คัมภีร์วิถีเซียน 1374-1392
คัมภีร์วิถีเซียน 1374-1392
ตอนที่ 1374
ป่าใบดำ
อสูรยักษ์สองตัวนี้ดูเหมือนวานรยักษ์สองหัว แต่เรือนกายมีขนสีเขียวปกคลุมอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีดวงตาสีดำสามดวง กลอกไปมาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ามีไหวพริบมาก
หานลี่มองอสูรขนยาวทั้งสองตัวเดินผ่านไปจากใต้ต้นไม้อย่างเงียบๆ ค่อยๆ ห่างออกไป ร่างกายถึงได้พลิ้วไหวมาปรากฏตัวใต้ต้นไม้ยักษ์อีกครั้ง
มองทิศทางที่อสูรยักษ์หายวับไป ใบหน้าของเขาเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
เจ้าสองตัวนี้ดูเหมือนกำลังลาดตระเวน แน่นอนว่าไม่ใช่เผ่าพฤกษา แต่เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในป่าใบดำ ดูจากสามง่ามสัมฤทธิ์ยักษ์ที่อยู่บนบ่าของพวกมัน เห็นได้ชัดว่ามีสติปัญญาเฉียบแหลม
หรือว่าจะเป็นเผ่าประหลาดอีกเผ่าที่ไม่รู้จัก
หานลี่ครุ่นคิด แล้วพลันสั่นศีรษะ
จากที่เขารู้มา เผ่าพฤกษาต่อต้านบุคคลภายนอกมาก โดยปกติแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้กำลังของเผ่าประหลาดเข้ามาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยในอาณาเขตแน่ หรือว่าคืออสูรสงครามที่เผ่าพฤกษาเลี้ยงดูไว้?
หานลี่ขบคิดเช่นนี้
สิ่งที่เรียกว่าอสูรสงคราม ความจริงแล้วก็คืออสูรวิญญาณ แค่เปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น เคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่ใช้ในการควบคุมอสูรวิญญาณนั้นไม่ต่างอะไรกับของเผ่ามนุษย์และปีศาจมากนัก เผ่าประหลาดอื่นๆ ก็รู้วิธีใช้สมุนไพรและการกำราบอสูรโบราณด้วยวิธีอื่นๆ ทำให้พวกมันมาเป็นของตนเอง
แน่นอนว่าเผ่าต่างๆ ที่ไม่พรสวรรค์แตกต่างกันนั้น จึงกำราบและควบคุมอสูรต่างๆ ได้เหมือนกัน และไม่ได้มีวิธีกำราบอสูรโบราณทั้งหมด
อสูรประหลาดสองหัวของเผ่าเงาที่เขาพบก่อนหน้านี้ ก็คืออสูรสงครามที่มีพลังไม่น้อยของเผ่าเงา ทว่าอสูรโบราณชนิดนี้คงมีเพียงเผ่าเงาที่มีวิธีกำราบได้
ส่วนเผ่าพฤกษานั้น ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอสูรสงคราม หรือว่ากำราบใหม่ได้สำเร็จ
หานลี่ขบคิดอยู่นานด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มท้อง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขบคิดแล้ว
ในเมื่ออสูรขนยาวทั้งสองตัวเข้าใกล้เขาขนาดนี้แต่ก็ยังไม่พบเขา เดาว่าคงเป็นประเภทที่มีผิวกายหยาบกร้าน ไม่เพียงพอให้หนากลัว
เมื่อตัดสินใจแล้ว ร่างกายของหานลี่ก็พลิ้วไหว กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งหายวับไป
……
หนึ่งวันผ่านไป ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หานลี่มองอสูรขนยาวแปดตัวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดูเหมือนว่าอสูรวานรยักษ์เหล่านี้จะไม่เหมือนกับสองตัวก่อนหน้า ไม่เพียงร่างกายจะเล็กกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรือนกายสีแดงเพลิง ในมือไม่ได้ถือสามง่ามสัมฤทธิ์เอาไว้ แต่เป็นกระบองเขี้ยวหมาป่าเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ
อสูรยักษ์แปดตัว ต่างจ้องมองมาทางหานลี่พร้อมกับแยกเขี้ยวคำราม ท่าทางดุร้าย
หานลี่มุมปากกระตุกเล็กน้อย
แต่เดิมคิดว่าอสูรขนยาวเหล่านี้น่าจะมีปฏิภาณไหวพริบเชื่องช้า แต่เมื่อครู่ที่เคลื่อนผ่านอสูรขนยาวกลุ่มนี้ คาดไม่ถึงว่าจะพบที่ซ่อนหลังต้นไม้ของเขา แล้วล้อมวงเข้ามา
หานลี่มองอสูรประหลาดทั้งแปดตัวที่มีดวงตาที่สามเปล่งแสงสีดำระยิบระยับ แล้วพลันขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจอะไรสักอย่าง
ตอนนั้นที่พบกับอสูรขนยาวสีเขียวสองตัว ดวงตาที่สามของพวกมัน ดูเหมือนว่าจะปิดสนิทอยู่
ครานี้อสูรประหลาดสีแดงแปดตัวพลันเปล่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา ร่างกายหมอบลง ในเวลาเดียวกันก็โบกสะบัดกระบองเขี้ยวหมาป่าในมืออย่างรุนแรง
ผิวของยุทธภัณฑ์เหล่านี้มีลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ในเวลาเดียวกันวายุประหลาดสองสามกลุ่มก็โถมเข้ามาหาหานลี่
หานลี่เลิกคิ้วทั้งสองขึ้น ไม่ได้หลบหลีกใดๆ แค่สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบ
กระบี่เล่มเล็กสีทองแปดเล่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเส้นไหมสีทองแปดสายโอบล้อมอสูรขนยาวทั้งแปดตัวเอาไว้
หลังจากเสียง “ฉับๆ” ดังขึ้น หัวใหญ่โตทั้งแปดก็กลิ้งลงมากับพื้นราวกับหั่นผัก
เมื่อเส้นไหมลำแสงสีทองแปดสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วคืนร่างเป็นกระบี่เล่มเล็ก ก็สั่นคลอนอีกครั้งแล้วบินกลับไป ซากที่มีโลหิตสดๆ สีเขียวมรกตย้อมอยู่ทั้งแปดพลันล้มตึงลงกับพื้น
หานลี่ใช้อีกมือหนึ่งสะบัดไปทางซากศพเหล่านั้น ลูกบอลเพลิงสีแดงสดแปดลูกลอยออกมา โจมตีไปยังซากศพ
หลังจากเปล่งเสียงฟู่ๆ สองครั้ง พวกมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงลำแสงสีแดงสด
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้พลิ้วกายไปด้วยสีหน้าราบเรียบ จมหายเข้าไปในป่าอีกครั้งพร้อมกับเงากลุ่มหนึ่ง
หานลี่ไม่รู้เลยว่า พอเขาจากไปได้ไม่นาน บนต้นไม้ยักษ์ที่อยู่รอบๆ ต้นหนึ่งก็มีลำแสงสีเขียวสองดวงเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเบิกตาสีเขียวขนาดสองสามฉื่อสองข้างขึ้น ลูกตาสีเขียวมรกตกลอกไปมาสองครั้งอย่างไร้ความรู้สึก แล้วจ้องไปยังทิศทางที่เห็นเงาของหานลี่อยู่รางๆ ด้วยตาที่ไม่กะพริบ
ห่างจากตรงนั้นไปสองสามหมื่นลี้ บนต้นไม้ที่ไม่สะดุดตาต้นหนึ่ง มีลูกตาสีเขียวคู่หนึ่งเบิกตาขึ้นเช่นกัน
ทิศทางที่ดวงตาสีเขียวมองไป คือผืนที่โล่งที่อยู่ไกลออกไปประมาณร้อยจั้งเศษ บุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งกำลังยืนเคียงบ่ากันอยู่ตรงนั้น บุรุษหนึ่งในนั้นสวมชุดสีม่วง สตรีสวมกระโปรงสีดำ เห็นได้ชัดว่าคือหล่งตงและเสี่ยวหง
ทั้งสองคนกำลังถ่ายทอดเสียงอะไรสักอย่างไปมา บนพื้นดินรอบๆ มีอสูรขนยาวสองชนิดสีแดงและเขียวสิบกว่าตัวนอนอยู่
“พี่หล่ง เจ้าพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่มองทะลุผ่านเคล็ดวิชาอำพรางกายของพวกเราได้อย่างไร ธงลำแสงลวงตาของข้า แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันก็ไม่อาจมองทะลุผ่านได้” สตรีขมวดคิ้วขณะถ่ายทอดเสียงมา
“น่าจะเกี่ยวข้องกับตาที่สามของพวกมัน โดยปกติแล้วอสูรปีศาจที่มีหลายตา จะมีความสามารถพิเศษ เช่นนั้นพวกเราจึงต้องระวังหน่อย” หล่งตงมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยเช่นกัน แต่ปากกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“คงจะเป็นเช่นนั้น พวกเราออกเดินทางกันเถิด จะต้องไล่ตามแม่หญิงนั้นให้ทัน มิเช่นนั้น ของสิ่งนั้นคงตกอยู่ในมือของนาง” สตรีมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“หึๆ! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีแผนการนี้กับแม่หญิงนั่นที่เข้าร่วมภารกิจนี้ น่าเสียดายที่ของสิ่งนี้เป็นเพียงของไร้ค่าสำหรับตระกูลหล่งของพวกเรา แต่เซียนอย่าลืมล่ะว่าพวกเราตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ของเป็นของเจ้า คนเป็นของข้า” หล่งตงหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา แต่กลับเอ่ยอย่างขึงขัง
“หึ ถึงแม้ว่าข้าจะอยากได้โลหิตของหงส์สวรรค์เช่นกัน แต่เทียบกับเรื่องสำคัญในเผ่าแล้ว ก็รู้ว่าอะไรสำคัญกว่าดี” สตรีแค่นเสียงในลำคอขณะเอ่ย
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปกันเถิด!” ชายหนุ่มไฝโลหิตหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ทันใดนั้นร่างของทั้งสองพลันพลิ้วไหว จมหายเข้าไปในป่าบริเวณรอบเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง เงาลวงตาสีขาวที่บางเบาอย่างหาที่เปลี่ยนสายหนึ่ง กำลังพุ่งผ่านป่าเขาได้อย่างรวดเร็ว จนน่าเหลือเชื่อ…
ตรงเขตต้องห้ามในป่าใบดำ จุดที่ลึกลับที่สุด ใต้ต้นไม้สีเงินความสูงหกเจ็ดจั้งต้นหนึ่ง เงาร่างคนสีดำสองสามสายกำลังนั่งสมาธิอยู่ หนึ่งในนั้นเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น เผยลูกตาสีเขียวมรกตที่พ่นลำแสงสีทองออกมา ปากก็เปล่งเสียงประหลาดๆ สั้นๆ ออกมาสองสามครั้ง
เงาร่างคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ พลันลืมตาขึ้น เงาร่างคนคนหนึ่งที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนอื่น เปล่งคำพูดที่เต็มไปด้วยอำนาจออกมา ดูเหมือนว่ากำลังซักถามอะไรอยู่
เงาร่างคนที่ลืมตาทั้งสองขึ้นเป็นคนแรกผู้นั้น หมอบลงกับพื้นในทันที ตอบกลับด้วยความนอบน้อมสองสามประโยค
หลังจากที่คนด้านหลังได้ยิน ก็ออกคำสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ก็หยัดกายลุกขึ้นในทันใด แยกออกไปยืนตรงล้อมต้นไม้เล็กๆ สีเงิน
เงาร่างสูงใหญ่เปล่งเสียงตะโกนออกมา มือหนึ่งชี้ไปยังต้นไม้ต้นเล็ก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพลันพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในต้นไม้สีเงิน
ชั่วขณะนั้นต้นไม้สีเงินพลันสั่นสะเทือนอย่างหนัก ดวงตาสีเงินเบิกขึ้นบนต้นไม้ ในเวลาเดียวกันก็เปล่งแสงสว่างวาบพ่นเสาลำแสงสีเงินหนาเท่าปากชามออกไปสองสามสาย ทุกสายโจมตีไปบนร่างของเงาร่างคนแต่ละคน
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
เงาร่างคนที่ถูกเสาลำแสงโจมตีเหล่านี้ร่างกายเลือนหายวับไป
แน่นอนว่าหานลี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งไม่รู้ว่าร่องรอยของตนเองตกอยู่ในสายตาของคนอื่นแล้ว ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ อยู่ภายในป่า
หนทางด้านหลังช่างราบรื่นนัก ระหว่างทางนอกจากบังเอิญพบกับอสูรขนยาวที่อยู่ตามลำพังสองสามตัวแล้ว ก็ไม่พบคนของเผ่าพฤกษาเลยสักคน
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกดีอกดีใจในเวลาเดียวกัน และอดที่จะรู้สึกฉงนสงสัยไม่ได้
แต่เมื่อขบคิดอีกที พื้นที่ของป่าใบดำนั้นกว้างใหญ่ขนาดนี้ เวลานี้แค่นี้ยังไม่พบเผ่าพฤกษาก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร
ภารกิจนี้เกี่ยวข้องกับยากำจัดสิ่งโสม ตอนนี้เขาเข้ามาในส่วนลึกของป่าแล้ว แน่นอนว่าจึงไม่อาจถอนตัวกลางคันได้
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หานลี่ก็แค่เพิ่มความระมัดระวังขึ้น สองเท้ากลับไม่หยุดพักเลยแม้เพียงชั่วครู่
……
สองวันต่อมา หานลี่พลันหยุดอยู่บนกิ่งไม้บางๆ กิ่งหนึ่ง ร่างกายพลิ้วไหวไปตามลมราวกับไม่มีสสาร สองตากลับจ้องเขม็งไปยังเนินเขาสูงร้อยจั้งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
บนยอดเขามีต้นไม้อยู่บางตาเป็นพิเศษ นอกจากต้นไม้โบราณที่มีอายุค่อนข้างนานอยู่สองสามต้น ก็ไม่มีต้นไม้อื่นอีก
หลังจากที่หานลี่ตรวจสอบเนินเขาอยู่นาน ถึงได้พลิกฝ่ามือ จานอาคมสามเหลี่ยมสีดำพลันปรากฏขึ้น
ใจกลางของอาคม ลำแสงสีขาวนวลจุดหนึ่งกะพริบวายไม่หยุด
ก้มหน้าลงมองจานอาคมอยู่ชั่วครู่ แล้วมองเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งโจมตีไปยังจานอาคม
ชั่วขณะนั้นจานอาคมพลันเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ จุดลำแสงสีขาวนวลกลุ่มนั้นบินออกมา หลังจากหมุนวนโคจรรอบหนึ่ง ชั่วครู่ก็พ่นเส้นไหมสีขาวบางๆ สายหนึ่งออกมา ตรงไปยังต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งบนเนินเขา
หานลี่เลื่อนสายตาไป
ต้นไม้ต้นนี้ดูเหมือนต้นไม้โบราณที่แห้งตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว สูงประมาณสามสิบจั้ง ด้านบนเป็นสีดำสนิท ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น ด้านล่างกลับเป็นสีเหลือง ใกล้กับโคนรากเป็นสีเขียวอ่อน
หานลี่มองดูอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันปิดตาทั้งสองข้าง แผ่จิตสัมผัสออกไป ตรวจสอบในบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด
ชั่วครู่ถึงได้เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น เผยสีหน้าวางใจออกมา
รอบด้านไม่มีคนเลยสักคน และไม่มีความผิดปกติอะไร
หานลี่ไม่ได้เคลื่อนไหวต่อ หลังจากที่หรี่ตาทั้งสองข้างลงขบคิด พลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกกลมๆ สีเงินสองสามเม็ดปรากฏขึ้นในมือ อ้าปากออกอีกครั้ง หลังจากเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น พ่นวิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นออกมา
หลังจากที่วิหคเพลิงบินวนรอบร่างเขา ก็มีขนาดประมาณสองสามฉื่อ กระโจนเข้ามาที่ฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่าจะกลืนไข่มุกสีเงินสองสามเม็ดนั่นลงไป จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ใช้มือหนึ่งปัดที่ไปกำไลเก็บของ ในมือมีธงอาคมสีเขียวตั้งหนึ่งปรากฏขึ้น โยนออกไปด้านหน้าโดยไม่ปริปาก
ลำแสงสีเขียวเจ็ดแปดสายพุ่งออกไป จมหายเข้าไปในเนินเขาอย่างไร้ร่องรอย
สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคม บริกรรมคาถาสองสามครั้ง
ชั่วขณะนั้นลำแสงวิญญาณสีเขียวชั้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นรอบๆ เนินเขา แต่ทันใดนั้นหานลี่ก็ร่ายอาคมกระตุ้น ทันใดนั้นก็เปล่งแสงระยิบระยับ แล้วหายวับไป
เมื่อเห็นฉากนี้ หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ร่างกายหมอบลงบนต้นไม้ หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาอยู่ตรงขอบของเนินเขา
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 1375
เผ่าพฤกษา
มองจากจุดที่ไกลออกไป บนเนินเขาทุกอย่างดูปกติมาก ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่ภาพลวงตาชั้นหนึ่งเท่านั้น
หานลี่เองนั้นยืนอยู่บนเนินเขาตั้งนานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังยืนอยู่ด้านหน้าต้นไม้โบราณที่ใกล้เฉาตายต้นนั้น
หานลี่มองไปยังต้นไม้ ในหัวคิดถึงเรื่องที่หล่งและสตรีกล่าวถึงไปมา
จากที่พวกเขากล่าว หากเป็นไปได้ละก็ สายลับของเผ่ามนุษย์และปีศาจจะมาพบกับผู้คาบข่าวเอง เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนเนื้อหาที่ไม่สะดวกจดบันทึกลงไป แต่หากมันอันตรายเกินไป ไม่อาจมาได้ด้วยตนเองละก็ ก็จะทิ้งข่าวคราวทั้งหมดเอาไว้ที่นี่
ครานี้เขากวาดจิตสัมผัสไปรอบๆ ดูแล้วคงไม่มีใครมาที่นี่ด้วยตนเอง
เช่นนั้น ภารกิจก็จะง่ายขึ้นแล้ว ขอแค่เอาของไป ก็ถือว่าเขาทำสำเร็จแล้ว
เมื่อขบคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปอย่างไม่คิดมากอีก วาดไปกลางอากาศทางต้นไม้โบราณเบื้องหน้า
หลังจากเสียง “ฉับ” ดังขึ้น ไอกระบี่สีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศออกไป ต้นไม้แห้งกรอบถูกฟันออกเป็นสองส่วน
ด้านในมีคัมภีร์สีขาวนวลปรากฏขึ้น
หานลี่เผยสีหน้ายินดีออกมา เสียงอึกทึกดังขึ้นกลางอากาศ ลำแสงสีทองสายหนึ่งทะลุผ่านเคล็ดวิชาลวงตาของหานลี่ ตรงเข้าไปหาคัมภีร์
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ชูมือขึ้นลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบโดยไม่ต้องคิด มือลำแสงขางหนึ่งปรากฏขึ้นบนลำแสงสีทองแล้วตะปบลงมาทันที
เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาที่คุ้นเคย “จุ๊ๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีทองที่ดูเหมือนเงาลวงตาถูกมือลำแสงสีเขียวตะปบเอาไว้ แต่คัมภีร์ที่แต่เดิมกำลังพุ่งเข้ามาหานลี่กลับหยุดชะงัก เงาสีขาวจางๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้าง ดูเหมือนว่าจะชูมือขึ้นอย่างสบายๆ คว้าคัมภีร์มาอยู่ในมือ
“สหายเยี่ย!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ชั่วพริบตาก็จำใบหน้าที่แท้จริงของเงาสีขาวได้ จึงร้องเรียกหญิงสาวชุดขาวนามว่าเยี่ยอิ่งออกมา
“พี่หาน ดูแล้วการเดินทางคงราบรื่น จึงมาถึงที่นี่ได้อย่างสบายๆ” หญิงสาวควงคัมภีร์เล่นในมือพลางหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย
“หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเซียนเยี่ยพบปัญหาเข้า ข้ารอพวกเจ้าอยู่ที่ทางออกทางเดินสวรรค์ตรงเขตแดนของป่าอยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลย เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า” แววตาของหานลี่ฉายแววสงสัยขณะเอ่ยถาม
“ง่ายมาก ข้าและพวกของสหายหล่งพบกับอสรพิษวายุฝูงหนึ่งในเส้นทางสวรรค์ จึงจำใจต้องแยกกัน และเพื่อดิ้นให้หลุดจากเจ้าพวกนั้น จึงทำได้เพียงเปลี่ยนทิศทาง ระหว่างทางยังพบกับปัญหาอีกเล็กน้อย สหายจึงไม่พบกับพวกเรา” หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบาน คาดไม่ถึงว่าจะเผยท่าทางเป็นเอกลักษณ์ออกมา
หานลี่กลับใจหายวาบ รู้สึกแปลกๆ จากคำพูดของหญิงสาวผู้นี้
เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะเอ่ยอะไรต่อ ด้านข้างก็มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสองสายพุ่งเข้ามา หลังจากหม่นแสงลง ก็เผยร่างของบุรุษหนึ่งคนและสตรีหนึ่งคนออกมา
บุรุษมีหน้าหล่อเหลา สตรีมีใบหน้างดงาม นั่นก็คือหล่งตงและสตรี
“เจ้า!”
“เจ้าล่วงหน้ามาก่อก่อนดังคาด!”
คำพูดที่ไม่เหมือนกันดังออกมาจากปากของทั้งสองคน
เมื่อสตรีเห็นหานลี่มาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนหล่งตงเมื่อเห็นหญิงสาวชุดขาวกลับเผยสีหน้ายินดีออกมา
“ที่แท้พี่หล่งและสหายเสี่ยวก็ไม่ได้เร็วกว่าน้องหญิง แต่ช้ากว่าหน่อยนี่เอง” หญิงสาวชุดขาวมองทั้งสองคน แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ของ แม่หญิงเยี่ยได้มาแล้ว” แววตาของหล่งตงกวาดไปยังของที่อยู่ในมือของหญิงสาว แล้วเผยท่าทีอมยิ้มออกมา
ส่วนสตรีเมื่อเห็นคัมภีร์อยู่ในมือของหญิงสาวชุดขาวแล้ว กลับหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ข้าน้อยเพิ่งได้ของสิ่งนี้มา ความจริงแล้ว น่าจะเป็นสหายหานที่มาถึงก่อน น้องหญิงแค่มาก่อนทั้งสองท่านก้าวเดียวเท่านั้น” หญิงสาวเปล่งเสียงหัวเราะกังวานออกมา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“พี่หาน ที่นี่มีแค่คัมภีร์ม้วนเดียวหรือ?” สตรีขบคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามขึ้น
หานลี่ใจเต้น แต่ยังคงพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำตอบของหานลี่ สตรีก็เงียบขรึม ส่วนหล่งตงกลับมองไปยังหญิงสาวโดยไม่ปริปาก ส่วนหญิงสาวชุดขาวนั้นกลับก้มหน้าลง แค่หัวเราะน้อยๆ ขณะควงคัมภีร์ในมือเล่น
ครานั้น ที่นี่จึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดขึ้นหลายส่วน ราวกับสัญญาณก่อนฟ้าฝนกระหน่ำ
“น้องหญิงเยี่ย คัมภีร์ม้วนนี้ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่ สายสืบของเผ่าพฤกษาที่ส่งมาในครั้งนี้ มีคนของเผ่าหงส์ทมิฬด้วย ไม่แน่ว่าด้านในอาจจะมีอะไรที่คนของเผ่าข้าทิ้งเอาไว้” สตรีมีสีหน้าผ่อนคลายลง ขณะเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“เกรงว่าจะไม่ได้ ไม่ปิดบังพี่หญิง สายสืบที่ส่งมายังเผ่าพฤกษา เป็นคนของตระกูลเยี่ยพอดี เช่นนั้นให้น้องหญิงดูก่อน จากนั้นค่อยให้พี่หญิงเป็นอย่างไร?” หญิงสาวชุดขาวเม้มปาก แล้วฉีกยิ้มเบิกบาน
ฟังจากคำพูดของหญิงสาว เสี่ยวหงพลันหน้าเปลี่ยนสี และไม่สามารถฉีกยิ้มต่อไปได้อีก แววตาเคร่งขรึมขึ้น
“ในเมื่อได้ของมาแล้ว ก็อย่ารั้งรออยู่ที่นี่นานนักเลย พวกเรารีบออกจากป่าผืนนี้แล้วค่อยว่ากันเถิด” หล่งตงกลับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“น้องหญิงก็คิดเช่นนั้น” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยตอบปากตกลง
สตรีขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
แน่นอนว่าหานลี่เองก็ไม่มีความเห็นอะไร
หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงฉีกยิ้ม ดวงตาสดใสกลอกไปมา ตอนที่กำลังจะเก็บคัมภีร์นั้น พลันมีเสียงดังขึ้นเบาๆ ต้นไม้โบราณที่อยู่ใกล้ๆ พลันพ่นลำแสงสีเงินสายหนึ่งออกมา ความเร็วของมันมาถึงเสื้อของหญิงสาวได้ในพริบตา
ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้หันศีรษะไป แต่ก็แค่นเสียงขึ้นจมูก ร่างกายพลิ้วไหว รางเลือนหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฏห่างออกไปสิบจั้งเศษ แต่ร่างกายยังไม่ได้เผยออกมา ใต้ฝ่าเท้าของนางมีลำแสงสีเงินประหลาดๆ พุ่งออกมาสายหนึ่ง
ครั้งนี้ในที่สุดหญิงสาวก็หน้าเปลี่ยนสี
หัวไหล่ของนางพลิ้วไหว เพียงก้าวเท้าก็พุ่งออกไปสองสามจั้งราวกับสปริง ชั่วขณะนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปใต้ฝ่าเท้า
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น
เส้นไหมลำแสงโปร่งใสจนแทบมองไม่เห็นสายหนึ่งพุ่งออกมาจากใกล้ๆ เป้าหมายไม่ใช่หญิงสาว แต่กลับเป็นคัมภีร์ในมือของหญิงสาว
หญิงสาวชุดขาวพลันตะลึงงัน หดมือกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายก็สายไปแล้ว
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น คัมภีร์ก็ระเบิดออก กลายเป็นผุยผง หญิงสาวตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว หว่างคิ้วเกิดจิตสังหารขึ้น พลิกฝ่ามือตะปบออกไป คาดไม่ถึงว่าจะตะปบเส้นไหมโปร่งใสเส้นนั้นเอาไว้ในมือ จากนั้นก็กระชากมาหาตัวเองอย่างแรง
เสียง “ครืด” ดังขึ้น แมลงยักษ์ร่างกายกึ่งโปร่งใสตัวหนึ่งถูกดึงออกมาจากกลางอากาศ
สิ่งที่เหมือนกับแมลงปีศาจนี้ ยาวสามสี่ฉื่อ ราวกับรังไหมยักษ์รังหนึ่ง แต่บนแผ่นหลังของมันมีปีกจักจั่นงอกออกมาคู่หนึ่ง พยายามกระพือสุดฤทธิ์ ดูเหมือนกำลังพยายามบินขึ้น แต่ปลายของเส้นไหมลำแสงโปร่งใสอีกด้าน นั่นคือปากของแมลงตัวนี้
เช่นนั้นขณะที่ถูกหญิงสาวจับเอาไว้ แมลงตัวนี้ก็ไม่อาจบินขึ้นมาได้เลยสักนิด
ชั่วพริบตาที่คัมภีร์ถูกทำลาย หานลี่และพวกทั้งสามก็ตกตะลึง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ต้นไม้โบราณสองสามต้นที่เหลือก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา ทันใดนั้นต้นไม้โบราณสองสามต้นก็ละลายออกราวกับภาพลวงตา ที่เดิมมีเงาร่างคนสีเขียวสองสามสายปรากฏขึ้น ราวกับงอกออกมาจากต้นไม้อย่างไรอย่างนั้น
“หึๆ คิดไม่ถึงว่า ของจะมาซ่อนอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้านำทางมา ก็คงหายากจริงๆ เช่นนั้น เผ่าของข้าก็จะไม่มีภัยพิบัติแล้ว” เงาร่างคนสูงใหญ่คนหนึ่งกวาดมายังหานลี่และพวก ปากพลันเปล่งคำพูดภาษามนุษย์แปร่งๆ ออกมา
หานลี่มองหน้าตาของเงาร่างคนเหล่านั้น รูม่านตาพลันหดเล็กลง
คนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่ผิวของทุกคนเป็นสีเขียวมรกต เครื่องหน้าทั้งห้านอกจากดวงตาสีม่วงอ่อนแล้ว ก็เหมือนกับมนุษย์ทุกระเบียบนิ้ว แม้กระทั่งสามารถแยกแยะได้ว่าสองคนในนั้นมีร่างกายอรชรอ้อนแอ้นของเพศหญิง
เงาร่างคนเหล่านี้นั่นก็คือคนของเผ่าพฤกษา
สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็คือ คนของเผ่าพฤกษาสวมเข็มขัดเส้นไหมที่เปล่งแสงระยิบระยับอยู่ กว่าครึ่งล้วนเป็นเข็มขัดสีส้ม
เข็มขัดของผู้นำที่สูงใหญ่ของเผ่าพฤกษา คาดไม่ถึงว่าจะยังมีเส้นไหมสีเงินผสมอยู่ในเข็มขัดสีเหลืองส้ม
เมื่อนึกถึงตำนานระดับของเผ่าพฤกษา จิตใจของหานลี่ก็หนักอึ้ง
“ระดับเงิน เจ้าคือพฤกษาวิญญาณระดับเงิน!” เมื่อมองเห็นเข็มขัดที่เอวของชายร่างสูงใหญ่ของเผ่าพฤกษาแล้ว หญิงสาวก็มีสีหน้าดูไม่ได้อย่างสุดๆ อย่างไม่อาจรักษาสีหน้าเอาไว้ได้
“ข้าน้อยคือปรมาจารย์พฤกษาวิญญาณระดับเงิน ในเมื่อเหล่าสหายมาที่นี่แล้ว ก็อย่าไปเลย มาเป็นแขกของเผ่าข้าก่อนเถิด” ชายร่างใหญ่ของเผ่าพฤกษาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ
คนของเผ่าพฤกษาที่สวมเข็มขัดสีส้มอยู่ด้านหลังพลันค้อมตัวลง สองมือกดลงที่พื้น
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวชั้นหนึ่งพลันทอดตัวไปบนพื้นบนเนินเขาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
หานลี่และหญิงสาวชุดขาวที่แต่เดิมยืนอยู่บนพื้น พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศอย่างไม่ต้องคิด
เสียง “ตึงๆ” อันอึกทึกดังสนั่นขึ้น เขตอาคมลวงตาที่หานลี่วางเอาไว้ไร้ซึ่งผลกลายเป็นของไร้ค่าในชั่วพริบตา
เมื่อเคล็ดวิชาลวงตาถูกทำลาย ชั่วขณะนั้นทิศทัศน์รอบๆ เนินเขาก็ปรากฏขึ้น
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
เห็นเพียงจุดที่ลำแสงสีเขียวเคลื่อนผ่าน ต้นไม้รอบๆ ล้วนกลายเป็นอสูรขนยาวสูงใหญ่ท่ามกลางลำแสงสีเขียว มือถือมีดรูปแบบต่างๆ เอาไว้ สีขนหลากสีสัน แม้กระทั่งมีพายุปีศาจพัดผ่านแล้วพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดูคร่าวๆ แล้ว มีมากกว่าสองสามพันตัว ทะลักเข้ามาบนเนินเขาราวกับสายธาร
หล่งตงและสตรีเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันซีดขาว
หานลี่กระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา มีเพียงหญิงสาวชุดขาวที่มีสีหน้าเคร่งขรึม แค่จ้องเขม็งไปยังพฤกษาวิญญาณที่มีนามว่ามู่รุ่ย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“นี่คืออสูรวานรพฤกษาที่เผ่าของเราศึกษามาหลายพันปี หากพวกเจ้าเคยอ่านคัมภีร์ม้วนนั้น ก็คงมีอยู่ในบันทึก แต่ตอนนี้ หึๆ…” มู่รุ่ยมีสีหน้าแข็งทื่อแต่ปากกลับเปล่งคำพูดเสียดสีออกมา
“ลงมือ!”
เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้น หานลี่และพวกยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวชุดขาวกลับอ้าปากออก พ่นลำแสงโลหิตสีแดงสดสายหนึ่งออกมา กลายเป็นเส้นไหมโลหิตสีแดงสองสามสาย พุ่งไปหาพฤกษาวิญญาณตนอื่นๆ ยกเว้นพฤกษาวิญญาณระดับเงิน
ตอนที่ 1376
หกแขนปรากฏตัวเป็นครั้งแรก
พฤกษาวิญญาณสองสามตนพลันตะลึงงัน บ้างก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ โล่และเกราะป้องกันพฤกษาปรากฏขึ้น บ้างก็อ้าปากออกพร้อมกัน พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา คิดจะต้านทานเส้นไหมโลหิตเอาไว้
แต่ไม่รู้ว่าเส้นไหมโลหิตเหล่านี้สร้างขึ้นจากสิ่งใด มันทะลุผ่านเครื่องป้องกันเหล่านั้นไปราวกับเงาลวงตา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของพฤกษาวิญญาณเหล่านั้น
พฤกษาวิญญาณเหล่านั้นมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้นบนเรือนร่าง ชั่วพริบตาก็ถูกเส้นไหมโลหิตห่อหุ้มเอาไว้เป็นตาข่าย ครานั้นไม่มีทางดิ้นรนหลบหนีได้
ในเวลาเดียวกันซากของต้นไม้โบราณสองส่วนที่ถูกหานลี่ใช้ไอกระบี่ผ่าออก ก็หมุนวนแล้วกลายเป็นเงาสีทองจางๆ สองสายกระโจนเข้าไปหามู่รุ่ย
มู่รุ่ยแค่นเสียงในลำคอ จากนั้นพลันชี้นิ้วไป
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินสองสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วดีดตัวออกโจมตีไปยังเงาสีทองอย่างพอดิบพอดี
เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น เงาสีทองระเบิดออก จุดลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ห่อหุ้มพฤกษาวิญญาณระดับเงินเอาไว้
เสียงคำรามดังสนั่นขึ้น รอบด้านของมู่รุ่ยมีเขตอาคมที่ก่อตัวขึ้นจากอักขระสีทองปรากฏขึ้น ท่ามกลางลำแสงวิญญาณพลันห่อหุ้มพฤกษาวิญญาณระดับสูงเอาไว้ข้างใน
มู่รุ่ยแววตาเปล่งแสงสีม่วง สองมือประกบเข้าหากัน ในมือมีลำแสงสีเงินที่เจิดจ้าจนแสบตาปรากฏขึ้น จากนั้นลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกแล้วพุ่งไปทั้งสี่ทิศ
เสียงตูมๆ ดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีเงินและยันต์สีทองพัวพันตัดสลับกัน ไม่รู้ว่าอักขระสีทองเหล่านั้นคือความสามารถประหลาดอะไร มันต้านทานการโจมตีของพฤกษาวิญญาณระดับเงินเอาไว้ มีเพียงอักขระส่วนน้อยที่ถูกโจมตีตนสลายออก
ฉากนี้ทำให้พฤกษาวิญญาณระดับสูงอย่างมู่รุ่ยรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
ไม่ต้องขบคิด ระหว่างฝ่ามือสองมือพลันมีลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลำแสงที่ผนึกตัวรวมกันแค่มองก็รู้ว่าเปล่งแสงเจิดจ้ากว่าครั้งที่แล้วหลายส่วน
แต่ครานี้เมื่อเห็นพฤกษาวิญญาณระดับเงินและพฤกษาวิญญาณระดับสูงตนอื่นๆ ถูกกักเอาไว้ แม้ว่าหานลี่และหล่งตงจะตกใจ แต่ไหนเลยจะนิ่งรอความตายต่อ ทันใดนั้นจึงทยอยกันสำแดงความสามารถปกป้องชีวิตออกมาด้วยความดีใจ แล้วพุ่งออกไปทั้งสี่ทิศทันที
สตรีผู้นั้นใช้สองมือร่ายอาคม ร่างกายหมุนวนพุ่งลงไปยังพื้นดิน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นหงส์เพลิงที่งดงามเป็นพิเศษ รอบกายมีเปลวเพลิงปีศาจสีดำห่อหุ้มอยู่ พุ่งเข้าไปหาฝูงวานรพฤกษา ทุกแห่งที่บินผ่านยุทธภัณฑ์ต่างๆ ของวานรยักษ์ที่เข้ามาประชิดตัวพลันกลายเป็นเถ้าถ่าน
ชั่วพริบตาหงส์ตัวนั้นก็ออกห่างมาในระยะร้อยจั้งเศษ
ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมของหล่งตง กลับกลืนยาลูกกลอนห้าสีลงไปเม็ดหนึ่ง ทันใดนั้นปากพลันบริกรรมคาถา บนร่างมีเกราะสงครามติดปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง
สองปีกกระพือ เกราะสงครามมีเงาลวงตามังกรทองห้ากรงเล็บตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
มังกรตัวนี้เปล่งเสียงกู่ร้องกับท้องฟ้า จากนั้นก็หมุนวนรอบหนึ่งแล้วจมหายเข้าไปในร่างของหล่งตง
ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มไฝโลหิตก็เปล่งแสงสีทองออกมา กลายเป็นสายรุ้งสีทองยาวสิบจั้งเศษพุ่งทะยานออกไป ขณะที่ลำแสงสีทองกะพริบวาบมังกรสีทองห้ากรงเล็บก็สะบัดหัวสะบัดหาง ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดออกไป สิ่งของที่ต้านทานอยู่เบื้องหน้าทั้งหมดต่างกลายเป็นฝนโลหิตโปรยปรายลงมาทันที
เทียบกับทั้งสองคนก่อนหน้าที่หนีไปอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดินแล้ว การเคลื่อนไหวของหานลี่กลับเงียบเชียบ แผ่นหลังมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกขนนกสีเขียวขาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
จากนั้นเขาพลันอ้าปากออก พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาสองสามหยด โคจรอยู่ล้อมรอบเขา แล้วกลายเป็นหมอกโลหิตผืนใหญ่ห่อหุ้มเรือนร่างเอาไว้
ขณะที่หมอกโลหิตหมุนวนสองสามรอบ ก็หดเล็กลง ด้านในมีเงาโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ทะลุผ่านอสูรวานรพฤกษาที่หนาแน่นไปราวกับไร้รูปร่าง ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า
หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง เงาโลหิตถึงได้หายวับไป
หานลี่สำแดงเงาโลหิตหลีกหนีของระดับเทพแปลงออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเร็วกว่าหงส์ทมิฬและลำแสงสีทองที่หล่งตงสร้างขึ้นหลายเท่า
ทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีมองเห็นอยู่ไกลๆ แล้วอดที่จะตกตะลึงจนตาค้างไม่ได้
หญิงสาวชุดขาวกลับอยู่อีกด้าน แค่ใช้มือหนึ่งโบกสะบัดไป มีดสั้นสีแดงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ และไม่เห็นว่านางจะร่ายอาคมใดๆ แค่โบกสะบัดมีดเล่มนั้นไปทางที่มีอสูรวานรพฤกษาเยอะที่สุดเบาๆ
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศรอบๆ ก็สั่นคลอน มีดลำแสงสีแดงสดยาวร้อยจั้งเศษพราวกับเสายักษ์ค้ำฟ้าพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ และสับลงมาอย่างรุนแรง
ทุกแห่งที่มดลำแสงสับลงไป อสูรวานรพฤกษาที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้พลันเกิดความโกลาหลขึ้น ทยอยกันร้อนรนคิดจะหนีออกห่างจากที่เดิม
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ชั่วพริบตาร่างทั้งหมดของวานรพฤกษาเพิ่งจะเคลื่อนไหว ร่างกายก็สั่นเทาแล้วมอดไหม้ไป ชั่วพริบตาอสูรวานรพฤกษาร้อยตนก็กลายเป็นผุยผงท่ามกลางลำแสงเพลิงสีแดง
เบื้องหน้ามีทางเดินยาวๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้น
มีดลำแสงขนาดยักษ์ยังไม่สับลงมา ก็หายวับไปอย่างแปลกประหลาด
ในตอนนั้นเองรากของต้นไม้โบราณที่มีคัมภีร์ซ่อนเอาไว้ พลันมีวิหคเพลิงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวจมหายเข้าไปในร่างของหญิงสาว
หญิงสาวชุดขาวเห็นเช่นนั้นกลับมีสีหน้ายินดี สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ร่างกายพลิ้วไหวหายไปจากที่เดิม แต่หลังจากกะพริบวาบครั้งหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางทางเดิน แต่เมื่อเคลื่อนไหว คนก็หายวับไป ปรากฏขึ้นตรงปลายทางของทางเดิน
ทันใดนั้นหญิงสาวพลันเงียบกริบ กลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป ลำแสงกะพริบวาบๆ ชั่วลมหายใจก็หายวับไปจากขอบฟ้าเช่นกัน
เคล็ดวิชาหลีกหนีของสตรีผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ด้อยไปกว่าเงาโลหิตหลีกหนีของหานลี่เลย
ครานี้มู่รุ่ยที่ถูกยันต์อาคมสีทองกักเอาไว้ พลันมีลำแสงสีเงินระเบิดออกมาจากบนฝ่ามืออีกครั้ง
ครั้งนี้ลำแสงสีเงินมีอานุภาพมากกว่าครั้งที่แล้ว ภายใต้การโจมตีคาดไม่ถึงว่าจะทำลายยันต์สีทองไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็ล้อมรอบพฤกษาวิญญาณตนนั้นเอาไว้ไม่หยุด
พฤกษาวิญญาณตนนี้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ลำแสงสีม่วงพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในแววตา ฉับพลันนั้นพลันเงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้องแหลมๆ อันไพเราะออกมา
ชั่วขณะนั้นพลันเกิดอื้ออึงขึ้นในบรรดาอสูรวานรพฤกษาที่อยู่ใกล้เคียง แบ่งออกเป็นสองสามกลุ่ม แล้วทยอยกันไล่ตามพวกของหานลี่ไปอย่างรีบร้อน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ตรงจุดที่ไกลออกไปจุดอื่นในป่าสีดำ เสียงกรีดร้องเหมือนกันราวกับกำลังขานรับกันพลันดังขึ้น…
หานลี่ไม่ได้ใช้เงาโลหิตหลีกหนีนานนัก หลังจากสลัดเหล่าอสูรออกไปโดยไม่เห็นเงาแล้ว ทันใดนั้นก็เห็นลำแสงโลหิต แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป
แต่เช่นนั้นสีหน้าของเขาก็ยังซีดขาวกว่าเดิมสองสามส่วนอย่างเห็นได้ชัด
ดูจากท่าทางแล้ว การสำแดงเงาโลหิตหลีกหนีติดต่อกันสองครั้ง จะทำให้เขาสูญเสียปราณแท้ไป
ทว่าเมื่อคิดว่าด้านหลังอาจจะมีพฤกษาวิญญาณระดับเงินไล่ตามมา เขาก็ไม่กล้าหย่อนยานเลยสักนิด นั่นเท่ากับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ของเผ่ามนุษย์ ต่อให้เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองขนาดไหน ระดับที่แตกต่างกันขนาดนี้ ก็ไม่กล้าหวังว่าหากประมือกันแล้วจะมีโอกาสชนะ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในอันดับที่รองจากอันดับเงินตนหนึ่งก็ตาม
ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะมีคนแอบลงมือช่วย ฉับพลันนั้นพลันใช้เคล็ดวิชาลับกักพฤกษาวิญญาณระดับเงินเอาไว้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้หนีแน่
แต่เห็นได้ชัดว่ายันต์เขตอาคมสีทองนั่นไม่อาจกักสิ่งมีชีวิตระดับนั้นได้นานนัก ขณะที่ทุกคนกำลังแยกกันหลบหนี ผู้ใดก็อาจจะถูกพฤกษาวิญญาณระดับเงินระบุเป้าได้ เขาจึงยิ่งไม่กล้าหยุดพัก!
