ลำนำบุปผาพิษ 1375-1381

บทที่ 1375 เผ่นหนีไป!


เป็นเด็กน้อยที่ขาวอวบเหมือนก้อนแป้ง อายุดูราวหกเจ็ดขวบ เครื่องหน้าหมดจดพริ้มเพรา หว่างคิ้วมีไฝชาดรูปเปลวเพลิงอยู่ ตัวเล็กนุ่มนิ่มดึงดูดให้คนเอ็นดูอย่างยิ่ง


เมื่อก่อนมันชอบมุดอยู่ในกองผ้านวมของกู้ซีจิ่ว ต่อมากู้ซีจิ่วออกเรือน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้ายึดครองเตียงของเจ้านายมัน ไม่อนุญาตให้มันเข้าใกล้อีก


นี่ยังพอว่า อย่างไรก็ตามเนื่องจากตอนกลางวันทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะตัวติดกับเจ้าของมันอยู่ตลอด มันจึงไม่มีโอกาสมุดเข้าแขนเสื้อของเจ้านายเลย ถึงขั้นที่ไม่อาจเข้าใกล้เจ้านายได้ด้วยซ้ำ เนื่องจากทุกครั้งที่มันออดอ้อนขายความน่ารักให้เจ้านายก็จะถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซัดจนปลิว บอกว่ามันขนเยอะ ขนจะร่วง…


นี่ทำให้ลู่อู๋น้อยขุ่นเคืองยิ่งนัก ทว่าไม่กล้าแสดงอาการออกมา ภายใต้ความขุ่นเคืองมันจึงมุมานะฝึกฝนอย่างสุดชีวิต ฝึกฝนจนเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ในปีที่เจ็ด…


มันรู้ว่าเจ้านายชมชอบเด็กน้อยน่ารัก ดังนั้นร่างมันมนุษย์ที่มันแปลงออกมาจึงมีรูปลักษณ์เป็นเด็กน้อย มาดหมายให้เจ้านายโอบอุ้มอีกครั้ง กอดมันตอนกลางคืนอีก…


ผลคือเมื่อเจ้านายเห็นร่างหนูน้อยของมันก็ปรีดายิ่งนักจริงๆ ไม่เพียงแต่บีบแขนขาป้อมๆ ของมันอยู่หลายคราเท่านั้น ยังจุมพิตพวงแก้มนุ่มนิ่มทีหนึ่งด้วย ขณะที่ลู่อู๋น้อยกำลังรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ทวงคืนความเอื้อเอ็นดูจากเจ้านายได้แล้ว ผลคือเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับมาถึง ได้เห็นรูปลักษณ์น่าเอ็นดูของมัน…


เขาจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยชมเชยสองประโยคอย่างที่เห็นได้ยากนัก ลูบหัวมัน จากนั้นก็มอบกำไลเงินลวดลายโบราณที่ดูมีอารยธรรมยิ่งนักคู่หนึ่งให้มันเป็นรางวัล ลู่อู๋น้อยสวมใส่อย่างดีใจยิ่งนัก จากนั้นก็วิ่งไปโอ้อวดต่อหน้าอีกสองตัว  ทำให้สองตัวนั้นอิจฉาจนน้ำลายหก แล้วจึงวิ่งไปอวดเบื้องหน้าเจ้านายต่อ กู้ซีจิ่วสนใจกำไลเงินคู่นี้ของมันยิ่งนัก ให้มันถอดออกมาให้ชม ผลคือยามที่มันจะถอดถึงพบว่าถอดไม่ออก…


กำไลเงินสองวงนั้นเหมือนงอกออกมาจากแขนอวบป้อมหมือนรากบัวนั้น ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็ถอดไม่ออก อีกทั้งยิ่งถอดก็ยิ่งแน่น รัดจนมันอยากร้องไห้


เจ้านายก็ก้าวเข้ามาช่วย ผลคือพอเจ้านายแตะถูกแขนมัน มันก็กลับสู่ร่างเดินทันที!


และกำไลเงินสองวงนั้นก็ติดอยู่ในขาหน้าของมัน


ลู่อู๋น้อยโกรธแล้ว พลันขยายร่างให้เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก คิดจะทำให้กำลังปริแตกหรือไม่ก็ทำให้มันหลุดออกไปเอง ผลคือกำไลคู่นี้เป็นกำไลดั่งใจนึก สามารถยืดหดได้ตามขนาดร่างกายมัน…


ในที่สุดลู่อู๋น้อยก็เข้าใจแล้วว่ากำไลนี้จะติดหนึบอยู่กับมัน! แถมมันยังมีคุณสมบัติอยู่อีกข้อ หากว่ามันแปลงร่างเป็นมนุษย์ ไม่สัมผัสถูกตัวเจ้านายสักเท่าไหร่ก็ยังพอว่า ทว่าเมื่อสัมผัสถูกตัว มันจะกลับสู่ร่างเดิม ไม่อาจแปลงร่างได้เป็นเวลาสองชั่วยาม…


ลู่อู๋น้อยรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนหลงกลแผนร้ายของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าแล้ว ดังนั้นจึงพุ่งไปขอคำอธิบายจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทันที คนที่ผูกกระพรวนย่อมต้องแก้กระพรวนได้ มันต้องการให้เขาเอากำไลเวรตะไลคู่นี้คืนไป มันไม่อยากได้แล้ว! ผลคือเมื่อมันบอกกล่าวเหตุผลของตนอย่างเป็นคุ้งเป็นแควจนจบ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มองมันเพิ่มอีกแวบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบปลอกคอที่ส่องแสงวาววามอันหนึ่งออกมาอีก กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ที่ข้ายังมีปลอกคอดั่งใจนึกอยู่อีกอัน เด็กชายอย่างเจ้าน่ารักยิ่งนัก ถ้าสวมปลอกคอนี้เข้าไปต้องมีสีสันขึ้นไม่น้อยแน่นอน มาสิ ข้าจะสวมให้เจ้าเอง”


จากนั้น…จากนั้นลู่อู๋น้อยก็เผ่นหนีไปด้วยน้ำตานอง!


ส่วนกำไลสองวงนั้น ขอเพียงมันไม่ไปงัดแงะไม่ไปสนใจ ก็จะเป็นเครื่องประดับอยู่บนข้อมือของมันอย่างสงบ


ตอนนี้เนื่องจากต้องไปแล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคล้ายต้องการเก็บข้าวของบางอย่าง ดังนั้นจึงแยกตัวไปครู่หนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ลู่อู๋น้อยถึงเข้าใกล้กู้ซีจิ่วได้ แน่นอนว่ามันทำได้เพียงยืนพูดคุยอยู่ข้างตัวเธอเท่านั้น สัมผัสตัวไม่ได้


————————————————————————————-


บทที่ 1376 สถานที่แห่งนี้ยังคงต้องรื้อทิ้ง!


ลู่อู๋น้อยชอบสวมชุดแดง ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงทำเสื้อคลุมสีแดงตัวเล็กๆ นี้ให้ ดูราวกับเทพนาจาในภาพวาดก็มิปาน


กู้ซีจิ่วเดินภายในห้องรอบหนึ่ง เก็บข้าวของที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเข้ามิติเก็บของหมดแล้ว


ตอนที่ออกไปจากที่นี่ได้ก็ปรารถนาจะออกไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ยามนี้พอต้องจากไปจริงๆ แล้ว กลับรู้สึกใจหาย


ขณะที่เธอกำลังยืนยืนใจลอยอยู่กลางเรือน ตี้ฝูอีเข้ามาจากด้านหลัง มองดวงหน้าน้อยๆ ของเธอ “เป็นอะไรไป?”


กู้ซีจิ่วซบอกเขา “หักใจไม่ลงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นบ้านที่พวกเราอาศัยอยู่ถึงแปดปี…” มีความทรงจำของเขากับเธอมากมาย


ตี้ฝูอีก็พินิจดูรอบข้างเช่นกัน เขาไม่ได้เก็บทุกเรื่องราวมาใส่ใจ ย่อมมีหลายอย่างที่ไม่เข้าตาเขาเช่นกัน ชีวิตนี้เขาพักอาศัยอยู่ในสถานที่นับไม่ถ้วน อลังการหรูหราเช่นใดล้วนมีหมด ลักษณะเช่นใดล้วนมีทั้งสิ้น แต่ลักษณะเรียบง่ายปานนี้แบบที่นี่ยังคงเป็นที่แรก


ต่อให้เป็นเรือนที่โอ่อ่าหรูหราสักเพียงใดถ้าเขาบอกว่าจะรื้อก็คือรื้อ ไม่มีปวดใจเลยสักนิด แต่กับที่นี่เขาหักใจไม่ลงอยู่บ้าง…


ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับนางมาแปดปีเชียว!


เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยกับกู้ซีจิ่ว “สถานที่แห่งนี้ยังคงต้องรื้อทิ้ง!”


กู้ซีจิ่วมีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “หือ? ทำไมต้องทำลายล่ะ?” เธอหักใจไม่ลง! ในเรือนนี้มีข้าวของที่เธอกับเขาทำขึ้นด้วยตัวเองตั้งมากมาย อย่างเช่นภาพฝาผนังเอย บานหน้าต่างเอย…


ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “ข้าไม่อยากให้ใครหน้าไหนเข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้ต่อ!”


เมื่อพวกเขาจากไป เรือนนี้จะต้องถูกคนที่เหลืออยู่เข้าครอบครองเป็นแน่ เขารับไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้คนอื่นมาอาศัยอยู่ในรังรักของเขา


กู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจความคิดเขาดี จึงไม่ขัดขวางเขา เธอก็ไม่อยากเหมือนกัน…


ด้วยเหตุนี้ ตี้ฝูอีจึงรื้อเรือนนี้เสีย


เขารื้อเรือนได้ว่องไวนัก สะบัดแขนเสื้อไม่กี่ที เรือนหลังนั้นก็ราวกับถูกพายุพัดกระหน่ำหายไปจากจุดเดิม มองไม่เห็นอีกต่อไป


….


ไม่ว่าจะหักใจหากไปลงหรือไม่ก็ล้วนต้องจากไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ทั้งเก้าคนที่ต้องจากไปจึงมารวมตัวกัน


กู้ซีจิ่วพาสัตว์เลี้ยงทั้งสามของตนขึ้นไปบนต้นไม้ยักษ์พร้อมกับทุกคน ตรงขึ้นไปบนส่วนยอด จากนั้นก็ร่ายคาถาเบิกทางตามที่ตี้ฝูอีสอนไว้…


ฟากฟ้าเหนือยอดไม้ที่เดิมทีปิดผนึกไว้อย่างหนาแน่นคล้ายถูกบางสิ่งสั่นคลอน เริ่มสั่นไหวขึ้นมา ค่อยๆ ปริออกเป็นรอยแยก


ทั้งเก้าคนมุดออกไปจากช่องที่ปริออกอย่างต่อเนื่องตามลำดับ…


เงาร่างของคนทั้งเก้าเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว โจวเทียนชื่อที่แอบตามหลังทั้งเก้าคนมา เมื่อเห็นเก้าคนนั้นออกไปได้ เขาพลันตัดสินใจกระโจนตามขึ้นไปเช่นกัน ทะยานร่างขึ้นไป กริยาเหมือนเก้าคนนั้นทุกประการ ทว่ายามที่กำลังจะสัมผัสถูกช่องนั้น ก็ถูกพลังประหลาดสายหนึ่งดีดกลับลงมา!


พลังที่ปรากฏออกมาอย่างลึกลับนั้นมหาศาลยิ่ง ยามที่เขาร่วงลงมาชนกิ่งไม้นับไม่ถ้วนจนหัก กิ่งไม้บางส่วนปักเข้าไปในร่างเขาอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ทำให้เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เมื่อคนที่อยู่ด้านล่างพบเห็นเขา ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยกิ่งไม้ ราวกับเม่นตัวหนึ่ง


ยามนี้หมอในหมู่บ้านมีเพียงเล่อเสี่ยวถงผู้เดียว หลายปีมานี้กู้ซีจิ่วถ่ายทอดความรู้ทางการแพทย์ให้เล่อเสี่ยวถงไปไม่น้อย เล่อเสี่ยวถงก็เรียนได้ดี ยามนี้ถึงแม้วิชาแพทย์ของนางจะสู้กู้ซีจิ่วไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นหมอที่มีฝีมือยิ่งนักแล้ว รับมือกับแผลอักเสบได้ดียิ่ง


เมื่อก่อนโจวเทียนชื่อไม่อยากให้ภรรยาตนเรียนวิชาแพทย์ เนื่องจากการเรียนวิชาแพทย์จะต้องแตะเนื้อต้องตัวกับบุรุษคนอื่น ต่อมาเขาตัดสินใจว่าจะทิ้งนางเพื่อออกไป จึงไม่แยแสนางอีก ถึงแม้ยามเห็นนางตรวจอาการให้คนอื่นเขาจะรู้สึกอัดอัดยิ่งนัก แต่เขาก็กัดฟันทำให้ตัวเองเคยชินเสีย ทำให้ตัวเองไม่แยแส…


บัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัส แต่คนยังคงมีสติอยู่ ถูกสหายแบกไปหาเล่อเสี่ยวถง


บทที่ 1377 ทว่าไม่อาจหวนกลับไปได้แล้ว…


หลังจากเล่อเสี่ยวถงเลิกรากับเขาก็ย้ายเรือนทันที ตอนนี้อาศัยอยู่ที่โรงหมอ


เมื่อได้เห็นภรรยาที่เคยอยู่ร่วมกันในวันวานอีกครั้ง หัวใจเขาก็เต้นแรงเล็กน้อย ทั้งอับอายทั้งค่อนข้างคาดหวัง…


เขาคิดว่านางเคยรักเขาถึงเพียงนั้น สตรีที่คอยล้างเท้าให้เขาบีบนวดให้เขาอยู่ทุกวันเมื่อเห็นเขาบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้จะต้องปวดใจเป็นแน่ ในอดีตเมื่อเขากลับบ้านมาต่อให้บนแขนเป็นถลอกเล็กๆ นางก็จะกระวนกระวายอยู่เนิ่นนาน…


ความกระวนกระวายของนางในยามนั้นเพียงทำให้เขารู้สึกเอือมระอา รู้สึกว่านางหาทางควบคุมเขา ยามนี้กลับอยากเห็นเพียงแววตาปวดใจของนาง…


แต่เขาต้องผิดหวังแล้ว!


เล่อเสี่ยวถงมองเขาที่โชกเลือดไปทั้งตัวราวกับเม่น ไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง เพียงเรียกให้ลูกมือของตนเข้ามาจัดการ


ลูกมือของนางคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในสองคนที่เพิ่งเข้ามาที่นี่ รู้วิชาแพทย์เล็กน้อย จึงได้เป็นผู้ช่วยของเล่อเสี่ยวถงพอดี


ลูกมือคนนี้ไม่ชมชอบพูดคุย แต่จัดการเรื่องราวได้คล่องแคล่วยิ่งนัก ด้านวิชาแพทย์เคยได้รับการชี้แนะจากกู้ซีจิ่วมาเล็กน้อยเช่นกัน เล่อเสี่ยวถงก็รับเขาไว้อย่างยินดี ปกติแล้วทั้งสองทำงานเข้าขากันดียิ่งนัก


ยามนั้นโจวเทียนชื่อต้องการให้เล่อเสี่ยวถงถอดใจไป จึงหาเรื่องทะเลาะกับเล่อเสี่ยวถงเป็นประจำ ในคำพูดมักจะพาดพิงว่าระหว่างเล่อเสี่ยวถงกับผู้ช่วยคนนั้นคลุมเครือกันอยู่บ้าง ทำให้เล่อเสี่ยวถงโมโหจนร้องไห้อยู่หลายครั้ง ซ้ำยังเพราะเหตุนี้จึงไม่ร่วมงานกับผู้ช่วยคนนี้อีก เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา


แต่ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงข้อครหาแล้วก็ไม่อาจดึงรั้งจิตใจของคนที่เจตนาจะหาเรื่องทะเลาะให้กลับมาได้ ดังนั้นหลังจากเล่อเสี่ยวถงทราบความคิดที่แท้จริงของโจวเทียนชื่อ นางก็ค่อยๆ สิ้นหวัง จากที่พยายามรั้งความสัมพันธ์ไว้ก็ค่อยๆ ปล่อยวางอย่างสมบูรณ์…


จากหัวใจที่อบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา…


โจวเทียนชื่ออยากให้เล่อเสี่ยวถงมาจัดการด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้ลูกมือคนนี้มาช่วย ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธการรักษาอย่างเจ้าอารมณ์ ปากร้องต้องการเพียงเล่อเสี่ยวถง มิเช่นนั้นเขายอมปล่อยให้เลือดไหลจนตายอยู่ที่นี่…


ผลคือ…เขาเสียเลือดจนสลบไป หวิดจะสูญเสียชีวิตน้อยๆ ไปด้วย เล่อเสี่ยวถงก็ไม่มามองเขาอีกเลยสักแวบ


ความรักใคร่ผูกพันกว่าสิบปีของสามีภรรยาสิ้นสุดลงตรงนี้อย่างสิ้นเชิง…


และในที่สุดเขาก็ทราบแล้ว เมื่อสตรีดุดันขึ้นมา จะห้าวหาญยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก เมื่อนางตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกนั่นคือก็เลิกจริงๆ!


