พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1379-1382

 บทที่ 1379 สงบสุขได้ก็แปลกแล้ว

เรื่องนี้น่ะเหรอ! อิ๋งลั่วหวนเม้มปาก พูดอย่างซื่อสัตย์เลย การแต่งงานของลูกชายลูกสาวคือเรื่องที่แม่ทุกคนว้าวุ่นใจที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านไหนก็เหมือนกันหมด อิ๋งลั่วหวนจัดระเบียบความคิดเกี่ยวกับหนิวโหย่วเต๋ออย่างละเอียด พบว่าการได้ลูกเขยแบบนี้มา ไม่ว่าจะมองจากจุดไหนก็ล้วนเหมาะสม ยิ่งคิดก็ยิ่งพบว่าเหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เพียงแต่เรื่องชิงตัวนางระบำทำให้นางรำคาญใจนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับการถูกบ้านอื่นคว้าไปแล้ววุ่นวายใจ เรื่องเล็กแค่นั้นก็ไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ถึงคราวที่จะยอมให้คนเต้นกินรำกินได้เงยหน้าอ้าปากหรอก จะเป็นหรือจะตายก็แค่สั่งคำเดียวเท่านั้น จัดการง่ายมาก


เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่คิดถึงก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้ไปก่อนก็เกิดความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ นั่นคือของของตัวเอง


“ลูกสาวข้าจะแต่งงานกับใครซี้ซั้วได้ยังไง ข้าต้องเห็นหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าข่าวลือผิดพลาดขึ้นมาล่ะ ถ้าปากเบี้ยวตาเหล่ขึ้นมาจะทำยังไง?” อิ๋งลั่วหวนปากแข็ง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงแล้ว “หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ให้แต่งงานกับคนของตระกูลอิ๋งจะเหมาะสมเหรอ?”


อิ๋งจิ่วกวงตอบว่า “ถ้าเป็นยามปกติก็ไม่เหมาะเลยจริงๆ ไม่มีเหตุผลที่ลูกสาวหลานสาวของตระกูลอิ๋งจะเป็นฝ่ายไปง้อ ถ้ารู้ไปถึงไหนก็อับอายถึงนั่น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หรูอี้ได้รับความอับอายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต่อที่หน่วยองครักษ์ซ้าย มีแต่ต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อถึงจะเหมาะสมที่สุด ทำแบบนี้เพื่อชีวิตการแต่งงานของหลานสาวตัวเอง ข้าจะได้เอ่ยปากเรื่องนี้กับฝ่าบาทได้สะดวก เมื่อแต่งงานกับผู้หญิงตระกูลอิ๋งแล้ว จะให้อยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายอีกก็จะไม่เหมาะสม ข้าจะได้ถือโอกาสดึงตัวเขาเข้ามาได้สะดวก ชีวิตการแต่งงานของหลานเป็นเรื่องใหญ่ คาดว่าฝ่าบาทคงไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทุกอย่างราบรื่นตามขั้นตอน ไม่มีอะไรไม่เหมาสม”


อิ๋งลั่วหวนประกบฝ่ามือแล้วประสานนิ้วทั้งสิบไว้ตรงหน้าอก รู้สึกค่อนข้างหวั่นไหวแล้วจ คิดไปคิดมาก็พบว่าเหมือนจะเป็นอย่างนี้


พอตัดสินใจได้แล้ว นางก็วางมือลง แล้วหันตัวเดินออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง


อ๋องสวรรค์อิ๋งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วตะโกนบอกว่า “นางหนู เจ้ามีความคิดเห็นยังไงก็บอกมาสักคำสิ!”


อิ๋งลั่วหวนที่เร่งฝีเท้าเดินพูดทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับมา “ข้าจะไปติดต่อกับจ้านผิงสักหน่อย ให้เขาสุภาพเกรงใจเวลาเจอหนิวโหย่วเต๋อ อย่าทำให้ความสัมพันธ์แข็งทื่อ หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกคนหาทางลงไม่ได้ ตอนหลังเจอกันจะได้ไม่อึดอัด”


อ๋องสวรรค์อิ๋งส่ายหน้าอย่างพูดไม่ออก แบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว


จ้านผิง บิดาของจ้านหรูอี้ สามีของอิ๋งลั่วหวน ลูกเขยของอ๋องสวรรค์อิ๋ง และเป็นลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์อิ๋งเช่นกัน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ครอบครัวสามารถเดินไปด้วยกันได้


จ้านผิงติดตามโป๋เยวรองแม่ทัพภาคกองมังกรดำมาที่ดาวหกนิ้วด้วยกัน ถึงแม้จ้านผิงจะมีฐานะพอสมควร แต่เมื่ออยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ก็ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงอะไรได้


คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากท้องฟ้า เหยียบลงนอกประตูใหญ่ของสำนักหกนิ้ว สายตาจ้องไปบนเสาธงในค่ายกลป้องกันพร้อมกัน จ้องมองคนที่โดนแขวนไว้บนนั้นเสาธงนั้น


จ้านหรูอี้โดนแขวนอยู่บนเสาธงเกินหนึ่งวันแล้ว นั่นก็หมายความว่าร้องไห้อย่างเศร้าโศกมาเกินหนึ่งวันแล้วเช่นกัน เสียงแหบพร่าไปหมดแล้ว น้ำตาแห้งเหือดหมดแล้ว แต่กลับยังร้องไห้แบบไร้น้ำตาอยู่บนเสาธง


จ้านผิงเป็นคนที่นิสัยสุขุมอ่อนโยน หน้าตาสุภาพเรียบร้อย คาดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่อ๋องสวรรค์อิ๋งวางใจยกลูกสาวตัวเองให้แต่งงานกับเขา จะได้ไม่ต้องกังวลว่าลูกสาวจะถูกรังแก แต่เมื่อเห็นภาพนี้ของลูกสาวตัวเอง สีหน้าของเขาก็ยังทำให้คนตกใจอยู่บ้าง โกรธจนหน้าเขียว ในดวงตาฉายแววดุร้ายทันที เกิดความคิดอยากจะฆ่าคนแล้วจริงๆ


ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกสาวที่แม้แต่ตัวเองก็ยังทำใจแตะต้องไม่ลงแม้แต่ปลายนิ้ว แต่ตอนนี้โดนทรมานจนยับเยินขนาดนี้ ตัวเองแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าผู้หญิงที่ผมม้วนพันกันยุ่งเหยิง ใบหน้าฟกช้ำดำเขียวที่โดนแขวนอยู่บนนั้นคือลูกสาวแสนสวยของตัวเอง


ลูกน้องสองคนของเขาที่ติดตามมาด้วยก็มีสีหน้าโกรธเคืองเช่นกัน รู้ว่าคุณหนูใหญ่เคราะห์ร้าย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะอนาถขนาดนี้!


ถึงแม้อาศัยจ้านผิงคนเดียวจะสามารถกำจัดทิ้งทั้งธงพยัคฆ์ดำได้ แต่ในความจริงนั้นทำให้จนใจมาก เขายังไม่มีสิทธิ์กำเริบเสิบสานที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้โป๋เยวพาเขามาหรอก เขาเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูของธงพยัคฆ์ดำด้วยซ้ำ เขาไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนกฎระเบียบ แม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งพ่อตาของเขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน!


ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาต้องเก็บสำรวมสีหน้าโกรธแค้น นั่นก็คือเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เขาได้รับข้อความจากฮูหยินอิ๋งลั่วหวน ข้อความนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากสาเหตุบางอย่าง ลูกหลานของตระกูลผู้มีอำนาจไม่อาจสืบทอดทายาทมากกว่านี้ได้แล้ว เขามีลูกสาวเพียงคนเดียว นี่เป็นการนำลูกสาวคนเดียวของตัวเองมาเป็นหมากซื้อใจคน แต่นี่คือการตัดสินใจของอ๋องสวรรค์อิ๋ง เขาไม่มีทางคัดค้านได้ ทำได้เพียงยอมรับมัน


เมื่อสังเกตเห็นว่าโป๋เยวที่อยู่ข้างๆ กำลังสอดแนมปฏิกิริยาของตัวเองอยู่ จ้านผิงก็ถอนหายใจแล้วสงบสติอารมณ์ ย้ายสายตาออกจากเสาธง จ้องมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูใหญ่ โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงกลาง


จำเป็นต้องไว้หน้ารองแม่ทัพภาค ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเองด้วย เหมียวอี้ย่อมต้องนำคนมาต้อนรับด้วยตัวเองอยู่แล้ว


“ข้าน้อยคารวะรองแม่ทัพภาคโป๋!” เหมียวอี้นำคนก้าวขึ้นมาทำความเคารพ ส่วนคนอื่นๆ ที่ตัวเองไม่รู้จัก เหมียวอี้ก็ยังกุมหมัดคารวะตามมารยาทในนามของ ‘เจ้าบ้าน’


ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา พวกนางมองไปที่โป๋เยวด้วยแววตาที่บอกไม่ถูกว่าสื่อความรู้สึกอย่างไร แต่โป๋เยวกลับมีท่าทางจริงจัง


“อืม!” โป๋เยวพยักหน้า ตอนนี้ยังไม่ได้แนะนำจ้านผิงเช่นกัน ไม่สะดวกจะแนะนำเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ถ้าข่าวหลุดไปว่าคนของตระกูลอิ๋งสามารถเข้าออกหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ตามใจชอบก็จะไม่น่าฟังเท่าไร จะทำให้พวกรู้น้องรู้สึกเคลือบแคลงใจได้ง่าย


ด้วยการนำทางของพวกเหมียวอี้ คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในค่ายกลป้องกัน เข้ามาในจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว


พอเข้ามาถึงโถงหลัก โป๋เยวก็ยกมือห้าม บอกใบ้ว่าไม่ต้องรีบนำน้ำชามาวาง “ให้คนอื่นๆ ถอยออกไปก่อน”


เหมียวอี้งงทันที จากนั้นก็หันกลับมาให้สัญญาณเล็กน้อย บอกให้เหยียนซิวที่คุ้มกันอยู่ข้างกายถอยออกไปพร้อมคนอื่นๆ


จ้านผิงเองก็โบกมือ บอกให้ผู้ติดตามทั้งสองออกไปก่อนเช่นกัน เหมียวอี้สังเกตดูฉากนี้แล้ว จ้านผิงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ควรจะปล่อยสาวน้อยลงมาได้แล้วรึยัง?”


