ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1370-1389

 บทที่ 1370 วันวานใต้ยามท้องฟ้าค่ำคืน

 

ฉินสือโอวมองไปที่ทุกคนพร้อมกับปลาดุกตัวใหญ่ในมือที่กำลังดิ้นไปมาอยู่ แล้วถามด้วยเสียงเกียจคร้านว่า “เป็นยังไงบ้าง ฉันลงยันต์ได้ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?”


เหมาเหว่ยหลงเคยเห็นทักษะการจับปลาด้วยมือเปล่าของเขามาก่อน เขารู้สึกถึงความลึกลับ แต่เขาก็ไม่เคยตอบสนองได้ว่องไว เป็นอย่างนี้มาตลอด เขาจึงทำได้แค่ตอนที่ฉินสือโอวกำลังโอ้อวดเขาจะพยายามฉีกหน้าเขา


“พอใจแล้วสิ? ตอนนี้ฉินมันเก่งสุดๆ ไปเลย นี่เรียกว่าการจับปลามือเปล่า นิ้วที่ขยับไปมาอยู่บนผิวน้ำราวกับปลาน้อยๆ ที่แหวกว่ายอยู่ ถ้ารอบๆ มีปลาตัวใหญ่อยู่ มันก็จะวิ่งมาล่าเหยื่อ แล้วนี่ก็จะเป็นจังหวะ จับล็อกมันเอาไว้ด้วยนิ้ว แล้วก็จะจับมันขึ้นมาได้”


เฉินเหลยวิ่งไปเหมือนเด็กแล้วเอามือยื่นลงไปในน้ำ ฉินสือโอวรีบดึงเขากลับมาแล้วพูดว่า “ระวังหน่อย นี่คือปลาดุกกินเนื้อนะ ถ้านายดึงมือกลับไม่ทัน นิ้วนั้นก็ไม่ต้องเอาแล้ว!”


เฉินเหลยตกใจ “ร้ายกาจแบบนี้เลยเหรอ?”


ฉินสือโอวตอบด้วยความโกรธว่า “แน่สิ ก็บอกแล้วว่ามันกินเนื้อ นายนึกว่ามันกินมังสวิรัติหรือไง?”


มีกวางมีปลาแล้ว กวางตัวนี้ตัดแบ่งน่าจะได้ 25-30 กิโล ฉินสือโอวดูแล้วก็น่าจะพอ ยังรวมพวกไก่เป็ดกระต่ายที่หู่จือ เป้าจือ หลัวปอ และอินทรีทองจับมาอีก มื้อเย็นคงกินไม่เยอะขนาดนี้แน่นอน


เนื้อกวางทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่จะต้องจัดการดีๆ นีลเซ็นและเบิร์ดไม่อยู่ เรื่องแบบนี้ฉินสือโอวคงต้องทำเอง


เขาเริ่มต้มน้ำในหม้อหลายใบก่อน ใช้น้ำเดือดต้มเนื้อกวางสักสองสามรอบ หลังจากนั้นก็ใช้กริชที่แหลมคมลอกหนังกวางออกมา หม่าจินและคนอื่นๆ ช่วยเป็นลูกมือให้เขา เมื่อทุกคนช่วยกันทำงาน ทุกอย่างก็รวดเร็วเพียงพอแล้ว


ฉินสือโอวไม่มีนีลเซ็นและเบิร์ดคอยช่วย หนังกวางจึงถูกเขาหั่นเป็นชิ้นๆ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่มีราคา เขาจึงควักเป็นร่องขึ้นมา พวกอวัยวะก็เอาไว้ด้วยกันหมด


หลังจากนั้นก็เอาเนื้อกวางหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ น่องกวางสี่น่องจะเอามาย่าง ส่วนพวกซี่โครงเนื้อก็เหมาะกับเอามาตุ๋นเป็นซี่โครงเนื้อตุ๋น พวกกระดูกใหญ่ๆ ก็เอามาต้มน้ำซุป


ตั้งแต่แรกเขาก็คิดไว้แล้วว่าอยากทำเนื้อกวางเป็นอาหาร ดังนั้นเขาจึงเตรียมพวกเครื่องปรุงต่างๆ มาเรียบร้อย เมื่อเอาออกมา คนทั้งกลุ่มก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันใด ฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “คิดจะกินให้อร่อยยังจะขี้เกียจอีก พวกนายนี่ก็แปลกจริงๆ”


ฉินสือโอวให้เหมาเหว่ยหลงไปจัดการกับปลาห้าตัวให้เรียบร้อย  เนื้อของปลาไพค์และปลากะพงดำอวบหนา สามารถเอามาทำปลาย่างได้ หัวของปลาดุกมีขนาดใหญ่ เอามาหั่นเป็นแว่นๆ แล้วมาทอดน่าจะดีกว่า


ทุกคนไม่ได้มีประสบการณ์ในการกินมื้ออาหารในแคมป์มาก่อน ฉินสือโอวจึงเป็นเหมือนศูนย์กลางคอยชี้แนะ และสอนพวกเขาให้เตรียมของก่อน ส่วนงานผัดและปรุงเขาจัดการเอง


เนื้อกวางสามารถตุ๋นกินได้ ฉินสือโอวเตรียมพวกพุทราจีน ซีอิ๊ว ไวน์ปรุง ขิงเป็นแผ่นๆ พริกไทย เกลือไว้ เขาให้เฉินเหลยหั่นเนื้อกวางเป็นชิ้นๆ เท่ากำปั้นเด็กทารก หลังจากนั้นก็ต้มน้ำทิ้งหนึ่งรอบเอาพวกเลือดทิ้งไป แล้วค่อยใส่ในหม้อและเริ่มต้ม


งานนี้ง่ายมาก เอาส่วนผสมมาตุ๋นกับเนื้อกวางก็โอเคแล้ว จะได้กินเนื้อนุ่มๆ ที่สดใหม่ของเนื้อกวาง


มีคนทิ้งเตาย่างเอาไว้ในกระท่อมไม้หลังเล็ก ฉินสือโอวให้เฉินเจี้ยนหนานไปเอาออกมา วางฟืนและถ่านโค้กลงไป จุดไฟให้มันค่อยๆ เผาไหม้ แล้ววางน่องกวางที่หั่นไว้แล้ว ให้อีวิลสันรับหน้าที่ย่าง


อีวิลสันเคยเรียนย่างเนื้อกับชาร์คมาแล้ว ทักษะทางด้านนี้ฉินสือโอวเองก็เก่งไม่เท่าเขา เพราะฉะนั้นให้เขาทำจึงเหมาะที่สุด


เนื้อกวางเหมาะที่สุดก็ต้องเอามาผัดกิน ซึ่งงานนี้ฉินสือโอวลงมือจัดการเอง พวกพริกเขียว พริกแห้ง ต้นหอม ขิง กระเทียม แครอท หัวหอมใหญ่ของพวกนี้ถูกเตรียมไว้หมดแล้วตามคำสั่งของฉินสือโอว เขาแค่ผัดก็เรียบร้อย


อาหารในแคมป์ไม่จำเป็นต้องมีหลายอย่าง ฉินสือโอวจึงเตรียมไว้ 3 อย่าง จานแรกคือเนื้อกวางผัดพริก อีกจานคือเนื้อกวางน้ำแดง และอีกจานคือเนื้อสันในทอด เนื้อกวางส่วนที่แพงที่สุดคือส่วนสันในด้านหลัง เหมาะกับการเอามาทอดแห้งๆ มาก


ในไม่ช้า เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน กลิ่นอาหารก็หอมอบอวลไปทั่วบริเวณภูเขา กลิ่นหอมที่หลากหลายผสมปนเปกันไป มีทั้งกลิ่นหอมของเนื้อ กลิ่นสดใหม่ของน้ำซุปปลา กลิ่นหอมจากธรรมชาติของพวกเครื่องปรุงอย่างพริก เป็นต้น เมื่อรวมกันแล้วจึงกลายเป็นกลิ่นหอมที่พิเศษขึ้นมา


เฉินเหลยพัดไฟที่เตาย่างไปก็ยิ้มไป “จำได้ไหมที่พวกเราทั้งห้องไปตั้งแคมป์ที่ริมทะเลตอนปีใหม่ตอนที่เรียนปีหนึ่ง? เหมือนกับตอนนี้นิดหน่อยใช่ไหมล่ะ? คนหนึ่งอยู่บนภูเขา อีกคนอยู่ริมทะเล?”


ฉินสือโอวที่กำลังยุ่งอยู่กับการผัดชิ้นเนื้อก็ตกตะลึงแล้วพยักหน้า “ใช่สิ เหมือนอยู่นะ แต่ตอนนั้นไม่ได้มีแค่พวกเราสิบกว่าคน”


ซ่งจวินเหมยที่คอยช่วยเขาเรื่องเครื่องปรุงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ใช่ ไม่ใช่แค่พวกเราสิบกว่าคน ยังมีคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ห้องเราอีกตั้งหลายคน อย่างเช่นรุ่นพี่ผู้หญิงคนแรกใช่ไหม?”


รุ่นพี่ผู้หญิงคนแรกที่เธอเอ่ยถึงก็คือเซี่ยจือหลิน แก่กว่าพวกเขาสองปี เป็นสาวที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นคนรักที่ชายหนุ่มเกือบทั้งห้องของฉินสือโอวต่างใฝ่ฝัน


หลังจากที่ซ่งจวินเหมยเอ่ยชื่อเรียกรุ่นพี่ผู้หญิงคนแรกนี้ออกมา ทันใดนั้นคนทั้งกลุ่มก็หัวเราะขึ้นมา และต่างมองไปที่ฉินสือโอวซึ่งทำให้ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกประหลาด จึงพูดขึ้น “หัวเราะอะไร? เป็นโรคประสาทเหรอ?”


เฉินเหลยหัวเราะมีเลศนัย “กลับไปฉันจะให้นายดู…”


“อะแฮ่มๆ” เหมาเหว่ยหลงกระแอมสองที และถลึงตามองไปที่เฉินเหลย เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเหลยเลยลูบจมูกตัวเองแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ


ฉินสือโอวรู้สึกผิดปกติขึ้นมา ไอ้เวรพวกนี้คิดจะใส่ร้ายฉันเหรอ! แต่เขาก็ไม่สามารถถามอะไรต่อได้ เพราะเขารู้จักนิสัยที่ไม่เกรงกลัวใครของเพื่อนของเขาดี จะให้พวกเขารู้ความตั้งใจจริงของเขาไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไอ้พวกนี้จะเล่นงานเขาได้


หลังจากยุ่งกับการทำกับข้าวมาตลอด ในที่สุดอาหารก็ผัดเสร็จเรียบร้อย เนื้อก็ย่างเสร็จเรียบร้อย ซุปก็ตุ๋นเรียบร้อย สุดท้ายฉินสือโอวลงมือย่างปลาเองซึ่งงานนี้ง่ายๆ ย่างปลาให้สุกนั้นไม่ยาก เขาพลิกปลาย่างอย่างรวดเร็ว คอยทาน้ำมันและโรยผงยี่หร่าอยู่ตลอด เพียงไม่นานกลิ่นหอมของปลาย่างก็ลอยขึ้นมา


หลังจากที่เนื้อปลาถูกย่างจนเป็นสีเหลือง ฉินสือโอวจึงใช้ตะเกียบลองจิ้มเข้าไป ซึ่งก็จิ้มเข้าไปได้อย่างง่ายดายจึงแสดงว่าสุกดีแล้ว


ในกระเป๋าสะพายหลังของอีวิลสันยังมีเหล้าขาว เบียร์พกมาด้วยอย่างลำบาก พวกเขาดื่มได้แต่เหล้าขาวแต่เป็นเหล้าดีทั้งนั้น ล้วนเป็นเหล้าที่เหมาเหว่ยหลงช่วยเอามาอย่างอู่เหนียงเย่ เหมาไถและหยางเหอ


ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏอยู่บนท้องฟ้า จงต้าจวิ้นเป็นคนเอาพวกเนื้อย่าง อาหารผัดแบ่งให้กับทุกคน ทุกคนนั่งห้อมล้อมกองไฟและเริ่มรับประทานอาหารกัน


ฉินสือโอวเริ่มชิมเนื้อตุ๋นก่อน เนื้อกวางตุ๋นจนนิ่มใช้ได้ เมื่อซดซุปเข้าไปกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว สดใหม่เกินจะหาอะไรมาเทียบได้


“อืม รสชาติเยี่ยมจริงๆ” ซ่งจวินเหมยก็ดื่มซุปตุ๋นเช่นกัน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมออกมา


เฉินเจี้ยนหนานกินไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนไป พูดอย่างคลุมเครือว่า “การรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ดีจริงนะ กล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยวอยู่กับใครน่ะ? เดี๋ยวถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนสักสองสามใบหน่อย ฉันกลับไปจะเอาไปทำเป็นภาพพื้นหลังโทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์”


ฉินสือโอวพูดในขณะที่ดื่มซุป “คืนนี้สีของท้องฟ้ายังไม่สวยเท่าไร ถ้ารอจนถึงคืนฤดูหนาวแล้วนายเงยหน้ามอง เชี่ย ฉันไม่ได้โม้เลยสักนิดนะ นั่นถึงจะเรียกว่าคืนที่ดาวเต็มท้องฟ้า!”


เหยียนตงทอดถอนใจ “เสียดายที่ไม่มีโอกาสไปขั้วโลกเหนือดูคืนขั้วโลกเหนือ ได้ยินมาว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ขั้วโลกเหนือสวยที่สุดแล้ว แล้วยังมีแสงเหนืออีก”


ฉินสือโอวบอกว่า “ไม่ต้องไปขั้วโลกเหนือหรอก เพราะที่กรีนแลนด์ตอนเหนือก็เห็นแสงเหนือได้แล้ว”


ขณะที่พูด ใจเขาก็เต้นขึ้นมา วินนี่ยังไม่ได้กำหนดสถานที่ที่จะไปฮันนีมูน ไปดูแสงเหนือที่ขั้วโลกเหนือก็น่าจะไม่เลวนะ? ไม่สิ ขั้วโลกเหนือไม่ค่อยดี เพราะตอนนี้ที่ขั้วโลกมืดมนไปหมด ไปที่ไหนก็มืดสนิท ไม่สู้ไปกรีนแลนด์หรือไอซ์แลนด์ดีกว่า


เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็เริ่มตั้งเป้าหมายในเบื้องต้นแล้ว

 

 

 


บทที่ 1371 โลมากำลังตั้งท้อง

 

ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันสว่างสดใส กลุ่มคนมารวมตัวกันรอบๆ กองไฟ ต้มน้ำชงกาแฟและชาพร้อมพูดคุยถึงช่วงเวลาเก่าๆ อย่างมีความสุข


ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองอาจจะว่าง จึงมักจะกลับไปนึกถึงเรื่องราวในอดีตบ่อยๆ มีคนบอกว่ามีคนสองประเภทที่ชอบนึกถึงเรื่องราวในอดีต ถ้าคุณไม่แก่แล้ว คุณก็คงไม่มีความสุขกับปัจจุบัน


ในกรณีหลังฉินสือโอวไม่ได้คิดอยู่แล้ว นี่ยังจะเรียกว่าไม่มีความสุขได้เหรอ? ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้รับหัวใจแห่งโพไซดอน เขาไม่เคยฝันมาก่อนว่าตัวเองจะเข้ากับมันได้แบบนี้ ถ้าอย่างนั้น เขาก็คงจะแก่แล้ว


ฉินสือโอวบอกเรื่องนี้ออกไป คนอื่นๆ จึงต่างพากันทั้งยิ้มและพูดว่าพวกเขาอยู่ในกรณีก่อนหน้านี้คือไม่มีความสุข ไม่ใช่เพราะพวกเขาแก่แล้ว


บทสนทนาดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ทำให้กลุ่มคนพูดคุยกันจนถึงตีหนึ่งกว่าๆ จนมีคนง่วงจนทนไม่ไหวจึงกลับไปพักผ่อนที่บ้านไม้


รัฐบาลของเมืองได้จ้างคนมาสร้างขยายบ้านไม้และตอนนี้สามารถรองรับได้มากกว่าสี่สิบคน ทุกครั้งที่มีนักท่องเที่ยวขึ้นเขา ถ้าต้องการค้างคืนพวกเขาจะพักในบ้านไม้หลังนี้ ซึ่งราคายี่สิบดอลลาร์แคนาดาต่อคนและต่อคืน เป็นราคาที่สมเหตุสมผล


ตามปกติแล้วจะตื่นนอนตอนหกโมง ซึ่งตอนนี้สีของท้องฟ้าก็เริ่มเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์เพิ่งปรากฏตอนหกโมงและกำลังจะเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง นี่จึงเป็นอีกวันหนึ่งของแคนาดาที่ภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ


ฉินสือโอวต้มโจ๊กข้าวโอ๊ต ซึ่งเป็นอาหารเช้าทั่วไปสำหรับชาวเกาะแฟร์เวล จึงนำมาจับคู่กับแซนด์วิชและพิซซ่าที่เหลือจากเมื่อวาน พอกินด้วยกันแล้วก็รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว


นอกจากนี้ เขายังนำดักแด้ที่หมักในน้ำเกลือไปทอดพอประมาณ


หลังจากที่เฉินเหลยตื่นก็มีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นดักแด้ทอดสีเหลืองทองในจานอาหาร เขายิ้มและพูดว่า “ฉิน นายมีอาหารสมบูรณ์ดีจริงๆ แม้แต่ดักแด้ทอดก็ยังมีเลย?”


ฉินสือโอวหันกลับไปมองเขาและพูดว่า “ลองชิมดักแด้ของแคนาดาดูสิ ดูสิว่ามันแตกต่างจากที่บ้านเราไหม นี่ปราศจากมลพิษและมาจากธรรมชาติแท้ๆ เลยนะ เดาว่าฝูงของพวกมันคงจะไม่มีตัวไหนกินยาฆ่าแมลงลงไปเลยล่ะ”


“ดวงจันทร์ในต่างประเทศก็มีลักษณะกลมใช่ไหม?” หม่าจินพูดพลางเอียงตามอง


ฉินสือโอวยักไหล่และพูดว่า “กลมไม่กลม เมื่อคืนนายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”


หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เขาก็ฝ่ารั้วกลับไปที่แคมป์ตามปกติ ในขณะที่ฉินสือโอวกำลังเดินๆ อยูู่ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างเล็กๆ กระโดดจากต้นไม้ลงมาบนไหล่ของเขา


เฉินเหลยที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเอาปืนจ่อที่เขาอย่างรวดเร็ว  ฉินสือโอวไม่ได้ตกใจกลัวสิ่งนี้ แต่เฉินเหลยกลัวมันมาก จึงถือปืนและเล็งไปที่หัวของเขา…


ฉินสือโอวจึงแย่งปืนมาเก็บไว้ตามสัญชาตญาณและพูดอย่างเหงื่อตกว่า “ไอ้เพื่อนบ้า นี่ฉันเพิ่งแต่งงานนะ!”


เขาพูดพลางหันไปมอง เสี่ยวเหมาเหลียนจอมสกปรกก็กำลังแยกเขี้ยวแบะปากใส่เขา


เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงรู้สึกดีใจขึ้นทันทีพร้อมกับกอดเสี่ยวเหมาเหลียนแล้วร้องตะโกนว่า “เสี่ยวหมิง? แกนี่มันใจร้ายนักนะ! หนีออกจากบ้านไปเดือนกว่าแล้ว คิดไม่ถึงว่าแกจะรู้จักกลับมาด้วย?”


เสี่ยวหมิงใช้หางลูบหน้าของฉินสือโอวพร้อมกับร้องส่งเสียง กระรอกแดงอเมริกาสี่ห้าตัวขนมันเงาก็ปรากฏตัวบนกิ่งไม้ข้างถนน


หลังจากที่กระรอกแดงเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นก็พากันจ้องไปที่เสี่ยวหมิงและยังมองไปที่ฉินสือโอวด้วย


เสี่ยวหมิงยังคงส่งเสียงร้องไม่หยุด กระรอกแดงจึงกระโดดลงมา จากนั้นก็รวมกันเป็นฝูง


พอเห็นเช่นนั้น เฉินเจี้ยนหนานจึงลองถามว่า “นี่ไม่ใช่เสี่ยวหมิงลูกชายคนโตที่เมื่อก่อนนายเคยเอาออกมาโชว์ทุกวันหรอก? กระรอกน้อยเหล่านี้ต้องมีอะไรแน่นอน?”