อย่าว่าแต่คำสาบานที่เขาปฏิญาณออกมาตรงนั้นเลย ต่อให้เขาไม่เอ่ยสาบาน นับตั้งแต่วินาทีที่เขาลงนามบนหนังสือหย่าร่างและให้นางลงชื่อ ระหว่างเขากับนางก็จบสิ้นกันแล้ว!


สำนึกได้เมื่อสายไปแล้วจวบจนยามนี้ถึงได้รู้ซึ้ง ทว่าไม่อาจหวนกลับไปได้แล้ว…


….


ยามที่พวกกู้ซีจิ่วออกไปได้ก็ร่วงลงบนยอดเขาที่แปด


บนยอดเขาที่แปดผนึกสัตว์ร้ายบรรพกาลจำนวนหนึ่งไว้ ทุกตัวล้วนเป็นตะเกียงที่ไม่ขาดน้ำมัน หากไม่มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปจนใช้วิชาเร้นกายแบบพิเศษได้ พวกเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการไล่ล่าโจมตีของสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้จริงๆ…


ระหว่างทางพวกเขาเคยเห็นเถาอู้[1]เดินทอดน่องอยู่ริมแม่น้ำ เคยเห็นนกเท้าแดง เคยเห็นฮุ่นตุ้น[2]…


แต่ละตัวหากว่าหลุดออกไปเพียงพอจะก่อหายนะให้โลกนี้ได้เลย!


ทุกคนล้วนกลั้นลมหายใจปกปิดกลิ่นอายตามที่กู้ซีจิ่วชี้แนะ จัดแถวเป็นขบวนค่ายรูปแบบพิเศษ ใช้วิชาเร้นกายแล้วเหินทะยานออกสู่ภายนอก…


วิชาเร้นกายมีมีเวลาจำกัด ทุกครั้งใช้ได้ประมาณหนึ่งเค่อเท่านั้น เคราะห์ดีที่ทุกครั้งยามวิชาเร้นกายของทุกคนจะสิ้นฤทธิ์ กู้ซีจิ่วล้วนใช้พลังวิญญาณถักทอม่านกำบังสีเขียววาววามผืนหนึ่งขึ้น ให้ทุกคนเผยตัวในม่านกำบังหลังจากพักผ่อนกันครู่หนึ่ง ค่อยใช้วิชาเร้นกายเดินทางต่อ


ม่านกำบังชนิดนี้สัตว์ร้ายเหล่านั้นมองไม่เห็น และปิดกั้นกลิ่นอายทั้งหมดได้ ทำให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นติดตามร่องรอยไม่ได้


เดินทางในยอดเขาที่แปดด้วยวิธีนี้อยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม ทุกคนถึงได้เหินทะยานมาถึงพรมแดนระหว่างยอดเขาที่เจ็ดกับยอดเขาที่แปดได้


ขอเพียงข้ามกลับไปยังยอดเขาที่เจ็ดได้ ทุกคนก็ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว และนับว่าหนีออกมาได้อย่างแท้จริง!


————————————————————————————-


บทที่ 1378 สงบใจไว้ เจ้าทำได้! (1)


เห็นได้ชัดว่าการสร้างม่านกำบังสีเขียวนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก หลังจากกู้ซีจิ่วมาถึงพรมแดนนี้ ก็ค่อนข้างเหนื่อยล้า เธอเอนตัวพิงร่างตี้ฝูอี “ท่านเปิดเขตแดนของที่นี่ให้หน่อยได้หรือไม่? ข้าค่อนข้างเหนื่อย…”


ตี้ฝูอีมองดวงหน้าน้อยๆ ที่ค่อนข้างซีดขาวอยู่บ้างของนาง การเดินทางนี้นางเป็นผู้เหนื่อยยากที่สุดโดยแท้ เป็นทัพหน้าเบิกทาง หากว่าเป็นตัวเขาที่ทำเรื่องนี้ก็คงรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน นับประสาอะไรกับนางที่เพิ่งบรรลุขั้นสิบ?


เขากุมมือน้อยเล็กๆ ข้างหนึ่งของนางไว้ “เช่นนั้นพวกเราพักผ่อนที่นี่ก่อนเถอะ มา ข้าจะช่วยนวดคลายเส้นให้เจ้า”


พลางดึงมือเธอให้นั่งลง นวดหลังให้เธอ บีบนวดมือเท้า…


อันที่จริงคนอื่นๆ ก็เหนื่อยล้ายิ่งนักเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าดินแดนของยอดเขาที่แปดแห่งนี้แตกต่างจากโลกภายนอก มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าที่อื่นนับร้อยเท่า ยามที่ขยับเยื้อนเคลื่อนไหวล้วนหนักอึ้งปานภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง หากว่าผู้ที่มีพลังวิญญาณต่ำต้อยมาที่นี่ ไม่ต้องถึงสัตว์ร้ายมาโจมตีหรอก ด้วยแรงโน้มถ่วงในร่างตนก็สามารถกดทับตัวเองให้ล้มคว่ำได้แล้ว


ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ วิ่งสิบลี้ยังเหนื่อยกว่าวิ่งร้อยลี้เสียอีก การวิ่งหนึ่งชั่วยามกินแรงยิ่งกว่าการวิ่งสิบชั่วยามนัก!


ทุกคนเพียงแค่วิ่งตามพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองเท่านั้น ระหว่างทางไม่ได้ออกแรงอันใดเลย แต่ละคนกลับเหงื่อนผุดพราย กระดูกปวดร้าวราวกับมิใช่กระดูกตน


นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วที่เป็นผู้นำทางเล่า?


ทุกคนวิ่งไปจนทั่วที่นี่แล้ว ถึงได้ทราบว่าสรุปแล้วยอดเขาที่แปดแห่งนี้มีสัตว์ร้ายอยู่เท่าใด ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากว่าพวกเขาทำลายเขตแดนของตาค่ายแห่งนั้นได้ ก็ไม่มีทางหนีรอดจากยอดเขาที่แปดได้! เกรงว่าพอทำลายเขตแดนได้ก็ต้องประสบกับหายนะทันที!


ตลอดการเดินทางนี้กู้ซีจิ่วเป็นผู้เลือกเฟ้นเส้นทาง ชี้นำทุกคนว่าต้องจัดขบวนอย่างไร ต้องซ่อนเร้นกลิ่นอายบนร่างอย่างไร…


แทบทุกอย่างล้วนเป็นแผนการที่กู้ซีจิ่วจัดเตรียมขึ้นเพียงผู้เดียว ส่วนตี้ฝูอีเป็นเหมือนผู้ติดตามของเธอเท่านั้น เพียงคอยอยู่เคียงข้างเธอ บีบนวดให้เธอบ้างอะไรทำนองนั้น ภาระอย่างอื่นเขาไม่ได้ช่วยเหลือเลย


ระยะเวลาแปดปีที่อยู่ในตาค่ายก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นทุกคนจึงเคยชินกับการเชื่อฟังกู้ซีจิ่วไปแล้ว เชื่อฟังเธอทุกอย่าง ความเคารพนับถือในตัวเธอทวีขึ้นทุกวัน


เพิกเฉยต่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้ลึกลับซับซ้อนคนนี้จนเคยชินแล้ว อย่าไปล่วงเกินเขาเป็นพอ ที่เหลือจะอย่างไรก็ได้


ยามนี้ทุกคนพากันหาก้อนหินหาขอนไม้แล้วนั่งลง พักผ่อนอย่างแข่งกับเวลา


เนื่องจากกู้ซีจิ่วบอกไว้แล้ว เขตแดนของยอดเขาที่แปดไม่สามารถทำลายได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปิดช่องทางแล้วออกไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น การเปิดทางนี้ยากเย็นแสนเข็ญนัก ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจลงมือพร้อมกัน


ทักษะการบีบนวดของตี้ฝูอีเป็นมืออาชีพยิ่งนัก ประกอบกับระหว่างที่กำลงบีบนวดอยู่เขาลอบถ่ายทอดพลังวิญญาณบบางส่วนให้เธอด้วย กู้ซีจิ่วจึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


เธอเอนกายซบอกเขาเสียเลย ส่งกระแสเสียงถามเขา ‘ท่านกำลังฝึกฝนข้าอยู่ใช่ไหม’


ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ ‘เจ้าไม่อยากเป็นนกน้อยที่ซุกอยู่ใต้ปีกข้า อยากโบยบินเคียงข้างข้ามิใช่หรือ? อยากเคียงข้างข้าย่อมต้องมีความสามารถกล้าแกร่ง…’


กู้ซีจิ่วเม้มปาก ‘แต่ว่า…แต่ว่ายามที่พายุโหมกระหน่ำจนข้าเหนื่อยล้า ข้าก็อยากพึ่งพิงสักหน่อยนี่นา!’