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เงาโลหิตหลีกหนีอีก แต่หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีสีเขียว ปีกวายุอสนีที่แผ่นหลังกระพือขึ้นลงไม่หยุด ทุกครั้งต่างมีลำแสงสว่างวาบ ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน หลังจากกระพือสิบกว่าครั้ง ความเร็วก็ไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา
ทว่าเช่นนั้นหานลี่ก็ยังไม่กล้าหันหลังกลับไป แค่ก้มหน้าก้มตาบึ่งไปด้านหน้าเท่านั้น
เสียง “สวบๆ” แหวกผ่านอากาศดังขึ้นจากด้านล่าง ทันใดนั้นวายุสองสามสายก็พุ่งออกมาช่างแปลกประหลาดหนัก
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมลำแสงหลีกหนีหยุดชะงักกลางอากาศ
ลำแสงหลีกหนีสามสายเปล่งแสงสว่างวาบพลางแฉลบผ่านไปจากทางด้านหลัง ระยะห่างจากตัวเขาไปแค่สองสามฉื่อ
หากเมื่อครู่หานลี่ไม่ได้หยุดลำแสงหลีกหนี เกรงว่าคงถูกลำแสงสีเขียวสามสายทะลุผ่านร่างไปแล้ว
ครานี้ลำแสงสีเขียวสามสายพลันหมุนวน กลายเป็นคนของเผ่าพฤกษาสามคน แต่ละคนถือหอกไม้สีเขียวเอาไว้ ต้านเอาไว้เบื้องหน้าอย่างไร้ความรู้สึก
แววตาของหานลี่กวาดไปที่เอวของทั้งสาม พบว่าเอวของพฤกษาวิญญาณสามตนนี้เป็นสีเหลืองอ่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลง
นั่นหมายความว่าทั้งสามคนมีพลังเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง แน่นอนว่าเขาจึงไม่เห็นอยู่ในสายตา
หานลี่เองก็ไม่เห็นว่าเขาจะลงมืออะไร ปีกวายุอสนีที่แผ่นหลังกระพือเล็กน้อย กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป
สายฟ้าฉับไวขนาดไหน แค่กะพริบวาบ คนก็มาอยู่ตรงกลางของพฤกษาวิญญาณ
พฤกษาวิญญาณมีใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ลำแสงสีม่วงพลันเปล่งแสงสว่างวาบในแววตาอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะคว้าหอกไม้เอาไว้อย่างไม่หวาดกลัว แล้วพุ่งไปที่ท้องส่วนล่างของหานลี่
หอกไม้ยังไม่ทันประชิดตัว ก็ระเบิดลำแสงสีเขียวสองสามสายออกมา ราวกับว่าจะแทงหานลี่ให้เป็นพรุนในพริบตา
แวววตาของหานลี่ฉายแววเย็นชา ใบหน้าและแขนทั้งสองเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า ชั่วพริบตาก็มีเกล็ดสีทองโปร่งแสงปรากฏขึ้น ลำแสงสีเขียวเหล่านั้นทิ่มแทงเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงเหมือนโลหะทองกระทบกันออกมา ล้วนถูกดีดกลับมา ไม่มีผลเลยสักนิด
แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันยื่นแขนข้างหนึ่งออกไป คาดไม่ถึงว่าจะคว้าหัวหอกที่แหลมคมเอาไว้ ปล่อยให้พฤกษาวิญญาณเบื้องหน้าพยายามดึงกลับมา แต่กลับไม่เป็นขยับเขยื้อน
ใบหน้าของพฤกษาวิญญาณมีไอสีเขียวสว่างวาบ คลายหอกไม้ออกอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ร่างกายพุ่งออกไปด้านหลัง การเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจดาวตก ไม่เรียกว่าว่องไวไม่ได้
แต่แขนอีกข้างของหานลี่กลับเปล่งเสียง “แควกๆ” ออกมาขยายใหญ่ขึ้นสองสามฉื่อ ปรากฏขึ้นตรงทรวงอกของพฤกษาวิญญาณราวกับเคลื่อนย้ายกาย นิ้วทั้งห้าเลือนรางราวกับกระบี่ จมหายเข้าไปด้านใน
เสียงไพเราะดังขึ้น ร่างกายของไม้วิญญาณราวกับกระดาษบางๆ ถูกหานลี่อาศัยกายที่แข็งแกร่งทะลวงผ่านไป นิ้วทั้งห้าทะลุผ่านแผ่นพลังของพฤกษาวิญญาณ กลับบีบผลึกสมบัติที่มีรูปร่างเหมือนศิลาสีเหลืองอ่อนเอาไว้
ตั้งแต่ที่หานลี่โจมตีพฤกษาวิญญาณที่อยู่ตรงกลาง ไปจนถึงตอนที่เขามาโจมตีอยู่เบื้องหน้า ทะลวงผ่านทรวงอกไป เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
นอกจากนี้พฤกษาวิญญาณอีกสองตนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ปากก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมา อีกมือหนึ่งโบกสะบัดหอสีเขียวในมือ กลายเป็นเงาลวงตาสองสามสายห่อหุ้มเรือนร่างกว่าครึ่งของหานลี่เอาไว้
หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา หดมือทั้งสองกลับไป คิดจะเก็บแขนทั้งสองข้างกลับมาต่อกรกับศัตรู
แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงพลันปรากฏขึ้น
มือหนึ่งของเขาที่ปักลงไปในร่างของพฤกษาวิญญาณและแขนอีกข้างหนึ่งที่คว้าหอกไม้เอาไว้ เปล่งแสงสีเขียวออกมาในเวลาเดียวกัน พลังแรงดูดมหาศาลที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้น
แขนทั้งสองของเขาสั่นเทา ไม่อาจเคลื่อนไหวและดึงออกมาได้เลยสักนิด
และเมื่อได้รับสิ่งนี้ ชั่วพริบตาลำแสงสีเหลืองก็มาปรากฏเบื้องหน้า เงาลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนมีลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา แล้วแทงลงมา
หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน ในเวลาเดียวกันมุมปากพลันขยับ ดูเหมือนว่าจะเอ่ยอะไรออกมา
ชั่วขณะนั้นบนร่างของเขาพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เงาลวงตาใต้ซี่โครงเปล่งแสงสว่างวาบ แขนสีทองที่เลือนรางสี่ข้างปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด
ตอนที่ 1377
ล่าถอย
แขนทั้งสี่พลิ้วไหวเล็กน้อย
แขนสีทองข้างหนึ่งขยับ ต่อยออกไปหนึ่งหมัดลำแสงฟุ้งกระจายที่เบื้องหน้า แขนสีทองอีกข้างวาดไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นเงากำปั้นสีทองพลันปรากฏขึ้น ต้านทานลำแสงสีเขียวที่ทอดตัวเต็มท้องฟ้าเอาไว้อย่างง่ายดาย
แทบจะในเวลาเดียวกัน แขนสีทองอีกสองข้างกลับร่ายนิ้วทั้งสิบไปทางพฤกษาวิญญาณสองตน ไอกระบี่สีทองสิบสายพุ่งออกไป ชั่วพริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้าพฤกษาวิญญาณสองตน
พฤกษาวิญญาณสองตนพลันตกตะลึง ร่างกายมีเกราะไม้สีเขียวปรากฏขึ้น อีกมือหนึ่งกลับมีโล่สีเหลืองปรากฏขึ้น ต้านทานกระบี่ลำแสงเอาไว้พร้อมกัน
แต่ไอกระบี่ลำแสงสิบสายนั่นสิ่งที่สร้างขึ้นจากกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาในตัวของหานลี่ เป็นอาวุธที่คมกริบมาก
แค่กะพริบวาบ ก็ผ่าพฤกษาวิญญาณสองตนที่อยู่เบื้องหน้าออกพร้อมกัน
พริบตานั้นร่างของพฤกษาวิญญาณสองคนแหลกออกเป็นชิ้นๆ
แต่หานลี่กลับยังคงไม่ยอมหยุดยั้ง สองมือลวงตาที่สร้างขึ้นร่ายรำไม่หยุด กระบี่ลำแสงจำนวนมากทะลักออกมา ชั่วพริบตาลำแสงสีทองก็กลืนกินพฤกษาวิญญาณเข้าไป ชั่วขณะนั้นพลันฝนโลหิตพลันโปรยปรายลงมา
หานลี่ถึงได้สูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แขนสองข้างที่ถูกดูดเข้าไปพลันสั่นเทา ลำแสงสีทองที่เหมือนระลอกคลื่นปรากฏขึ้นบนแขน
เมื่อร่างของพฤกษาวิญญาณและหอกสีเขียวตนที่ดูดแขนทั้งสองของหานลี่สัมผัสกับลำแสงสีทองนี้ ชั่วขณะนั้นพลันสั่นเทาแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นผงสีเขียวกลุ่มหนึ่ง ปลิวหายไปตามสายลม
หานลี่ดึงมือทั้งสองกลับมา ลำแสงสีทองบนร่างหม่นแสงลง แขนสีทองอีกสี่ข้างเปล่งแสงสว่างวาบเลือนรางแล้วหายวับไป
การใช้เคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ส่วนที่สองต่อกรกับระดับก่อกำเนิดสองสามตนนั้นในครั้งนี้ ช่างเกินไปหน่อยจริงๆ
ทว่าพลังยุทธ์ของเคล็ดวิชานี้ยังตื้นเขินไปหน่อย ไม่อาจแสดงความสามารถอะไรได้อย่างเต็มที่ จึงยังไม่อาจใช้กับศัตรูที่แข็งแกร่งได้ ทำได้เพียงพึ่งพาประสิทธิภาพที่คาดไม่ถึงของมันเท่านั้น
แต่หากพลังยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับหลอมสุญตา และฝึกฝนจนถึงขั้นที่สามแล้ว ภายใต้การฝึกฝนแบบผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร อานุภาพของเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องน่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน ไม่มีทางด้อยกว่าเคล็ดวิชาระดับสุดยอดใดๆ
จุดนี้ เขามั่นใจอยู่หลายส่วน
หานลี่กำลังขบคิด ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งจากไป
ระหว่างทางต่อจากนี้ หานลี่พบกับคนของเผ่าพฤกษามาขวางกั้นไว้อีกสองสามกลุ่ม
แต่คนของเผ่าพฤกษาเหล่านี้ ต่างมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก ส่วนใหญ่จะเป็นพฤกษาวิญญาณระดับก่อกำเนิด แม้กระทั่งมีพฤกษาวิญญาณระดับต่ำกว่าปรากฏตัว
หานลี่จึงแค่หลบหลีกพฤกษาวิญญาณเหล่านี้ หากไม่ไหวจริงๆ ก็จะสำแดงอัสนีออกมาสังหารอีกฝ่ายซะ ไม่ยอมเสียเวลากับอีกฝ่าย
ผลคือหลังจากบินมาได้ครึ่งวัน ในที่สุดหานลี่ก็พบกับปัญหา
เบื้องหน้าของเขา มีพฤกษาวิญญาณสวมเข็มขัดสีม่วงสองคนปรากฏขึ้น คนหนึ่งร่างกายแข็งแรงกำยำ คนหนึ่งร่างกายอรชรอ้อนแอ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษหนึ่งคนและสตรีหนึ่งคน
ด้านหลังของทั้งสองนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีอสูรวานรพฤกษาขนสีเงินขาว ขนาดเจ็ดแปดจั้งสี่ตัวยืนอยู่ ทุกตัวถือกระบองยักษ์สีเหลืองเอาไว้
แววตาแวววาวของวานรพฤกษาทั้งสี่ตัว กำลังจ้องเขม็งมายังหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะดูช่างฉลาดมาก ท่าทางเหมือนเบิกเนตรแล้ว ให้ความรู้สึกที่อันตรายต่อหานลี่ ดูเหมือนว่าอานุภาพจะไม่ด้อยไปกว่าพฤกษาวิญญาณบุรุษและสตรี
พฤกษาวิญญาณระดับม่วงสองคน เท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง ไม่ใช่สิ่งที่ต่อกรได้ง่ายๆ เช่นกัน
ตอนนี้หานลี่อยู่ห่างจากเขตแดนป่าไปไม่ถึงหมื่นลี้ เขาที่อยากออกไปจากแดนอันตรายในทันที จึงไม่คิดจะต่อกรกับพวกนี้อีก ในเวลาเดียวกันที่ถูกขวางเอาไว้จึงมีจิตสังหารปรากฏขึ้น จ้องเขม็งไปยังทั้งสองคนและวานรสี่ตัว สีหน้าเย็นเยียบ
ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันลูบไปที่ท้ายทอย ลำแสงสีเทาปรากฏขึ้น หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นวงแหวนลำแสงยักษ์หนาๆ สายหนึ่ง มีขนาดประมาณยี่สิบสามสิบจั้ง หมุนวนติ้วๆ ชั่วครู่ก็ดึงดูดสายตาของศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าเอาไว้
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาพลันสะบัดมือหนึ่ง กระบี่เล่มเล็กทั้งเจ็ดสิบสองเล่มบินพุ่งออกมา พลางบินออกไปทั่วทุกสารทิศ
คาดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจใช้ลำแสงเทวะดูดปราณดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำ สังหารศัตรูทั้งหมดในรวดเดียว
……
ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวหงกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ สองตาจ้องเขม็งไปยังเงาสีเขียวสองสามกลุ่มเบื้องหน้า
พฤกษาวิญญาณสวมเข็มขัดสีม่วงสามคน!
……
อีกด้านหนึ่ง หล่งตงที่กลายเป็นลำแสงสีทองไม่ได้ถูกขวางเอาไว้ ด้านหลังลำแสงหลีกหนีของเขามีวานรพฤกษาสีเหลืองทองที่ขนมีสีทองบริสุทธิ์แซมอยู่ บนบ่าแบกขวานยักษ์สีดำสนิทเอาไว้ รอบกายมีลำแสงห้าสีไหลเวียนไปมาไม่หยุด ไล่ตามเขามาด้านหลังอย่างไม่ลดละราวกับดาวตก
หล่งตงในลำแสงสีทองที่ปล่อยมังกรทองห้ากรงเล็บออกไปแล้ว แค่หันหลังไปมองวานรพฤกษาทองอันน่ากลัวด้านหลังแวบหนึ่ง แต่กลับไม่มีเจตนาจะหยุดประมือด้วยเลยแม้แต่น้อย กลับเร่งลำแสงหลีกหนีไม่หยุด
ห่างออกไปร้อยจั้งเศษ นั่นคือเขตแดนของป่าใบดำ
……
สายรุ้งสีขาวสายหนึ่งเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาขณะพุ่งแหวกผ่านอากาศไป ห่างออกไปสองสามลี้ ลำแสงสีเงินสายหนึ่งไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ทั้งสองกะพริบแสงวาบๆ ชั่วพริบตาก็หนีออกห่างมาเป็นพันจั้ง
ถึงแม้ว่าครานั้นสายรุ้งสีขาวจะไม่อาจสลัดลำแสงสีเงินได้ แต่ลำแสงสีเงินก็ไม่อาจไล่ตามสายรุ้งสีขาวมาได้ในทันท่วงที
เมื่อลำแสงหลีกหนีสองสามแฉลบผ่านไป พุ่งออกมาจากเขตแดนป่า ก็สลัดป่าใบดำทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
……
ร่างของหานลี่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ มองเส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันในเขตอาคมกระบี่ ในที่สุดหลังจากที่สับวานรพฤกษาขนสีเงินที่ยืนหยัดจนตัวสุดท้ายออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดายแล้ว ก็พ่นลมหายใจออกมา สองมือพลันร่ายอาคม พ่นคำว่า “เก็บ” ออกมา
เบื้องหน้าที่ว่างเปล่ามีกระบี่ลำแสงสีทองร้อยกว่าสายพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงไพเราะออกมา กลับคืนร่างเป็นกระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มท่ามกลางลำแสงสีทองดังเดิม
กระบี่เหล่านี้หมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ แล้วพุ่งมาทางหานลี่ทั้งหมด
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ดูดกระบี่เล่มเล็กทั้งหมดเข้าไป
มองจุดเดิมที่เป็นใจกลางของเขตอาคมกระบี่ ที่นั่นยังคงมีหมอกโลหิตจำนวนมากกระจายตัวอยู่หานลี่แววตาเปล่งประกาย
การวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำทั้งเจ็ดสิบสองเล่ม มีอานุภาพน่ากลัวกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ครานั้นพฤกษาวิญญาณระดับม่วงสองตนและวานรพฤกษาสีเงินสี่ตัวที่ดูรับมือยากซึ่งถูกกักอยู่ในเขตอาคมกระบี่ของเขาด้วยความประมาท จึงถูกเส้นไหมกระบี่ที่พุ่งออกมาจากเขตอาคมกระบี่สังหารจนเกลี้ยงได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีแม้แต่พลังจะต้านทานเลยสักนิด
ดูแล้วสิ่งที่หล่งตงกล่าวว่า ชิงหยวนจื่อใช้พลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตากับอานุภาพของเขตอาคมมหากระบี่ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริง
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น แต่กลับไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่เพียงเค่อ เก็บกระบี่เข้ามาในร่าง แล้วควบคุมลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปยังเขตแดนอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานลี่ก็บินออกมาจากป่า
ห่างจากป่าไปได้ร้อยลี้ หานลี่ก็ควักยันต์ชำระพิสุทธิ์แผ่นนั้นออกมาจากอกเสื้อ แล้วแปะไปบนร่าง
ชั่วขณะนั้นร่างกายพลันหายตัวไปจากกลางอากาศ อำพรางกายอย่างมิดชิด
เช่นนั้นเขาถึงได้ผ่อนคลายลง เปลี่ยนทิศทางบินไปข้างหน้าต่อ
ในตอนที่ห่างจากเขาไปได้ไม่นานนัก ป่าใบดำที่อยู่ด้านหลังพลันมีลำแสงหลีกหนีสีเหลืองสองสายไล่ตามมา หลังจากหม่นแสงลง ก็เผยร่างของพฤกษาวิญญาณสวมเข็มขัดสีเหลืองส้มสองคนออกมา
คนของเผ่าพฤกษาทั้งสองคือเผ่าพฤกษาระดับเงินที่ตามพวกเขามาตั้งแต่แรก และถูกหญิงสาวชุดขาวสำแดงความสามารถกักหนึ่งในพฤกษาวิญญาณระดับสูงเอาไว้คนหนึ่ง
พวกเขาหยุดอยู่ตรงที่เดิมของหานลี่ บินโคจรอยู่รอบหนึ่ง แล้วพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหาร่องรอยของหานลี่พบ จึงทำได้เพียงกลับไปอย่างเศร้าใจ
หานลี่กลับไม่รู้ว่าการกระทำที่รอบคอบของตนเอง ทำให้ตนเองหนีหายนะครั้งใหญ่มาได้
มิเช่นนั้นหากถูกพฤกษาวิญญาณระดับส้มที่มีพลังระดับหลอมสุญตาสองคนไล่ตามทัน ถึงแม้ว่าอาจจะหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่ก็ไม่อาจหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแน่
หลังจากบินออกมาได้หมื่นลี้เศษ เมื่อมั่นใจว่าสลัดคนของเผ่าพฤกษาได้แล้ว สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นบนร่างพลันมีอักขระยันต์ปรากฏขึ้น ร่างกายกลับคืนสู่สภาวะเดิม ในเวลาเดียวกันลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากเรือนร่าง แล้วกลับคืนเป็นยันต์ชำระพิสุทธิ์อีกครั้ง
นิ้วคีบไปบนแผ่นยันต์เบาๆ ยันต์แผ่นนั้นหายวับไป
หลังจากที่หานลี่มองไปรอบๆ ครั้งหนึ่งแล้ว ถึงได้ร่อนลงบนภูเขาลูกย่อมๆ ด้านล่างอย่างเงียบเชียบ สีหน้าเคร่งขรึมพลางขบคิดอย่างละเอียด
เขาในครานี้รู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก
คัมภีร์ม้วนนั้นถูกคนของเผ่าพฤกษาทำลายไปอย่างคาดไม่ถึง หรือว่าภารกิจครั้งนี้จะล้มเหลวแล้วจริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีทางหายากำจัดสิ่งโสมให้ครบได้ เขามิต้องกลับไปยังเมืองเทวะสวรรค์อีกครั้งหรือ
ไม่สิ! ต่อมามีคนลงมือกักคนของเผ่าพฤกษาระดับเงินเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าสายลับในเผ่าพฤกษาที่ทั้งสองส่งมาถึงจะถูก หากเป็นเช่นนั้น คัมภีร์ม้วนนั้นก็อาจจะไม่ใช่ของจริง ไม่แน่ว่าข้อมูลที่แท้จริงของเผ่าพฤกษา อาจจะอยู่กับคนผู้นั้น ขอแค่หาคนผู้นั้นพบ ภารกิจก็ยังคงสำเร็จ
หานลี่ขบคิดรอบหนึ่งด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า และรู้สึกว่าเรื่องนี้มีแสงสว่างวางปรากฏขึ้นแล้ว
ดูแล้วต้องตามหาหญิงสาวชุดขาวให้พบก่อน แล้วจะตามหาอย่างไร?
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี มุมปากเผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา
ฉับพลันนั้นเขาพลันสะบัดแขนเสื้อ เงาลวงตากลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นมิคาทนสีทองเงินขนาดเท่าฝ่ามือหมอบอยู่บนพื้น
นั่นก็คืออสูรกิเลนมิคาทนตัวนั้น
อสูรตัวนี้ใช้ดวงตาสีเขียวที่น่ารักน่าเอ็นดูมองมายังหานลี่ และเปล่งเสียงครางเบาๆ
หานลี่เองก็ไม่ได้กล่าวอะไร ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนมือ จานอาคมสีเขียวใบหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นพลันบริกรรมคาถา มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศไปทางจานอาคม
ชั่วขณะนั้นลูกบอลลำแสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วบินออกมาจากจานอาคม ลอยอยู่ห่างจากจานอาคมไปครึ่งฉื่อ ยังคงเงียบเชียบ
หานลี่เปล่งเสียงผิวปากออกมา กวักมือไปทางอสูรน้อยอย่างสบายๆ
แต่อสูรกิเลนมิคาทนกลับหัวเราะคิกคัก ไม่ได้ขยับเขยื้อน เผยท่าทีเกียจคร้านออกมา
หานลี่หมดคำพูด ระหว่างทางที่อยู่ในเผ่าพฤกษา เขาปล่อยอสูรตัวนี้และอสูรวิญญาณครวญให้อยู่ด้วยกัน เหตุใดถึงได้มีท่าทีเกียจคร้านขี้เซาเหมือนกับอสูรวิญญาณครวญไปได้
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับอสูรตัวนี้ มือหนึ่งลูบไปที่กำไลเก็บของ ชั่วขณะนั้นขวดสีเขียวมรกตใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือ เทยาลูกกลอนสีแดงสดออกมา โยนไปทางอสูรตัวน้อย
ชั่วขณะนั้นอสูรกิเลนมิคาทนที่เดิมทีดูไม่มีพลัง พลันมีชีวิตชีวาขึ้น กระโจนขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับเงาตามตัว กลืนยาลูกกลอนเข้าไป จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องครางพลางสะบัดหัวสะบัดหางใส่หานลี่ ท่าทางประจบเอาใจและอยากได้อีก
หานลี่เองก็ไม่ได้กล่าวอะไร มือหนึ่งชี้ไปที่ลำแสงบนจานอาคม
ไม่ต้องให้เขาเอ่ยอะไร ชั่วพริบตาก็บอกเจตนาของตนเองให้อสูรตนนี้ฟังผ่านจิตสัมผัส
อสูรน้อยเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล ครู่ต่อมาก็มาปรากฏบนจานอาคม มองไปยังจุดลำแสงสองสามครั้ง หลังจากเอียงศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนของมันแล้ว ก็กลืนลำแสงสีขาวนวลลูกนั้นเข้าไปในท้อง
ตอนที่ 1378
หงส์พฤกษา
ดวงตาสีเขียวมรกตของอสูรกิเลนมิคาทนหลับตาอยู่นาน ชั่วครู่ก็เบิกตาขึ้นอีกครั้ง ร้องคำรามเสียงต่ำๆ ไปทางหานลี่
หานลี่เห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มออกมา
ตั้งแต่ที่เขากำราบอสูรตัวนี้ได้ไม่นาน ก็พบว่าอสูรตัวนี้นอกจากจะมีการเคลื่อนไหวอันว่องไวและร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าแล้ว ยังมีความสามารถดมกลิ่นที่น่ามหัศจรรย์
ขอแค่อสูรตัวนี้เคยสัมผัส ไม่ว่าของมีชีวิตหรือไม่ มันก็สามารถมองข้ามผ่านการอำพรางกาย และหาตำแหน่งของอีกฝ่ายในระยะร้อยลี้ได้อย่างแม่นยำ
พรสวรรค์ในการติดตามเช่นนี้ ไม่ใช่แค่การอาศัยกลิ่น แต่เป็นการสัมผัสได้ของจิตสัมผัสที่น่าเหลือเชื่อชนิดหนึ่ง
อย่างน้อยที่สุดหากหานลี่ไม่ได้ใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ ก็ไม่มีทางหลบการตามหาของอสูรตัวนี้พบ
ส่วนลำแสงสีขาวในจานอาคมนั้น แน่นอนว่าเป็นการติดต่อกันและกันกับหญิงสาวชุดขาวก่อนที่จะออกเดินทาง และในจานอาคมอื่นๆ ก็มีไอวิญญาณบริสุทธิ์ดวงหนึ่งเช่นกัน
อสูรน้อยมองไปรอบๆ รอบหนึ่ง เอียงศีรษะ ดูเหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่ แต่ครู่ต่อมาแขนขาทั้งสี่ก็ขยับ กลายเป็นเงาลวงตาสีเหลืองอ่อนสายหนึ่งพุ่งออกไป
หานลี่ไม่ได้รีบร้อนไล่ตามไป มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปล่อยลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกไป
ผลคือใต้ดินมีเสียงวิหคร้องดังขึ้น ฉับพลันนั้นพลันมีเปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมา ด้านในมีวิหคเพลิงบินวนโคจรอยู่ตัวหนึ่ง
นั่นก็คือวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่หานลี่ปล่อยให้แอบอยู่ใต้ดินตอนที่อยู่ในป่าใบดำ
ต่อมาเพื่อเป็นการป้องกัน หานลี่ที่กำลังหนีออกมาจากป่านั้น ก็ไม่ได้เก็บเพลิงนี้ไป โชคดีที่เพลิงนี้ถูกเขาหลอมอย่างหมดจนแล้ว ถึงแม้ว่าความเร็วของเขาจะเร็วขนาดไหน ก็ตามเข้ามาติดๆ ได้ในพริบตา
แน่นอนว่าวิหคเพลิงตัวนี้ไม่ใช่อสูรวิญญาณที่แท้จริง การคงรูปร่างเช่นนี้จะต้องสูญเสียพลังลมปราณไปเล็กน้อย แต่จุดนี้สำหรับหานลี่ในตอนนี้นั้น กลับไม่ได้ใส่ใจนัก
เมื่อเห็นวิหคเพลิงกลืนวิญญาณไม่มีปัญหาใดๆ หานลี่ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มือหนึ่งชี้ออกไป วิหคเพลิงตัวนี้จมหายเข้าไปในพื้นดินอีกครั้ง
ด้านในยังคงอันตรายมาก เขาไม่มีทางเก็บวิหคเพลิงตัวนี้ไปง่ายๆ ยังคงปล่อยไว้นอกร่าง เก็บเอาไว้เป็นแผนสำรอง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ลำแสงวิญญาณของหานลี่ปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็ไล่ตามอสูรกิเลนมิคาทนไปพลางหายลับไปจากขอบฟ้า
อสูรน้อยพุ่งไปทางทิศเหนือ หลังจากบินไปได้ระยะหนึ่ง ก็เปลี่ยนทิศทาง ไปอีกทาง
จากนั้นหานลี่พลันตกตะลึง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา และกลับเปลี่ยนทิศทาง
แต่ครู่ต่อมาอสูรกิเลนมิคาทนก็เปลี่ยนทิศทางไปอย่างต่อเนื่องอีกสองสามครั้ง
นี่จึงทำให้หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ท่าทีของอสูรกิเลนมิคาทนแสดงให้เห็นว่าหญิงสาวนามว่าเยี่ยอิ่งยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนว่าจะถูกอะไรไล่ตามสักอย่าง มิเช่นนั้น คงไม่เปลี่ยนทิศทางบินอย่างบ่อยครั้งเช่นนี้แน่
ทว่าเขากลับไม่ได้หวาดกลัวเพราะเหตุนี้
จากความสามารถของเขาในตอนนี้ ขอแค่ไม่ตกอยู่ในการถูกล้อมโจมตีอย่างหนักหน่วง หรือถูกศัตรูที่แข็งแกร่งมากไล่สังหารอย่างเต็มกำลัง ก็มั่นใจว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้หลายส่วน
และหญิงสาวผู้นี้ยังเกี่ยวข้องกับยากำจัดสิ่งโสมของตัวเอง เขาจึงยิ่งไม่มีทางล่าถอยง่ายๆ
หานลี่ตามอสูรกิเลนมิคาทนไปด้วยสีหน้าราบเรียบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งบินออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
การไล่ตามครั้งนี้ดำเนินต่อไปสามวันสามคืน คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะไม่อาจไล่ตามหญิงสาวผู้นี้ทัน
ทว่าเช้าตรู่วันที่สี่ครั้นเมื่อลำแสงหลีกหนีบินผ่านผิวน้ำสีฟ้าครามที่มองไม่เห็นปลายทางแล้ว ลำแสงหลีกหนีของอสูรกิเลนมิคาทนเบื้องหน้าก็หยุดชะงัก และหยุดนิ่งลง
หานลี่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คนก็มาอยู่ด้านข้างอสูรน้อย
อสูรกิเลนมิคาทนหันศีรษะที่มีเส้นขนปุกปุยมา คำรามเสียงต่ำๆ ดูเหมือนจะกำลังพูดอะไรสักอย่าง
หากเป็นคนอื่นคงไม่รู้ว่าอสูรตัวนี้กำลังพูดอะไร แต่หานลี่กลับเอ่ยถามด้วยความดีใจว่า
“อะไรนะ คนผู้นั้นหยุดอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี้ ตรงนั้น! เยี่ยม ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับมาเถิด”
หานลี่ดีดนิ้ว กลิ่นหอมแผ่ออกไป ยาลูกกลอนสีแดงโลหิตเม็ดหนึ่งที่อสูรกิเลนมิคาทนเคยกินพุ่งออกไป
อสูรน้อยดีอกดีใจ ร่างกายพลิ้วไหว กลืนยาลูกกลอนลงไปจากกลางอากาศ แล้วอ้าปากอีกครั้ง พ่นจุดลำแสงสุดขาวออกมา แล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
ส่วนหานลี่นั้นพลันพลิกฝ่ามือ หยิบจานอาคมออกมา เก็บจุดลำแสงสีขาวลงไป ลำแสงวิญญาณสว่างวาบขึ้นในมือ ยันต์ชำระพิสุทธิ์ปรากฏขึ้นบนมือ
มองยันต์ที่สีหม่นแสงจนแทบจะไม่มี หานลี่พลันขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อย พลิกฝ่ามืออีกมือหนึ่ง ยันต์ที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น
ยันต์สีม่วงเปล่งแสงเป็นประกายมากกว่ายันต์แผ่นแรกมาก
นี่คือยันต์ชำระพิสุทธิ์อีกสองแผ่นที่หานลี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลเขียนมันขึ้นเพื่อการเดินทางในป่าเถื่อนครั้งนี้
แผ่นก่อนนั้นอานุภาพลดไปลงพอสมควรแล้ว เพื่อความปลอดภัย อาจจะต้องอันตรายที่คาดไม่ถึง แน่นอนว่าหานลี่จึงเขียนยันต์ขึ้นใหม่อีกแผ่นหนึ่งจะดีกว่า
เก็บยันต์แผ่นแรกที่เสื่อมประสิทธิภาพแล้วลงไป โบกสะบัดยันต์แผ่นใหม่ ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันเคลื่อนไหว ร่างกายของหานลี่หายวับไปจากที่เดิม
ทันใดนั้นเขาพลันร่ายอาคม ร่างกายพลิ้วไหว บินไปทางจุดที่อสูรกิเลนมิคาทนชี้
ผิวน้ำผืนนี้ไม่รู้ว่าเป็นทะเลสาบยักษ์ หรือว่าขอบของมหาสมุทร หลังจากบินตรงไปได้สองร้อยลี้เศษ คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่เห็นริมฝั่งเลยสักนิด
ทว่ากลับมีภูเขาน้อยที่ไม่สะดุดตาปรากฏขึ้น
เกาะแห่งนี้กว้างประมาณสิบลี้เศษ ด้านบนมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมเยือนนัก
หานลี่มองไปที่เกาะด้านล่าง แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ถึงได้ตรงไปยังใจกลางเกาะอย่างเงียบๆ
จุดที่อสูรกิเลนมิคาทนพูดถึงน่าจะเป็นเกาะแห่งนี้
ใจกลางของเกาะมีแอ่งกระทะที่ไม่ถือว่าใหญ่นัก ด้านในมีกองหินสีเทาขาวน้อยใหญ่เรียงรายอยู่
ด้านบนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวหน้าซีดเผือดนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้าของนางมีสตรีที่ดูเหมือนคนของเผ่าพฤกษาคนยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น
หานลี่เห็นฉากนั้น พลันมีสีหน้าตกตะลึง ร่างกายหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงพลางพิจารณาสตรีแปลกหน้า
สตรีผู้นี้มีสีผิวเหมือนกับพฤกษาวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น เป็นสีเขียวอ่อน และยิ่งไปกว่านั้นตรงเอวยังมีเข็มขัดสีเหลืองส้มที่หมายถึงระดับขั้นสวมอยู่ ราวกับว่าพฤกษาวิญญาณระดับส้มที่เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แต่เมื่อหานลี่ขบคิดอย่างละเอียด กลับพบจุดที่ไม่เหมือนกันกับพฤกษาวิญญาณธรรมดาทั่วไป
สตรีที่อยู่ตรงข้ามหญิงสาวชุดขาวในครานี้มีสีหน้าเคร่งขรึมและตึงเครียด ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในเผ่าพฤกษาที่มีสีหน้าเรียบเฉย และยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบอย่างละเอียด แต่พลังวิญญาณเพลิงที่แข็งแกร่งซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของสตรีผู้นี้ ก็ไม่เหมือนกับพลังวิญญาณไม้บริสุทธิ์ในร่างของเผ่าพฤกษาเหล่านั้น
นี่ไม่ใช่พฤกษาวิญญาณ!
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหว ทำการวิเคราะห์ จากนั้นสายตาพลันเคลื่อนไหว ตกลงบนร่างของหญิงสาวชุดขาว
เขาถึงได้พบว่า หญิงสาวชุดขาวนอกจากจะมีสีหน้าซีดขาวแล้ว ตรงทรวงอกบนชุดขาวมีคราบโลหิตขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้น ราวกับมีดอกไม้โลหิตผลิบาน ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก
เมื่อเห็นฉากนี้หานลี่พลันรู้สึกลังเล ครุ่นคิดว่าจะรปากฎตัวหรือไม่
และในตอนนั้นเอง หญิงสาวที่อยู่ด้านล่างก็เงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มเบิกบาน
“ในเมื่อพี่หานมาแล้ว เหตุใดถึงไม่ลงมาพักซะหน่อยล่ะ”
หานลี่ได้ยินแล้วพลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็สะดุ้งโหยง
คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะมองทะลุผ่านการอำพรางกายของเขาได้ เป็นไปได้อย่างไร?
ยันต์ชำระพิสุทธิ์เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้วก็พูดยาก แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีใครมองออกได้ หรือว่าสตรีผู้นี้แกล้งพูด? แต่ดูจากการที่เหลือบมองมาทางตนเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก็เห็นได้ชัดว่ารู้ตำแหน่งของตนเอง
นอกเสียจากว่าหญิงสาวผู้นี้จะมีจิตสัมผัสแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ถึงจะมีความสามารถเช่นนี้ได้!