ฉินสือโอวก็ไม่แน่ใจ เขามองไปที่กระรอกแดงเหล่านี้ด้วยความสงสัย พวกมันมีทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ หลังจากที่พวกมันรวมตัวกันแล้วก็เบียดเข้าหากันและมองไปที่ฉินสือโอวอย่างเขินอายและรอให้เขาวางเสี่ยวหมิงอย่างมีความหวัง


วินนี่บอกว่าเสี่ยวหมิงอยู่ในฤดูผสมพันธุ์และวิ่งออกไปปลดปล่อยตามสัญชาตญาณมันแล้ว ฉินสือโอวจึงสังเกตที่กระรอกแดงอย่างละเอียดและเดาในใจของเขาว่า นี่คงจะไม่ใช่ฮาเร็มของเสี่ยวหมิงใช่ไหม?


การคาดเดานี้ได้รับการยืนยันแล้ว เพียงแค่เขาแยกเพศของกระรอกแดงได้ก็พอ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะหยาบคายเกินไป เสี่ยวหมิงก็อยู่ตรงหน้า ถ้าเขาไปดูของลับของกระรอกแดงเหล่านี้และถ้าเป็นฮาเร็มของเสี่ยวหมิงจริงๆ ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ล่วงละเมิดลูกสะใภ้ตัวเอง…


แต่สุดท้ายก็เห็นเสี่ยวหมิงอีกครั้ง ฉินสือโอวดีใจมาก เดิมเขาวางแผนที่จะหารังนกอินทรีทองให้เจอระหว่างทาง แต่ตอนนี้เจอไปเท่านี้ เห็นแก่เสี่ยวหมิงจึงหยุดหาก่อนเพื่อไม่เป็นการรบกวนพวกมัน


เมื่อลงจากภูเขาอย่างมีความสุข ฉินสือโอวจึงให้เฉินเหลยและคนอื่นๆ สนุกกันไปก่อน เขาจะขับรถพาเสี่ยวหมิงไปหาวินนี่ในเมือง ตอนนี้วินนี่ก็เป็นห่วงเสี่ยวหมิงมากจนบางครั้งก็ไม่มีสมาธิในการเตรียมงานแต่งงานเลย


ฉงต้าหอบฮืดฮาดตามมาจากข้างหลัง ฉินสือโอวจึงถือโอกาสเปิดประตูรถและพามันไปด้วย


วินนี่ไม่ได้ทำงานในรัฐบาล ผู้ช่วยบอกว่าเธอไปที่ท่าเรือแล้ว ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงวนรถและขับออกไป


เขาคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับน่านน้ำของเมืองแน่นอน คนที่แอบทิ้งเปลือกหอยพิษลงไปก่อนหน้านี้ก็ยังจับไม่ได้ หลังจากที่ไปที่นั่นเขาก็เห็นวินนี่และศาสตราจารย์แซนเดอร์สกำลังปรึกษาพูดคุยกันอยู่ จึงรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”


วินนี่ยักไหล่และพูดว่า “โลมาตัวหนึ่งดูเหมือนจะป่วย ฉันเลยขอให้ศาสตราจารย์แซนเดอร์สมาดูสักหน่อย เฮ้ พระเจ้า นี่เสี่ยวหมิงของฉันใช่ไหม?”


พูดมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง วินนี่ก็กรีดร้องอย่างมีความสุขพลางอ้าแขนออกเพื่อที่จะอุ้มกระรอกแดง


เสี่ยวหมิงเห็นวินนี่แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน แต่มันกลับกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของฉินสือโอว ฉินสือโอวจึงมีความสุขอย่างที่สุดและพูดอย่างอิ่มอกอิ่มใจว่า “ดูสิว่าลูกชายเรามันรักใคร ครั้งนี้คุณรู้หรือยัง?”


เมื่อเสี่ยวหมิงที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็กลิ้งไปมาอย่างแรง มันทำอย่างนี้อยู่สักพักก็กระโดดลงไปและวิ่งไปหาวินนี่พร้อมกับปีนขึ้นไปตามขากางเกงของเธอ


สีหน้าของฉินสือโอวจึงซีดขึ้นมาทันที นี่มันอะไรกัน?


แซนเดอร์สที่อยู่ข้างๆ จึงพูดเตือนด้วยความหวังดีว่า “บอส ผมคิดว่าเมื่อกี้เสี่ยวหมิงคงใช้เสื้อผ้าของคุณเช็ดฝุ่นออกจากขนของมัน”


ฉินสือโอวจ้องที่เขา ศาสตราจารย์อีคิวของนายนี่นะ? ฉันเป็นคนโง่เหรอ? ที่ฉันจะไม่รู้ว่าเจ้าบ้านั่นกำลังคิดอะไรอยู่?


แซนเดอร์สยักไหล่และพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจแล้ว? เอาล่ะ ผมจะไม่พูดอะไรมาก สุดท้ายก็เหมือนเดิม”


วินนี่และกระรอกน้อยกำลังแสดงความรักกันอยู่ตรงนั้น ฉินสือโอวจึงไปดูโลมา เขาได้ยินว่ามีโลมาตัวหนึ่งป่วยและก็วิตกกังวลตามไปด้วย ดังนั้นเขาจึงปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปและเฝ้าติดตามโลมาฝูงนี้


ในขณะเดียวกัน เขาก็ถามฮานี่ย์ว่า “โลมาตัวไหนป่วย? เกิดอะไรขึ้น?”


ฮานี่ย์ชี้ไปที่โลมาตัวเต็มวัยที่อาศัยอยู่นอกกลุ่มโลมาตามลำพังและพูดว่า “ตัวนั้น เธอชื่อราเชล เป็นโลมาตัวเมียที่มีความอ่อนโยนมากและยังเป็นพี่สาวคนโตในโลมาฝูงนี้ ปกติแล้วเธอมีนิสัยใจดีและชอบอยู่เป็นฝูง ไม่ว่าจะเป็นโลมาหรือนักท่องเที่ยวต่างก็ชอบเธอมาก”


“ตั้งแต่เมื่อวาน ผู้ดูแลโลมาบอกเราว่า จู่ๆ ราเชลก็แสดงความไม่พอใจ เธอจะโจมตีใครก็ตามที่เข้าใกล้เธอและยังอยู่ห่างจากฝูงอีกด้วย นี่มันผิดปกติมากเลยใช่ไหมล่ะ?”


ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสแกนโลมาตัวเมียตัวนี้อย่างละเอียดและพบว่ากำลังชีวิตของมันไม่มีปัญหาอะไร ไม่เพียงแต่ไม่มีปัญหา แต่ยังค่อนข้างฮึกเหิมเล็กน้อยด้วยซ้ำ เขารู้สึกได้อย่างละเอียดและรู้สึกได้ว่าร่างกายของโลมาตัวนี้ มีสองกำลังชีวิต


จะมีสองกำลังชีวิตได้อย่างไร? ฉินสือโอวสับสนอยู่สองวินาที จากนั้นเขาก็คิดออกและพูดอย่างมีความสุขว่า “โลมาตัวนี้กำลังตั้งท้องโลมาตัวน้อย”

 

 

 


บทที่ 1372 ฉงต้าแสนฉลาด

 

วินนี่ที่กำลังอุ้มเสี่ยวหมิงและแสดงความรักกับมันอยู่นั้นก็มองเขาด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ทำไมถึงเดาแบบนั้นล่ะ? หลังจากศาสตราจารย์แซนเดอร์สเข้าไปดูเธอใกล้ๆ สักพัก ก็พูดกับฉันว่าเธอดูเหมือนจะตั้งท้องเหมือนกัน”


แซนเดอร์สพูดแปลกๆ ว่า “ผมแค่เดา ยังไม่แน่ใจ แต่พอได้ยินบอสพูด ดูเหมือนว่าจุดอ่อนอาจจะอยู่ตรงนี้?”


ผู้คนรอบๆ ตัวจึงต่างพากันมองมาที่ตัวเขาเองด้วยสายตาสงสัย ฉินสือโอวตกใจ สมองจึงประมวลผลได้อย่างรวดเร็วและหัวเราะตอบสนองออกมาทันที “ผมก็เดาเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะตั้งท้องจริงๆ เพราะตอนที่วินนี่ตั้งท้องเสี่ยวเถียนกวา ปฏิกิริยาของเธอก็เหมือนกับราเชล คืออ่อนไหว หงุดหงิด วิตกกังวลและไม่ชอบเข้าสังคม”


แซนเดอร์ส ฮานี่ย์และคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างตั้งใจ วินนี่ก็หัวเราะเช่นกัน เธอทั้งหัวเราะและพูดกับฉินสือโอวว่า “ที่รัก ที่แท้ตอนที่ฉันตั้งท้องก็ได้ทิ้งความประทับใจแบบนี้ไว้กับคุณเองหรอกเหรอ? ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลังจากกลับถึงบ้านต้องคุยกับคุณจริงๆ จังๆ แล้ว”


ทุกคนหัวเราะดังขึ้น ฮานี่ย์ขยิบตาให้ฉินสือโอวและพูดว่า “จากประสบการณ์ของผม เมื่อไรที่ภรรยาของคุณพูดแบบนี้ จะต้องเกิดสงครามขึ้นในบ้านแน่นอน”


ฉินสือโอวยิ้มเจื่อน “ไม่ๆ วินนี่เป็นผู้หญิงที่ดี มีเหตุผล ครอบครัวของฉันจึงสงบสุขมาตลอด”


วินนี่ส่ายหัวปฏิเสธทันทีว่า “ไม่หรอกที่รัก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาที่ดีของคุณไม่ใช่เหรอ?”


“แน่นอน!” ฉินสือโอวพยักหน้าเหมือนทุบกระเทียม


มือซ้ายของวินนี่อุ้มเสี่ยวหมิงส่วนมือขวาก็จับฉินสือโอวไว้ เธอมองไปที่ฮานี่ย์ที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ครอบครัวของเราสงบสุขมาก ฉินเป็นผู้ชายที่ดีมาก เขาไม่เคยใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับฉัน เราเป็นครอบครัวที่โชคดี…”


“ถูกต้องแล้ว พ่อ พระอาทิตย์ขึ้นแล้วพระจันทร์กลับบ้านแล้วใช่ไหม? ไม่นะ ดวงดาวออกมาแล้วดวงอาทิตย์จะไปอยู่ที่ไหน? บนท้องฟ้า ฉันหาอย่างไรก็หามันไม่เจอ? กลับบ้านแล้ว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวเป็นสิ่งมงคล…”  ฉินสือโอวร้องเพลงสลับน้ำเสียงไปมา


กลุ่มคนใช้สายตาใช้สายตาแปลกประหลาดใจมองไปที่เขา วินนี่จึงถามอย่างลังเลว่า “ที่รัก นี่คุณกำลังทำอะไร?”


ฉินสือโอวจึงพูดอย่างมั่นใจว่า “ ‘มงคลไตรรัตนะ’ ไง คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราเป็นครอบครัวที่โชคดี?”


วินนี่ “…”


ฉินสือโอวโบกมือและพูดว่า “เอาล่ะ ไม่ล้อเล่นแล้ว เรามาปรึกษาปัญหาเรื่องราเชลกันดีกว่า เธอน่าจะท้องหรือเปล่า? ใช่ไหม?”


 “ช่วงแรกของการตั้งท้องลูกโลมา จะมองไม่ออก สามารถทำได้แค่ตรวจผ่านอัลตร้าซาวด์บีเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงทำได้แค่รอเวลาตรวจผลเท่านั้น” แซนเดอร์สกล่าว


แต่เครื่องอัลตร้าซาวด์บีชนิดนี้มีจำหน่ายเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ฉินสือโอวเห็นว่าโอดอมก็อยู่ จึงถามว่า “เฮ้ คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”


โอดอมยิ้มเจื่อนๆ “พวกเขาบอกว่ามีปลาโลมาป่วย แต่ไม่มีสัตวแพทย์ในเมือง จึงทำได้เพียงให้คนไม่รู้เรื่องอย่างผมมาดู อันที่จริง ผมต้องเสียใจด้วย เหมือนว่าผมจะช่วยอะไรไม่ได้มาก”


 “ถ้าอย่างนั้นมีวิธีตรวจโลมาด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์บีไหม?” ฉินสือโอวกล่าว


โอดอมพูดว่า “จะต้องใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์บีใต้น้ำ แต่เครื่องอัลตร้าซาวด์บีที่ใช้สำหรับคนยังไม่มีใช้ในเมืองของเราเลยด้วยซ้ำ ใต้น้ำก็อย่าหวังเลย นอกจากนี้ ผมเดาว่าทั่วทั้งเซนต์จอห์นก็ไม่น่าจะมีหรือเปล่า? ดังนั้นจึงต้องไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่เท่านั้น”


เมื่อได้ยินโอดอมพูดแบบนั้น ฉินสือโอวถอนหายใจและพูดว่า “ดูเหมือนว่าโรงพยาบาลชุมชนของเราจะขาดแคลนเครื่องอัลตร้าซาวด์เป็นจำนวนมาก”


โอดอมมองออกไปและพูดว่า “ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นแค่โรงพยาบาลชุมชนเท่านั้น”


ฉินสือโอวตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ผมจะจัดการเอง”


“บอส ถึงจะมีเครื่องอัลตร้าซาวด์บีใต้น้ำก็ใช้ไม่ได้ สิ่งนี้ไม่เหมาะกับโลมา สัญญาณจากอัลตราซาวนด์บีเป็นเสียงความถี่สูงและโลมาสามารถได้ยินมันได้ เสียงของอัลตราซาวนด์เป็นสิ่งที่อันตรายต่อโลมา” แซนเดอร์สกล่าว


“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? จะให้รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ไปตลอดคงไม่ได้หรอกจริงไหม?” ฮานี่ย์พูดอย่างกลุ้มใจว่า “ถ้าป่วยจริงๆ คงรับการรักษาได้ไม่ทัน มันจะยิ่งไม่ลำบากเหรอ?”


“เราทำได้แค่สังเกตการณ์เท่านั้น แต่คุณต้องบันทึกรายละเอียดและแบ่งเป็นรอบๆ ถ้าสถานการณ์ของราเชลยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็จะสามารถยืนยันการคาดเดานี้ได้ นอกจากนี้ ฉันจะติดต่อศูนย์วิจัยชีววิทยาทางทะเลโตรอนโตและขอให้พวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญด้านโลมามาตรวจวินิจฉัย” วินนี่กล่าว


ตอนนี้ไม่มีการตัดสินใจที่ดีไปกว่านี้แล้ว ต้องทำแบบนี้เท่านั้น


ฉินสือโอวจึงกลับไปเตรียมตัว เขาหันกลับไปและเห็นฉงต้าก็ลงจากรถเช่นกันและมันกำลังนอนอยู่บนท่าเรือมองดูปลาโลมาอย่างเคลิบเคลิ้ม มีคนถ่ายรูปอยู่รอบๆ ตัวมันและยังมีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ให้เพื่อนถ่ายรูปให้


วินนี่คิดว่าฉงต้าได้ค้นพบอะไรบางอย่าง จึงเดินไปดูและพบว่าเจ้าตัวนี้ขมวดคิ้ว ทำหน้าอ้วนมองไปที่โลมาที่นักท่องเที่ยวให้อาหารพร้อมกับสีหน้ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่


ฉินสือโอวผลักฉงต้าให้ออกไป แต่ฉงต้ากลับนั่งลงติดกับพื้นและเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นจึงทำตาหยีและแบะปากออกมาเหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่


เหตุการณ์นี้ทำให้ฉินสือโอวสับสน นี่มันอะไรกัน? เจ้าตัวนี้ยังทำท่ายิ้มได้อีกเหรอ?


หลังจากคิดดูแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าฉงต้าอาจจะทำตัวดีใส่เขา เขาจึงหัวเราะ หลังจากหัวเราะแล้วเขาก็ดึงฉงต้าให้ลุกขึ้นยืนและจากไป


ฉงต้าทำเสียงพึมพำพร้อมกับลุกขึ้นยืนและกดไหล่ของฉินสือโอวลงแล้วมองไปที่เขา มันยังคงทำตาหยีและแบะปากที่ดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่อย่างต่อเนื่อง


“โอเค ฉันรู้ว่าแกเป็นเด็กดี รอยยิ้มอันแสนหวานนี้ฉันก็เห็นแล้วโอเคไหม? เราควรจะกลับบ้านกันได้แล้ว” ฉินสือโอวกล่าว


เมื่อฉงต้าเห็นว่าเขากำลังจะไป จึงรีบนั่งลงและเหยียดอุ้งเท้าอวบอ้วนออกมากอดขาของเขาไว้พร้อมกับส่งเสียงครวญครางลำคอ ขมวดใบหน้าอันอ้วนกลมขึ้นและทำดวงตาเศร้าสร้อย ดูท่าทางเหมือนกำลังน้อยใจ


เดิมทีความสนใจของนักท่องเที่ยวรอบๆ จะมุ่งไปที่ฉงต้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังทำตัวขี้อ้อนน่ารักๆ เรียกความสนใจเหมือนกับปืนกลของศัตรูที่ถูกค้นพบและอำนาจการยิงทั้งหมดก็กลับมาเป็นของตัวเอง


มีคนพูดขึ้นว่า “หมีตัวนี้น่ารักมาก ฉันอยากถ่ายรูปโพสต์ลงเวยป๋อ”


“ถ้าโพสต์ลงเวยป๋อ ต้องถ่ายใกล้ๆ หน่อยสิถึงจะสวย แล้วใช้รูปหมีอ้วนตัวนี้เป็นรูปประจำตัวด้วยนะ ต้องมีคนชอบมากแน่ๆ”


ฉินสือโอวอยากจะออกไปแต่ก็ออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากวินนี่ วินนี่จึงเดินเข้ามานั่งยองๆ ลงและลูบหน้าผากของฉงต้า แล้วพูดปลอบโยนว่า “เอาล่ะๆ ฉงต้าเด็กดี เรากลับบ้านกันก่อนนะ…”


เมื่อเห็นวินนี่กำลังมา ฉงต้าก็ทำตาหยีพร้อมแบะปากทำท่าทางเหมือนกับกำลังยิ้มให้วินนี่


“หมายความว่าอะไร?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ


วินนี่มองไปที่ฉงต้า จากนั้นก็มองไปที่โลมาปากขวดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาให้อาหาร ทันใดนั้นเธอก็ทำท่าทางโต้ตอบและพูดว่า “มันเรียนรู้ท่าทางจากโลมา ถึงยิ้มออกมาแบบนั้น แล้วก็อยากจะกินด้วยใช่ไหม?”


ฉินสือโอวคิดอยู่พักหนึ่งว่านี่มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ แม้ว่าฉงต้าจะค่อนข้างไร้เดียงสาแทบจะตลอดเวลา แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับการกินดื่มนอนและความขี้เกียจแล้ว มันก็ฉลาดขึ้นมาได้เช่นกัน


นักท่องเที่ยวบางคนได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง หญิงสาวคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวังและยื่นน้ำเชื่อมเมเปิลสีส้มให้พวกเขา แล้วพูดว่า “พวกคุณลองให้อาหารมันดูไหม?”


ไม่ต้องลองหรอก แค่เห็นน้ำเชื่อมเมเปิล ดวงตาของฉงต้าก็กลมโตสดใสขึ้นทันที มันก็ปล่อยอุ้งเท้าอันอวบอ้วนที่กอดขาของฉินสือโอวออกแล้วคลานไปยิ้มให้กับหญิงสาวคนนั้น


ไม่นานกลุ่มนักท่องเที่ยวก็กระเจิงออกมา พวกเขาแทบทุกคนต่างพากันกำลังส่งเสียงร้องตะโกนว่า “เจ้าหมีตัวนี้นี่จะฉลาดอะไรขนาดนี้นะ?!”