ตี้ฝูอีโอบเธอไว้ในอ้อมแขน ‘อืม ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นที่พึ่งพิงให้เจ้าอยู่หรือไง?’


กู้ซีจิ่วเถียงไม่ออกแล้ว


เจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ด้านข้างทนดูไม่ได้ “ข้าว่านะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง ยามนี้ไม่ว่าเรื่องใดท่านล้วนให้เจ้านายของบ้านข้ารับผิดชอบ ท่านเหมือนตาเฒ่าที่เอาแต่รอคว้าผลสำเร็จอย่างเดียวน่าละอายเกินไปแล้ว! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าความสามารถของท่านสูงส่งกว่านาง แต่ปล่อยให้นางเป็นผู้นำอยู่ตลอด อันตรายใดๆ ล้วนให้นางแบกรับด้วยตัวเอง…ท่านดูสามีภรรยาของบ้านอื่นสิ เมื่อมีอันตรายล้วนเป็นบุรุษที่พุ่งออกมา ปกป้องสตรีไว้ข้างกาย เช่นนั้นสิถึงจะสมเป็นชายชาตรีของแท้! อย่างท่านนี่…เฮอะ แม้แต่ข้าก็ทนดูไม่ได้เช่นกัน!”


————————————————————————————-


[1] เถาอู้ เป็นสัตวร้ายในตำนานโบราณของชาวจีน รูปร่างเหมือนพยัคฆ์และมีขนยาวแบบสุนัข หน้าตาคล้ายมนุษย์ เท้าเหมือนพยัคฆ์ เขี้ยวเหมือนหมูป่า หางยาวหนึ่งจั้งแปดฉื่อ เป็นใหญ่ทางฝั่งตะวันตก


[2] ฮุ่นตุ้น เป็นสัตว์ร้ายในตำนานโบราณอีกตัวหนึ่งของชาวจีน รูปร่างอ้วนกลม มีสีแดงดุจเปลวเพลิง มีปีกสี่ปีก มีขาหกขา แม้จะไม่มีใบหน้า แต่มีความสามารถรู้แจ้งในดนตรีสังคีต


บทที่ 1378 สงบใจไว้ เจ้าทำได้! (2)


ตี้ฝูอีมองเจ้าหอยยักษ์แวบหนึ่ง เอ่ยเพียงประโยคเดียว “ทนดูไม่ได้ก็หุบฝาไปซะ!”


เจ้าหอยยักษ์ตะลึงงัน


อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ทราบว่าตี้ฝูอีกำลังหล่อหลอมให้เธอเป็นยุวชนผู้มีความสามารถ บ่มเพาะให้กลายเป็นภรรยาที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้อย่างแท้จริง เพียงแต่เหนื่อยล้าเกินไปจึงพานบ่นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ


ยิ่งไปกว่านั้นคือการกำหนดเส้นทางกระบวนค่ายกลอันใดล้วนเป็นตี้ฝูอีที่สั่งสอนให้เธอไว้ล่วงหน้า เขาทำเช่นนี้คล้ายเป็นการสร้างฐานอำนาจไว้ให้เธอ…


ดังนั้นเธอก็มองเจ้าหอยยักษ์แวบหนึ่งเช่นกัน “ไม่อนุญาตให้ว่าเขาแบบนี้! ถ้าพูดจาเหลวไหลอีกระวังข้าจะทุบเปลือกเจ้า!”


เจ้าหอยยักษ์เงียบกริบ มันรู้สึกว่าได้รับความเสียหายหมื่นแต้มแล้ว! มิน่าล่ะผู้คนถึงกล่าวกันว่าระหว่างคู่ผัวหนุ่มเมียสาวคนนอกอย่าได้สอดปากยุ่ง เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!


เจ้าหอยยักษ์หุบฝาแล้ววิ่งไปสำนึกตนที่อีกด้านอย่างปวดใจ


กู้ซีจิ่วคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ “ใช่แล้ว ภายหน้าเด็กๆ ของพวกเราก็ต้องอาศัยท่านอบรมสั่งสอนแล้ว”


ตี้ฝูอีสั่งสอนสาวกได้ยอดเยี่ยมนัก กู้ซีจิ่วเลื่อมใสจุดนี้ของเขายิ่งนัก ดังนั้นภายหน้าถ้าพึ่งพาให้เขาสั่งสอนบุตรธิดา จะต้องกลายเป็นยุวชนผู้มีความสามารถเป็นแน่!


มือของตี้ฝูอีที่โอบเอวเธอไว้แข็งทื่อไปเล็กน้อย พลางกล่าวยิ้มๆ “นั่นก็ต้องรอให้เจ้าคลอดออกมาแล้วค่อยว่ากัน”


กู้ซีจิ่วพูดคุยอย่างกระตือรือร้น “พวกเราอยู่ในตาค่ายแห่งนั้นไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ หลังจากออกไปแล้วต้องให้กำเนิดได้แน่นอน ใช่แล้ว ท่านอยากได้ลูกชายหรือว่าลูกสาว?” ในดวงตากู้ซีจิ่วฉายแววมุ่งมาดปรารถนา เริ่มจินตนาการถึงภาพครอบครัวสามสี่คนเล่นสนุกด้วยกัน


ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง แย้มยิ้มแวบหนึ่ง “เรื่องเด็กยังไม่ต้องรีบหรอก ตัวเจ้าก็ยังเด็กอยู่เหมือนกัน ข้าเลี้ยงเจ้าให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


กู้ซีจิ่วหยุดจินตนาการแล้ว


เธอกล่าวอย่างมีน้ำโห “ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!” ต่อให้นับตามอายุขัยของโลกนี้ เธอก็อายุยี่สิบห้าแล้ว!


ตี้ฝูอีจุมพิตหน้าผากเธอคราหนึ่ง “อืม เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว เพียงแต่ในสายตาข้าเจ้ายังคงเป็นเด็กน้อยอยู่…”


กู้ซีจิ่วเงียบไป ใช่แล้ว ตอนนี้เขาอายุหลายพันปีแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเขา เธอยังเป็นเด็กอ่อนวัยอยู่จริงๆ


เธอถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง “ในสายตาท่านผู้ใดล่ะที่ไม่เด็ก?” ดูเหมือนอายุของเขาจะสามารถเป็นบรรพชนของคนทั้งโลกได้เลย


ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ข้างหูเธอ “อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้นับกู้เซี่ยเทียนเป็นเด็ก…”


กู้ซีจิ่วอย่างมาดร้าย “เห็นทีว่าท่านจะสมควรเรียกเขาว่าท่านพ่อสักครา…”


ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ดังนั้นข้าจึงไม่อยากพบเขา”


กู้ซีจิ่วขำคิกๆ อย่างอดไว้ไม่อยู่ ไม่โต้เถียงกับเขาอีก


ดูเหมือนเจ้าผู้นี้จะไม่กระตือรือร้นอยากมีลูกเท่าไหร่…


แต่กลับกระตือรือร้นในขั้นตอนการทำลูกจนน่าประหลาด!


ช่างเถอะ ไม่คุยเรื่องนี้กับเขาแล้ว หลังจากออกไปได้เธอก็น่าจะท้องได้ รอจนตั้งท้องขึ้นมาเขาย่อมเห็นค่าแล้ว…


ต่อไปถ้าหากเจ้าคนผู้นี้กลายเป็นพ่อคนจะเป็นอย่างไรกันนะ?


