เทพปีศาจหวนคืน 1373-1376

บทที่ 1373 ยอมรับผู้นำคนใหม่

 

“ตายอย่างหมดจด” ราชันมังกรสามารถมองเห็นทั้งภายนอกและภายในของราชันภูเขาม่วง


 


ราชันภูเขาม่วงส่งวิญญาณอมตะส่วนใหญ่ออกไป ส่วนที่เหลือตายไปพร้อมกับเขา ไม่เพียงเท่านั้นดวงวิญญาณของเขายังแตกสลายไปอย่างสมบูรณ์


 


ราชันมังกรต้องการหยุดสิ่งนี้แต่เขาทำไม่สำเร็จ


 


สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างของราชันภูเขาม่วงก็ยังสูญสลายไปเช่นเดียวกัน


 


ไม่เหลือทรัพยากรใดทิ้งไว้ให้วังสวรรค์แม้แต่น้อย


 


ราชันมังกรปล่อยมือจากศพ สิ่งที่มีค่าที่สุดอยู่ที่จุดศูนย์กลางของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้


 


อสูรวิญญาณจำนวนมากคำรามแต่พวกมันไม่กล้าโจมตี


 


“ประตูแห่งชีวิตและความตายอยู่ที่นี่ แม้ข้าจะกำจัดอสูรวิญญาณมากเท่าใด พวกมันก็ยังออกมาอย่างไม่รู้จบสิ้น” ราชันมังกรถอนหายใจ


 


ประตูแห่งชีวิตและความตายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพ ดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เสียชีวิตลงจะต้องเข้าสู่ประตูบานนี้


 


ราชันมังกรไม่สนใจกองทัพอสูรวิญญาณ


 


อสูรวิญญาณแรกกำเนิดเป็นเพียงปัญหาเล็กๆสำหรับราชันมังกรเท่านั้น เว้นเพียงมันจะเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนานเช่นจ้าวเย่ฮุ้ยหรือเหมาหลี่ชิวที่เขาต้องจัดการอย่างจริงจัง


 


“เทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับ ร่างแยกส่วนใหญ่ของเขาตายไปแล้ว  ถึงเวลาเก็บกวาดสนามรบ”


 


ราชันมังกรมีท่าไม้ตายอมตะประตูมังกรที่อนุญาตให้เขาเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์ได้อย่างอิสระ


 


แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาไม่สามารถกักขังเขาเอาไว้


 


แต่ในจังหวะที่ราชันมังกรกำลังจะเคลื่อนไหว แดนศักดิ์สิทธิ์กลับเริ่มสั่นสะเทือน บนท้องฟ้าปรากฏรอยแตกร้าวราวกับกระจกแตก


 


“หือ?” ราชันมังกรขมวดคิ้ว “แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาระเบิดตัวเองงั้นหรือ?”


 


ด้วยวิธีนี้ราชันมังกรจึงไม่มีทางเลือกนอกจากล้มเลิกแผนการก่อนหน้านี้


 


เขาต้องนำประตูแห่งชีวิตและความตายออกไปก่อนที่ลมมรณะจะพัดมา


 


เมื่อลมมรณะพัดมา ประตูแห่งชีวิตและความตายจะไม่ปลอดภัย


 


“กรอ…”


 


กองทัพอสูรวิญญาณคำรามด้วยความหวาดกลัว


 


โลกใบนี้กำลังจะพังทลายลง ฝูงอสูรวิญญาณตระหนักถึงภัยพิบัติที่ใกล้เข้ามา


 


ความโกลาหลปะทุขึ้นทันที


 


ราชันมังกรสังหารอสูรวิญญาณพร้อมกับเดินเข้าไปหาประตูแห่งชีวิตและความตาย


 


ในเวลาเดียวกัน นอกแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา


 


“เราทนไม่ไหวแล้ว!” กายาแห่งความฝันจำนวนมากบินออกจากอาณาจักรแห่งความฝัน


 


กายาแห่งความฝันเหล่านี้ไม่ใช่ร่างที่สมบูรณ์ที่สุด พวกมันมีข้อบกพร่อง


 


แม้พวกมันจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งความฝัน แต่พวกมันก็ไม่สามารถอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันได้ตลอดไป


 


เมื่อถึงขีดจำกัด พวกมันก็ต้องออกมา


 


แต่เมื่อผู้อมตะภาคใต้กำลังจะสังหารพวกมัน ค่ายกลวิญญาณกลับเคลื่อนย้ายพวกเขาออกไป


 


กายาแห่งความฝันเหล่านี้บรรจุดวงวิญญาณแยกของราชันภูเขาม่วงเอาไว้


 


ในแง่ของอัตลักษณ์ พวกมันถือเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามราชันภูเขาม่วงได้มอบวิญญาณให้กับกายาแห่งความฝันเหล่านี้ ดังนั้นพวกมันจึงมีพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา


 


ความคิดและรากฐานของพวกมันแตกต่างจากราชันภูเขาม่วง พวกมันถือเป็นอีกตัวตนหนึ่ง


 


“ขอแสดงความยินดีกับผู้นำคนใหม่ของนิกายเงา!” กายาแห่งความฝันแสดงความเคารพต่อฟางหยวน ราชันภูเขาม่วงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้แล้ว


 


ไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง อิงอู๋เซี่ย เทพธิดาเมี่ยวหยิน นางเสือดำ และคนอื่นๆออกมาจากมิติช่องว่างของกายาแห่งความฝัน


 


เมื่อเผชิญหน้ากับฟางหยวน คนเหล่านี้ต่างแสดงออกด้วยความสนใจ


 


“เมี่ยวหยินคารวะท่านผู้นำ” เทพธิดาเมี่ยวหยินเป็นคนแรกที่เปิดปากกล่าว


 


นางและเฉียวซื่อหลิวเป็นหนึ่งในสามเทพธิดาที่งดงามที่สุดของภาคใต้ เสียงของนางไพเราะ ร่างกายของนางเย้ายวนใจ ขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์


 


“ท่านผู้นำ!” นางเสือดำทักทาย


 


การแสดงของนางค่อนข้างแข็งทื่อ เมื่อไม่นานมานี้นางยังต่อสู้และต้องการฆ่าฟางหยวน แต่ตอนนี้โชคชะตากลับดำเนินไปอย่างลึกลับ ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำของนางในเวลาอันสั้น นางยังไม่สามารถยอมรับได้อย่างสมบูรณ์


 


ไห่ลั่วหลันกัดฟันก่อนจะถอนหายใจ “ไห่ลั่วหลันคารวะผู้นำนิกาย”


 


นางเคยร่วมงานกับฟางหยวนก่อนจะกลายเป็นศัตรู นางยังใช้ป้าของนางดักจับฟางหยวน แต่หลังจากเหตุการณ์บนภูเขาอี้เทียน นางถูกบังคับให้เข้าร่วมกับนิกายเงา


 


ดังนั้นตอนนี้ไห่ลั่วหลันจึงต้องก้มศีรษะลง


 


“ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้เราจะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง” ไป่หนิงปิงยืนกอดอกและถอนหายใจ


 


ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฟางหยวนยิ่งยาวนานกว่า


 


จากภูเขาชิงเหมา พวกเขาเดินทางมาด้วยกัน พวกเขากลายเป็นศัตรูก่อนจะต้องร่วมมือกันอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่ลึกลับอย่างแท้จริง


 