สาวน้อย? เหมียวอี้ถามอย่างสงสัย “รองแม่ทัพภาคโป๋ ท่านนี้คือ?”


ในโถงเหลือเพียงพวกเขาสามคน โป๋เยวยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ท่านนี้คือบิดาของจ้านหรูอี้ จ้านผิง ท่านโหวจ้านหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์”


“อ้อ!” เหมียวอี้อึ้งอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าบิดาของจ้านหรูอี้จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง จึงกุมหมัดคารวะ “ที่แท้ท่านโหวจ้านก็ให้เกียรติมาเยือนเอง ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี”


“พอแล้ว! ปล่อยคนลงมาก่อนเถอะ” โป๋เยวกล่าว


เหมียวอี้จึงบอกว่า “รองแม่ทัพภาคโป๋ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากปล่อยนะ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรจากสุนัขบ้า เริ่มตั้งแต่ที่แดนอเวจี นางก็กัดไม่ปล่อยมาตลอด เป็นนางที่เป็นฝ่ายมาท้าทายก่อนตลอด ตามตั้งแต่แดนอเวจีมาถึงจวนแม่ทัพภาคตงหัว แล้วจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ตามมาไปที่กองมังกรดำ แบบนี้ใช่เรื่องเหรอ ตอนนี้ถ้าข้าปล่อยนาง ไม่แน่ว่านางอาจจะมาสู้ตายกับข้าทันทีเลยก็ได้! จะให้ข้านั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกมั้ง!”


นี่เป็นการตำหนิจ้านหรูอี้ต่อหน้าจ้านผิง แต่จ้านผิงยังทำสีหน้าเรียบเฉย อดทนไว้!


“เจ้าตัวโดนเจ้าทรมานจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ปล่อยลงมาก็ไม่มีแรงลงมือหรอก” โป๋เยวกล่าว


เหมียวอี้ยังเถียงต่อว่า “ไม่ช้าก็เร็วที่พลังนางจะฟื้นฟูกลับมา ข้าน้อยไม่คิดว่านางจะยอมหยุดแค่นี้ ถ้านางจองเวรไม่เลิกแบบนี้ต่อไป แล้วเมื่อไรจะจบสักทีล่ะ! ข้ากลัวภูมิหลังของนาง เลยอดทนมาตลอด แต่ถ้านางก็ยังพาลหาเรื่องแบบนี้อีก ในภายหลังข้าน้อยก็จัดการได้ยากมากแล้วจริงๆ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ต่อไปนี้ข้าจะไม่เกรงใจอีกแล้วนะ


โป๋เยวคิดในใจว่า จ้านหรูอี้ยังจะมีหน้าอยู่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อไปได้อีกเหรอ?


จ้านผิงบอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง หลังจากกลับไปครั้งนี้ ข้าจะอบรมสั่งสอนนางให้มากขึ้น” ปล่อยให้ลูกสาวโดนแขวนต่อไป แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในใจเขาก็ทรมาน มิหนำซ้ำเขาก็รู้ดีว่าลูกสาวตัวเองพาลหาเรื่องก่อนจริงๆ เขาไม่กล้าคล้อยตามวิธีการที่ฮูหยินอบรมสั่งสอนลูกสาวจริงๆ แต่ผลของการแต่งงานกับคนที่ฐานะไม่เหมาะสมกันก็คือเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องในครอบครัว คนอื่นมีอนุภรรยาได้หลายคน แต่เขากลับแตะต้องผู้หญิงคนอื่นไม่ได้อีก จากจุดนี้ก็สามารถมองเห็นภาพนวดได้แล้ว


“อย่าให้วุ่นวายอีกเลย ปล่อยคนลงมาเถอะ” โป๋เยวกล่าว


“ก็ได้ขอรับ!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนไม่เต็มใจ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาออกคำสั่ง


ผ่านไปไม่นาน “ฮือๆ…” เสียงร้องไห้ก็ใกล้เข้ามา แต่ไม่เหมือนเสียงคนร้องไห้แล้ว บอกไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไร หอแหบพร่าจนร้องเละเทะไปหมด


จ้านหรูอี้ถูกชวีหย่าหงประคองเข้ามา ไม่ต่างอะไรกับการอุ้มเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างร้องไห้จนแดงก่ำบวมเปล่งจนเหลือแค่ขีดเดียว


โป๋เยวเห็นแล้วปวดประสาท เหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง หญงิสาวที่สวยมากคนหนึ่งโดนทรมานจนกลายสภาพเป็นแบบนี้แล้ว


จ้านผิงรีบก้าวขึ้นไปรับลูกสาวของตัวเอง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบแล้ว ก็ลงมือคลายผนึกบนตัวจ้านหรูอี้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ จ้านหรูอี้ยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ทั้งยังเศร้าโศกจนใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองหวังจะฆ่าตัวตายด้วย แต่โชคดีที่จ้านผิงมือไว ห้ามไว้ได้ทัน


เขาทนมองลูกสาวร้องไห้ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงใช้ฝ่ามือสับที่หลังคอจ้านหรูอี้หนึ่งที ทำให้จ้านหรูอี้สลบไปเสียเลย นางล้มลงในอ้อมกอดของเขา


จ้านหรูอี้ที่ร้องไห้มาหนึ่งวันกว่า ในที่สุดก็หยุดร้องแล้ว


เขาสามารถคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวลูกสาวได้ แต่อารมณ์เศร้าโศกในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่รุกล้ำอยู่บนร่างกายจ้านหรูอี้นั้นรุนแรงเกินไป เหมียวอี้ลงมือหนักเกินไป เป็น ‘ความเศร้าโศก’ ที่กลั่นไว้จำนวนหนึ่งขวด เพียงพอที่จะทำให้จ้านหรูอี้เศร้าโศกจนตายได้


“รองแม่ทัพภาคโป๋ อารมณ์เศร้าโศกบนตัวสาวน้อย เกรงว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนจะกำจัดให้หมดได้ยาก ข้าจึงอยากจะลาหยุดให้สาวน้อยหลายๆ เดือนหน่อย รอให้ร่างกายนางพักฟื้นแล้วค่อยกลับมารายงานตัว ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?” จ้านผิงหันกลับมาถาม


โป๋เยวพยักหน้า จ้านผิงไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บจ้านหรูอี้เข้าในกระเป๋าสัตว์ แต่กล่าวอำลาตรงนั้น ที่นี่ไม่มีอะไรให้น่าอาลัยอาวรณ์


ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้กับโป๋เยวมาส่งพวกจ้านผิงออกนอกประตูใหญ่ด้วยตัวเอง


พอออกจากประตูใหญ่ จ้านผิงก็หันขวับ จ้องมองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกล้ำลึกแวบหนึ่ง ในแววตาล้ำลึกมาก ทำให้คนรู้สึกสยดสยอง


เหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกกลัว กุมหมัดคารวะน้อมส่ง จ้านผิงไม่แยแสไม่สะทกสะท้าน หันหน้าเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


โป๋เยวที่มองส่งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ครั้งนี้เจ้าเล่นแรงเกินไปแล้ว ครั้งนี้คงจะสมปรารถนาเจ้า จ้านหรูอี้คงไม่กลับมาที่กองมังกรดำอีกแล้ว”


นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ! เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดโกหก ตอบตรงๆ เลยว่า “รองแม่ทัพภาคโป๋ ข้าน้อยโดนกดดันจนหมดหนทางแล้วจริงๆ ระหว่างข้ากับนางจะต้องมีสักคนที่ไป ไม่อย่างนั้นสักวันก็คงได้ตายกันไปข้าง ข้าน้อยไม่มีความสามารถที่จะย้ายไป ในภายหลังเกรงว่าจะต้องติดตามนายท่านในระยะยาว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้นางออกไปจากที่นี่”


“เหอะๆ!” โป๋เยวหัวเราะเบาๆ ต้องการจะติดตามเขาในระยะยาวเหรอ เขาชอบฟังคำพูดนี้ เขาวางมือสองข้างบนท้อง ร้องไอ๊หยา เอนกายไปข้างหลังเล็กน้อยมองท้องฟ้า ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “ไปเถอะ ไปได้ก็ดี สงบสุขแล้ว!”


สงบสุขเหรอ? สงบสุขได้ก็แปลกแล้ว


หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้กำลังฝึกฝนอย่างสงบใจ แต่จู่ๆ หยางเจาชิงก็มารายงานว่า มารดาของจ้านหรูอี้มแล้ว บอกว่าต้องการพบผู้บัญชาการใหญ่หนิว


เหมียวอี้ได้ยินแล้วหยุดใช้วิชา เปิดประตูเดินออกมา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “มารดาของจ้านหรูอี้เหรอ? ลูกสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง? นางมาหาข้าทำไม? อยากจะล้างแค้นแทนลูกสาวเหรอ?”


หยางเจาชิงส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ คงไม่ถึงขั้นล้างแค้นกระมัง ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะกล้าหาญกว่านี้ แต่ก็คงไม่กล้ามาก่อเรื่องล้างแค้นที่กองทัพองครักษ์”


“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นมารดาของจ้านหรูอี้?” เหมียวอี้ถาม


“ไม่สามารถยืนยันได้ ทหารยามแค่ส่งข่าวมา เห็นแผ่นหยกคำสั่งขุนนางแล้ว คาดว่าคงปลอมไม่ได้ ตอนนี้นางถูกดักไว้ที่ท้องฟ้าด้านนอกขอรับ” หยางเจาชิงตอบ


เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิด หลังจากแววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก็บอกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป บอกแค่ว่าข้ายุ่งมาก ใช่ว่าอยาจะพบแล้วพบได้ ไม่มีทางยืนยันตัวตนของนางได้ ไม่พบ!”