หานลี่รู้สึกตกใจพร้อมกับจิตใจที่หนักอึ้ง แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อย ยันต์สีเงินบนร่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายค่อยๆ เผยออกมา
จากนั้นเขาก็ใช้มือหนึ่งตบไปบนร่าง ยันต์สีม่วงสายหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ร่อนลงตรงใจกลางฝ่ามือ
“สหายเยี่ย สหายผู้นี้คือใคร แนะนำให้ข้าน้อยรู้จักได้หรือไม่!” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ร่างกายร่อนลงอย่างช้าๆ
“ข้าจะแนะนำให้ ผู้นี้คือสายลับที่สองเผ่าของพวกเราส่งไปในเผ่าพฤกษา สหายเยี่ยฉู่ ดูจากท่าทางของสหายหานแล้ว ดูเหมือนว่าจะหนีออกมาจากเผ่าพฤกษาได้อย่างสบายๆ” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ และพิจารณาหานลี่ขึ้นลงด้วยความสนใจ เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้
“เยี่ยฉู่? สหายผู้นี้คือเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ?” หานลี่กลับจ้องไปที่ผิวของสตรีผู้นี้เขม็ง แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“สหายช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก ข้าน้อยมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีโลหิตวิญญาณของเผ่าหงส์พฤกษา นับว่าเป็นลูกครึ่งปีศาจกระมัง” หญิงสาวมองไปยังหานลี่อย่างราบเรียบแวบหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
“หงส์พฤกษา? เอ๋ สหายมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตา!” หานลี่เพิ่งได้ยินชื่อก็ตกตะลึง แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของหญิงสาวผู้นั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี
“พี่หญิงฉู่ เกิดในตระกูลเยี่ยของพวกเรา ตอนนั้นมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น ตอนนี้เข้ามาสอดแนมอยู่ในเผ่าพฤกษาหลายปี ครานี้ฝึกฝนระดับหลอมสุญตาจนสำเร็จแล้ว อยู่ห่างจากระดับผสานอินทรีย์แค่เส้นแดนกั้น” หญิงสาวกลับกลอกตาไปมาขณะเอ่ย
“นี่ต้องยกความดีความชอบให้เผ่าพฤกษา มิเช่นนั้นข้าคงไม่อาจฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ครั้งนี้นายหญิงน้อยจะมาด้วยตนเอง” เยี่ยฉู่เอ่ยอย่างถ่อมตนออกมา มีท่าทีนอบน้อมขณะเผชิญหน้ากับหญิงสาว
“เช่นนี้นี่เอง ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสคอยสนับสนุนอยู่ด้านข้าง เกรงว่าพวกเราต้องถูกล้างบางแล้ว” เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย หานลี่กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“ทว่าจะว่าไปแล้ว เมื่อครู่เป็นเพราะถูกไล่ตามอย่างประชิดไปหน่อย ข้าจึงยังไม่ได้ถามให้ละเอียด พี่หญิงฉู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเราถึงตกหลุมพรางของเผ่าพฤกษา คนอื่นๆ ล่ะ?” หญิงสาวหุบยิ้มบนใบหน้า สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“ในเผ่าพฤกษานอกจากข้าแล้ว คนอื่นๆ ต่างเพลี่ยงพล้ำไปหมดแล้ว ประมาณร้อยปีก่อน ดูเหมือนว่าคนของเผ่าพฤกษาจะได้รับข้อมูลและรู้ว่าในเผ่ามีสายลับจากสองเผ่าอย่างพวกเราอยู่ ภายใต้การค้นหา จึงมีเพียงข้าที่มีสายเลือดหงส์พฤกษาที่รอดมาได้ คนอื่นๆ ต่างถูกเปิดโปงอย่างต่อเนื่อง จึงทำได้เพียงหนีไปเท่านั้น แต่ผลคือถูกสังหารทิ้งทั้งหมด” หญิงสาวผิวสีเขียวตอบกลับเช่นนี้ออกมา
ตอนที่ 1379
ภารกิจสำเร็จ
“ส่วนสาเหตุที่พวกเจ้าถูกดักซุ่ม ก็เพราะว่าชนชั้นสูงของเผ่าพฤกษาเปลี่ยนอาณาเขตการตรวจตราของต้นตาข่ายนิทราที่อยู่ตรงขอบของป่า เกรงว่าตั้งแต่ที่นายหญิงน้อยเข้ามาในป่าก็ถูกต้นไม้เหล่านี้พบเข้าแล้ว โชคดีที่ชนชั้นสูงของเผ่าพฤกษาไม่ได้ให้ความสำคัญกับป่าใบดำนัก จึงส่งแค่พฤกษาวิญญาณที่มีระดับต่ำกว่าขั้นเงินมาดูแลเท่านั้น มิเช่นนั้นหากเป็นป่าเถื่อน ถึงแม้ว่าข้าจะคอยรับมืออยู่ข้างใน พวกเจ้าหนีออกมาได้ยากแน่” หญิงสาวเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้นนี่เอง! พี่หญิงฉู่ พันกว่าปีที่ผ่านมากนี้ต้องรบกวนพี่แล้ว” หญิงสาวชักสีหน้า แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“ไม่เป็นไร ข้าเองที่อยู่ในเผ่าพฤกษาก็ไม่ได้เสียเปล่า และได้ความลับของเผ่าพฤกษามาไม่น้อย นับว่ามีผลงานไปมอบให้เผ่า ทว่าตอนนี้ข้าคงถูกเปิดโปงแล้ว ไม่อาจอยู่ในเผ่าพฤกษาได้ต่อ” เยี่ยฉู่กลับมีท่าทีไม่ใส่ใจ
หานลี่ได้ยินแล้วพลันใจเต้น
“เมืองเทวะสวรรค์อาจจะมีสงครามปะทุขึ้นในทันที ต่อให้ไม่ปะทุ ผู้นำตระกูลก็เตรียมจะเรียกพี่หญิงกลับไปอยู่แล้ว จากพลังยุทธ์ของพี่หญิงในครานี้ แอบอยู่ในเผ่าพฤกษาต่อก็ดูจะไม่เหมาะสม” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะน้อยๆ ออกมา
แต่การหัวเราะครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะกระทบกับอาการบาดเจ็บภายในของหญิงสาวผู้นี้ นางกระแอมไอออกมาเบาๆ ทันที สีหน้าซีดขาวขึ้นอีกหลายส่วน
“นายหญิงน้อยเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นกิน ‘ยาลูกกลอนหงส์วิญญาณ’ อีกสักเม็ดเถิด?” เยี่ยฉู่เห็นอาหารของหญิงสาว พลันเอ่ยแนะนำด้วยสีหน้าตึงเครียด
“ไม่ต้อง! ยาลูกกลอนหงส์วิญญาณเหลือไม่มากแล้ว ข้าจะเก็บเอาไว้ใช้กับเรื่องที่มีประโยชน์” หญิงสาวกลับสั่นศีรษะ
“เหตุใดแม่หญิงเยี่ยถึงบาดเจ็บหนักขนาดนี้หรือ?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย
“ถูกเผ่าพฤกษาวิญญาณระดับเงินโจมตี เจ้าคิดว่าจะเจ็บหรือไม่?” หญิงสาวชุดขาวเบะปากให้หานลี่ ท่าทางไม่สบอารมณ์
“หากเป็นอาการบาดเจ็บภายในทั่วๆ ไป ข้าน้อยก็มียารักษาอยู่สองสามชนิด บางทีอาจจะมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของสหาย” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ สะบัดแขนเสื้อ โยนขวดยาลูกกลอนสองสามขวดไป
หญิงสาวชุดขาวเลิกคิ้วงาม มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ ดูดขวดยาเข้ามาในมือ เปิดฝาออกเอามาจรดที่ปลายจมูก
“‘ยาลูกกลอนเห็ดอัศจรรย์’ ‘ยาลูกกลอนร้อยปราชญ์’ ‘วารีย้อนวิญญาณ’…พี่หานช่างใจกว้างนัก คิดไม่ถึงว่าจะมียาที่มีผลในการรักษาอาการบาดเจ็บที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น น้องหญิงก็ไม่เกรงใจแล้ว” หญิงสาวดูเหมือนว่าจะมีความรู้ในเรื่องยาวิเศษไม่น้อย ชั่วพริบตาก็เอ่ยชื่อของยาสมุนไพรออกมา สีหน้าตกตะลึง
จากฐานะของหญิงสาวผู้นี้แน่นอนว่าต้องยาลูกกลอนเหล่านี้อย่างครบครันอยู่แล้ว แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งหยิบออกมาจำนวนมากได้ภายในครั้งเดียว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อไปหน่อย
หลังจากที่หญิงสาวกะพริบดวงตาคู่งามปริบๆ แล้ว ก็รับขวดยาลงไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด และกินยาลงไปสองสามเม็ดด้วยท่าทีเชื่อใจหานลี่
หานลี่รู้สึกนับถือการตัดสินใจของสตรีผู้นี้อยู่หลายส่วน
แน่นอนว่าแปดเก้าส่วนคงเป็นเพราะสตรีผู้นี้มีเคล็ดวิชาลับอะไร จึงไม่กลัวว่าในยาลูกกลอนจะมีอะไรผสมอยู่
“ใช่แล้ว พี่หานหาน้องหญิงพบได้อย่างไร? หากดูไม่ผิดยันต์อำพรางกายเมื่อครู่คือยันต์ลูกอ๊อดสีเงินสินะ ไม่ทราบว่ามีชื่อเรียกว่าอะไรหรือ? ยันต์ลูกอ๊อดสีเงินชั้นสูงเช่นนี้ น้องหญิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก” หลังจากที่หญิงสาวกินยาลูกกลอนลงไป สีหน้าก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อกลอกตาไปมา ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากถามถึงยันต์ชำระพิสุทธิ์
“ข้าน้อยมีประสบการณ์ในการสะกดรอยอยู่เล็กน้อย ส่วนยันต์ชำระพิสุทธิ์นั้น ข้าน้อยได้มาด้วยความบังเอิญ มีประสิทธิภาพด้านการอำพรางที่น่าอัศจรรย์ แม่หญิงเยี่ยมองออกได้ในปราดเดียว ก็ทำให้ข้าน้อยตกตะลึงแล้ว ไม่ทราบว่าสหายมองออกได้อย่างไร อานุภาพของยันต์ชนิดนี้แม้แต่ผู้บำเพ็ญ เพียรระดับหลอมสุญตาก็ยังไม่อาจมองออกได้” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วกลับย้อนถาม
“เคล็ดวิชาที่น้องหญิงฝึกฝน มีประสิทธิภาพในเรื่องการมองทะลุผ่านการอำพรางตน มองยันต์ของสหายหานออกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พี่หานไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”หญิงสาวเม้มปาก ดูเหมือนว่าเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง
หานลี่ได้ฟัง แน่นอนว่าก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ถึงแม้จะรู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นคำลวง แต่ก็ไม่อาจสักถามอะไรต่อได้เช่นกัน
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว! พี่หญิงฉู่ฉี่ ข้อมูลของเผ่าพฤกษา เจ้าน่าจะเอามาด้วยสินะ ถือโอกาสที่ไม่เป็นไร รีบนำคัมภีร์ไปให้เมืองเทวะสวรรค์เถิด จะได้ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก” หญิงสาวเอ่ยกับเยี่ยฉู่
“เจ้าค่ะ นายหญิงน้อย” หญิงสาวผิวสีเขียวได้ฟังก็ตอบรับในทันที
หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจพลันรู้สึกดีอกดีใจยกใหญ่
ครานี้หญิงสาวชุดขาวได้ควักจานอาคมสีเงินออกมาจากย่ามเก็บของ หญิงสาวผิวสีเขียวกลับอ้าปากออก คัมภีร์สีเขียวมรกตพุ่งออกมาจากริมฝีปากบางๆ ของนาง
จานอาคมนั้นหานลี่ก็มีอยู่จานหนึ่ง สามารถส่งของเล็กๆ กลับไปยังเมืองเทวะสวรรค์ได้หนึ่งครั้ง หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ จานอาคมก็จะพังทลายใช้ไม่ได้อีก
ในเมื่อตอนนี้หญิงสาวใช้จานอาคมส่งตัวของตนเอง แน่นอนว่าหานลี่ก็ยังไงก็ได้อยู่แล้ว ว่ากันว่าอาวุธชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เหล่าปรมาจารย์ด้านการหลอมยุทธภัณฑ์ของเมืองเทวะสวรรค์เพิ่งคิดค้นขึ้นได้ไม่นาน มิเช่นนั้นหงส์พฤกษาครึ่งปีศาจตัวนี้มีสักชิ้น ก็ไม่จำเป็นต้องให้หานลี่และพวกวิ่งมาถึงที่นี่แล้ว
หญิงสาวชูมือขึ้นร่ายอาคมสีขาวสายหนึ่งไปทางจานอาคม ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบบนจานอาคม
โยนจานอาคมออกไปเบื้องหน้า ชั่วครู่ก็กลายเป็นเขตอาคมลำแสงสีขาวนวลขนาดสองสามฉื่อ หมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศไม่หยุด และเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา
“รีบหน่อย ถึงแม้ว่าจะเป็นเขตอาคมส่งตัวขนาดเล็ก แต่ก็อาจจะดึงดูดคนของเผ่าพฤกษาได้” หญิงสาวเอ่ยอย่างรีบร้อน
เยี่ยฉู่เองก็รู้เหตุผลนี้ โยนคัมภีร์ในมือออกไปอย่างไม่ต้องคิด ชั่วขณะนั้นของสิ่งนั้นก็ร่อนลงในเขตอาคมลำแสง แล้วลอยขึ้นจากกลางอากาศ
หญิงสาวมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางร่ายอาคมอีกครั้ง
ในเขตอาคมมีอักขระสีเงินปรากฏขึ้น หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง คัมภีร์พลันหายไปพร้อมเสียงร้อง
จากนั้นลำแสงก็หายวับตามไปในพริบตา เผยจานอาคมสีเงินดังเดิมออกมา
แต่ครานี้อักขระบนจานอาคมไม่เพียงจะพังทลายกลางอากาศ จานอาคมทั้งจานยังเป็นรอยแตกเต็มไปหมด ไม่อาจใช้การได้อีก
หานลี่กลับรู้สึกดีใจ มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ในมือมียันต์หยกสีเขียวก้อนหนึ่งปรากฏขึ้น สายตาจ้องเขม็งไปยังมันอย่างไม่วางตา
ก่อนออกเดินทาง ชนชั้นสูงของเผ่าเทวะสวรรค์ได้มอบยันต์หมื่นลี้ให้ไว้ครึ่งก้อน!
หญิงสาวเห็นเช่นนั้นพลันฉีกยิ้ม หลังจากเก็บจานอาคมพังๆ ลงไปแล้ว ก็หยิบยันต์หมื่นลี้อีกก้อนหนึ่งออกมา ดวงตาสดใสดุจสายธารจับจ้องไป
เยี่ยฉู่กลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ครานี้ทั้งสามคนต่างเงียบกริบ ที่นั่นพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ยันต์หมื่นลี้ในมือของหานลี่และหญิงสาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นพร้อมกัน ต่างมีอักษรเป็นกลุ่มๆ ปรากฏขึ้น
หานลี่พลันใจเต้นระรัว จดจำอักษรบนยันต์หยกทุกตัวเอาไว้ให้ขึ้นใจ
เมื่ออักษรที่หนาแน่นแทบจะเรียงตัวไปทั้งยันต์หยกแล้ว ลำแสงสีขาวพลันหม่นแสงลง ยันต์หยกหม่นแสงลงอีกครั้ง
หานลี่ในครานี้กลับมีสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ของที่เมืองเทวะสวรรค์ส่งมา คือวิธีการทำลายเขตอาคมบนขวดยากำจัดสิ่งโสมดังคาด เหมือนกับที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน ดูแล้วในเมืองคงจะยอมรับว่าพวกเขาทำภารกิจสำเร็จแล้ว ในที่สุดก็เขาก็กลับมาเป็นอิสระแล้ว
ด้วยความตื่นเต้นดีใจ หานลี่กวาดสายตาไปทางหญิงสาวชุดขาวที่อยู่บนก้อนหินยักษ์
เห็นเพียงหญิงสาวผู้นี้ยังคงจ้องยันต์หมื่นลี้ในมือเขม็ง ดูเหมือนว่าจะยังอ่านไม่จบ แต่มุมปากของหญิงสาวผู้นี้พลันหยักขึ้น เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจในเนื้อหาบนยันต์หยกเป็นพิเศษ
หานลี่พลันใจเต้น
หญิงสาวผู้นี้ไม่มีทางต้องการยากำจัดสิ่งโสม ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรชนชั้นสูงของเมืองเทวะสวรรค์ตกลงอะไรกับนางไว้ ถึงทำให้นางยอมเสี่ยงอันตรายขนาดนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง พี่หานเองก็ได้ของที่อยากได้มาแล้วสินะ” ในที่สุดหญิงสาวก็อ่านเนื้อหาในยันต์หยกเสร็จ หลังจากเก็บของในมือแล้ว ก็เอ่ยกับหานลี่พร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ใช่แล้ว ได้ของที่อยากได้มาแล้ว” หานลี่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็รีบออกจากที่นี่กันเถิด ต่อให้สหายมีแผนการอื่น แต่ก็คงไม่อยากอยู่ในอาณาเขตของเผ่าพฤกษาสินะ” หญิงสาวเอ่ยกับหานลี่อย่างมีเลศนัย
หานลี่พลันตกตะลึง หลังจากที่มองไปหญิงสาวด้วยความลังเลพักหนึ่ง ถึงได้พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
หญิงสาวเห็นหานลี่ตอบตกลง ก็ดูเหมือนว่าจะพอใจมาก แล้วออกคำสั่งกับหญิงสาวผิวสีเขียวที่อยู่ด้านข้าง
หญิงสาวผิวสีเขียวพลันตอบรับ ชูมือขึ้นปล่อยสมบัติออกมา
เมื่อของสิ่งนี้ปรากฏขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดวิหคไม้สีเหลืองขนาดสองสามฉื่อตัวหนึ่ง
ภายใต้การร่ายอาคมกระตุ้นของหญิงสาว วิหคหกไม้พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงที่เจิดจ้า ชั่วพริบตาก็มีขนาดยักษ์ประมาณสิบจั้งเศษ
ดูแล้วมีชีวิตชีวาเสมือนจริง ดุจม้าพันธุ์ดี
หญิงสาวและเยี่ยฉู่บินขึ้นไปบนนั้นโดยไม่พูดอะไร หานลี่ลังเลเล็กน้อยและพุ่งขึ้นไปบนนั้นเช่นกัน
เยี่ยฉู่ผิวปากออกคำสั่ง วิหคไม้ยักษ์สยายปีกออก ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป
ตั้งแต่ที่หานลี่พบกับหญิงสาวทั้งสองจนทำภารกิจเสร็จสิ้นและออกจากที่นี่อีกครั้ง หานลี่และหญิงสาวชุดขาวกลับไม่เคยเอ่ยถึงหล่งตงและเสี่ยวหงเลย ราวกับว่าทั้งสองไม่เคยมีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่วิหคไม้ออกจากที่นี่ได้ครึ่งวัน สายรุ้งสีเงินสายหนึ่งพลันพุ่งมาจากขอบฟ้า
หลังจากหมุนวนโคจรสองสามรอบก็เปล่งแสงสว่างวาบและพุ่งแหวกอากาศออกไปเช่นกัน แต่ดูจากทิศทางที่จากไปแล้วนั่นก็คือทิศทางที่วิหคไม้บินไป
หนึ่งเดือนต่อมาลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งบินแฉลบผ่านพื้นที่โล่งกว้างไป นั่นก็คือวิหคไม้ที่หานลี่และพวกโดยสารอยู่
ตั้งแต่ที่พวกเขาออกเดินทางในวันนั้น เยี่ยฉู่ก็ขับเคลื่อนวิหคไม้เต็มอัตรามุ่ง ไปข้างหน้าด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ไม่กล้าหยุดยั้งรอระหว่างทางเลยสักนิด
เช่นนั้นพวกเขาถึงได้มาถึงที่นี่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เบื้องหน้าไม่ไกลนักคือทางเข้าเส้นทางสวรรค์
หานลี่และหญิงสาวทั้งสองอดที่จะรู้สึกผ่อนคลายไม่ได้
และในตอนนั้นเองเบื้องหน้าพลันมีพายุหมุนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเมฆครึ้มพลันทอดตัวไปทั่ว เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะๆ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นมืดครึ้มอย่างหาที่เปรียบ เมฆสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกหมุนวนเป็นเกลียว ปกคลุมไปเกือบครึ่งท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงอึกทึกมีเสียงร้องคำรามทุ้มต่ำดังขึ้นรางๆ
เสียงคำรามนั้นไม่ดังมากนักแต่ทุ้มต่ำเป็นพิเศษ และเต็มไปด้วยความน่ายำเกรงที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก หญิงสาวชุดขาวและหญิงสาวผิวสีเขียวได้ยินเสียงคำรามนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี
“นี่คือ… ” ม่านตาของหานลี่หดเล็กลง ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมา
และในตอนนั้นเองกลางเมฆครึ้มมีประจุไฟฟ้าสีเงินขนาดยักษ์ประมาณสองสามสายฟาดลงมา ทันใดนั้นท่ามกลางเสียงดังสนั่นมีหัวขนาดยักษ์ราวกับภูเขายื่นออกมาจากเมฆหมอก ดวงตาสีทองอ่อนทั้งสองเปล่งประกาย จ้องเขม็งมายังเหล่าวิหคไม้ที่อยู่ไกลออกไป
ท่ามกลางสายตาถมึงทึงหานลี่รู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังเย็นวาบ ชั่วพริบตาก็แผ่ไปทั่วเรือนร่าง ครานั้นร่างกายไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้เพียงนิด
ตอนที่ 1380
จิตวิญญาณของวิญญาณเที่ยงแท้
“หัวมังกร หัวมังกรเที่ยงแท้ ไม่มีทางเป็นหัวมังกรกิเลนได้!” มองหัวขนาดยักษ์ที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปหานลี่พลันรู้สึกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมา
เห็นเพียงหัวขนาดยักษ์กลางอากาศเหมือนกับหัวมังกรเที่ยงแท้ในคัมภีร์ที่เขาเคยเห็นทุกระเบียบนิ้ว และยิ่งไปกว่านั้นหัวมังกรทั้งหัวล้วนเปล่งประกายสีทอง ราวกับว่าสร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น เขาสีทองคู่หนึ่งบนหัวเหมือนกับต้นไม้เล็กๆ สองต้นยิ่งเปล่งประกายเรืองรอง ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
“ไม่ใช่มังกรเที่ยงแท้? ถึงแม้ว่ากลิ่นอายจะน่าเกรงขามดุจมังกรเที่ยงแท้จริงๆ แต่ลมปราณในร่างของเจ้าสิ่งนี้มากสุดก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เท่าใดนัก จิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมีลมปราณแค่นี้ได้อย่างไร” ฉับพลันนั้นเยี่ยฉู่พลันตะโกนขึ้นพร้อมกับชักสีหน้า
“ไม่ใช่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ คาดไม่ถึงว่าจะเผยร่างมังกรเที่ยงแท้ออกมาได้ งั้นก็คือการบีบกระตุ้นโลหิตมังกรเที่ยงแท้ ถึงได้สร้างจิตวิญญาณของมังกรเที่ยงแท้ออกมาได้” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยฉู่แววตาของหญิงสาวชุดขาวพลันฉายแววเย็นเยียบแล้วเอ่ยพึมพำออกมา
“โลหิตมังกรเที่ยงแท้! จะต้องเป็นคนของตระกูลหล่งแน่” เยี่ยฉู่ขมวดคิ้วดำขลับ ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันมีจิตสังหารฉายแวบผ่าน
“ใช่ น่าจะเป็นเช่นนั้น ข้ารู้สึกประหลาดใจตั้งนานแล้ว พอข้าเข้าร่วมภารกิจนี้ได้ไม่นาน ตระกูลหล่งก็ส่งคุณชายเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วย ดูแล้วเขาคงจะมาเพราะข้า” หญิงสาวหัวเราะอย่างเย็นชา
“คุณชายชงมา? หรือว่าเพราะตำนาน…” เยี่ยฉู่นึกอะไรขึ้นมาได้ พลันมีสีหน้าตกตะลึง
“ตำนานอะไร?” หลังจากที่หานลี่โคจรคาถาขับเคลื่อนในร่างแล้ว ในที่สุดก็ฟื้นฟูความรู้สึกตกตะลึงกลับมา แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“หึๆ พี่หานรู้ว่าจิตวิญญาณของจิตวิญญาณมังกรเที่ยงแท้นี้ถูกสร้างขึ้นโดยคุณชายตระกูลหล่ง เพื่อเอาโลหิตวิญญาณหงส์สวรรค์จากข้าไป ทว่าในเมื่อเขาเลือกจะลงมือกับน้องหญิง แน่นอนว่าคงไม่มีทางปล่อยให้ใครรอดไปได้ ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของพวกเรามีพันธสัญญากันว่า ห้ามแย่งชิงโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้จากกันและกัน หากผิดสัญญา จะถูกทุกตระกูลร่วมมือกันทำลายล้าง คุณชายตระกูลหล่งผู้นี้ช่างบังอาจนัก แต่ก็ไม่กล้าลงมือกับข้าในอาณาเขตของเผ่ามนุษย์ ถึงได้ถือโอกาสตามข้ามาที่นี่อย่างกะทันหัน แต่การกระตุ้นโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้นั้น อาศัยแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงอย่างเขาเพียงคนแล้วไม่มีทางทำได้ กว่าครึ่งคงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาคนอื่นๆ ของตระกูลหล่งตามเขามาด้วย” หญิงสาวชุดขาวมองไปยังหัวมังกรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
หานลี่ได้ฟังคำนั้น ก็นึกถึงท่าทีสนอกสนใจของหล่งตงที่มีต่อหญิงสาว จึงเชื่อไปกว่าครึ่ง
“หากเป็นโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ธรรมดาๆ ยังพอว่า แต่ตระกูลเยี่ยของพวกเราและตระกูลหล่งเป็นตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้โบราณ โลหิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในเลือดเนื้อของสองตระกูลเรามาไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว ตามหลักการแล้วน่าจะไม่อาจแย่งชิงได้ ตระกูลหล่งน่าจะรู้เรื่องนี้ดีถึงจะถูก” เยี่ยฉู่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วฉายแววฉงนสงสัยออกมา
“จุดนี้ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก ในเมื่อตระกูลหล่งกล้าวางแผนลงมือ ก็น่าจะมีวิธีอะไรสักอย่างถึงจะถูก ทว่าถึงแม้ว่าจะมีวิธีอะไรจริงๆ ก็ต้องสังหารจิตวิญญาณหงส์สวรรค์ของข้า อีกเดี๋ยวน้องหญิงจะกระตุ้นโลหิตวิญญาณ ต้องให้พี่หญิงฉู่คอยช่วยเหลือ พี่หาน คงต้องรบกวนเจ้าให้คอยคุ้มครองแล้ว” หญิงสาวชุดขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อไม่อาจถอนตัวออกได้ ผู้แซ่หานก็จะพยายามอย่างเต็มที่” หานลี่มองไปยังเมฆสีดำและหัวมังกรยักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงและหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณมังกรเที่ยงแท้ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ท่าทางไม่รีบร้อน
“พี่หานเข้าใจแล้วก็ดี ข้าจะวางเขตอาคมก่อน แล้วกระตุ้นโลหิตวิญญาณต่อกรกับจิตวิญญาณมังกรเที่ยงแท้ดูสักตั้ง ดูว่าพลังของหงส์สวรรค์ของตระกูลเยี่ยอย่างพวกเรา หรือโลหิตมังกรเที่ยงแท้ของตระกูลหล่งจะบริสุทธิ์กว่ากัน” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
จากนั้นนางพลันใช้มือหนึ่งลูบไปที่ย่ามเก็บของ ชั่วขณะนั้นธงอาคมหนาๆ ตั้งหนึ่งพลันปรากฏขึ้น มือพลิ้วไหว ลำแสงยี่สิบสามสิบสายบินออกมา จมหายเข้าในพื้นดินอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วพริบตาลำแสงสีม่วงชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลังจากหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ครานั้นหานลี่กลับไม่อาจมองออกว่าเขตอาคมนั้นมีอานุภาพชนิดใดได้
ครานี้หญิงสาวนั่งสมาธิลงตรงใจกลางของเขตอาคมด้วยท่าทีองอาจ จากนั้นพลันอ้าปากออกพ่นดวงแสงห้าสีสันออกมา โคจรล้อมรอบเรือนร่าง
ดวงแสงทุกดวงมีขนาดเท่ากำปั้น ด้านในมีสมบัติขนาดเล็กรูปทรงต่างๆ อยู่รางๆ แบ่งออกเป็น ‘ปี่’ ‘ขิม’ ‘พิณ’ ‘มีด’ ‘แหวน’
พิณที่อยู่ในลูกบอลสีเหลืองนั่นคือพิณสะท้านวิญญาณที่หานลี่เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ความน่ากลัวของมันเขาก็เคยเห็นมาด้วยตาของตัวเองแล้ว เป็นสมบัติลอกเลียนแบบสมบัติวิญญาณที่หายากชิ้นหนึ่ง
เช่นนั้นของสี่ชิ้นที่เหลือน่าจะเป็นของที่อยู่ในระดับเดียวกับพิณสะท้านวิญญาณ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ความร่ำรวยของหญิงสาวชุดขาวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่งจริงๆ
ขณะที่หานลี่กำลังขบคิดอยู่นั้น หญิงสาวกลับควักขวดหยกสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เปิดฝาขวดออก เสียงเพรียกของวิหคอันไพเราะดังขึ้น ทันใดนั้นหงส์ตัวจิ๋วขนาดสองสามชุ่นก็บินออกมาจากขวด หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็หมายจะบินออกไป
แต่หญิงสาวกลับเผยอปากเล็กๆ ออก พ่นลำแสงห้าสีออกมา ห่อหุ้มหงส์สีขาวเอาไว้
หงส์ตัวนั้นเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางลำแสง แล้วกลายเป็นยาลูกกลอนห้าสีเม็ดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก
หญิงสาวชี้ไปที่ยาลูกกลอนเม็ดนั้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ชั่วขณะนั้นยาลูกกลอนห้าสีพลันบินออกไป ถูกนางกลืนลงไปในท้องและหลับตาทั้งสองข้างลง
เยี่ยฉู่ในครานี้ร่างกายพลิ้วไหวมาปรากฏเหนือร่างของหญิงสาว หลังจากนั่งสมาธิลงเช่นกันแล้ว สองมือพลันร่ายอาคม อ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมา เต็มไปด้วยกลิ่นอายไม้ที่บริสุทธิ์ จมหายเข้าไปในร่างของหญิงสาว
แทบจะในเวลาเดียวกัน หญิงสาวแผ่ลำแสงวิญญาณสีเขียวออกมา บนหัวเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีเขียวเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามฉื่อปรากฏขึ้น หมุนวนอยู่ตรงนั้น
ลำแสงนี้ไม่เพียงจะเป็นทรงกลมประหลาดๆ ตรงขอบยังมีเปลวเพลิงสีขาวสูงสองสามฉื่อกะพริบวาบอยู่ ตรงกลางมีเงามนุษย์ลวงตานั่งสมาธิอยู่ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วคล้ายคลึงกับหญิงสาว แค่ตัวเล็กกว่าสองสามเท่า แต่หลับตาทั้งสองข้างลงเช่นกัน สองมือพลันร่ายอาคม
เงาลวงตาหญิงสาวที่อยู่ในม่านหมอกพลันลืมตาขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงห้าสีไหลเวียนอยู่ เผยความแปลกประหลาดอย่างสุดๆ ออกมา
ครานี้เมฆสีดำที่อยู่ไกลออกไปอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงสองสามลี้แล้ว และในตอนนั้นร่างของหญิงสาวชุดขาวก็เริ่มเป็นสีแดงคล้ำ ใบหน้ามีลำแสงโลหิตสดๆ ปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง และกลายเป็นหมอกลำแสงจมหายเข้าไปในหมอกลำแสงด้านบน
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวพลันสั่นคลอน ชั่วพริบตาก็เหมือนกับถูกย้อมด้วยโลหิตอย่างไรอย่างนั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นหยดโลหิตสีแดงสด
เมื่อหญิงสาวที่อยู่กลางหมอกลำแสงสัมผัสกับลำแสงโลหิตนี้ ชั่วพริบตาก็ดูดซับเข้าไปในร่าง ร่างกายมีลำแสงวิญญาณห้าสีแผ่ออกมาสองสามชุ่น
จากนั้นโลหิตลำแสงจำนวนมากพลันทะลักออกมา โลหิตวิญญาณห้าสีขยายใหญ่ขึ้น และเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา
เงาลวงตาสองสามสายกลายเป็นพระอาทิตย์ห้าสีกลุ่มหนึ่ง สีสันเจิดจรัส
ฉับพลันนั้นเสียงเพรียกของวิหคพลันดังสนั่นขึ้น หลังจากหมอกลำแสงหมุนติ้วๆ แล้ว ก็จมหายเข้าไปในดวงอาทิตย์ที่อยู่ตรงกลาง
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็เปล่งแสงห้าสีสันออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นหงส์ห้าสีสองสามจั้ง หลังจากปากเปล่งเสียงร้องอันไพเราะออกมา ปีกทั้งสองก็สยายออกบินไปหาเมฆสีดำที่อยู่ตรงข้าม
ระหว่างทางหงส์ตัวนั้นพลันขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด แทบจะทุกครั้งที่กระพือปีกร่างกายจะขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า กระพือปีกสองสามครั้ง หงส์ตัวนั้นก็มีขนาดร้อยจั้ง พลังน่าเกรงขามที่ไม่ด้อยไปกว่าของมังกรยักษ์ปรากฏขึ้น
ดวงตาสีเงินของหงส์ยักษ์จ้องเขม็งไปยังหัวมังกรที่อยู่ในเมฆสีดำ ร่างกายอันใหญ่โตปรากฏขึ้นตรงข้ามไม่ไกลนัก
พริบตาที่หงส์ยักษ์ปรากฏตัวขึ้น หัวมังกรทองพลันหยุดคำราม เผยท่าทีพร้อมรบออกมา หลังจากสายฟ้าฟาดลงมาจากเมฆสีดำระลอกหนึ่ง ในที่สุดร่างกายสีทองความยาวสองร้อยจั้งเศษก็เผยออกมา
คาดไม่ถึงว่าร่างของมังกรเที่ยงแท้จะใหญ่กว่าหงส์ห้าสีหลายเท่า
ถึงแม้ว่าร่างกายจะเล็กกว่าคู่ต่อสู้ แต่หงส์หลากสีกลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด กระพือปีกทั้งสองข้าง
ชั่วขณะนั้นใต้ปีกพลันเกิดพายุหมุนขึ้น เสาวายุขนาดๆ พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และใกล้ๆ กับปีกอีกข้างหนึ่ง กลับมีลำแสงสีขาวสองสามสายปรากฏขึ้น หลังจากเสียง “ปังๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดลำแสงก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีขาวขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นทะเลเพลิงที่ลุกโชน
เช่นนั้นฉากที่น่ามหัศจรรย์พลันปรากฏขึ้น
จากปีกทั้งสองข้างของหงส์หลากสี กลางอากาศมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น วายุซัดเข้ามาเป็นระลอก พลังของหงส์ระเบิดออกมาเต็มท้องฟ้าฝั่งนี้ อีกด้านหนึ่งมีทะเลเพลิงหมุนวน เปลวเพลิงสีขาวแทบจะเผาไหม้ท้องฟ้าฝั่งนี้ทั้งหมด อุณหภูมิสูงจนทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน
มังกรทองที่อยู่ตรงข้ามเห็นเช่นนั้น กลิ่นอายบนร่างพลันเปลี่ยนไป ชั่วครู่ก็โหดร้ายขึ้น เมฆสีดำกลางอากาศเกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ในเวลาเดียวกันสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงจามาจากก้อนเมฆ ชั่วพริบตาก็ตัดสลับกันกลายเป็นมังกรวารีไฟฟ้าสีเงินยาวสิบจั้งเศษ สะบัดหางติดตามอยู่ข้างกายมังกรทองเต็มไปหมด คาดไม่ถึงว่ามองไปปราดเดียวจะไม่อาจคำนวณได้ว่ามีกี่ตัว
หานลี่ที่อยู่ด้านล่างเห็นแล้วพลันตาถลน ในเวลาเดียวกันกลางอากาศพลันมีเสียงมังกรร้องคำรามดังขึ้น มังกรทองอ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีทองออกมา ในเวลาเดียวกันมังกรไฟฟ้าสีเงินที่อยู่รอบๆ ด้านก็กระโจนเข้าใส่ฝั่งตรงข้ามทันที หงส์หลากสีที่อยู่กลางอากาศสะบัดปีกทั้งสองข้างไปเบื้องหน้าในเวลาเดียวกัน ชั่วขณะนั้นพายุเฮอร์ริเคนสีเขียวและทะเลเพลิงสีขาวพลันปะทะกัน
เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ชั่วพริบตาท้องฟ้าทั้งหมด ก็เกิดการต่อสู้ของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสองแล้ว
หานลี่หรี่ตามองอยู่กลางอากาศ แต่กลับแผ่จิตสัมผัสกว่าขึ้นไว้ที่เขตอาคม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรขึ้น
ประจุไฟฟ้าสีเงิน วายุสีเขียว เปลวเพลิงสีขาว สามชนิดพัวพันกันอยู่กลางอากาศ ในนั้นมีร่างของมังกรทองและร่างอันใหญ่โตของหงส์ห้าสีกะพริบวาบอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับอสูรธรรมดาๆ ที่ต่อสู้กันในระยะประชิดอย่างไรอย่างนั้น
แต่แค่ความสามารถของทั้งสองไม่ธรรมดา มังกรทองตะปบกรงเล็บออกไป เกิดเป็นรอยแยกสีขาวห้าสายกลางอากาศ หงส์หลากสีกระพือปีกโจมตี อากาศเบื้องหน้าพลันบิดเบี้ยว
ระหว่างทั้งคู่มีเสียงสะเทือนแสบแก้วหูดังขึ้นไม่หยุด ราวกับว่าอาจจะฉีกทิ้งท้องฟ้าได้ตลอดเวลา
หานลี่เห็นเช่นนี้ พลันรู้สึกจิตใจไม่สงบราวกับเกิดพายุคลื่นขึ้นในใจ
สิ่งที่เรียกว่า ‘จิตวิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้’ มีพลังที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินขนาดนี้ เช่นนั้นมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์ที่แท้จริงจะมีพลังความสามารถทำลายล้างโลกขนาดไหนกัน
ดูแล้วสิ่งที่ในคัมภีร์กล่าวเอาไว้ สิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดอย่างมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์ไม่หวาดกลัวแดนเทพเซียน ก็อาจจะเป็นความจริงอยู่หลายส่วน
ตอนที่ 1381
กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะ
หานลี่จ้องไปกลางอากาศด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ มังกรทองและหงส์หลากสีที่อยู่บนท้องฟ้า กำลังโรมรันกันจนแยกไม่ออก
เช่นนั้นหรือว่าจะกลายเป็นการต่อสู้อย่างไม่หยุดพักสามวันสามคืน?