 

 

 


บทที่ 1373 ฟักทองลูกใหญ่เหล่านั้น

 

นักท่องเที่ยวพากันพกของกินมาด้วย เมื่อเห็นฉงต้าแสนน่ารัก จึงหยิบขนมออกมาให้มันกิน


ฉงต้ารู้สึกตื่นเต้นทันที จากเดิมที่ดวงตากลมเล็กอยู่ก็หรี่ตาพร้อมกับแบะปากยิ้มตลอดเวลา จากนั้นก็รีบกินอาหารที่อยู่ในอุ้งเท้าให้หมดอย่างรวดเร็ว


ฉินสือโอวจนปัญญา จึงทำได้แค่ยิ้มรับพร้อมขอบคุณนักท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า “เจ้าหมีของเรากำลังลดน้ำหนักอยู่ ขอบคุณสำหรับความรักและความเอ็นดู กรุณาอย่าให้ขนมมันอีกเลย มันไม่รู้ว่าอิ่มแล้ว ถ้ากินมากเกินไปอาจจะทำให้มันแน่นเกินไปได้”


ฉงต้ากำลังกินอย่างมีความสุข สำหรับคำพูดนี้มันจึงแสดงออกได้เพียงเท่านี้ แย่จริงๆ ฉงต้าไปปีนเขาเป็นเพื่อนนายสองวัน ทั้งขึ้นทั้งลง บนเขาไม่มีเนื้อสัตว์ที่เหมาะกับความอยากอาหารของฉงต้าเลย มีแค่ผลไม้ให้กินแล้วตอนนี้จะหิวบ้างไม่ได้เหรอ?


ฉินสือโอวไม่สนใจ เขาเห็นฉงต้าไม่ยอมไป จึงลากมันออกไปแทน ฉงต้านั่งลงบนพื้นอย่างไม่พอใจและทำท่าทางออดอ้อน ฉินสือโอวโกรธและต้องการที่จะทำให้มันกลัว แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่โยนมันลงในทะเล ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจอันอ่อนไหวและเปราะบางของมัน เขาจึงลังเลอีกครั้ง


ฉงต้าเห็นว่ามีโอกาส จึงดื้อไม่ยอมมากขึ้นเรื่อยๆ มันนอนลงบนพื้นและเริ่มกลิ้งไปมา จากนั้นกล้องถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงดังขึ้นและมีคนอุทานอย่างต่อเนื่องว่า “พระเจ้า ความฉลาดของเจ้าหมีตัวนี้นี่สุดยอดจริงๆ!” “ใครบอกว่าหมีโง่ฉันจะตีเขาให้ตายเลย!”


สุดท้าย แขนของเขาก็ยังไม่สามารถดึงต้นขาของมันได้ ฉินสือโอวจึงขับรถมาและเอาฉงต้ายัดเข้าไปในรถ ปิดประตูและขับออกไป ฉงต้ายื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่พอใจพร้อมกับมองดูขนมในมือของนักท่องเที่ยวแล้วกรีดร้องอย่างหมดหวัง…


หลังจากกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉงต้าก็เริ่มไม่พอใจฉินสือโอว มันไม่สนใจฉินสือโอวอีกครั้ง จึงวิ่งไปหาพ่อฉินและแม่ฉิน ชาวประมงและพวกเด็กๆ สุดท้ายเมื่อเห็นพวกเขามันก็ฉีกยิ้มให้ทันที


แต่คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นฉงต้าจึงทำไปเสียแรงเปล่า มันทำตัวน่ารักเปล่าประโยชน์และไม่ได้กินอะไรเลย


แต่ใช้เวลาไม่นาน ก็มีคนเข้าใจว่าเกิดขึ้นเรื่องอะไรขึ้น เฉินเหลยและคนอื่นๆ ที่เล่นอินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถืออยู่ก็พากันไปหาฉินสือโอวโดยไม่ได้นัดหมายและพูดอย่างมีความสุขว่า “มาดูเร็ว ฉิน นี่คือฉงต้าของนายใช่ไหม? ฉงต้าของนายกำลังดังแล้ว!”


ฉินสือโอวหยิบโทรศัพท์มาดู ซึ่งนั่นเป็นวิดีโอสั้นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมในเว่ยป๋อและมีชื่อคลิปว่า “หลังจากหมาและแมวตามมา เจ้าพวกโง่ก็บุกโลก” เมื่อเปิดวิดีโอขึ้นมาก็เป็นเหตุการณ์ที่ฉงต้ากำลังยิ้มอย่างน่ารักและกลิ้งออดอ้อนไปมา


นอกจากนี้ด้านล่างของวิดีโอก็ยังมีคำแนะนำ เห็นได้ชัดว่าคนโพสต์วิดีโอเป็นนักท่องเที่ยว เขาอธิบายว่าทำไมฉงต้าถึงแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มและทำไมต้องออดอ้อนไม่ยอมกลับบ้าน ต่อไปจะเรียกว่าหมีไม่ได้แล้วต้องเรียกว่าหมีโง่ เพราะส่วนใหญ่จะเรียกว่าเจ้าพวกโง่


ฉงต้าน่ารักจริงๆ หลังจากที่วิดีโอที่ถูกเผยแพร่ก็มีการรีโพสต์ใหม่เป็นจำนวนมากและมีการแสดงความคิดเห็นหลายร้อยข้อความ ซึ่งนี่เป็นเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่วิดีโอจะเผยแพร่ จึงถือว่าเป็นจำนวนมากจริงๆ


แน่นอนว่าไม่กี่วันต่อมาก็มีผู้รีโพสต์วิดีโอนี้ใหม่และแสดงความคิดเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินเหลยและคนอื่นๆ ยังคงรวบรวมข้อมูลและรายงานผลกับเขาอย่างต่อเนื่อง เช่น ‘วิดีโอถูกรีโพสต์ห้าพันครั้ง’ ‘วิดีโอถูกรีโพสต์ใหม่ห้าหมื่นครั้ง’ ‘มีการแสดงความคิดเห็นมากกว่าสองพันครั้ง’ และอื่นๆ


ฉินสือโอวไม่สนใจเรื่องนี้และพูดว่า “พวกนายสนใจแค่เรื่องตัวเองก็พอแล้ว ถ้าชอบมากก็ถ่ายวิดีโอและโพสต์ต่อได้เลย”


เฉินเหลยและคนอื่นๆ มองหน้ากันแล้วตอบสนองทันที โดยคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี “เก๋งจีนที่ใกล้น้ำมักได้จันทร์ก่อน¹ พวกเราและฉงต้าอยู่ใกล้กันจริงๆ ถ้าไม่ได้เผยแพร่ออกไปคงพลาดโอกาสนี้แน่”


พวกเขาไม่ได้ถ่ายวิดีโอ แต่ใช้ขนมหลอกล่อฉงต้าให้โพสท่าโง่ๆ จากนั้นก็ถ่ายรูปและโพสต์ลงเว่ยป๋อและก็มีคนติดตามพวกเขามากขึ้นจริงๆ


สุดท้ายเฉินเหลยก็คิดวิธีการเล่นแบบใหม่ได้นั่นคือการเพิ่มแคปชันให้กับภาพถ่ายของฉงต้า ฉินสือโอวมองมันที่ดูเหมือนจะอาเจียน ความน่ารักนี่มันน่าอายจริงๆ!


เฉินเหลยขอให้ฉินสือโอวร่วมมือ ฉินสือโอวจึงพูดว่า “นายคิดว่าฉันมีเวลาเหรอ? พืชผลในไร่ก็สุกแล้ว ฟักทองก็ถึงช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว พวกนายเล่นกันไปเถอะ ฉันจะทำงาน”


“นายปลูกฟักทองด้วยเหรอ? ปลูกทำไม จะทำพายฟักทองกับโจ๊กฟักทอง?” เหยียนตงถามด้วยความประหลาดใจ


“ซื่อบื้อเอ๊ย ก็เพื่อวันฮาโลวีนไงล่ะ” ฉินสือโอวกล่าว


เดิมทีเขาแค่จะรับมือกับเฉินเหลยและคนอื่นๆ เท่านั้น แต่หลังจากพูดจบเขานึกขึ้นได้ว่า จริงๆ แล้วเขาละเลยไร่ฟักทองมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว ดังนั้นจึงต้องรีบไปดูสักหน่อย ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับฟักทองคงจะไม่ดีแน่


หนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา ถ้าฉินสือโอวไม่ไปสหรัฐอเมริกาก็ต้องกำลังยุ่งกับการเตรียมงานแต่งงานอยู่ แม้แต่องุ่นก็ยังไม่ได้เก็บ นับประสาอะไรกับไร่ฟักทอง


ช่วงหลังฟักทองจะมีความต้องการน้ำมาก ส่วนการกำจัดวัชพืช กำจัดแมลงและการใส่ปุ๋ยไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก ในเดือนกันยายนที่เซนต์จอห์นยังคงมีฝนตกชุกและยังเป็นฝนตกชุกครั้งแรกในรอบสิบปี ดังนั้นฉินสือโอวจึงเดาไว้ว่าไร่ฟักทองคงมีปัญหาไม่มาก จึงไม่ได้ไปจัดการดูแล


นี่ก็เป็นข้อเสียของพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกัน ไร่ฟักทองไม่ได้อยู่ในฟาร์มปลาต้าฉิน แต่อยู่ในฟาร์มปลาแกธเธอริงที่ไกลออกไป ฉินสือโอวจึงต้องขับรถไปหลังจากที่เขาทำงานเสร็จเรียบร้อย


เมื่อขับรถไปที่ฟาร์มปลาแกธเธอริง ฉินสือโอวมองไปที่ไร่อันเขียวขจีและตกใจทันทีว่าสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ในไร่ฟักทองคืออะไร? มันมีขนาดใหญ่เกินไปหรือเปล่า?!


ในสวนผักเห็นแค่เถาฟักทองและใบไม้ที่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่และในระหว่างนั้นฟักทองขนาดใหญ่แต่ละลูกยืนต้นอยู่บนพื้นเหมือนกับมีเนินเขาเล็กๆ อยู่บนพื้นดิน


นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ฉินสือโอวตะลึงเมื่อเห็นฟักทองเหล่านี้ เขาเดินไปดูฟักทองลูกที่ใหญ่ที่สุด นอนราบอยู่บนพื้นและมีเส้นโค้งที่ยาวมาก ตามรูปแบบการเติบโตของฟักทอง สิ่งนี้จะเติบโตในแนวนอน…


ฉินสือโอวลงไปที่ไร่และลองสัมผัสฟักทองเหล่านี้ แต่ละลูกเหมือนจริงมาก ผิวสีเหลืองอ่อนเกลี้ยงเป็นมันเงา เนื้อฟูและเต่งตึง เขาใช้มือตบเบาๆ และมีเสียงทุ้มดังออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันสุกแล้ว


ฟักทองลูกใหญ่กว่าปกติ ฉินสือโอวได้เตรียมใจไว้แล้ว เพราะการรดน้ำสองสามครั้งแรก เขารดน้ำที่เต็มไปด้วยพลังโพไซดอนลงไปและไม่จำเป็นต้องปล่อยพลังโพไซดอนลงในทะเล นอกจากนี้เขายังรดน้ำที่เพิ่มพลังโพไซดอนให้กับองุ่น ฟักทอง พืชผลและผักเป็นพิเศษ


แต่นี่ไม่ควรจะเกินจริงแบบนี้ เขาวัดฟักทองลูกที่ใหญ่ที่สุดด้วยสายตา ดูท่าว่ามันอาจจะหนักถึงหนึ่งตันกว่า!


ฉินสือโอวขับรถกลับมาอย่างรวดเร็วและเรียกพ่อแม่ เออร์บักและชาวประมงให้มาดูฟักทองลูกใหญ่ที่ผิดปกตินี้


ระหว่างทางพ่อฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “แกบอกว่าแกแต่งงานเป็นพ่อคนแล้ว แล้วทำไมถึงใจร้อนขนาดนี้?”


“พ่อ อย่าเพิ่งว่าผม พ่อจะต้องตกใจแน่นอน ฟักทองลูกนี้ใหญ่มากจริงๆ พระเจ้า!” ฉินสือโอวกล่าว


พ่อฉินพูดอย่างเหยียดหยามว่า “เรื่องนี้มีอะไรให้ตกใจกัน? ก็แค่ฟักทองลูกใหญ่ มันจะใหญ่แค่ไหนกันเชียว? ในหมู่บ้านของเราก็เคยปลูกฟักทองลูกหนึ่งหมื่นชั่ง”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินสือโอวก็แทบจะเหยียบคันเร่งด้วยความตกใจ หนึ่งหมื่นชั่งก็จะประมาณห้าตัน เขาพูดด้วยความประหลาดใจ “ปลูกได้อย่างไร?”


พ่อฉินไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็พูดอย่างเอ้อระเหยว่า “ด้วยการก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่ ข้าวสาลีสามารถให้ผลผลิตได้ถึงหนึ่งแสนชั่งต่อหมู่ แล้วฟักทองที่ปลูกหนึ่งหมื่นชั่งจะมีเท่าไรล่ะ?”


รถคาดิลแลควันตรงไปที่ไร่ฟักทองอย่างรวดเร็ว พ่อฉินเปิดประตูลงจากรถและมองไปรอบๆ จากนั้นถึงกับต้องอ้าปากค้าง “พระเจ้า มีฟักทองยักษ์ด้วยเหรอ?”

 

 

 


บทที่ 1374 ฟักทองรสชาติดี

 

ไม่มีใครให้ความสนใจกับการปลูกฟักทองในฟาร์มปลามาก่อน อย่างแรกคือสถานที่ปลูกอยู่ห่างไกลเกินไปและอีกอย่างคือตัวฟักทองไม่มีจุดกระจายแสง ดังนั้นฉินสือโอวจึงใช้เมล็ดฟักทองยักษ์แอตแลนติกมาปลูก ซึ่งปกติถ้าปลูกฟักทองชนิดนี้จะสามารถเติบโตได้มากกว่าครึ่งเมตร ชาวประมงจึงมีภูมิคุ้มกันต่อฟักทองลูกใหญ่


นอกจากนี้ ชาวประมงยังปลูกฟักทองไว้หน้าบ้านและหลังบ้านด้วยเช่นกัน เพราะสามารถนำไปอบพายฟักทองและเตรียมรับวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะไปสนใจฟักทองในฟาร์มปลาล่ะ?


ในที่สุดเมื่อพวกเขาเห็นสปาร์ตันแต่ละคน นี่คือฟักทองเหรอ?


หลังจากที่บูลเห็นก็พูดอย่างมั่นใจว่า “บอส คุณต้องใช้ปุ๋ยหลายตันแน่นอน!”


ชาร์คจ้องไปที่เขาและพูดว่า “เพ้อเจ้อน่ะ นายบอกว่าฟักทองที่บ้านก็ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเหมือนกัน นี่คือผลผลิตของปุ๋ยเหรอ? ไม่สิ บอสใช้สารเร่งการเจริญเติบโต!”


ฉินสือโอวพูดด้วยความไม่พอใจว่า “นี่สายตาสั้นกันเหรอไง ไม่สิ ควรจะบอกว่าตาไม่ถึงสิถึงจะถูก บอสของพวกนายอย่างฉันเนี่ยนะ จะใช้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงอะไรพวกนั้น? ไปดูที่นา ไปดูสวนผัก ฉันเคยใช้เหรอ?”


ชาวประมงคิดอย่างละเอียดแล้วก็พากันส่ายหัว ผักในฟาร์มปลามาจากธรรมชาติจริงๆ แม้แต่แตงกวากับมะเขือเทศยังสามารถเก็บมากินสดๆ ได้


ดังนั้นชาวประมงจึงพากันตกตะลึงทันที จากนั้นแซนเดอร์สที่เพิ่งจะรู้เรื่องก็เข้ามาดู หลังจากได้เห็นลักษณะตั้งตระหง่านของฟักทองลูกใหญ่เหล่านี้เขาก็อุทานว่า “โอ้พระเจ้า ฟักทองเหล่านี้โตเกินไปไหม?”


ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาก็มา ฉินสือโอวจึงรู้สึกขาดความมั่นใจ เขากังวลว่าแซนเดอร์สจะมองอะไรบางอย่างออก


หลังจากแซนเดอร์สเห็นแล้วก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา ในขณะที่ฉินสือโอวก็กำลังตื่นตระหนกตกใจ เขาจึงพูดว่า “บอส ฟักทองลูกที่ใหญ่ที่สุดนี้ ผมเดาว่าหนักมากกว่าหนึ่งตันใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นไปสมัครกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดดีไหม? ผมจำได้ว่าฟักทองที่ใหญ่ที่สุดในกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดหนักไม่ถึงตันเลยด้วยซ้ำ”


ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ฉินสือโอวจึงรู้สึกโล่งใจและพูดว่า “เรื่องนี้นายจัดการได้เลย ฉันไม่สนใจหรอก”


“แล้วนายสนใจอะไรบ้าง?” เฉินเหลยถามด้วยความไม่พอใจในขณะที่ถ่ายรูปไปด้วย ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการดึงฉินสือโอวและฉงต้ามาถ่ายคลิปวิดีโอด้วยกัน แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ ซึ่งทำให้เขากังวลมาก


ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “รู้จักพายฟักทองไหม? ฉันสนใจสิ่งนั้นมากกว่า”


หลังจากได้ยินเช่นนั้น ชาร์คก็ยักไหล่และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องผิดหวังแล้วล่ะบอส ฟักทองลูกใหญ่ขนาดนี้จะมีความชื้นมากและรสชาติไม่ดี โดยทั่วไปแล้วถ้าปลูกฟักทองได้ลูกใหญ่ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของกวางในที่สุด”


ฉินสือโอวไม่ยอมแพ้ ฟักทองลูกใหญ่ขนาดนี้ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังโพไซดอนและผักที่มีการปรับปรุงจากพลังโพไซดอนก็มีรสชาติก็ไม่เลวเลย


แน่นอนว่าเขาจะไม่เลือกฟักทองลูกใหญ่ในการอบพาย แต่จะเลือกลูกที่มีหลายขนาด ในความทรงจำของเขา ฟักทองแบบนี้ถือว่าใหญ่มาก แต่ในไร่ฟักทองของเขา นี่เป็นแค่เพียงน้องเล็กเท่านั้น


ช่วงบ่ายไม่มีงานอะไร ฉินสือโอวจึงไปจัดการเตรียมทำพายฟักทอง


นี่เป็นอาหารหลักประเภทหนึ่งที่คนท้องถิ่นชอบกิน ฉินสือโอวก็ได้กินบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อวินนี่กลับมาจากซื้อพิซซ่าในเมืองแล้วเธอก็จะนำพายฟักทองมาด้วย เพราะเธอชอบอาหารนี้มาก


เมื่อใช้มีดหั่นฟักทองเป็นชิ้นใหญ่สองสามชิ้น จะทำให้เห็นเนื้อฟักทองสีเหลืองอมส้ม หลังจากหั่นเป็นชิ้นแล้วพืชชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายล้อรถมากยิ่งขึ้น จะมีวงแหวนอยู่ข้างใน ส่วนนี้จะกินไม่ได้ เพราะมีเมล็ดฟักทองขนาดใหญ่อยู่ข้างใน ฉินสือโอวควักเอาเมล็ดออกมา ต่อไปจะได้ไม่ต้องซื้อเมล็ดฟักทองอีก


ครั้งแรกที่ทำพายฟักทอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉินสือโอวจึงไปหาผู้เชี่ยวชาญในห้องครัวอย่างแซ็กและแลนซ์เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากที่ทั้งสองมาถึงก็เห็นเมล็ดฟักทองสีขาวอวบอิ่มก็ตาเป็นประกายขึ้นและเอาถุงหยิบใส่ลงไปและแบ่งให้เท่าๆ กัน


ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “พวกนายจะเอาเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปทำอะไร? จริงๆ แล้วเราต่างก็ใช้เมล็ดฟักทองปลูกเหมือนกัน ไม่สิ ดูเหมือนว่าเมล็ดฟักทองของฉันจะเอามาจากบ้านของชาร์คนะ?”