สำหรับอิงอู๋เซี่ย เขายังติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


ฟางหยวนกวาดตามองผู้อมตะเหล่านี้


 


กายาแห่งความฝันมีอายุขัยจำกัด เมื่อถึงเวลา พวกมันจะระเบิดตัวเอง ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าใด อายุขัยของพวกมันก็ยิ่งสั้นเท่านั้น


 


ดังนั้นกายาแห่งความฝันจึงเป็นได้เพียงเหยื่อล่อ


 


ท่ามกลางสมาชิกของนิกายเงา คนที่สำคัญมีเพียงอิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง เทพธิดาเมี่ยวหยิน และนางเสือดำ


 


นอกจากนี้ยังมีผมที่หกสายลับของนิกายเงาที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


ในบรรดาคนทั้งหก ไห่ลั่วหลันเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับฟางหยวนเพราะข้อตกลงพันธมิตรทำให้นางไม่สามารถทรยศเขา


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินและนางเสือดำเป็นสมาชิกของนิกายเงาเนื่องจากมรดกที่แท้จริงของราชันภูเขาม่วง หลังจากรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของราชันภูเขาม่วง ฟางหยวนจึงเข้าใจหญิงทั้งสองเป็นอย่างดี


 


อิงอู๋เซี่ยและผมที่หกเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ เมื่อฟางหยวนกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของนิกายเงา พวกเขาจึงต้องยอมรับเขา ส่วนพวกเขาจะทำตามคำสั่งของฟางหยวนหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับทักษะการเป็นผู้นำของฟางหยวน


 


ไป่หนิงปิงเป็นคนที่ควบคุมได้ยากที่สุด


 


นางทำข้อตกลงกับนิกายเงาโดยมีสถานะที่เท่าเทียม แม้ราชันภูเขาม่วงจะยังอยู่ ไป่หนิงปิงก็ไม่เกรงกลัวโดยไม่ต้องกล่าวถึงฟางหยวนที่พึ่งกลายเป็นผู้นำของนิกายเงา


 


ในเวลานี้ความคิดมากมายพุ่งเข้าสู่จิตใจของฟางหยวน


 


ต่อมาเขาก็เปิดปากกล่าว “ไห่ลั่วหลัน ดูแลค่ายกลวิญญาณแทนข้า ข้าต้องปลุกอิงอู๋เซี่ย”


 


เขาควบคุมค่ายกลวิญญาณเพื่อต่อต้านเทพธิดาจื่อเว่ย มันยากสำหรับเขาที่จะแบ่งสมาธิเพื่อใช้ท่าไม้ตายอมตะที่ซับซ้อน


 


เหตุผลที่เขาเลือกไห่ลั่วหลันเพราะนางเป็นคนที่เชื่อถือได้มากที่สุด


 


ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน!


 


ฟางหยวนประสบความสำเร็จในการช่วยอิงอู๋เซี่ยและทำให้เขาสามารถหลบหนีจากอาณาจักรแห่งความฝัน


 


อย่างไรก็ตามแม้อิงอู๋เซี่ยจะตื่นขึ้นแต่เขาก็อยู่ในสภาพที่ไม่ปกติ


 


เขาสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง เขานอนอยู่บนพื้นราวกับดวงวิญญาณหลุดออกจากร่าง


 


อาจกล่าวได้ว่าจิตใจของเขาถูกทำลายอย่างสมบูรณ์


 


เทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับกุม ราชันภูเขาม่วงเสียชีวิต ความหวังและความฝันของอิงอู๋เซี่ยถูกทำลาย


 


เขารู้สึกเหมือนไร้อนาคต มันมืดมนและไม่มีความหวัง


 


ตั้งแต่ชีวิตของเขาเริ่มขึ้น เป้าหมายในการช่วยร่างหลักกระตุ้นและผลักดันเขาให้ก้าวไปข้างหน้าเสมอ แต่ตอนนี้เป้าหมายนี้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ อิงอู๋เซี่ยจึงสูญเสียแรงผลักดันทั้งหมด


 


‘แม้อิงอู๋เซี่ยจะเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ แต่เขายังเด็กเกินไป เขามีชีวิตไม่นานเท่าราชันภูเขาม่วง’


 


ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้และเริ่มกระตุ้น “มรดกที่ราชันภูเขาม่วงทิ้งไว้ในมิติช่องว่างของเจ้าอยู่ที่ใด? นำมาให้ข้า”


 


แม้อิงอู๋เซี่ยจะรู้สึกหดหู่แต่เขายังรับรู้ถึงตัวตนของฟางหยวน ดังนั้นเขาจึงนำเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงออกมาพร้อมกับวิญญาณอมตะและพลังงานอมตะระดับแปด


 


“ราชันภูเขาม่วง?” ฟาหงยวนก้าวถอยหลัง


 


แม้มันจะเป็นเพียงเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงแต่ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะรวมถึงพลังงานอมตะ มันยังเป็นภัยคุกคามต่อฟางหยวน


 


ดวงแสงสีม่วงค่อยๆก่อรูปร่างเป็นราชันภูเขาม่วงขณะที่วิญญาณอมตะและพลังงานอมตะลอยเข้าไปหาฟางหยวนตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้


 


ฟางหยวนปรับแต่งพวกมันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาจึงสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


แม้ราชันภูเขาม่วงกล่าวว่าจะมอบมรดกให้ฟางหยวน แต่เขาไม่สามารถส่งมรดกเหล่านี้เข้าสู่มิติช่องว่างของฟางหยวนได้โดยตรง ดังนั้นมันจึงถูกฝากไว้กับอิงอู๋เซี่ย


 


แน่นอนว่าราชันภูเขาม่วงไม่ได้ร้องขอสิ่งใดจากฟางหยวน แต่ความตั้งใจของเขาชัดเจนมาก


 


ราชันภูเขาม่วงต้องการให้ฟางหยวนช่วยชีวิตคนเหล่านี้


 


และแน่นอนว่าแม้ฟางหยวนจะปฏิเสธ เขาก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ


 


‘ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้!’ ฟางหยวนถอนหายใจ


 


แผนเดิมของเขาคือการกำจัดนิกายเงา หากเขาโชคดีเขาอาจสามารถจับกุมเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


แน่นอนว่าเขาหวังสูงเกินไปมาก


 


เขารู้ว่ามันเป็นเรื่งอยากที่จะจับเทพปีศาจจิตวิญญาณ แม้เขาจะทำสำเร็จ การค้นวิญญาณก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบาก



 

 

 


บทที่ 1374 บินจากไป

 

เทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นผู้อมตะระดับเก้าที่สร้างเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ


 


แล้วตัวตนเช่นนี้จะถูกค้นวิญญาณโดยง่ายได้อย่างไร


 


เทพปีศาจปล้นสวรรค์บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติ เขาสามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะผนึกศักดิ์สิทธิ์และผนึกภูตผีที่สามารถใช้งานได้อย่างถาวรและไม่พึ่งพาพลังงานอมตะ


 


แม้เทพปีศาจจิตวิญญาณจะไม่มีพลังงานอมตะและวิญญาณอมตะ เขาก็ไม่ควรถูกมองข้าม


 


ราชันภูเขาม่วงมอบมรดกทั้งหมดของเขาให้ฟางหยวน นี่เป็นกำไรที่เหนือกว่าความคาดหมายของเขาไปไกลมาก


 


‘ราชันภูเขาม่วงต้องการช่วยคนเหล่านี้แม้เขาจะไม่ได้กล่าวออกมา เขาอาจกลัวว่าข้าจะสงสัยและไม่ยอมรับของขวัญจากเขา?’