เธอแทบจะจินตนาการถึงฉากที่มีเด็กน้อยปีนป่ายไปมาบนตัวเขา ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าเหลือคณา


เมื่อนึกถึงฉากที่งดงาม มุมปากของเธอก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาสองประกายแวววาว


ตี้ฝูอีกอดนางนั่งอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะผ่อนคลาย ทว่าสายตากลับสอดส่องไปรอบๆ


เขามิได้มาที่ยอดเขาที่แปดเป็นครั้งแรก คนอื่นไม่ทราบทว่าเขาทราบดี ไอพิฆาตบนยอดเขาที่แปดหนักหน่วงขึ้นกว่าแปดปีก่อนมาก ใกล้จะมีรูปลักษณ์จับต้องได้เต็มที่แล้ว! สัตว์ร้ายบนยอดเขาที่แปดก็มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ดุร้ายกว่าเมื่อก่อน…


ยอดเขาที่แปดเป็นแหล่งรวบรวมไอพิฆาตแล้วทำการชำระล้าง เมื่อไอพิฆาตมากสัตว์ร้ายย่อมมากด้วย เมื่อไอวิญญาณอันเป็นมงคลของยอดเขาที่แปดสามารถรวบรวมไอพิฆาตมาแล้วชำระล้างได้ ทำให้สองด้านสมดุลกัน ไม่เอ่อล้นจนทะลัก หากว่าโลกสงบสุข ไอพิฆาตของที่นี่ย่อมไม่มากมายจนเกินไป ชำระล้างได้ง่ายดาย


ยามนี้ไอพิฆาตของที่นี่กลับมากมายจนแทบเอ่อล้นออกมาแล้ว ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?


มือของเขาที่อยู่ในแขนเสื้อลอบจรดนิ้วคำนวณชะตา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนจะคำนวณไม่ได้เลย…


————————————————————————————-


บทที่ 1378 สงบใจไว้ เจ้าทำได้! (3)


เขาหลุบตามองปลายนิ้วตน ปลายนิ้วสีชมพูเนียนใส มองไม่เห็นความผิดปกติใด


เขาแอบขี้เกียจอยู่ด้านในมาแปดปี ด้านนอกไม่มีเขานั่งบัญชาการ น่าจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นแล้ว หรือมาหลงฟั่นจะโผล่มาก่อเหตุอีกแล้ว?


ไม่น่าจะใช่โม่เจ้า อาการบาดเจ็บของเขาทำให้เขาต้องพักฟื้นอีกหลายสิบปีถึงจะฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมาได้ เพียงแต่ไอพิฆาตด้านนอกหนาแน่นถึงเพียงนี้ โม่เจ้าจะน่าฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องใช้เวลาหลายสิบปีก็สามารถผงาดกลับมาได้แล้ว


ความเย็นชาวาบผ่านนัยน์ตาของตี้ฝูอี โม่เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของเขา เขาต้องกำจัดไอ้สารเลวผู้นั้นให้สิ้นซากถึงจะถูก ไม่อาจเหลือปัญหาไว้ในภายภาคหน้าได้…


อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังเป็นยอดเขาที่แปด ปรากฏอันตรายขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่กล้าพักนานนัก นั่งอยู่ประมาณหนึ่งเค่อก็ลุกขึ้นมา “พวกเราเริ่มกันเถอะ! รอออกไปได้แล้วค่อยพักผ่อนกันดีๆ”


ทุกคนพากันลุกขึ้นมาแสดงออกว่าเห็นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มจัดขบวนค่ายตามที่กู้ซีจิ่วบอกไว้…


ตี้ฝูอียืนกอดอกมองอยู่ด้นนอก ไม่มีทีท่าว่าจะให้การช่วยเหลือเลยสักนิด


อันที่จริงกู้ซีจิ่วประหม่ายิ่งนัก เนื่องจากตี้ฝูอีเคยบอกไว้ ยามที่เปิดช่องทางเพื่อออกไปจากเขตแดนนี้ จะทำให้สัตว์ร้ายบนยอดเขาที่แปดตื่นตระหนก และมีเวลาประมาณสามนาทีให้ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย เมื่อถึงเวลาจะเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น หลังจากพ้นสามนาทีนี้ไปทุกคนถึงจะหนีออกไปได้อย่างแท้จริง


ภายใต้การชี้นำของกู้ซีจิ่ว แสงทักษะยุทธ์สารพัดวาบขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บนเขตแดนที่ทรหดทนทานค่อยๆปรากฏประตูที่สลัวเลือนรางขึ้นบานหนึ่ง…


ทุกอย่างเหมือนที่ตี้ฝูเคยบอกไว้ เมื่อประตูบานนี้ปรากฏเงาร่างขึ้นมาเล็กน้อย ก็มีเสียงคำรามอันกราดเกรี้ยวของสัตว์ร้ายแว่วมาจากส่วนลึกของยอดเขาที่แปด พสุธาสั่นสะเทือน สามลมพัดกรรโชก มีสัตว์ร้ายสี่ตัวโผล่ออกมาจากสี่ทิศ…


เยอะขนาดนี้เชียว?!


กู้ซีจิ่วหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!


ตี้ฝูอีบอกไว้แล้วชัดๆ ว่าจะทำให้สัตว์ร้ายตื่นตระหนกเพียงตัวสองตัวเท่านั้น ยามนี้กลับเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว!


บนร่างของสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงสุดมีรังสีบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าขาดกระจุยกระจายด้วยตัวเอง และทำให้ใจคนหนาวสะท้านขึ้นมา


ถ้าหากเป็นคนขี้ขลาดสักหน่อย อย่าว่าแต่สู้กับสัตว์ร้ายเหล่านี้เลย เพียงเห็นพวกมันก็ถูกดุดันโหดร้ายทำให้ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว คุกเข่าลงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ตัวสั่นงันงกประหนึ่งลูกไก่น้อย


โชคดีที่วรยุทธ์ของทั้งเก้าคนที่นี่ล้วนเป็นขั้นเก้าขึ้นไปทั้งสิ้น ไม่ถึงขั้นที่ยังไม่ทันได้สู้ก็ตกใจจนฉี่ราดแล้ว แต่การตื่นตระหนกก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ มีบางคนที่สองขาเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามเอาไว้อยู่ หากมิใช่ว่ากู้ซีจิ่วเคยชี้แจงไว้ล่วงหน้าแล้ว เกรงว่าคงมีคนที่ตกใจจนเตลิดหนีไป…


ตี้ฝูอีที่เดิมทีมีท่าทางผ่อนคลาย ยามนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเช่นกัน ปลายนิ้วที่อยู่แขนเสื้อจรดร่ายเวทวิชา ถอยไปอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วอย่างไร้สุ้มเสียง…


ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะตื่นตระหนก ทว่ามิได้ลนลาน


สภาพจิตใจอันยอดเยี่ยมเปิดเผยออกมาในยามนี้อย่างสมบูรณ์ เธอรีบสั่งการให้ทุกคนรักษาตำแหน่งของตนไว้ แม้แต่เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยก็ต่างตั้งท่าเตรียมประจัญบานเช่นกัน


ส่วนเพรียกวายุถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์ขั้นห้าเท่านั้น แม้ว่ายามนี้จะฝึกฝนจนบรรลุขั้นเจ็ดแล้ว แต่สมรรถภาพร่างกายของมันอยู่ที่ขั้นนั้น ความเกรงกลัวสัตว์ร้ายขั้นแปดเป็นสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก ยามนี้ขาทั้งสี่สั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น เส้นขนทั่วร่างลุกชันขึ้นมา!


อันที่จริงนับว่ามันยอดเยี่ยมมากแล้ว หากเป็นสัตว์ขั้นห้าที่ฝึกฝนจนบรรลุขั้นเจ็ดตัวอื่นมาที่นี่ จะตกใจกลัวจนหมอบลงกับพื้นไม่กล้าเคลื่อนไหวทันที แต่เพรียกวายุกลับยืนหยัดอยู่ได้


สัตว์ร้ายทั้งสี่มีอยู่สี่ชนิด เถาอู้ วิหคเท้าแดง ฮุ่นตุ้น แรดแยกเวหา


สัตว์ร้ายสี่ตัวนี้สุ่มหยิบออกมาสักตัวก็เพียงพอจะฉีกทึ้งเก้าคนนี้ให้เป็นชิ้นๆ ได้ในชั่วพริบตาแล้ว ตอนนี้กลับล้อมวงเข้ามาถึงสี่ตัว!


กู้ซีจิ่วไม่แสดงสีหน้าใดออกมา ทว่าฝ่ามือกลับหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ


ตี้ฝูอีเอ่ยเสียงขรึม “สงบใจไว้ เจ้าทำได้!”