บทที่ 1380 ไปดูตัว

เรื่องบางเรื่องสามารถจินตนาการได้ ต่อให้จะไม่กล้ามาก่อเรื่องล้างแค้นที่กองทัพองครักษ์ แต่การที่จ้านฮูหยินถ่อมาถึงนี่ก็คงไม่ได้มาเพื่อขอบคุณเขาแน่นอน เป็นไปได้สูงว่าจะมาขู่คุกคาม แล้วเขาจำเป็นจะต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเหรอ? ย่อมไม่ให้เข้าพบอยู่แล้ว


“อะไรนะ? ไม่ยอมพบเหรอ? พวกเจ้าไม่ได้บอกหนิวโหย่วเต๋อเหรอว่าข้าคือใคร?”


ในดาราจักร อิ๋งลั่วหวนที่โดนขวางไว้รับแจ้งว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพบตน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่พบตน จึงถามด้วยความรู้สึกตกตะลึงมาก


ที่จริงทหารแลวที่ดักนางไว้ก็รู้สึกกดดันมาก นี่ลูกสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งเชียวนะ ทั้งใต้หล้านับว่าเป็นลูกหลานของผู้มีอำนาจได้ จึงตอบอย่างสุภาพเกรงใจว่า “จ้านฮูหยินขอรับ ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้ว ว่าพวกเราไม่มีทางยืนยันตัวตนของท่านได้ คนที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ก็ไม่อาจให้เข้าพบ!”


อิ๋งลั่วหวนตะคอกว่า “เหลวไหลสิ้นดี! แผ่นหยกคำสั่งอยู่นี่แล้วไง ทำไมยังยืนยันตัวตนไม่ได้อีก?” นางโบกแผ่นหยกในมือขณะที่พูด


“ตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกของท่าน ที่ฝั่งพวกเราไม่มีใครเคยเห็นสักคน และหาอะไรมามาเทียบไม่ได้ด้วยขอรับ ไม่มีทางตรวจสอบได้!” ทหารเลวกล่าว


“…” อิ๋งลั่วหวนพูดไม่ออก สงสัยจะเป็นเพราะระดับคำสั่งของตนสูงเกินไป คำสั่งของนางราชันสวรรค์เป็นผู้ประทับให้โดยตรง คนระดับล่างยังไม่มีทางยืนยันได้


ลูกน้องสิบกว่าคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังนางก็อึ้งเช่นกัน แต่ก็สามารถเข้าใจได้ ธงพยัคฆ์ดำเล็กๆ ที่อยู่ใต้สังกัดหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้จริงๆ


อิ๋งลั่วหวนบอกอีกว่า “งั้นเจ้าให้หนิวโหย่วเต๋อออกมาพบข้าก็ได้”


ทหารเลวตอบว่า “ท่านให้เกียรติข้าน้อยแล้วจริงๆ ข้าน้อยจะมีสิทธิ์อะไรเรียกให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปนั่นมาที่ ผู้บัญชาการใหญ่งานยุ่งมากขอรับ”


อิ๋งลั่วหวนเดือดดาลทันที นางลดศักดิ์ศรีถ่อมาไกลเพื่อพบผู้บัญชาการใหญ่เล็กๆ คนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ให้เข้าพบ ไม่น่าเชื่อว่าจะอ้างเรื่องงานยุ่งมาปฏิเสธนางอย่างขอไปที จึงตะคอกบอกว่า “ไปบอกหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ ให้เขาโผล่หัวออกมา ไม่อ่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าบุกเข้าไปโดยตรง!”


พอกล่าวคำพูดนี้ออกมา ก็อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ลูกน้องที่ติดตามนางตกใจก่อนใคร แม่นมชราคนหนึ่งรีบก้าวขึ้นมาถ่ายทอดเสียงห้าม “ฮูหยิน ไม่ได้เด็ดขาด คนนอกจะบุกเข้าฐานประจำการของกองทัพองครักษ์ไมได้ หาเกิดเรื่องขึ้น แม้แต่อ๋องสวรรค์ก็จะปกป้องท่านไม่ได้เช่นกัน”


กลุ่มทหารยามของธงพยัคฆ์ดำมองหน้ากันเลิกลั่ก ทหารเลวยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “จ้านฮูหยิน ท่านเลิกทำให้พวกเราลำบากใจได้แล้ว ท่านคิดหาทางยืนยันตัวตนของท่านก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นต่อให้ท่านฆ่าพวกเรา พวกเราก็ไม่กล้าปล่อยท่านไปอยู่ดี”


อิ๋งลั่วหวนพูดไปเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้น นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าการที่คนนอกบุกเข้าไปในฐานประจำการของหน่วยองครักษ์ซ้ายนั้นหมายความว่าอย่างไร ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่นางจะรับผิดชอบไหว ถ้าตระกูลอิ๋งอยากจะปกป้องนาง ก็ต้องแลกด้วยความชอกช้ำใจแน่นอน เพียงแต่อาศัยฐานะของนางก็ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนขวางไว้ นางรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ ต่อให้เป็นวังสวรรค์ ปกติแค่นางรายงานก็สามารถเข้าไปได้แล้ว ธงพยัคฆ์ดำเล็กๆ นี่ถือว่าตัวเองเป็นใครกัน


แต่กฎก็คือกฎ กฎบางอย่างไม่สามารถเลยเถิดได้


สุดท้ายก็ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ อิ๋งลั่วหวนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจ้านผิงผู้เป็นสามี ให้เขาคิดหาทาง


จ้านผิงเกลี้ยกล่อมไม่ให้วุ่นวายแล้ว แต่นางไม่ยอม ถ้าวันนี้เข้าไม่ได้แม้แต่ธงพยัคฆ์ดำเล็กๆ ตัวเองก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว


จ้านผิงก็ไม่มีทางเหมือนกัน เรื่องนี้ต่อให้อ๋องสวรรค์อิ๋งเกลี้ยกล่อมก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้เดิมทีอ๋องสวรรค์อิ๋งก็จงใจจะส่งเสริมอยู่แล้ว เขาจึงทำได้เพียงติดต่อกับคนรู้จักในหน่วยองครักษ์ซ้าย นั่นก็คือผู้ตรวจการอวี่จ้งเจินแห่งทัพเป่ยโต้ว


พออวี่จ้งเจินของหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ยินว่าอิ๋งลั่วหวนไปหาเหมียวอี้ ก็รู้สึกตกใจมาก ยังนึกว่าอิ๋งลั่วหวนจะไปล้างแค้นให้ลูกสาว จึงเตือนตระกูลอิ๋งว่าอย่ากำเริบเสิบสาน อย่าทำซี้ซั้ว


จ้านผิงบอกว่า ฮูหยินของตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่อง แต่ของบางอย่างบนตัวลูกสาวยังอยู่ในมือเหมียวอี้ ฮูหยินของตัวเองแค่ถือโอกาสไปเอากลับมาก็เท่านั้น


หลังจากบอกแบบนี้แล้ว ก็ได้รับการรับประกันซ้ำๆ อวี่จ้งเจินถึงได้บอกกำลังพลเบื้องล่าง โป๋เยวจึงติดต่อเหมียวอี้ได้อย่างรวดเร็ว


เหมียวอี้ที่ได้รับแจ้งเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในสวน ปากก็พึมพำด่าแล้ว “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น มีแม่แบบไหนก็ให้กำเนิดลูกแบบนั้น คาดว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งนั่นก็คงไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน มารดาเจ้าเถอะ สองแม่ลูกสันดานเดียวกัน อาศัยอำนาจที่สูงทะลุฟ้าแล้วเจ๋งนักรึไง? คิดว่าข้ากลัวพวกเจ้างั้นเหรอ ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ปล่อยเข้ามา ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะกล้าทำอะไร!”


คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่ข้างๆ อกสั่นขวัญแขวน หยางชิ่งเหลือบมองเฟยหงที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยจิตใต้สำนึก พบว่าช่วงนี้เหมียวอี้มักจะพูดจาตามอำเภอใจต่อหน้าเฟยหงบ่อยๆ ขนาดรู้ถึงเบื้องหลังของเฟยหงก็ยังกล้าพูดแบบนี้ ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา อย่าบอกนะว่า…


คนสิบกว่าคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า คนอื่นๆ ถูกกันไว้นอกค่ายกลป้องกันทั้งหมด ทหารยามให้แค่อิ๋งลั่วหวนกับแม่นมเข้ามา


พอเดินเข้ามาในค่ายกลป้องกัน อิ๋งลั่วหวนก็เหลือบมองธงพยัคฆ์ดำที่ปลิวสะบัดรับลมอยู่เบื้องสูงโดยจิตใต้สำนึก ได้ยินว่าลูกสาวตัวเองโดนแขวนไว้บนนั้น พอหันกลับมาแล้วไม่เห็นเหมียวอี้เดินออกมาต้อนรับตน จึงถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้าล่ะ?”


“ผู้บัญชาการใหญ่กำลังรออยู่ในจวนขอรับ” หยางเจาชิงตอบพร้อมรอยยิ้ม


อิ๋งลั่วหวนแสยะยิ้ม “ช่างวางมาดเก่งนักนะ”ความประทับใจที่มีต่อท่านขุนนางเหมียวยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว


ในลานบ้าน เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง ด้านซ้ายและขวามีลูกน้องแบ่งยืนเรียงเป็นรูปตัวอักษร ‘八’ ตั้งใจเรียกคนที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำหลายสิบคนมาแสดงพลังอำนาจ วางมาดที่โอ่อ่าให้อิ๋งลั่วหวนดูก่อน จะแสดงลักษณะอ่อนแอฝ่ายตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าตัวเองกลัวนางไม่ได้


เมื่อเห็นอิ๋งลั่วหวนเข้ามาแล้ว บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เดินลงมาอย่างมีพลังอำนาจราวกับเสือมังกรเบื้องย่าง แล้วกุมหมัดคารวะ “ท่านนี้คงจะเป็นจ้านฮูหยินสินะ ก่อนหน้านี้มีหลายอย่างที่ไม่รู้ ถ้ามีจุดไหนล่วงเกินก็หวังว่าจะอภัยให้!”