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ชักสายตาไป พิจารณาหญิงสาวชุดขาวและเยี่ยฉู่ที่นั่งสมาธิอยู่ในเขตอาคม สีหน้าพลันตะลึงงัน
หญิงสาวกำลังหลับตาสองมือร่ายอาคม บนร่างมีลำแสงห้าสีโคจรไปมาไม่หยุด ดูไม่ออกว่ามีจุดใดที่ผิดปกติเลยสักนิด ส่วนเยี่ยฉู่ยังคงพ่นลำแสงสีเขียวออกมาใส่ร่างของหญิงสาวไม่หยุด แต่สีผิวกลับเปลี่ยนไป
ผิวสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนพฤกษาวิญญาณในตอนนี้ขาวนวล ราวกับหยกงามอย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวผู้นี้กลายเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสดใสดุจหงส์ ท่าทางมีอายุแค่สิบแปดสิบเก้าปี
เหมือนว่าจะรู้สึกถึงการจับจ้องของหานลี่ สตรีผู้นั้นชำเลืองมองหานลี่ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง สายตาไร้ซึ่งความรู้สึก เย็นชาเป็นอย่างมาก
สัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของสตรีผู้นี้ หานลี่พลันฉีกยิ้มตอบรับ ทันใดนั้นก็หันกลับไป
ในตอนนั้นเองกลางอากาศพลันมีเสียง “” ดังขึ้น
หานลี่ใจหายวาบมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เห็นเพียงสถานการณ์บนท้องฟ้าเปลี่ยนไป พลังพายุเฮอร์ริเคนกลายเป็นลำแสงสีฟ้า กลายเป็นดอกบัวน้ำแข็งยักษ์กิ่งโปร่งใสผลิบานอยู่ พลังเย็นยะเยือกที่สามารถแช่แข็งท้องฟ้าได้พลันเข้าสู่การต่อสู้ในพริบตา
เมื่อพลังเย็นเยียบกลุ่มนี้ปะทะกับเปลวเพลิงสีขาว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีพลังขับไล่เลยสักนิด กลับตรงกันข้ามกับพลังฟ้าดิน เมื่อช่วยเสริมกันและกันแล้ว อานุภาพก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า
ชั่วขณะนั้นลูกไฟสีขาวและดอกบัวน้ำแข็งสีฟ้าพลันพัวพันสลับกัน ทอดตัวไปครึ่งฟ้า กดพลังอสนีให้ล่าถอยไป
ไม่รู้ว่าหงส์หลากสีสำแดงเคล็ดวิชาอัศจรรย์อะไร หลังจากเปลี่ยนพลังวายุเป็นพลังน้ำแข็งเย็นยะเยือกแล้ว ก็ได้เปรียบในการต่อสู้เป็นอย่างมาก
“เหอๆ เปลี่ยนเบญจธาตุ เป็นหนึ่ง! ในที่สุดเจ้าก็สำแดงคาถาหยินหยางระดับสุดยอดออกมาแล้ว? เยี่ยม เยี่ยมมาก ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง” มังกรยักษ์สีทองที่อยู่กลางอากาศดูจะสู้ไม่ได้ แต่ไม่เพียงจะไม่ลนลาน กลับเอ่ยคำพูดของมนุษย์ที่ฟังดูอู้อี้ออกมา เปล่งเสียงหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าจะมีความสุขเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้จักเคล็ดวิชานี้?” ร่างกายของหงส์หลากสีแข็งค้าง ปากก็เปล่งเสียงร้องด้วยความสงสัยออกมา
นั่นก็คือเสียงของหญิงสาวชุดขาว
แต่มังกรยักษ์ที่อยู่กลางอากาศกลับไม่ตอบคำพูดของหงส์หลากสี กลับอ้าปากเปล่งเสียงคำรามกระทบโสตประสาทออกมา ทันใดนั้นฉากที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น
ลำแสงสีทองที่อยู่บนร่างของมังกรยักษ์ลดลง กลายเป็นสีแดงโลหิตสดๆ ทันใดนั้นมังกรพลันอ้าปาก พ่นเสาโลหิตหนาๆ ออกมาต้นหนึ่ง
เมื่อเสาโลหิตสัมผัสกับอากาศ ก็หมุนติ้วๆ รวมตัวกันกลายเป็นกระบี่ยักษ์ยาวสิบจั้งเศษ
กระบี่เล่มนี้มีตัวเรือนสีแดงโลหิต หัวเป็นมังกรตัวเป็นหงส์ กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งทะลักออกมาจากตัวกระบี่ ทำให้ผู้คนรู้สึกคลื่นเ**ยนเวียนเกล้า
“กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะ คิดไม่ถึงว่าสมบัติชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือของพวกเจ้า! หรือว่าพวกเจ้าคิดจะ…” เมื่อเห็นกระบี่เล่มนี้คืนร่างเดิม หงส์หลากสีก็ร้องอุทานชื่อของมันออกมาด้วยความตกใจ แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ทันใดนั้นพลันลนลาน สยายปีกทั้งสองออกแล้วบินหนีออกมา
“จะหนีตอนนี้ ก็สายไปแล้ว!” เสียงเย็นชาดังออกมาจากปากของมังกรยักษ์ ทันใดนั้นร่างกายก็กระโจนมาข้างหนึ่ง ฉับพลันนั้นร่างพลันหดเล็กลงสองสามเท่า คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงโลหิตความยาวสองสามจั้ง จมหายเข้าไปในตัวกระบี่โลหิต
ทันใดนั้นกระบี่เล่มนี้ก็สับลงมาหาหงส์หลากสีที่อยู่ไกลออกไป
ลำแสงสีโลหิตอ่อนๆ สว่างวาบ เงาโลหิตยาวร้อยจั้งเศษสายหนึ่งสับผ่านร่างของหงส์หลากสีอย่างรวดเร็ว ทำให้หงส์หลากสีตัวนั้นไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง
หลังจากเปล่งเสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างอันใหญ่โตของหงส์หลากสีที่ดูเหมือนว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เงาลวงตาหงส์โลหิตขนาดสองสามฉื่อกลับถูกเงากระบี่สับแล้วพุ่งออกมาจากร่างกาย จากนั้นเงากระบี่สีโลหิตก็พุ่งไปด้านหลังแล้วหมุนวนกลับมา กลายเป็นลำแสงสีโลหิตห่อหุ้มเงาลวงตาหงส์โลหิตเอาไว้ พุ่งไปด้านหลังแล้วกลับมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับมาอยู่ในกระบี่โลหิต
ลำแสงกระบี่โลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ต่ำๆ ออกมา
ร่างของหงส์หลากสีเปล่งเสียง “กึกๆ” ออกมา ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงวิญญาณสลายหายไปจากกลางอากาศ มีเพียงลำแสงโลหิตส่วนเล็กๆ ที่ร่อนลงมาจากลำแสงวิญญาณ ชั่วพริบตาก็จมหายเข้าไปในร่างของหญิงสาวที่อยู่ด้านล่าง
ร่างกายของเยี่ยอิ่งสั่นเทา ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ
“โลหิตของหงส์สวรรค์ โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของพวกเราถูกกระบี่เล่มนั้นดูดไปกว่าครึ่ง” น้ำเสียงของหญิงสาวแห้งผาก ไม่อาจรักษาสีหน้าราบเรียบอย่างเดิมเอาไว้ได้อีกแล้ว
“นายหญิงน้อยไม่จำเป็นต้องตกใจ โลหิตของหงส์สวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่จะชิงไปได้ง่ายๆ ตอนนี้แค่ถูกกระบี่เล่มนั้นกักเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ถึงแม้ว่าคนของตระกูลหล่งจะใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมควบคุมโลหิตของมังกรเที่ยงแท้ให้เข้าไปในกระบี่เล่มนั้น เพื่อหมายจะชิงโลหิตวิญญาณไปจริงๆ แต่ก็ไม่อาจทำสำเร็จได้ในทันที ขอแค่ชิงกระบี่เล่มนั้นกลับมาได้ พวกเราก็มีโอกาสชิงกลับคืนมาแล้ว แม้กระทั่งอาจจะชิงโลหิตมังกรเที่ยงแท้ของอีกฝ่ายมาได้อีกด้วย” หลังจากนั้นเยี่ยฉู่กลับหยุดลำแสงวิญญาณ สายตาเย็นชาขณะเอ่ย
“ใช่แล้วตอนนี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงโลหิตวิญญาณส่วนนั้น อีกฝ่ายยังทำไม่สำเร็จ พวกเรารีบไปชิงกระบี่เล่มนั้นมาเถิด พี่หาน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ครั้งนี้ขอแค่ช่วยข้าชิงโลหิตวิญญาณคืนมา ข้ายอมตกลงว่าวันข้างหน้าตระกูลเยี่ยจะยอมตอบแทนสิ่งที่ทำได้ให้เจ้าเป็นการตอบแทนแน่” หญิงสาวชุดขวาได้ฟังคำพูดของเยี่ยฉู่ ในที่สุดก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นนิ่งสงบ ขบคิดเล็กน้อย กลับหันหน้าไปเอ่ยคำสัญญากับหานลี่
เยี่ยฉู่ได้ยินแล้วพลันตะลึงงัน ส่วนหานลี่กลับขมวดคิ้ว เผยท่าทีลังเลออกมา
“สหายอย่าคิดว่าตระกูลหล่งจะปล่อยเจ้าไป หากพวกเราพลั้งมือถูกสังหาร เจ้าก็ไม่อาจหนีการไล่ล่าของอีกฝ่ายได้ตามลำพังแน่ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่เจ้ากับข้าแสดงออกแล้วว่าอยู่ฝั่งเดียวกัน ต่อให้โชคดีหนีกลับไปในเผ่ามนุษย์ได้ แต่วันข้างหน้าตระกูลหล่งก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ มีเพียงต้องรับการคุ้มครองจากตระกูลเยี่ยของพวกเรา ถึงจะไม่เป็นไร” เยี่ยฉู่แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ข้าน้อยยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือ” หานลี่ลูบใต้คาง เอ่ยด้วยท่าทีจนปัญญาเล็กน้อย
“เหตุใดพี่หานถึงได้พูดเมื่อฝืนใจขนาดนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ที่อยากสานสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยของพวกเรา” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา ทันใดนั้นร่างกายก็เคลื่อนไหว กลายเป็นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนหญิงสาวเยี่ยฉู่ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวไล่ตามหลังไปติดๆ
หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้มีลำแสงวิญญาณไหลวนโคจรอยู่ ผิวก็กลายเป็นสีเขียวอีกครั้ง มองไกลๆ ไม่ต่างอะไรกับพฤกษาวิญญาณเลยสักนิด
หานลี่ที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีเขียวก็บินเข้าไปหากระบี่โลหิตบนท้องฟ้า
เพราะว่ามังกรทองและหงส์โลหิตสลายหายไป สายฟ้า เมฆสีดำ ดอกบัวน้ำแข็ง เปลวเพลิงสีขาวบนท้องฟ้าจึงหายวับไป เผยท้องฟ้าสีครามออกมาอีกครั้ง
หากไม่ใช่เพราะกลางอากาศมีกระบี่โลหิตขนาดยักษ์ที่สะดุดตาลอยอยู่ การต่อสู้ก่อนหน้าก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่และพวกต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จได้ง่ายๆ แน่ ระหว่างที่ทั้งสามพุ่งออกไป สองฝั่งของกระบี่โลหิตก็มีไอคลื่นปรากฏขึ้น ท่ามกลางลำแสงสีเงิน ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันพลันปรากฏขึ้น
ทั้งสองคนสวมชุดผ้าไหม สวมผ้าคาดสีม่วงบนศีรษะ มองทั้งสามด้วยสีหน้าเย็นชา
“หลงอวี่ หลงหลิน! พวกเจ้าสองคน!” เมื่อเห็นทั้งสองปรากฏตัว ดวงตางดงามของเยี่ยฉู่กลับหดเล็กลง ตะโกนชื่อทั้งสองคนออกมา
หญิงสาวชุดขาวใจเต้น ลำแสงหลีกหนีที่อยู่ห่างจากกระบี่โลหิตไปร้อยจั้งเศษหยุดชะงักลง จากนั้นก็แผ่จิตสัมผัสไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนทั้งสองด้วยความตกใจ
“อันใด? พี่หญิงฉู่รู้จักสองคนนั้น”
“พันปีก่อนข้าและทั้งสองคนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้นเหมือนกัน เคยพบกันในการรวมตัวของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งหนึ่ง สองคนนี้เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเลี้ยงผีควบคุมมาร ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ตระกูลหล่งส่งพวกเขามา ดูแล้วคงต้องเอาโลหิตของหงส์สวรรค์จากนายหญิงน้อยไปให้ได้” เยี่ยฉู่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เคล็ดวิชาเลี้ยงผีควบคุมมาร ต่อกรได้ยากจริงๆ” หญิงสาวชุดขาวรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
“พวกเราพี่น้องยังคิดว่า ตระกูลเยี่ยส่งชนชั้นสูงผู้ใดไปเป็นสายลับในเผ่าพฤกษา ที่แท้ก็เซียนฉู่นี่เอง
ตอนนั้นเซียนมีชื่อเสียงเกรียงไกรมาก จู่ๆ ก็หายตัวไป พวกเรายังรู้สึกว่าแปลกๆ ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าสหายจะฝึกฝนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายแล้ว เห็นได้ชัดว่าเซียนจะต้องได้ประโยชน์ในเผ่าพฤกษาแน่” ทั้งสองมองไปบนเรือนร่างของเยี่ยฉู่แวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ อีกคนหนึ่งกลับเงียบกริบ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร
“สหายทั้งสองฝึกฝนแค่พันปีก็อยู่ในระดับขั้นกลาง ก็นับว่าไวเช่นกัน แต่ครั้งนี้กลับมาลงมือกับนายหญิงน้อยของพวกเรา ช่างโอหังเกินไปหน่อยกระมัง” เยี่ยฉู่เลิกคิ้ว พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“ฮ่าๆ นายน้อยของตระกูลเราเพิ่งจะฝึกฝนเคล็ดวิชาสำเร็จ มีได้ทั้งโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ของมังกรและหงส์ มีหวังที่จะบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว อีกอย่างพูดเรื่องนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร” ชายวัยกลางคนที่พูดหัวเราะอย่างพึงพอใจออกมา
“คาถาหยินหยางระดับสุดยอดนั้น พวกเจ้าจงใจขายพวกเราหรือเปล่า มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าจะมีกระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะ โลหิตหงส์สวรรค์จะถูกแยกออกได้ง่ายๆ ได้อย่างไร” หญิงสาวชุดขาวแววตาเย็นเยียบ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถามทั้งสองอย่างโหดเ**้ยม
เมื่อได้ยิน ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งทั้งสองพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นคนหนึ่งก็หัวเราะออกมา
“หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว! มีพี่น้องอย่างเราอยู่ที่นี่ ทั้งสองอย่าคิดจะรบกวนคุณชายของเราเลย” ทั้งสองคนไม่คิดจะตอบคำถามนี้
“นายน้อย ลงมือเถิด พูดไปก็ไม่มีประโยชน์” เยี่ยฉู่แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ทันใดนั้นร่างกายก็เปล่งแสงสีเขียวมรกต ลำแสงสีเขียวกระจายออกมาบนเรือนร่าง ด้านในมีเงาต้นไม้และพุ่มไม้ปรากฏขึ้นรางๆ
สองมือของสตรีผู้นี้พลันร่ายอาคม ชั่วพริบตาลำแสงสีเขียวก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้
หล่งตงและพวกทั้งสองเห็นเช่นนั้น ก็แทบจะสะบัดแขนเสื้อในเวลาเดียว สำแดงคัมภีร์โบราณสีแดงสดม้วนหนึ่งและม้วนรูปภาพสีดำสนิทม้วนหนึ่งออกมา
คนหนึ่งชูมือหนึ่งขึ้น ชี้ไปที่คัมภีร์โลหิตด้วยความเคร่งขรึม
ขณะที่คัมภีร์สีโลหิตพลันหมุนวน อักขระสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา ทันใดนั้นก็กลายเป็นเงามารสีแดงสดเป็นสายๆ เงยหน้าอ้าปากออกกับท้องฟ้า ลำแสงสีโลหิตโจมตีไปยังลำแสงสีเขียวด้านล่าง
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพลันร่ายอาคมในใจ ม้วนภาพสีดำสนิทเปิดออก ไอหมอกด้านหมุนวน วายุสีดำกลุ่มหนึ่งเปล่งเสียงหวีดร้องออกมา แล้วม้วนไปทางลำแสงสีเขียวเช่นกัน
ภายใต้ลำแสงโลหิตและวายุสีดำที่พัวพันกัน ต้านทานลำแสงสีเขียวที่น่ากลัวเอาไว้กลางอากาศ ทั้งสองระเบิดออกเกิดเป็นเสียงดังสนั่นไม่หยุด
หญิงสาวชุดขาวเห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือพลันพลิกฝ่ามือ มีดสีทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ลำแสงสีทองเปล่งประกาย อีกมือหนึ่งกลับมีแหวนกลมๆ สีเขียวมรกตปรากฏขึ้น
สองมือโบกสะบัด ทั้งสองพลันพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศในเวลาเดียวกัน
ตอนที่ 1382
ภูตชาด
ภายใต้มีดสีทองที่พลิ้วไหว มีดลำแสงสิบจั้งเศษสายหนึ่งสับลงมาหากระบี่โลหิต แหวนสีเขียวมรกตชิ้นหนึ่งเปล่งเสียงร้องครวญออกมา กลายเป็นเงาลวงตาขนาดยักษ์สีเขียวสายหนึ่ง พุ่งเข้ามาหากระบี่โลหิตเช่นกัน
“เพ้อเจ้อ!” ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งคนหนึ่งเห็นท่าทางของหญิงสาว ก็ร้องตะโกนออกมา ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่หยกสีขาวข้างเอว
ของสิ่งนี้กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางการหมุนวนติ้วๆ ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มกระบี่โลหิตเอาไว้
ชั่วขณะนั้นมีดลำแสงและเงาลวงตาพลันโจมตีไปบนม่านลำแสง ชั่วขณะนั้นเสียงดังสนั่นพลันดังขึ้นสองครั้ง ม่านลำแสงสีขาวพลิ้วไหวอย่างรุนแรง อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่คาดไม่ถึงว่าจะรับการโจมตีจากสมบัติทั้งสองเต็มๆ
หญิงสาวพลันหน้าเปลี่ยนสี ชูมือหนึ่งขึ้นโดยไม่ได้ปริปาก ร่ายอาคมโจมตีไปยังมีดสั้นสีทองเล่มนั้น ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถาออกมา
มีดสั้นเปล่งแสงสับลงไปที่ม่านลำแสงสีขาวอีกครั้ง
การโจมตีนี้ดูแล้วแผ่วเบา จนดูเหมือนไม่มีพลัง แต่กลับเป็นเส้นอวบหนา มีดลำแสงยาวประมาณร้อยจั้งเศษ ปรากฏขึ้นกลางม่านลำแสง สับลงมาราวกับใบมีดสวรรค์
ใบมีดนี้ยังไม่ทันตกลงมาจริงๆ อากาศรอบๆ ก็สั่นคลอนเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา
ผู้ใดก็ดูออกว่า มีลำแสงนี้สับลงมาอย่างแน่นหนา ม่านลำแสงสีขาวไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ในตอนนั้นเองผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งอีกคนหนึ่งก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ฉีกแขนเสื้อยาวๆ ของตนเอง เผยร่างกายที่ทำให้ผู้คนขนลุกซู่ออกมา
ร่างกายครึ่งท่อนที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ของคนผู้นี้มีหัวภูตผีสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้นอยู่เจ็ดแปดหัวกำลังกัดอยู่บนร่างกายของเขา และเลื้อยขยุกขยิกไปมาไม่หยุด
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา ชั่วขณะนั้นหัวภูตผีสามหัวก็พลิ้วไหวแล้วอ้าปากออก ทันใดนั้นก็สั่นคลอนแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาเหนือม่านลำแสงสีขาว ก็มีไอทมิฬสามกลุ่มระเบิดออกมา
ท่ามกลางไอสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ผีสีแดงสดสูงห้าหกจั้งสามตัวปรากฏขึ้น
ผีดุร้ายสามตัวมองไปยังมีดลำแสงยักษ์กลางอากาศ ฉับพลันนั้นสองแขนร่ายรำกลายเป็นกระบี่ยาวสีแดงสดสองเล่ม ถูกภูตผีร้ายที่อยู่ตรงกลางจับเอาไว้
ทันใดนั้นไอทมิฬก็หมุนวนทยอยกันจมหายเข้าไปในภูตผีและกระบี่ยักษ์สองเล่ม
ภูตผีอัปลักษณ์เปล่งเสียงกรีดร้องลั่นฟ้าออกมา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นเจ็ดแปดเท่า จนมีขนาดสามสิบจั้งเศษ จากนั้นก็ชูกระบี่ภูตสีแดงสดที่ใหญ่กว่าสองสามเท่าออกมาพร้อมกัน สับไปทางดาบลำแสงกลางอากาศจนกลายเป็นรูปกากบาท
ลำแสงสีแดงลำแสงสีทองพัวพันตัดสลับกัน เปล่งเสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!
มีดลำแสงยักษ์ที่อยู่ด้านล่างถูกกระบี่ยักษ์สองเล่มยาวสิบจั้งเศษต้านเอาไว้
ทันใดนั้นก็สั่นเทา มีดลำแสงหายวับไป
ขณะเดียวกันกระบี่ภูตสองเล่มและแขนหนาๆ ทั้งสองของภูตดุร้ายที่ถือกระบี่อยู่ด้านล่างกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน กลายเป็นหมอกสีแดงแล้วสลายหายไป
ในตอนนั้นเองหลังจากที่เงาลวงตาสายหนึ่งหมุนวนโคจร ก็ทุบลงมาที่ภูตผี
ภูตผีผมแดงที่อยู่ตรงกลางเห็นเช่นนั้นกลับไม่ลนลาน เห็นหมอกสีแดงหมุนวนมาอยู่เบื้องหน้า ก็กลายเป็นแขนภูตและกระบี่ยักษ์สองเล่มที่เหมือนกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
การโจมตีของเงาลวงตา แน่นอนว่าถูกกระบี่ยักษ์สองเล่มต้านทานเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย และโจมตีจนกระเด็นลอยไป
หญิงสาวที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าซีดขาว
นางกัดฟันกรอดสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงขนาดเท่ากำปั้นสีเหลืองแดงขาวสามกลุ่มพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ‘ปี่’ ‘ขิม’ ‘พิณ’ สามชิ้นปรากฏขึ้นเป็นแถว
นิ้วทั้งสิบของหญิงสาวชี้ไปทางสมบัติทั้งสามชิ้นราวกับล้อรถ สมบัติสามชิ้นเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน ลำแสงสามชนิดที่ไม่เหมือนกันพุ่งออกมาพร้อมกัน และผสมรวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสามสีกลุ่มหนึ่งม้วนไปทางภูตดุร้าย
แต่เมื่อลำแสงหลากสีบินออกมาได้ระยะหนึ่ง เบื้องหน้าลำแสงก็มีไอทมิฬสี่กลุ่มระเบิดออก จากนั้นภูตผมแดงสี่ตัวก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
พวกมันอ้าปากไปทางลำแสงสามสีพร้อมกัน พ่นไอทมิฬสีดำสี่กลุ่มออกมา ชั่วครู่ก็ต้านทานลำแสงสามสีเอาไว้ และยืนกรานต่อกันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันหญิงสาวตกตะลึง ตอนที่กำลังคิดหาวิธีอื่นนั้น เหนือหัวกลับมีเสียง “สวบ” ดังขึ้น เงาลวงตาสีแดงสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สองมือโบกสะบัดเล็กน้อย ไอกระบี่หนาๆ สองสายสับลงมาอย่างรุนแรง
ภูตสีแดงที่เดิมทีหยุดอยู่บนม่านลำแสงสีขาวตัวนั้นแหวกอากาศมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เคลื่อนย้ายมาอยู่เหนือหัวอย่างเงียบเชียบ
หญิงสาวรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวผสมปนเปกัน ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไป หลบการโจมตีนี้ไปได้ ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งพลันกวักไป ชั่วขณะนั้นมีดสีทองและแหวนสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปพลันพุ่งกลับมา ล้อมรอบหัวของภูตผีแล้วโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
ภูตตัวนี้ร่ายกระบี่ยักษ์ในมือ ปกป้องร่างกายเอาไว้อย่างไม่แสดงอาการอ่อนแอออกมา
เช่นนั้น หญิงสาวชุดขาวจึงอาศัยอานุภาพของสมบัติห้าชิ้น ต่อสู้กับภูตสีแดงเจ็ดตัวพร้อมกัน และไม่อาจละความสนใจไปทำอะไรกระบี่ยักษ์สีโลหิตได้
เยี่ยฉู่ที่อยู่อีกด้านเองก็ปล่อยกระบี่บินสีเขียวเหลืองสองสีสิบกว่าเล่มออกมา กลายเป็นเงากระบี่เต็มท้องฟ้าต่อสู้หัวมารผมยุ่งเหยิงฝูงหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งสองตนเรียกออกมา
หัวมารเหล่านี้มีขนาดพอๆ กับศีรษะมนุษย์ แต่ไม่มีร่างกาย ในเวลาเดียวกันเขี้ยวที่งอกออกมา ก็พ่นไอมารสีม่วงออกมา ทำให้อาณาบริเวณรอบจั้งกลายเป็นม่านหมอกหนาๆ
เยี่ยฉู่กลับถูกม้วนเข้าไปข้างใน
เงามารอยู่ในก๊าซพิษ หลังจากที่เยี่ยฉู่เปลี่ยนการโจมตีไปสองสามชนิดแล้ว กลับไม่อาจหนีออกมาได้ในทันที จึงทำได้เพียงปล่อยลำแสงสีเขียวออกมาปกป้องร่างและพัวพันกับก๊าซนั่นไม่หยุด
หญิงสาวผู้นี้กวาดสายตามาอย่างรีบร้อน แน่นอนว่าจึงมองเห็นหญิงสาวชุดขาวกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นกัน ในใจจึงอดที่จะรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ คอระหงหันไปอีกด้าน ผลคือสิ่งที่เห็นทำให้นางตะลึงงัน
จุดที่นางจับต้องไปนั่นก็คือหานลี่ที่ยังไม่ลงมือ
เขาในครานี้เอาสองมือไพล่หลังลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน
ทว่านั่นไม่ใช่เพราะหานลี่ไม่คิดจะลงมือ แต่เพราะเบื้องหน้าของเขาไม่ไกลนัก หญิงสาวชุดดำคนหนึ่งกำลังมองมาด้วยท่าทีอมยิ้ม
นั่นก็คือเสี่ยวหงของเผ่าหงส์ทมิฬ
หานลี่ดูเหมือนว่าจะกำลังหวาดกลัวและไม่กล้าเสี่ยงลงมือ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่ามนุษย์ สหายสอดมือมายุ่งกับเรื่องของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของพวกเรา หรือว่าอยากหาเรื่องใส่ตัว?” เยี่ยฉู่ตะโกนไปทางหญิงสาวด้วยเสียงโหดเ**้ยม
“หากสหายอยากให้ข้าไม่ยุ่งเรื่องนี้ งั้นก็มอบขนหงส์สวรรค์ในมือมาให้ข้า ขอแค่ได้ของสิ่งนั้น ข้าจะจากไปในทันที” เสี่ยวหงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยดย้อย
“ขนของหงส์สวรรค์อะไรกัน ข้าจะไปมีได้อย่างไร?” เยี่ยฉู่หน้าเปลี่ยนสีกลับปฏิเสธออกไป
“เหอะๆ สหายลืมไปแล้วหรือ สายลับที่ส่งมายังเผ่าพฤกษา ก็มีคนของเผ่าปีศาจเช่นกัน เขาส่งข่าวกลับมาตั้งหลายปีแล้ว บอกว่าเผ่าพฤกษาซ่อนขนของหงส์สวรรค์ที่ใช้ทำให้หงส์สวรรค์เกิดใหม่เอาไว้สามเส้น มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาที่ยิ่งใหญ่อย่างสหาย จะมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วยตนเองตั้งนานทำไมกัน ตอนนี้แม้แต่นายหญิงน้อยเยี่ยผู้นี้ก็ยังออกโรงด้วยตัวเอง คงได้ขนของหงส์สวรรค์มาอยู่ในมือแล้วสินะ” สตรีเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหง เยี่ยฉู่และหญิงสาวก็เคร่งขรึมไม่ปริปากใดๆสตรีเปล่งเสียงหัวเราะออกมา สายตาตกมาบนเรือนร่างของหานลี่อีกครั้ง
“พี่หาน ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถไม่ธรรมดา แต่หากอยากเอาชนะข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย! มิสู้รอไปก่อน ให้คนอื่นๆ ตัดสินแพ้ชนะก่อนเป็นอย่างไร?” สตรีผู้นี้เอ่ยเช่นนี้ออกมา
แน่นอนว่าหานลี่เองก็มองเห็นสถานการณ์ที่หญิงสาวที่เหลือต่อสู้กันตั้งนานแล้ว หลังจากเงียบขรึมไปเล็กน้อย กลับฉีกยิ้มขึ้นมา
“ข้าน้อยเองก็ไม่อยากสู้อะไรกับสหาย แต่หากรอให้นายน้อยหล่งผู้นั้นหลอมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่แล้ว เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา ผู้แซ่หานขอถามสหายสักหน่อย จะถอยหรือไม่?”
“ไม่มีทางทำตามสั่งแน่!” เสี่ยวหงมีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นเยียบ
“เยี่ยม!” หานลี่สาวเท้าออกไป หลังจากนั้นร่างกายพลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะก้าวออกไปไกลยี่สิบจั้งเศษตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างจากสตรีไปแค่สองสามจั้ง มือหนึ่งชูขึ้น นิ้วหนึ่งวาดออกไปเป็นไอเส้นไหมเพลิง
ลำแสงสีทองเปล่งประกาย เส้นไหมสีทองสายหนึ่งมาอยู่เบื้องหน้าสตรี แล้วสับนางออก
การโจมตีในครานี้ดูเหมือนง่ายดายมาก แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพราะหานลี่อาศัยร่างกายที่แข็งแกร่ง ประสานกับย่างก้าวควันตาข่ายและเก้าวายุแปรปรวนระดับขีดสุด
ถึงแม้ว่าสตรีผู้นี้จะเป็นปีศาจผู้บำเพ็ญเพียร แต่การเคลื่อนไหวที่ลึกลับและการโจมตีที่คาดไม่ถึงของหานลี่ก็ยังคงทำให้นางตกใจจนสะดุ้งโหยง
ความเร็วของไอกระบี่ที่กลายเป็นเส้นไหมสีทองที่ทำให้นางได้ทันได้หลบหลีกหรือป้องกัน ภายใต้อารามตกใจนั้นจึงทำได้เพียงอ้าปากพ่นเพลิงสีดำกลุ่มหนึ่งออกมา
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้นเปลวเพลิงสีดำแยกออกไอกระบี่ชะงักค้าง
หลังจากที่สบโอกาสร่างกายของสตรีก็พลิ้วไหว หลังจากที่เส้นไหมสีทองเปล่งแสงสว่างวาบก็สับลงมาที่ชายกระโปรงของสตรีผู้นี้เพียงเล็กน้อย ส่วนนางก็พุ่งออกไปเจ็ดแปดจั้งแล้ว
หลังจากที่สตรีผู้นี้ยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง สายตาที่มองไปทางหานลี่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ครานี้หานลี่เก็บกระบี่ลำแสงเข้าไปแล้ว มือหนึ่งลูบไปบนศีรษะโดยไม่เปล่งคำพูดใดๆ ลำแสงเทวะดูดปราณสีเทาพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศม้วนไปทางสตรีผู้นั้นตามจิตสัมผัสของเขา
ในเวลาเดียวกันฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อพลันทำสัญลักษณ์กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ ชั่วขณะนั้นหัวกะโหลกสีขาวห้าหัวพลันปรากฏขึ้นล้อมรอบสตรีผู้นั้น ปากทั้งห้าพ่นเปลวเพลิงเย็นยะเยือกหลากสีสันออกไป ชั่วขณะนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงห้าสีกระโจนออกไป
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแผ่นหลังของหานลี่ก็มีเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้น ปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งประกายแล้วหายวับไปจากที่เดิม
รอจนเขาเปล่งแสงและปรากฏตัวกลางอากาศอีกครั้ง คนกับอยู่เหนือศีรษะของสตรีแล้ว สะบัดแขนเสื้อลงไปลำแสงสีทองยี่สิบสามสิบสายพุ่งลงไป
เมื่อหานลี่ลงมือก็โจมตีอย่างรุนแรงราวกับพายุห่าฝนก็ไม่ปาน
ส่วนเสี่ยวหงนั้นเมื่อหนีออกจากกระบี่เล่มนั้นของหานลี่ได้ยังไม่ทันหายตกใจก็ตกอยู่ในห้วงของความเป็นตายทันที แน่นอนว่าจึงทำให้นางทั้งโกรธทั้งตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ร่างของสตรีผู้นี้หมุนวนอยู่ที่เดิมอย่างไม่ต้องคิด ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีดำพลันพุ่งออกมาจากร่างของนางถลาเข้าไปหาเปลวเพลิงลำแสงห้าสี แล้วอ้าปากออกอีกครั้ง พ่นกระจกโบราณสีดำออกมา กระจกพลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้าลำแสงสีดำทะลักออกมา ต้านทานลำแสงสีเทาที่ถลามาเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
ส่วนกระบี่ลำแสงสีทองยี่สิบสายที่สับลงมาเหนือหัวนั้น สตรีผู้นั้นใช้มือหนึ่งชูขึ้นไปกลางอากาศ เส้นไหมสีขาวผืนหนึ่งพุ่งออกไปกลายเป็นตาข่ายเส้นไหมขนาดยักษ์ห่อหุ้มร่างของนางเอาไว้
หานลี่เห็นฉากนี้แววตาพลันฉายแววเย็นยะเยือก ร่ายคาถากระตุ้นกระบี่ในใจ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระบี่ลำแสงยี่สิบกว่าเล่มท่ามกลางลำแสงสีทองสับลงมาเต็มท้องฟ้า
เสียง “ชิ้งๆ” ของไอกระบี่ที่ตัดสลับกันดังขึ้นราวกับกำลังจะสับท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง
หญิงสาวพลันมีสีหน้าซีดขาว
ตอนที่ 1383
สยบหงส์ทมิฬ
แม้ว่าจะตาข่ายเส้นไหมสีขาวจะไม่ธรรมดา แต่ภายใต้การถูกกระบี่ลำแสงสับลงมาจำนวนมาก ก็สั่นเทาอย่างหนักภายในอึดใจ ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพังทลายลงในทันที
เปลวเพลิงสีดำรอบๆ และเปลวเพลิงห้าสีที่อยู่รอบๆ ต้านทานได้เพียงชั่วครู่ก็หม่นแสงลงท่ามกลางเปลวเพลิงลำแสงที่หมุนวน ทันใดนั้นก็ถูกกลืนกินไปจนหมด
เปลวเพลิงลำแสงห้าสีม้วนไปทางสตรีผู้นั้นอีกครั้ง
ส่วนลำแสงสีดำจากกระจกโบราณที่อยู่เบื้องหน้าสตรีผู้นั้น เมื่อสัมผัสกับลำแสงสีเทาก็ระเบิดออกอย่างต่อเนื่องแล้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ลำแสงสีเทากวาดออกไป กระจกที่ถูกกวาดเข้าไปหมุนติ้วๆ อับแสงลงท่ามกลางลำแสงสีเทาราวกับว่าสูญเสียจิตวิญญาณไป
ลำแสงเทวะดูดปราณพลันพ่นลงมาโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเช่นกัน
สตรีผู้นั้นพลันรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าหานลี่มีความสามารถไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะรับมือได้ยากถึงขั้นนี้ แค่ประมือนางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว
กัดฟันกรอด สตรีผู้นั้นพุ่งลงไปที่พื้นอย่างไม่ลังเลอีก ลำแสงวิญญาณเปล่งประกาย เปลวเพลิงสีดำสูงสิบจั้งเศษพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
หงส์สีดำขนาดสองสามจั้งที่สง่างามปรากฏกายขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิง เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา สยายปีกทั้งสองข้างออก เบื้องหน้าเผยรอยแยกลำแสงสีขาวสายหนึ่งออกมา
ร่างของวิหคตัวนี้เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็จมหายวับไป
เช่นนั้นไม่ว่ากระบี่ลำแสงที่เพิ่งจะฟันตาข่ายเส้นไหมจนแหลกละเอียดหรือว่าเปลวหรือว่าเพลิงลำแสงห้าสีที่อยู่รอบๆ และม่านลำแสงสีเทาที่อยู่สูงขึ้นไปต่างก็หายวับไปทั้งหมด
“ความสามารถห้วงเวลา!” หานลี่กลับแค่นเสียงด้วยความเย็นชา หว่างคิ้วมีลำแสงสีดำเปล่งประกายสว่างวาบ เนตรปีศาจดวงที่สามปรากฏขึ้น
ดวงตาดวงนี้เคลื่อนไหว เส้นไหมสีดำบางๆ สายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
ปีกที่อยู่บนแผ่นหลังของหานลี่พลันกระพือ หายวับไปท่ามกลางเสียงฟ้าคำราม แต่ทันใดนั้นห่างออกไปสามสิบจั้งลำแสงสีเขียวขาวพลันเปล่งแสงสว่างจ้า ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกันด้านล่างต่ำลงไปจากหานลี่สองสามจั้ง มีเสียงโครมครามดังขึ้น ทันใดนั้นพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หงส์สีดำตัวนั้นเซถลาพร้อมปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหงส์ตัวนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
“เนตรทำลายล้าง!” หงส์ตัวนี้เปล่งคำพูดที่ยากจะเหลือเชื่อออกมาจากปาก
แต่ไม่รอให้หงส์ทมิฬได้ตั้งตัวอีกครั้ง เสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาจนเสียดแทงกระดูกพลันดังขึ้นจากเหนือศีรษะ
หงส์สีดำได้ยินเสียงนี้ร่างกายพลันสั่นสะท้าน จนเกือบจะร่วงลงไปสู่ธรณี
แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันอ้าปากออกพ่นหม้อใบเล็กสีเขียวออกมา
หลังจากที่หม้อใบนั้นเปล่งเสียงร้องออกมา ฝาหม้อพลันลอยขึ้น เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพ่นออกมาจากในหม้อกลายเป็นลำแสงสีเขียวห่อหุ้มลงมา
หงส์ทมิฬรู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว แต่ปีกทั้งสองกลับไม่อาจขยับได้ราวกับหนักเป็นหมื่นชั่ง ท่ามกลางสีหน้าหวาดผวาก็ถูกเส้นไหมสีเขียวรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหวมาปรากฏตัวด้านข้างหงส์ทมิฬอยู่แค่คืบ สะบัดแขนเสื้อ มือยักษ์สีดำสนิทราวกับน้ำหมึกยื่นออกมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า นิ้วทั้งห้ากางออก ตะปบคอหอยของหงส์ทมิฬอย่างรุนแรง
ครานี้ในที่สุดหงส์ทมิฬก็ได้สติฟื้นคืนมาจากภวังค์ตกใจจากการโจมตีของหานลี่ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันระเบิดโทสะ ไม่เพียงร่างกายที่อยู่ในเส้นไหมสีเขียวจะพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต บนผิวพลันมีลำแสงสีดำปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง กำลังลุกโชน
เส้นไหมสีเขียวเหล่านี้เริ่มละลายท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำทันที
หานลี่เห็นเช่นนั้นแววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ฉับพลันนั้นมือที่ตะปบคอของหงส์ทมิฬและแก้มพลันมีเกล็ดสีทองชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน นิ้วทั้งห้าออกแรงบีบเคล้น พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งส่งไปที่คอของหงส์ทมิฬ