 


‘เขาทุ่มสุดตัวเพื่อสิ่งนี้’


 


‘หากข้าสามารถใช้ประโยชน์จากคนเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ พวกเขาจะช่วยข้าได้มาก พวกเขาไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว พวกเขาต้องยอมรับข้าเท่านั้น’


 


‘เช่นนั้นข้าก็จะพาพวกเจ้าไปด้วย’


 


ฟางหยวนไม่เคยเป็นคนใจแคบ


 


เขาเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมายังโลกใบนี้ และหลังจากผ่านประสบการณ์มากมาย เขายิ่งใจกว้างมากขึ้น


 


ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน และนางเสือดำเคยทรยศเขา


 


แต่แล้วอย่างไร?


 


ฟางหยวนเข้าใจการกระทำของพวกนางอย่างสมบูรณ์


 


เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวเพียงเสี้ยวพริบตา


 


เขาเก็บเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงเอาไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


โดยปราศจากวิญญาณอมตะและพลังงานอมตะ ระดับภัยคุกคามจากเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงแทบเป็นศูนย์


 


ในอนาคตเว้นเพียงเขาจะไม่มีทางเลือก ฟางหยวนจะไม่มอบวิญญาณอมตะและพลังงานอมตะให้กับเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงอย่างแน่นอน


 


สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ฟางหยวนไม่มีเวลาตรวจสอบกำไรของเขา


 


เขาเริ่มสื่อสารกับเจตจำนงของราชันภูเขาม่วง


 


เขาถามเกี่ยวกับวิธีควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดที่ราชันภูเขาม่วงเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้


 


เกราะหวนคืนมีความเสี่ยงสูง อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นตัวเลือกแรกของเขา


 


ข้อดีของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดคือความเร็วและความสามารถในการทะลวงมิติของมัน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่มีร่างกายแข็งแกร่งมาก


 


แต่เงื่อนไขแรกของฟางหยวนก็คือการควบคุมมัน


 


แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณอมตะขีดจำกัดชื่อเสียง แต่มันยังไม่ใช่ของเขา เขายืมมันมาจากตระกูลวู นอกจากนั้นมันยังเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับเจ็ด มันอาจไม่เพียงพอที่จะควบคุมสัตว์อสูรระดับแปด


 


ในไม่ช้าฟางหยวนก็เรียนรู้วิธีการของราชันภูเขาม่วง


 


สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือเขารู้วิธีการนี้เช่นกัน


 


นี่เป็นวิธีบนเส้นทางแห่งทาสและเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มันเรียกว่า ทาสแปดสิบต่อร้อย


 


ผู้ที่คิดค้นวิธี้นี้เป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออก เขาเกิดมาเป็นทาส เขาใช้ทุกโอกาสที่ได้รับปีนป่านขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต


 


เขาเป็นอัจฉริยะบนเส้นทางแห่งทาส


 


ปกติแล้ววิธีบนเส้นทางแห่งทาสจะใช้สถานะที่สูงกว่าปกครองสถานะที่ต่ำกว่า แต่เขากลับทำสิ่งตรงข้าม เขาใช้สัตว์อสูรที่มีสถานะต่ำกว่าปกครองสัตว์อสูรที่มีสถานะสูงกว่า


 


กองกำลังพันธมิตรผีดิบของทะเลตะวันออกครอบครองมรดกนี้เอาไว้ขณะที่เนื้อหาบางส่วนถูกขายให้สมาชิกของพวกเขา


 


ฉลามปีศาจเคยซื้อส่วนหนึ่งของมรดกนี้และใช้มันควบคุมฉลามนิ้วกาลเวลา


 


โชคไม่ดีที่เขาถูกกำหราบโดยนางมารผลาญสวรรค์และสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็ถูกบูชายัญเพื่อหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ


 


รากฐานของนิกายเงาลึกมาก ราชันภูเขาม่วงเป็นร่างแยกรุ่นแรกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ แน่นอนว่าราชันภูเขาม่วงไม่ได้มีเพียงวิธีเดียวที่สามารถกดขี่สัตว์อสูรแรกกำเนิด แต่สิ่งที่ราชันภูเขาม่วงมอบให้ฟางหยวนในเวลานี้คือวิธีนี้


 


‘ท่าไม้ตายอมตะนี้เรียกว่าทาสแปดสิบต่อร้อย’


 


‘ท่าไม้ตายนี้ไม่ยาก ข้ามีวิญญาณอมตะที่จำเป็นทั้งหมด วิญญาณระดับมนุษย์สามารถซื้อได้จากสวรรค์สีเหลือง ดูหมือน…นิกายเงาจะพัฒนาท่าไม้ตายนี้ขึ้นไปอีกขั้นแล้ว’


 


‘สิ่งที่ข้าขาดตอนนี้คือสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลประเภทนกอินทรีย์’


 


ความคิดของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดก็กำลังเติบโตขึ้น


 


ฟางหยวนเริ่มซื้อสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลประเภทนกอินทรีย์จากสวรรค์สีเหลือง


 


ตลาดสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลในสวรรค์สีเหลืองใหญ่มาก


 


แต่นกอินทรีย์ค่อนข้างหายาก


 


ในเวลาเร่งด่วน ฟางหยวนไม่มีทางเลือกมากนัก เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจ


 


เขาประกาศในสวรรค์สีเหลืองว่าเขาต้องการซื้อสัตว์อสูรประเภทนกอินทรีย์ในราคาสูงและยังสามารถแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะ


 


สิ่งนี้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที


 


ใช้วิญญาณอมตะซื้อสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาล!?


 


วิญญาณอมตะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและหายากขณะที่สัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลง่ายที่จะเพาะเลี้ยงและฝึกฝน


 


เห็นได้ชัดว่าเขาขาดทุน


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่สนใจมัน


 


ในไม่ช้าเขาก็ได้รับความสนใจจากผู้อมตะจำนวนมาก


 


“ข้ามีสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลที่มีสายเลือดผสมของอินทรีย์สวรรค์ ท่านมีวิญญาณอมตะชนิดใด?” ผู้อมตะคนแรกถาม


 


อินทรีย์สวรรค์เลือดผสมไม่ใช่อินทรีย์ธรรมดา มันมีศีรษะเป็นอินทรีย์แต่มีร่างกายเป็นมนุษย์ มันมีกรงเล็บอันแหลมคมและมีเท้าเป็นเท้าอินทรีย์ แน่นอนว่ามันมีปีก


 


‘อินทรีย์สวรรค์เลือดผสมอาจมีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด แต่มันก็เป็นอินทรีย์จริงๆ ข้าสามารถใช้งานมันได้’ ฟางหยวนคิดก่อนถาม “ท่านมีอยู่เท่าใด?”


 


“ข้ามีอินทรีย์สวรรค์เลือดผสมระดับสัตว์อสูรเดียวดายสามสิบสามตัวและมีระดับสัตว์อสูรบรรพกาลเจ็ดตัว” ผู้อมตะคนเดิมตอบกลับ


 


ฟางหยวนพยักหน้าและกล่าวโดยไม่ลังเล “ข้าจะซื้อพวกมันด้วยวิญญาณอมตะระดับหก”


 


“เพียงวิญญาณอมตะระดับหก? นี่เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลเจ็ดตัว!” ผู้อมตะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


 


ฟางหยวนตะโกน “หากไม่ขายก็หลีกทาง!”