 “นี่ต้องเป็นการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมแน่นอน ผมจะเก็บรักษามันไว้และปีหน้าก็จะสามารถปลูกฟักทองลูกใหญ่ได้ นอกจากนี้ ถ้าเทียบกับคุณแล้ว ฟักทองจากที่บ้านของชาร์คมีขนาดเล็กเหมือนกับพุดดิ้งเลย คุณต้องไม่ได้เอามาจากเขาอย่างงแน่นอน” แซ็กกล่าว


ขณะที่กำลังพูดกันอยู่ แซ็กก็หั่นฟักทองเป็นชิ้นใหญ่เหมือนแตงโม จากนั้นก็นึ่งในหม้อขนาดใหญ่


เขาถามฉินสือโอวว่าต้องการทำอะไร ฉินสือโอวจึงพูดว่า “พายฟักทอง วินนี่ชอบ”


แลนซ์คาบก้นบุหรี่พลางส่ายหัวแล้วพูดว่า “รอก่อนเถอะ หลังจากฟักทองสุกแล้วก็ลองชิมดู ถ้ารสชาติดีก็เอามาทำพายได้ ไม่อย่างนั้นคงจะเปลืองเนื้อหมูไปเปล่าๆ ไม่ใช่เหรอ?”


ฟักทองเป็นอาหารต้มสุกง่าย เมื่อน้ำเดือดก็จะเห็นควันโขมงของไอน้ำและจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปทั่ว


ฉินสือโอวสูดกลิ่นนี้เข้าไปและกลิ่นนี้มันไม่ค่อยดีจริงๆ ซึ่งทำให้เขาตกใจมาก พลังโพไซดอนผิดพลาดไปตอนไหน? หรือว่าจะเป็นตอนที่ปล่อยให้ฟักทองเติบโต?


ฝั่งตรงกันข้าม แซ็กและแลนซ์ที่ดูท่าไม่ค่อยดีก่อนหน้านั้นก็ยิ่งหนักกว่าเดิม แซ็กโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ฟักทองนึ่งรสชาติก็เป็นแบบนี้ แต่เนื้อฟักทองไม่น่าจะใช่แบบนี้นะ”


“ถ้าอย่างนั้นผมจะสอนให้ชาร์คเป็นมนุษย์ฟักทอง” แลนซ์กล่าว


“หมายความว่าอะไร?” เหมาเหว่ยหลงที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างสงสัย


แลนซ์ยิ้มเยาะและอธิบายว่า “ฟักทองดูไม่เละและตอนนึ่งก็มีรสชาติแย่ แต่เนื้อของมันอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นคุณรู้ความหมายของผมหรือยัง?”


ฉินสือโอวชี้ไปที่เขาพร้อมหัวเราะและพูดว่า “ไม่นะแลนซ์ นายทำเกินไปแล้ว ฉันจะบอกชาร์ค ฉันกล้าพนันได้เลยว่าเขาจะแทงตูดนายด้วยท่อฝิ่นของนาย!”


หลังจากน้ำเดือดได้ห้าถึงหกนาที แซ็กก็ไปเปิดหม้อนึ่ง ทำให้เห็นเนื้อฟักทองที่ชุ่มฉ่ำและมันวาว เขาใช้ช้อนตักขึ้นมาและเป่านิดหน่อยแล้วลองชิม แลนซ์ยักไหล่และพูดว่า “ปกติจะไม่เป็นแบบนี้นะ มันจะมีน้ำเยอะ”


หลังจากทานเข้าไปแล้วแซ็กก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ รสชาติไม่อร่อยเท่าไร บอส ฟักทองนี้ไม่เหมาะกับทำพายฟักทองเลย”


ฉินสือโอวรู้สึกท้อใจเล็กน้อย เดิมทีเขาต้องการแสดงความรักต่อวินนี่ อย่างไรเสียก็เป็นคู่บ่าวสาวแต่งงานใหม่ จะต้องได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี


แซ็กปิดฝาหม้อลง และเข้าไปใกล้ๆ แลนซ์แล้วพูดลอยๆ ว่า “ฟักทองไม่อร่อย ปลูกไปก็ไร้ค่า เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่อยากเอาไปเยอะแล้ว นายยังจะอยากได้อยู่ไหม?”


เมื่อแลนซ์ได้ยินสิ่งที่เขาพูด จึงมองไปที่ฉินสือโอวแล้วหยิบเมล็ดพืชออกมาแล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเยอะขนาดนี้ เก็บไว้แค่หนึ่งถึงสองเม็ดก็พอแล้ว”


แซ็กยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของเขาและเขาก็ยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “มาเถอะ ฉินจะโยนทิ้งให้นายเอง”


หลังจากได้เช่นนั้น แลนซ์ก็แสดงสีหน้ารู้สึกถึงอันตรายทันที จึงรีบหยิบถุงพลาสติกกลับมาไว้ในมืออย่างรวดเร็วและมองไปที่แซ็กอย่างระวังแล้วพูดว่า “บ้าเอ๊ย นายกระตือรือร้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ผีเข้า ผีต้องเข้านายแน่ๆ!”


หลังจากพูดเสร็จ เขาก็เปิดหม้อตักฟักทองนึ่งขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วร้องตะโกนทันทีว่า “แซ็ก ให้ตายเถอะ! คิดไม่ถึงว่านายจะปิดบังฉัน? เราเป็นเพื่อนกันมาสี่สิบปีแล้ว ตอนที่ใส่ผ้าอ้อมก็ยังกลิ้งเล่นด้วยกันอยู่เลย คิดไม่ถึงว่านายจะปิดบังฉัน?!”


ฉินสือโอวจึงไปลองชิม รสชาติของเนื้อฟักทองนุ่มและหวาน ไม่เหมือนฟักทองทั่วไปที่นึ่งแล้วจะมีรสขมติดปาก เนื้อฟักทองนี้มีแค่รสหวานและกลิ่นหอมเท่านั้น!

 

 

 


บทที่ 1375 เรียนรู้ที่จะเดินอย่างล้มล...

 

เหมาเหว่ยหลงตักขึ้นมาชิ้นหนึ่ง หลังจากชิมแล้วก็หาชามมาใส่ทันที จากนั้นก็วิ่งออกไปด้วยความดีใจ


ฉินสือโอวยื่นหัวออกมาแล้วถามว่า “แกทำอะไร? พวกเรามาทำพายฟักทองกันเถอะ”


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะและพูดว่า “ฉันจะเอาไปให้ภรรยากับลูกสาวของฉันกิน ตั๋วตั่วต้องชอบแน่ๆ”


ฉินสือโอวมองดู หลังจากเนื้อฟักทองนึ่งสุกแล้วจะนุ่มและเหนียว เหมาะสำหรับให้เด็กเล็กกินจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไปหาชามขนาดเล็กและตักไปครึ่งหนึ่งเพื่อให้เสี่ยวเถียนกวาและให้แม่ของเขาป้อนให้เธอกิน


ขณะนี้เสี่ยวเถียนกวากำลังคลานไปตามแผงลอยบนพื้นหญ้า เมื่อต้องการจะคลาน เธอจะยกแขนและขาสั้นๆ ขึ้น จนบางครั้งแม่ฉินก็ตามไม่ทัน


เมื่อฉินสือโอวเห็นเธอกำลังไล่ตามพี่น้องเฟอเรทอยู่รอบๆ ใต้ต้นไม้ พี่น้องเฟอเรทอยากจะปีนขึ้นต้นไม้ แต่พวกมันไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ เสี่ยวหมิงพากระรอกดินตัวน้อยมาด้วยและจ้องไปที่พวกมันอย่างเย็นชา


เขาเดาว่า ขณะนี้กระรอกดินตัวน้อยคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ความยุติธรรมอาจจะมาช้าแต่จะไม่พลาดแน่นอน! แปลเป็นภาษาจีนแปลว่า ความดีย่อมมีความดีตอบแทน ความชั่วย่อมมีความชั่วตอบแทน กรรมนั้นย่อมสนองแน่ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา!


ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวหมิงไม่อยู่ กระรอกดินตัวเล็กนอนหลับด้วยความหวาดกลัวจนฉี่แทบราด พี่น้องเฟอเรทยังจำพวกมันได้ตลอด จึงถือโอกาสนี้กระโดดขึ้นไปบนตัวพวกมัน


แน่นอนว่าเฟอเรทพี่ชายและน้องสาวจะไม่กินพวกมัน แต่ต้องการฝึกฝนกับพวกมันมากกว่า ในอาหารของเฟอเรทแบลคฟุตมีกระรอกตัวน้อยดินรวมอยู่ด้วย


ทันทีที่เสี่ยวหมิงกลับมา กระรอกดินตัวน้อยจึงไปหามันเพื่อฟ้องร้อง จากนั้นเสี่ยวหมิงก็แสดงดาบแห่งการแก้แค้นออกมาและทำการแก้แค้นสามร้อยหกสิบองศาจากมุมมืด ทำให้พี่น้องเฟอเรทรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว


แม่ฉินนั่งดูหลานสาวกำลังเล่นกับเฟอเรทตัวน้อยสองตัวบนสนามหญ้าด้วยรอยยิ้ม ฉินสือโอวจึงส่งฟักทองให้เธอป้อนเด็กหญิงตัวน้อยกิน


ตั๋วตั่วช่วยเด็กหญิงตัวน้อยล้อมรอบพี่น้องเฟอเรท ในอ้อมแขนก็ถือชามไว้และเมื่อเธอเห็นว่าเด็กหญิงชอบจึงยื่นให้เธอพร้อมกับรอยยิ้มที่สวยงาม


“หนูกินของหนูเลย ของฉันก็มี” ฉินสือโอวบีบแก้มตั๋วตั่วและพูดด้วยความรักและทะนุถนอม


ตั๋วตั่วผลักมือของเขาออกอย่างเขินอายและซ่อนตัวอยู่ข้างๆ แม่ฉินพร้อมกับแอบกินฟักทองอย่างเงียบๆ


ในห้องครัวยังคงยุ่งอยู่และเนื้อฟักทองก็ใช้ได้แล้ว จึงสามารถนำมาทำพายฟักทองได้


โดยทั่วไปการทำพายจะต้องมีเนื้อ นี่เป็นหนึ่งในอาหารหลักของชาวแคนาดา จึงมีวิธีการและรสชาติที่หลากหลาย พายเนื้อฟักทองบด คุกกี้ฟักทอง พายฟักทองนึ่ง พายฟักทองทอด พุดดิ้งฟักทอง พายฟักทองฟูและอื่นๆ


ครั้งนี้ฉินสือโอวนำฟักทองกลับมาจำนวนมากพอ จึงสามารถทำได้สองสามอย่าง แต่ต้องเริ่มทำจากไส้เนื้อก่อนแล้วค่อยทำพายฟักทอง นี่เป็นวิธีทำที่ชาวแคนาดานิยมมากที่สุด


ไส้เนื้อทำได้ง่ายมาก ในตู้เย็นมีหมูอยู่ จึงโทรศัพท์ไปหาเบิร์ดให้รีบมาสับเนื้อหมู ไม่นานก็ได้ไส้เนื้อมาหนึ่งจาน


จริงๆ แล้วที่ฟาร์มปลาก็มีเครื่องบดเนื้อ แต่ปกติแล้วฉินสือโอวจะไม่ใช้มัน เนื้อที่ได้จากเครื่องบดเนื้อจะมีรสชาติไม่ค่อยดีเท่าไรและจะอร่อยไม่สู้เนื้อที่สับด้วยมีด อย่างไรก็ตามแค่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านการใช้มีดอย่างเบิร์ด เนื้อแค่จานเดียวเขาใช้เวลาไม่นานก็สับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบดเนื้อ


หลังจากผสมเนื้อ ขิงใหญ่และหอมให้เข้ากันแล้ว แซ็กก็เริ่มสอนฉินสือโอวทำพาย


สิ่งที่ฉินสือโอวไม่แน่ใจคืออัตราส่วนของส่วนผสมของฟักทองและแป้ง แซ็กบอกว่าปกติแล้วจะใช้สัดส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งก็คือฟักทองหนึ่งปอนด์ต่อแป้งหนึ่งปอนด์ หลังจากที่ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว เขาจะทำส่วนที่เหลือเองได้


นวดแป้ง หมักแป้ง จากนั้นก็ทำพายและผสมเนื้อลงไปก็ใช้ได้แล้ว


เหมาเหว่ยหลงเปิดกระทะอบไฟฟ้า นี่เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะที่สุดในการอบพาย แต่แลนซ์กลับส่ายหัวและปล่อยให้เขาใช้เตาอบไฟฟ้า


ชาวแคนาดากินเนื้อสัตว์และน้ำมันในปริมาณมาก ปัจจุบันผู้คนที่พอมีเงินอยู่บ้างจึงเริ่มใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง ด้วยการพยายามกินอาหารทอดให้น้อยที่สุด แน่นอนว่าของทอดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะไก่ทอดและปลาทอด ตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาที่นี่ก็ถึงกับประหลาดใจ เพราะชาวประมงกินปลาทอดและไก่ทอดเหมือนกับที่เขากินหมั่นโถว!


หลังจากชาวเอเชียอพยพเข้ามาที่แคนาดา ส่วนใหญ่จะไม่คุ้นเคยกับอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันสูงและแคลอรีสูง ระบบทางเดินอาหารของชาวเอเชียไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งนี้ได้ จึงทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย


ฉินสือโอวจำได้ว่าเขาเคยอ่านข่าวข่าวหนึ่ง จากสถิติหลังจากที่ผู้อพยพชาวเอเชียเข้ามาในแคนาดา อัตราการป่วยโรคต่างๆ เช่นโรคระบบทางเดินอาหารและโรคลมชักมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในอาหาร


พายชุดแรกอบเสร็จอย่างรวดเร็ว หลายๆ คนพอได้ลองชิมเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติดีมาก หลังจากแซ็กทานเข้าไปแล้วก็ถึงกับเลียนิ้วมือและคุยโวว่า “ให้ตายเถอะ พระเจ้าเป็นพยาน ว่านี่คือพายฟักทองที่อร่อยที่สุดในชีวิตตั้งแต่ผมเคยกินมา”


ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ และจู่ๆ เสียงกรีดร้องตกใจของแม่ฉินก็ดังมาจากข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงนั้นเขาก็ตกใจจนตัวสั่น ทันใดนั้นก็นึกถึงนกอินทรีทองบนภูเขาที่มุ่งทำร้ายเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบออกไป


หลังจากวิ่งไปได้ไปหนึ่งก้าวเขาก็หันกลับมาหยิบมีดปลายแหลม เพื่อที่ว่าถ้าอินทรีทองอยู่ข้างนอก เขาจะใช้มีดจัดการฆ่ามันอย่างแน่นอน!


เมื่อวิ่งไปถึงประตูและมองออกไป ก็ไม่มีอะไรบนท้องฟ้าและเสี่ยวเถียนกวาก็ปกติดี ไม่ใช่แค่ปกติดีเท่านั้น แต่ฉินสือโอวถึงกับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังยืนขึ้นและเดินไปที่วิลล่าท่าทางคดเคี้ยวไปมา


แม่ฉินร้องตะโกนตามหลังเด็กหญิงตัวน้อยว่า “มาดูนี่เร็ว เสี่ยวเวยเดินได้แล้ว! เสี่ยวเวยเดินได้แล้ว!”


เมื่อเห็นฉินสือโอว เสี่ยวเถียนกวาที่กำลังเดินเอียงไปมาก็พุ่งเข้าใส่ชามใบเล็กที่เขาถือไว้และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลว่า “ป่าป๊า เอาอีกๆๆๆ!”


ฉินสือโอวจึงโยนมีดทิ้ง จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาด้วยความประหลาดใจและลูบคางของเธอและใบหน้าที่อ่อนโยนของเธอแล้วตะโกนว่า “ลูกรัก หนูเดินได้แล้ว!”


พี่น้องเฟอเรทที่อยู่ด้านหลังก็ถอนหายใจ จบแล้ว จบแล้วชีวิต รีบหาทางออกไปเถอะ อย่ายอมแพ้เจ้าเสี่ยวหมิง ตามไปอยู่กับมันบนต้นไม้เลย


เมื่อก่อนเด็กหญิงตัวน้อยสามารถคลานได้อย่างเดียว แต่พวกมันที่ถูกทรมาณก็ถึงกับหน้าซีด ตอนนี้เธอเดินได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกมันจะโดนแกล้งอย่างไรอีก? และที่สำคัญกว่านั้นคือ นักกวีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเชลลีย์เคยกว่าวไว้ว่า ถ้าเดินได้แล้ว คงจะวิ่งได้อีกไกลใช่ไหม?


ในอ้อมแขนของฉินสือโอว เด็กหญิงตัวน้อยพยายามใช้ขาสั้นๆ อ้วนๆ ถีบอย่างแรงพร้อมกับยื่นมือออกไปผลักหน้าฉินสือโอวและอุทานอย่างไม่พอใจว่า “บาบา! บาบา! บาบา!”


เสี่ยวเถียนกวาพูดคำว่าป่าป๊าหม่าม๊าสองคำนี้ได้รวดเร็วมาก แต่เธอไม่เคยเรียนรู้คำอื่นๆ เลย ไม่ใช่ว่าเรียนไม่ได้ แต่เธอไม่ยอมเรียน ฉินสือโอวเคยพาเธอไปพบแพทย์ และแพทย์ก็ยังบอกเช่นเดียวกันว่า เธอไม่ยอมเรียนรู้เอง


นี่เป็นเรื่องปกติ เด็กหญิงตัวน้อยถือได้ว่ามีความสามารถ ป่าป๊า หม่าม๊าสองคำนี้เธอสามารถใช้น้ำเสียงที่แตกต่างกันและแสดงความหมายที่แตกต่างได้ นี่อาจเป็นสาเหตุ เมื่อไม่มีความต้องการก็จะไม่มีการพัฒนา


สิ่งนี้จึงทำให้เธอออกเสียงน้อยอกน้อยใจได้ ซึ่งความหมายก็คือ ตัวเองไม่มีความสุข ตัวเองไม่พอใจน้อยใจ!


แม่ฉินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่ให้ชามฟักทองกับเสี่ยวเวย เธอกินแล้วก็อยากกินอีก แม่กลัวว่าเธอจะไม่กินข้าวตอนเย็นก็เลยไม่ได้เอาให้เธอ สุดท้ายเธอก็ไปหาแกแล้วไปเอาชามเล็กๆ ด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ”


ตอนนี้ลูกสาวก็เดินได้แล้ว ฉินสือโอวยังจะสนใจเรื่องการทำอาหารต่อได้อย่างไร? เขาพาชาวประมงที่กำลังว่างๆ เข้ามาและให้พวกเขาทำพายฟักทองแต่ละชนิด คืนนี้เขาจะมีงานเลี้ยงกินฟักทองด้วยกัน เพื่อเฉลิมฉลองให้กับลูกสาวที่สามารถเดินได้

 

 

 


บทที่ 1376 ลาก่อนวัยหนุ่มสาว

 

เมื่อรู้ว่าลูกสาวเดินได้ ฉินสือโอวก็มีของเล่นเช่นกัน เขาตักฟักทองมาหนึ่งจาน ซึ่งเหมือนกับการเอาแครอทมาหลอกล่อลา และนี่เป็นการล่อลวงเด็กหญิงตัวน้อยให้เดินตามเขาไป


ตั๋วตั่วก็ตามมาอยู่ข้างหลังและจับเด็กหญิงตัวน้อย เธอชอบน้องสาวคนเล็กคนนี้มาก หลังจากมาหาที่ฟาร์มปลาแล้วเธอก็จะอยู่กับเด็กหญิงตัวน้อยตลอดและปกป้องเธอเหมือนกับพี่สาวคนโต


ตอนนี้มีคนจำนวนมากกำลังทานอาหารในฟาร์มปลา ถ้าไปที่ร้านอาหาร ร้านธรรมดาๆ จะสามารถรับปริมาณคนทั้งหมดได้ ฉินสือโอวไม่สามารถทำอาหารจำนวนมากขนาดนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขายังต้องฝึกเดินกับลูกสาว


ดังนั้นตามความเคยชิน ทุกคนจึงเตรียมอาหารมาเองและนำอาหารมาด้วย ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติมาก งานปาร์ตี้หลายๆ งานก็ทำแบบนี้ ผู้เข้าร่วมจะนำอาหารและเครื่องดื่มมาและผู้จัดงานก็จัดแค่สถานที่ก็พอ


หลังจากวินนี่กลับมา ฉินสือโอวจึงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไปหาและพูดด้วยความดีใจว่า “วันนี้มีสองเรื่องที่น่าประหลาดใจจะบอกคุณ”


“มื้อแรกของวันนี้เป็นฟักทองใช่ไหมคะ?” วินนี่ถามด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จูบลงที่ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อย


เด็กหญิงตัวน้อยกำลังอยู่ในอ้อมแขนของฉินสือโอวพอดี เขาจึงฉวยโอกาสก้มหัวลงจากนั้นก็หัวเราะขึ้น


วินนี่เหลือบมองเขาด้วยความไม่เข้าใจและพูดว่า “เรื่องประหลาดใจเรื่องที่สองคืออะไรคะ?”