ชั่วขณะนั้นหงส์ทมิฬที่กำลังดิ้นรนพลันรู้สึกว่าสองตามืดมัวจนเกือบจะหมดสติไป
จากนั้นหานลี่พลันตะโกนออกมาสั่นสะเทือนบรรยากาศบริเวณรอบ ทันใดนั้นปีกที่แผ่นหลังพลันสยายออก มือหนึ่งตะปบหงส์ทมิฬเอาไว้แล้วกลายเป็นดาวตกดวงหนึ่งพุ่งลงไปด้านล่าง
หงส์ทมิฬที่ถูกหานลี่ใช้พลังมหาศาลบีบเอาไว้กำลังตกอยู่ในอันตราย ครานั้นจึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต้านทานได้อีก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น ดาวตกกระแทกลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง หลุมยักษ์ขนาดสิบจั้งเศษพลันปรากฏขึ้น
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นเหนือหลุมยักษ์ ตรงใจกลางของหลุมหงส์ทมิฬนอนอ่อนแรงอยู่ที่ก้นหลุมไม่ขยับเขยื้อน
ถึงแม้ว่าปีศาจสตรีผู้นี้จะมีร่างเป็นวิหคปีศาจ แต่หลังจากประสบกับการโจมตีที่หนักหน่วงเช่นนี้ก็ยังสูญเสียสติสัมปชัญญะไป
หานลี่มองไปยังหงส์สีดำด้านล่างด้วยความเย็นชาสองสามแวบ หลังจากแววตาเปล่งประกายสว่างวาบคาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ปล่อยกระบี่ลำแสงออกมาจบชีวิตของสตรีผู้นี้ในทันที แค่ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ
ร่างของหงส์ทมิฬเปล่งลำแสงสีขาวสว่างวาบ กำไลเก็บของวงหนึ่งบินออกมาจากตัว ถูกหานลี่ดูดเข้ามาในมือ
นิ้วทั้งห้าอีกมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ยันต์สองสามแผ่นพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบและจมหายเข้าไปในร่างของหงส์ทมิฬ พลิกฝ่ามือกดไปกลางอากาศระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ภูเขาขนาดย่อมสีดำปรากฏขึ้นเหนือหลุมยักษ์ ลำแสงสีเทาสว่างวาบมันขยายใหญ่ขึ้นยี่สิบจั้งแล้วกดลงมาอย่างเนิบๆ
เสียงอึกทึกดังขึ้น ยอดเขาสีดำกดลงมาที่หงส์ทมิฬจนมิด
จากความหนักของภูเขาเทวะดูดปราณประกอบกับความอัศจรรย์ของลำแสงเทวะดูดปราณ หลังจากถูกภูเขาลูกนี้ทับเอาไว้ ต่อให้หงส์ทมิฬมีความสามารถมากขนาดไหนก็ไม่อาจดิ้นให้หลุดพ้นจากภูเขาลูกนี้ได้
นับว่าถูกหานลี่กักเอาไว้เป็นๆ
ตั้งแต่ที่หานลี่ลงมือไปจนถึงการสยบปีศาจสตรีเผ่าหงส์ทมิฬที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่าเขาขั้นหนึ่งเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วอึดใจ
ส่วนที่หานลี่ไม่ได้ลงมือสังหารนั้นไม่ใช่ว่าหานลี่เสียดายความงามของนาง แต่เป็นเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยจึงไม่อยากสร้างความแค้นที่ลบล้างไม่ได้กับเจ็ดเผ่าปีศาจที่มีอำนาจยิ่งใหญ่
เขาไม่ใช่ตระกูลเยี่ยและตระกูลหล่งที่มีพลังอำนาจอย่างตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ กักสตรีผู้นี้ไว้ชั่วครู่ก็เพียงพอแล้ว
ความจริงแล้วเสี่ยวหงมีฐานะเป็นปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรสายตรงของเผ่าหงส์ทมิฬ สมบัติในตัวและความสามารถจึงไม่ได้มีแค่เมื่อครู่ แต่หานลี่ลงมือไวเกินไป ความสามารถรับมือได้ยาก ภายใต้การคาดคิดไม่ถึงมันถึงได้ถูกสยบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
มิเช่นนั้นหากเผชิญหน้ากันจริงๆ หานลี่ไม่ใช้เครื่องมือสังหารสองสามชนิด ถึงแม้ว่าจะชนะได้แต่ก็ต้องเสียเวลาหลายขั้นตอน
เสียงร้องด้วยความตกตะลึงว่า “เอ๋” ดังขึ้นมาจากการต่อสู้ที่อยู่อีกด้าน
หานลี่เงยหน้าขึ้น ชั่วขณะนั้นพลันประสานสายตากับสายตาที่ตกตะลึงพรึงเพริดคู่หนึ่ง
นั่นคือผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนของตระกูลหล่งที่กระตุ้นม้วนภาพสีดำ เขากำลังมองมาทางนี้ด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่หานลี่ซึ่งมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นกลางต่อกรกับระดับขั้นปลายคนหนึ่งไม่กี่กระบวนท่าก็ได้รับชัยชนะ ถูกคนผู้นี้สังเกตเห็นเข้าให้แล้ว
ได้ยินเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจของสหายร่วมวิถี ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งอีกคนก็กวาดสายตามาจากไอสีม่วงเช่นกัน
เห็นหานลี่ลอยอยู่กลางอากาศต่ำๆ อย่างสงบนิ่ง บนพื้นมียอดเขายักษ์สีดำปรากฏอยู่ เสี่ยวหงนอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ยอดเขาสีดำท่าทีอ่อนแรง แววตาของคนผู้นี้ก็ฉายแววประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่ถุงสีแดงเลือดข้างเอว ชั่วขณะนั้นพลันมีเสียงร้องดังออกมาจากถุงหนัง ลำแสงโลหิตกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พลางพุ่งเข้าไปหาหานลี่
การเคลื่อนไหวของตระกูลหล่งและพวกทำให้เยี่ยฉู่มองเห็นสถานการณ์ของหานลี่เช่นกัน ภายใต้การดีใจนางอ้าปากออกลำแสงสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นโจมตีไล่หลังไปยังลำแสงโลหิต ทำให้ร่างของนางสั่นเทาฉับพลันนั้นกลายเป็นหัวกะโหลกยักษ์พลิกตัวกระโจนไปหาสตรีผู้นั้นด้วยความโหดเ**้ยม คาดไม่ถึงว่าจะลืมเป้าหมายเดิมไป
หานลี่เห็นเช่นนั้นแน่นอนว่าไม่มีทางเสียโอกาสงามๆ ไป แผ่นหลังมีเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น ร่างกายกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมา
หลังจากกะพริบวาบอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง มันก็กะพริบแสงเรืองๆ อยู่ใกล้กลับกระบี่โลหิตยักษ์กลางอากาศ
ครานี้กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะเล่มนั้นยังคงเปล่งเสียงหึ่งๆ พลางลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งลำแสงโลหิตระยิบระยับ ถูกม่านลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งอีกคนหนึ่งขมวดคิ้ว มือหนึ่งปรบไปทางหานลี่ดูเหมือนแผ่วเบาแต่ท่ามกลางเสียงครืน มือลำแสงสีขาวนวลเปล่งประกายระยิบระยับพลันปรากฏขึ้นเหนือหานลี่ ขนาดสองสามจั้งตะปบลงมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
มือยักษ์นี้ยังไม่ทันลดระดับลงมาจริงๆ วายุยักษ์ลูกหนึ่งพลันเปล่งเสียงร้องออกมาแล้วพัดเข้ามาอย่างรุนแรงจนทำให้ผู้คนรู้สึกหยุดหายใจ
หางตาของหานลี่กระตุกไม่รู้ว่าเขาปล่อยสมบัติอะไรออกมา แค่ร่างกายเปล่งแสงสีทองสองมือกำหมัดโจมตีไปกลางอากาศอย่างรุนแรง
ชั่วพริบตาที่กำปั้นทั้งสองโจมตีออกไปก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณสีดำขาวสองสีเปล่งแสงเจิดจ้า
คาดไม่ถึงว่าเขาจะอาศัยกายเนื้อหมายจะโจมตีมือยักษ์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาผนึกขึ้นด้วยเคล็ดวิชาลับ
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีใจ ทันใดนั้นจึงร่ายคาถาในใจมือยักษ์มีลำแสงวิญญาณไหลเวียนโคจรไปมาทันที ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นสามส่วน
หลังจากเสียงปะทะกันราวกับเสียงระฆังดัง “แหง่งหง่าง” ดังขึ้น มือลำแสงสีขาวนวลที่มีพลังดุจภูเขาไท่ซานก็หยุดลง ทันใดนั้นก็มีเสียงราวกับยุทธภัณฑ์ปริแตกดังขึ้น มือลำแสงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นสะเก็ดลำแสงหายวับไป
หานลี่ชูกำปั้นทั้งสองขึ้น ลำแสงสีทองเปล่งประกายบนร่างระยิบระยับ แต่ท่าทางไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งที่แต่เดิมยังคงยิ้มเยาะผู้นั้นเห็นเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี
ส่วนหานลี่เองก็ไม่ได้นิ่งงันด้วยเหตุนี้ สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นไข่มุกสีเงินสองเม็ดพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบและมีขนาดเท่าปากชาม หมุนคว้าง ไปทางม่านลำแสงสีขาว
มองเห็นไข่มุกอัสนีปะทะกับม่านลำแสงสีขาวแล้วเปล่งแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงเบื้องหน้าพลันหายวับไป
ฉับพลันนั้นผิวน้ำพลันเกิดระลอกคลื่น แขนปีศาจสีดำสนิทยื่นออกมา
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินพลันโจมตีเข้าไปแล้วระเบิดออก
เสียงตูมตามดังขึ้นสองครั้ง ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนสลับพัวพันกัน ชั่วพริบตาก็ปกคลุมเป็นอาณาบริเวณยี่สิบจั้งเศษ ถึงแม้ว่าม่านลำแสงสีขาวจะถูกไข่มุกอัสนีโจมตี แต่ก็สั่นคลอนอย่างหนักท่ามกลางพลานุภาพที่น่าตกตะลึง ราวกับจะพังทลายได้ตลอดเวลา
ประจุไฟฟ้าครึ่งหนึ่งของไข่มุกอัสนีสองเม็ดแหกเอาไว้ด้านบน
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่รอให้พลังอัสนีที่อยู่ไกลสลายหายไป นิ้วทั้งสิบพลันร่ายอาคมไปทางนั้นไม่หยุด
ชั่วขณะนั้นเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น ไอกระบี่สีทองเป็นสายๆ พลันดีดออกมาอย่างแน่นหนา สับลงมาที่ม่านลำแสงสีขาวอย่างแรง
จากสถานการณ์ของม่านลำแสงไอกระบี่ที่แหลมคมเหล่านี้ล้วนโจมตีไปที่ด้านหลังของเขา ทลายม่านลำแสงออกตรงๆ
เสียงคำรามดังขึ้นจากในลำแสงอัสนี ทันใดนั้นเงาสีดำสิบกว่าสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาจากในนั้น ล้วนโจมตีไปยังไอกระบี่อย่างแม่นยำโดยไม่ผิดพลาด
ชั่วขณะนั้นลำแสงกระบี่ทั้งหมดพลันอ่อนแสงลง ทยอยกันสั่นเทาและสลายหายไปจากกลางอากาศ
ตอนที่ 1384
อสูรวิญญาณครวญเปลี่ยนร่าง
ในที่สุดสายฟ้าสีเงินก็หายวับไปจากกลางอากาศ เบื้องหน้าม่านลำแสงสีขาว เผยร่างภูตผียักษ์สีดำเปล่งประกายสูงสิบจั้งเศษออกมาตัวหนึ่ง
หัวของภูตตนนี้มีเขาสองข้าง เรือนกายมีเกล็ดสีดำราวกับเกราะเกล็ด แผ่นหลังมีปีกเนื้อขนาดใหญ่คู่หนึ่ง แขนสองข้างที่ดูเหมือนเหล็กกล้ายาวผิดปกติ กำลังหลับอุตุอยู่บนพื้น เมื่อมองไปยังใบหน้าของมัน ถึงแม้ว่าหานลี่จะรู้สึกใจหายวาบ แต่ก็รู้ขนลุกชันเล็กน้อย
ใบหน้าของภูตตนนี้แบนเรียบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีใบหน้า ส่วนร่างกายที่ใหญ่โตของมันนั้นเต็มไปด้วยหลุมนับร้อยหลุม นอกจากแขนหนาๆ ทั้งสองแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ
เห็นได้ชัดว่าไข่มุกอสนีสองเม็ดและกระบี่ลำแสงที่หานลี่ปล่อยออกไปเมื่อครู่ ล้วนถูกภูตตนนี้รับเอาไว้กว่าครึ่ง มิเช่นนั้นคงเพียงพอที่จะทำลายม่านลำแสงกระบี่โลหิตแล้ว
ภูตยักษ์เงยหน้าเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงขึ้น ไอทมิฬสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็หมุนวนแล้วจมหายเข้าไปในร่าง
ร่างกายที่แต่เดิมไม่สมบูรณ์แบบ พลันก็ไร้ซึ่งความเสียหายท่ามกลางไอสีดำ
“ฮ่าๆ เด็กน้อยเอ๋ย ลองลิ้มลองความร้ายกาจของราชันย์ภูตไร้หน้าที่ข้าเลี้ยงดูมาพันปีหน่อยเป็นไง ความสามารถของภูตตนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตาเฒ่าเลย” คำพูดที่แฝงเจตนาร้ายดังขึ้นที่ข้างหูของหานลี่ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ
“ราชันย์ภูต?” หากอยู่ใกล้กับหานลี่สักหน่อย ก็จะมองเห็นว่าหลังจากที่เขาได้ยิน มุมปากก็แสยะยิ้ม เผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา
“สหายหานโปรดระวังด้วย ราชันย์ภูตไร้หน้ามีชื่อเสียงมากในแดนภูตผี ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา” สตรีอีกคนหนึ่งถ่ายทอดเสียงออกไปด้วยเสียงเหล็กๆ แหลมๆ แต่กลับเป็นเยี่ยฉู่ที่กำลังยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กันกับสองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่ง
นางเห็นหานลี่จัดการกับสตรีเผ่าหงส์ดำได้อย่างคล่องแคล่ว ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน หัวของราชันย์ภูตก็เอียงคอหันมาทางหานลี่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีดวงตา แต่กลับดูเหมือนว่ายังคงมองมาทางหานลี่
ปากร้องคำรามต่ำๆ ออกมา ราชันย์ภูตไร้หน้าชูแขนยาวๆ ทั้งสองข้างขึ้น ชั่วขณะนั้นพายุก่อตัวขึ้น ไอทมิฬสีดำแผ่ขยายออกมา ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณนั้นกลายเป็นสีดำทะมึน ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงกรีดร้องจำนวนนับไม่ถ้วนดังออกมาจากไอทมิฬ ราวกับเสียงภูตผีกำลังกรีดร้องโหยหวนก็ไม่ปาน
ราชันย์ภูตไร้หน้าที่อยู่ใต้ไอทมิฬสะบัดแขนมาหานลี่
ไอทมิฬที่อยู่กลางอากาศหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ชั่วขณะนั้นกรงเล็บภูตสีดำขนาดใหญ่จนน่าเหลือเชื่อประมาณร้อยจั้งเศษ ตัวกรงเล็บมีเปลวเพลิงภูตสีเขียวกะพริบระยิบระยับข้างหนึ่งตะปบมาหาหานลี่
หานลี่รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบตัวบีบรัด พลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น คิดจะกักร่างของเขาเอาไว้
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ที่ตกอยู่ในสภาวะการโดนพลังมหาศาลกดเอาไว้ เกรงว่าคงยอมจำนนต่อความตายไปแล้ว แต่จากร่างกายที่แข็งแกร่งของหานลี่ กลับดูเหมือนจะไม่เห็นค่าของการกักตนนี้ หลังจากแค่นเสียงอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง มือหนึ่งก็ปัดไปทางแหวนอสูรวิญญาณอย่างรวดเร็ว
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ร่อนลงเบื้องหน้าของหานลี่ห่างออกไปสองสามจั้ง เผยร่างวานรน้อยสูงครึ่งฉื่อที่มีเส้นขนสีดำเปล่งมันปกคลุมตัวหนึ่งออกมา
นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญ
เมื่อวานรน้อยปรากฏตัวขึ้น มันพลันกลอกตาไปมา จมูกใหญ่ๆ ส่งเสียงฟุดฟิดๆ สองตาเปล่งประกาย มือใหญ่ๆ ทุบไปที่หน้าอก ร่างกายเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ขยายขนาดใหญ่ขึ้น แค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็กลายเป็นวานรยักษ์ดุร้ายสูงสามสิบจั้งเศษ
อสูรตัวนี้พุ่งเข้าไปหากรงเล็บภูตที่อยู่กลางอากาศอย่างไม่ลังเล แค่นเสียงหึเล็กน้อย ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากจมูกของมัน ตรงไปยังใจกลางกรงเล็บภูตที่กำลังโจมตีลงมาอย่างพอดิบพอดี
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่ใจกลางกรงเล็บและลำแสงสีเขียวสัมผัสกัน รูสีดำพลันปรากฏขึ้นทันที ลำแสงสีเขียวม้วนไปรอบๆ ส่วนอื่นๆ ของกรงเล็บภูตสลายออกกลายเป็นไอทมิฬสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ถูกลำแสงผืนนั้นค่อยๆ ม้วนเข้าไปข้างใน
ชั่วพริบตากรงเล็บภูตทั้งหมดก็ได้รับความเสียหาย แล้วสลายหายไป
ราชันย์ภูตไร้หน้าที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนั้น ก็ตะปบกรงเล็บอีกข้างมาทางอสูรวิญญาณครวญโดยไม่ปริปากใดๆ
ลำแสงสีดำห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งเข้ามาหาวานรยักษ์ราวกับมีดอันแหลมคมขนาดยักษ์ห้าสาย
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กรงเล็บลำแสงมาอยู่เบื้องหน้าร่างของวานรยักษ์
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสูรวิญญาณครวญ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด
ภูตยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
วานรยักษ์กลับแสร้งทำเป็นไม่เป็น แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุงออกมาจากรูจมูกอีกด้าน
ลำแสงสีเขียวสองสายพัวพันโรมรันกันกลางอากาศ กวาดไอทมิฬกลางอากาศไม่จนเกลี้ยงราวกับลมที่หอบใบไม้ไปในฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวดำพุ่งกลับมา ถูกวานรยักษ์กลืนลงไป
ใบหน้าของวิญญาณครวญเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ชั่วพริบตาก็ต้องเขม็งไปยังราชันย์ภูตที่อยู่ไกลออกไป
ราชันย์ภูตไร้หน้าเห็นอสูรวิญญาณครวญทำลายความสามารถของตนเอง ในที่สุดก็ได้สติฟื้นคืนจากภวังค์ ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องอู้อี้ๆ ออกมา เริ่มโกรธเกรี้ยว
ไม่เห็นว่ามันจะเคลื่อนไหวใดๆ ร่างกายกลับมีเกราะสงครามโบราณปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ด้านบนมีเปลวเพลิงสีเขียวเปล่งประกาย สองมือพลิ้วไหวด้านล่างมีค้อนกระดูกยักษ์คู่หนึ่งปรากฏขึ้น
หานลี่จ้องเขม็งไป พบว่าค้อนกระดูกคู่นี้หลอมขึ้นจากหัวกะโหลกภูตปีศาจยักษ์สองหัว ด้ามหนึ่งเป็นสีเหลือง ด้ามหนึ่งเป็นสีดำ ไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไร
วิญญาณครวญกลับไม่สนใจเรื่องนี้ กะพริบตาทั้งสองข้าง พ่นลำแสงสีเขียวสองสายออกมาจากจมูกอีกครั้ง ม้วนไปทางภูตนั้น
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ราชันย์ภูตไร้หน้าสะบัดค้อนยักษ์ทั้งสอง ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนค้อน คาดไม่ถึงว่าจะสลายการโจมตีของลำแสงสีเขียวออก
คาดไม่ถึงว่าลำแสงเทวะดูดวิญญาณของวิญญาณครวญจะไร้ประสิทธิภาพเมื่อเผชิญหน้ากับภูตผีตรงข้าม
หานลี่มองเห็นฉากนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
อสูรวิญญาณครวญเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา เปล่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา รอบด้านเกิดวายุทมิฬขึ้น สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
ร่างของวานรยักษ์ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง เส้นขนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ตรงหน้าฝากมีเขาหงิกงอสามเขางอกออกมา หว่างคิ้วปูดโปนขึ้น หลังจากมีรอยแตกแยกออก ดวงตาปีศาจสีแดงโลหิตดวงหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันใบหน้าพลันยืดยาวออก เผยเขี้ยวแหลมคมออกมา แผ่นหลังมีกระดูกแหลมๆ สีดำยาวสองสามจั้งสามแท่งงอกออกมา ด้านบนมีไอสีดำรัดพันอยู่ ดูน่าเกรงขามมาก
คาดไม่ถึงว่าอสูรวิญญาณครวญจะพัฒนาระดับขึ้น กลายเป็นภูตที่โหดร้ายตัวหนึ่งเช่นกัน ไอทมิฬบนร่างเข้มข้นมากกว่าราชันย์ภูตที่อยู่ตรงข้ามเท่าหนึ่ง ดวงตาปีศาจที่อยู่ตรงหว่างคิ้วลืมตาขึ้น เสียงอึกทึกดังขึ้น พ่นประจุไฟฟ้าหนาเท่าปากชามสายหนึ่งออกมา
คาดไม่ถึงว่าประจุไฟฟ้าสายนั้นจะมีสีแดงสดดุจโลหิต ชั่วพริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้าราชันย์ภูตผี
ฉากที่ยากจะเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
ราชันย์ภูตไร้หน้าเห็นประจุไฟฟ้าสีโลหิต กลับเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความหวาดกลัวออกมา สองแขนประกบเข้าหากันที่ใจกลาง ในเวลาเดียวกันร่างกายอันใหญ่โตก็พุ่งถลาไปด้านหลัง คาดไม่ถึงว่าจะคิดหนีไป
เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น เมื่อค้อนกระดูกสีขาวทั้งสองเต้าปะทะกับประจุไฟฟ้าสีโลหิต ก็กลายเป็นควันสีเขียวสองกลุ่มราวกับพบกับดาวมฤตยูแล้วสลายหายไป
คาดไม่ถึงว่าจะประจุไฟฟ้าสีโลหิตจะไม่ถูกยับยั้งไว้ หลังจากระเบิดออก ก็โจมตีไปยังเกราะสงครามเปลวเพลิงสีเขียวบนร่างของภูตผีไร้หน้า
เกราะสงครามนี้เหมือนกับค้อนกระดูกคู่นั้นอย่างไรอย่างนั้น สลายหายไปอย่างไม่มีผลในทันที ประจุไฟฟ้าทะลวงเข้าไปที่หน้าอกของภูตผี ทันใดนั้นพลันพันรัดเอาไว้ รัดภูตตนนั้นแน่นราวกับอสรพิษวิญญาณ จากนั้นก็ดึงกลับมา
ภูตยักษ์เปล่งเสียงร้องอันน่าอนาถออกมา ร่างกายถูกม้วนเข้าไปอย่างไม่ยินยอม และหดเล็กลงท่ามกลางการถูกตราตรึงอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็มาถึงปากที่เป็นเหมือนบ่อโลหิตขนาดยักษ์
ลำแสงสีโลหิตเปล่งประกายถูกกลืนลงไปในท้องของอสูรวิญญาณครวญ
อสูรวิญญาณครวญอาศัยเพียงแรงเพียงครั้งเดียวก็สามารถกลืนราชันย์ภูตไร้หน้าลงท้องไปได้อย่างง่ายดาย
ครั้งนี้คู่ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่ง เยี่ยฉู่และหญิงสาวชุดขาวพลันตกตะลึงจนตาค้าง
นั่นไม่ใช่ภูตวิญญาณทมิฬที่ต่ำต้อย แต่เป็นราชันย์ภูตที่มีระดับเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา? เหตุใดถึงถูกโจมตีราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น! วานรน้อยที่แปลงร่างไปสองครั้งนี้คืออสูรวิญญาณอะไรกัน เหตุใดประจุไฟฟ้าสีโลหิตที่พ่นออกมาจากดวงตาปีศาจถึงได้มีความสามารถเหนือชั้นขนาดนี้?
ทุกคนแทบจะมีความคิดนี้ฉายวาบผ่านในหัวพร้อมกัน
แต่ไม่รอให้พวกเขาได้สติฟื้นคืนมา ร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็เคลื่อนย้ายมาอยู่เหนือม่านลำแสงสีขาว
แค่สะบัดแขนเสื้อ กระบี่ลำแสงเจ็ดสิบสองสายก็ทะลักออกมา ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณที่เปล่งแสงสว่างวาบก็รวมตัวกัน กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีทองยาวสิบจั้งเล่มหนึ่งในพริบตา
กระบี่ยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ สับลงมาที่ม่านลำแสงอย่างรุนแรง
เสียง “แควก” ดังขึ้น ลำแสงสีทองและลำแสงสีขาวเกี่ยวรัดกัน ผิวของม่านลำแสงเผยรอยสีขาวบางๆ สายหนึ่งออกมา
“แย่แล้ว!” เห็นได้ชัดว่าคู่บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งคิดไม่ถึงว่ากระบี่บินเมฆาของหานลี่จะเฉียบคมถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ร้องอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกมาพร้อมกัน
เห็นเพียงม่านลำแสงสั่นเทา ทันใดนั้นก็ปริแตกตามรอยแล้วพังทลายลง
หานลี่อาศัยเพียงพลังของกระบี่บิน สับม่านลำแสงสีขาวที่ถูกเพิ่มพลังเอาไว้นานแล้วลงไปในดาบเดียว
กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะเผยตัวขึ้นเบื้องหน้าหานลี่
หานลี่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ร่ายอาคมกระบี่ในใจ ชั่วขณะนั้นกระบี่สีทองยักษ์พลันเปล่งประกาย หายวับไปจากที่เดิม แต่ครู่ต่อมาก็สับลงมาที่ตัวกระบี่สีโลหิตอย่างแรง
ได้ยินเพียงเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีทองและแดงสองสีเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา กระบี่ยักษ์สีทองพลิ้วไหวแล้วถูกดีดออกมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
ทันใดนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกอัสนีสีเงินสองสามเม็ดพลันพุ่งออกมา
กระบี่ยักษ์สีโลหิตแค่พลิ้วไหวท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเงินที่พุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะปลอดภัย
“ฮ่าๆ เด็กน้อย เจ้ารนหาที่ตายสินะ กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะยังคงเป็นหนึ่งในสมบัติวิญญาณโกลาหล อาศัยแค่ฝีมือของเจ้าคิดจะทำลายกระบี่เล่มนี้หรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งที่แต่เดิมกำลังตกตะลึงระคนกังวล กลับเยือกเย็นขึ้นในครานี้ หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก
หานลี่หางตากระตุกสองสามครั้ง มองลึกไปที่กระบี่โลหิตสองสามแวบ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็ชี้ไปที่กระบี่ยักษ์สีทอง
เสียงหึ่งๆ ดังขึ้น กระบี่ยักษ์สั่นคลอน แยกออกท่ามกลางลำแสงสีทอง กลายเป็นกระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มอีกครั้ง
กระบี่เล่มเล็กเหล่านี้เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา ทันใดนั้นก็พลิ้วไหวกลายเป็นกระบี่ลำแสงสีทองสองสามร้อยสาย
กระบี่ลำแสงทุกสายมีขนาดประมาณสองสามฉื่อ หมุนโคจรเริงระบำอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถาด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา นิ้วทั้งสิบร่ายอาคมไม่หยุดราวกับล้อรถ อาคมสายแล้วสายเล่าโจมตีออกไป
ชั่วขณะนั้นกระบี่บินทั้งหมดพลันสั่นเทา กระจายตัวออกกลางอากาศ และพุ่งไปรอบด้าน
ท่ามกลางการเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ลำแสงสีทองเหล่านั้นก็หายวับไป ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำโดยมีกระบี่ยักษ์สีโลหิตเป็นศูนย์กลาง คิดจะอาศัยอานุภาพที่น่ากลัวของกระบี่ยักษ์ บีบปราณแท้ของหล่งตงออกมา แม้กระทั่งคิดจะทำลายสมบัติวิญญาณชิ้นนี้ไปเสียเลย
ตอนที่ 1385
เขตอาคมกระบี่และกระบี่โลหิต
วางเขตอาคมกระบี่เสร็จภายในชั่วครู่ หานลี่ร่ายอาคมกระตุ้น ชั่วขณะนั้นพลังแรงกดที่น่าตกตะลึงจากทุกสี่ทิศพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นจากกระบี่ยักษ์สีโลหิตเป็นเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยกว่าจั้ง พลันมีเส้นไหมสีทองเปล่งประกายปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน กะพริบระยิบระยับ แล้วค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้จุดศูนย์กลาง
คู่ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลหล่งเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำ แต่ก็ใจหายวาบ
หลังจากที่ทั้งสองคนมองหน้ากับแวบหนึ่งแล้ว ฉับพลันนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่กระตุ้นคัมภีร์โลหิตอยู่ในมือก็ร่ายอาคม คัมภีร์โลหิตที่อยู่กลางอากาศพลิกหน้ากระดาษไปสองสามหน้า เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้นเงามารสีแดงสดสิบสายพุ่งออกมา กระโจนไปหาหานลี่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อว่าหานลี่จะทลายกระบี่ยักษ์สีโลหิตได้จริงๆ แต่ก็ไม่อยากให้หานลี่โจมตีกระบี่โลหิตได้โดยไม่มีอะไรขัดขวาง
เงามารสีแดงสดเหล่านั้นล้วนรางเลือน ร่างกายเปล่งแสงสีแดงกะพริบวาบ ทยอยกันปรากฏตัวใกล้ๆ กับหานลี่ แต่หานลี่ที่เตรียมการเอาไว้นานแล้วแค่แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา สองมือถูเข้าด้วยกัน แล้วชูขึ้นอีกครั้ง
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประจุไฟฟ้าสีทองสิบกว่าสายก็พุ่งออกมาโดยไม่คาดคิด เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปบนร่างของเงาสีแดงเหล่านั้น
ลำแสงสีทองสว่างวาบเงามารกว่าครึ่งถูกทำลายไปท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และทยอยกันกรีดร้องขณะถอยร่นไป
จะว่าไปแล้วในเมื่อเงามารเหล่านี้คือมารที่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาควบคุมอยู่ เมื่อต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ นั้นล้วนมีอานุภาพไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ดาบ ไฟน้ำต่างก็ไม่หวาดกลัว นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ต่อกรได้ยาก แต่กลับเป็นเพราะไอมารที่หนาแน่น ปะทะกับอสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของหานลี่จึงทำให้ถูกกดเอาไว้
แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะวรยุทธ์ของหานลี่เพิ่มขึ้น เมื่อสำแดงอสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกไป จึงร้ายกาจกว่าตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์หลายเท่า มิเช่นนั้นจากความสามารถของเงามาร จะไม่อาจรับการโจมตีจากอสนีเทวาของหานลี่ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดได้อย่างไร
เมื่อหานลี่เผยความสามารถออกมา ก็ทำให้คนที่เหลืออีกสี่คนซึ่งกำลังอยู่ในการต่อสู้ตะลึงงัน
แต่ครั้งนี้หานลี่ไม่รอให้ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งได้สำแดงอะไรออกมาอีก อสูรวิญญาณครวญที่อยู่ข้างกายแค่นเสียงหึขึ้นจมูก ลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะตอบโต้ภูตอัปลักษณ์ผมแดงเจ็ดตัวที่กำลังต่อสู้กับสตรีชุดขาวอยู่
ถึงแม้ว่าภูตอัปลักษณ์ทั้งเจ็ดจะมีความสามารถไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจเทียบกับราชันย์ภูตไร้หน้าได้ หลังจากถูกลำแสงสีเขียวม้วนเข้าไป ทันใดนั้นสามตัวก็กลายเป็นหมอกสีแดงถูกม้วนกลับเข้ามาในท้องของอสูรวิญญาณครวญทันที อีกสี่ตัวที่เหลือกลับเห็นท่าไม่ดี จึงเคลื่อนย้ายกายหนีไปร้อยกว่าจั้งในพริบตา ในที่สุดก็นับว่าหนีออกจากหายนะได้ครั้งหนึ่ง
เช่นนี้หญิงสาวชุดขาวจึงรอดออกมาได้
หญิงสาวผู้นั้นพลันรู้สึกดีใจ สายตามองไปทางกระบี่ยักษ์สีโลหิตที่ถูกเส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนตรึงเอาไว้และคู่บำเพ็ญเพียรด้านนั้นแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระตุ้นสมบัติมหัศจรรย์ห้าชนิดที่โคจรอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล เข้าร่วมการต่อสู้กับเยี่ยฉู่
ถึงแม้ว่าเดิมที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่งสองคนร่วมมือกันจะพอกักเยี่ยฉู่เอาไว้ได้ แต่ตอนนี้หญิงสาวชุดขาวใช้สมบัติทั้งห้าเข้าช่วยเหลือ ลำแสงห้าชนิดเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็ผสมเข้ากับลำแสงวิญญาณสีเขียวที่เยี่ยฉู่ปล่อยออกมา ชั่วครู่หมอกสีม่วงก็ปกคลุมไปทั่ว
ครานั้นทั้งสองคนจึงไม่สนใจหานลี่อีก ต่างปล่อยกลองสีแดงและไม้เหล็กสีฟ้าออกมา
เห็นเพียงเสียงตึงตังดังขึ้น กลายเป็นผึ้งผีสีแดงสดฝูงหนึ่งท่ามกลางหมอกพิษ ท่ามกลางเสียงหึ่งๆ ก็กรูเข้าไป ไม้เหล็กสีฟ้าชิ้นนั้นหมุนโคจรอยู่กลางอากาศ ฉับพลันนั้นก็วาดไปกลางอากาศในบริเวณใกล้ๆ ชั่วครู่ก็มีมารแปดกรงเล็บที่เหมือนปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่งกระโดดออกมา หนวดขนาดยักษ์ทั้งแปดฟาดไปทางพวกของเยี่ยฉู่อย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เช่นนั้นสองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่งถึงได้พอรักษาสถานการณ์ให้มั่นคงได้
อสูรวิญญาณครวญที่อยู่อีกด้านกระตุ้นลำแสงเทวะวิญญาณ สังหารภูตอัปลักษณ์ทั้งสี่ทิ้ง ทั้งสองฝั่งไล่ตามกันอยู่กลางอากาศ แต่ก็ไม่อาจลงมือได้ทันที
หานลี่เห็นเช่นนั้น ถึงได้กระตุ้นเขตอาคมหมากระบี่ทองคำต่ออย่างวางใจ
ไม่มีการรบกวนของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่ง เขาก็ไม่เชื่อว่าพลังของเขตอาคมกระบี่จะทำอะไรอาวุธชิ้นหนึ่งไม่ได้
เขาไม่สนใจส่งอื่น ในที่สุดเขตอาคมมหากระบี่ทองคำก็เผยอานุภาพที่แท้จริงออกมา เส้นไหมสีทองเป็นผืนใหญ่เข้าใกล้กัน สัมผัสเข้ากับกระบี่โลหิต
เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสับลงไปบนกระบี่ยักษ์คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงร้องไม่น่าฟังราวกับทองคำเสียดสีกันดังออกมา
ตัวกระบี่เปล่งแสงระยิบระยับ ลำแสงสีทองและลำแสงสีโลหิตตัดสลับกัน กระบี่ลำแสงเป็นสายๆ พุ่งออกมาจากตัวกระบี่ทั้งสองฝั่ง คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานเส้นไหมสีทองเอาไว้ แต่ทันใดนั้น เสียงร้องยาวๆ ก็ดังออกมาจากตัวกระบี่โลหิต แล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า คิดจะหนีออกจากเขตอาคมกระบี่
ทว่ากลางอากาศมีเส้นไหมสีทองจำนวนมากยิ่งกว่าเดิม เมื่อกระบี่ยักษ์บินขึ้นไปได้สองสามจั้ง ก็ระเบิดลำแสงอันเจิดจ้าจนแสบตาออกมา ถูกดีดกลับไปที่เดิม
ภายใต้ความอับจนหนทางนั้น จึงทำได้เพียงต้านทานอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ไปอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะมีอานุภาพเป็นสมบัติวิญญาณ แต่เมื่อไม่มีผู้ควบคุม อาศัยเพียงความสามารถของตนก็ไม่อาจต้านทานได้นานนัก
หลังจากผ่านไปเพียงชั่วประเดี๋ยว แสงที่เปล่งออกมาจากกระบี่โลหิตก็เริ่มหม่นแสงลงท่ามกลางเส้นไหมสีทองที่สับลงมาอย่างบ้าคลั่ง และเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา
เส้นไหมสีทองที่ปรากฏขึ้นรอบๆ ของเขตอาคมกระบี่กลับไม่มีที่สิ้นสุด และยิ่งไปกว่านั้นเส้นไหมกระบี่ยังบางขึ้นเรื่อยๆ เปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของเขตอาคมกระบี่มากกว่าก่อนหน้าแล้ว
สี่คนที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นสถานการณ์นั้น หลังจากที่ตระกูลหล่งทั้งสองตกตะลึงแล้ว ก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาลับสองสามชนิดในการกระตุ้นภูตอัปลักษณ์และหัวกะโหลก หมายจะยับยั้งการเคลื่อนไหวของหานลี่ แต่หญิงสาวชุดขาวและเยี่ยฉู่เห็นเช่นนั้นกลับรู้สึกดีอกดีใจ สำแดงความสามารถทั้งหมดออกมาอย่างไม่กั๊กเอาไว้อีก ขัดขวางศัตรูทั้งสองรวมทั้งภูตมารเหล่านั้นเอาไว้สุดชีวิต
ต้องบอกว่าการสังหารสองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่งนั้น ยากไปหน่อยสำหรับพวกนาง แต่หากขวางอีกฝ่ายเอาไว้กลับไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก
ดังนั้นสองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่งจึงโกรธเกรี้ยวดุจฟ้าผ่า และทำได้เพียงรับมือกับศัตรูเบื้องหน้าแล้วค่อยว่ากัน
ลำแสงจากกระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะถูกเขตอาคมกระบี่ทำลายลงไปพอสมควรแล้ว ข้างหูของหานลี่มีเสียงฝืนระงับโทสะของหล่งตงดังขึ้นว่า
“พี่หาน เจ้าคิดจะทำลายแผนของข้าจริงๆ หรือ? หากทำลายกระบี่เล่มนี้ ตั้งแต่บัดนี้เจ้าและตระกูลหล่งของพวกข้าจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีก เจ้าคิดว่าตระกูลเยี่ยจะปกป้องเจ้าได้นานเท่าไหร่กัน?”