 


ทัศนคติของผู้อมตะผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที “โอ้ อย่าพึ่งโกรธ ข้าจะขาย ข้าจะขายพวกมัน! ข้าจะไม่ขายได้อย่างไร?”


 


ธุรกรรมเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วและยิ่งสร้างความโกลาหลมากขึ้น


 


“เขาใช้วิญญาณอมตะซื้อสัตว์อสูรจริงๆ? นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”


 


“มีบางสิ่งผิดปกติกับสมองของเขา! อินทรีย์สวรรค์เลือดผสมเหล่านั้นยังไม่เพียงพอสำหรับความพยายามสิบครั้งในการหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับหก”


 


การหลอมรวมวิญญาณอมตะยากเกินไป มันมีโอกาสสำเร็จต่ำมาก


 


สิบครั้งอาจดูมาก แต่ในความเป็นจริง ผู้อมตะต้องใช้ความพยายามมากว่าห้าสิบหรือหกสิบครั้งเพื่อหลอมรวมวิญาณอมตะ


 


“มันไม่ใช่การหลอกลวง? คนผู้นี้กำลังมีปัญหาบางอย่าง?” ผู้อมตะบางคนสงสัย


 


“นี่คือสวรรค์สีเหลือง ผู้ใดจะสามารถหลอกลวง? แสงสมบัติเป็นของจริง”


 


“ถึงคราวของข้าแล้ว ข้ามีอินทรีย์สีรุ้งมากกว่าร้อยตัว” คนต่อไปเริ่มเจรจา


 


อินทรีย์สีรุ้งมีขนาดค่อนข้างเล็กและเป็นเพียงสัตว์อสูรเดียวดาย ไม่เคยมีอินทรีย์สีรุ้งระดับสัตว์อสูรบรรพกาลปรากฏขึ้นมาก่อน


 


อินทรีย์สีรุ้งไม่แข็งแกร่ง พวกมันชอบไล่ตามสายรุ้ง สิ่งเดียวที่พวกมันมีคือความเร็วที่โดดเด่น


 


“เอาล่ะ วิญญาณอมตะระดับหกดวงนี้จะเป็นของเจ้า” ฟางหยวนพร้อมซื้อ


 


ผู้ขายถาม “เราสามารถเปลี่ยนเป็นวิญญาณอมตะดวงอื่นหรือไม่? ข้าใช้ความพยายามนานกว่าร้อยปีเพื่อเลี้ยงดูพวกมัน”


 


ทัศนคติของฟางหยวนยังมั่นคง “หากไม่แลกเปลี่ยนก็ไปซะ!”


 


“ไม่ ไม่ ไม่”


 


“จะแลกเปลี่ยนหรือไม่?”


 


“แลก แลก แลก!”


 


ฟางหยวนพยักหน้าและถอนหายใจ “หากข้าไม่ต้องการนกอินทรีย์อย่างเร่งด่วน พวกเจ้าจะได้รับผลประโยชน์เหล่านี้งั้นหรือ? เร็วเข้า นำวิญญาณอมตะไปและส่งสินค้ามา เวลาของข้ามีค่ามาก”


 


จากนั้นผู้อมตะทั้งหมดจึงเริ่มเรียกฟางหยวนว่าผู้อาวุโส


 


ความโกลาหลในสวรรค์สีเหลืองดึงดูดความสนใจของผู้อมตะทั้งห้าภูมิภาค


 


แน่นอนว่าท่ามกลางพวกเขามีวังสวรรค์และถ้ำสวรรค์นิรันดรรวมอยู่ด้วย


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถหยุดฟางหยวน


 


สวรรค์สีเหลืองรักษาความเป็นกลางเสมอ ไม่มีผู้ใดรู้ตำแหน่งที่ตั้งของมัน และไม่มีผู้ใดมีอิทธิพลเหนือมัน


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ ฟางหยวนสามารถรวบรวมสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลประเภทนกอินทรีย์ได้เป็นจำนวนมาก


 


แต่เขาก็ต้องจ่ายด้วยวิญญาณอมตะระดับหกสามดวงและวิญญาณอมตะระดับเจ็ดอีกหนึ่งดวง


 


นอกจากนั้นเขายังสามารถรวบรวมวิญญาณระดับมนุษย์ที่จำเป็นทั้งหมด


 


ฟางหยวนเริ่มกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย


 


แม้เขาจะไม่สามารถเสียเวลาแม้แต่วินาทีในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่เขายังระมัดระวังมากในความพยายามครั้งแรก


 


“พรวด!”


 


เขากระอักเลือดออกมาและล้มเหลว


 


บุรุษคนก่อนหน้า!


 


ฟางหยวนฟื้นตัวขึ้นทันที


 


เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยอีกครั้ง


 


ล้มเหลว!


 


หลังจากล้มเหลวสามครั้ง เขาก็ประสบความสำเร็จในครั้งที่สี่


 


แสงสว่างขึ้นบนร่างของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


มันเงยหน้ากรีดร้องก่อนจะก้มศีรษะยอมจำนนต่อฟางหยวน


 


“สำเร็จ!” ฟางหยวนยังไม่ได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความสุขขณะที่ไห่ลั่วหลันส่งเสียงมา “เร็วๆนี้ข้าจะสูญเสียการควบคุมค่ายกลวิญญาณ!”


 


ฟางหยวนกัดหันแน่น เขาปล่อยอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมาทันที


 


“อย่าคิดว่าสามารถหลบหนี!” เสียงที่แฝงความผิดหวังของเทพธิดาจื่อเว่ยดังขึ้น


 


ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของนิกายเงาภายใต้จมูกของนางและยังพยายามหลบหนีโดยไม่แยแสการคงอยู่ของนางแม้แต่น้อย


 


แต่ในจังหวะนี้ฟางหยวนกลับนำเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงออกมาพร้อมกับวิญญาณอมตะและพลังงานอมตะ


 


“ฟางหยวน จำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าให้ดี รีบไป” เจตจำนงของราชันภูเขาม่วงกล่าวก่อนจะส่งท่าไม้ตายอมตะพุ่งไปยังค่ายกลวิญญาณ


 


ในเวลาต่อมาอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดก็นำฟางหยวนและคนอื่นๆทะลวงห้วงมิติออกไปจากค่ายกลวิญญาณ


 


ด้วยการกระพือปีกเพียงครั้งเดียว มันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


ด้วยการกระพือปีกครั้งที่สอง มันกลายเป็นจุดเล็กๆที่ขอบฟ้าและหายไปจากมุมมองสายตาของทุกคน



 

 

 


บทที่ 1375 การต่อสู้สิ้นสุด

 

“สัตว์อสูรแรกกำเนิดอีกตัว!”


 


“มีคนออกจากสนามรบ!”


 


“ดูเหมือนมันจะมาจากทิศทางของค่ายกลวิญญาณ”


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดนำฟางหยวน อิงอู๋เซี่ย และคนอื่นๆออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับกลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ


 


ในความเป็นจริงเมื่อกลุ่มของอิงอู๋เซี่ยถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ หลายคนก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ


 


“ผู้อมตะที่อยู่บนแผ่นหลังของนกอินทรีย์ตัวนั้นคือกลุ่มที่โจมตีพวกเรา!”


 


“วูอี้ไห่กำลังทำสิ่งใด?”