ตอนแรกที่เดินเข้ามาประตูมา อิ๋งลั่วหวนก็สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร แต่พอเห็นตัวเหมียวอี้แล้ว คิ้วดกดำก็เลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาที่สังเกตเห็นได้ยากเป็นประกายนิดหน่อย ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของท่านขุนนางเหมียวจะไม่นับว่าดีมาก ไม่ถือว่ามีสติปัญญาความรู้แต่ชอบอิสระอะไร และไม่ใช่ประเภทท่วงท่าสง่างามด้วย แต่ลักษณะความเป็นลูกผู้ชายกลับสะดุดตามาก ห้าวหาญทระนงองอาจ รูปร่างสูงสง่า ใบหน้าเด็ดเดี่ยว


ในสายตาของอิ๋งลั่วหวน ก็เรียกได้ว่าถูกตาต้องใจ!


“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งลั่วหวนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับว่าความโกรธหายไปในทันทีที่เห็นเหมียวอี้ ทั้งยังมีท่าทีค่อนข้างเสียมารยาท เหลือบมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า แล้วก็เดินวนรอบตัวรอบหนึ่ง วนรอบเหมียวอี้พร้อมสำรวจศีรษะจดเท้า


เหมียวอี้หันซ้ายหันขวาวิ่งตาม ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไร รู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองขายเนื้อตอนเด็กๆ กำลังถือมีดเลือกว่าจะเชือดตัวไหน เขาจึงถามว่า “เป็นข้าน้อยเองขอรับ ไม่ทราบว่าจ้านฮูหยินมาที่นี่เพราะมีอะไรจะชี้แนะขอรับ?”


โป๋เยวได้เปิดเผยให้เขารู้แล้ว บอกว่าจะมาเอาของของจ้านหรูอี้ แต่หยางชิ่งไม่เชื่อเลย บอกเหมียวอี้ไว้ว่า ของเล็กน้อยบนตัวจ้านหรูอี้คงไม่มีค่าพอให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาด้วยตัวเอง


อิ๋งลั่วหวนยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าเจือด้วยรอยยิ้มแล้ว กำลังจ้องมองใบหน้าของเหมียวอี้ตรงๆ มุมปากยกยิ้มหยอกล้อ


เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกผ่านแล้ว ท่าทีที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินไปของเหมียวอี้ก็ทำให้นางพอใจเช่นกัน โดยทั่วไปเวลาคนระดับนี้เจอนางก็จะตัวสั่นหวาดกลัว แต่เหมียวอี้ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มาก่อน นางไม่ค่อยพอใจที่จ้านผิงอ่อนโยนและเชื่อฟังนางเกินไป รู้สึกว่าขาดลักษณะของความเป็นลูกผู้ชาย ถึงแม้จะรู้ว่าจ้านผิงทำแบบนี้เพราะบิดาของนาง แต่แบบนี้ก็อาจจะขาดเสน่ห์ของชีวิตคู่สามีภรรยา ภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนางไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ แต่ถ้าขาดเสน่ห์ของชีวิตคู่แบบสามีภรรยา ชีวิตก็ไม่มีความหมายแล้ว


จากมุมมองของนางในตอนนี้ จู่ๆ ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรกับการที่ลูกสาวโดนเจ้าเด็กนี่รังแกจนกลายเป็นแบบนั้น ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นศัตรูกัน ในภายหลังถ้าเป็นสามีภรรยากันก็ย่อมไม่ต่อสู้เข่นฆ่ากันอีกแล้ว ต่อไปนี้จะมีคนที่คอยสยบลูกสาวที่ดื้อด้านของตัวเองแล้ว ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขเหมือนสามีภรรยาทั่วไป


กอปรกับเหมียวอี้อายุยังน้อยแต่มีฝีมือยอดเยี่ยม มี ‘มีผลงานอันรุ่งโรจน์’ นางพอใจกับตัวเลือกที่จะมาเป็นลูกเขยในคนนี้มาก แต่ควรจะลบคำว่า ‘อนาคต’ ทิ้งสิถึงจะถูก เพราะในสายตานางตอนนี้ ในเมื่อนางถูกใจแล้ว ก็แสดงว่าเหมียวอี้กลายเป็นคนในครอบครัวนางแล้ว วิ่งหนีไม่พ้นเงื้อมมือของนางหรอก


“ถึงแม้เจ้าจะปล่อยลูกสาวข้าไปแล้ว แต่ของบนตัวลูกสาวข้ากลับอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจจะมาเอาคืน” อิ๋งลั่วหวนยิ้มอย่างสนิทสนม


เหมียวอี้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นำกำไลเก็บสมบัติของจ้านหรูอี้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อยให้ลอยไปตรงหน้าอีกฝ่าย “ของของลูกสาวท่านอยู่ในนี้หมดแล้ว”


นอกจากเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งของผู้หญิง ก็เป็นสิ่งของที่ใช้ในตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์ของจ้านหรูอี้ ส่วนของอย่างอื่นเหมียวอี้เก็บกวาดไปหมดแล้ว เขาไม่มีทางคืนให้


อิ๋งลั่วหวนโบกมือ เก็บกำไลของจ้านหรูอี้เอาไว้ทันที ไม่แม้แต่จะมอง แต่กลับมองสภาพแวดล้อมภายในลานบ้าน “เจ้ารับแขกแบบนี้เหรอ? เสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า?”


ดูจากเจตนาของนางแล้ว ก็เหมือนจะอยากอยู่ดื่มน้ำชาคุยกันต่อ เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะอยู่เป็นเพื่อน และยิ่งไม่อยากให้นางพูดถึงเรื่องจ้านหรูอี้ด้วย จึงยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “หนิวคนนี้ยังมีงานต้องทำ ต้องออกไปลาดตระเวนที่เหมืองแร่ มีคำสั่งของเบื้อบนติดตัว ข้าไม่บังอาจฝ่าฝืน ข้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว รองผู้บัญชาการใหญ่ชวี เจ้าต้องรับแขกให้ดีๆ นะ!”


“รับทราบ!” ชวีหย่าหงก้าวขึ้นมาเอ่ยรับคำสั่ง


“ขออภัยที่ต้องขอตัวก่อน!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทิ้งแขกเอาไว้แล้วนำลูกน้องเดินก้าวยาวออกไป


อิ๋งลั่วหวนหันตัวมองตาม ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร แต่กลับหัวเราะคิกคักพลางพึมพำว่า “น่าสนใจทีเดียว”


ให้ความรู้สึกเหมือนแม่ยายที่ยิ่งมองลูกเขยก็ยิ่งถูกตาต้องใจ นิสัยไม่ดีบนตัวคนทั่วไปที่สามารถทำให้นางโกรธได้ จู่ๆ นางก็มองข้ามไปแล้ว


“จ้านฮูหยิน เชิญ!” ชวีหย่าหงก้าวขึ้นมาเชิญให้นางตามตัวเองไป


“ช่างเถอะ! เจ้าบ้านไม่ได้ตั้งใจจะรับแขก จะอยู่ต่อให้ตัวเองโดนเมินทำไม พวกเราไปกันเถอะ!” อิ๋งลั่วหวนกวักมือเรียก แล้วนำแม่นมชราจากไปด้วยกัน เดิมทีนางมาที่นี่ก็เพื่อจะดูหน้าตาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้รู้สึกพอใจมาก นับว่ามีแผนการในใจแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไม่สู้กลับไปรีบจัดการธุระต่อดีกว่า


เหมียวอี้ติดงานเสียที่ไหนกัน รอจนกระทั่งนางไปแล้ว เขาก็ย่อมกลับมาอีกครั้ง


“อ้อ! อิ๋งลั่วหวนนางหนูนั่นก็ไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ? ไปทำอะไรแล้ว?”


บนบันไดสูงตรงประตูของตำหนักดาราจักร ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลังพร้อมเอ่ยถาม


ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกายตอบว่า “จะว่าไปแล้วก็แปลกเหมือนกัน ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร แค่ไปทวงของของลูกสาวที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้วก็ไปเลย ไม่เห็นนางโวยวายใส่ ท่าทีดูเหมือนอ่อนโยนมาก”


“เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่านางคิดจะทำอะไร นางไปดูตัวแล้ว คาดว่าคงอยากเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร” ประมุขชิงพูดหยอก


“หา!” ซือหม่าเวิ่นเทียนถามอย่างตะกตะลึง “นางไปดูตัวหรือขอรับ? หรือว่านางกับจ้านผิงมีปัญหาอะไรกัน?”


ประมุขชิงตอบว่า “ไปช่วยดูตัวให้ลูกสาวนาง! ก่อนหน้านี้อิ๋งจิ่วกวงมาแล้ว บอกว่าหลานสาวเขาได้รับความอับอายจากหนิวโหย่วเต๋อ แต่งงานกับคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว หวังให้ข้าประทานงานแต่งงานให้พวกเขาสองคน!”


บทที่ 1381 เหนือความคาดหมาย

Ink Stone_Fantasy

“เอ่อ…” ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จ้านหรูอี้คือคนที่ประมุขชิงเลือกไว้ว่าจะให้เข้าวัง ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทตอบตกลงแล้วหรือขอรับ?”


ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอว่า “พวกเขาก็แค่ชอบกำลังแฝงของหนิวโหย่วเต๋อก็เท่านั้น อยากจะใช้วิธีแต่งงานเพื่อดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฐานะไม่เหมาะสมกัน เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงไม่แม้แต่จะพิจารณาด้วยซ้ำ อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานเอ่ยปากเพื่อเรื่องแบบนี้ ข้าไม่มีทางตอบตกลงหรอก แต่ก็มาสะดวกจะปฏิเสธ ผลักเรื่องนี้ไปให้โพ่จวิน ตราบใดที่อิ๋งจิ่วกวงสามารถโน้มน้าวให้โพ่จวินปล่อยคนมาจากหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปห้ามเหมือนกัน”


ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจแล้ว แบบนี้เท่ากับเปลี่ยนวิธีการปฏิเสธแล้ว ฝ่าบาทแอบบอกแบบนี้ โพ่จวินจะตอบตกลงได้ก็แปลกแล้ว จึงถามอีกว่า “หลังจากจ้านหรูอี้หายดีแล้ว เกรงว่าจะไม่มีหน้ากลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายอีกแล้ว”


ประมุขชิงเดินลงบันได “อิ๋งจิ่วกวงเอ่ยปากแล้ว เอ่ยเรื่องย้ายจ้านหรูอี้ออกมาแล้ว หน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ใช่ที่ที่จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจเช่นกัน ก็อย่างที่บอกไว้ รอให้เขาโน้มน้ามโพ่จวินได้แล้วค่อยว่ากัน”


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายเดือน ในจวนท่านโหวจ้านผิง ประตูห้องสมาธิเปิดออกแล้ว


จ้านผิงที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในศาลาด้านนอกหันขวับ เห็นเพียงอิ๋งลั่วหวนกับแม่นมชราเดินออกมาด้วยกัน ทั้งสองยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก


จ้านหรูอี้หายกลับมาเป็นปกติเหมือนตอนแรกแล้ว ก้มหน้าตามหลังทั้งสองเดินออกมา สวมชุดสีขาวเรียบร้อย


จ้านผิงถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้ว่าลูกสาวรักษาตัวหายดีแล้ว


ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน คนหลายคนผัดกันลงมือกำจัดพิษ ถึงได้กำจัด ‘อารมณ์โศกเศร้า’ ออกจากร่างกายจ้านหรูอี้จนหมด และโชคดีที่เป็น ‘อารมณ์โศกเศร้า’ ล้วนๆ ถ้ามีทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มันก็จะอาศัยร่างกายเพื่อบำรุงเลี้ยงกันและกันไม่หยุด มันจะลุกลามไม่หยุด แบบนั้นเวลาจะกำจัดก็ยุ่งยากมากจริงๆ


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ จ้านหรูอี้ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนที่วรยุทธ์สูงเพียงพอคอยช่วย เหมียวอี้ปล่อยพิษในร่างกายนางมากขนาดนั้นในรวดเร็ว ก็เพียงพอที่จะทำให้จ้านหรูอี้เศร้าโศกจนตรอมใจตายได้ ไม่มีทางประคับประคองได้นานเลย


อิ๋งลั่วหวนกับแม่นมชราเหนื่อยแล้ว จำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย อิ๋งลั่วหวนหันกลับมามองลูกสาวที่มีท่าทางหงอยเหงาเศร้าสร้อยแวบหนึ่ง แล้วก็หันมาส่งสายตาให้จ้านผิง บอกใบ้ให้อบรมสั่งสอนนิดหน่อย กลัวว่าลูกสาวจะทนรับความอัปยศนี้ไม่ไหวแล้วก้าวข้ามความรู้สึกผิดไม่ได้


จ้านผิงพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว


อิ๋งลั่วหวนกับแม่นมชราดึงร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปพักผ่อนฟื้นฟูแล้ว


จ้านผิงเดินมาข้างกายจ้านหรูอี้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หรูอี้ ไปเดินเล่นกับพ่อหน่อย เราว่าคุยกันหน่อยเถอะ”


จ้านหรูอี้ก้มหน้าไม่พูดอะไร เดินตามอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ หลังจากโดนเหมียวอี้จับเป็นไป ถึงแม้นางจะโดนขังอยู่ในอารมณ์เศร้าโศก แต่นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงขนาดนี้ เรียกได้ว่ากระทบกระเทือนทางจิตใจไม่น้อย ร้ายแรงยิ่งกว่าตอนที่เหมียวอี้โจมตีนางทวนเดียวจนสาหัสเป็นร้อยเป็นพันเท่า


ไปหาเรื่องด้วยความมั่นใจเต็มที่ แต่กลับโดนเหมียวอี้จัดการราวกับเล่นกับเด็กคนหนึ่ง หลังจากออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบในครั้งนี้ นางก็ได้สติแล้วเช่นกัน ถ้าจะบอกว่าในปีนั้นเหมียวอี้ฆ่านางไม่ได้เพราะลูกน้องมาช่วยและพาหนีได้ทันเวลา เช่นนั้นครั้งนี้ก็ล้วนเป็นเพราะภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนางล้วนๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่เหมียวอี้จะไม่ฆ่านาง


พ่อกับลูกสาวเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวน จ้านผิงมองดูลูกสาวที่เงียบสงบผิดปกตอ จึงถามเบาๆ ว่า “ต่อไปนี้คิดจะทำอะไรต่อล่ะ?”


จ้านหรูอี้ส่ายหน้าช้าๆ


จ้านผิงหยุดฝีเท้า ยกมือกดไหล่สองข้างของนาง ยืนตรงข้ามกับนางแล้วบอกว่า “เงยหน้ามองพ่อหน่อย”


จ้านหรูอี้ยังคงส่ายหน้า


จู่ๆ จ้านผิงก็ตะคอกว่า “เงยหน้าขึ้นมา!”


เสียงดุดันกะทันหันทำให้จ้านหรูอี้ตกใจ นางเงยหน้ามองบิดาอย่างตะลึงงัน เบิกตากว้างมองเขา ตั้งแต่เด็กจนโตบิดาแทบจะไม่เคยใช้น้ำเสียงหนักๆ แบบนี้พูดกับนางเลย


“ยังอยากจะกลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายอีกมั้ย?” จ้านผิงถาม


ในที่สุดจ้านหรูอี้ก็พูดแล้ว แต่ดวงตาก็แดงแล้วเช่นกัน “ลูกคงจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งใต้หล้าแล้ว ยังจะมีหน้ากลับไปอีกเหรอ?”


จ้านผิงจึงบอกว่า “มีคนว่าพ่อตอนที่บอกแต่งงานกับแม่เจ้า บอกว่าเป็นแค่การพึ่งพาผู้มีอิทธิพล ทำไปเพื่อนาคตที่ดี ทิ้งศักดิ์ศรีลูกผู้ชายลดตัวไปเกาะชายกระโปรงผู้หญิง จากที่เจ้าพูดมา พ่อยังจะมีหน้าไปเจอใครอีกมั้ย หลายปีมานี้พ่อไม่ใช่พวกเอาชีวิตรอดไปวันโดยไร้ความหมายหรอกเหรอ?”


จ้านหรูอี้ประหลาดใจ มองบิดาอย่างทำใจเชื่อได้ยาก นึกไม่ถึงว่าบิดาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา นางตกตะลึงนิดหน่อย


พอจ้านผิงเห็นนางมีอารมณ์อย่างอื่นแทรกเข้ามา ก็ใช้ฝ่ามือลูบใบหน้ารูปไข่ของนาง “หรูอี้ ความโชคดีโชคร้าย ความมีเกียรติและเสื่อมเกียรติน่ะ ที่จริงเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งในชีวิตอันแสนยาวนานของพ่อเท่านั้น ในอดีตท่านตาของเจ้าก็เคยก้ามข้ามออกมาจากความอัปยศ พ่อเองก็เคยเอาตัวรอดไปวันๆ หนิวโหย่วเต๋อนั่นก็เคยได้รับความอัปยศต่างๆ นาๆ จนต้องหดหัว ครั้งนี้ที่เจ้าโดนแขวนไว้บนเสาธง ก็นับเป็นเรื่องอัปยศเรื่องหนึ่งเช่นกัน แต่ความอัปยศพวกนี้สำคัญจริงเหรอ? มันร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดจริงเหรอ? ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองสายหนึ่ง บางคนไม่มีกางเกงใส่ เปลือยท่อนล่างเดินผ่านถนน เจ้าเดาสิว่าคนอื่นจะมองเขายังไง?”


จ้านหรูอี้ตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าบิดาที่สุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนมาตลอดจะพูดแบบนี้ออกมาได้ นางตอบว่า “ก็ย่อมถูกคนหัวเราะเยาะอยู่แล้ว”


จ้านผิงพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว! แต่ก็แค่หัวเราะเยาะนิดหน่อยเท่านั้นเอง รอจนเขาเดินผ่านไปแล้ว อย่างมากคนอื่นๆ ที่อยู่บนถนนก็นำมาเป็นเรื่องให้พูดคุยเพียงรอบเดียวเท่านั้น จากนั้นต่างคนก็ต่างยุ่งกับงานของตัวเอง ทุกคนล้วนมีชีวิตของตัวเอง คนเปลือยร่างที่เดินผ่านไปคนนั้นที่จริงไม่ได้สำคัญอะไรกับคนอื่นเลย ความสำคัญเทียบกับชีวิตของตัวเองไม่ติด และสำหรับคนที่เปลือยกายคนนั้น ถ้าเขาไม่มองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ก็ย่อมไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ถ้าเขารู้สึกว่าออกไปข้างนอกแล้วเสียหน้าเพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าให้ดี นั่นก็เป็นเพียงความมีเกียรติและความเสื่อมเสียที่เขารู้สึกไปเองเท่านั้น ในความเป็นจริงเขาสำคัญในสายตาคนอื่นเหรอ? ถ้าเขาทนรับกับสายตาคนอื่นไม่ได้ นั่นก็เพียงเพราะว่าคนอื่นกำลังมองเขา ที่จริงเขาไม่ได้สำคัญในสายตาคนอื่นเลยจริงๆ แค่มองเฉยๆ เท่านั้น หรูอี้ ตัดภูมิหลังชาติกำเนิดของเจ้าทิ้งไป เจ้าก็มีอารมณ์สุขสันต์โศกเศร้าไม่ต่างกับคนทั่วไป ที่เจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติหรือเสื่อมเกียรติ นั่นก็เป็นเพราะเจ้ามองว่าตัวเองสำคัญเกินไป ที่จริงในสายตาคนอื่น เจ้าไม่ได้สำคัญมากขนาดที่ตัวเองจินตนาการไว้เลย สำหรับคนที่เปลือยกายเดินถนนคนนั้น บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าเป็นแค่เรื่องน่าอับอายเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง หรูอี้ ถ้าตอนนั้นเจ้าบังเอิญเห็นฉากนี้บนถนนพอดี  ในใจของคนที่ดูอยู่ข้างๆ อย่างเจ้าจะรู้สึกอับอายอย่างลึกซึ้งเหมือนเจ้าตัวจริงๆ เหรอ? หรูอี้ เจ้าตั้งใจตอบคำถามนี้ในใจตัวเองให้ดีเถอะ”