ฉินสือโอววางเสี่ยวเถียนกวาลงและอุทานอย่างตื่นเต้นว่า “ก้มลงมองสิ เรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว!”


วินนี่ก้มหัวลงแล้วกะพริบตามองไปที่เขาอีกครั้งแล้วพูดด้วยความไม่รู้ว่า “อะไร? เซอร์ไพรส์เหรอคะ?”


เด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่บนสนามหญ้าและยกขาสั้นๆ ทั้งสองข้างขึ้นแล้วยกมือขึ้นพร้อมกับเงยหน้าอมชมพูและส่งเสียงร้องว่า “หม่าม๊า! หม่าม๊า! อุ้ม อุ้ม!”


ฉินสือโอวดึงวินนี่ให้ก้มลง แล้วกระแอมใส่เด็กหญิงตัวน้อยและพูดว่า “มา ลูกรัก ทำเหมือนตอนบ่ายสิ เมื่อตอนบ่ายนี้หนูไปทำอะไรมา?”


เด็กหญิงตัวน้อยมองเขาอย่างงุนงงแล้วปรบมือน้อยๆ อย่างมีความสุขและตะโกนว่า “เอาอีก! เอาอีก! เอาอีก!”


วินนี่จึงหัวเราะขึ้น เธอขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เอาอีกอะไร?”


ฉินสือโอวต้องการเตือนเด็กหญิงตัวน้อย แต่เธอกลับยื่นมือออกไปและพยายามเรียก ‘หม่าม๊า’ ถ้าเป็นแบบนี้เธอจะไม่ยอมลุกแน่นอน ดังนั้นจึงทำให้ฉินสือโอวกังวล แล้วนี่จะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจได้อย่างไร?


ฉินสือโอวจนปัญญา จึงทำได้เพียงใช้ไพ่ใบสุดท้าย เขาอุ้มวินนี่ขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้า


เด็กหญิงตัวน้อยกระวนกระวายใจเมื่อเห็นแม่ของเธอถูกอุ้มหนีไป เธอจึงพยายามใช้มือทั้งสองดันให้ตัวเองลุกขึ้นยืน เธอเดินคดเคี้ยวไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง “หม่าม๊า หม่าม๊า!” ไปด้วย


ผลก็คือเธอเดินเร็วเกินไปจนสะดุดหญ้าแล้วล้มลงกับพื้น ตอนนี้เธอยังสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วยการสะอื้นร้องไห้โฮพร้อมกับพร้อมร้องเรียก ‘หม่าม๊า’ ไม่หยุด


ฉินสือโอววางวินนี่ลงและไปอุ้มลูกสาว วินนี่ก็เป็นไปตามที่เขาคิดจริงๆ เธอส่งเสียงออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจว่า “ว้าว ลูกรักของฉันเดินได้แล้วเหรอ? เก่งจริงๆ เลยลูกรัก เก่งมาก!”


ในขณะที่กำลังพูดอยู่ วินนี่ก็ไปลูบหัวเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเอ็นดูและพูดว่า “มา ไหนลองลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองดูสิ ยืนขึ้นให้แม่ดูว่าหนูเจ็บตรงไหน โอเคไหม?”


เด็กหญิงตัวน้อยกอดแขนของเธอไว้ เหมือนกับการจับเชือกปีนเขาและพยายามที่จะปีนขึ้น จากนั้นก็เข้าไปในแขนของเธอ ในขณะเดียวกันก็ร้องไห้โฮไม่หยุด “เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ!”


เมื่อเธอยืนขึ้น วินนี่ก็ก้าวถอยหลังทันทีพร้อมกับกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม “มา มาหาหม่าม๊าตรงนี้ หม่าม๊าจะพาไปทานข้าวดีไหมคะ?”


เมื่อเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหญิงตัวน้อยก็อ้าแขนออกและสะอื้น เธอถูกวินนี่ล่อให้เดินทีละก้าวๆ ฝีเท้าของเธอยังคงเดินเอียงเล็กน้อย แต่ดูออกว่าขาทั้งสองข้างของเธอแข็งแรงมาก


หลังจากที่วินนี่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเย็น ชาร์คและบูลเอาโต๊ะและเก้าอี้มาไว้ที่สนามหญ้า โดยเอาโต๊ะแต่ละตัวมาต่อให้ยาวเข้าด้วยกัน เหมือนกับเวลทีแคทวอล์ค


และอาหารแต่ละจานก็ถูกจัดวางลงไป เหมาเหว่ยหลงและเฉินเหลยก็นำพายฟักทองแต่ะชนิดออกมา ในช่วงบ่ายพวกเขาได้อบพายฟักทองเยอะมากและนอกจากนี้ยังทำขนมปังอบแฟนซีอย่างเช่นดอกทานตะวันด้วย


ฉินสือโอวเอาพายฟักทองหวานมา พายชนิดนี้จะไม่มีไส้เนื้อ แต่ข้างในจะเคลือบด้วยครีมและน้ำเชื่อมเมเปิ้ลเป็นชั้นๆ จึงทำให้มีรสหวานและเหมาะสำหรับเด็กๆ


หลังจากหักพายหวานออกครึ่งหนึ่ง ฉินสือโอวแบ่งให้ตั๋วตั่วและเสี่ยวเถียนกวา เด็กน้อยสองพี่น้องนั่งเคียงข้างกันพร้อมกับถือพายในมือและเริ่มกินอย่างมีความสุข


“เสี่ยวเวยกินอาหารแข็งได้แล้วเหรอ?” แม่ฉินถาม


ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างวางใจและพูดว่า “ไม่เป็นไร ฟันน้ำนมของเธอแข็งแรงแล้ว นอกจากนี้พายชิ้นเล็กๆ พวกนี้เพิ่งอบออกมาจะนุ่มมากและข้างในก็เป็นซุปครีมเนยจึงทำให้ย่อยและดูดซึมได้ง่าย”


พายฟักทองของฟาร์มปลามีรสชาติดีมาก คนงานกลุ่มหนึ่งยุ่งตลอดบ่าย พวกเขาใช้ฟักทองลูกใหญ่ทั้งหมดห้าลูก ส่วนอบพายฟักทองที่อบออกมาก็เหมือนกับภูเขาเล็กๆ สุดท้ายพอพวกเขากินก็กินกันจนแทบจะหมด ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงให้พวกเขาดื่มเหล้าแข่งกัน


เฉินเหลยและพรรคพวกจึงเต็มไปด้วยความเศร้า พวกเขาถูกชาวประมงรินเหล้าให้อย่างน่ากลัว แต่สำหรับชาวประมงแล้ว เบียร์กับน้ำไม่ได้แตกต่างกันอะไรกันมากนัก เพราะอย่างไรทานอาหารแล้วก็ต้องดื่มน้ำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมจะดื่มเบียร์ไม่ได้ล่ะ?


หลังอาหารค่ำ เหมาเหว่ยหลงก็โบกมือเรียกฉินสือโอวให้เข้ามาไป ส่วนเฉินเหลยและคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างๆ เขา


“เป็นอย่างไร?” ฉินสือโอวถามด้วยรอยยิ้ม


“พรุ่งนี้ฉันจะเตรียมตัวกลับแล้ว ฉันจะพาพวกพี่เหลยไปด้วย ดังนั้นฉันจะไม่อยู่รบกวนแกแล้ว” เหมาเหว่ยหลงว่า


ฉินสือโอวขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “นี่แกหมายความว่าอะไร? ลำบากอะไรกัน? ไม่ต้องรีบกลับหรอก เพื่อนไม่ใช่ว่าแกลาหยุดจนถึงสิ้นเดือนเหรอ? อยู่ต่อที่นี่อีกหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยว่ากัน”


เฉินเหลยยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่ได้ลาพักร้อนหนึ่งเดือนนะ ฉันลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เจี้ยนหนานก็เหมือนกัน เราจะไปพักกับโคโกโร่สักสองสามวันแล้วก็จะกลับประเทศจีน”


ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่ขอให้อยู่ต่อแล้ว ตอนนี้ก็เป็นวันที่สิบแล้ว ต่อให้พวกเขาไปแฮมิลตันก็อยู่เที่ยวได้แค่สามสี่วันและต้องรีบกลับทันที เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้เขารู้สึกเสียดายมาก “ฉันยังไม่ได้พาพวกนายออกทะเลไปหาปลาเลย จู่ๆ ก็กลับแบบนี้มันเร็วไปหรือเปล่า?”


เฉินเหลยเบิกตากว้างและพูดว่า “ตกปลามันสนุกตรงไหน? ถึงอย่างไรเราก็ตกปลากันบ่อยๆ อยู่แล้ว พูดตามตรงว่าที่นี่มีปลาเยอะมาก”


ฉินสือโอวพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อว่า “ไม่ใช่ว่ามันน่าสนุกหรอกเหรอ ทำงานยังสนุกได้เลย? ฉันแค่อยากให้พวกนายช่วยฉันทำงาน ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าพวกนายจะกลับเร็วขนาดนี้ ฉันคงจะรีบจัดการพืชผลในไร่ให้เร็วขึ้น!”


หม่าจินตบไหล่เขาพร้อมกับพูดว่า “มันง่ายมาก นายก็ทำเรื่องตรวจคนเข้าเมืองให้เราสิ เราจะได้อยู่ต่อช่วยนายจัดการดูแลพืชผลทุกวัน”


ตอนนี้แคนาดากำลังพยายามลดการรับคนเข้าเมือง การตรวจคนเข้าเมืองไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เงินแก้ปัญหาได้อีกต่อไป แน่นอนว่าถ้าสามารถใช้เงินหลายร้อยล้านเหมือนฉินสือโอวได้ตลอด การอพยพเข้าเมืองก็ยังไม่ใช่ปัญหา


เขาถามทุกคนว่า “พวกนายต้องการอพยพจริงๆ เหรอ? ฉันจัดการให้พวกนายได้ แต่ฉันไม่สามารถรับประกันการทำงานและการใช้ชีวิตได้”


ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการย้ายถิ่นฐาน อย่างแรกคือปัญหาในการทำงาน ตอนนี้อัตราการว่างงานในแคนาดาสูงมาก จากความเข้าใจของฉินสือโอวที่มีต่อเพื่อนๆ หลังจากพวกเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างน้อยหนึ่งปีก็ยังไม่สามารถหางานได้!


จงต้าจวิ้นโบกมือพร้อมพูดว่า “ถ้าพวกนายอยากจะย้ายถิ่นฐาน ฉันว่าอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไร พ่อแม่ฉันก็ยังอยู่ที่บ้านเลย”


คนอื่นๆ พากันพยักหน้าและถอนหายใจ พวกเขาไตร่ตรองกับปัญหานี้และคำตอบก็คือพวกเขาไม่สามารถอพยพได้ และแคนาดาก็ไม่เหมาะกับพวกเขา

 

 

 


บทที่ 1377 ปลาน้อยรีบมาเร็วๆ

 

ถึงอย่างไรก็จบมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลาหกถึงเจ็ดปีแล้ว พวกเขาอดทนอยู่ในสังคมมานานและพวกเขาก็ได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดแล้ว


ก่อนกลับจงต้าจวิ้นตบไหล่ฉินสือโอวเบาๆ และพูดว่า “จากนี้ฉันจะถือว่าที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุด อนาคตฉันจะกลับมาหาเจ้าถิ่นที่นี่อีก หวังว่านายจะไม่รำคาญนะ”


ฉินสือโอวจึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้ จากนั้นจึงพูดว่า “ฉันก็อยากให้พวกนายอยู่ที่แคนาดา! ทางที่ดีถึงเซนต์จอห์นแล้ว อย่าไปแฮมิลตันเหมือนโคโกโร่นะ”


เหมาเหว่ยหลงตะโกนขึ้นอย่างน้อยใจว่า “ให้ตายเถอะ เซนต์จอห์นของแกต้องมีฟาร์มนะ ถ้าไม่มีฟาร์มฉันจะเอาอะไรกินล่ะ? ฉันไม่เหมือนแก มีคุณปู่ที่ทิ้งมรดกให้สืบทอดฟาร์มปลาต่อนี่นา”


เฉินเหลยลูบที่เข็มขัดพร้อมพูดว่า “พูดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลย โชคชะตานี่ก็แปลกประหลาดดีนะ ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เราทุกคนรู้สึกว่าฉินเป็นคนจนๆ ไม่มีอะไร แต่สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองอย่างแท้จริง”


“ถ้าเทียบกับรุ่นแรกอะไรจะดีกว่ากัน?” เหยียนตงถามให้กลมกลืนกับเรื่องที่คุยกันอยู่ “คำตอบก็คือลูกหลานของกลุ่มชาวประมง!”


ในขณะที่การสนทนาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงรายงานของพนักงานต้อนรับอันไพเราะและนุ่มนวลก็ดังขึ้น “เรียนท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน เที่ยวบินเอสเฮชหกหกแปด จากเซนต์จอห์นไปแฮมิลตันเริ่มทำการเช็กอินได้แล้วในขณะนี้ กรุณาไปที่เคาน์เตอร์หมายเลขห้าค่ะ…”


เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเหลยก็หันกลับมากอดฉินสือโอวพร้อมกับตบหลังเขาแรงๆ และพูดว่า “ไปแล้วนะเพื่อน มีความสุขมากที่ได้สนุกกับนายในครั้งนี้! ไว้คราวหน้ามีโอกาสจะมาหานายอีก เตรียมเนื้อและไวน์ไว้ให้ฉันได้เลย!”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างไม่เต็มใจแล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับเสมอ”


คนอื่นๆ ก็เข้ามากอดเขาทีละคน สุดท้ายซ่งจวินเหมยและเพื่อนผู้หญิงอีกสามคนก็มองเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “เราจับมือกันก็พอแล้วไหม?”


ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปกอดพวกเธอทุกคนและพูดว่า “กอดกันก็ได้จะจับมือไปทำไมล่ะ?”


พอส่งทุกคนไปทางเดินขึ้นเครื่องแล้ว ฉินสือโอวก็พยายามโบกมือและตะโกนว่า “พวกนาย อายุไม่ใช่น้อยๆ กันแล้วนะ จะแต่งงานก็ควรรีบแต่งงานกันได้แล้ว! ฉันจะรองานแต่งงานของพวกนาย รอไปป่วนในงานแต่งงานของพวกนายอยู่นะ!”


พวกเขายิ้มพร้อมกับหันมาโบกมือ ฉินสือโอวรอจนมองไม่เห็นเงาของพวกเขาถึงจะหันหลังจากไป


ถ้าจะพูดให้เข้ากับสถานการณ์ ฉินสือโอวรู้สึกว่าตอนนี้คงจะพูดได้ว่า หมดยุคหนึ่งได้จบลงแล้ว ยุคหนึ่งก็กำลังเริ่มขึ้น…


เมื่อกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็กลับมายุ่งอยู่กับการตกปลาอีกครั้ง เขาเรียกเพ่าไห่ที่รู้จักในงานรำลึกสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อหนึ่งเดือนก่อนมาและขอให้ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และคนอื่นๆ ไปขึ้นเรือปริ้นเซสเมล่อนกับเขา เพื่อดูว่าเขาจะจัดการกับเรื่องลำนี้และดูว่าเขาจะเข้ากันกับชาวประมงได้หรือไม่


ตัวเขาเองไม่มีปัญหาอะไร ฉินสือโอวจึงไปแช่น้ำที่น้ำพุร้อน เขาพาเพื่อนตัวน้อยหู่เป้าฉงหลัวมาด้วย เมื่อไปถึงสระน้ำพุร้อน เขาก็เอนตัวนอนบนเก้าอี้และแช่อยู่ในน้ำอุ่น ฉินสือโอวจึงรู้สึกว่าผิวของเขาได้รับการผ่อนคลายมากขึ้น


หลังจากฉงต้ากระโดดลงไปในน้ำก็มองดูอย่างละเอียด ฉินสือโอวผิวปากใส่มันและยิ้ม จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ต้องหาแล้ว มันไม่มีปลา ที่นี่ไม่มีแซลมอน”


ฉงต้าส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจออกมา จากนั้นก็หาในน้ำต่อไป


เมื่อเห็นฉงต้ากำลังหาปลาในสระ จู่ๆ ฉินสือโอวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ว่า เขาสามารถเลี้ยงปลาการารูฟาในบ่อน้ำพุร้อนได้ เจ้าปลาตัวเล็กๆ นี้สามารถกินผิวหนังที่ตายแล้ว สิ่งสกปรกและแบคทีเรียในร่างกายมนุษย์ได้ ซึ่งมันยังเข้ากันกับน้ำพุร้อนได้ดีด้วย


เมื่อคิดได้ ฉินสือโอวจึงลุกขึ้นและเอนตัวลงบนขอบสระ จากนั้นก็เริ่มค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ


ปัจจุบันปลาที่ใช้ในบ่อน้ำพุร้อนมากที่สุดในโลกคือปลาดาวหรือที่เรียกว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งตุรกี ปลาแปลกประหลาดชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก มันสามารถดูดผิวหนังที่ตายแล้วจากการเกิดขึ้นแทนของเก่าในร่างกายมนุษย์และสามารถดูดสิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่ตกค้างในรูขุมขนของหนังกำพร้าของมนุษย์ได้ ทำให้ร่างกายของมนุษย์ปลอดโปร่ง ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียและไวรัสสะสมในร่างกายมนุษย์ ในขณะเดียวกันยังทำให้ร่างกายมนุษย์ดูดซึมส่วนผสมแร่ธาตุในน้ำพุร้อนได้อย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค


แต่หลังจากที่เขาค้นหาข้อมูลได้จำนวนมากแล้ว กลับไม่พบว่าปลาชนิดนี้ขายที่ไหน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากโทรหาบิลและบอกว่าตัวเขาต้องการซื้อปลาการารูฟา


หลังจากได้ยินเขาพูด เสียงหัวเราะแห้งของบิลก็ดังขึ้น “ไม่ได้นะฉินเพื่อนรัก นี่คุณกำลังทำให้ผมมีปัญหา ไม่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติในเซนต์จอห์น อ้อ ผมหมายถึงยกเว้นในบริเวณของคุณ ถ้าไม่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติ ก็จะไม่มีปลาการารูฟา ถ้าคุณต้องการซื้อ คุณต้องลองไปดูที่โทรอนโตเท่านั้น”


ฉินสือโอวบอกว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะคิดหาวิธีอื่นอีก บิลจึงพูดโน้มน้าวว่า “นี่คุณ จริงๆ แล้วน้ำพุร้อนไม่จำเป็นต้องมีปลาการารูฟาชนิดนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าคุณต้องการเลี้ยง คุณเคยคิดไตร่ตรองดูไหมว่าพวกมันจะอยู่รอดในที่ของคุณได้ไหม?”


“เอาล่ะ ถึงแม้ว่าพวกมันจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในบ่อน้ำพุร้อนของคุณได้ แล้วถ้าพวกมันตายล่ะ? หลังจากที่พวกมันตาย คุณจะเพิ่มมันได้อย่างไร? จะซื้อปลาตัวเล็กๆ จากทางไกลในโทรอนโตมาอีกไหม?”