 


“เร็วเข้า ให้เราเข้าไป!”


 


กลุ่มผู้อมตะภาคใต้เริ่มประท้วง


 


อย่างไรก็ตามไม่มีการตอบสนองจากวูอี้ไห่


 


หลังจากทั้งหมดฟางหยวนเปลี่ยนรูปลักษณ์และหลบหนีไปแล้ว


 


“จื่อกุ้ย ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ” เฒ่าพฤกษาปาเต๋อเดินเข้าไปหาจื่อกุ้ย


 


ไม่สำคัญว่าผู้อมตะคนอื่นๆจะติดต่อวูอี้ไห่ไม่ได้


 


สิ่งสำคัญคือตระกูลวู ตระกูลเฉียว โดยเฉพาะเทพธิดาเฉียวซื่อหลิวก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากวูอี้ไห่ ชัดเจนว่าเขามีปัญหา


 


วูอี้ไห่ควบคุมค่ายกลวิญญาณทั้งหมด หากเขาผิดพลาด มันจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรง


 


จื่อกุ้ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขารู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้


 


ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูจื่อ จื่อชิวหยู แม้จื่อกุ้ยจะไม่สามารถควบคุมค่ายกลวิญญาณ แต่เขายังสามารถตรวจอสบสถานะของมัน


 


มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น


 


หลังการตรวจสอบ การแสดงออกของจื่อกุ้ยเปลี่ยนไปทันที


 


ปาเต๋าสังเกตเห็นความหวาดกลัวของจื่อกุ้ยและเร่งถาม “เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


“วูอี้ไห่หายตัวไป ค่ายกลวิญญาณถูกควบคุมโดยสองกองกำลัง พวกเขากำลังต่อสู้กัน หนึ่งเป็นผู้อมตะภาคกลาง อีกหนึ่งเป็นผู้อมตะภาคเหนือ จากกลิ่นอายของทั้งสอง พวกเขาต่างเป็นผู้อมตะระดับแปด!” จื่อกุ้ยกล่าวอย่างยากลำบาก


 


ปาเต๋อตะลึง


 


เรื่องนี้ร้ายแรงเกินไป


 


เขาสูดหายใจลึกสองสามครั้งขณะที่เหงื่ออันเย็นเยียบปกคลุมอยู่บนหน้าผากของเขา


 


อันตรายเกินไป!


 


สถานการณ์นี้อันตรายเกินไป


 


‘วูอี้ไห่หายตัวไปอย่างลึกลับ เขาน่าจะถูกฆ่าไปล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้อมตะระดับแปดคนใดที่แทรกซึมเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ พวกเขาก็สามารถสังหารวูอี้ไห่ที่เป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด!’


 


ปาเต๋อเริ่มอนุมาน


 


ตอนนี้เขายังคิดไม่ถึงว่าฟางหยวนเป็นคนทรยศ


 


นี่เป็นผลมาจากการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของฟางหยวนเช่นการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาก่อนหน้านี้


 


สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าวูอี้ไหจะร่วมมือกับนิกายเงา


 


เพราะเหตุใด?


 


เพราะไม่นานมานี้หลังจากปาฉวนฟงหักหลังผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ ค่ายกลวิญญาณไม่สามารถใช้งาน ในช่วงเวลาสำคัญ ฟางหยวนได้ช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้โดยการกระตุ้นใช้งานแนวป้องกันที่สามของค่ายกลวิญญาณ


 


เรื่องนี้ทิ้งความประทับใจไว้ในหัวใจของผู้อมตะภาคใต้


 


หากคนผู้นี้เป็นสายลับของนิกายเงา เขาจะขัดขวางแผนการของนิกายเงาในช่วงเวลาสำคัญได้อย่างไร?


 


‘คิดไปแล้วเป็นความโชคดีที่ปาฉวนฟงหักหลังพวกเรา หากข้าเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณ เวลานี้ข้าอาจมีจุดจบเดียวกับวูอี้ไห่ ข้าควรขอบคุณวูอี้ไห่ที่ตายแทนข้า’ จื่อกุ้ยลอบถอนหายใจอยู่ภายใน


 


ไม่ว่าวูอี้ไห่จะตายหรือไม่ ป่าเต๋าก็ต้องยอมรับในไม่ช้า


 


เขาไม่ใส่ใจความตายของวูอี้ไห่และยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก


 


แต่ปาเต๋อไม่สามารถหัวเราะออกมา


 


‘ค่ายกลวิญญาณไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพวกเราแล้ว นิกายเงาล่าถอย แต่วังสวรรค์ยังอยู่ที่นี่ พวกเขาต้องการสิ่งใด?’ ปาเต๋อไตร่ตรองปัญหาร้ายแรงนี้


 


ก่อนหน้านี้วังสวรรค์และผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ยืนหยัดร่วมมือกันต่อต้านนิกายเงา


 


แต่ตอนนี้นิกายเงาจากไปแล้ว ขณะที่เทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับกุม


 


วังสวรรค์จะทำสิ่งใดต่อไป?


 


ปาเต๋อไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้


 


เพราะไม่นานมานี้วังสวรรค์ได้จัดตั้งกลุ่มลับบุกภาคเหนือและทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ แม้สุดท้ายพวกเขาจะต้องล่าถอยด้วยความพ่ายแพ้ก็ตาม


 


สถานการณ์ปัจจุบันคล้ายกันมาก


 


วังสวรรค์จัดกลุ่มบุกภาคใต้ มันไม่ง่ายที่จะบอกจุดยืนของพวกเขา


 


แม้ทั้งสองกองกำลังจะเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะเช่นเดียวกัน แต่ปาเต๋อผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงของฝ่ายธรรมะมาอย่างยาวนาน เขารู้บางสิ่ง


 


การเมืองไม่เคยให้ความสำคัญกับศีลธรรม แต่มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์


 


พวกเขาจะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองได้อย่างไร?


 


คำตอบคือความแข็งแกร่ง!


 


หากค่ายกลวิญญาณยังอยู่ในการควบคุมของพวกเขา กองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้จะมีความมั่นใจในการเจรจากับวังสวรรค์


 


แต่ตอนนี้วูอี้ไห่หายตัวไปขณะที่ค่ายกลวิญญาณถูกผู้อื่นยึดครอง


 


ยิ่งปาเต๋อคิดมากเท่าใด การแสดงออกของเขาก็ยิ่งไม่น่ามองมากเท่านั้น


 


แต่เขาไม่เสียเวลาคิดมากเกินไป


 


เขาอ้าปากและตัดสินใจอย่างยากลำบาก “ถอย”


 


“ถอย? เราจะละทิ้งค่ายกลวิญญาณงั้นหรือ? วิญญาณอมตะของเราอยู่ที่นี่” จื่อกุ้ยชี้นิ้วไปยังอาณาจักรแห่งความฝัน “ดูอาณาจักรแห่งความฝันเหล่านี้ วังสวรรค์อาจมีวิธีรวบรวมพวกมัน หากเราล่าถอย วิญญาณอมตะและอาณาจักรแห่งความฝันทั้งหมดอาจถูกฉกชิงไป แล้วผู้ใดจะรับผิดชอบเรื่องนี้?”