บทที่ 1378 สงบใจไว้ เจ้าทำได้! (4)


กู้ซีจิ่วสูดหายใจสั้นๆ เฮือกหนึ่ง ลั่นวาจาว่า “ทุกท่าน ช่วงเวลาทดสอบของทุกคนมาถึงแล้ว! ศึกนี้เป็นการต่อสู้แบบหลังชนฝา อาจรอดชีวิต อาจสิ้นชีพ ไม่มีหนทางที่สามให้เดินแล้ว! วางใจเถิด เพียงทำตามที่ข้าบอกเท่านั้น ข้ามีความหวังอยู่เก้าสิบส่วน!”


วาจานี้ของเธอปลุกเร้าขวัญกำลังใจ โลหิตของทุกคนเดือดพล่านขึ้นมา


“มิผิด! ต้องสู้สุดชีวิตถึงจะมีทางรอด!”


“วางใจเถอะ ซีจิ่วเจ้าสั่งการได้เลยไม่ต้องกังวล พวกเราฟังเจ้าทุกอย่าง!”


“อย่างมากก็ตายเท่านั้น กลัวไปไย!”


ในที่สุดสัตว์ร้ายทั้งสี่ก็พุ่งเข้ามาแล้ว…


….


เป็นศึกที่ดุเดือดศึกหนึ่ง!


กระบวนค่ายที่กู้ซีจิ่วคิดขึ้นเห็นได้ชัดว่าเหมาะสำหรับรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งนัก สัตว์ร้ายสี่ตัวนี้ทุกตัวล้วนใหญ่โตเท่าภูเขาลูกน้อยๆ มนุษย์ทั้งเก้าเมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ร้ายเหล่านี้แล้วเสมือนลูกปิงปองลูกบาสเท่านั้น…


แต่กระบวนค่ายที่เก้าคนนี้จัดเรียงออกมากลับมีสนามพลังพิเศษชนิดหนึ่ง ทำให้สัตว์ร้ายสี่ตัวนี้ทำลายไม่ได้ชั่วขณะ…


เสียงคำรามปานจะกรีดแยกท้องนภา แสงทักษะยุทธ์วูบวาบปานระลอกคลื่น เสียงศาสตราวุธกระทบกระแทกโจมตี…


เงาร่างมนุษย์พลิกทะยาน กู้ซีจิ่วมีพรสวรรค์ในการบัญชาการยิ่งนัก เธอปรับกลยุทธ์อยู่ตลอด บางครั้งก็สั่งการให้กลุ่มคนเปลี่ยนรูปแบบค่าย เสียงของเธอไม่ดัง แต่ในการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายถึงเพียงนี้กลับกังวานชัดเจนเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนในศึกอันชุลมุนประหนึ่งได้พบแกนนำหลัก ปฏิบัติตามที่เธอสั่งการทุกอย่าง แม้ว่าคำสั่งของกู้ซีจิ่วจะให้พวกเขาพุ่งเข้าไปโจมตีสัตว์ร้ายซึ่งๆ หน้า พวกเขาก็ปฏิบัติตามโดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ…


ท่ามกลางศึกอันดุเดือดนี้ บางครั้งก็มีคนตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน โชคดีที่ทุกครั้งเมื่อมีคนประสบอันตรายใหญ่หลวง ยามที่จะถูกสัตว์ร้ายเบื้องหน้าตะครุบเอา กู้ซีจิ่วจะหล่นลงมาจากฟ้าทุกครั้ง ใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาคนที่ตกอยู่ในอันตรายหลบหนีการโจมตีของสัตว์ร้าย…


เวลาสามนาที เมื่อก่อนเป็นช่วงเวลาชั่วลัดนิ้วมือเท่านั้น แต่ยามนี้กลับเสมือนเนิ่นนานไร้ที่สิ้นสุด หนึ่งวินาทีช่างเชื่องช้าอย่างยิ่ง


หนึ่งนาทีผ่านไป มีคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย


สองนาทีผ่านไป มีคนบาดเจ็บสาหัสแล้ว…


แต่ไม่ว่าผู้ที่บาดเจ็บน้อยหรือว่าผู้ที่บาดเจ็บหนัก ทุกคนล้วนกำลังยืนหยัดต่อสู้สุดชีวิต ไม่มีใครถอยเลยสักคน…


ยามที่เจียนครบสามนาที ในที่สุดประตูบานนั้นก็เปิดอย่างสมบูรณ์ กู้ซีจิ่วร้องสั่งการ ทุกคนเริ่มพุ่งทะยานเข้าประตูบานนั้นไปทีละคนตามที่เคยจัดลำดับไว้ก่อนหน้านี้…


ส่วนกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีอยู่รั้งท้าย


คนกระโจนออกไปคนแล้วคนเล่า คนที่เหลืออยู่ก็น้อยลงเรื่อยๆ ความกดดันของกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีก็มากขึ้นเรื่อยๆ


ในช่วงที่แม้แต่เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยก็กระโดดออกไปแล้ว แรงกดดันที่พวกกู้ซีจิ่วต้องแบกรับมากมายจนมาอาจเปรียบเทียบได้ ไม่อาจหายใจได้ ทุกวินาทีล้วนต้องสู้สุดชีวิต!


“ซีจิ่ว ออกไป!” ตี้ฝูอีสั่ง


นี่ก็เป็นเรื่องที่คุยกันไว่ก่อนแล้ว ตี้ฝูอีจะเป็นคนปิดขบวน


เมื่อก่อนตอนที่ตี้ฝูอีคุยเรื่องนี้กับกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วตอบตกลง เนื่องจากเธอรู้สึกว่าไม่มีเรื่องใดสามารถสร้างความลำบากให้ตี้ฝูอีได้ และไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำร้ายตี้ฝูอีได้ ต่อให้เขาเป็นคนปิดขบวนก็น่าจะถอนตัวออกมาอย่างปลอดภัยได้…


แต่ตอนนี้ได้ประสบกับอานุภาพการโจมตีของสัตว์ร้ายทั้งสี่ด้วยตัวเองแล้ว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบแล้วว่าคนที่ปิดขบวนมีอันตรายมากเพียงใด!


เธออยู่ข้างกายเขารับมือไปด้วยกัน มุมปากเขามีโลหิตไหลซึมออกมา หลายครั้งที่ถูกสัตว์ร้ายทำร้ายเอา หากว่าเธอหนีออกไปอีก เขาก็เหลือตัวคนเดียวแล้ว…


ไม่แน่ว่าเขาอาจจะ…


“ท่านกับข้าออกไปด้วยกัน!” กู้ซีจิ่วเปลี่ยนแผนการทันที


————————————————————————————-


บทที่ 1379 ตี้ฝูอี ท่านหลอกข้าอีกแล้ว!


ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “มีปัญหาอะไร? ทำตามที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้!” เนื่องจากการพูดคุยทำให้เสียสมาธิ เขาเกือบถูกมีดน้ำแข็งของแรดแยกเวหาฟาดฟันเข้า


“ไม่! ถ้าจะออกก็ออกไปพร้อมกัน!” กู้ซีจิ่วเกิดดื้อรั้นขึ้นมา เธอทนไม่ได้ที่จะทิ้งเขาไว้คนเดียว


ตี้ฝูอีไม่ได้โต้เถียงกับนางอีก เพียงแค่ถอนใจ “ก็ได้ พวกเราหาโอกาสออกไปพร้อมกัน!”


กู้ซีจิ่วโล่งอกไปที ส่งเสียงตอบรับอย่างหนักแน่น “อืม!”


ทั้งสองคนต่อสู้พลางล่าถอยไปทิศทางประตูเล็กแคบที่ปรากฏขึ้นเลือนราง เข้าออกได้ทีละคนเท่านั้น สัตว์ร้ายเหล่านั้นคงรู้ว่าสองคนนี้จะหนีไปแล้ว จึงขัดขวางอย่างบ้าคลั่ง


และยังพุ่งชนประตูบานนั้นอย่างบ้าคลั่ง พวกมันถูกกักขังมานานหลายปี ย่อมอยากหนีเช่นกัน เมื่อมองเห็นประตูก็อยากออกไป


พวกมันฝึกฝนมาถึงระดับนี้ สามารถแปลงกายได้แล้ว สัตว์ร้ายทั้งสี่แปลงกายให้มีขนาดและความสูงเท่ามนุษย์ มีตัวหนึ่งถึงขั้นแปลงกายเป็นเด็กน้อย โบยบินไปทางประตูทางออกอย่างบ้าคลั่ง


เห็นได้ชัดว่าประตูบานนั้นมีวิชาบางอย่างควบคุมอยู่ คนฝั่งกู้ซีจิ่วออกไปได้อย่างอิสระ ทว่าตอนพวกมันพุ่งชนตรงนั้นกลับถูกพลังไร้รูปลักษณ์ดีดกลับมา


คราวนี้สัตว์ร้ายทั้งสี่ต่างโมโหดุร้าย ยิ่งขัดขวางคนที่เหลืออยู่ทั้งสองไม่ให้ออกไป…


พวกมันอยากหาคนอยู่เป็นเพื่อน!