สิ่งที่บิลพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน แต่หลังจากนั้นฉินสือโอวยังคงดึงดันที่จะติดต่อกับเรคด้วย เขามีนิสัยแบบนี้คือถ้าเขาคิดอะไรออกก็จะลงมือเลย ในเมื่อตอนนี้มีสระน้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้แล้ว ก็จะน่าเสียดายที่ไม่มีปลาการารูฟาที่เข้าคู่กัน


คำตอบของเรคก็เหมือนกับบิล เขาพูดว่า “ฉันไม่เคยเห็นปลาการารูฟาในนิวฟันด์แลนด์มาก่อน ปลาชนิดนี้ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดในแคนาดา พวกมันถูกส่งมาจากที่ต่างๆ เช่นเม็กซิโก ทั้งยังมีราคาแพงและไร้ประโยชน์อีกด้วย”


ฉินสือโอวถอนหายใจและพูดว่าโอเค ดูเหมือนว่าความคิดของเขาจะต้องหยุดชะงักลงเพียงเท่านี้


เรคหัวเราะและพูดว่า “ฉันเข้าใจในสิ่งที่นายคิด จริงๆ แล้วนายอยากทำให้น้ำพุร้อนของนายมีชีวิตชีวาขึ้นใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันขอแนะนำให้นายเลี้ยงปลาเขตร้อน อย่างเช่นปลามอลลี่สีดำ ปลากระโปรงดำ ปลาหมอริวูเลตัส ปลาหมอตาลและอื่นๆ”


ฉินสือโอวปฏิเสธ ถ้าแค่ต้องการหาปลาที่ปรับตัวเข้ากับน้ำร้อนได้ แล้วทำไมเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรคล่ะ? ในส่วนของภูเขาไฟใต้ทะเลในฟาร์มปลา ไม่ได้มีแค่ฝูงปลาและกุ้งที่ปรับตัวเข้ากับน้ำทะเลอุ่นได้ไม่ใช่เหรอ?


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้  หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างรุนแรง ในใต้น่านน้ำรอบภูเขาไฟไม่มีแค่ปลาตัวเล็กๆ ที่สามารถทำความสะอาดระบบการเปลี่ยนแปลงของโรคหรือแบคทีเรียหรือพยาธิให้ปลาและกุ้งได้? ปลาเหล่านี้ไม่มีค่าอะไร เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมัน ตอนนี้เขาจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าปลาตัวเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ใช่ไหม?


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้อยู่ ฉินสือโอวจึงรีบส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงใต้น่านน้ำทะเลภูเขาไฟ ตอนนี้กองกำลังทหารงูทะเลก็อาศัยอยู่ตามก้นทะเลแห่งนี้ ซึ่งที่นี่มีอุณหภูมิของน้ำค่อนข้างสูง พวกมันมีชีวิตอยู่ได้ในฤดูหนาวและนี่ก็คือสวรรค์สำหรับพวกมัน


เนื่องจากกองกำลังทหารงูทะเล ทำให้ตอนนี้ปลาและกุ้งตัวเล็กใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก จริงๆ แล้วงูเหลือมทะเลจะไม่กินปลาและกุ้งตัวเล็กที่นี่ เพราะมีปลาตัวอ้วนกว่า รสชาติดีกว่าในฟาร์มปลา แล้วทำไมต้องกินพุดดิ้งเล็กๆ เหล่านี้ด้วย? แต่ปลาและกุ้งตัวเล็กๆ ไม่รู้เรื่องนี้ พวกมันจึงอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยความหวาดกลัว


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมทะเลผืนนี้อย่างสมบูรณ์และฉินสือโอวก็ได้พบปลาตัวน้อยที่เขากำลังตามหาทันที


ซึ่งมันเป็นเหมือนกับปลาการารูฟา ปลาชนิดนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มันสามารถเติบโตได้มากสุดแค่ห้าถึงหกเซนติเมตร พวกมันจะสวยงามกว่าปลาดาว ลำตัวแทบจะโปร่งใสและมันวาว ถ้ามีแสงสะท้อนก็จะทำให้เห็นกระดูกสีขาวและอวัยวะที่มีสีเทาดำบางส่วนของพวกมัน

 

 

 


บทที่ 1378 ปลาโครงกระดูก

 

เมื่อพบปลาตัวเล็กๆ เหล่านี้ ฉินสือโอวจึงรวบรวมพวกมันและมองดู พบว่าปลาชนิดนี้มีจำนวนไม่มาก ซึ่งมีประมาณสี่ถึงห้าร้อยตัว สำหรับบริเวณภูเขาไฟใต้ทะเลที่ทอดยาว ความยาวเท่านี้จึงมีขนาดเล็กไปหน่อย


ตอนที่เขาค้นพบ ยังมีปลาตัวเล็กๆ บางตัวทำความสะอาดปลาและกุ้งที่หาทางเข้ามา ฉินสือโอวเห็นว่าปากของปลาตัวเล็กๆ เหล่านี้เปิดและปิดได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับที่ดูดเล็กๆ ซึ่งมันสามารถดูดพยาธิหรือเนื้อเยื่อที่ตายแล้วจากตัวปลาและกุ้งได้


หลังจากคิดเรื่องนี้ได้สักพัก เขาจึงตัดสินใจที่จะเอาพวกมันเป็นร้อยๆ ตัวกลับไปด้วย ในขณะเดียวกันก็ป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมันเป็นจำนวนมากด้วย


เมื่อรู้สึกถึงพลังโพไซดอนที่กำลังหลั่งไหลออกมา งูเหลือมทะเลจอมหน้าด้านรอบๆ ก็ขยับเข้ามาทันทีพร้อมกับมองหาพลังโพไซดอนด้วยความสนใจและบางตัวก็อ้าปากกินปลาตัวเล็กที่เต็มไปด้วยพลังโพไซดอนเข้าไป


ฉินสือโอวรีบควบคุมงูเหลือมยักษ์เหล่านี้ทันที ไม่เพียงแต่สั่งไม่ให้พวกมันกินปลาตัวเล็กชนิดนี้แล้ว และยังให้งูเหลือมยักษ์คุ้มครองพวกมันด้วย เพื่อให้พลังโพไซดอนในปลาตัวเล็กเหล่านี้จะมีมากขึ้นและเพื่อไม่ให้กลายเป็นอาหารของปลาตัวใหญ่ใต้ท้องทะเลได้ง่าย


น่าเสียดายที่งูเหลือมทะเลโตแต่หัว แต่จริงๆ แล้วไม่มีสมอง พวกมันจึงเข้าใจแค่คำสั่งห้ามไม่ให้กินปลาตัวเล็ก แต่ไม่สามารถคุ้มครองพวกมันได้


ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเกิดความคิดใหม่ขึ้น เขาเอาปลาตัวเล็กและงูเหลือมยักษ์มารวมกัน เพื่อให้พวกมันอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งนี่ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะบนตัวของงูเหลือมยักษ์มีแบคทีเรียและพยาธิจำนวนมาก นอกจากนี้เนื่องจากการเคี้ยวปลาและกุ้งจึงมักจะมีสิ่งตกค้างอยู่ระหว่างซอกฟัน ทำให้ปลาตัวเล็กพวกนี้สามารถเข้ามากินได้


เมื่อมีความคิดนี้ ฉินสือโอวจึงเริ่มลงมือทำ โดยการถ่ายทอดความคิดที่จะไม่ทำร้ายปลาตัวเล็กก่อน จากนั้นถึงจะควบคุมปลาตัวเล็กให้เข้าใกล้ๆ งูเหลือมทะเล


ความกล้าของปลาตัวเล็กกับขนาดของพวกมันมีเล็กน้อยเหมือนกัน เว้นแต่ฉินสือโอวจะควบคุมพวกมัน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะไม่กล้าโผล่ออกมาต่อหน้างูเหลือมทะเล แต่ถ้าพวกมันไม่โผล่ออกมาแล้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?


ฉินสือโอวควบคุมปลาตัวเล็กสองสามตัวให้เข้าไปในปากของงูเหลือมยักษ์ หลังจากปล่อยการควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้ว ปลาตัวเล็กเหล่านี้ก็จะไม่กลัวและยังว่ายน้ำไปมาอย่างอิสระในปากงูเหลือมยักษ์ได้อีกด้วย จากนั้นก็จะใช้ปากเล็กๆ เริ่มดูดเศษเนื้อตามซอกฟันของงูเหลือมยักษ์


หลังจากร่วมมือช่วยเหลือกันแบบนี้อยู่หลายครั้ง ปลาตัวน้อยก็พบว่างูเหลือมยักษ์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงมีความกล้ามากขึ้นและไม่กลัวงูเหลือมยักษ์อีกต่อไป


กุ้งขาวหลายตัวที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของน้ำร้อนได้แล้วก็ค้นพบสิ่งนี้เช่นกัน ที่แท้งูเหลือมยักษ์ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันไม่เป็นอันตรายเลย ดังนั้นพวกมันจึงเข้าใกล้ได้อย่างปลอดภัย


งูเหลือมยักษ์มองพวกมันด้วยสายตาเย็นชาและพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วพร้อมกับอ้าปากกว้างกินกุ้งขาวเข้าไปจนไม่เหลือสักตัว!


เป็นเรื่องยากที่ปลาตัวน้อยที่เพิ่งดึงความกล้าหาญออกมาต้องตกใจกลัวจนฉี่แทบราดเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทันใดนั้นพวกมันก็หนีกระเจิงและพากันไปซ่อนตัวตามแนวหินปูนและหินโสโครก


ฉินสือโอวทำได้เพียงปล่อยให้งูเหลือมยักษ์บุกเข้าไปตามแนวหินปูนและหินโสโครกก่อน ด้วยการเฝ้าระวังของพวกมัน ไม่ควรจะมีปลาและกุ้งกล้าจับปลาตัวเล็กเป็นอาหาร แล้วการอยู่ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายล่ะ? ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นการวางแผนในระยะยาว


หลังจากทำแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เช็ดตัวและสวมเสื้อผ้า หู่จือและเป้าจือก็เพิ่งกระโดดลงไปในน้ำสักพักและเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกมันนั่งยองๆ ในน้ำและโผล่ขึ้นมาแค่หัวพร้อมกับมองไปที่ฉินสือโอวที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนเช็ดตัว พวกมันจึงคิดว่าเขากำลังโยนผ้าเช็ดตัวเล่นกับพวกมัน พวกมันจึงพรวดพราดขึ้นไปเล่นด้วยอย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฉินสือโอวจะเช็ดตัวให้แห้งได้ สุดท้ายก็กลับมาเปียกอีกครั้ง เขาผลักหู่จือและเป้าจือออกไปอย่างจนปัญญาและชี้ไปที่ฉงต้าพร้อมกับพูดว่า “ไปๆๆ ไปเล่นกับฉงต้า”


หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็เช็ดตัวต่อไป แต่ละอองน้ำก็ยังคงกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง อีกทั้งผ้าเช็ดตัวในมือของเขาก็ขาดและตกลงไปในน้ำอีกด้วย จึงทำให้มันไม่สามารถใช้ต่อได้แล้ว


ฉินสือโอวจ้องไปที่หู่จือและเป้าจืออย่างทำอะไรไม่ได้ เจ้าแลบราดอร์ก็จ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสา เป้าจือมองซ้ายมองขวาและเห็นว่าแมวป่ากำลังนอนอยู่บนสระ ก็รีบเข้าไปลากคอมันลงน้ำทันทีและโยนหัวของมันใส่ผ้าขนหนู


ราชาเจ้าป่าซิมบ้ากระวนกระวายพร้อมกับสะบัดแขนขาในน้ำอย่างสุดชีวิต แขนขาทั้งสี่ของมันแกว่งไปมา แต่หางของมันกลับเหยียดตรง เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นกำลังตกน้ำ


ฉินสือโอวรีบพามันขึ้นมาทันทีและถูกเป้าจือทำร้ายจนมีบาดแผลที่ก้น จากนี้ไปใครที่บอกกับเขาว่าแลบราดอร์จะเชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายตอนโตเต็มวัย เขาจะตีคนคนนั้นให้พูดไม่ออกเลยทีเดียว


แลบราดอร์เริ่มซนมากขึ้นเรื่อยๆ สุนัขบ้านอื่นตอนเล็กๆ ก็พากันซนแต่พอโตขึ้นก็เชื่อฟัง แต่หู่จือและเป้าจือเมื่อพวกมันยังเด็กก็ทั้งเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย แต่ตอนนี้ก็ได้เริ่มเข้าวัยซุกซันของมันแล้ว


สิ่งนี้ทำให้ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฮัสกีหัวหน้าทีมรื้อถอน เขารู้สึกว่าแลบราดอร์ของตัวเองแม้ว่าจะไม่มีสายเลือดของฮัสกี แต่พวกมันก็ต้องมีความสัมพันธ์ห่างๆ กันแน่นอน ตอนนี้ยกเว้นแค่ไม่ฉีกสิ่งของขาด แต่ในด้านอื่นๆ พวกมันก็พอๆ กับฮัสกี


ในเมื่อหมดหนทาง ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงสวมชุดคลุมอาบน้ำออกไป หู่จือและเป้าจือปีนขึ้นมาจากสระว่ายน้ำพร้อมกับก้มหน้ามอง ดูเหมือนพวกมันจะละอายใจเล็กน้อย


ฉินสือโอวจะไม่ถูกการแสดงของพวกมันหลอกได้อีก เขามองดูเจ้าเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายตาที่เย็นชาและเมื่อพวกมันปีนขึ้นมาได้ครึ่งทาง เขาก็รีบวิ่งไปและเตะพวกมันลงน้ำทันที จากนั้นก็หัวเราะขึ้นอย่างไม่อาย


ราชาเจ้าป่าซิมบ้า หัวไชเท้าน้อยและพี่น้องเฟอเรทที่อยู่บนฝั่งก็กลับกลับมาด้วยกันและใช้สายตาที่หวาดกลัวจ้องมองไปที่ฉินสือโอว ให้ตายเถอะ มันแย่จริงๆ มีเจ้าของที่ซื่อบื้อแบบนี้ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงมีแลบราดอร์แบบนี้


เมื่อตัวยังไม่แห้ง ฉินสือโอวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสวมเสื้อคลุมอาบน้ำขับเรือออกทะเลเพื่อเอาปลาตัวเล็กๆ กว่าหนึ่งร้อยตัวกลับมา


เมื่อมองดูปลาตัวเล็กชนิดนี้หลังจากขึ้นจากน้ำแล้วก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันโปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ พอมองใส่กับแสงอาทิตย์แล้ว แทบจะเห็นกระดูกของพวกมันทุกตัวและทำให้รู้ว่ากระดูกของปลาเป็นสีขาว!


แต่แบบนี้ก็ทำให้เห็นว่าปลาตัวเล็กชนิดนี้น่ารักมากเป็นพิเศษ ฉินสือโอวไม่เคยค้นหาตัวตนของพวกมันเจอบนอินเทอร์เน็ตเลย เขาจึงตั้งชื่อให้พวกมันว่าปลาโครงกระดูก…


หลังจากเอาปลาตัวเล็กเหล่านี้ใส่ลงในสระน้ำพุร้อนแล้ว ฉินสือโอวก็ป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมันอีกครั้งและให้ความสำคัญกับสภาพความเป็นอยู่ของพวกมันอย่างระมัดระวัง


น้ำในสระน้ำพุร้อนและน้ำทะเลมีความเค็มต่างกัน แรงดันน้ำก็แตกต่างกันเล็กน้อย ปลาตัวเล็กเหล่านี้จึงดูอ่อนโยนและน่ารัก เขากังวลว่าพวกมันจะทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและตายไป


แต่ธรรมชาติมักจะสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนเสมอ ยิ่งเป็นสายพันธุ์ที่อ่อนโยนมากเท่าไร ความมีชีวิตชีวาก็จะเข้มแข็งมากเท่านั้น อย่างเช่นพยาธิต่างๆ หลังจากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมแล้ว ความมีชีวิตชีวาของปลาโครงกระดูกกลับไม่ได้ลดลงเลย พวกมันสามารถว่ายน้ำในสระได้อย่างอิสระ


ฉินสือโอวรู้สึกโล่งใจ เขาจึงกลับไปที่วิลล่าและเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังเดินเซไปมาอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เธอเดินอย่างคดเคี้ยวและท่าทางการเดินของเธอก็ดูราบรื่นขึ้นมากแล้ว


เมื่อเห็นลูกสาวกำลังเดินไปมาในบริเวณของตัวเอง ฉินสือโอวจึงไปอุ้มเธอเพื่อไม่ให้เด็กหญิงเดินต่อ


ไม่นานมานี้วินนี่เพิ่งเล่าเรื่องสถานการณ์ของเสี่ยวเถียนกวาให้กับหมอโอดอมฟัง โอดอมบอกเธอว่าเพื่อการเติบโตที่แข็งแรงของเด็กทารก ไม่จำเป็นต้องรีบหัดเดินให้เร็วเกินไป


ลักษณะทางสรีรวิทยาของทารกคือมีคอลลอยด์มากและมีแคลเซียมน้อยในกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนและผิดรูปได้ง่าย โดยเฉพาะการพัฒนาของกล้ามเนื้อขาส่วนล่างและกลุ่มกล้ามเนื้อมัดเล็กที่รักษาส่วนโค้งของเท้ายังไม่สมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเด็กถูกสอนให้เดินก่อนกำหนด น้ำหนักของร่างกายจะเพิ่มภาระให้กับกระดูกสันหลังและขาส่วนล่าง เมื่อเวลาผ่านไปกระดูกสันหลังและขาส่วนล่างจะผิดรูป หลังจะค่อม “ขาฉิ่ง” และ “ ขาโก่ง” จะส่งผลต่อรูปร่างและยังเป็นโรคเท้าแบนได้ง่าย

 

 

 


บทที่ 1379 เงินซื้อขายสินค้า

 

เสี่ยวเถียนกวาชอบการเคลื่อนไหวมากเหมือนกับเด็กๆ ส่วนใหญ่ และความสามารถด้านกีฬาของเธอก็โดดเด่นมาก ไม่รู้ว่าตัวเล็กๆ แค่นี้ไปเอาพลังงานมากมายมาจากไหน เมื่อก่อนตอนที่เธอคลานก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้พอตัวเองเดินได้แล้ว เธอก็แทบจะเดินด้วยตัวเองทุกครั้ง


ฉินสือโอวสังเกตเห็นถึงจุดนี้ ช่วงตอนเย็นจึงไปคุยกับวินนี่สักพักแล้วถามว่าจะต้องพาเด็กหญิงตัวน้อยไปโรงพยาบาลเด็กดูไหม วินนี่จึงพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “ไม่ต้องหรอก ชอบออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี หมอโอโดมบอกว่าขอแค่อย่าทำให้พัฒนาการกระดูกของเธอมีปัญหาก็จะพอแล้ว เพราะมันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเธอ”


ในเมื่อวินนี่พูดเช่นนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกโล่งใจ เขาเปิดโทรทัศน์ดูข่าว ทันใดนั้นก็มีการรายงานข่าวข่าวหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจเขา บริษัทบอมบาร์เดียร์เรียกประชุมไต่สวนผู้ถือหุ้นที่สำนักงานใหญ่ในมอนทรีออลและประกาศว่า บริษัทจะปลดพนักงานประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบคนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า


ตามการรายงานข่าว ตำแหน่งงานชุดนี้ที่วางแผนจะยกเลิกมีประมาณหนึ่งตำแหน่งซึ่งเป็นคนที่มาจากมอนทรีออล ส่วนอีกสี่ร้อยแปดสิบตำแหน่งมาจากโทรอนโตและสองร้อยแปดสิบตำแหน่งอยู่ที่ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งการได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานในครั้งนี้ มีทั้งสมาชิกสหภาพแรงงานและสมาชิกที่ไม่ใช่สหภาพแรงงาน นอกจากนี้ยังมีพนักงานที่เซ็นต์สัญญาอีกด้วย!