 


ปาเต๋อมองจื่อกุ้ยอย่างเย็นชา “หากเจ้าต้องการอยู่ก็อยู่ หากไม่ก็หนีไป”


 


เขาทิ้งประโยคนี้ไว้และนำผู้อมตะคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของตระกูลปาจากไปทันที


 


การแสดงออกของปาเต๋าสร้างความโกลาหลขึ้น


 


ก่อนที่ปาเต๋อจะจากไป เขาแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาแล้ว


 


ตระกูลวูและตระกูลเฉียวพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่โดยเฉพาะการหายตัวไปของวูอี้ไห่


 


ค่ายกลวิญญาณไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพวกเขาอีกต่อไป ดังนั้นผู้อมตะภาคใต้คนอื่นๆจึงเริ่มเลียนแบบปาเต๋อและล่าถอย


 


อย่างไรก็ตามวูเหลียวไม่ได้จากไป


 


วูอี้ไห่เป็นน้องชายของวูหยง ตอนนี้เขาหายตัวไป ในฐานะผู้อมตะตระกูลวู เขาจะล่าถอยได้อย่างไร?


 


“ข้าเชื่อว่าท่านวูอี้ไห่ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี” เฉียวซื่อหลิวคิดก่อนจะจากไปพร้อมกับผู้อมตะตระกูลเฉียว


 


ผู้อมตะภาคใต้ส่วนใหญ่ล่าถอย เหลือเพียงจื่อกุ้ย วูเหลียว และผู้อมตะอีกสองสามคน พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในวังสวรรค์เพราะคนเหล่านั้นเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะเช่นกัน


 


หอคอยดวงตาสวรรค์ยังต่อสู้อยู่กับจ้าวเย่ฮุ้ย


 


จ้าวเย่ฮุ้ยเกลียดชังผู้อมตะของวังสวรรค์มาก มันไม่ใช่เพียงความอยากอาหาร


 


จุดนี้ได้รับการคำนวณมาอย่างแม่นยำโดยราชันภูเขาม่วง


 


“ผู้ใดกล้าขวางทางข้า!” ในที่สุดเทพธิดาจื่อเว่ยก็สามารถทำลายเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงลงอย่างสมบูรณ์


 


ผู้อมตะระดับแปดผู้นี้บรรลุเป้าหมายของนางและเข้าควบคุมค่ายกลวิญญาณ


 


อย่างไรก็ตามนางกลับไม่มีความสุขแม้แต่น้อย


 


ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำนิกายเงาและหลบหนีไปใต้จมูกของนาง


 


เทพธิดาจื่อเว่ยตระหนักถึงความเร็วของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด นางไม่สามารถไล่ล่าศัตรูได้ในเวลานี้


 


อารมณ์ของนางแย่มาก


 


หลังจากควบคุมค่ายกลวิญญาณ นางรีบติดต่อราชันมังกร “ท่านราชันมังกร สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


ทั้งหมดที่นางได้ยินคือเสียงดัง


 


รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นก่อนที่ผู้อมตะระดับแปดจะบินออกมาจากภายใน


 


เขาไม่ใช่ผู้ใดนอกจากราชันมังกร


 


มันเป็นเพียงว่าเขาดูไม่ทรงพลังเหมือนก่อนหน้าขณะที่ใบหน้าของเขามืดมนและบูดบึ้งราวกับเขากำลังอดทนต่อบางสิ่ง


 


หัวใจของเทพธิดาจื่อเว่ยกระตุก นางกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณนำราชันมังกรเข้าไปทันที


 


“ท่านราชันมังกร เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


ราชันมังกรกัดฟันกล่าว “เทพปีศาจจิตวิญญาณยังเป็นเทพปีศาจจิตวิญญาณ เมื่อข้าย้ายประตูแห่งชีวิตและความตายมาไว้ในมิติช่องว่างเทียมของข้า เทพปีศาจจิตวิญญาณพยายามใช้พลังอำนาจของประตูแห่งชีวิตและความตายเพื่อทำลายดวงวิญญาณของข้า เราต้องกลับวังสวรรค์ทันทีและใช้พลังของวังสวรรค์แยกเทพปีศาจจิตวิญญาณออกจากร่างของข้าและกำหราบมัน!”


 


หัวใจของเทพธิดาจื่อเว่ยจมดิ่งลง นางไม่คิดว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงเพียงนี้


 


เทพปีศาจจิตวิญญาณเคยเป็นผู้อมตะระดับเก้า แม้เขาจะถูกจับกุมโดยวังสวรรค์และมีโอกาสเพียงเล็กน้อย แต่เขายังสามารถตอบโต้อย่างรุนแรง


 


“ทราบแล้ว!” เทพธิดาจื่อเว่ยเร่งตอบรับ


 


“แต่เราจะจัดการจ้าวเย่ฮุ้ยและผู้อมตะภาคใต้อย่างไร? ฟางหยวนหลบหนีไปแล้ว” เทพธิดาจื่อเว่ยคิดก่อนถาม


 


ราชันมังกรกล่าวโดยไม่ลังเล “จ้าวเย่ฮุ้ยไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันไม่สามารถติดตามหอคอยดวงตาสวรค์ ลืมกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ไปซะ เทพปีศาจจิตวิญญาณอยู่ในร่างของข้าแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบเราไม่ได้ล้มเหลว เราทั้งคู่อยู่ในค่ายกลวิญญาณของฝ่ายธรรมะ การโจมตีฝ่ายธรรมะไม่เป็นประโยชน์ต่อแผนการใหญ่ของเราในอนาคต สำหรับฟางหยวน…”


 


ขณะกล่าวถึงเรื่องนี้ ราชันมังกรมองไปที่เทพธิดาจื่อเว่ย


 


ความละอายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ข้าพลาด”


 


อย่างไรก็ตามราชันมังกรกลับเผยรอยยิ้ม “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใด”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยตอบ “ท่านราชันมังกรเป็นคนฉลาด โจรชั่วฟางหยวนถูกโจมตีด้วยวิธีการบางอย่างของข้าแล้ว เช่นเดียวกับสมาชิกที่เหลืออยู่ของนิกายเงา”


 


“ดี กำลังเสริมของผู้อมตะภาคใต้กำลังมาจากทุกทิศทาง เราต้องล่าถอยอย่างรวดเร็วที่สุด” ราชันมังกรพยักหน้า


 


ในที่สุดกำลังเสริมของกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ก็มาถึง


 


แต่สิ่งที่พวกเขาพบมีเพียงสนามรบที่พังทลาย


 


อาณาจักรแห่งความฝันกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


 


ค่ายกลวิญญาณหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


เมื่อเทพธิดาจื่อเว่ยสามารถควบคุมมัน นางก็สามารถทำลายมัน วิญญาณอมตะจำนวนมากของภาคใต้ถูกยึดครองโดยวังสวรรค์


 


ราชันมังกรและเทพธิดาจื่อเว่ยเข้าสู่หอคอยดวงตาสวรรค์และบินขึ้นสู่สวรรค์สีขาว


 


จ้าวเย่ฮุ้ยไม่ยินดีปล่อยพวกเขาไป มันพุ่งเข้าสู่สวรรค์สีขาวเช่นกัน


 


ผู้อมตะภาคใต้มารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบร้อยปี


 


วูหยง จื่อชิวหยู และคนอื่นๆมองสนามรบด้วยใบหน้าซีดขาว


 


พวกเขาพบความสูญเสียครั้งใหญ่!