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตอนนี้พลังวิญญาณของตี้ฝูอีสู้เธอไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงรุดหน้าก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ ปกป้องเขาจากการโจมตีของสัตว์ร้าย


ไม่ง่ายเลยกว่าจะถอยไปถึงหน้าประตู เธอส่งเสียงตะโกนทุ้มต่ำ “ท่านออกไปก่อน!”


“ได้!” ตี้ฝูอีส่งเสียงตอบรับ ถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง


กู้ซีจิ่วเพิ่งโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เอวก็พลันรัดแน่น! จากนั้นเคลื่อนย้ายไปกลางอากาศ เมื่อเธอได้สติ ตัวก็ลอยออกจากประตูมาแล้วร่อนลงที่ด้านนอก!


ใบหน้าเธอเปลี่ยนสี!


ตี้ฝูอี ท่านหลอกข้าอีกแล้ว!


เธอไม่มองคนอื่นที่รออยู่ด้านนอก รีบวิ่งไปที่ประตูบานนั้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ต้องการเข้าไปอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือเขา นึกไม่ถึงว่าจะถูกประตูที่สาดแสงสีขาวดีดกลับมาทันที


เธอนึกถึงที่ตี้ฝูอีเคยพูดไว้ขึ้นมาได้ ประตูเช่นนี้เป็นประตูทางเดียว ออกได้แต่เข้าไม่ได้…


ทั้งที่เป็นประตูเปิดกว้างบานหนึ่ง พวกเขาอยู่ด้านนอกประตูกลับไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ด้านใน


ทุกคนต่างรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วออกมา พวกเขาก็โล่งใจ


พวกเขาต่างต้องตกใจเมื่อเห็นนางไม่พูดไม่จาก็พุ่งตัวไปด้านในประตูบานนั้น ไป๋หลี่เช่อเอื้อมมือไปประคองนางที่เพิ่งจะโดนดีดกลับมา “ซีจิ่ว…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


กู้ซีจิ่วกระเด้งตัวขึ้น เธอไม่สนใจคนอื่นที่ไม่สำคัญ สายตาทั้งคู่จ้องมองประตูบานนั้น ตัดสินใจถีบตัวขึ้นไปที่สูง


หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตี้ฝูอีก็ควรโบยบินตามออกมาได้ ทว่ายามนี้ผ่านไปอีกหนึ่งนาทีแล้ว ยังไม่มีวี่แววของเขาเลย…


ช่วงเวลาที่ประตูบานนี้ปรากฏขึ้นไม่นานนัก คงอยู่ได้ห้านาทีโดยประมาณ ตอนที่กู้ซีจิ่วออกมาก็ผ่านไปสามนาทีแล้ว!


และเธอออกมาหนึ่งนาทีแล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งนาทีก่อนที่ประตูนี้จะปิดลง…


ภายในประตูเงียบสงัด ภายนอกประตูหัวใจของกู้ซีจิ่วแทบจะหยุดเต้น


ผ่านไปสิบวินาที ผ่านไปยี่สิบวินาที ผ่านไปสี่สิบวินาที…


ประตูบานนั้นค่อยๆ บีบเล็กลงช้าๆ ค่อยๆ เลือนรางไป…


ในหัวสมองของกู้ซีจิ่วแทบจะว่างเปล่า เธอรีบก้าวไปด้านหน้า ใช้มือทั้งสองง้างประตูบานนั้น!


อย่าปิด! อย่าปิด! เขายังอยู่ด้านใน! เขายังไม่ได้ออกมา!


วงกบประตูนั้นแหลมคมดังใบมีด พลังวิญญาณสูงส่งอย่างเธอสัมผัสด้านบนยังถูกบาดจนเลือดไหลริน


ถูกบาดไม่ได้สลักสำคัญ ที่สำคัญคือตอนนิ้วมือสัมผัสกับวงกบประตู ก็ราวกับโดนกระแสไฟฟ้า สัมผัสเพียงนิดก็เหมือนถูกผึ้งต่อย…


บทที่ 1380 ซีจิ่ว พวกเราจะช่วยเจ้า!


เมื่อครู่ตอนกู้ซีจิ่วยังไม่ออกมา ไป๋หลี่เช่อและคนอื่นๆ กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับนาง จึงลองสัมผัสวงกบประตูนั้น ผลคือสัมผัสโดนเพียงเล็กน้อยก็ถูก ‘ช็อต’ กลับมา มือเจ็บเหมือนถูกเหล็กในผึ้งต่อยนับไม่ถ้วน แทบอยากจะตัดมือที่เจ็บปวดทิ้ง


แต่มือทั้งสองข้างของกู้ซีจิ่วกลับจับวงกบประตูนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น พยายามหยุดยั้งการปิดตัวของมัน โลหิตไหลเป็นทางตามนิ้วมือของเธอ เธอกลับเหมือนไม่รู้สึกเจ็บ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำพยายามง้างประตูบานนั้นไว้อย่างสุดชีวิต…


เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยก็ทะยานเข้ามา หวังช่วยง้างประตูนี้ ทว่าก่อนที่พวกมันจะเข้าใกล้ก็ถูกดีดกระเด็นออกไป


เจ้าหอยยักษ์พุ่งชน ฝากระแทกเข้าวงกบประตู เจ็บปวดจนฝาปิดไม่สนิท ขดตัวสั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น


หลัวจั่นอวี่ไม่อยากให้น้องสาวได้รับบาดเจ็บ จึงรีบรุดไปช่วย ทว่าพลังวิญญาณของเขาต่ำเกินไป มือเพิ่งสัมผัสถูกวงกบประตูก็สูญเสียพละกำลังทั้งหมดแล้ว และถูกดีดออกไป!


เขาเจ็บปวดจนใบหน้าซีดเป็นซากศพ เกือบยืนไม่ไหว


ประตูวิชาเช่นนี้ไม่ใช่ออกแรงง้างแล้วจะไม่ปิดลง มันยังคงแคบลง เลือนรางลงเรื่อยๆ…


แค่สิบกว่าวินาทีสั้นๆ สำหรับกู้ซีจิ่ว ช่างยาวนานดังชั่วอายุขัย!


ไม่ว่ากลุ่มคนจะไม่ยินยอมแค่ไหน ประตูบานนั้นก็ยังค่อยๆ ปิดและเลือนรางลง ในที่สุดก็มลายหายไปโดยสมบูรณ์…


กู้ซีจิ่วทรุดนั่งลงที่พื้น สีหน้าดุจไร้วิญญาณ


ฝูงชนมองหน้ากันเหลอหลา ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่ไม่สามารถออกมาได้จะเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้เก่งกาจเสมอมา!


หลัวจั่นอวี่กระโจนไปตรงหน้ากู้ซีจิ่ว ดึงมือนางไว้ “เสี่ยวจิ่ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เขามีความสามารถยิ่งนัก ไม่มีทางเป็นอะไรได้ เจ้าทำแผลที่มือก่อน…”


มือของนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด แทบจะไหลเป็นทาง ย้อมชุดแพรไหมของนางเป็นสีแดง ทำให้หลัวจั่นอวี่เห็นแล้วเจ็บปวดประหนึ่งหัวใจถูกมีดทิ่มแทง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบจัดการให้นาง


กู้ซีจิ่วเหม่อลอย สายตาของเธอมองดูสถานที่ที่ประตูบานนั้นเคยปรากฏขึ้นอย่างไร้จุดหมาย


หลัวจั่นอวี่เพิ่งพันแผลให้ได้เพียงครึ่ง เธอเหมือนเรียกสติกลับมาทันใด ผลักหลัวจั่นอวี่ออก กระโจนตัวขึ้น!


“ข้าจะช่วยเขาออกมา!”


“ตี้ฝูอี หากท่านไม่ออกมา ข้าจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว!”


มือของเธอทำมุทราติดต่อกัน พยายามทุกวิถีทาง ฝืนทำลายเขตแดนนี้!


หลัวจั่นอวี่ตกตะลึง ก้าวไปจับมือนางไว้แน่น “ซีจิ่ว เจ้าใจเย็นก่อน! เขตแดนนี้ทำลายไม่ได้! หากทำลายแล้วสัตว์ร้ายทั้งหมดในยอดเขาที่แปดจะหลุดออกมา!”