หานลี่ได้ฟังคำนี้ ก็แค่ร่ายอาคมกระตุ้นเขตอาคมกระบี่ ไม่สนใจเลยัสกนิด
“หากสหายยอมปล่อยข้าน้อยไป ตระกูลเยี่ยเสนอเงื่อนไขอะไรให้เจ้า ข้าจะให้มากกว่าเท่าหนึ่ง” หล่งตงเปลี่ยนน้ำเสียงทันที แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขึ้นหลายส่วน
หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา ยังคงไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด
หล่งตงเห็นหานลี่ไม่สนใจคำพูดของตนเอง ก็ไม่ถ่ายทอดเสียงมาอีก แต่กระบี่โลหิตในเขตอาคมกระบี่กลับมีลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสับลงมาไม่หยุด
เมื่อลำแสงวิญญาณดวงสุดท้ายบนตัวกระบี่สลายหายไปแล้ว ในที่สุดตัวกระบี่ยักษ์ก็มีรอยบากยาวๆ เป็นสายๆ ปรากฏขึ้น ถึงแม้ว่าทุกรอยลึกลงไปไม่มากนัก แต่เส้นไหมกระบี่จำนวนมากสับลงมาเช่นนี้ ชั่วพริบตากระบี่ยักษ์ก็มีบาดแผลเต็มไปหมด ราวกับจะถูกทำลายได้ตลอดเวลา
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง แต่หลังจากที่แววตาเปล่งประกายสองสามครั้งแล้ว ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หน้าเปลี่ยนสีขณะตะโกนออกไป ชั่วพริบตาร่างกายก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป ไม่สนใจจะควบคุมเขตอาคมกระบี่อีก
แทบจะในชั่วอึดใจนั้น กระบี่โลหิตก็เปล่งเสียงร้องของหงส์ออกมา ทันใดนั้นกระบี่โลหิตก็ระเบิดออกด้วยเสียงดังสนั่น
ดวงอาทิตย์สีขาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านในมีลำแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
เมื่อเส้นไหมสีทองและลำแสงสีขาวในเขตอาคมกระบี่สัมผัสกัน ก็แตกออกเป็นชุ่นๆ ในชั่วลมหายใจ ขนาดของดวงอาทิตย์ก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กินพื้นที่ไปสองสามร้องจั้ง แม้แต่การต่อสู้ของคู่บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งและพวกของหญิงสาวชุดขาวก็ถูกดึงเข้าไปด้วย ทำให้ทั้งสี่คนตกใจจนสะดุ้งโหยง
โชคดีที่พวกเขาอยู่ห่างจากกระบี่โลหิตค่อนข้างไกล จึงเก็บความสามารถได้ทัน ในเวลาเดียวกันก็หนีออกมาจากตรงนั้นในชั่วพริบตา
การระเบิดของสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าระดับสุดยอด เกรงว่าหากผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์พบเข้า ก็ยังทำได้เพียงถอยหนีออกมาสามฉื่อ
หากไม่ใช่เพราะหานลี่มีปฏิภาณไหวพริบว่องไว หนีออกมาก้าวหนึ่งแล้ว หากอยู่ในอาณาเขตของการระเบิดแล้ว ก็คงทำได้เพียงจิตวิญญาณปลิวว่อนถูกทำลายลง
ครานี้เขาอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์สีขาวไปสองสามร้อยจั้ง มองไปยังจุดที่เกิดการระเบิดด้วยสีหน้าซีดขาว
ถึงแม้ว่าระหว่างทางที่หนีมาเขาจะเก็บกระบี่บินทั้งหมดกลับมาในทันที แต่ก็ยังคงมีกระบี่บินสิบกว่าเล่มที่กลับมาช้าไป ถูกระเบิดไปด้วย ล้วนสูญเสียไอวิญญาณไป ดูแล้วเขาคงต้องหลอมใหม่อีกครั้งแล้ว
นี่เป็นกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่ใช้วัตถุดิบที่หายากจำนวนมากผสมเข้าไป มิเช่นนั้นกระบี่บินธรรมดาๆ คงไม่อาจทำลายไอวิญญาณได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ต่อให้ทำลายกระบี่ให้เป็นผุยผงก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ทว่าหานลี่ในครานี้ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ จ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า
สำหรับคนอื่นแล้วคงไม่อาจมองเห็นพระอาทิตย์ได้ แต่กลับมองเห็นอย่างชัดเจน ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ปีกที่แผ่นหลังสยายออก กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีขาวสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
แต่ครู่ต่อมากลางอากาศอีกด้าน ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น ฝ่ามือขาวนวลดุจหยกตะปบลงไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นแหวนกระดูกห้าวงก็ปรากฏขึ้นที่นิ้วทั้งห้า แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบแล้วก็หายวับไป
ปลายนิ้วมีเปลวเพลิงเย็นเยียบห้ากลุ่มพ่นออกมา ทันใดนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงลำแสงห้าสีห่อหุ้มด้านล่างเอาไว้
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เงาโลหิตยาวสองสามฉื่อสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงลำแสง นั่นก็คือมังกรโลหิตห้ากรงเล็บสีแดงสด ปากของมันกลับคาบหงส์โลหิตอีกตัวหนึ่งเอาไว้แน่น
ครึ่งหนึ่งของตัวหงส์โลหิตหายไป ร่างกายที่เหลืออีกครั้งอยู่ในปากโลหิตไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าไร้ซึ่งพลังชีวิตแล้ว
มังกรโลหิตที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงเย็นยะเยือก สะบัดหัวไปมาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ เห็นได้ชัดว่ามาเมื่อครู่ได้อาศัยการระเบิดตัวเองกำบัง คิดจะถือโอกาสหนีหลบซ่อนและหนีไปที่ไหนสักที่ แต่มันกลับคิดไม่ถึงว่าหานลี่จะมีความสามารถเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง ไม่เพียงจะมองเห็นร่างของมันได้ภายในพริบตา กลับถือโอกาสนี้ปล่อยเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีออกมา กักมันเอาไว้ข้างใน
ครานี้มังกรโลหิตที่อยู่ในเปลวเพลิงห้าสี ร่างกายเชื่องช้าลงสิบกว่าเท่า การเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า
ลำแสงเย็นเยียบเปล่งประกายสว่างวาบที่ดวงตา มือหนึ่งกวักออกไป ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงห้าสีพลันม้วนกลับไป ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มมังกรโลหิตเอาไว้อย่างแน่นหนา
หานลี่พลันอ้าปากออก ลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มเตานภาสูญอยู่บินออกมา
ร่ายอาคมสะท้านฟ้ากระตุ้น เตาใบเล็กขยายใหญ่ขึ้นหลายส่วน จนมีขนาดสองสามฉื่อ ในเวลาเดียวกันฝาเตาก็บินออกมาโดยอัตโนมัติ พ่นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ม้วนไปทางมังกรโลหิตที่อยู่ด้านล่าง
ตอนที่ 1386
ขนของหงส์สวรรค์
“บังอาจ?” ตัวของมังกรโลหิตมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ลำแสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาจากร่าง ตรงไปสับเส้นไหมสีเขียวออก
ภายใต้ความจนปัญญาของจิตวิญญาณดั้งเดิมของหล่งตง คาดไม่ถึงว่าจะทำให้โลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในร่างกลายเป็นกระบี่ลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมา หมายจะดิ้นรนครั้งสุดท้าย
หากเป็นการโจมตีธรรมดาๆ ถูกกระบี่ลำแสงสีโลหิตสับออกก็อาจจะไม่ตกลงไป
แต่เตานภาสูญนั้นเดิมทีก็เป็นสมบัติสะท้านฟ้าอยู่แล้ว เส้นไหมสีเขียวที่แผ่ออกมายิ่งเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง ในด้านการแปลงกายก็มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
หานลี่แค่กระตุ้นความคิด ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวกว่าครึ่งหายวับไปจากกลางอากาศ ส่วนที่เหลือพลันผนึกรวมกัน กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งและลำแสงสีโลหิตพัวพันกัน
ครู่ต่อมาเหนือมังกรโลหิตขึ้นไปสองสามฉื่อก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมาจากกลางอากาศ
เส้นไหมสีเขียวกระจายตัวออก ชั่วพริบตาก็รัดมังกรโลหิตที่อยู่ในเปลวเพลิงห้าสีและหงส์โลหิตครั้งตัวเอาไว้อย่างแน่นอน ทันใดนั้นก็ม้วนกลับมา หมายจะเก็บเข้าไปในเตานภาสูญ
เสียง “กึกกักๆ” ดังขึ้น ร่างของมังกรโลหิตพยายามดิ้นรนให้ออกมาจากลำแสงสีเขียวอย่างสุดชีวิต หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ปรากฏห่างออกไปสิบจั้งเศษ กะพริบวาบอย่างต่อเนื่องเคลื่อนย้ายออกมาสามสิบสี่สิบจั้ง
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ ฉับพลันนั้นหว่างคิ้วพลันมีลำแสงสีดำของเนตรทำลายล้างสว่างวาบ ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา
หลังจากเปล่งเสียงอึกทึกกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวที่เคลื่อนย้ายมาก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเซถลา ดูเหมือนว่าลำแสงจะหม่นแสงลงไม่น้อย
แต่ไม่รอให้หานลี่ได้สำแดงอะไรอีก ลำแสงสีเขียวก็กลายเป็นลำแสงลวงตาสายหนึ่งพุ่งออกไป กะพริบวาบๆ แล้วไปปรากฏที่ขอบฟ้าแล้วพลันหายวับไป
หานลี่ขมวดคิ้ว เนตรปีศาจดวงที่สามที่เพิ่งเปล่งแสงสีดำสลายหายไป
ถึงแม้ว่าเนตรทำลายล้างจะมองทะลุผ่านความสามารถอำพรางตัวได้ แต่ระยะห่างขนาดนี้ แน่นอนว่าก็ไม่มีพลังพอ
ท่ามกลางเส้นไหมสีเขียวที่ห่อหุ้มอยู่ มังกรโลหิตและหงส์โลหิตเปล่งเสียง “สวบ” ออกมา ถูกเตานภาสูญดูดเข้าไปด้านใน
ฝาเตาร่อนลงมา ปิดฝาเตาลงอีกครั้งอย่างแน่นหนา
ผู้ใดก็ไม่ทันได้สังเกตว่าในชั่วพริบตานั้น แขนเสื้อของหานลี่มีเงาสีทองสองดวงเปล่งแสงสว่างวาบ บินเข้าไปในเตาอย่างลับๆ
และในตอนนั้นทั้งสี่คนที่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้งเห็นฉากที่โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ถูกหานลี่เก็บไป จิตวิญญาณดั้งเดิมของหล่งตงหนีเตลิดไป ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
สองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่งมองหน้ากันแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คาดไม่ถึงว่าภูตอัปลักษณ์และมารเหล่านั้นจะตามไปติดๆ โดยไม่ต้องเสียแรงเรียก
ทิศทางที่พวกเขาหนีไป นั่นก็คือทางที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของหล่งตงหนีไป
เยี่ยฉู่และหญิงสาวชุดขาวก็ไม่ได้มีท่าทีจะไล่ตามไปเลยสักนิด ลำแสงหลีกหนีกลับพุ่งมาทางหานลี่แทน
ชั่วครู่หญิงสาวทั้งสองก็มาปรากฏตัวห่างจากหานลี่ไปสิบจั้งเศษ สายตาของเยี่ยฉู่กวาดไปยังหานลี่และอสูรวิญญาณครวญสูงยี่สิบสามสิบจั้งที่อยู่ใกล้ๆ กัน ด้วยแววตาตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
หญิงสาวชุดขาวเผยรอยยิ้มออกมา แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องเขม็งไปยังเตาสีเขียวเบื้องหน้าของหานลี่อย่างไม่วางตา
เห็นได้ชัดว่าเมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นโลหิตของวิญญาณเที่ยงแท้ตกอยู่ในมือของหานลี่ ก็ระมัดระวังตัวกับเขาขึ้นหลายส่วน
“พี่หาน ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่ลงมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นตระกูลหล่งก็อาจจะทำสำเร็จไปแล้ว พี่หานวางใจเถิด ข้อตกลงก่อนหน้าของพวกเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีทางปล่อยให้พี่หานลงแรงอย่างเสียเปล่าแน่” หญิงสาวชุดขาวกลอกตาสดใสไปมา ฉับพลันนั้นพลันฉีกยิ้มอย่างเย้ายวน
“ใช่แล้ว จากกำลังของตระกูลเยี่ย คิดดูแล้วในเผ่ามนุษย์คงไม่ค่อยจะมีผู้ที่จะช่วยให้สหายสมปรารถนาได้อย่างพวกเรานัก” เยี่ยฉู่เอ่ยอย่างเชื่องช้า แต่ในคำพูดกับแฝงเจตนาคุกคามเอาไว้
หานลี่มุมปากกระตุกไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่เตาสีเขียวเบื้องหน้า
เสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากเตา ฝาเตาพวยพุ่งขึ้นไปอีกครั้ง เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา มังกรโลหิตและหงส์โลหิตครึ่งร่างปรากฏขึ้นที่ปากเตา
หญิงสาวเห็นมังกรโลหิตและหงส์โลหิต ก็ดวงตาเปล่งประกาย หญิงสาวชุดขาวมีลำแสงโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบบนใบหน้า มีเงาลวงตาหงส์โลหิตตัวเล็กๆ เปล่งแสงสว่างวาบรางๆ แวบหนึ่ง
หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบา มือหนึ่งร่ายไปทางเตาสีเขียว
ชั่วขณะนั้นหงส์โลหิตที่มีเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มอยู่พลันสั่นเทา แตกออกเป็นชุ่นๆ สิ่งที่ห่อหุ้มเอาไว้ดีดไปทางหญิงสาว
หญิงสาวชุดขาวพลันดีอกดีใจ ปากเปล่งเสียงผิวปากหวีดหวิวออกมา หงส์โลหิตตัวเล็กอีกตัวหนึ่งบินออกมาจากร่าง ชั่วครู่ก็ปะทะเข้ากับหงส์โลหิตครึ่งร่าง
ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ทั้งสองประสานร่างกันอย่างไม่มีอะไรขัดขวาง กลายเป็นลูกบอลกลมๆ สีแดงโลหิตขนาดสองสามฉื่อลูกหนึ่ง
ลูกบอลนี้เป็นสีแดงสด ราวกับว่าใช้โลหิตบริสุทธิ์ผนึกขึ้นอย่างไรอย่างนั้น แต่หลังจากที่หมุนติ้วๆ ก็กลายเป็นหงส์โลหิตขนาดหนึ่งฉื่อ บินวนล้อมรอบร่างของหญิงสาวเอาไว้
หญิงสาวผู้นี้หยักรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก นิ้วเรียวยื่นออกไป ชี้ไปทางหงส์โลหิตอย่างเคร่งขรึม
หลังจากได้ยินเสียงร้องอันไพเราะแล้ว หงส์โลหิตก็สยายปีกออก กลายเป็นลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งกระโจนเข้าไปในร่างของหญิงสาว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ทันใดนั้นร่างของเยี่ยอิ่งก็ถูกลำแสงสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ ในเวลาเดียวกันเงาลวงตาหงส์โลหิตตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นรางๆ ที่แผ่นหลังของนาง มันเลือนรางไม่ชัดเจน แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เงาลวงตาหงส์โลหิตก็สลายหายไป หญิงสาวเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“โลหิตของหงส์เที่ยงแท้ไม่ถูกทำลายไปมากนัก เอากลับมาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน อีกส่วนเล็กๆ น่าจะถูกโลหิตของมังกรเที่ยงแท้กลืนกินเข้าไป เกรงว่าคงไม่อาจแยกออกจากกันง่ายๆ โชคดีที่โลหิตเที่ยงแท้ตกอยู่ในมือของตระกูลเยี่ยของพวกเรา พี่หาน โยนโลหิตมังกรเที่ยงแท้มาเถิด โลหิตเที่ยงแท้นี้จำต้องเก็บเอาไว้ให้ดี ยุทธภัณฑ์ทั่วๆ ไป เกรงว่าคงไม่อาจทำให้โลหิตเที่ยงแท้เสียหายได้”
หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่ ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือ กลางฝ่ามือมีขวดน้ำเต้าสีม่วงทองปรากฏขึ้น ช่างวิจิตรงดงามนัก
หานลี่กลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“เซียนเยี่ย หากข้าน้อยจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนแรกตกลงกับทั้งสองแค่ว่าจะมอบโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้คืนให้เซียน ตอนนี้ก็ได้โลหิตของหงส์สวรรค์ไปแล้ว จะเอาโลหิตมังกรเที่ยงแท้ที่เหลืออีก เซียนจะละโมบเกินไปหรือเปล่า” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายหาน หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเจ้าคิดจะขอส่วนแบ่งเป็นโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้!” น้ำเสียงของเยี่ยฉู่เย็นยะเยือกขึ้น สายตาเปล่งประกายเย็นชาดุจใบมีด
“ถึงแม้ว่าข้าน้อยจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา และรู้กฎข้อห้ามของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ จะไปคิดเรื่องเพ้อเจ้อได้อย่างไร ต่อให้ข้าน้อยหลอมโลหิตวิญญาณจริงๆ ก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่ถูกทุกตระกูลไล่ล่า” หานลี่กลับสั่นศีรษะและหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“เช่นนั้นพี่หานมีเจตนาใด?” ฟังจากคำพูดของหานลี่แล้วก็ไม่ได้คิดจะนำโลหิตมังกรเที่ยงแท้ไปใช้กับตนเอง หญิงสาวชุดขาวจึงรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยซักถามต่อ
“หึๆ ก็ไม่มีอะไรมาก คิดดูแล้วโลหิตของมังกรเที่ยงแท้คงไม่ต่างอะไรกับโลหิตหงส์สวรรค์อย่างพวกเจ้า ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าคงต้องการมันมากสินะ หากผู้แซ่หานนำของสิ่งนี้มอบให้ ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองจะเอาอะไรมากแลกเปลี่ยนล่ะ” หานลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คิกๆ ที่แท้พี่หานก็อยากได้ผลประโยชน์ เช่นนี้ก็พูดง่าย ขอแค่ยอมมอบโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ให้ พี่หานก็เสนอมาได้เลย น้องหญิงไม่มีทางไม่ตอบรับแน่” หญิงสาวชุดขาวได้ยินคำนี้ใบหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“โลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ น่าจะไม่ใช่สิ่งที่ศิลาวิญญาณจะแลกเปลี่ยนได้ แน่นอนว่าหากสหายมีศิลาวิญญาณระดับสุดยอดร้อยก้อนจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง” หานลี่เอ่ยอย่างคร่าวๆ
“พี่หานล้อเล่นแล้ว ต่อให้ตระกูลเยี่ยของพวกเราจะไม่อาจนำศิลาวิญญาณระดับสุดยอดมาจำนวนมากขนาดนั้นในครั้งเดียวได้ แต่หากสักสองสามก้อน น้องหญิงก็ยังพอคิดวิธีได้” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หันหน้าไปสบตากับเยี่ยฉู่แวบหนึ่ง แล้วถึงได้ฝืนยิ้มตอบกลับ
“หากเป็นศิลาวิญญาณระดับสองสามก้อน ผู้แซ่หานจะรบกวนสหายทั้งสองทำไม ข้าน้อยทุ่มเทแรงกายสักหน่อยก็ได้มาแล้ว” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นายท่านอยากได้อะไร พูดมาตามตรงเถิด” เยี่ยฉู่ดูเหมือนว่าจะหมดความอดทน พลางเอ่ยอย่างเย็นชา
“ง่ายมาก ข้าน้อยอยากแลกกับขนของหงส์สวรรค์เส้นหนึ่งในมือของท่านอาวุโสเยี่ย” หลังจากที่แววตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของเยี่ยฉู่แล้ว ก็เอ่ยขึ้น
“ขนของหงส์สวรรค์อะไร? สหายเชื่อคำพูดของสตรีเผ่าหงส์ทมิฬจริงๆ หรือ!” รูม่านตาของเยี่ยฉู่หดเล็กลง ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
หญิงสาวชุดขาวได้ยินกลับตะลึงงัน
“ท่านอาวุโสเยี่ยคิดว่าชนรุ่นหลังจะเชื่อคำพูดงั้นหรือ? หากทั้งสองท่านคิดว่าข้าน้อยพูดเรื่องไร้สาระ ผู้แซ่หานก็ไม่รังเกียจที่จะใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณกับสหายเสี่ยวดู ข้าน้อยขอแค่เส้นเดียวเท่านั้น แลกกับโลหิตมังกรเที่ยงแท้ล่ะก็ น่าจะเป็นสหายทั้งสองได้ที่เปรียบมากกว่า” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฟังจากคำพูดของหานลี่แล้ว เยี่ยฉู่พลันขมวดคิ้วดำขลับ สายตากวาดไปยังเยี่ยอิ่ง
หญิงสาวชุดขาวเม้มปากสองสามครั้ง แล้วถึงได้เอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับว่า
“สหายอยากได้ขนของหงส์สวรรค์ไปทำอะไร? สิ่งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อตระกูลเยี่ยของพวกเราเช่นกัน? มิเช่นนั้นน้องหญิงเอาของสิ่งอื่นแลกเปลี่ยนแทนได้หรือไม่? อย่างเช่นผลเห็ดมังกรสองเม็ดที่พวกเราได้มาก่อนหน้านี้?”
“ข้าน้อยมีสมบัติชิ้นหนึ่ง จำต้องใช้ขนของหงส์ระดับสุดยอดเส้นหนึ่งหลอมขึ้นอีกครั้งพอดี ส่วนผลเห็ดมังกรนั้น ถึงแม้ว่าข้าน้อยจะอยากได้ แต่ขนของหงส์สวรรค์นั้นจำเป็นมากกว่า ผู้แซ่หานจึงไม่อยากได้อย่างหลัง” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“พี่หานจะแลกกับขนของหงส์สวรรค์จริงๆ! ไม่มีอย่างอื่นให้ต่อรองหรือ?” สองตาของเยี่ยอิ่งจับจ้องไปบนมังกรโลหิตที่อยู่เหนือเตาสีเขียวอยู่นาน สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสพลางเอ่ยถามอีกครั้ง
“หึๆ หากสหายทั้งสองมี ‘ยากลูกกลอนความปรารถนาเซียน’ ‘เห็ดวิญญาณเก้าหัวใจ’ ผู้แซ่หานก็ไม่รังเกียจที่จะแลก” หานลี่หัวเราะด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา
“หึ ของระดับสุดยอดขนาดนั้น ข้าจะยังต้องการโลหิตมังกรเที่ยงแท้ไปทำอะไร กินเข้าไปแล้วบรรลุระดับผสานอินทรีย์เลยก็ได้แล้ว เยี่ยม ข้ายอมตกลงกับเจ้า จะใช้ขนหงส์สวรรค์เส้นหนึ่งแลกกับของสิ่งนี้” หญิงสาวชุดขาวกัดฟัน ในที่สุดก็ตอบรับเงื่อนไขของหานลี่
เยี่ยฉู่หน้าเปลี่ยนสี อ้าปากออกคิดจะเอ่ยอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หานลี่ได้ยินก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
“ฮ่าๆ การกระทำของแม่หญิงเยี่ยเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดแล้ว ขอแค่ให้ผู้แซ่หานได้ตรวจสอบขนหงส์สักเล็กน้อย ข้าน้อยก็จะมอบโลหิตมังกรเที่ยงแท้ให้ท่านทั้งสอง แน่นอนว่าสหายทั้งสองคงไม่กลัวว่าผู้แซ่หานจะชิงของไปหรอกนะ” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่หญิงฉู่ เอาขนหงส์เส้นหนึ่งให้เขาเถิด” หญิงสาวถอนหายใจออกมา หันหน้าไปออกคำสั่งกับเยี่ยฉู่
“เจ้าค่ะ นายหญิงน้อย!” เยี่ยฉู่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยตอบรับ มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ กล่องหยกสีแดงเพลิงใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
กล่องหยกใบนี้ไม่เพียงเป็นสีแดงสด ผิวของมันยังมีลวดลายเปลวเพลิงสลักอยู่ เมื่อหยิบออกมา คาดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นอายร้อนระอุโชยออกมา อุณหภูมิรอบๆ ด้านเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย
‘หยกร้อน’ หานลี่เห็นกล่องหยกใบนี้ กลับมีสีหน้าตกตะลึง
ตอนที่ 1387
มือลับ
“พี่หานเองก็รู้จักวัตถุดิบของกล่องหยกใบนี้ คือกล่องร้อนหมื่นปีที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับหยกทมิฬจริงๆ และมีเพียงต้องนำวัตถุดิบที่หายากเช่นนี้มาหลอมยุทธภัณฑ์ ถึงจะเก็บไอวิญญาณของขนหงส์ไม่ให้แพร่งพรายออกไปได้” เยี่ยอิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างมั่นใจอยู่หลายส่วน
เกรงว่ามีเพียงตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้อย่างตระกูลเยี่ยอย่างพวกเขา ที่จะยอมเอาวัตถุดิบล้ำค่ามาทำเป็นยุทธภัณฑ์ธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งกระมัง
และในครานั้นหานลี่ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา สีหน้าราบเรียบ
เยี่ยฉู่เปิดฝากล่องออกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ด้านในมีขนนกยาวๆ ห้าสีอยู่สามเส้น ทุกเส้นล้วนมีความยาวสามฉื่อ เปล่งแสงระยิบระยับ
สตรีผู้นี้ใช้นิ้วชี้ไปที่ขนเส้นหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นเจ้าสิ่งนั้นพลันขึ้นจากกล่องหยก ลอยพลิ้วไปหาหานลี่
หานลี่เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศทางขนเส้นนั้น เจ้าสิ่งนั้นถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ
จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วมือลูบไล้ไป แล้วพิจารณาอย่างละเอียด
ขนยาวเปล่งประกายระยิบระยับ มีอักขระห้ากะพริบวาบอยู่รางๆ ไอวิญญาณทั้งหมดที่แฝงอยู่ล้วนน่าตกตะลึง
“ไม่เลว คงจะเป็นขนของหงส์สวรรค์จริงๆ” หานลี่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ของวิญญาณฟ้าดินเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้อยากลอกเลียนแบบก็คงทำไม่ได้
จากนี้เขาพลันพลิกฝ่ามือ เผยกล่องหยกสีขาวราวกับหิมะออกมา แผ่ไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกล่องหยกที่หลอมขึ้นจากหยกทมิฬหมื่นปี
หญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามเห็นกล่องหยกใบนี้แล้วพลันตะลึง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งมิได้
หานลี่กลับเก็บขนของหงส์สวรรค์เส้นนั้นลงไปในกล่อง ลำแสงสีขาวเปล่งประกายสว่างวาบ กล่องหยกหายวับไป
“ในเมื่อเก็บขนหงส์ไปแล้ว โลหิตมังกรเที่ยงแท้ก็ต้องเป็นของสหายทั้งสอง” หานลี่กวาดสายตาไปที่หญิงสาวทั้งสองซึ่งอยู่ตรงข้ามแวบหนึ่ง มือหนึ่งร่ายไปทางเตาสีเขียว
หลังจากที่มีเสียง “ฟู่” ดังขึ้น เตาก็พ่นเส้นไหมสีเขียวออกมา สลัดโลหิตมังกรออกมา
ร่างของมังกรโลหิตตัวนี้เปล่งแสงระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะดิ้นรนอยู่กลางอากาศ ท่าทางคิดจะหนี
แต่หญิงสาวชุดขาวที่อยู่ตรงข้ามซึ่งถือน้ำเต้าสีม่วงทองด้วยความยินดีเอาไว้นานแล้ว ชั่วขณะนั้นเสียงหึ่งๆ พลันดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าผืนหนึ่งถูกพ่นออกมาจากปากน้ำเต้า
ลำแสงสีฟ้าเปล่งประกาย ห่อหุ้มมังกรโลหิตเอาไว้ และดึงมาอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวห่างออกไปเพียงไม่กี่ฉื่อ
ชั่วขณะนั้นดวงตาทั้งสี่ของหญิงสาวทั้งสองพลันจ้องเขม็งไปยังมังกรโลหิตด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็ทะลุผ่านร่างของมังกรโลหิตไปรอบแล้วรอบเล่า
“โลหิตมังกรเที่ยงแท้จริงๆ!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เยี่ยฉู่ก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ในที่สุดก็พยักหน้า
หญิงสาวเผยเลยรอยจางๆ ออกมา
สองมือของหญิงสาวผู้นี้พลันร่ายอาคม ลำแสงสีฟ้าม้วนกลับมา ทำให้มังกรโลหิตหดตัวลงสองสามเท่า เก็บเข้าไปในน้ำเต้าสีม่วงทอง
“พี่หาน ช่างซื่อสัตย์จริงๆ เรื่องนี้หลังจากกลับไปยังเมืองเทวะสวรรค์ สนใจไปเป็นแขกของตระกูลเยี่ยหรือไม่ พี่หานมีความสามารถไม่ธรรมดาเช่นนี้พวกเราต้องปฏิบัติเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” หญิงสาวชุดขาวเก็บน้ำเต้าเข้าไป แล้วส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้หานลี่ พลางเอ่ยชักจูงออกมา
“เมืองเทวะสวรรค์? ช่วงนี้ผู้แซ่หานยังไม่คิดจะกลับไป อยากอยู่ในแดนป่าเถื่อนสักระยะหนึ่ง คงยังไม่กลับไปในช่วงเวลาสั้นๆ นี้” หานลี่กลับเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
คำพูดนี้ของหานลี่ไม่ได้ทำให้หญิงสาวทั้งสองตกใจ หญิงสาวเผยสีหน้าเสียดายออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด ทว่าหากพี่หานเปลี่ยนใจ ก็ไปที่ตระกูลเยี่ยได้ตลอดเวลา น้องหญิงยินดีต้อนรับ เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางกันเถิด จะได้ไม่ถูกคนของเผ่าพฤกษาไล่ตามมาอีก สหายของเผ่าหงส์ทมิฬนั้นพี่หานคงจะปวดหัวกับการจัดการกับนาง มอบให้น้องหญิงเถิด” สายตาของเยี่ยอิ่งกวาดไปยังยอดเขาสีดำที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนสหายทั้งสองแล้ว ข้าน้อยไม่รู้จะจัดการกับสตรีผู้นี้อย่างไรจริงๆ” หานลี่ไม่ใส่ใจกับคำพูดแรกของหญิงสาวทั้งสอง แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังกลับตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
หานลี่ชูมือขึ้นกวักไปทางด้านล่าง ชั่วขณะนั้นภูเขาสีดำพลันเปล่งแสงสีเทาเจิดจ้าแล้วหดเล็กลง กะพริบวาบสองสามครั้งก็มีขนาดประมาณสองสามจั้ง
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ภูเขาสีดำก็สลายหายไป
ด้านล่างพลันเผยร่างของเสี่ยวหงที่นอนอยู่ก้นหลุมไม่ขยับเขยื้อน
เยี่ยฉู่ที่เตรียมการเอาไว้ด้านข้างตั้งนานแล้ว ในเวลาเดียวกันที่ภูเขาน้อยหายไป มือหนึ่งก็ร่ายนิ้วทั้งห้าไปทางด้านล่าง
ลำแสงสีเขียวมรกตห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งลงไป ชั่วพริบตาก็มาอยู่เหนือหงส์ทมิฬ
จากนั้นลำแสงสีเขียวมรกตเหล่านี้ก็ทยอยกันระเบิดออกดัง “ตูมๆ” กลายเป็นตาข่ายเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มลงมา ห่อหุ้มหงส์ทมิฬเอาไว้ข้างใน
ทันใดนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ใช้มือหนึ่งรายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา
ตาข่ายเส้นไหมสีเขียวเปล่งประกายแล้วหดเล็กลง สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ หงส์ทมิฬหดลงเล็กตามขนาดของตาข่ายเส้นไหม ชั่วพริบตาก็มีขนาดจิ๋วแค่ครึ่งฉื่อ
เยี่ยฉู่หยุดร่ายคาถา มือหนึ่งตะปบออกไป ตาข่ายเส้นไหมสีเขียวสั่นคลอนกลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังจากที่กลุ่มลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหญิงสาวผู้นี้แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“จากนี้ผู้แซ่หานมีธุระอื่น คงไม่ได้ร่วมทางกับสหายทั้งสองแล้ว” หลังจากที่หานลี่ฉีกยิ้มแห้งๆ ออกมา ก็ประสานมือคารวะ เอ่ยสิ่งที่ทำให้หญิงสาวทั้งสองตะลึงงันออกมา
“ตอนนี้ยังไม่ข้ามผ่านเส้นทางสวรรค์ไป ยังคงอยู่ในอาณาเขตของเผ่าพฤกษา สหายร่วมทางไปกับพวกเราจะดีกว่า” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“ไม่ล่ะ! ผู้แซ่หานมีธุระจริงๆ ไม่สะดวกที่จะร่วมทางกับสหายทั้งสองต่อ คงต้องขอตัวลาก่อน” หานลี่สั่นศีรษะอย่างแน่วแน่ หลังจากคารวะหญิงสาวทั้งสองแล้ว ก็เก็บสมบัติและอสูรวิญญาณครวญ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศจากไป
ชั่วพริบตาลำแสงหลีกหนีของหานลี่ก็ปรากฏตัวที่ขอบฟ้า แต่ทันใดนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นหานลี่จากไปแล้วจริงๆ หญิงสาวชุดขาวและเยี่ยฉู่ก็มองสบตากันเล็กน้อย
“เขาชาญฉลาดมาก คาดไม่ถึงว่าจะจากไปในทันที? หรือว่าเดาออกว่าด้านนอกมีคนรอต้อนรับพวกเราอยู่” หญิงสาวขมวดคิ้วดำขลับ เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มออกมา
“อาจจะกระมัง ต่อให้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าคนผู้นี้ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ไม่ยอมเผยโอกาสออกมาเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นหากมีคนของตระกูลที่ส่งมารับ พวกเราก็น่าจะจัดการอีกฝ่ายได้” เยี่ยฉู่แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“พี่หญิงฉู่เมื่อครู่ท่านใช้ภาษาหุ่นถ่ายทอดเสียงมาหาข้า ไม่ให้ข้าลงมือ ท่านฝึกฝนพิณจนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลายแล้วประกอบกับข้า หรือว่ายังจัดการคนผู้นั้นไม่ได้หรือ? เช่นนั้นก็อาจจะไม่ต้องนำขนของหงส์สวรรค์มาแลก” ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่จะทำให้หญิงสาวชุดขาวรู้สึกคับแค้นใจเล็กๆ
“หากโจมตีคนผู้นั้นให้พ่ายแพ้ข้าก็มั่นใจอยู่เจ็ดส่วน แต่หากสังหารหรือว่าจับเป็น ข้ากลับไม่มีความมั่นใจแม้เพียงครึ่ง นายหญิงน้อยเคยเห็นความสามารถของเขาแล้วสินะ ไม่เพียงจะจับเป็นสตรีปีศาจของเผ่าหงส์ดำได้ในเพียงการประมือกันไม่กี่ครั้ง เขตอาคมกระบี่ที่วางตอนท้ายสุดก็สามารถทลายสมบัติระดับสมบัติสะท้านฟ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นอสูรวิญญาณตัวนั้นของเขายังชั่วร้ายมาก ไม่เป็นค่าราชันย์ภูตระดับหลอมสุญตาเลยสักนิด ต่อให้ข้าลงมือ ก็ไม่อาจจัดการราชันย์ภูตไร้หน้าได้อย่างคล่องแคล่วขนาดนั้น ดูจากสถานการณ์การต่อสู้เมื่อครู่ เป็นการต่อสู้ที่เยือกเย็นและสบายๆ เป็นอย่างมาก จะต้องมีเครื่องมือสังหารอื่นแน่ และยิ่งไปกว่านั้นโลหิตเที่ยงแท้อยู่ในมือของอีกฝ่าย หากสังหารคนผู้นี้ พวกเราก็จะเสียเปรียบยิ่งกว่า ต่อให้ขนของหงส์สวรรค์หายากมากกว่านี้ ก็ยังมีโอกาสหาได้ แต่โลหิตของมังกรเที่ยงแท้ คนทั้งเผ่าคงเดาว่าคงมีแต่ตระกูลหล่งที่มีได้ และไม่รู้ว่ากี่ชั่วอายุคน ถึงจะมีคนอย่างหล่งตงที่เป็นศิษย์สายตรงซึ่งได้รับการถ่ายทอดโลหิตที่บริสุทธิ์เช่นนี้มา” เยี่ยฉู่เอ่ยอธิบาย
“เรื่องพวกนี้ข้าเองก็รู้ ความสามารถของคนผู้นี้และสมบัติของเขานั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ในเมื่อพี่หญิงฉู่ไม่มั่นใจว่าจะลงมือสำเร็จได้ พวกเราก็ถือว่าทำถูกแล้ว หากท่านประมุขรู้ว่าพวกเราได้โลหิตมังกรเที่ยงแท้มา ก็คงไม่ถือโทษเรื่องนี้ โลหิตมังกรเที่ยงแท้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่คู่ควรให้พวกเราไปเสี่ยงอันตรายอีก โชคดีที่คนผู้นั้นรู้จักวางตัว ไม่ได้บีบให้พวกเราลงมือ เอาล่ะพวกเราไปกันเถิด การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ค่อนข้างอึกทึก อย่าดึงดูดคนของเผ่าพฤกษามาอีกเลย” หญิงสาวชุดขาวเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างจนปัญญาออกมา
เยี่ยฉู่พยักหน้า สะบัดแขนเสื้อ ปล่อยวิหคไม้ขนาดยักษ์ตัวนั้นออกมาอีกครั้ง
หญิงสาวกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสายขึ้นไปบนร่างขอวิหค มันกลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไปราวกับดาวตก
แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่กลับอยู่กลางอากาศห่างออกไปเป็นหมื่นลี้แล้ว
เขาขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไปพลาง มุมปากเผยรอยยิ้มประหลาดๆ ไปพลาง แววตาตื่นเต้นดีใจ
ฉับพลันนั้นเขาที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีพลันอ้าปากออก พ่นเตานภาสูญออกมาอีกครั้ง
มือหนึ่งถือเตาใบนั้นเอาไว้ เปิดฝาเตาออกเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นในเตาพลันมีรอยแยกเล็กๆ เผยออกมา
แววตาของเขาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ เงาสีทองสองดวงบินออกมาจากรอยแยก หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็แยกออกร่อนลงบนฝ่าเตา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงกลืนทองขนาดเท่าหัวแม่มือสองตัว
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นไอวิญญาณที่บริสุทธิ์สองกลุ่มออกมาจากปาก ห่อหุ้มแมลงกลืนทองสองตัวเอาไว้
แมลงกลืนทองสองตัวเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดครึ่งฉื่อ เปลี่ยนเป็นโหดเ**้ยมเป็นอย่างมาก
เสียงบริกรรมคาถาต่ำๆ ดังออกมาจากปากของหานลี่ แมลงยักษ์สองตัวอ้าปากออกพร้อมกัน ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ พ่นของเหลวสีแดงสดขนาดเท่าหัวแม่มือออกมากลางอากาศ
หานลี่แววตาเปล่งประกาย อีกมือหนึ่งตะปบออกไป คว้าเจ้าสิ่งที่พ่นออกมาอยู่ในมือ
เมื่อเขากางนิ้วทั้งห้าออกอีกครั้ง ฝ่ามือพลันมีมังกรโลหิตและหงส์โลหิตขนาดจิ๋วปรากฏขึ้น
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะเก็บโลหิตของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์เอาไว้โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ถึงแม้ว่าเยี่ยอิ่งและพวกจะระวังตัวมาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยที่กลืนกินทุกอย่างอยู่ มิเช่นนั้นคงไม่อาจปล่อยให้หานลี่ขโมยโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสองชนิดไปได้ง่ายๆ
ถึงอย่างไรเสียหากโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ไม่ได้ใช้กับเคล็ดวิชาลับหรือสมบัติอะไร ก็ไม่อาจแยกออกจากกันได้ง่ายๆ
หานลี่เหลือบไปมองมังกรโลหิตและหงส์โลหิตที่กำลังดิ้นรนอยู่ในมือ นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ รัดทั้งสองเอาไว้แน่นแล้วเผยสีหน้าขบคิดออกมา
จะใช้โลหิตวิญญาณทั้งสองชนิดนี้อย่างไร หานลี่ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่จะต้องได้ใช้แน่ โลหิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้ล้ำค่าขนาดไหน เกรงว่ามูลค่าคงไม่ด้อยไปกว่าสมุนไพรและยาลูกกลอนเซียนในตำนานเป็นแน่
น่าเสียดายที่เขารู้เรื่องตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้และโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ไม่มากนัก ครานี้จึงไม่อาจตัดสินอะไรได้ จึงทำได้เพียงเก็บไว้ศึกษาทีหลัง แล้วค่อยใช้โลหิตวิญญาณเหล่านี้
ฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ หยิบกล่องไม้สีเงินเป็นประกายออกมา เก็บมังกรโลหิตและหงส์โลหิตเข้าไป สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง แปะยันต์สองสามแผ่นลงไปบนฝากล่อง
ลำแสงสีเงินเปล่งประกายกล่องไม้หายวับไป
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้หันหน้ากลับไปมองด้านหลังจุดที่ไกลออกไป สองตาหรี่ลงตามความรู้สึก
ตอนที่ 1388
การต่อสู้ของเผ่าพฤกษา
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้านั่น! จากความเร็วและจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย ถูกระบุตำแหน่งเอาไว้แล้ว ต่อให้หนีก็คงไม่ทัน ยันต์ชำระพิสุทธิ์ เผชิญหน้ากับคนผู้นี้เกรงว่าก็คงไม่มีผล แต่กลิ่นอายของอีกฝ่ายอ่อนแอกว่าเดิมไม่น้อย ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ตอนนั้นชิงหยวนจื่อใช้พลังของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำที่มีพลังระดับหลอมสุญตาต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของข้าจะไม่พอ แต่ต่อกรกับเจ้าผู้ที่พลังยุทธ์ลดลงเป็นอย่างมาก หากเตรียมตัวล่วงหน้าให้ดี ก็น่าจะกักอีกฝ่ายเอาไว้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็มีอสนีอื่นๆ อยู่ ก็ไม่ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว รู้สึกเสียใจที่แยกกับเยี่ยฉู่และหญิงสาวทั้งสองเร็วไปหน่อย มิเช่นนั้นก็คงไม่ต้องมาประสบกับอันตรายเช่นนี้