“ตามการรายงานข่าวและการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้กล่าวว่า การปลดพนักงานของบริษัทบอมบาร์เดียร์ จะเริ่มในเดือนมิถุนายนของปีนี้และจะยาวไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2016…” พิธีกรประกาศข่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น


วินนี่ทั้งดูข่าวไปด้วยทั้งแกล้งลูกสาวไปด้วย เธอถอนหายใจและพูดว่า “โอ้พระเจ้า บริษัทบอมบาร์เดียร์เริ่มปลดพนักงานแล้วเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนจำนวนมากต้องถูกปลดออกจากงาน เศรษฐกิจของแคนาดากำลังประสบปัญหาอย่างแท้จริง”


แม้ว่าบริษัทบอมบาร์เดียร์จะไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา แต่เนื่องด้วยคุณสมบัติของบริษัทอุตสาหกรรมการก่อสร้างประเภทนี้จึงสามารถจัดหาตำแหน่งงานได้ดีที่สุด ดังนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มปลดพนักงานออก นั่นก็แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจค่อนข้างแย่แล้ว


ฉินสือโอวนึกถึงคำพูดของจอร์จที่เคยบอกไว้ในตอนแรกว่า จริงๆ แล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าสู่บริษัทบอมบาร์เดียร์ แม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทที่ถือหุ้น แต่ก็ยังดีที่สามารถมีส่วนร่วมในการร่วมมือกับรัฐบาล


เมื่อนึกขึ้นได้ เขาจึงโทรศัพท์หาแบรนดอนและถามว่า “แร่ทองคำมีการจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”


แบรนดอนพูดอย่างกลุ้มใจว่า “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก นายต้องรอสักพักหนึ่งเลย ตอนนี้ทองคำเพิ่งถูกกลั่นออกมาปริมาณมากถึงสิบสองตัน ให้ตายเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องจัดการกับทองคำมากมายขนาดนี้!”


“แล้วจะจัดการเสร็จเร็วที่สุดเมื่อไร?” ฉินสือโอวกล่าว


เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ค่อนข้างรีบร้อนของเขา แบรนดอนก็ถามว่า “นายรีบใช้เหรอ? นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินนายพูดเรื่องเงินด้วยน้ำเสียงแบบนี้”


สำหรับคนเหล่านี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ฉินสือโอวจึงพูดตามความเป็นจริงไปว่า “ใช่ ฉันวางแผนว่าช่วงระยะเวลาใกล้ๆ นี้จะลงทุนกับบริษัทอุตสาหกรรม แต่ตอนนี้ฉันมีเงินติดตัวไม่มากพอ”


แบรนดอนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันทีและถามว่า “บริษัทอะไร?”


ฉินสือโอวจึงอธิบายสถานการณ์ของบริษัทบอมบาร์เดียร์ แบรนดอนพูดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมนายต้องรอทองล็อตนี้ล่ะ? ทำไมต้องเอาเงินตัวเองออก? ตอนนี้นายเป็นเจ้าของฟาร์มปลาขนาดใหญ่ นี่นายเป็นเจ้าฟาร์มปลารายใหญ่เลยนะ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะกู้เงินจากธนาคาร!”


เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวใจของฉินสือโอวก็กระจ่างขึ้นทันที เขาลูบหน้าผากไปมา เพราะเขาไม่เคยกู้ยืมเงินมาก่อนเลย เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ใช่สิ เขาสามารถใช้เงินธนาคารมาบริหารเองก่อนได้


แบรนดอนทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ฉินสือโอวถามเขาว่าตัวเองสามารถให้ยืมเงินได้เท่าไร แบรนดอนว่า “นายสามารถยืมได้อย่างน้อยห้าร้อยล้าน ถ้านายไม่ต้องการดอกเบี้ยสูง นายสามารถเพิ่มได้อีกห้าร้อยล้าน!”


จำนวนเงินทั้งสองนี้ทำให้เขาตกตะลึงมากและเขาก็ถามกลับว่า “พระเจ้า ฉันสามารถยืมหนึ่งพันล้านในตอนนี้ได้ไหม?!”


“ปกติแล้วไม่สามารถทำได้ ถ้าเพิ่มฟาร์มปลาและยานพาหนะของนายเข้าไปก็สามารถยืมได้เพียงสี่ร้อยถึงห้าร้อยล้าน ดอลลาร์แคนาดา แต่ก็มีฉันไม่ใช่เหรอ? ฉันช่วยนายหาวิธีเพื่อให้ได้เงินถึงหนึ่งพันล้านได้อย่างไม่มีปัญหา” แบรนดอนกล่าว


ฉินสือโอวฮึกเหิมขึ้นมาทันที ถ้าเขาสามารถได้เงินหนึ่งพันล้านได้ ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์แบบไตรภาคีกับบริษัทบอมบาร์เดียร์และรัฐบาลควิเบกที่เป็นตัวแทนของฌับลี ในอนาคตผลกำไรของเขาจะยิ่งมากขึ้นเป็นธรรมดา


แล้วการคืนเงินล่ะ? ความน่าจะเป็นไปได้น่าจะมีไม่มาก รัฐบาลควิเบกจะช่วยเขาหาวิธีหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะขาดทุน ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ถ้ารัฐบาลควิเบกขาดทุนแปดร้อนล้านดอลลาร์แคนาดาในทันที การประชุมรัฐทั้งหมดจะต้องถูกยุบ


ด้วยการรับประกันของแบรนดอน ทำให้ฉินสือโอวมีแผนในใจ แบรนดอนถามเขาว่าต้องการเงินกู้จริงๆ ใช่ไหม ฉินสือโอวได้ตัดสินใจอย่างแน่ชัดแล้วว่าจะให้เขาช่วยยืมเงินห้าร้อยล้านดอลลาร์แคนาดามาให้ก่อน


แบรนดอนบอกว่าไม่มีปัญหา ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกลงกันแบบนี้


ฉินสือโอววางสายโทรศัพท์และรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขากำลังเริ่มเดือดพล่านขึ้น เขาคิดว่าตัวเองไม่มีเงินแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น การบูชาเงินของผู้คนได้ฝังลึกเข้าไปในกระดูกดำแล้ว


จากนั้นไม่นาน เหมาเหว่ยหลงก็โทรศัพท์มาและวิดีโอแชทพูดคุยกับเขา เขากำลังมีปาร์ตี้บาร์บีคิวและบนกองไฟก็มีแกะทั้งตัวย่างอยู่ พวกเขาจึงกวักมือเรียกเขาไปกินแกะย่าง


ฉินสือโอวเห็นพวกเขากำลังเพลิดเพลินกันอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้ง จึงชูนิ้วกลางขึ้นใส่และพูดว่า “กินเถอะๆ ตอนนี้โรคไข้คิวกำลังระบาดในแคนาดาพวกแกควรระวังเรื่องนี้ให้มากและอย่าให้ตัวเองหนักถึงแปดสิบหรือหนึ่งร้อยกิโลกรัมด้วย”


เฉินเหลยตะโกนว่า “เฮ้ ฉินนายกำลังด่าพวกเราอยู่นะ”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจและพูดว่า “ใช่ ฉันด่าพวกนาย พวกนายจะทำอะไรฉันได้?”


คนพวกนั้นไม่ได้ทะเลาะกับเขา แต่กลับมาคุยกันใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ซ่งจวินเหมยโบกมือให้ฉินสือโอวและมองเขาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจและพูดว่า “ฉิน โน จั้ว โน ดาย วาย ยู ไทร?”


ฉินสือโอวไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร บังเอิญวินนี่กำลังเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่พอดีก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “โคโกโร่ส่งวิดีโอมาให้ฉัน ในนั้นมันคืออะไร?”


เมื่อเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี จากนั้นก็รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ลบทิ้งไปเลย เจ้านั่นจะส่งอะไรดีๆ ให้นายได้อย่างไรล่ะ? เดาว่าคงต้องการจะแกล้งเรา อย่าหลงกลนะ รีบลบทิ้งเลย”


วินนี่มองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มและพูดว่า “คุณดูเหมือนจะกังวลนะ”


ฉินสือโอวยิ้มแห้งและพูดว่า “ผมกังวลอะไรกัน? ผมก็แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่สบายใจ”


เมื่อวินนี่เปิดวิดีโอ ก็มีเสียงร้องของผีและหมาป่าดังขึ้น ฉินสือโอวมองไม่เห็นว่าในนั้นคืออะไร จึงพูดได้แค่ว่า “คุณดูสิ ผมพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ? โคโกโร่ไม่เคยทำเรื่องดีๆ หรอก”


วินนี่ยังคงดูต่อไป จากนั้นเธอก็สวมหูฟัง เธอทั้งดูวิดีโอทั้งเหลือบมองฉินสือโอวไปด้วย


ฉินสือโอวเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าในนั้นคืออะไร สีหน้าของวินนี่ก็เคร่งเครียดและให้เขานั่งตรงหน้า จากนั้นก็กัดฟันแล้วพูดว่า “ให้ฉันดูจบก่อน แล้วฉันจะคิดบัญชีกับคุณ!”


ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด จึงพูดว่า “คิดบัญชีอะไรกับผม? คุณไม่รู้จักผมดีเลยนะ?”


วินนี่หัวเราะเยาะพลางถอดหูฟังออกแล้วถามว่า “เซี่ยจือหลินคือใคร?”


เมื่อได้ยินชื่อนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว เขาจึงยกนิ้วขึ้นและพูดว่า “ที่รัก ผมกล้าสาบานต่อพระเจ้าได้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเซี่ยจือหลินไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอน!”


หลังจากแบบนั้น รอยยิ้มของวินนี่ก็สวยหยาดเยิ้มมากขึ้น

 

 

 


บทที่ 1380 บทลงโทษ

 

หลังจากวินนี่ดูวิดีโอจบ ก็โบกมือให้กอร์ดอนแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย ขอไอแพดให้ฉันหน่อยสิ”


กอร์ดอนบ่นพึมพำว่า “อย่าเพิ่งครับ พี่วินนี่ ผม…”


“ฮะ?” วินนี่ยิ้มพร้อมกับมองไปที่เขา ที่กำลังดูมีความสุขมาก


กอร์ดอนรีบกระโดดขึ้นทันทีและปิดเกมในไอแพดแล้วส่งให้เธอด้วยความเคารพพร้อมกับส่งยิ้มให้ แล้วพูดว่า “แหะแหะ ไม่มีอะไรครับพี่วินนี่ เมื่อกี้ผมแค่แกล้งพี่เท่านั้นเอง”


ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อครู่นี้กอร์ดอนดูเหมือนกับเสี่ยวไท่เจียนในเก้าประตูเมือง


วินนี่ใช้นิ้วกดไปที่แอปสีขาวในไอแพด จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “นายเล่นเกมอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นการเข่นฆ่าหรือความรุนแรงนะ ฉันจะถอนการติดตั้งออกให้หมดเลย”


ทันทีที่เธอพูดจบ กอร์ดอนก็แทบจะกรีดร้องออกมา เขามองไปที่วินนี่เหมือนกับลูกหมาที่ถูกรังแกแล้วพูดขอร้องอ้อนวอนว่า “อย่าเลยนะพี่วินนี่ ผมโตจนจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว นอกจากนี้เกมนี้ เดิมทีได้รับการพัฒนามาสำหรับนักเรียนมัธยมต้นด้วย อย่าถอนการติดตั้งออกเลยได้ไหม?”


วินนี่ยิ้มอ่อนแล้วพูดว่า “ดูเหมือนนายจะกลัวนะ ฉันแค่แกล้งนายเอง”


กอร์ดอนปาดเหงื่อบนหน้าผากและพูดด้วยอย่างโล่งใจว่า “พี่วินนี่พี่นี่ซนจริงๆ ฉินแต่งงานกับพี่แล้วนะ…เป็นโชคของเขาจริงๆ!”


สายตาของวินนี่ที่จับจ้องไปที่เขาก็อ่อนโยนลงทันที


กอร์ดอนตัดสินใจที่จะออกห่างจากสถานที่แห่งความถูกและผิดแห่งนี้ เขาผายมือให้ฉินสือโอวแล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับเดินจากไป


วินนี่เปิดโน้ตแพดในไอแพดและส่งให้ฉินสือโอว แล้วพูดว่า “มาที่รัก มาเขียนเรื่องราวทั้งหมดระหว่างคุณกับรุ่นพี่เซี่ยของคุณลงไป ฉันจะได้รู้ประวัติความสัมพันธ์ของคุณด้วย”


ไวส์ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันทีและถามว่า “อาจารย์มีพี่สาวด้วยเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมก็มีพี่สาวได้ใช่ไหม?”


วินนี่พูดอย่างไม่สนใจว่า “ไวส์ เวลาแห่งความสนุกยามเย็นได้จบลงแล้ว นายควรไปเรียนได้แล้วนะ”


ไวส์มองดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์แล้วพูดว่า “ไม่นะครับพี่วินนี่ นี่เพิ่งจะทุ่มครึ่งเอง อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะหมดเวลาแห่งความสนุก”


วินนี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้รีโมทคอนโทรลปรับเวลาของนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ให้ตรงกับสองทุ่มตรง จากนั้นเธอก็มองไปที่ไวส์และพูดว่า “นี่ไงถึงเวลาแล้วนะ?”


ไวส์อ้าปากค้างพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มิเชลกลับลากเขาออกไปและกระซิบว่า “นี่นายโง่หรือเปล่า? รีบวิ่งเลย กำลังจะเกิดสงครามขึ้นที่นี่!”


วินนี่ก็มองไปที่พาวลิส ซึ่งกำลังรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”


วินนี่พยักหน้าและตอนนี้ก็เหลือเชอร์ลี่ย์เพียงคนเดียว โลลิต้าโผล่หน้ายิ้มแย้มน่ารักออกมาและพูดว่า “พี่วินนี่ อย่าเพิ่งรีบไล่หนูนะคะ โอเคไหม? หนูอยากเรียนรู้วิธีจัดการผู้ชายจากพี่ พี่คือไอดอลของหนู”


คำพูดนี้ทำให้วินนี่สบายใจมาก แต่ฉินสือโอวไม่พอใจ จึงร้องตะโกนว่า “สองทุ่มแล้วยังไม่กลับบ้านอีก? เงินค่าขนมของสัปดาห์หน้าไม่อยากได้แล้วใช่ไหม?”


เชอร์ลี่ย์ยืนขึ้นพร้อมกับทำปากมุ่ย ในขณะที่เธอเดินผ่าน เธอจึงเหยียบนิ้วเท้าของฉินสือโอวและพึมพำว่า “โฮะๆๆ คุณก็ร้องตวาดได้นี่นา คุณก็ตวาดใส่ภรรยาคุณสิ? ทำไมคุณต้องกลัวขนาดนี้ ทำไมไม่ทำให้ภรรยาของคุณกลัวบ้างล่ะ?”


เมื่อพวกเด็กๆ ออกไป วินนี่จึงยื่นไอแพดให้เขาและพูดว่า “ที่รัก ฉันคิดว่าคุณรู้ว่าคุณเป็นรักแรกของฉันและยังเป็นสามีของฉันด้วย แล้วคุณล่ะ?”


ตอนที่ฉินสือโอวเรียนมหาวิทยาลัยเขาเคยมีแฟน แต่ทั้งสองก็จบกันด้วยดีและไม่มีอะไรต่อกันแล้ว แต่เรื่องนี้มีน้อยคนมากที่จะรู้ เหมาเหว่ยหลงก็เหมือนจะไม่ได้รู้อะไรมาก ดังนั้นวินนี่จะรู้ได้อย่างไร?


แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไร เขาจึงเล่าให้วินนี่ฟัง เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งได้พบกันที่ห้องสมุดและได้ทำความรู้จักกันในห้องเรียนจนพวกเขากลายเป็นแฟนกัน แต่พอคบกันได้สักพักหนึ่ง ก็พบว่าระหว่างพวกเขาไม่เหมาะสมกันเลย สุดท้ายก็เลิกกันไป


หลังจากได้ยินเรื่องราวของเขา วินนี่ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาพร้อมกับโอบแขนของเขาแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ของคุณก็คงผ่านมาเยอะเลยสิ ผู้หญิงคนนี้ชื่อหยางหมิ่นเหรอ? แล้วเซี่ยจือหลินล่ะ?”


ฉินสือโอวพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “เซี่ยจือหลินเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งของพวกเรา เธออายุมากกว่าเราสองปี ระหว่างผมกับเธอไม่ได้มีอะไรเลยนะ เราแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยด้วยซ้ำ”


วินนี่เปิดวิดีโอในโทรศัพท์ เธอยิ้มและพูดว่า “ดูสิ ปากแข็งจริงๆ เลยนะ”


ฉินสือโอวคว้าโทรศัพท์มาและเริ่มดู วิดีโอที่ถ่ายอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างมืดสลัว ตอนแรกมีเสียงดังและมีเสียงขวดเหล้าชนกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นมีคนตะโกน ‘เฮ้’ และเริ่มถามกันเสียงดังว่า


“ฉินสือโอว จำรุ่นพี่เซี่ยจือหลินได้ไหม?”


“อืม จำได้สิ รุ่นพี่เซี่ย ฉันจำได้แน่นอน” ฉินสือโอวถึงกับผงะ แม้ว่าเสียงนั้นจะคลุมเครือมาก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่านั่นเป็นเสียงของเขาเอง แต่ทำไมถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยพูดแบบนั้นออกไป?


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา วินนี่ก็ยิ้มหวานมากขึ้นกว่าเดิม


“ฉันได้ยินมาว่าคุณเคยแอบชอบรุ่นพี่เซี่ย? ใช่ไหม? คุณเคยทำเรื่องบ้าๆ อะไรกับรุ่นพี่เซี่ย? ฉันได้ยินมาว่าโคโกโร่เคยจูบเธอด้วย”


“เรื่องไร้สาระน่ะ แอบรักอะไรกัน? รุ่นพี่เซี่ยกับผมเป็นความรักที่บริสุทธิ์! แล้วอีกอย่างใครบอกคุณว่าโคโกโร่เคยจูบเธอ? จูบในความฝันล่ะสิไม่ว่า? ผมเป็นคนรักของเธอ! จูบแรกของเธอก็คือผมเอง ฮ่าฮ่า…”


วินนี่รับโทรศัพท์พร้อมกับยักไหล่ใส่ฉินสือโอวและแสดงความอ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำออกมา “คุณก็รู้ที่รัก ฉันทุ่มเทให้กับคุณมาก ฉันรักคุณมาก ดังนั้นคุณสารภาพตรงๆ เถอะ ยังมีเรื่องอะไรแบบนี้อีกไหม?”


ฉินสือโอวพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ดูออกว่ามันคือที่ไหน โทรศัพท์ถ่ายในที่สถานที่ที่มืดสลัวและสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย ดังนั้นเขาจึงเพิ่งแยกออกว่าที่นี่คือบาร์ เป็นบาร์ที่จัดปาร์ตี้สละโสดของเขา


คืนนั้นเขาถูกแบรนดอนมอมเหล้า พอเริ่มเมาแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้เขาพูดออกมาหลังจากเมาแล้ว!


จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขาไปตั้งแคมป์บนภูเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซ่งจวินเหมยก็เคยพูดถึงเซี่ยจือหลิน ตอนนั้นเฉินเหลยบอกว่ามีอะไรจะโชว์ให้เขาดู แต่เขาก็ถูกเหมาเหว่ยหลงขวางไว้ ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รู้สึกว่ามีคนไม่หวังดีต้องการจะเอาคืนเขา


แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ? พวกคนไม่หวังดีพวกนี้ก็วางแผนใส่ร้ายเขาจริงๆ!


ฉินสือโอวอธิบายไปพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น สายตาของวินนี่จึงมองไปที่เขา “คุณกำลังจะบอกว่าคุณกำลังพูดโอ้อวดอยู่เหรอ?”


“ดื่มจนเมา คงไม่ได้แค่โอ้อวดเท่านั้น แต่พูดไร้สาระด้วย!” ฉินสือโอวพูดอย่างน้อยใจ


วินนี่มองไปที่เขา จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ ฉันเชื่อคุณ จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญเลยว่าคุณจะเคยรักใคร เพราะถึงอย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่คุณรู้จักกับฉันมา คุณก็ยังคงทำตัวดีมาเสมอ”


ฉินสือโอวยิ้มแห้ง แต่ท่าทางที่คุณทำเมื่อกี้ไม่เหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรนะ


วินนี่จึงนวดหน้าเขาเหมือนนวดแป้งแล้วพูดว่า “ความจริงฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อกี้ตอนที่คุณกำลังพูดในวิดีโอ ฉันเห็นคุณชูนิ้วกลางใส่พวกเขาแบบไม่พอใจ”


ฉินสือโอวจ้องไปที่ความน่าเกรงขามของหัวหน้าครอบครัว “แล้วทำไมยังหึงอีกล่ะ?”