 

 

 


บทที่ 1376 ประเมินกำลังรบ

 

“ฮู ฮู…”


 


เสียงลมดังเข้าหูของฟางหยวนที่นั่งอยู่บนแผ่นหลังของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


แม้ลมจะแรงแต่ฟางหยวนยังมั่นคงเหมือนภูเขา


 


แน่อนนว่าผู้อมตะทุกคนสามารถต้านแรงลมดังกล่าว


 


ด้านข้างเขาคืออิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆ บางคนนั่ง บางคนยืน บางคนมองไปด้านล่าง และบางคนปิดเปลือกตาพักฟื้น


 


ฟางหยวนไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ


 


แม้เขาจะล้มเหลวหลายครั้งในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นด้วยพลังอำนาจของวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า


 


‘ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยช่างอัศจรรย์นัก มันทำให้ข้าสามารถควบคุมสัตว์อสรแรกกำเนิดได้จริงๆ’ ฟางหยวนคิด


 


‘ตามคำอธิบาย ยิ่งข้าใช้สัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลประเภทนกอินทรีย์มากเท่าใด ข้าก็ยิ่งสามารถควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดได้มากเท่านั้น’


 


‘นั่นหมายความว่าข้าควรซื้อนกอินทรีย์ให้มากขึ้นและเลี้ยงดูพวกมันอย่างเหมาะสม’


 


ไม่นานมานี้ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะสี่ดวงเพื่อซื้อสัตว์อสูรประเภทนกอินทรีย์จากสวรรค์สีเหลืองเพราะไม่มีทางเลือก


 


หากมีเวลาเพียงพอ เขาจะไม่ทำธุรกรรมที่โง่เขลาเช่นนี้อย่างแน่นอน


 


ปัจจุบันความสับสนวุ่นวายในสวรรค์สีเหลืองยังไม่จางหายไป หลายคนยังพูดถึงเหตุการณ์นี้และความโง่เขลาของฟางหยวน


 


อาจมีเพียงฟางหยวนเท่านั้นที่รู้ความจริงหรือบางทีวังสวรรค์อาจสามารถคาดเดาบางอย่างได้เช่นกัน


 


ฟางหยวนตรวจสอบมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


ฝูงอินทรีย์เดียวดายและอินทรีย์บรรพกาลกำลังบินอยู่ในสวรรค์ทั้งเก้า


 


นอกจากนี้ยังมีรังอินทรีย์อยู่ในสวรรค์สีม่วงน้อย ฟางหยวนได้รับรังอินทรีย์เหล่านี้มาจากเผ่าไห่


 


มีลูกอินทรีย์เติบโตอยู่ที่นี่


 


ด้วยวิธีการเลี้ยงดูของเผ่าไห่ ลูกอินทรีย์เหล่านี้จะเติบโตขึ้นเป็นอินทรีย์เดียวดายหรือกระทั่งอินทรีย์บรรพกาลในอนาคต


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนได้ใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อชะลอเวลาในมิติช่องว่างจักรพรรดิ สิ่งนี้ทำให้ลูกอินทรีย์เหล่านี้เติบโตขึ้นค่อนข้างช้า


 


‘ในช่วงเวลานี้ข้าควรซื้ออินทรีย์จากภายนอก’


 


‘ยิ่งมีมากเท่าใด การควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น ตอนนี้ข้ามีนกอินทรีย์มากกว่าสี่ร้อยตัว แต่ข้าแทบไม่สามารถควบคุมมัน ข้าสามารถสั่งให้มันบินไปเท่านั้น’


 


‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากต้องต่อสู้กับศัตรูที่อ่อนแอ แต่มันจะไม่เชื่อฟังข้าหากข้าสั่งให้มันต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นจ้าวเย่ฮุ้ย’


 


ตอนนี้พวกเขาหนีออกจากสนามรบแล้ว ฟางหยวนจึงมีเวลาคิดอย่างใจเย็น


 


นอกจากการซื้อนกอินทรีย์ ฟางหยวนยังต้องพิจารณาเกี่ยวกับอาหารและความเป็นอยู่ของพวกมันอีกด้วย


 


ในการเลี้ยงอินทรีย์เหล่านี้ ฟางหยวนจำเป็นต้องเข้าใจรูปแบบการดำรงชีวิตของพวกมัน นี่หมายความว่าเขาต้องสร้างห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์และต้องมีขนาดใหญ่มากพอ


 


‘โชคดีที่มิติช่องว่างของข้าใหญ่โตมาก มันมากพอสำหรับอินทรีย์เหล่านี้ ข้ายังสามารถสร้างระบบนิเวศพิเศษสำหรับพวกมันโดยเฉพาะ’


 


‘ตอนนี้ข้าค่อนข้างมั่งคั่ง ด้วยหินวิญญาณอมตะกว่าแสนก้อน การซื้อและเลี้ยงอินทรีย์เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย สิ่งสำคัญอีกประการที่ข้าต้องทำคือพัฒนาเกราะหวนคืน!’


 


ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำของนิกายเงา


 


สิ่งนี้เกินความคาดหวังของเขาอย่างมาก


 


นิกายเงาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับกุม ตอนนี้ฟางหยวนเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของวังสวรรค์


 


แม้ฟางหยวนจะไม่รับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของนิกายเงา วังสวรรค์ก็ยังจะไล่ล่าและสังหารเขา


 


ฟางหยวนเป็นปีศาจต่างโลกโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าอย่างไรวังสวรรค์ก็ต้องกำจัดเขา


 


ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงต้องยอมรับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของนิกายเงาเพื่อผลประโยชน์


 


‘รอจนกว่าข้าจะสามารถควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์และเกราะหวนคืนได้รับการพัฒนาแล้ว จากนั้นข้าจะสามารถป้องกันตนเองจากวังสวรรค์’


 


ขณะที่ฟางหยวนคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็คิดไปถึงหอคอยดวงตาสวรรค์และผู้อมตะกึ่งระดับเก้าราชันมังกร


 


นี่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างช่วยไม่ได้


 


‘ข้ายังอ่อนแออยู่มาก! แม้ข้าจะมีเกราะหวนคืน แต่ข้าก็ทำได้เพียงยืนอยู่ต่อหน้าผู้อมตะระดับแปดและป้องกันการโจมตีของพวกเขาเท่านั้น แต่หากพวกเขาโจมตีอย่างไม่รู้จบ แม่น้ำหวนคืนจะแห้งเหือดไปในที่สุด’


 


‘แม้ข้าจะมีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด แต่สติปัญญาของมันก็ไม่เพียงพอและไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะด้วยตัวของมันเอง ยิ่งไปกว่านั้นมีโอกาสที่ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยจะถูกทำลาย’


 


‘เห้อ…ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันยังไม่พอให้ข้าต่อต้านวังสวรรค์’


 


‘ข้าต้องกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว มีเพียงการก้าวเข้าสู่ระดับแปดจึงจะทำให้ข้าสามารถหายใจได้เล็กน้อย การบ่มเพาะระดับเจ็ดต่ำเกินไป แต่หากข้าก้าวเข้าสู่ระดับแปด ข้อบกพร่องของร่างทารกอมตะจะแสดงออกมามากขึ้น มันยากที่จะแก้ไข’


 


ฟางหยวนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


‘มันยากสำหรับข้าที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งภายใต้สถานการณ์นี้ ข้าจะพึ่งพาพวกเขาได้หรือไม่?’ สายตาของฟางหยวนกวาดมองไปรอบๆ


 


อิงอู๋เซี่ย ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน นางเสือดำ เทพธิดาเมี่ยวหยิน และกายาแห่งความฝัน


 