จ้านหรูอี้ตั้งใจตอบในใจจริงๆ แน่นอนว่าคำตอบก็คือไม่ ถึงขั้นว่าผ่านไปอีกประเดี๋ยวหลังจากนางทำธุระของตัวเองแล้ว นางก็ไม่คิดถึงคนคนนั้นอีกแล้วด้วยซ้ำ


เมื่อเห็นว่านางเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จ้านผิงก็พูดต่อว่า “ความมีเกียรติและเสื่อมเกียรติอยู่เพียงในใจคนเท่านั้น ความมีเกียรติและเสื่อมเกียรติของเจ้าไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของคนอื่น ถึงขั้นอยากจะยึดครองเวลาของคนอื่นหนึ่งวัน จะให้คนอื่นนึกถึงเรื่องนี้ทั้งวันก็ยังเป็นไปได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้น่ากลัวน่ากังวลและสำคัญอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้เลย”


จ้านหรูอี้เป็นฝ่ายถามหยั่งเชิงก่อนว่า “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่า อยากจะให้ข้ากลับไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอีกครั้งเหรอ?”


“ข้าแค่อยากจะถามเจ้า ครั้งนี้เจ้าหาเรื่องสร้างความอับอายให้ตัวเอง เจ้าผิดไปแล้วหรือเปล่า?” จ้านผิงถาม


“ลูกผิดไปแล้ว” จ้านหรูอี้พยักหน้า


จ้านผิงจึงบอกว่า “รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว รู้ว่าผิดก็ต้องถ่อมตัวและยอมรับฟังข้อคิดเห็นของคนอื่น รู้ว่าผิดก็ต้องแก้ไขให้ดีขึ้น ต้องรู้จักเข็ดหลาบ เรียนรู้จากความผิดพลาด ความพ่ายแพ้หนักๆ สักครั้งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ นี่เป็นเพียงประสบการณ์ในชีวิตของเจ้า และเป็นราคาที่ทุกคนต้องแลกสำหรับการเติบโต ไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครที่ไม่เคยผ่านความพ่ายแพ้หรอก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสงบจิตสงบใจ เผชิญหน้ากับทุกเรื่องโดยโยนภูมิหลังชาติกำเนิดของตัวเองทิ้งไป ล้มตรงไหนก็ลุกขึ้นมาจากตรงนั้น หรูอี้ จำไว้นะ ภูมิหลังชาติกำเนิดเป็นเพียงต้นทุนไว้ให้เจ้าใช้ประโยชน์เท่านั้น เป็นแค่ข้อดีที่เจ้ามีมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น เป็นแค่ความได้เปรียบของเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของเจ้าแน่นอน ไม่อย่างนั้นเมื่อเจ้าไปอยู่ในจุดที่ไม่ต้องใช้ภูมิหลังวงศ์ตระกูล มันก็จะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ต้องเรียนรู้ว่าอย่าตาบอดอวดดี! ถ้าเจ้าไม่มีทางลืมความอัปยศที่เจ้าได้รับครั้งนี้จริงๆจริงๆ ก็จดจำเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อเผชิญเรื่องอะไรก็เตือนสติตัวเองไว้ทุกครั้ง…พอแล้ว พ่อพูดไปมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเกลี้ยกล่อมเจ้าได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าก็จะคิดได้เอง แต่ถ้าเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่ได้ ต่อให้พูดมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เจ้าไปตั้งใจคิดดูให้ดีๆ”


พูดจบก็หันตัวเดินออกไป แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เงาร่างก็หยุดชะงัก หันหลังพูดว่า “หรูอี้ เคารพในสิ่งที่ตัวเองเลือก ถ้าสิ่งที่ตัวเองเลือกผิดพลาด การต้องจ่ายค่าตอบแทนก็คือสิ่งที่สมควร แต่ถ้าเจ้าต้องต่ายค่าตอบแทนเพราะสิ่งที่คนอื่นช่วยเลือกให้ แบบนั้นไม่คุ้มค่า!”


จ้านหรูอี้งุนงง ไม่เข้าใจว่าบิดาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร รู้สึกงุนงงนิดหน่อย


ทว่าสุดท้ายจ้านหรูอี้ก็ยังไปแล้ว นางกลับไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอีกครั้งในวันถัดมา


หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง กองมังกรดำก็เรียกจ้านหรูอี้ไปสอบถาม บอกว่าเบื้องบนฝากมาถาม ว่านางยินดีจะออกจากหน่วยองครักษ์ซ้ายหรือไม่ ถ้ายินดีจะออกไป ก็จะปล่อยนางออกไป แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะตัดสินใจแน่วแน่ว่าไม่ไป


จากนั้นอิ๋งจิ่วกวงก็เรียกจ้านผิงกับภรรยาไป หลังจากตำหนิไปยกหนึ่ง ก็ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะโน้มน้าวโพ่จวินได้ ให้โพ่จวินยอมผ่อนปรน แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะไม่ยอมออกไปเอง ครั้งนี้โพ่จวินก็ยิ่งมีเหตุผลที่จะเพิกเฉยต่ออ๋องสวรรค์อิ๋งแล้ว


อิ๋งลั่วหวนร้อนใจแล้ว ไปเกลี้ยกล่อมที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วยตัวเอง แต่ผลปรากฏว่าจะเป็นจะตายจ้านหรูอี้ก็ไม่ยอมไป สุดท้ายพอลูกสาวหลบ นางกลับถูกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินเชิญให้ออกไป


อิ๋งลั่วหวนจัดการไม่ไหวแล้ว ปลุกปั่นให้จ้านผิงให้ไปเกลี้ยกล่อมอีก แต่จ้านผิงเพียงบอกปัดอย่างขอไปที เขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงโน้มน้าวลูกสาวไปแบบนั้น นั่นก็คือให้โอกาสลูกสาวเลือกเอง ไม่อยากให้ลูกสาวกลายเป็นเครื่องมือในการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายถึงแม้บางครั้งจะทำให้คนรำคาญ แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ ว่าเป็นเพราะระดับความแข็งกร้าวของโพ่จวิน ในบางระดับหน่วยองครักษ์ซ้ายก็เป็นที่สำหรับหลบเลี่ยงเรื่องราวต่างๆ ได้จริง


และทางหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ให้ความสนใจสถานการณ์ของจ้านหรูอี้ตอนอยู่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินถึงขีดสุด


สถานการณ์เหนือความคาดหมายของคนจำนวนมาก


ในตำหนักใหญ่ของกองมังกรดำ โป๋เยวรายงานเนี่ยอู๋เซี่ยวว่า “จากการเฝ้าสังเกตในระยะนี้ ถึงแม้ธงพยัคฆ์น้ำเงินจะแอบไม่พอใจจ้านหรูอี้มาก แต่จ้านหรูอี้เหมือนจะไม่มองว่าเรื่องที่ได้รับความอับอายเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถ่อมตัวลง ไม่หยิ่งยโสเหมือนก่อนหน้านี้อีก สื่อสารกับพี่น้องกำลังพลเบื้องล่างบ่อยๆ ฟังความเห็นของกำลังพลเบื้องล่างอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็กล่าวขออภัยต่อหน้าฝูงชน ขออภัยต่อหน้าฝูงชนบ่อยมาก แสดงให้เห็นว่านางผิดไปแล้ว ทำให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเสียหน้าอับอายแล้ว ไม่ว่านางจะไปที่ไหนก็ล้วนขอร้องให้กำลังพลเบื้องล่างให้อภัย พวกลูกน้องจึงให้โอกาสนางอีกครั้ง อาศัยภูมิหลังฐานะของนางแล้วลดศักดิ์ศรีแบบนี้ได้ ก็ทำให้นางได้เปรียบมาก ได้รับความรู้สึกดีจากคนส่วนใหญ่ ไม่นานข่าวลือทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินก็สงบลงแล้ว ธงพยัคฆ์น้ำเงินเหมือนจะมีแรงสามัคคียิ่งกว่าเมื่อก่อน…”


“…” หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวฟังจบแล้ว ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออก หลังจากพูดไม่ออกอยู่นาน ก็กล่าวอย่างตกตะลึง “คนทั่วไปคงจะทำอย่างนางไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่านาง…สงสัยจะดูถูกความสามารถแฝงของลูกหลานผู้มีอำนาจไม่ได้แล้ว หัวจิตหัวใจแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด ไม่แปลกใจที่ตระกูลอิ๋งสามารถอยู่ในตำแหน่งสูงได้!” เขากันกลับมาถามอีกว่า “นางเตรียมจะไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋ออีกหรือเปล่า?”