ทว่าถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนร่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ลำแสงหลีกหนีพุ่งลงไปด้านล่าง
หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง คนก็มาปรากฏตัวเหนือภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง
เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดอะไร ฉับพลันนั้นกระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มก็บินออกมา จากนั้นเขาพลันร่ายคาถากระตุ้น กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีทองหลายร้อยสาย ทยอยกันอำพรางตัวไปทั้งสี่ทิศ
เขาวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำลงตรงนั้น
จากนั้นหานลี่ก็ลูบไปที่ท้ายทอย ลำแสงสีเทาผืนใหญ่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ลำแสงนั้นสลายตัวออก กลายเป็นลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งห่อหุ้มเขาเอาไว้ข้างใน ในเวลาเดียวกันเขาพลันสะบัดแขนเสื้ออีกด้าน หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า พ่นเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าชนิดออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็หลอมรวมกับลำแสงสีเทาอยู่ภายนอก กลายเป็นเปลวเพลิงห้าสีกลุ่มหนึ่ง
หานลี่ที่อยู่ในนั้นสองมือพลันร่ายอาคม เปลวเพลิงลำแสงผนึกรวมกันแล้วเปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นวงแหวนลำแสงห้าสีหนาๆ วงหนึ่ง ล้อมรอบเขาเอาไว้และโคจรไปมาไม่หยุด
แทบจะในเวลาเดียวกันแผ่นหลังของหานลี่พลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ปีกขนนกสีเขียวขาวคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้น
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้เอาสองมือไหล่หลัง จ้องเขม็งไปยังกลางอากาศที่ไกลออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แทบจะในพริบตานั้น ไกลออกไปพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามา หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็ปรากฏตัวเหนือภูเขาที่หานลี่อยู่
ลำแสงหม่นแสงลง เผยเงาร่างคนที่มีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเรือนร่างปรากฏขึ้น ตรงเอวคาดเข็มขัดสีเงินอ่อนเอาไว้เส้นหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเป็นพฤกษาวิญญาณระดับสูงอย่างระดับเงินผู้นั้นที่ปรากฏตัวในเผ่าใบดำ
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง ชั่วพริบตาก็พิจารณาอีกฝ่ายสิบกว่ารอบ
ดูจากภายนอก พฤกษาวิญญาณระดับเงินผู้นี้ดูเหมือนกับตอนที่อยู่ในป่าใบดำทุกระเบียบนิ้ว แต่แรงกดบนร่างกลับน้อยลงไปกว่าครึ่ง ท่าทางได้รับบาดเจ็บจริงๆ
หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกผ่อนคลายลง
หากเขาคิดผิดไป อีกฝ่ายยังคงไม่ได้รับบาดเจ็บล่ะก็ เขาคงหันหัวหนีเตลิดไปแล้ว ไม่มีทางรออยู่ที่นี่แน่
ทว่าคิดดูแล้วพฤกษาวิญญาณระดับเงินผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร
เยี่ยอิ่งที่กระตุ้นโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้กลายเป็นจิตวิญญาณของหงส์สวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใด เขาได้เห็นกับตาตัวเองมาแล้ว ความสามารถเหนือกว่าพฤกษาวิญญาณระดับสูงผู้นี้นัก
ตอนที่ไล่ตามหญิงสาวทั้งสองก่อนหน้านี้ คงต้องต่อสู้กันยกใหญ่ ถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังตามรอยเขาอย่างไม่ลดละจนมาถึงที่นี่ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
อีกฝ่ายยอมไม่สนใจเยี่ยอิ่งและพวก มาเลือกตนเอง กว่าครึ่งคงเป็นเพราะเคยพบกับความยากลำบากมาแล้ว จึงไม่กล้าตามทั้งสองไป แต่เพื่อไม่ให้กลับไปมือเปล่า จึงคิดจะเอาตนเองไปชดเชย
ชั่วพริบตาหานลี่ก็ขบคิดถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายตามตัวเองมาได้เจ็ดแปดส่วน แล้วรู้สึกกลัดกลุ้มในใจ
ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นของพฤกษาวิญญาณระดับเงินกวาดมาบนเรือนร่างของหานลี่เช่นกัน โบกกำปั้นโจมตีโดยไม่คิดจะปริปากเลยสักนิด
เสียงแหลมๆ แหวกผ่านอากาศระเบิดขึ้น แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันรู้สึกเพียงว่าพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างกระทบกับเครื่องป้องกันนอกกาย
วงแหวนลำแสงห้าสีสั่นคลอน ทันใดนั้นลำแสงสีเทาที่ห่อหุ้มอยู่พลันเปลี่ยนรูปร่าง ร่างกายของหานลี่สั่นเทา ถอยหลังร่นไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าเขียวคล้ำปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง แล้วถึงได้ฝืนยืนให้มั่นคงได้
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี
การโจมตีเมื่อครู่ของอีกฝ่ายอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีพลังสองสามหมื่นชั่ง และเป็นเพราะร่างกายของเขาแข็งแกร่ง หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ คนอื่น ต่อให้มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตา หากไม่ทันป้องกันก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้
พฤกษาวิญญาณระดับเงินน่ากลัวกว่าในตำนานดังคาด
“เอ๋”
เงาสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปพลันเปล่งเสียงร้องอุทานด้วยความประหลาดใจออกมา ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจที่หานลี่รับการโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ดูเหมือนจะรู้สึกว่าหานลี่รับมือกับการโจมตีได้อย่างไม่ยากลำบากอย่างที่คิดไว้ หลังจากแค่นเสียงด้วยความเย็นชาแล้ว ก็สาวเท้ายาวๆ ออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ลำแสงสีเงินที่แผ่ออกมาจากร่างพฤกษาวิญญาณผู้นี้กะพริบวาบราวกับภาพลวงตา มาอยู่ห่างจากหานลี่ไปแค่สิบจั้งเศษ ในเวลาเดียวกันเกราะพฤกษาสีเขียวชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ผิวของมันเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ หนามแหลมที่สั้นยาวไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทำให้พฤกษาวิญญาณที่ดูเหมือนธรรมดาๆ เปลี่ยนเป็นโหดเ**้ยม
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง ปีกที่แผ่นหลังกระพือ กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งแล้วหายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฏห่างออกไปสามสิบจั้งเศษ เขาพลันใช้สองมือร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา
พฤกษาวิญญาณไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย สาวเท้ายาวๆ เข้าไปอีกครั้ง คนเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งเข้าไปหาหานลี่อีกครั้ง
แต่ทันใดนั้นเสียง “ฉับ” ก็ดังขึ้น ร่างของพฤกษาวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบห่างออกไปสิบจั้งเศษ เบื้องหน้ามีเส้นไหมสีทองเปล่งประกายเจ็ดแปดสายปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา
พฤกษาวิญญาณตะลึงงัน ลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบบนนิ้วทั้งห้า แล้วพลิกฝ่ามือตะปบออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด
ผลคือได้ยินเพียงเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีเขียวโจมตีไปบนเส้นไหมสีทอง ลำแสงวิญญาณตัดสลับกัน ทั้งสองซัดเข้าหากันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
พฤกษาวิญญาณพลันมีสีหน้าประหลาดใจหายแวบผ่าน นิ้วทั้งห้าอีกมือกางออก ปล่อยลำแสงสีเขียวห้าสายออกมาคิดจะเข้าร่วมการโจมตี
แต่ในตอนนั้นเอง ลำแสงสีทองที่อยู่รอบๆ พลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เส้นไหมสีทองเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นพลันกะพริบวาบ ปรากฏตัวห่างจากพฤกษาวิญญาณไปแค่คืบ พัวพันเข้าด้วยกันอีกครั้ง คิดจะสับพฤกษาวิญญาณออกเป็นชิ้นๆ
เส้นไหมสีทองเหล่านี้เปล่งแสงสว่างวาบอย่างรวดเร็ว พฤกษาวิญญาณไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าก็ไม่ยอมตกอยู่ในอันตราย ร่างกายบิดพลิ้ว ด้านหลังห่างออกไปเจ็ดแปดจั้งมีเงาสีเขียวที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น
เส้นไหมที่อยู่รอบๆ เปล่งแสงสว่างวาบ สับพฤกษาวิญญาณที่อยู่ตรงที่เดิมออกเป็นชิ้นๆ และทันใดนั้นก็สลายหายไป กลับเป็นแค่เงาลวงตาสายหนึ่งเท่านั้น
ครานี้พฤกษาวิญญาณระดับเงินถึงได้พบว่า ไม่ใช่แค่เส้นไหมสีทองที่อยู่เบื้องหน้า จุดที่ไกลออกไปรอบๆ ด้านต่างมีสิ่งที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้นจำนวนมาก
เส้นไหมสีทองเหล่านี้เปล่งแสงเจิดจ้า เข้ามาล้อมรอบจุดที่เขายืนอยู่
“เขตอาคมกระบี่!” เสียงประหลาดใจหลุดออกมาจากปากของพฤกษาวิญญาณ
แต่ทันใดนั้นมือของเขาพลันประกบเข้าหากัน ใจกลางมีลำแสงสีเงินเจิดจ้าปรากฏขึ้น แยกมือออกจากกัน ชั่วขณะนั้นเสียงระเบิดพลันดังขึ้น เส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทั่วทุกสารทิศ โจมตีไปยังเส้นไหมกระบี่ที่โผเข้ามาอย่างหนาแน่น
เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีทองและลำแสงสีเงินพัวพันเข้าด้วยกัน เกิดเป็นระเบิดลำแสงสีทองและเงินสองสี
และไม่รู้ว่าลำแสงสีเงินเหล่านี้คือความสามารถชนิดใดของพฤกษาวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะโจมตีจนเส้นไหมสีทองแหลกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับว่ามีอานุภาพมากกว่าเขตอาคมกระบี่อย่างไรอย่างนั้น
ร่างของพฤกษาวิญญาณพลิ้วไหว กลายเป็นเงาสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมา คิดจะอาศัยโอกาสนี้หนีออกจากเขตอาคมกระบี่
คู่ควรกับระดับเงิน พฤกษาวิญญาณเพิ่งจะเคลื่อนไหว ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวห่างออกไปห้าสิบหกสิบจั้ง เมื่อเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก็ทะลุผ่านเขตอาคมกระบี่ออกมาได้จริงๆ
แต่ในตอนนั้นเอง เบื้องหน้าพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น หานลี่ที่รอบกายมีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวพลันรัดร่างอยู่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ขยับแขนอย่างไม่เกรงใจ หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น กำปั้นสีดำและขาวก็พุ่งแหวกผ่านอากาศมา อานุภาพน่าตกใจ
พฤกษาวิญญาณไม่ทันได้คิดมาก ร่างกายไม่หยุดยั้งเลยสักนิด แต่สองแขนพลันเคลื่อนไหว ลำแสงสีเขียวสิบสายเปล่งแสงสว่างวาบพัวพันกัน กลายเป็นกรงเล็บลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปหากำปั้นเงา
เสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นขึ้น กำปั้นเงาและกรงเล็บลำแสงปะทะกัน เสียงอึกทึกสั่นโสตประสาทหูพลันดังขึ้น เงาร่างคนสองสายเซถลาลอยไปด้านหลังพร้อมกัน
เมื่อพฤกษาวิญญาณกลับมายืนได้อย่างมั่นคงด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้ว ก็มองไปทางเขตอาคมกระบี่อีกครั้ง เส้นไหมสีทองบางๆ แต่เดิมที่หายวับไปพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วสับลงมาหาเขาอีกครั้ง
ภายใต้ความจนปัญญา นางจึงทำได้เพียงพลิ้วไหวร่างกายถอยออกไปจากที่เดิมอีกครั้ง แต่สายตากลับเต็มไปด้วยแววตาอาฆาต
พฤกษาวิญญาณระดับเงินผู้นี้รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า ดูเหมือนว่าครานี้ตนเองไม่ควรจะมาไล่ตามมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้เลย
เหมือนกับนางคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด เวลาต่อมา พฤกษาวิญญาณเรียกความสามารถออกมาอีกสองสามชนิด แต่ทุกครั้งก็จะถูกเขตอาคมกระบี่ทำลายไป และถูกหานลี่ใช้สมบัติและกำปั้นคู่นั้นโจมตีจนล่าถอยไป
และในช่วงเวลาที่ล่าช้านั้น เส้นไหมกระบี่ที่หายวับไปก็ทยอยกันมาเหมือนเดิม กระตุ้นอานุภาพของเขตอาคมกระบี่อีกครั้ง
จากร่างกายที่แข็งแกร่งและพลังมหาศาลของหานลี่ในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเผ่าพฤกษาวิญญาณจะมีร่างกายแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจสะบัดหานลี่ให้หลุด และพุ่งออกจากเขตอาคมกระบี่ได้
แน่นอนว่าพฤกษาวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บหนักผู้นี้ มีพลังเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นหากพฤกษาวิญญาณผู้นี้ยอมเสียปราณแท้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักสำแดงเคล็ดวิชาเฉพาะสักสองสามชนิด หานลี่ก็ไม่อาจขัดขวางได้
ทว่าครานี้พลังเขตอาคมมหากระบี่ทองคำของหานลี่ ทำให้พฤกษาวิญญาณผู้นี้ติดแหง็กอยู่ในนี้จริงๆ
ครานี้กระบี่เส้นไหมจำนวนนับไม่ถ้วนในเขตอาคมกระบี่ผสานเข้าด้วยกับ แววตาของพฤกษาวิญญาณผู้นี้เปล่งประกายสว่างวาบ เห็นได้ชัดว่ารู้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่แล้วเช่นกัน ฉับพลันนั้นพลันยืนอยู่ตรงกลางเขตอาคมกระบี่ไม่ขยับเขยื้อนอีก มีแค่เกราะพฤกษาบนร่างของเขาที่ยังคงมีลำแสงสีเงินไหลเวียนโคจรไปมาไม่หยุด หนามแหลมๆ ทั้งหมดเปล่งเสียงร้องครวญต่ำๆ ออกมา และเริ่มสั่นเทาเบาๆ
หานลี่พลันตกตะลึง ร่างกายเปล่งแสงสีเขียวออกมา กระตุ้นเขตอาคมกระบี่อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด
และในตอนนั้นเองกลางพฤกษาวิญญาณที่อยู่กลางเขตอาคมกระบี่พลันชูคอขึ้น ปากเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา เกราะสงครามบนร่างของเขาสั่นเทา หนามสีเงินด้านบนกลายเป็นลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
ลำแสงสีเงินสว่างวาบ พุ่งออกมาหนาแน่น ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
ครานี้กลางเขตอาคมกระบี่ทั้งหมดพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงระเบิดพลันดังขึ้นไม่หยุด ลำแสงสีทองและเงินระเบิดออกจนกลืนกินทุกอย่างไป
หานลี่มองเห็นฉากนั้นพลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
และในขณะที่ยังไม่จบนั้น พฤกษาวิญญาณที่พ่นหนามสีเงินออกมาไม่หยุดนั้น ร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ผิวเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต ต้นไม้โบราณสูงประมาณสิบจั้งต้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของพฤกษาวิญญาณ กิ่งไม้และใบไม้งอกออกมาไม่หยุด แผ่ขยายไปทั่วทั้งสี่ทิศ
ตอนที่ 1389
มนุษย์ต้นไม้รวมร่าง
ไม่รู้ว่าเงาลวงตาต้นไม้โบราณเหล่านี้สร้างขึ้นจากสิ่งใด กิ่งและใบที่ยื่นออกมาล้วนเป็นสีเขียวอ่อน หลังจากที่กระบี่เส้นไหมสับลงไปแล้วพลันมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบไม่อาจทำอันตรายได้เลยสักนิด
เขตอาคมมหากระบี่ทองคำที่แต่เดิมถูกหนามสีเงินเหล่านั้นโจมตีไปทั่วทุกหนแห่ง ครานี้ถูกเงาลวงตาต้นไม้ยักษ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุดกวาดออกมาอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว ในที่สุดเส้นไหมสีทองก็ไม่อาจผนึกรวมตัวกันดังเดิมได้อีก
เขตอาคมนี้จึงถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย
หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ไม่รอให้ได้สำแดงความสามารถอะไรอีก สิ่งที่เรียกว่าพฤกษาวิญญาณระดับเงินกลับเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาและเย็นยะเยือกออกมา
“ไม่เลว เขตอาคมกระบี่ของเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก แต่ข้าปล่อยต้นไม้วิญญาณประจำกายออกมาแล้ว ขณะที่เป็นมนุษย์ต้นไม้อยู่ ต่อให้เจ้ามีความสามารถขนาดไหน วันนี้ก็มีเพียงแต่ต้องตายเท่านั้น”
เมื่อเอ่ยจบ สองมือของมู่รุ่ยพลันร่ายอาคม ร่างกายกลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งท่ามกลางลำแสงสีเขียว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเงาลวงตาต้นไม้โบราณด้านหลัง คาดไม่ถึงว่าจะรวมร่างกัน
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
เห็นเพียงเงาลวงตาต้นไม้โบราณปล่อยแรงกดที่น่าตกตะลึงออกมา ภายใต้ลำแสงวิญญาณที่โคจรอยู่ พลันกลายเป็นมนุษย์ยักษ์สีเขียวสูงสิบจั้ง
มนุษย์ยักษ์ผู้นี้เหนือหัวไม่เพียงจะมีต้นไม้งอกอยู่ แขนขาทั้งสี่ยังเป็นสีเขียวขจี ดูเหมือนมนุษย์ต้นไม้โบราณอย่างไรอย่างนั้น บนรลำต้นของต้นไม้ยักษ์ มีใบหน้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น นั่นก็คือใบหน้าของมู่รุ่ย
นี่จึงจะเป็นหน้าตาที่แท้จริงของเผ่าพฤกษา ร่างของพฤกษาวิญญาณ!
และในตอนนั้นเองหนามสีเงินที่อยู่กลางอากาศพลันหยุดพ่นออกมา เขตอาคมกระบี่ทั้งเขตเหลือเพียงร่างมนุษย์ยักษ์เพียงคนเดียว
หานลี่มองแล้วพลันตกตะลึงจนตาค้าง แต่การเคลื่อนไหวในมือกลับไม่ลังเลเลยสักนิด ภายใต้การร่ายอาคมกระตุ้น เส้นไหมสีทองในเขตอาคมที่แต่เดิมสลายหายไปพลันปรากฏขึ้นรอบๆ มนุษย์ยักษ์ และเปล่งแสงสว่างวาบพลางสับลงมาพร้อมกัน
มนุษย์ยักษ์สีเขียวกลับนิ่งงันอยู่ที่เดิม แค่มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะออกมาขณะมองมายังหานลี่
เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ราวกับทองคำเสียดสีออกมาระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นลำแสงสีทองและลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่เส้นไหมทั้งหมดดีดกลับมา คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทำร้ายมนุษย์ยักษ์สีเขียวได้เลยสักนิด
“หึๆ มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงจิ๊บจ๊อยคนหนึ่ง คิดจะทำร้ายต้นไม้วิญญาณประจำกายของพวกเรา ช่างเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเสียจริง ถึงแม้ว่าการใช้ร่างของพฤกษาวิญญาณจะต้องนอนหลับลึกไปอีกร้อยปี แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้น ต่อให้เป็นสิ่งที่เรียกว่าสมบัติสะท้านฟ้าของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้เลยสักนิด เจ้ายอมมอบชีวิตน้อยๆ มาซะจะดีกว่า” มนุษย์ยักษ์หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา สาวเท้ายาวๆ ไปก้าวหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าทำเป็นมองไม่เห็นเส้นไหมกระบี่สี่สายเลยสักนิด ชั่วครู่ก็ข้ามไปเจ็ดแปดสิบจั้ง เมื่อก้าวไปอีกก้าว ก็แทบจะมาอยู่ห่างจากหานลี่ไปแค่คืบ
หานลี่หยักยิ้มที่มุมปาก แต่พลันกระตุ้นจิตสัมผัสโดยไม่ปริปากใด วงแหวนลำแสงห้าสีที่โคจรอยู่รอบกายสั่นเทาแล้วหายวับไป ครู่ต่อมาวงแหวนยักษ์ก็เปล่งเสียงร้องและปรากฏขึ้นที่เอวของมนุษย์ยักษ์
การเคลื่อนไหวของมนุษย์ยักษ์สีเขียวที่แต่เดิมดูโหดเ**้ยมพลันอืดอาดลง ราวกับช้าลงไปสิบเท่าก็ไม่ปาน
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีใจ แล้วชี้ไปทางจุดที่มนุษย์ยักษ์สีเขียวจะเหยียบลงมาอย่างรีบร้อน
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น วิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่งบินออกมาจากพื้นดิน หมุนวนรอบหนึ่งแล้วอ้าปากออกพ่นลำแสงสีเงินสองสามลูกใส่มนุษย์ยักษ์ที่ถูกกักเอาไว้ ทันใดนั้นก็สยายปีกออกโดยอัตโนมัติ กระโจนเข้ามาพร้อมกับเปลวเพลิงสีเงินที่ลุกโชน
เสียงฟ้าร้อง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น เมฆอัสนีสีเงินสองสามกลุ่มปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของมนุษย์ยักษ์ ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงสีเงินที่ปริแตกปรากฏขึ้น ชั่วครู่ก็กลืนกินมนุษย์ยักษ์เข้าไป
เสียงดังสนั่นขึ้น ช่างน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
แต่หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปกลับหมุนวนรอบหนึ่ง ร่างกายเปล่งลำแสงสีทองและเงินออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปอยู่เหนือมนุษย์ยักษ์
เมื่อหานลี่ร่ายอาคมชั่วขณะนั้นชุดคลุมพลันแผ่ลำแสงกระจายออกมา ในเวลาเดียวกันก็ขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า
หลังจากที่เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น ลูกบอลอัสนีขนาดเท่ากำปั้นสีทองและเงินสองสีก็ร่อนลงมาด้านล่างราวกับห่าฝน
ภายใต้การโจมตีที่กระชั้นนี้จุดที่มนุษย์ยักษ์สีเขียวอยู่พลันกลายเป็นทะเลอัสนี ประจุไฟฟ้าสีทองเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปลวเพลิงสีเงินเป็นลูกๆ ก่อตัวกันจนกลายเป็นลูกไฟต่อเนื่องเป็นทางยาว
หานลี่ไม่มีทางจะหยุดพัก ปากร้องตะโกนออกมา เขตอาคมมหากระบี่ทองคำทั้งเขตหายวับไป กระบี่ลำแสงสีทองสองสามร้อยสายปรากฏขึ้นทั่วทุกสารทิศ
สองมือของหานลี่ร่ายอาคมอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด พลันร่ายอาคมกระตุ้นอยู่ในใจ
ชั่วขณะนั้นกระบี่ลำแสงทั้งหมดพลันเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา จากนั้นพลันสั่นคลอนพุ่งไปที่ตรงกลางทยอยกันจนหายเข้าไปในเปลวเพลิงอัสนี
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงแหวกอากาศดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
หานลี่ถึงได้พลิ้วไหวกายพุ่งออกไปสิบจั้งเศษ แล้วถึงได้หยุดถลันไปพลางมองดูด้วยความเย็นชา
เขามั่นใจว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย แต่โดนชุดคลุมอัสนี ไข่มุกอัสนี เปลวเพลิงกลืนวิญญาณและกระบี่บินทั้งหมดโจมตีพร้อมกัน ก็ไม่อาจรับได้
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั้น มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วลมหายใจ ในที่สุดลำแสงเมฆอัสนีก็หม่นแสงลงแล้วสลายหายไป ร่างของมนุษย์ยักษ์เผยออกมาอีกครั้ง ราวกับว่ายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อเห็นสถานการณ์ของมนุษย์ยักษ์ในครานี้ชัดเจน หัวใจของหานลี่ก็ร่วงลงไปที่ตาตุ่ม
ร่างของมนุษย์ยักษ์เปล่งประกายระยิบระยับ กลายเป็นเหมือนรูปแกะสลักสีเขียวมรกตก็ไม่ปาน สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเดิมก็คือ ผิวของมนุษย์ยักษ์เรียบลื่นเป็นพิเศษ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีบาดแผลเลยสักรอย การโจมตีที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่ ก็ไม่อาจทำร้ายมันได้เลยสักนิด
ส่วนมือยักษ์ทั้งสองของมนุษย์ยักษ์นั้น ไม่รู้ว่าจับวงแหวนยักษ์ที่เอวเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นิ้วทั้งสิบออกแรง เสียง “ปัง” ดังขึ้น วงแหวนห้าสีสลายออกท่ามกลางแรงมหาศาล
เมื่อหลุดจากพันธนาการ มนุษย์ยักษ์ก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น ออกแรงกระทืบไปบนพื้น ลำแสงสีเขียววงหนึ่งแผ่ออกมา ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีเงินที่ลุกโชนด้านล่างพลันถูกม้วนเข้าไปข้างใน ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ วิหคเพลิงสีเงินนึกรวมตัวกันก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่กลับถูกลำแสงวิญญาณลึกลับกักเอาไว้
เพลิงกลืนวิญญาณที่ดูเหมือนว่าจะกลืนกินพลังวิญญาณต่างๆ ได้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทำอะไรลำแสงสีเขียวได้เลยสักนิด
ส่วนกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาสีทองทั้งเจ็ดสิบสองเล่มนั้น มนุษย์ยักษ์สีเขียวกลับไม่สนใจเลยสักนิด กระบี่บินทั้งหมดสับลงบนร่างของเขา ก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบแล้วดีดกลับมาโดยอัตโนมัติ
มีกระบี่บินสิบกว่าเล่มที่สับลงไปสองสามครั้งแล้วลำแสงวิญญาณพลันลดลง เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา นั่นก็คือกระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะที่ระเบิดตัวเองและถูกกำจัดพลังวิญญาณไปไม่น้อยเหล่านั้น
เดิมทีกระบี่บินเหล่านี้ก็ได้รับความเสียหายอยู่แล้ว แค่ถูกหานลี่ฝืนกระตุ้นวางเขตอาคมกระบี่ ครานี้ถูกพฤกษาวิญญาณที่กลายเป็นมนุษย์ยักษ์ดีดกลับมาอีก จึงต้านทานไม่ไหวแล้วจริงๆ
หานลี่ยื่นมือกวักออกไปด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี กระบี่บินทั้งหมดเปล่งเสียงร้องคำรามแล้วบินกลับมา ระหว่างทางก็หดเล็กลงสองสามเท่า ทยอยกันจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
“ตอนนี้ร่างของข้าเป็นร่างวัชระไร้เทียมทาน ต่อให้พลังยุทธ์สูงกว่าข้าก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้ในครานี้ มีฝีมืออะไร ก็สำแดงออกมาเถิด ขอแค่ทำร้ายข้าได้แม้เพียงนิด ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปสักครั้งได้อยู่แล้ว?” มนุษย์ยักษ์เอาสองมือกอดอก ปากเปล่งเสียงหัวเราะบาดหูออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
หลังจากที่พฤกษาวิญญาณระดับเงินผู้นี้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ยักษ์ ใบหน้าที่แต่เดิมแข็งทื่อ แสดงความสามารถที่น่าตกตะลึงสุดๆ ออกมา การโจมตีทั้งหมดของหานลี่ ล้วนไม่มีผลเลยสักนิด
หานลี่เองก็มีสีหน้าตื่นตะลึง
นี่ถึงได้รู้ความแตกต่างกันอันมหาศาลของพฤกษาวิญญาณระดับเงินและผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม
เขาที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามารพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้และคาถาร้อยชีพจร แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าความสามารถของตนเองไม่อาจเทียบเทียมได้ง่ายๆ แต่ความคิดที่ว่าตนเองจะต่อกรกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้หรือไม่นั่น เขาก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นแน่ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตานั้น ในเมืองเทวะสวรรค์กลับไม่มีโอกาสได้ประมือ
แต่การเดินทางครั้งนี้หลังจากที่หานลี่ได้เห็นการต่อสู้ระดับหลอมสุญตาของเยี่ยฉู่และผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งแล้ว ก็มั่นใจว่าความสามารถของตนเองไม่เป็นรอง ราวกับว่าไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา แม้กระทั่งหากประจวบเหมาะการจะถูกเคล็ดวิชาของตัวเองควบคุมเอาไว้ พลิกจากแพ้เป็นชนะได้
หากรู้เช่นนี้ล่ะก็ ตอนที่พบกับเงาชาดของเผ่าเงาในตอนนั้น เขาก็คงไม่จำเป็นต้องใช้แมลงกลืนทอง ก็ดูเหมือนว่าจะอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งต่อสู้ได้
ครั้งนี้เผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ และรู้ตัวว่าไม่อาจสลัดออกจากจิตสัมผัสของพฤกษาวิญญาณได้ จึงจำใจต้องอาศัยความด้านเปรียบด้านภูมิศาสตร์ชิงวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำเอาไว้ก่อน เพื่อเตรียมต่อสู้อย่างสุดชีวิต
มิเช่นนั้นเขาคงมีปัญหาทางสมอง ถึงได้ปะทะกับสิ่งพิเศษระดับนี้
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าพฤกษาวิญญาณระดับเงินที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนักจะร้ายกาจกว่าที่เขาคิดเอาไว้
หลังจากที่สำแดงความสามารถเบื้องหน้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาลับหรือสมบัติอะไรก็ไม่อาจทำร้ายได้ ความเร็ว กำลัง ก็อยู่ในจุดที่น่ากลัวมากเช่นกัน
ความสามารถชนิดนี้จะอัศจรรย์เกินไปหน่อยกระมัง! คงมีเพียงวิธีเดียวที่ต้องลองทดสอบแล้ว หากไร้ผลเช่นกันล่ะก็ เขาก็คงทำได้เพียงใช้เงาอสนีหลีกหนีเป็นระยะๆ เพื่อดูว่าจะระหว่างทางจะมีวิธีช่วยชีวิตตัวเองหรือไม่
ถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางยินยอมรอความตายอยู่แล้ว
ความคิดต่างๆ ของหานลี่โคจรอย่างรวดเร็ว สีหน้าต่างๆ ค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้า สายตาเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่ได้กล่าวอะไรมาก ปีกวายุอสนีที่แผ่นหลังกระพือ กะพริบวาบสองสามครั้ง ชั่วขณะนั้นปีกทั้งสองพลันมีประจุไฟฟ้าสีเขียวและขาวเปล่งประกาย ทันใดนั้นลูกบอลอัสนีสีเขียวขาวขนาดเท่ากำปั้นพลันปรากฏขึ้นอย่างหนาแน่น ลูกบอลอสนีเหล่านี้เปล่งแสงระยิบระยับ เสียงดังเปรี๊ยะๆ
และในตอนนั้นเอง หานลี่พลันใช้มือทั้งสองร่ายอาคมด้วยความเคร่งขรึม
ลำแสงสีเขียวเปล่งประกายทั้งสองด้าน ฉับพลันนั้นพลันมีเงาสีเขียวที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสี่สายปรากฏขึ้น มีปีกอยู่ที่แผ่นหลัง สองมือพลันร่ายอาคม
“น่าสนใจนัก!” มนุษย์ยักษ์สีเขียวเห็นเช่นนั้นกลับหัวเราะหึๆ ออกมา สีหน้าไม่ใส่ใจ
เงาสีเขียวห้าสายมีสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นเส้นไหมสีขาวห้าสายพุ่งออกไป แต่ระหว่างทางกลับพลิ้วไหว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในเวลาเดียวกัน
พฤกษาวิญญาณที่กลายเป็นมนุษย์ยักษ์เปล่งเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่ มือหนึ่งปรบไปทางจุดที่ไกลออกไปสองสามจั้ง
เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นบรรยากาศบริเวณรอบราวกับบิดเบี้ยวและระเบิดออก ทันใดนั้นพลันมีรอยแยกสีขาวยาวๆ สิบกว่าสายปรากฏขึ้น
เงาสีเขียวสองสามสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอย่างโซซัดโซเซด้านใน
มือยักษ์แค่ตะปบออกไป พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างพลันกวาดออกไป เงาสีเขียวสองสามสายหายวับไปจากกลางอากาศ
ตอนที่ 1390
เป็นอิสระ
เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเงาลวงตาที่หานลี่สำแดงขึ้นเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันเหนือหัวของมนุษย์ยักษ์พลันมีลำแสงสีดำสว่างวาบ เงาสีเขียวอีกสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลันปรากฏขึ้น แล้วกระโจนลงมาที่ด้านล่างอย่างเงียบเชียบ
แต่พฤกษาวิญญาณที่กลายเป็นมนุษย์ยักษ์กลับดูเหมือนว่าจะคาดคิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว ฉับพลันนั้นพลันชูคอขึ้น พ่นเสาลำแสงสีเขียวมรกตสายหนึ่งออกมา
เสาลำแสงนี้มีขนาดเท่ากับถังเก็บน้ำอย่างไรอย่างนั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบ ผลคือเงาสีเขียวสายนั้นไม่ทันได้หลบหลีก ก็ถูกโจมตีเข้าเต็มๆ
ชั่วขณะนั้นเสียงร้องอันน่าอนาถพลันดังขึ้น เงาสีเขียวถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป
มนุษย์ยักษ์เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
ในตอนนั้นเองด้านหลังของเขาห่างออกไปแค่คืบพลันมีลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างจ้า เงาร่างคนอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองสองสามร้อยสายพลันพุ่งออกมา
เงาสีเขียวนั่นก็คือหานลี่
ระยะประชิดเช่นนี้ถึงแม้ว่ามนุษย์ยักษ์จะสัมผัสได้ถึง’เงาสีเขียว แต่ก็ไม่ทันได้ป้องกันเลยสักนิด
ได้ยินเพียงเสียง “แปะๆ” ราวกับฝนกระทบรั้ว ลำแสงสีทองเหล่านั้นล้วนถูกโจมตีไปอยู่ด้านหลังของมนุษย์ยักษ์
ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวของมนุษย์ยักษ์ เสียงคำรามต่ำๆ พลันดังขึ้น มือยักษ์สีเขียวอีกข้างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหานลี่ ตะปบลงมาอย่างรุนแรง
หานลี่เองก็ไม่ได้รีบร้อน ปีกที่แผ่นหลังสยายออก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปกลางอากาศ
แต่มนุษย์ยักษ์กลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา สองนิ้วที่ตะปบลงมือพลันร่ายคาถา ชั่วขณะนั้นเล็บสองท่อนพลันสั่นเทาแล้วพุ่งออกไป ทันใดนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวสองสายก็ทะลุผ่านปีกที่แผ่นหลังของหานลี่ไปอย่างรวดเร็ว เสียงอัสนีที่เพิ่งดังขึ้นพลันหยุดลง
ในที่สุดหานลี่ก็มีสีหน้าตกตะลึง ตอนที่กำลังคิดจะเคลื่อนไหวบินหนีไปนั้น กลับสายไปเสียแล้ว
มือยักษ์ที่อยู่กลางอากาศเปล่งแสงสว่างวาบ เขารู้สึกเพียงว่าอากาศรอบด้านแข็งค้าง กลายเป็นเหล็กกล้าไร้สนิมก็ไม่ปาน จากพลังมหาศาลของเขา หลังจากที่ล่าช้าไม่ได้ดั่งใจแล้ว ถึงได้ฝืนหนีออกมาได้
แต่ช่วงเวลาที่ล่าช้าไป มือยักษ์สีเขียวพลันตะปบไปที่เอวของเขาแน่น
คาดไม่ถึงว่าพลังของมนุษย์ยักษ์สีเขียวจะไม่ด้อยไปกว่าเขา
ทันใดนั้นมนุษย์ยักษ์สีเขียวก็ฉีกยิ้มโหดเ**้ยม แววตาเผยความโหดเ**้ยมทารุณออกมา
มันออกแรงที่นิ้วทั้งห้า มือยักษ์ที่มีลำแสงสีเขียวไหลโคจรอยู่ต้องการจะบีบหานลี่ให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ปากพลันบริกรรมคาถาออกมา ลำแสงสีเขียวบนร่างไหลโคจรไปมาไม่หยุด ร่างกายที่อยู่ท่ามกลางนิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งราวถูกบีบราวกับกระดาษ กลายเป็นลำแสงจุดเล็กๆ
ลำแสงวิญญาณเหล่านี้ผนึกค้างอยู่กลางอากาศใกล้ๆ กลายเป็นยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่ง ม้วนพุ่งไปยังจุดที่ไกลออกไป
มนุษย์ยักษ์มีสีหน้าแข็งค้าง เผยสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา
ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้งระลอกคลื่นก่อตัวขึ้น หานลี่เปล่งแสงสว่างวาบพลางปรากฏขึ้นกลางอากาศ สีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย แต่ภายใต้การกวักเรียก ก็เก็บยันต์สีเขียวเข้ามาอยู่ในมือ
ในวิกฤตอันตรายเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าเขาจะสำแดงความสามารถเคราะห์แทนตนของยันต์แปลงวิญญาณ ใช้ยันต์ส่งตัวเองออกมาอยู่ที่นี่ในชั่วพริบตา
หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี ความสามารถของยันต์แปลวิญญาณจึงเหนือกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง เงาร่างคนที่ถูกมนุษย์ยักษ์พ่นเสาลำแสงไปพลันเคลื่อนไหว ร่างกายตกลงใกล้ๆ กับหานลี่อย่างจนตรอก
เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาเลอะเทอะเปรอะเปื้อน สีหน้าซีดขาวเป็นพิเศษ แต่กลับหันหน้าไป ยิ้มให้กับมนุษย์ยักษ์ที่อยู่อีกด้าน
คาดไม่ถึงว่าจะเป็น ‘หานลี่’ อีกคนหนึ่ง
มนุษย์ยักษ์กะพริบตา อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาไม่ได้
แต่ทันใดนั้นหานลี่ที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง ก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ จากนั้นร่างกายก็หดเล็กลง กลายเป็นวานรน้อยสีดำเป็นประกายสูงครึ่งฉื่อ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรวิญญาณครวญ!
การโจมตีเมื่อครู่ของหานลี่ เขาปล่อยอสูรตนนี้ออกมาอย่างไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และสร้างภาพลวงตาของตนเองออกมา ทำการโจมตีขึ้นพร้อมกัน
คราที่พฤกษาวิญญาณระดับเงินไม่รู้จัก คาดไม่ถึงว่าจะถูกดึงดูดความสนใจไป ส่วนหานลี่กลับใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์หนีออกมาโดยมีอสูรวิญญาณครวญเป็นผู้คุ้มครองได้อย่างสมความตั้งใจ
มิเช่นนั้นจากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย หานลี่ก็คงไม่มีโอกาสเข้าใกล้มนุษย์ยักษ์ได้มากถึงเพียงนี้
มนุษย์ยักษ์สีเขียวรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เมื่อนึกถึงลำแสงสีทองที่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของหานลี่ สีหน้าก็เคร่งขรึมพลางตะปบไปที่แผ่นหลัง
หลังจากที่มนุษย์และต้นไม้รวมร่างกันแล้ว ร่างของพฤกษาวิญญาณก็แข็งแกร่ง แต่ความรู้สึกของกายเนื้อกลับเชื่องช้าเป็นอย่างมาก แต่เดิมมันไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะวิธีการทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บได้จริงๆ
ผลคือหลังจากที่มือใหญ่ตะปบผ่านไป เมื่อมองไปเบื้องหน้าพลันมีแมลงเกราะสีทองขนาดสองสามฉื่อสองสามตัวปรากฏขึ้น ไต่อยู่บนฝ่ามือของเขา
“นี่คืออะไร?”