ราชันภูเขาม่วงทิ้งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลไว้ให้เขา มันบันทึกสถานการณ์ของคนเหล่านี้เอาไว้อย่างละเอียด


 


ฟางหยวนเรียนรู้มันเมื่อไม่นานมานี้


 


กายาแห่งความฝันเป็นสินค้าที่มีข้อบกพร่อง ราชันภูเขาม่วงสร้างพวกมันขึ้นมาอย่างเร่งรีบเพื่อช่วยร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณเท่านั้น


 


กายาแห่งความฝันเหล่านี้มีเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของราชันภูเขาม่วงบรรจุอยู่ภายใน


 


แต่น่าเสียดายที่หลังจากมันหลอมรวมกับกายาแห่งความฝัน มันก็ไม่สามารถแยกออกจากกัน กายาแห่งความฝันเหล่านี้มีเวลาจำกัดและเมื่อถึงขีดจำกัดนั้น พวกมันจะระเบิดตัวเองและกลายเป็นอาณาจักรแห่งความฝันขณะที่ดวงวิญญาณของราชันภูเขาม่วงจะหายไปพร้อมกับพวกมัน


 


ข้อบกพร่องนี้ไม่สามารถแก้ไขแม้ราชันภูเขาม่วงจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ตาม


 


นี่เป็นเหตุผลที่ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณไม่เคยใส่ดวงวิญญาณของเขาเข้าไปในกายาแห่งความฝัน


 


ดวงวิญญาณของอิงอู๋เซี่ยอยู่ในร่างของกายาแห่งความฝันระดับเจ็ด แต่เขาเป็นข้อยกเว้น


 


เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นกายาแห่งความฝันที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นข้อบกพร่องดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเขา


 


ดวงวิญญาณของเขาสามารถอยู่ในร่างกายาแห่งความฝันได้อย่างอิสระโดยไม่มีข้อจำกัด


 


ดังนั้นแม้จะมีกายาแห่งความฝันจำนวนมาก พวกมันก็ไม่มีค่าที่จะเลี้ยงดู


 


เดิมทีฟางหยวนต้องการเรียนรู้วิธีการบนเส้นทางแห่งความฝันของนิกายเงาผ่านกายาแห่งความฝัน แต่ตอนนี้เขาได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจทุกสิ่งโดยไม่จำเป็นต้องทำการวิจัยด้วยตนเองอีกต่อไป


 


ผู้อมตะที่เหลืออีกห้าคนคือกำลังรบสำคัญของฟางหยวน


 


‘ปัจจุบันผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือไป่หนิงปิงที่ได้รับมรดกที่แท้จริงไป่เซียง น่าเสียดายที่เราเป็นเพียงพันธมิตร’


 


‘เทพธิดาเมี่ยวหยินฝึกฝนมรดกที่แท้จริงเสียงต้นกำเนิด นางเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด พลังการต่อสู้ของนางเชื่อถือได้’


 


‘นางเสือดำ…’ เมื่อฟางหยวนคิดถึงหญิงผู้นี้ หมอกสีดำก็เริ่มไหลออกจากร่างของนางและถูกพัดไปตามแรงลม


 


หมอกสีดำจางหายไปและเผยให้เห็นหญิงสาวที่น่ารักคนเดิม


 


เทพธิดากระต่ายขาวที่ไร้เดียงสากลับมาแล้ว


 


“ท่านวูอี้ไห่…ไม่ ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร?” เทพธิดากระต่ายขาวถามฟางหยวนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อมถ่อมตน


 


ไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆมองนางด้วยความประหลาดใจ


 


หลังจากฟื้นตัว การบ่มเพาะของเทพธิดากระต่ายขาวลดจากระดับเจ็ดลงสู่ระดับหก สถานการณ์นี้ค่อนข้างเข้าใจได้ยาก


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง เขาเข้าใจมรดกที่แท้จริงเสือดำของนาง


 


ผู้อมตะที่ฝึกฝนมรดกนี้จะเก็บสะสมความแข็งแกร่งเอาไว้และสามารถระเบิดพลังออกมาระหว่างการต่อสู้


 


อย่างไรก็ตามมันยังมีข้อบกพร่อง มันจะทำให้ผู้บ่มเพาะกลายเป็นคนสองบุคลิก ด้านมืดที่น่ากลัวและด้านสว่างที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา


 


โดยปกติพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในบุคลิกที่อ่อนแอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย บุคลิกของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามมันยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลา


 


ทั้งสองบุคลิกมีความรู้สึกและความทรงจำเดียวกัน มันเป็นเพียงวิธีคิดที่แตกต่างเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับฟางหยวน


 


เนื่องจากเทพธิดากระต่ายข่าวชื่นชมในตัววูอี้ไห่ขณะที่นางเสือดำเป็นสมาชิกของนิกายเงา


 


ไม่ว่าด้านใดทั้งสองบุคลิกก็ยังภักดีต่อฟางหยวน


 


“อย่ากังวล ข้าเองก็มีปัญหาเช่นกัน ข้าต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงจากเจ้า เรียกข้าว่าฟางหยวน” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้เทพธิดากระต่ายขาว


 


เทพธิดากระต่ายขาวดูเหมือนจะไม่สามารถยอมรับได้อย่างสมบูรณ์ในระยะเวลาสั้นๆ


 


ฟางหยวนลอบถอนหายใจ ‘นางเสือดำมีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด แต่มันไม่เสถียร ตอนนี้เหลือเพียงไห่ลั่วหลันและไป่หนิงปิงเท่านั้น’


 


‘ไห่ลั่วหลันภักดีที่สุดแต่การบ่มเพาะของนางยังอยู่ระดับหก นางมีสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงแต่พรสวรรค์โดยธรรมชาตินี้กลายเป็นสูญเปล่าเมื่อนางบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟ แต่ด้วยมรดกของนางมารผลาญสวรรค์ พลังการต่อสู้ของนางจึงเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ดแนวหน้า อย่างไรก็ตามนางยังอ่อนแอที่สุด’


 


‘สำหรับอิงอู๋เซี่ย…’


 


ฟางหยวนมองอิงอู๋เซี่ยที่นอนอยู่บนแผ่นหลังอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดด้วยดวงตาเหม่อลอย


 


เขาดูเหมือนคนสูญเสียความหวังทั้งหมด


 


ฟางหยวนส่ายศีรษะ


 


ในความเป็นจริงด้วยท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน มันทำให้อิงอู๋เซี่ยครอบครองอันดับหนึ่งในแง่ของพลังการต่อสู้ กระทั่งฟางหยวนยังต้องกังวล


 


แต่เขากลายเป็นคนไร้จิตวิญญาณและไม่สามารถพึ่งพา


 


“อิงอู๋เซี่ยมอบวิญญาณทั้งหมดของเจ้าให้ข้า” ฟางหยวนกล่าว


 


อิงอู๋เซี่ยไม่พูดและไม่ตอบสนอง


 


เสียงของฟางหยวนดังขึ้น “อิงอู๋เซี่ย ข้าเป็นผู้นำนิกายเงา เจ้าจะไม่เชื่อฟังข้างั้นหรือ?”


 


อิงอู๋เซี่ยไม่ขยับราวกับหัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว แรงกดดันที่รุนแรงกลับพุ่งลงมาจากด้านบน


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะ!


 


“เศษซากของนิกายเงา ตระกูลอี้อยู่ที่นี่ อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะสามารถหลบหนี!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)