โป๋เยวส่ายหน้าบอกว่า “ตอนนี้ยังมองไม่เห็นเค้าล้างในด้านนี้เลย ตอนนี้เหมือนนางจะทุ่มเทกำลังความคิดทั้งหมดไปที่งานของธงพยัคฆ์น้ำเงิน”


ตำหนักดาราจักร ขุนนางกำลังรายงานเหตุการณ์แบบตัวต่อตัว


หลังจากผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายรายงานแล้ว ก็บอกเรื่องของจ้านหรูอี้ให้ฟังเล็กน้อย สุดท้ายก็เหมือนจะกล่าวชมว่า “นางหนูตระกูลจ้านนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน”


ก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงจ้านหรูอี้ เขาก็จะเรียกว่านางหนูตระกูลอิ๋ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเรียกว่านางหนูตระกูลจ้านแล้ว


ประมุขชิงวางมือข้างหนึ่งบนโต๊ะยาว ใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ กำลังหรี่ตาครุ่นคิดถึงคำพูดของโพ่จวิน บนใบหน้าค่อยๆ เผยความรู้สึกสนใจขึ้นมาทีละนิด สุดท้ายแววตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ แล้วพึมพำว่า “เป็นนางหนูที่น่าสนใจ ข้าชอบ ดูเหมือนครั้งนี้เฉิงอวี่จะมีคู่แข่งจริงๆ แล้ว”


โพ่จวินเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพึมพำ จึงถามว่า “ฝ่าบาทพูดว่าอะไรนะขอรับ?”


ประมุขชิงได้สติกลับมา รู้จักนิสัยเจ้าอารมณ์ของตาแก่คนนี้ ถ้ามีอะไรไม่ถูกก็จะว่าเขาให้หาทางลงไม่ได้ มีหรือที่จะบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย จึงโบกมือบอกว่า “ไม่มีอะไร เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”


“ขอรับ!” โพ่จวินกุมหมัดกล่าวอำลา แต่พอเดินมาถึงประตูตำหนักก็พลันหันกลับไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาได้ยินสิ่งที่ประมุขชิงพึมพำบ้างนิดหน่อย เพียงแต่ไม่กล้าแน่ใจว่าเป็นความหมายอย่างที่ตัวเองได้ยินหรือเปล่า


บทที่ 1382 พระปีศาจหนานโป

Ink Stone_Fantasy

ส่วนทางเหมียวอี้ก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกันว่าจ้านหรูอี้กลับมาที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว กำลังให้ความสนใจในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน การต้องให้ความสนใจอยู่ตลอดนั้นค่อนข้างยากลำบาก ตอนนนี้ไม่ง่ายเลยที่ธงพยัคฆ์ดำจะสืบข่าวที่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ครั้งก่อนเหมียวอี้ไม่ได้จัดการแค่จ้านหรูอี้เท่านั้น การจับผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแขวนไว้บนธงพยัคฆ์ดำ ก็เหมือนเป็นการล่วงเกินทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินแบบยับเยินมากแล้ว


แต่ธงพยัคฆ์น้ำเงินก็อยู่ในอำนาจควบคุมของโป๋เยวเช่นกัน ข้างกายเหมียวอี้มัดชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนเอาไว้ การสืบข่าวจากโป๋เยวผ่านทั้งสองก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร


หลังจากได้รู้ถึงการกระทำต่างๆ เมื่อจ้านหรูอี้กลับมาที่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน กลุ่มคนตำแหน่งสูงของธงพยัคฆ์ดำก็รวมตัวกันประชุม พวกเขาต่างก็รู้สึกกดดัน ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้จะใช้วิธีการอะไรและเคลื่อนไหวล้างแค้นเมื่อไร


ในตำหนักใหญ่ของสำนักหกนิ้วปรับปรุงซ่อมแซมใหม่แล้ว ในตำหนักยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายใหม่เอี่ยม เหมียวอี้นั่งอยู่เบื้องบน สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่?”


ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็เดาไม่ออก ทุกคนนึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะหน้าหนาหน้าทนขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังเป็นหยางชิ่งที่กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ไม่มีอะไรนอกจากรวบรวมพลังใหม่หลังจากพ่ายแพ่ ส่วนในตอนหลังจะล้างแค้นอย่างไร ก็ยังต้องจับตาดูขอรับ”


พูดแล้วก็เท่ากับไม่ได้พูด เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะพึมพำด่าว่า “มารดานางเถอะ ถ้ารู้แต่แรกคงพยายามคิดหาข้ออ้างฆ่านางไปแล้ว”


ตอนนี้เขาเสียใจจริงๆ ที่ปล่อยให้จ้านหรูอี้รอดชีวิตกลับไป เดิมทีรู้สึกว่าด้วยนิสัยหยิ่งผยองอวดดีอย่างจ้านหรูอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าคงจะไม่มีหน้าที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ต่อให้สามารถอดทนกับความอัปยศอดสูได้ แต่ก็ไม่มีหน้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วแน่นอน ตราบใดที่จ้านหรูอี้ออกจากหน่วยองครักษ์ซ้ายไปแล้ว ก็จะสร้างภัยคุกคามต่อเขาได้ยากแล้ว ถึงแม้หน่วยองครักษ์ซ้ายจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร แต่หนังเสือที่เอาไว้ขู่คนก็แข็งแกร่งเพียงพอ อำนาจอิทธิพลนอกหน่วยงานที่กล้าแตะต้องกำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้ายมีไม่เยอะ


แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะ! จ้านหรูอี้ไม่ใช่แค่ยังอยู่ดีมีสุข นอกจากจะไม่ทำให้คู่แค้นอย่างเขาเห็นคนอื่นหัวเราะเยาะแล้ว ยังมีหน้ากลับมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อด้วย ราวกับก่อนชหน้านี้ไม่เคยได้รับความอัปยศมาก่อนเลย ทั้งยังถ่อมตัวไปขอโทษทั่วทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วย ทำให้แผนของเขาล้มเหลวโดนสิ้นเชิง ให้ความรู้สึกเหมือนชกหมัดลงบนดอกฝ้าย


เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้จริงๆ และการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบโหดหินของจ้านหรูอี้กับทำให้เหมียวอี้หวาดระแวงกลัว อย่างไรเสียอาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลของจ้านหรูอี้ ทรัพยากรที่สามารถระดมโยกย้ายได้มีเยอะเกินไป


ในขณะนี้เอ สวีถังหรานที่หยิบระฆังดาราขึ้นมารับข่าวสารต่อหน้าทุกคนทำสีหน้าประหลาดใจปนตกตะลึง แล้วรีบรายงานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จ้านหรูอี้มาแล้ว ขอพอผู้บัญชาการใหญ่ขอรับ!”


ทุกคนในตำหนักอึ้งไปชั่วขณะ เหมียวอี้พลันลุกขึ้นยืน แล้วแสยะยิ้มถามว่า “นางจะมาทำอะไรอีก? พากำลังพลมาด้วยเท่าไร?”


สวีถังหรานตอบด้วยสีหน้าฉงนว่า “นางพาผู้ติดตามมาเพียงสองคนขอรับ บอกว่าจะมาขอโทษผู้บัญชาการใหญ่”


“ขอโทษเหรอ?” เหมียวอี้เหม่องง คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็เหม่อค้างเช่นกัน


“ผู้บัญชาการใหญ่ จะพบหรือไม่พบขอรับ?” สวีถังหรานถาม


เหมียวอี้ได้สติกลับมา ตอบว่า “นึกว่าข้ากลัวรึไง ถ้านางกล้าก่อเรื่องอีก ครั้งนี้ข้าก็จะฉวยโอกาสกำจัดนาง ปล่อยนางเข้ามา” เขาสงสัยว่าจ้านหรูอี้อาจจะสังเกตเห็นแล้วว่าของของตัวเองไม่ครบ จึงมาเพื่อทวงของคืน แต่เขาไม่คืนแน่นอน


จ้านหรูอี้มาแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พอเข้ามาในค่ายกลป้องกันแล้ว นางก็จ้องมองเสาธงพยัคฆ์ดำสูงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตามคนนำทางขึ้นไปที่ตำหนักใหญ่บนยอดเขา


เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักและกุมหมัดคารวะให้แขกที่มา ยิ้มอย่างฝืนใจพร้อมถามว่า “จ้านคนสวย ไม่ทราบว่ามาที่นี่เพราะมีอะไรจะชี้แนะ?”


เหยียนซิวป้องกันอย่างเข้มงวดแน่นหนามาก คอยระวังอยู่ข้างกายเหมียวอี้ จ้องมองปฏิกิริยาของจ้านหรูอี้อย่างไม่ละสายตา


“ให้แขกยืนคุยหน้าประตู อย่าบอกนะว่านี่คือวิธีการรับแขกของธงพยัคฆ์ดำ?” จ้านหรูอี้กล่าวในขณะที่ยิ้มอย่างสุขุม


“มีเรื่องอะไรก็คุยข้างนอกให้ชัดเจนไปเลยแล้วกัน ตำหนักใหญ่เพิ่งจะซ่อมแซมเสร็จ” เหมียวอี้ตอบ


จ้านหรูอี้ก็เหมือนจะไม่ถือสาเช่นกัน ปล่อยให้เหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องสูง แล้วตัวเองก็กุมหมัดคารวะด้วยท่าทางจริงจัง “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะขอโทษพี่หนิว ครั้งนก่อนที่มาหาเรื่องเป็นข้าเองที่ผิด ถ้ามีจุดไหนที่ทำให้พี่หนิวไม่พอใจ ก็หวังว่าพี่หนิวจะใจกว้าง อย่าถือสาผู้หญิงความรู้น้อยคนหนึ่งอย่างข้า”


เหมียวอี้กลุ้มใจแล้ว สายตาเหลือบมองคนที่อยู่รอบข้าง ผู้หญิงคนนี้กล่าวขอโทษตนต่อหน้าฝูงชนจริงเหรอ นางกำลังเล่นบ้าอะไรของนาง?


ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่โดนแขวนอยู่บนเสาธงให้ได้รับความอัปยศอดสู ต่อให้จะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้แต่ก็จะหดหัวแอบฝึกฝนพลัง เพื่อรอล้างแค้นในวันข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่โดนขู่คุกคามใดๆ เขาก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายมาขอโทษก่อนแน่นอน แบบนี้ต้องใช้ความกล้าหาญมากเท่าไรกัน หรือว่ามีแผนลับอะไรหรือเปล่า?