สัตว์ร้ายบนยอดเขาที่แปดไม่ใช่สิ่งที่ควรมีบนโลกนี้อย่างเด็ดขาด หากหลุดออกไปตัวหนึ่ง เกรงว่าจะทำให้เกิดมหันตภัยร้ายแรงต่อโลก ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ร้ายบนยอดเขาที่แปดนี้มีหลายสิบตัว!


ฝูงชนแทบจะไม่กล้าจินตนาการว่า หากสัตว์ร้ายมากมายเหล่านี้หลุดเข้าไปในโลกมนุษย์พร้อมกันจะเป็นอย่างไร


กู้ซีจิ่วซัดหลัวจั่นอวี่ไปหนึ่งฝ่ามือ!


ยามนี้เธอไม่ฟังคำพูดเกลี้ยกล่อมของใครหน้าไหนทั้งนั้น ในหัวของเธอมีเพียงความคิดเดียว ‘ช่วยเขาออกมา! ถึงแม้จะทำให้ทั้งโลกต้องฝังอยู่กับเธอก็ต้องช่วยเขาออกมาให้ได้!’


เธอเกิดมาพร้อมประสาทสัมผัสที่ว่องไวต่อเขตแดน ตอนที่พลังวิญญาณต่ำก็ทำลายเขตแดนจนชำนาญนัก นับประสาอะไรกับพลังวิญญาณของเธอตอนนี้ที่บรรลุขั้นสิบแล้ว เป็นร่างกึ่งเทพแล้ว วิชาที่เธอใช้เพียงพอจะทำให้ภูเขาลูกนี้สั่นสะเทือน!


เขตแดนไร้สีสันที่แข็งแกร่งคงทน ภายใต้การใช้วิชาโจมตีติดต่อกันก็เริ่มสั่นเป็นระลอกคลื่นแล้ว…


ทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้นางสงบใจไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำลงไปยามนี้เป็นความผิดมหันต์ ทว่าไม่มีผู้ใดพยายามขัดขวางนางอีก…


ดวงตาหลัวจั่นอวี่แดงก่ำ “จิ่วเอ๋อร์ ข้าช่วยเจ้า!”


ไป๋หลี่เช่อก้าวออกไป “ซีจิ่ว พวกเราจะช่วยเจ้า!”


———————————————————————–


บทที่ 1381 ท่านเกือบทำให้ข้าตกใจตาย…


ฝูงชนก็เลือดร้อนทยอยกระโดดตามขึ้นไป ไร้ซึ่งคำพูดอันใด ต่างใช้ความสามารถพิเศษของตนโจมตีเขตแดนนั้นอย่างสุดชีวิต…


ดังนั้นเขตแดนจึงเริ่มสั่นคลอน ระลอกคลื่นเริ่มแผ่วงกว้างขึ้น ประตูสีรุ้งดุจดาวหกแฉกค่อยๆ ปรากฏ หลังจากนั้นมีเงาร่างคนพลันเปล่งแสงหน้าประตูบานนั้น คนผู้หนึ่งกระโดดออกมาจากหลังประตู!


“หยุด!” คนผู้นั้นตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ ถึงแม้สุ้มเสียงค่อนข้างอ่อนแรงทว่าชัดเจนกังวาน


ฝูงชนนิ่งอึ้ง


ทุกคนทึมทื่อกันหมด!


เจ้าหอยยักษ์ตื่นเต้นจนฝาสั่น ส่งเสียงร้องยินดี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”


กู้ซีจิ่วแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง อึ้งงันอยู่ตรงนั้นอย่างหาได้ยาก! ตกตะลึงไม่กี่วินาทีก็กระโจนเข้าไปหา “ตี้ฝูอี!”


คนที่ออกมาก็คือตี้ฝูอี ใบหน้าของเขาค่อนข้างซีดเผือด เขายังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็อ้าแขนกอดกู้ซีจิ่วที่กระโจนเข้าไปหา


ร่างของคนในอ้อมกอดสั่นเทาเล็กน้อย กอดรัดเอวของเขาไว้แนบแน่น ประหนึ่งกอดสมบัติล้ำค่าที่สูญหายไปแล้วได้กลับคืนมาอีกครั้ง กอดแน่นจนเอวเขาแทบหัก น้ำเสียงที่เอ่ยแหบพร่า เต็มไปด้วยความโกรธ “ท่านหลอกข้า! ท่านหลอกข้าอีกแล้ว…”


คำพูดด้านหลังเธอพูดไม่ออก ลำคอดังมีไข่ฟองหนึ่งติดอยู่ น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านเกือบทำให้ข้าตกใจตาย…”


ตี้ฝูอีมองดวงหน้าน้อยๆ ที่ซีดเผือดของนาง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เป็นครั้งแรกที่เห็นนางซึ่งเก็บงำความรู้สึกมาตลอดเปิดเผยอารมณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาทำให้นางตกใจมากจริงๆ! หากเขาออกมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ไม่แน่นางอาจอกแตกตายไปแล้ว…


ความรักครั้งนี้นางถลำเข้าไปลึกกว่าที่เขาคิดมากนัก


ดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวด เอื้อมมือตบหลังนางเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้ว ข้าแค่ออกมาช้านิดหน่อย…ตอนนั้นข้าจำเป็นต้องหลอกล่อพวกมันไปที่อื่นก่อน ถึงจะเปิดเส้นทางใหม่ได้อีกครั้ง…”


กู้ซีจิ่วกอดเขาอีกครั้งหนึ่ง หัวใจที่หนักอึ้ง ในที่สุดก็วางลงได้อย่างช้าๆ เธอก็รู้สึกว่าตนควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นกัน อยากผละจากเขา ทว่าแขนทั้งสองข้างแทบแข็งทื่อ จนถึงวินาทีนี้เธอเพิ่งรู้สึกว่ามือทั้งสองเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ขาก็อ่อนยวบเช่นกัน เบื้องหน้าค่อยๆ มืดลง…


เธอไม่อาจเสียเขาไปได้! เธอไม่มีทางแบกรับความเจ็บปวดที่สูญเสียเขาไปได้เลย….


ตี้ฝูอีเห็นบาดแผลที่มือนางแล้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ดึงมือเล็กๆ ของนางมา “เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?! ข้าเคยกำชับเจ้าไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่อาจสัมผัสประตูเลือนรางนั้นได้…”


เจ้าหอยยักษ์เบ้ปากอยู่ด้านข้าง “ไม่อาจสัมผัสได้? เมื่อครู่นางง้างประตนั้นไว้ไม่ให้หายไปสุดชีวิตเลย…”


หัวใจตี้ฝูอีหยุดนิ่งราวกับจมน้ำ มองดวงหน้าน้อยๆ ที่เจ็บปวดจนเหงื่อออกของนาง “เจ้า…โง่นัก!” ก่อนยกมือขึ้นจัดการบาดแผลให้นาง บาดแผลเช่นนี้ไม่เหมือนบาดแผลทั่วไป กู้ซีจิ่วฝึกฝนจนถึงระดับนี้ ระบบประสาทร่างกายไม่ใช่มนุษย์แล้ว ได้รับบาดเจ็บธรรมดาเพียงเล็กน้อยก็หายได้ในพริบตา ไม่เหลือร่องรอยไว้แม้แต่น้อย


ทว่าบาดแผลเช่นนี้ไม่ได้ นางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็เหมือนคนธรรมดาถูกมีดบาดอย่างรุนแรง เลือดไหลไม่หยุด แผลร้ายแรงยิ่งนัก ทำให้มือเล็กของนางดูน่ากลัวมาก


ไม่รู้ว่าเจ็บหรือว่าตกใจกันแน่ ร่างในอ้อมกอดเขายังสั่นสะท้านเล็กน้อย


“ต่อไป…ห้ามทำแบบนี้อีก” ตี้ฝูอีทายาวิญญาณลงบนมือนาง


ยาวิญญาณนี้เย็นสดชื่น บรรเทาความเจ็บปวดได้ไม่น้อย ดวงตาทั้งคู่ของนางดำขลับ เม้มริมฝีปากแน่น ราวกับยังตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย


เมื่อแผลบนมือเธอเจ็บปวดขึ้นมา จะไม่เหมือนแผลฉีกขาดธรรมดา แต่เหมือนหนามไม้ทิ่มแทงไปทั่วทั้งมือ เมื่อสัมผัสโดนเล็กน้อยก็ประหนึ่งถูกแมงป่องต่อย การเคลื่อนไหวของตี้ฝูอีเบามากพอแล้ว ทว่ายังทำให้หน้าผากเธอมีเหงื่อออก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)