มนุษย์ยักษ์สีเขียวมีสีหน้าตกตะลึง ทันใดนั้นก็กำนิ้วทั้งห้า แล้วคลายออกอีกครั้ง แมลงสีทองสองสามตัวกลับยังคงปลอดภัย
มันหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่
หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนั้น กลับมีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน กระตุ้นความคิดไปที่เจ้าสิ่งนั้น
ชั่วขณะนั้นแผ่นหลังของมนุษย์ยักษ์พลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ แมลงเกราะยักษ์ขนาดครึ่ง
ฉื่อปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า ชั่วครู่ก็ไต่อยู่เต็มครึ่งตัวของมนุษย์ยักษ์ แล้วกัดกินอย่างโหดเ**้ยมพร้อมกัน
หานลี่ดูเหมือนจะมีสีหน้าไร้ความรู้สึก หัวใจบีบคั้น
ถึงแม้ว่าแมลงกลืนทองจะได้รับขนานนามว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่กลืนกิน แต่ในคัมภีร์ของแดนมนุษย์ แมลงวิญญาณชนิดนี้กลับไม่ถูกกับสมบัติประเภทหยกพฤกษา และความสามารถในการรวมร่างมนุษย์และต้นไม้ของเผ่าพฤกษาวิญญาณเบื้องหน้าก็ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ถึงแม้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะดูเหมือนต้นไม้ใหญ่ แต่ใช้สมบัติประเภท ‘ไม้’ หรือไม่ หานลี่ก็ไม่อาจตัดสินได้ จึงทำได้เพียงลองพนันดูแล้ว
ผลคือครู่ต่อมา ปากของมนุษย์ยักษ์พลันเปล่งเสียงร้องอันเจ็บปวดออกมา มือยักษ์ทั้งสองปรบไปทางด้านหลังอย่างสุดชีวิต แผ่นหลังของเขามีแมลงเกราะสีทองขนาดยักษ์กำลังกลืนกินเขาไม่หยุด ร่างกายแวววาวที่แต่เดิมดูแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงในปากของแมลงยักษ์
แมลงยักษ์สองสามร้อยตัวกัดกินพร้อมกัน ถึงแม้ว่ามนุษย์ยักษ์สีเขียวจะมีความรู้สึกเชื่องช้า แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกฉีกทึ้ง
หานลี่รู้สึกดีอกดีใจ หลังจากสะบัดแขนเสื้อเก็บอสูรวิญญาณครวญไปแล้ว รอบกายก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
ถึงแม้ว่าแมลงกลืนทองจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่เจ้าของแมลงวิญญาณอย่างเขาก็ไม่อาจต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ แน่นอนว่าควรจะหนีออกไปให้ไกลจะดีกว่า
“แมลงกลืนทอง แมลงกลืนทองโตเต็มวัย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีแมลงปีศาจชนิดนี้!” มนุษย์ยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูเหมือนว่าจะพบกับฝันร้ายที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดแล้ว
ทันใดนั้นเสียงระเบิดพลันดังขึ้นไม่หยุด ชั่วพริบตาลำแสงสีเขียวเป็นสายๆ ก็สว่างวาบขึ้นทั่วท้องฟ้าหานลี่เองก็หนีออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหัวกลับมา ชั่วพริบตาก็มาอยู่ที่ขอบฟ้า ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาตรงจุดที่ต่อสู้กันนั้นพลันมีลูกบอลลำแสงยักษ์พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วหนีไปที่ขอบฟ้าอีกด้านเช่นกัน ในลำแสงสีเขียวมีเงาร่างยักษ์ที่ไม่สมบูรณ์ปรากฏอยู่
ด้านหลังมีเมฆแมลงสีทองกลุ่มหนึ่งไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ
ทั้งสองไล่ตามกันไปติดๆ ดูจากทิศทางที่บินไปแล้ว กลับอยู่ตรงข้ามกับหานลี่อย่างพอดิบพอดี
แต่ไม่นานนัก เมฆแมลงสีทองก็เปล่งเสียงหึ่งๆ พลางบินกลับมาอีกครั้ง ไม่เพียงร่างกายจะหดเล็กลงจนมีขนาดแค่สองสามชุ่น ยิ่งไปกว่านั้นฝูงแมลงที่วุ่นวายกลับแยกตัวออกจากกัน
โชคดีที่ความเร็วของแมลงกลืนทองเหล่านี้ยังคงไม่ลดระดับลง เปล่งเสียงกรีดร้องแล้วข้ามผ่านท้องฟ้าในบริเวณนั้นไปราวกับสายฟ้า
ภายใต้กองหินระเกะระกะห่างออกไปพันลี้ หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าซีดขาว กำลังขับเคลื่อนฝูงแมลงให้บินมาทางเขาอย่างสุดชีวิต
เขาในตอนนี้สูญเสียจิตสัมผัสไปไม่น้อย
เมื่อหานลี่เห็นฝูงแมลงสีทองร่อนลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ไม่อาจระงับร่างกายที่สั่นเทาเอาไว้ได้อีกพลางฟุบลงกับพื้น ในเวลาเดียวกันสองแขนก็กอดอกเปล่งเสียงผิวปากออกมา น้ำเสียงเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเจ็บปวดจนไม่ต่างอะไรกับการต้องจบชีวิตลง
หลังจากผ่านครึ่งเค่อเต็มๆ เขาถึงได้หยุดผิวปาก แล้วนั่งสมาธิอีกครั้ง
การควบคุมฝูงแมลงในครั้งนี้ช่างอันตรายนัก เกือบจะดูดจิตสัมผัสของเขาไปจนหมด แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาทำให้จิตสัมผัสที่เขาเก็บกลับมาได้รับความเสียหายไปเล็กน้อย
ดูแล้วเพื่อความปลอดภัย วันข้างหน้าห้ามให้แมลงวิญญาณไล่ตามศัตรูไปไกลนัก แต่จะว่าไปแล้ว หากไม่ควบคุมแมลงกลืนทองเหล่านี้ไล่ตามพฤกษาวิญญาณระดับสูงที่หนีไปสักระยะหนึ่ง เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะพบความผิดปกติของเขา แล้วไม่ยอมผละไปง่ายๆ แน่
แต่ครานี้พฤกษาวิญญาณเสียเปรียบแมลงกลืนทองไปไม่น้อย ประกอบการบาดเจ็บหนักก่อนหน้า ต่อให้อีกฝ่ายอาจหาญขนาดไหน ก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายลงมือกับเขาก่อนถึงจะถูก
หานลี่ลูบไปที่แหวนอสูรวิญญาณที่ใช้บรรจุแมลงกลืนทองในแขนเสื้อ พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่งขณะขบคิด
ในป่าลึกห่างออกไปสองสามหมื่นลี้ มู่รุ่ยที่กลายเป็นมนุษย์ยักษ์สีเขียวกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเช่นกัน แขนของเขาข้างหนึ่งและร่างกายครึ่งหนึ่งหายไป แต่ครู่ต่อมากลับมีลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากต้นไม้ใกล้ๆ แล้วทะลักเข้าไปในร่างของเขา
ส่วนที่ขาดหายไปของมนุษย์ยักษ์พลันสมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วทันตาเห็น
เวลาหนึ่งกาน้ำชา ลำแสงที่บินออกมาจากต้นไม้รอบๆ ก็สลายหายไป ร่างของมนุษย์ยักษ์ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
แต่แค่เมื่อเขาลืมตาขึ้น สายตากลับหม่นแสงลงไปอย่างหาที่เปรียบ
สองมือพลันร่ายอาคม ฉับพลันนั้นร่างกายใหญ่ยักษ์ก็มีเงาลวงตาสายหนึ่งพุ่งออกมา พลิ้วไหวเล็กน้อย แล้วผนึกรวมตัวกันกลายเป็นพฤกษาวิญญาณผิวสีเขียวที่มีหน้าตาซีดขาว
เมื่อลำแสงวิญญาณบนร่างของมนุษย์ยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ ก็กลายเป็นต้นไม้โบราณต้นหนึ่งแล้วหายวับไปอีกครั้ง
เมื่อพฤกษาวิญญาณกลับคืนร่างเดิม แววตาก็เปล่งประกายขณะมองไปยังจุดที่หานลี่อยู่สองแวบ
“คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีแมลงกลืนทอง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีมากกว่าสองสามร้อยตัว ช่างรับมือยากเสียจริง หากข้าเตรียมพร้อมสมบูรณ์ล่ะก็ ก็อาจจะลองเสี่ยงสังหารอีกฝ่ายดู ให้แมลงฝูงนั้นไร้ซึ่งการควบคุม แต่ตอนนี้ตัวเองก็บาดเจ็บหนักถึงสองครั้ง ทำให้ต้นไม้วิญญาณประจำกายได้รับบาดเจ็บ หากปะทะกับฝูงแมลงของอีกฝ่ายอีกล่ะก็ เกรงว่าจะเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ ดูแล้วคงทำได้เพียงผละมือ ปล่อยอีกฝ่ายไป” มู่รุ่ยมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้สั่นศีรษะขณะตัดสินใจ
ฉับพลันนั้นเขาพลันกลายเป็นลำแสงสีเงินพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งตรงไปยังป่าใบดำ
ไม่นานนัก หลังจากหานลี่ที่อยู่อีกฝ่ายฟื้นฟูจิตสัมผัสกลับมาเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่นานนักเช่นกัน จึงฝืนความเจ็บปวดในหัว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
จุกที่เขาไป นั่นก็คือเส้นทางสวรรค์!
สองเดือนต่อมา ลำแสงหลีกหนีของหานลี่พลันปรากฏเหนือป่ารกร้าง หาภูเขารกร้างมาลูกหนึ่ง ลำแสงสีเหลืองเปล่งประกายพลางพุ่งเข้าไป
เขาสร้างห้องลับขนาดสิบจั้งเศษขึ้นมาบนเขาอย่างง่ายๆ หลังจากเก็บกวาดเล็กน้อย ก็กินยาลูกกลอนลงไปสองสามเม็ดอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก ทันใดนั้นก็หลับตานั่งสมาธิ ฟื้นฟูพลัง
หนึ่งเดือนต่อมา เมื่อหานลี่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาก็กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง สีหน้ามีชีวิตชีวาดังเดิม
ตอนที่ 1391
หลอมวายุอสนีครั้งที่สาม
หานลี่ไม่ได้หยัดกายลุกขึ้นในทันที แต่ขบคิดอยู่ภายในห้องลับ
หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เขาถึงสะบัดแขนเสื้อ วงแหวนกลมๆ สีเขียววงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
นั่นก็คือกำไลเก็บของของเสี่ยวหงแห่งเผ่าหงส์ทมิฬ
วันนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ภูเขาเทวะดูดปราณทับสตรีผู้นั้นให้ถึงตาย แต่กลับเอากำไลเก็บของของนางมาอย่างไม่เกรงใจ
ก็นับว่าเขาปรานีซื้อชีวิตเอาไว้แล้ว
ในฐานะปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรสายตรงของเผ่าหงส์ทมิฬ หานลี่รู้สึกสนใจของที่อยู่ในกำไลเก็บของวงนี้อยู่หลายส่วน
จิตสัมผัสกวาดเข้าไปด้านในได้ไม่นาน หานลี่ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
ด้านในมีสมบัติล้ำค่าอยู่ไม่น้อย!
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่วัตถุดิบอสูรปีศาจที่กินพื้นที่เกือบครึ่งของกำไลเก็บของ ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากในย่านร้านค้าแล้ว ฐานะหนึ่งในเจ็ดเผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่ วัตถุดิบที่รวบรวมมาได้เหล่านี้ แน่นอนว่าหาได้สบายกว่าเผ่ามนุษย์หลายเท่า อีกอย่างมุมหนึ่งของกำไลเก็บของมีศิลาวิญญาณระดับสุดยอดเปล่งแสงหลากสีสันออกมาอยู่เจ็ดแปดก้อน ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ถึงแม้จะบอกว่าในแดนวิญญาณ ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจะไม่ได้หายากเท่าแดนมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้อย่างง่ายๆ ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทุกคนเกลียดที่มีน้อยแต่ไม่เกลียดที่มีมากแน่
โดยเฉพาะผลึกศิลาสีขาวนวลเม็ดหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณธาตุวายุที่หาได้ยาก นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่ง
ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ ก็อยากได้ศิลาวิญญาณธาตุวายุสักก้อนมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้มา
นอกจากของเหล่านี้แล้ว ในกำไลเก็บของก็มียุทธภัณฑ์และสมบัติโบราณอยู่สองสามชิ้น หานลี่กลับไม่สนใจ ของเหล่านี้แค่อานุภาพก็ไม่อาจเทียบเคียงกับภูเขาเทวะดูดปราณและสมบัติสะท้านฟ้าของเขาแล้ว
เกรงว่าแม้แต่เสี่ยวหงเองก็ไม่สนใจของเหล่านี้ มิเช่นนั้นการต่อสู้ก่อนหน้าคงเอาออกมาต่อสู้กับศัตรูแล้ว
แต่ขวดต่างๆ ที่บรรจุยาวิเศษเอาไว้ในกำไลเก็บของนั้น กลับทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ
เมื่อเขาได้มาอยู่ในมือ ก็เปิดฝาออกแยกแยะ กว่าครึ่งล้วนเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บ มีอยู่แค่สองสามชนิดที่เป็นยาเพิ่มพลังยุทธ์และสมุนไพรการปรุงยาที่หายาก
ผลเห็ดมังกรเม็ดนั้นก็อยู่ในกล่องไม้เหล่านี้
แน่นอนว่าหานลี่ก็ไม่เกรงใจที่จะหยิบมันขึ้นมา
ฉับพลันนั้นในมือของหานลี่พลันมีขวดสีเงินประหลาดๆ ที่สลักรูปหงส์เพลิงสีแดงปรากฏขึ้น
ด้านบนมียันต์ต้องห้ามสีทองเรืองรองแปะอยู่ ท่าทางเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่เห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ฉีกยันต์ออกเปิดฝาออกมา
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น หานลี่ยังไม่ทันเห็นของในขวดชัดๆ ก็มียาลูกกลอนสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือสามเม็ดพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นหงส์เพลิงสีดำขนาดเล็กสามตัว พุ่งตรงหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
“เอ๋”
หานลี่ร้องอุทานออกมา แต่กลับลูบไปที่ท้ายทอย ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาพลันพุ่งออกมา ชั่วครู่ก็กวาดหงส์น้อยสามตัวเข้ามาอยู่ข้างใน
ชั่วขณะนั้นหงส์ทมิฬสามตัวพลันหมุนติ้วๆ สองสามรอบกลางลำแสงสีเทา ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นยาลูกกลอนสีดำสนิทสามเม็ดดังเดิม
ลำแสงสีเทาม้วนกลับมา ยาลูกกลอนสามเม็ดปรากฏขึ้นในมือของหานลี่อย่างว่าง่าย
เขายื่นนิ้วสองนิ้วออกไปคีบยาลูกกลอนขึ้นมาเม็ดหนึ่ง และพิจารณาอยู่เบื้องหน้าอย่างละเอียด
คาดไม่ถึงว่ายาลูกกลอนนี้จะแปลงกายบินออกมา ไม่ใช่ของธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ในเวลาเดียวกันในหัวพลันย้อนนึกถึงยาลูกกลอนในตำนานชนิดต่างๆ ที่ตนเองรู้จัก ดูว่ามีชนิดไหนที่คล้ายคลึงกับยาลูกกลอนเบื้องหน้า
“ยาเพลิงทมิฬ”
จากรูปร่างที่สะดุดตาของยาลูกกลอนทั้งสามเม็ด หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งประกายสองสามครั้ง ก็แยกแยะออก ทันใดนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่ง
ในใต้หล้านี้มีเพียงหงส์ทมิฬจากเผ่าปีศาจ ที่จะสามารถใช้เพลิงประจำกายปรุงยาลูกเพลิงทมิฬขึ้นมาได้ มิเช่นนั้นต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยา ก็ไม่มีทางปรุงยาชนิดนี้ได้
การปรุงยาชนิดนี้จำเป็นต้องดูดซับสิ่งลึกลับบางอย่างในเพลิงประจำกายของหงส์ทมิฬ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นผ่าหงส์ทมิฬ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปรุงยาชนิดนี้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยปกติแล้วหลังจากที่หงส์ทมิฬผู้ฝึกตนระดับเทพแปลงขึ้นไปหลอมเพลิงประจำกายได้แล้ว ถึงจะปรุงยาลูกกลอนเพลิงทมิฬได้พันปีหนึ่งเม็ด
จากปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่หายากของเผ่าหงส์ทมิฬ ก็เห็นได้ชัดว่ายาลูกกลอนเพลิงทมิฬนี้หายากขนาดไหน ส่วนสาเหตุที่ยาลูกกลอนชนิดนี้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในเผ่ามนุษย์และปีศาจนั้น สาเหตุหลักๆ ก็คือยาชนิดนี้เป็นหนึ่งในยาที่ช่วยเสริมให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงทะลวงจุดคอขวดขึ้นไประดับหลอมสุญตาที่ยอดเยี่ยมที่สุด
หากกินยาเพลิงทมิฬสามเม็ดเบื้องหน้าเข้าไป อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะทะลวงจุดคอขวดระดับหลอมสุญตาได้สองส่วน
จะไม่ทำให้หานลี่ดีใจอย่างบ้าคลั่งได้อย่างไร
ตรวจสอบยาลูกกลอนทั้งสามเม็ดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง หลังจากมั่นใจว่าคือยาลูกกลอนเพลิงทมิฬอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว หานลี่ก็ฝืนระงับความตื่นเต้นเอาไว้ เก็บขวดยาสีเงินกลับไป ใช้ยันต์วิเศษกักเอาไว้อีกครั้ง แล้วเก็บลงไปอย่างระมัดระวัง
การทะลวงขึ้นไประดับหลอมสุญตา สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องผนึกพลังเบญจธาตุในร่าง จุดนี้หลังจากที่เขามีลำแสงเทวะดูดปราณแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
ส่วนยาลูกกลอนเพลิงทมิฬสามเม็ดนั้น แค่หายาลูกกลอนและเคล็ดวิชาลับในการทะลวงระดับหลอมสุญตาเพิ่มอีกสักหน่อย คิดดูแล้วก็น่าจะมั่นใจในการทะลวงระดับหลอมสุญตาได้มากขึ้นแล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลายถึงจะได้ อาศัยยาลูกกลอนจำนวนมาก การทะลวงจุดคอขวดของระดับเทพแปลงขั้นกลาง ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆ นี้
สิ่งที่ยุ่งยากก็คือ ยาลูกกลอนเดิมที่มีนั้นมีผลกับระดับเทพแปลงขั้นปลายน้อยมาก มีเพียงยาลูกกลอนระดับสูง ถึงจะสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ได้ต่อ
แต่ยาลูกกลอนที่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายนั้น แน่นอนว่ามีไม่มากนัก ชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือของเหลวคางคกเที่ยงแท้ และครั้งนี้ที่เขายอมเสี่ยงรับภารกิจมาเผ่าพฤกษา มาปรากฏตัวที่นี่ก็เกี่ยวข้องกับของเหลวชนิดนี้
ภายใต้การขบคิดของหานลี่ ชั่วขณะนั้นในหัวพลันมีแขนลึกลับที่มาหาถึงที่ตอนที่เพิ่งจะออกจากเมืองเทวะสวรรค์ไม่นานปรากฏขึ้น สองตาอดที่จะหรี่ลงเล็กๆ ไม่ได้
ถ้าหากราบรื่นดังที่คนเหล่านั้นพูด เขาก็จะได้ของเหลวคางคกเที่ยงแท้ไม่น้อย ถึงแม้ว่าเจ้าสิ่งนั้นจะไม่อาจวางไข่ได้ และไม่อาจกินได้อย่างไร้ขีดจำกัดอย่างยาลูกกลอนชนิดอื่น แต่ก็เพียงพอที่จะประหยัดเวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว
ครุ่นคิดถึงคำรับปากของคนเหล่านั้นอย่างละเอียดในใจ หลังจากที่หานลี่คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่งแล้วโยนเรื่องนี้ทิ้งไป มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ หยิบของที่ได้มาในการเดินทางครั้งนี้ออกมา
ขนนกห้าสีสีสันแวววาวเส้นหนึ่ง
นั่นก็คือขนของหงส์สวรรค์ที่ได้มาจากพวกของเยี่ยอิ่ง
หานลี่ใช้มือหนึ่งปัดไปที่ขนนกเบาๆ ชั่วขณะนั้นลำแสงห้าสีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แทบจะกลืนกินห้องทั้งห้องเอาไว้ข้างใน
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี
คู่ควรกับขนประจำกายของหงส์สวรรค์ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้จริงๆ แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ก็เหนือกว่าขนวิหคมัจฉาที่ได้มาในแดนมนุษย์แล้ว
หานลี่จ้องขนนกในมือเขม็ง แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออก พ่นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งออกมา
หลังจากเสียงฟ้าร้องต่ำๆ ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าพลันผนึกรวมกันแล้วสร้างภาพลวงตาขึ้น กลายเป็นขนนกสีเขียวขาวขนาดสองสามชุ่นคู่หนึ่ง
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก ปีกวายุอสนีขนาดจิ๋วร่อนลงในมือของเขา
สายตากวาดออกไป เขาอดที่จะขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาไม่ได้
ปีกขนนกนี้มีรูเล็กๆ ปรากฏขึ้นคู่หนึ่ง ท่าทางเสียหายไปเล็กน้อย
นั่นก็คือตอนที่พฤกษาวิญญาณกลายเป็นมนุษย์ยักษ์ ใช้เล็บสองท่อนทะลุผ่าน จึงเหลือร่องรอยความเสียหายเอาไว้
ทันใดนั้นหานลี่พลันมีสีหน้าผ่อนคลายลงไม่ได้สนใจอีก
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหลอมปีกวายุอัสนีขึ้นใหม่ ความเสียหายแค่นี้ถึงครานั้นคงซ่อมแซมได้อย่างราบรื่น
จากที่ร่างแยกของอสูรศักดิ์สิทธิ์เทียนหลานกล่าว สาเหตุที่ปีกวายุอัสนีผสมขนนกวิหคมัจฉาเข้าไปแล้ว ยังไม่อาจกลายเป็นสมบัติวิญญาณได้ ก็เพราะว่าขนของวิหคมัจฉามีธาตุวายุผสมอยู่ จำต้องหาศิลาวิญญาณระดับสุดยอดธาตุวายุมาหนึ่งก้อนถึงจะกระตุ้นได้
นี่คือสาเหตุที่เขาสนใจศิลาวิญญาณระดับสุดยอดธาตุวายุมาตลอด
ตอนนี้เขาได้วัตถุดิบระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างขนนกของหงส์สวรรค์มา แน่นอนว่าจึงต้องเปลี่ยนแผนการอีกครั้ง
ต้องผสมขนนกเส้นนี้เข้าไปในปีกวายุอสนี
ขนนกของหงส์สวรรค์นั้นไม่เหมือนกับขนของวิหคมัจฉา กฎของฟ้าดินที่แฝงอยู่ในนั้นกลับเป็นพลังห้วงเวลาที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว หากนำพลังของขนชนิดนี้ไปหลอมในปีกวายุอสนีจริงๆ อานุภาพจะมากมายแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
ครั้งต่อไปหาพบกับศัตรูที่น่ากลัวอย่างพฤกษาวิญญาณสีเงินอีก ก็ไม่จำเป็นต้องสู้อย่างสุดตัว ก็หนีออกมาได้แล้ว
หานลี่เล่นขนนกห้าสีในมือ พลางขบคิดในใจ
นี่โชคดีที่เขาเคยมีประสบการณ์การนำขนนกวิหคมัจฉาใส่เข้าไปในขนของวายุอันสี มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะลงมือหลอมขนหงส์นี้อีกครั้งอย่างไร
เมื่อตัดสินใจแล้ว หานลี่ก็หยิบศิลาวิญญาณระดับสุดยอดหกก้อนออกมาจากกำไลเก็บของ แต่ละก้อนมีธาตุแตกต่างกัน
ทั้งห้าก้อนสอดคล้องกันธาตุทั้งห้าพอดี ก้อนสุดท้ายคือศิลาวิญญาณสีขาวธาตุวายุ
จากความสามารถของหานลี่ในครานี้ จึงไม่จำเป็นของหาของธาตุเพลิงธรณีอะไรอีก
อ้าปากออก พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา หลังจากผนึกรวมกัน ก็กลายเป็นเตาเพลิงขนาดยักษ์ที่มีเปลวเพลิงสีเงินคุกรุ่น
หานลี่โยนปีกวายุอัสนีเข้าไปในเตาเพลิง แล้วชี้ไปที่ศิลาวิญญาณธาตุวายุก้อนนั้น
หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น มันก็จมหายวับเข้าไปในเตาเพลิงตามลำดับ
หานลี่ปัดแขนเสื้อไปบนพื้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างวาบ บนพื้นมีวัตถุดิบและขวดต่างๆ ปรากฏขึ้นกองใหญ่
นั่นก็คือวัตถุดิบเสริมที่จำเป็นต้องใช้หลอมปีกวายุอัสนีอีกครั้ง
โชคดีที่เขานึกถึงการหลอมปีกคู่นี้อีกครั้ง จึงเก็บวัตถุดิบที่จำเป็นทั้งหมดเอาไว้ก่อนแล้ว
หานลี่โยนขวดวารีสีเงินที่ดูเหมือนของเหลวเข้าไปในเตาเพลิง ปากพลันบริกรรมคาถา นิ้วทั้งสิบร่ายอาคมใส่เตาอย่างต่อเนื่อง…
หลังจากผ่านไปสิบวันสิบคืน ในห้องลับก็มีเสียงหัวเราะยกใหญ่ของหานลี่ดังขึ้น
เห็นเพียงเข้ายืนอยู่ตรงใจกลางของห้องลับ ในมือถือปีกสีสันแวววาวเอาไว้คู่หนึ่ง ใบหน้าตื่นเต้นยินดี
ปีกคู่นี้มีลำแสงสีเขียวเรืองรอง ลำแสงห้าสีถูกห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน แต่ล้วนดูโปร่งใส่ดุจผลึกวารี กะพริบวาบๆ ในมือของหานลี่ราวกับจะหายไปได้ตลอดเวลา
เมื่อครู่หานลี่ได้ลองทดสอบอานุภาพของปีกวายุอัสนีที่พัฒนาเป็นสมบัติวิญญาณแล้ว ความมหัศจรรย์ของมัน เหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้
มิน่าล่ะไม่ว่าขนของวิหคมัจฉาหรือว่าขนของหงส์สวรรค์ ขอแค่หลังจากหลอมเสร็จแล้วกระตุ้นอานุภาพของมันได้ การหลอมสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าก็ไม่ใช่ปัญหา
ครานี้เมื่อหลอมของสองสิ่งเข้าไปในสมบัติชิ้นเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าอานุภาพของมันก็ทำให้หานลี่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 1392
รวมตัว
โยนปีกขนนกสีสันแวววาวในมือขึ้นไปกลางอากาศ หานลี่พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมาแล้วกลืนมันลงไปในคำเดียว
ครู่ต่อมาหานลี่ก็นำกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่ได้รับความเสียหายออกมา เริ่มหลอมขึ้นใหม่ทีละเล่มๆ ฟื้นฟูพลังวิญญาณของพวกมันอย่างช้าๆ…
หนึ่งปีต่อมาเหนือภูเขานิรนามในแดนป่าเถื่อนแห่งหนึ่ง ลำแสงสีเขียวจางๆ สายหนึ่งกะพริบวาบๆ พลางพุ่งออกไป
ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี ชายหนุ่มสีหน้าซีดขาวคนหนึ่งกำลังเอาสองมือไพล่หลัง นั่นก็คือหานลี่ที่ออกจากที่ซ่อนที่ซ่อนตัวมานานสองสามเดือน
เขาซ่อมแซมกระบี่บินทั้งหมดเสร็จแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเจตนาจะรั้งรออยู่ที่นี่เลยสักนิด แต่รีบขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปในทันที
เป็นเพราะตัวคนเดียวหานลี่จึงระมัดระวังมาก ถึงแม้ว่าจะบินมานานครึ่งปี ก็ยังคงปลอดภัย
ภูเขานิรนามแห่งนี้ดูแล้วไม่ค่อยปกตินัก
ไม่ว่าบนภูเขาหรือด้านล่างภูเขา ต้นไม้ทั้งหมดต่างเตี้ยแคระ มีความสูงแค่พุ่มไม้เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นขอแค่บินต่ำลงหน่อย ก็จะสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ปะทะเข้ามา
คาดไม่ถึงว่าบนภูเขาจะมีหนองน้ำน้อยใหญ่เรียงรายอยู่ทั่วทุกแห่งหน หนึ่งในนั้นที่ใหญ่หน่อยก็มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสองสามพันลี้ เล็กหน่อยกลับมีขนาดแค่สองสามลี้ ดูเหมือนอุโมงค์น้ำอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าครั้นเมื่อหานลี่บินอยู่เหนือทะเลสาบเหล่านี้ ก็ไม่กล้าประมาทเกินไปนัก
ผู้ใดจะรู้ว่าในบ่อน้ำเหล่านี้จะมีอสูรโบราณที่ร้ายกาจอะไรซ่อนอยู่ หรือมีคนของเผ่าประหลาดอะไรซ่อนตัวอยู่
ตั้งแต่ที่เข้ามาในชีพจรภูเขาลุกนี้ เขาก็สังหารอสูรประหลาดที่กระโจนเข้ามาหาลำแสงหลีกหนีของเขาเองไปสิบกว่าตัวแล้ว หนึ่งในนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นอสูรยักษ์ปลาไหลที่อยู่ในบึง ระดับเกือบเท่าระดับเทพแปลง มีความสามารถด้านน้ำ ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปรอบหนึ่ง
หลังจากบินต่อไปได้อีกครึ่งวัน ทิวทัศน์ภูเขาเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป ยอดเขาตั้งตรงสูงพันจั้งสองลูกพลันปรากฏขึ้น
เมื่อเห็นยอดเขาทั้งสอง หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย เผยสีหน้ายินดีออกมา
หากพูดถึงว่ายอดเขาเล็กหรือใหญ่ ภูเขาน้อยสองลูกนี้ก็ไม่แปลกประหลาดเลย แต่ภูเขาสองลูกนี้ลูกหนึ่งเป็นสีเงินขาว คาดไม่ถึงว่ายอดเขากว่าครึ่งจะถูกหิมะปกคลุมเอาไว้ บรรยากาศรอบๆ เย็นยะเยือก
ยอดเขาอีกลูกหนึ่งเป็นสีม่วงระยิบระยับ มีต้นไม้ที่ดูเหมือนต้นเฟิงขึ้นอยู่เต็มไปหมด ใบไม้ล้วนเปล่งแสงสีม่วงที่พิเศษออกมา
ยอดเขาทั้งสองอยู่ห่างกันแค่สิบลี้เศษ และนอกจากต้นไม้ประหลาดสีม่วงบนภูเขาและหิมะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันแล้ว ก็ไม่อาจกล่าวว่าเหมือนกันได้อีก แต่ก็คล้ายคลึงกันแปดเก้าส่วน
“ในเมื่อที่นี่มียอดเขาสองลูกจริงๆ ดูแล้วพวกเขาก็คงไม่ได้หลอกลวง” หานลี่เอ่ยพึมพำ ทันใดนั้นลำแสงหลีกหนีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ตรงไปยังภูเขาน้ำแข็งลูกนั้น
เมื่อเข้าใกล้ภูเขาลูกนั้น พายุก็พัดเข้ามาหอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะหนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูก ราวกับมีดเฉือนออกไปอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แต่ร่างกายยังมีลำแสงสีเขียวแผ่ออกมาชั้นหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ประตูใหญ่ยังไม่ทันเข้าไปในภูเขา ฉับพลันนั้นชั้นหิมะหนาๆ ที่ปกคลุมอยู่บนภูเขาก็มีสายรุ้งสองสายพุ่งออกมา หลังจากเปล่งแสงสองสามครั้ง ก็มาอยู่ห่างจากหานลี่ไปสามสิบจั้งเศษ
หานลี่ตกใจพลางสลายลำแสงหลีกหนีออก เผยร่างกายของตนเองออกมาท่ามกลางลำแสงที่สว่างวาบ
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็สหายหานนี่เอง ข้ารู้อยู่แล้วว่าจากความสามารถของสหาย ภารกิจแค่นี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่” ลำแสงเบื้องหน้าหม่นแสงลงเช่นกัน เผยร่างบุรุษสองคนออกมา หนึ่งในนั้นมองหานลี่ปราดหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
คนผู้นี้มีสีหน้าซีดขาว ราวกับอายุห้าสิบหกสิบปี นั่นก็คือชายชราแซ่หลี่ว์ที่รู้จักในวิหารเหินวิญญาณตอนที่เข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ตอนแรก
ส่วนคนข้างกายกลับเป็นนักปราชญ์ท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะคนหนึ่ง ต่างมีท่าทางอัธยาศัยดีเช่นกัน
“ที่แท้ก็พี่หลี่ว์และพี่โอวหยางนี่เอง ทั้งสองท่านไม่ได้มาก่อนข้าน้อยนานหรอกนะ? ดูแล้วภารกิจของทั้งสอง น่าจะราบรื่นกว่าข้าน้อยมาก” หานลี่หัวเราะหึๆ ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองเกือบจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่อยู่จากเผ่าพฤกษาเลยสักนิด
“ภารกิจของเราสองคนจะเทียบกับสหายหานได้อย่างไร ตาเฒ่าแค่ตามผู้พิทักษ์ทองสองสามเท่าไปยังฐานที่มั่นของเผ่าประหลาดสองสามแห่งเท่านั้น ขอแค่ระวังตัวหน่อย ก็ไม่มีอันตรายมากนักแล้ว” ชายชราแซ่หลี่ว์สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่องขณะเอ่ย
“นอกจากสหายทั้งสองแล้ว ยังมีสหายคนอื่นมาถึงแล้วหรือไม่?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“แน่นอนว่ามี การเดินทางของพวกเราจำเป็นต้องใช้คนจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสหายเกือบครึ่งน่าจะมาไม่ทัน แต่ตอนนี้คนที่มาถึงก็เกือบจะครบแล้ว ข้าจะพาพี่หานไปรู้จักสักหน่อยดีกว่า” ชายชราแซ่หลี่ว์หยีตาหัวเราะแผ่วเบาขณะเอ่ย
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนสหายแล้ว” หานลี่ประสานกำปั้นคารวะ ไม่มีเจตนาจะปฏิเสธ
ทันใดนั้นหานลี่ก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินไปที่ภูเขาน้อยแข็งโดยมีทั้งสองคนเป็นผู้นำ
แต่เมื่อบินมาได้ระยะหนึ่ง ชายชราที่นำทางอยู่เบื้องหน้าก็ควักแผ่นหยกออกมาจากอกเสื้อ โบกไปกลางอากาศเบื้องหน้า
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวผืนหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากแผ่นป้าย ทุกแห่งที่กวาดไป ดอกบัวสีขาวพลันปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบระยิบระยับ
ชายชราแซ่หลี่ว์กระตุ้นลำแสงหลีกหนี ล่วงหน้าเข้าไปในดอกบัวสีขาวก่อน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ตามนักปราชญ์ไปติดๆ ที่ด้านหลัง
คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีคนวางเขตอาคมลวงตาเอาไว้ชั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขามองไม่ออกในปราดเดียว ดูแล้วน่าจะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก!
เช่นนั้นโดยปกติแล้วหากอสูรโบราณเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็ไม่อาจพบการเคลื่อนไหวบนภูเขาได้
หลังจากที่ลำแสงหลีกหนีของทั้งสามเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หมุนวนโจรอยู่เหนือยอดเขาสีขาว ร่อนลงตรงศาลาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง
รอบๆ มีห้องน้ำแข็งรูปทรงแตกต่างกันเรียงรายอยู่ ในศาลามีบุรุษคนหนึ่งและสตรีสองคนกำลังสนทนาอะไรกันอยู่
บุรุษนั้นคือชายร่างใหญ่สวมชุดสีเทาร่างกายกำยำ ไว้หนวดเคราและจอนผม ใบหน้าเต็มไปด้วยองอาจผึ่งผาย
สตรีคนหนึ่งอายุสี่สิบปีเศษ หน้าตาธรรมดาๆ สวมชุดกระโปรงสีเขียว อีกคนหนึ่งกลับดูอ่อนเยาว์สวมชุดสีเขียวมรกต สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้
หานลี่เห็นหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าแล้วพลันตกตะลึง ปากก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ
“เซียนอิ๋ง คิดไม่ถึงว่าสหายจะได้รับเชิญมาด้วย ช่างบังเอิญจริงๆ” หานลี่ร้องทักสตรีผู้นั้น
“ข้ากลับรู้ว่าสหายต้องมาที่นี่ ข้าน้อยนับว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเรื่องนี้” หญิงสาวสวมผ้าคลุมกลับฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่
สตรีผู้นี้คือ ‘เซียนอิ๋ง’ ที่เชิญให้หานลี่ทำภารกิจเดียวกันในงานชุมนุมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา
“ผู้บุกเบิก? ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของผู้แซ่หานจริงๆ” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา
ตอนนั้นที่คนที่เชิญเขาเข้าร่วม ถึงแม้ว่าจะไม่มีสตรีผู้นี้ แต่คิดดูแล้วอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องโกหกหลอกลวงเรื่องนี้ น่าจะเป็นความจริง
ส่วนคนที่เป็นผู้นำในการชุมนุมครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจนัก
หานลี่กลอกตาไปมา กวาดไปบนเรือนร่างของคนที่เหลืออีกสองคน
ใบหน้าของทั้งสองคนดูคุ้นตา เหมือนว่าจะเคยพบในงานชุมนุมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แค่ไม่เคยสนทนากับเขาเท่านั้น
ทั้งสามคนเองก็มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นกลางขึ้นไป โดยเฉพาะฮูหยินผู้นั้น ท่าทางเหมือนอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลาย
ส่วนสองคนที่หานลี่ประสานกำปั้นคารวะให้นั้น
ชายร่างใหญ่และฮูหยินไม่กล้าดูแคลนหานลี่ จึงคารวะตอบกลับเช่นกัน
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหนึ่งเชิญให้หานลี่เข้าไปในนั่งในศาลาทันที หลังจากที่หานลี่ขบคิดเล็กน้อยแล้ว กลับสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้มว่า
“ภารกิจที่ผู้แซ่หานรับไปในครั้งนี้ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แล้วยังต้องเร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืนจนสูญเสียพลังปราณไปอีก จึงอยากพักผ่อนสักหน่อย หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะยังห่างจากเวลาที่นัดกันไว้อีกครึ่งเดือนสินะ”
“หึๆ เป็นเพราะพวกเราสะเพร่าเอง พี่หานเพิ่งมาแน่นอนว่าต้องพักผ่อนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ห้องเหล่านี้ทางซ้ายสุดสองสามห้องไม่มีเจ้าของ สหายเชิญเลือกได้ตามสบาย แน่นอนว่าหากสหายไม่พอใจล่ะก็ จะสร้างขึ้นเองก็ได้” ชายชราแซ่หลี่ว์ลูบเคราแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“เช่นนั้นข้าน้อยก็จะไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่หัวเราะต่ำๆ ออกมา ไม่ได้กล่าวอะไรนัก พลางกล่าวลาพวกเขาสองสามคน ทันใดนั้นก็เดินไปยังห้องน้ำแข็งห้องหนึ่ง หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็จมหายเข้าไปในห้องอย่างไร้ร่องรอย
คนที่อยู่รอบๆ ศาลามองเงาแผ่นหลังของหานลี่ แล้วตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง
“พี่หานรีบร้อนพักผ่อนเช่นนี้ คงไม่ได้รับบาดเจ็บหนักกระมัง” ฮูหยินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า
“น่าจะไม่ใช่! สีหน้าของสหายหานดูดีมาก อาจจะแค่เสียลมปราณไปเล็กน้อยเท่านั้น” ชายร่างใหญ่ชุดสีเทาทที่อยู่ด้านข้างกลับสั่นศีรษะ
“นั่นก็ไม่แน่ ความจริงแล้วสหายหานเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเก็บงำสีหน้ามาก พวกเราดูไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติ แต่จะว่าไปแล้วในเมื่อมาถึงตรงเวลา ก็หมายความว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ต่อให้เจ็บป่วยเล็กน้อย เชื่อว่าก็คงไม่ลอบวางแผนอะไรที่มีผลกระทบต่อพวกเรา สหายหยวนและปรมาจารย์จิ้งหยวนที่มาก่อน ก็ไม่ได้เข้าพักในห้องเหมือนกันหรือ?” เซียนอิ๋งกลับเชื่อใจหานลี่เป็นอย่างมาก พลางเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“เซียนอิ๋งพูดมีเหตุผล! ถึงแม้ว่าสหายหานจะเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลาง แต่จากที่ข้าคาดการณ์ ความสามารถนั้นเพียงพอจะติดอันดับหนึ่งสามในหมู่สหายได้” นักปราชญ์ท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะผู้นั้นกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา
“ที่สหายโอวหยางพูด มันจะเกินไปหน่อยกระมัง สหายหานเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลาง จุดนี้ตาเฒ่าดูไม่ผิดแน่” ฮูหยินได้ยินแล้วพลันตกตะลึง และเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ
“พี่หญิงจ้าวเอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักมาหลายปีในเมืองเทวะสวรรค์ และไม่ค่อยได้เข้าร่วมการชุมนุมของพวกเรา จึงไม่รู้เรื่องพี่หานก็ไม่แปลก สหายหานเคยสังหารและจับเป็นคนของเผ่าประหลาดในระดับเดียวกัน ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาใหม่อย่างพวกเรานั้น นับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย โดยเฉพาะวรยุทธ์ที่เขาฝึกฝน ยิ่งมีประโยชน์ในการควบคุมเผ่าเงาเป็นอย่างมาก จุดนี้คือสาเหตุหลักที่พวกเราเชิญเขาเข้าร่วม” หญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้าเอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายอิ๋งหมายความว่า จะให้คนผู้นี้ต่อกรกับอสูรแมลงเงาเหล่านั้นโดยเฉพาะหรือ” ฮูหยินถึงบางอ้อ
“ใช่แล้ว พวกเราหมายความว่าอย่างนั้น มิเช่นนั้นล่ะก็ อสูรแมลงเงาเหล่านั้นก็รับมือยากมาก หากสูญเสียลมปราณไปมากเพราะเหตุนี้ ทำให้เหยื่อของพวกเราเตลิดนี้ จะยิ่งแย่ไปใหญ่” ชายชราแซ่หลี่ว์อธิบายพร้อมกลั้วหัวเราะ
ฮูหยินแซ่จ้าวได้ยินก็พยักหน้าไม่เอ่ยอะไรอีก
ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งอยู่ในศาลาพลางสนทนากันไปมา ส่วนหานลี่นั้นกลับนั่งสมาธิอยู่ในห้องน้ำแข็ง สองตาปิดสนิท ร่างกายไม่ไหวติง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น