หยางชิ่งและคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าจ้านหรูอี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ละคนจ้องจ้านหรูอี้ด้วยสีหน้าสงสัย


เหมียวอี้อดไม่ดที่จะพูดหยั่งเชิงว่า “ข้าไม่ชอบคำขอโทษปากเปล่า ต้องมอบของขวัญขอโทษสิ ทำให้สอดคล้องกับความจริงสักหน่อยดีกว่า”


“พี่หนิวได้ของจากข้าไปก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อย่าบอกนะว่ายังไม่เพียงพอที่จะแสดงความจริงใจในการขอโทษ?” จ้านหรูอี้ถาม


เหมียวอี้ไม่อยากพูดถึงเรื่องของของนางอีกแล้ว “เรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า เจ้าบอกมาตรงๆ เลย ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”


จ้านหรูอี้ตอบว่า “พี่หนิวไม่ต้องคิดมาก ข้ามาเพื่อขอโทษจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายแน่นอน จ้านคนนี้ยอมรับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่หนิว แพ้ด้วยความยินดี ในภายหลังหวังว่าพี่หนิวจะเห็นแก่ที่ข้าเป็นเพื่อนร่วมงานของกองมังกรดำ แนะนำและสนับสนุนกันมากๆ หน่อย ถ้าพบว่าจ้านทำอะไรไม่ถูกก็ช่วยชี้แนะตักเตือนมากๆ หน่อย จ้านยินดีร่วมงานกับพี่หนิวด้วยความจริงใจ”


ยิ่งนางแสดงท่าทีที่จริงใจมากเท่าไร พวกเหมียวอี้กลับยิ่งสงสัยหนักขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่จ้านหรูอี้จากไปในวันนั้น ฝั่งธงพยัคฆ์ดำล้วนตึงเครียดหวาดกลัว ป้องกันการล้างแค้นจากฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงิน


รสชาติของการเตรียมพร้อมป้องกันในระยะยาวนั้นลำบากมาก เหมียวอี้ถึงขั้นเรียกรวมกำลังพลมาปรึกษากันว่าต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบหรือไม่ แต่ถ้าอยากจะกำจัดจ้านหรูอี้ที่มีกำลังพลคุ้มกันอยู่จำนวนมากโดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต่อให้แอบจัดการเงียบๆ เหมียวอี้ก็มีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัยสูงมาก


ผลปรากฏว่า พอจ้านหรูอี้มาขอโทษอย่าง ‘จริงใจ’ ครั้งเดียว กลับกลายเป็นความทรมานที่ทำให้ฝ่ายเหมียวอี้หวาดระแวงสงสัย ยุ่งยากกว่าตอนที่จ้านหรูอี้มาหาเรื่องถึงที่ในครั้งแรกเยอะมาก…


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วห้าปี ภารกิจเฝ้าประจำการที่นี่ก็ใกล้จะจบลงแล้ว ใกล้จะส่งต่องานให้กำลังพลท้องถิ่น ทว่าจู่ๆ ก็มีอีกเรื่องหนึ่งเข้ามา เรื่องนี้จึงเบี่ยงเบนความสนใจของเหมียวอี้แล้ว จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดที่จากกันไปหลายปีก็ส่งข่าวมาหาเขา


เหมียวอี้ถามเพียงว่า : ช่วงนี้ไต้ซือเป็นอย่างไรบ้าง?


ศีลเจ็ดตอบเขาเพียงว่า : พระปีศาจหนานโป


นี่เป็นคำพูดที่ไม่มีหัวไม่มีหาง ทั้งยังเหมือนจะตอบอย่างฉุกละหุกมากด้วย เหมือนส่งข่าวให้เขาภายใต้สถานการณ์คับขัน จากนั้นก็ไม่ส่งข่าวอะไรมาอีก ไม่ว่าเหมียวอี้จะติดต่ออย่างไร ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ


คำพูดของไต้ซือศีลเจ็ดราวกับทิ้งปริศนาอย่างหนึ่งเอาไว้ เหมียวอี้คิดจนหัวแทบแตกแต่ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จากคำพูดที่ไต้ซือศีลเจ็ดทิ้งเอาไว้ เขาตัดสินได้ว่าน่าจะหมายถึงคนคนหนึ่ง


พระปีศาจหนานโปเป็นใคร?เหมียวอี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน คิดคนเดียวแล้วไม่เข้าใจ ถึงได้เรียกพวกลูกน้องคนสนิทมาถาม


“พระปีศาจหนานโป…” ขณะที่พวกหยางชิ่งพากันส่ายหน้าบอกว่าไม่เข้าใจ จู่ๆ สวีถังหรานก็พึมพำว่า “เหมือนจะเคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน”


สายตาของทุกคนในโถงจ้องมาอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ที่ใจทันที พบว่าคนที่อยู่พิภพใหญ่มานานที่สุดจะได้ยินอะไรมากว้างกว่า จริงๆ ถึงได้ถามว่า “เป็นใครกัน?”


สวีถังหรานกล่าวลังเลว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาแว่วๆ น่าจะนับเป็นคนที่เก่าแก่มากคนหนึ่ง เหมือนจะตายไปนานมากแล้ว เป็นบุคคลตั้งแต่สมัยก่อนที่โจรกบฏหกลัทธิจะครองดาราจักร ได้ยินว่าตอนนั้นดาราจักรวุ่นวายจลาจล แดนฝึกตนยังไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยใดๆ พระปีศาจหนานโปคนนี้เหมือนจะเป็นผู้ที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ส่วนรายละเอียดว่าเป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน เป็นเพราะเวลาห่างกันนานเกินไป คงจะไม่มีใครเอ่ยถึงคนประเภทนี้อีก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่นายท่านเอ่ยถึงใช่เขาหรือเปล่า จู่ๆ นายท่านถามถึงพระปีศาจหนานโปทำไมเหรอ?”


เหมียวอี้ไม่สนใจเรื่องนี้ ถามเพียงว่า “พระปีศาจหนานโปคนนี้ตายไปแล้วเหรอ?”


สวีถังหรานตอบว่า “เมื่อก่อนเคยได้ยินมาครั้งเดียว ได้ยินว่าตายไปแล้ว ส่วนรายละเอียดเป็นยังไง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะตายไปแล้วมั้ง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะเงียบสงบนานขนาดนี้โดยไม่ปรากฏชื่อ”


พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งแปลกใจ ถ้าหากตายไปแล้ว จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดจะเอ่ยถึงชื่อคนคนนี้ทำไม? ไม่มีทางที่จะเอ่ยถึงคนคนนี้โดยไม่มีสาเหตุแน่นอน ไต้ซือศีลเจ็ดไปตามหาศีลแปด ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว จู่ๆ ก็โผล่มาพูดแบบนี้ นั่นก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจหนานโปจะเกี่ยวข้องอะไรกับศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดก็จะต้องพบปัญหาอุปสรรคอะไรแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งคำพูดที่ไร้หัวไร้หางแบบนี้ไว้แล้วขาดการติดต่อ เห็นได้ชัดว่าส่งข่าวมาตอนที่รีบเร่ง


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้นี้ ‘พระปีศาจหนานโป’ ที่ไต้ซือศีลเจ็ดเอ่ยถึงคงจะเป็นกุญแจสำคัญ จึงถามอีกว่า “สวีถังหราน เจ้าคิดว่าใครน่าจะรู้เรื่องพระปีศาจหนานโปค่อนข้างดี?”


“ก็ย่อมต้องเป็นคนที่อายุมากอยู่แล้ว คนที่อยู่มาหลายยุคก็น่าจะยิ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์” สวีถังหรานตอบกลั้วหัวเราะ


เหมียวอี้เอามือตบหน้าผาก เป็นตัวเองที่เลอะเลือนไป จากนั้นกำชับพวกเขาทันทีว่า “จำไว้นะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ห้ามบอกใคร รวมทั้งคนในครอบครัวพวกเจ้าด้วย”


“ขอรับ!” พวกลูกน้องเอ่ยรับ แล้วเหมียวอี้ก็รีบเดินไปที่ตำหนักหลัง


คนในโถงมองหน้ากันเลิกลั่ก หยางชิ่งขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะสืบเรื่องของคนที่ตายไปนานขนาดนั้นแล้วทำไม คนที่ตายไปนานจนแทบจะทำให้คนลืมแล้ว เขาไม่รู้ว่าบนตัวเหมียวอี้ซ่อนความลับไว้มากขนาดไหนกันแน่


เหมียวอี้ที่กลับมาถึงลานบ้านด้านหลังเดินตรงเข้าไปเก็บตัวในห้องสมาธิ อ้างว่าเก็บตัวฝึกฝน แต่ความจริงกำลังติดต่อแดนอเวจี


ตอนที่จินม่านได้รับข้อความจากเหมียวอี้ นางก็กำลังอยู่ในห้องสมาธิเช่นกัน พอได้ยินชื่อ ‘พระปีศาจหนานโป’ ก็เรียกได้ว่าขนพองสยองเกล้า รีบถามว่า :  ประมุขปราชญ์ ท่านถามถึงเขาทำไมเหรอ?


เหมียวอี้ : เจ้าไม่รู้จักคนคนนี้เหรอ?


จินม่าน : รู้จักนิดหน่อยค่ะ


เหมียวอี้ : เจ้าเคยเจอมั้ย?


จินม่าน : ไม่เคยเจอ แต่อดีตประมุขปราชญ์หกลัทธิรู้จักเขาดีมาก


เหมียวอี้ : งั้นก็บอกสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับ ‘พระปีศาจหนานโป’ มาให้ข้าฟัง


บนใบหน้าจินม่านฉายแววหวาดกลัวอยู่ตลอด ถามกลับว่า : พระปีศาจหนานโปปรากฏตัวอีกครั้งแล้วใช่มั้ย?


เหมียวอี้ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตกใจ ถามกลับเช่นกันว่า : พระปีศาจหนานโปยังไม่ตายเหรอ?


จินม่าน : ข้าไม่รู้ว่าตายหรือยังไม่ตายกันแน่ แต่ถ้าพูดตามปกติแล้ว พระปีศาจหนานโปไม่น่าจะปรากฏตัวได้อีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)