมีความหมายอะไร?”


เด็กหนุ่มชุดขาวเอียงคอ ใช้สองนิ้วสลับเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ “เคยมีคนที่อายุมากกว่าเจ้าเล็กน้อย ในมือซุกซ่อนตราประทับชิ้นหนึ่งที่สลักคำสี่คำว่า ‘ใต้หล้ารับวสันต์’”


เด็กหนุ่มจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด


เฉินผิงอันถาม “แล้วยังไง?”


เด็กหนุ่มชุดขาวคืนสติ นวดคลึงไฝแดงกลางหว่างคิ้ว นึกถึงบรรยากาศประหลาดที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางก็ยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง น่าจะเป็นอย่างที่ตนคาดเดาเอาไว้ ตราประทับชิ้นที่ฉีจิ้งชุนมอบให้เด็กหนุ่มจ้าวเหยามีความหมายมาก น่าเสียดายก็แต่เมื่อตนปรากฏตัว หลังจากผ่านการหยั่งเชิงไปแล้ว เด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองไว้ชั่วคราว ไม่ว่าจะเพื่ออนาคตของตัวเองหรือเพื่อความปลอดภัยของตระกูล สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ประคองตราประทับชิ้นนั้นส่งมาให้เขาด้วยสองมือ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในตราประทับก็ย่อมต้องกลับคืนสู่ฟ้าดินตามธรรมชาติ มิน่าเล่าอากาศช่วงปลายวสันตฤดูของปีนี้ถึงได้ยาวนานนัก


แต่ชุยฉานกลับรู้สึกว่าเรื่องราวไม่น่าจะง่ายดายเพียงนี้


ไม่ว่าฉีจิ้งชุนจะทิ้งวิธีรับมือไว้ภายหลังหรือไม่ ภายใต้การจัดการของซิ่วไฉเฒ่า ชะตาชีวิตของเขา “ชุยฉานคนนี้” ก็ผูกติดกับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงแล้ว แม้ว่าเฉินผิงอันจะเป็นตัวถ่วง ทำให้อนาคตของเขาเลือนรางตามอีกฝ่ายไปด้วย แต่ชุยฉานก็ยังไม่ยอมทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด แต่กระตุ้นใจแห่งการแข่งขันให้ฮึกเหิม หวังว่าจะสามารถชักนำเฉินผิงอันให้เดินไปบนมหามรรคากว้างใหญ่สายนั้นของตัวเอง ไม่ใช่ถูกเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเรียนหนังสือลากเขาไปลำบากตรากตรำอยู่บนเส้นทางเละเทะสายนั้น


นี่ก็เหมือนคนสองคนกำลังเล่นชักคะเย่อ แรงที่ใช้ไม่ใช่แรงจากแขน มือ เอวหรือสะโพก แต่เป็นแรงใจและกำลังใจ


อารมณ์ของเด็กหนุ่มชุดขาวเริ่มดีขึ้นทีละน้อย จะให้แข่งในเรื่องปณิธานและความอดทนกับเจ้าเด็กตรงหน้าผู้นี้? จะดีจะชั่วข้าชุยฉานก็เคยเป็นนักพรตชั้นสูงที่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์แห่งวงการหมากล้อมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่นหมากล้อมกับเด็กคนหนึ่ง อยากจะแพ้ก็ยังยากกระมัง?


ทว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเมินเด็กหนุ่มชุดขาวไปอย่างสิ้นเชิง


เพราะเฉินผิงอันเริ่มหยิบมีดแกะสลักและปิ่นหยกขึ้นมาสลักตัวอักษรตัวแรกแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)