“ฉันไม่ได้หึง ฉันแค่จะทำให้คุณกลัวเท่านั้นเอง นี่คือการลงโทษ เข้าใจไหมคะ?” วินนี่กล่าว


ฉินสือโอวพ่ายแพ้ให้ผู้หญิงคนนี้ทันที “ผมทำอะไรผิด คุณถึงกับต้องลงโทษผม?”


“เด็กๆ อยู่ที่นี่ คุณชูนิ้วกลางขึ้นไม่พอ ยังพูดคำหยาบอีก นี่ไม่ได้ทำผิดเหรอคะ?” วินนี่กล่าว


ฉินสือโอวมองเธอด้วยความงุนงง วินนี่จึงยิ้มทันทีพร้อมกับมองเขาอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “แต่ฉันก็ทำเกินไปนิดหน่อย ฉันก็ผิดด้วยเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณจะลงโทษฉันอย่างไรดีล่ะ?”


ฉินสือโอว “…”

 

 

 


บทที่ 1381 ที่แท้สิ่งที่สร้างความแข็ง...

 

หลังจากอุ้มลูกสาวให้แม่แล้ว ฉินสือโอวและวินนี่ก็ทำเรื่องน่าอายกันในห้องตอนกลางดึก วินนี่บอกว่าเธอต้องการมีลูกชายเพิ่มอีกหนึ่งคน ฉินสือโอวเห็นด้วยมาก จากนั้นทั้งสองก็เริ่มกิจกรรมปั๊มลูก


หลังจากเสร็จแล้ว วินนี่ก็พลิกตัวและหลับไป ทางฝั่งฉินสือโอวก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขายังมีงานต้องทำอีกมากจึงควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดกระจายพลังโพไซดอนลงในฟาร์มปลา


ช่วงเวลาที่จะถึงนี้ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง สำหรับฟาร์มปลาแล้วนี่เป็นฤดูจับปลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาต้องการเพิ่มความอ้วนให้ปลาและกุ้งชั่วคราว โดยเฉพาะฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินและปลาทูน่าครีบเหลืองจำเป็นต้องทำให้พวกมันอ้วนขึ้น ถึงอย่างไรตอนนี้ฉินสือโอวก็เป็นเศรษฐีคนใหญ่คนโตที่มีกู้เงินถึงหลายร้อยล้าน จึงต้องอาศัยฟาร์มปลาแห่งนี้ในการคืนเงิน


หลังจากมีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดแล้ว ฉินสือโอวจึงทำเรื่องต่างๆ ได้สะดวกขึ้น เขาโจมตีไปทั้งแปดทิศทางได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเจอฝูงปลาแล้วก็กระจายพลังโพไซดอนออกไปเหมือนกับเครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลง


นอกจากนี้ เขายังตั้งใจไปดูหอยนางรมลอยโดยเฉพาะอีกด้วย โชคดีที่เป้ยหวังสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่แค่พลังชีวิตของมันต่ำมาก ฉินสือโอวจึงป้อนพลังโพไซดอนให้มันอย่างเจ็บปวดใจและเขาก็แอบอธิษฐานในใจว่า ขอพระเจ้าอวยพร ขอให้มันมีชีวิตรอดต่อไปเถอะ เพราะในตัวมันมีไข่มุกดำขนาดใหญ่มากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีอะไรเทียบได้!


เป้ยหวัง “…”


ในที่สุดประชากรปลาไส้ตันฟลอริดาก็ขยายตัวใหญ่มากขึ้น ฉินสือโอวเฝ้าดูปลาตัวใหญ่ที่พาฝูงปลาเล็กว่ายน้ำตามมาจากปะการังพร้อมๆ กัน เขารู้สึกพอใจมากจึงรีบป้อนพลังโพไซดอนให้อย่างรวดเร็ว


เพียงแค่ปลาไส้ตันฟลอริดาสามารถไปถึงระดับมาตรฐานที่สามารถนำมาผลิตได้ อาหารทะเลต้าฉินก็จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดได้อีก


ก่อนหน้านั้นกุ้งกุลาดำและหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสที่เพาะเลี้ยงไว้ในบ่อเพาะพันธุ์นั้นเพิ่งจะถูกนำลงไปในฟาร์มปลาเมื่อไม่นานมานี้ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ทะเลลึกและชอบกินสาหร่ายไดอะตอมใต้ทะเลลึก ฉินสือโอวตั้งใจที่จะเพิ่มพลังโพไซดอนให้กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ทะเลลึก เพื่อให้มันการเจริญเติบโตงอกงามให้ได้มากที่สุด


ผลิตภัณฑ์ของฟาร์มปลามีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่น่าเสียดายที่การผลิตยังมีระยะห่างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปูดันเจเนสส์ หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส ปลายอดม่วงขนาดเล็ก กุ้งกุลาดำหรือหอยทุกชนิด การเพาะพันธุ์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผสมพันธุ์


หลังจากจัดการดูแลฟาร์มปลาได้สักพักแล้ว ฉินสือโอวก็ต้องการไปค้นหาเรืออับปางในทะเลอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เขากู้เงินจำนวนมากขนาดนี้ จึงมีความกดดันในใจ เขาต้องการหาเรืออับปางเพื่อหาสมบัติที่ซ่อนไว้ ดังนั้นบางทีเขาอาจจะสามารถคืนเงินกู้ล่วงหน้าได้


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดแผ่กระจายไปรอบๆ ทั่วทุกทิศทาง ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากที่ดูดซับพลังงานในอำพันทะเลแล้ว หัวใจแห่งโพไซดอนก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ความเร็วในการถ่ายโอนของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงโดยประมาณคือจากความเร็วของรถเอฟวันเพิ่มขึ้นไปจนถึงความเร็วของเครื่องบินไอพ่นที่บินอยู่ระดับความสูงในอากาศ จึงทำให้ฉินสือโอวไม่สามารถตอบสนองได้


โชคดีที่เขาแค่ต้องการหาซากเรืออับปาง แค่สังเกตดูรอบๆ ว่ามีร่องรอยของเรืออับปางหรือไม่ก็พอแล้ว


นี่เป็นครั้งแรกที่ถือโอกาสใช้ด้วยความเร็วสูงหลังจากอัปเกรดหัวใจแห่งโพไซดอนและก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับความเร็วสูงแบบนี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีมาก ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสกระตุ้นจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ก้าวหน้าอีกด้วย


โดยปกติแล้ว ประสาทสัมผัสของเขาจะไม่สามารถตามความเร็วนี้ให้ทันได้ แต่ฉินสือโอวสังเกตเห็นได้ว่า บางครั้งประสาทสัมผัสของเขาสามารถตามทันได้และเขาก็สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้อย่างชัดเจน


ความรู้สึกนี้ค่อนข้างแปลกเล็กน้อย เหมือนกับตอนนั่งรถไฟใต้ดิน มีช่วงหนึ่งของการเดินทางที่อยู่ในความมืด แต่เมื่อเข้าสู่สถานีแล้วกลับเห็นแสงที่อยู่ภายนอกหน้าต่าง เพียงแต่แค่สำหรับจิตสำนึกแห่งโพไซดอน มันไม่เคยเข้าสู่สถานีและอยู่ในสภาพที่เป็นความเร็วสูง


หลังจากค้นพบความผิดปกติแล้ว ฉินสือโอวจึงชะลอความเร็วลงและใช้ใจสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัว


แต่หลังจากความเร็วผ่านไประยะหนึ่ง ประสาทสัมผัสก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยความเร็วนี้ประสาทสัมผัสยังคงคลุมเครือและไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์รอบๆ ได้อย่างชัดเจน


เมื่อเขาเร่งความเร็ว ปลาหัวเมือกฝูงเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของเขา ดังนั้นเขาจึงเอาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนติดตามพวกมันไป เพื่อที่จะป้อนพลังโพไซดอนเข้าไปให้พวกมัน


หลังจากที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าใกล้แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้กลับมาชัดเจนอีกครั้ง!


จึงทำให้เขานึกขึ้นได้ตามสัญชาตญาณว่าเกิดอะไรขึ้น จะเป็นไปได้ไหมที่ในกระบวนการของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนจะมีความรวดเร็วซ่อนอยู่ เมื่อมันเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตในทะเลเหล่านี้แล้ว มันจะสามารถได้รับการมองเห็นหรือความทรงจำ?


เขาจึงคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรู้สึกว่าความทรงจำไม่น่าจะเป็นไปได้ ว่ากันว่าความทรงจำของปลานั้นสั้นมากมีเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะได้รับการมองเห็นจากสิ่งมีชีวิตในทะเลเหล่านี้?


ดังนั้นเขาจึงทำการทดลองดู เมื่อผ่านน่านน้ำทะเลที่ไม่มีปลาอยู่ ประสาทสัมผัสของเขากลับไม่ชัดเจนและไม่สามารถตามความเร็วของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้ แต่เมื่อเขาผ่านปลาหรือฝูงปลา ก็พบว่าประสาทสัมผัสกลับชัดเจนขึ้นทันทีและยังควบคุมสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจนอีกด้วย


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมั่นใจแล้วว่าการอัปเกรดของหัวใจโพไซดอน ไม่ได้เพิ่มทักษะให้กับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่ แต่เขาสามารถควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้รวดเร็วขึ้นได้และควบคุมยังสภาพแวดล้อมผ่านการมองเห็นของปลาและกุ้งที่อยู่รอบๆ!


หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้วฉินสือโอวก็ดีใจมากและตอนนี้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็มีประโยชน์เป็นอย่างมาก!


ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงในทะเล เขาทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ ต่อให้เขาจะเจอกับสัตว์ทะเลล้ำค่าหรือสมบัติจากซากเรือในระหว่างการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เขาก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้และพลาดโอกาสกับพวกมันไป


หลังจากที่ยืมการมองเห็นของปลาและกุ้งมาใช้ได้แล้ว เขาก็มีความสามารถในการควบคุมสภาพแวดล้อมรอบๆ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก


แต่จากการทดลอง เขาพบว่าความสามารถนี้เหมาะกับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเท่านั้น ในขณะเดียวกันจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดก็มีความเร็วสูงขึ้นไปด้วยและสมองของเขาก็สามารถถ่ายทอดข้อมูลได้ทันทีจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน โดยผ่านการมองเห็นของปลาและกุ้ง


พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเขาลดความเร็วลง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดก็จะเคลื่อนไปข้างหน้าช้าลง ก็เท่ากับว่าเขามีดวงตาแปดคู่และถ้าเขาเพิ่มความเร็ว เขาจะมีตาเพียงคู่เดียว และยังมีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือเขาสามารถเปลี่ยนการมองเห็นของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดได้ตลอดเวลา


สุดท้ายแล้วเขาก็ยังมีอีกหนึ่งความสามารถ แม้ว่ามันจะดูไม่สำคัญเท่าไร แต่ฉินสือโอวก็พอใจที่มีมันอยู่ เขาควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กระจายไปรอบๆ ทำให้เขาเดินเตร็ดเตร่ไปมาในฟาร์มปลาขนาดใหญ่หนึ่งรอบได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีและความสามารถในควบคุมของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก


สิ่งนี้มีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือมันคล้ายกับทักษะในเกมชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าการวางตำแหน่งอัตโนมัติ เขาไม่จำเป็นต้องค้นหาสิ่งมีชีวิตในทะเลด้วยตัวเองอีกต่อไป เพียงแค่ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเดินทางออกไปและเมื่อมันพบสิ่งมีชีวิตในทะเลก็จะมองเห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเทียบเท่ากับการค้นหาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้โดยอัตโนมัติ


ฉินสือโอวออกเดินทางไปตามแนวและวนรอบฟาร์มปลาทีละรอบๆ เมื่อพบกับปลา กุ้งและปู เขาก็จะป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมัน ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน


สุดท้ายก็เพลิดเพลินจนเกินไป ฉินสือโอวเริ่มฮึกเหิมและไม่สังเกตเห็นอะไร เมื่อเขารู้สึกเหนื่อยล้า พลังทางจิตของเขาก็ถูกถอนออกไป ในขณะที่เขาฟื้นจิตสำนึกแห่งโพไซดอนคืน เขาก็รู้สึกหน้ามืดและร่างกายของเขาก็หมดแรงลงทันที!


ฉินสือโอวเข้าใจว่าครั้งนี้ตัวเองทำเกินขอบเขตมากเกินไป เขาจึงผลักวินนี่และกระซิบว่า “ขอน้ำกลูโคสให้ผมสักแก้วหน่อยสิ”


วินนี่ที่หลับไปแล้ว หลังจากถูกเขาผลักให้ตื่น เธอก็หันหน้ามาอย่างงัวเงียและถามว่า “มีอะไรเหรอที่รัก? ฉันรู้สึกเพลียเล็กน้อย โอ้ ให้ตายเถอะ! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงเหงื่อออกมากขนาดนี้?”


ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เมื่อกี้ผมฝันร้ายน่ะ…”


วินนี่เปิดโคมไฟหัวเตียงเพื่อดูสีหน้าของเขา ก็ต้องถึงกับตกใจแล้วพูดว่า “สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฉันจะโทรศัพท์หาหมอโอดอม!”

 

 

 


บทที่ 1382 อานุภาพเกรียงไกร

 

หลังจากตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ฉินสือโอวก็วิ่งหอบไปรอบๆ ชายหาดและเห็นชาร์คที่กำลังชกมวยอยู่ก็มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา เขาวิ่งไปต่ออีกจนพบกับนีลเซ็นที่กำลังออกกำลังกายในตอนเช้าอยู่ก็มองไปที่เขาและส่ายหัวอีกเช่นเดียวกัน


นี่ทำให้ฉินสือโอวแปลกใจมากจึงถามว่า “อะไร มีอะไรบนหน้าฉันเหรอ?”


นีลเซ็นมองหน้าคนอื่นๆ พร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่นะบอส เมื่อคืนคุณทำงานหนักใช่ไหม?”


“ได้ยินมาว่าถึงกับต้องเรียกหมอโอโดมมาเลยเหรอ? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


“ฉันกล้าพนันเลยว่าบอสต้องหมดแรงแน่ๆ”


“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวสบถคำด่าออกมา “ฉันแค่ฝันร้าย วินนี่ตกใจไปหน่อย ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันคงจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ?”


เมื่อคืนเขาใช้พลังโพไซดอนมากเกินไป วินนี่จึงตกใจเหมือนกับที่ลูกน้องกลุ่มนี้เป็น คิดว่าก่อนหน้านี้เธอคงจะเหนื่อยจึงไม่พูดอะไรเลยสักคำและรีบโทรศัพท์หาโอดอมให้มาหาก่อน


โอดอมตรวจเขาสักพัก คำตอบก็คือเขาหมดแรง ต้องให้กินกลูโคสสองรอบ จากนั้นก็กลับไปด้วยสีหน้าที่มีเลศนัย


แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไร หลังจากดื่มของกลูโคสเข้าไปแล้วก็รู้สึกปกติและนอนหลับพักผ่อน ตอนนี้เขาก็กลับมาเป็นฉินสือโอวที่แข็งแรงอีกครั้งแล้ว


แต่เห็นได้ชัดว่านีลเซ็นไม่คิดอย่างนั้น หลังจากได้ยินปัญหาของเขา ชายคนนี้ก็สังเกตดูอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ไม่บอส คุณดูเหนื่อยมากต้องพักผ่อนนะ โดยเฉพาะเอวของคุณต้องพักให้มากๆ”


เมื่อเห็นสีอันชั่วร้ายของลูกน้องเหล่านี้แล้ว ฉินสือโอวก็เงียบลง เพราะถ้าพูดคุยปรึกษาปัญหานี้ต่อก็คงไม่มีประโยชน์อะไร วิธีที่ชาญฉลาดก็คือการเปลี่ยนเรื่องพูด


ดังนั้น เขาจึงตบไหล่นีลเซ็นเบาๆ และพูดว่า “บางทีนะ นีลเซ็นเชื่อฉันเถอะ อย่าเพิ่งรีบแต่งงานกับแพรีสเลย เว้นไปอีกสักไปอีกสองปีเถอะแล้วนายจะมีความสุขมากขึ้น การแต่งงานก็คือหลุมฝังศพของความรัก!”


แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ มองไปที่เขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและพูดว่า “บอส เชิญคุณนอนลงได้ตามสบาย โลงศพข้างๆ ผมยังมีที่ว่าง ต้องการมาอยู่ด้วยกันไหม?”


“พวกนายอย่าทำให้ฉันกลัวสิ แพรีสกับฉันจัดเตรียมงานหมั้นแล้ว” นีลเซ็นพูดด้วยความหวาดกลัว


ฉินสือโอวพูดปลอบเขา “ไม่เป็นไร บางทีชีวิตของนายอาจจะดีก็ได้ แพรีสที่นายเจอคงจะไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ” ในขณะที่พูดอยู่เขาก็พยักหน้าให้แบล็คไนฟ์ “เก็บที่ว่างข้างๆ นายไว้ให้นีลเซ็นแล้วกัน ส่วนฉันจะหาที่ของตัวเองเอง”


นีลเซ็น “…”


และก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ลูกน้องรูปร่างกำยำกลุ่มหนึ่งก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องการแต่งงานที่ไม่มีความสุขของพวกเขา


“ก่อนที่จะแต่งงาน ก็เป็นนางฟ้า ทำให้หวงแหนเธอเป็นอย่างมาก แต่พอหลังแต่งงานแล้วก็เปลี่ยนไป จู่ๆ เอวของเธอก็ห้อยเป็นยางรถและแม้แต่เสียงในลำคอของเธอก็ยังน่ากลัวขึ้นอีกด้วย”


“ให้ตายเถอะ ช่างเป็นฝันร้ายจริงๆ มิน่าล่ะ ที่บอสบอกว่าเขาฝันร้าย ตอนนี้ชีวิตของฉันถึงเหมือนอยู่ในฝันร้ายทุกวันเลย”


“โดยเฉพาะหลังคลอดลูก ฉันเสียใจจริงๆ ทำไมตอนนั้นถึงโง่ไปเลือกแต่งงานนะ? จริงๆ แล้วฉันควรรักษาความโสดไว้ นีลเซ็นไม่ต้องรีบแต่งงานนะรู้ไหม?”


ฉินสือโอวโบกมือไปมาพร้อมกับแสดงสีหน้าจริงจัง “อย่าทำให้นีลเซ็นตกใจกลัวไป ตอนนี้แคนาดากำลังประสบปัญหาประชากรลดลง ไม่เคยได้ยินประโยคนั้นมาก่อนเหรอ? มีลูกคนเดียวเป็นโทษมีลูกสองคนถือเป็นรางวัล แต่ถ้าโสดไม่มีลูกก็คงจะลำบาก! อย่าทำให้นีลเซ็นกลัวจนไม่กล้าแต่งงานเลยนะ”


นีลเซ็นยิ้มเจื่อนๆ และพูดอย่างหดหู่ใจว่า “พวกนายต้องโกหกฉันแน่ๆ การแต่งงานคือพระราชวังสุดท้ายที่มีความสุข”


“ใช่สิ ดังนั้นนายก็ต้องรีบแต่งงาน” ฉินสือโอวแกล้งทำเป็นตบไหล่ของเขาเบาๆ แล้วทิ้งให้นีลเซ็นรู้สึกสับสนอยู่คนเดียว จากนั้นเขาก็วิ่งต่อไปอย่างมีความสุข


ในขณะที่เตรียมตัวออกทะเลในช่วงเช้า แซนเดอร์สเรียกเขาให้มาหา เขาจึงหันกลับมาและถามว่า “เฮ้ ศาสตราจารย์มีเรื่องอะไรเหรอ?”


แซนเดอร์สเดินเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วแอบอมยิ้มถามว่า “ฉิน ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้คุณไปหาหมอมาเหรอ?”


สีหน้าของฉินสือโอวก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง “อย่าพูดอย่างนั้นศาสตราจารย์ คุณเป็นคนที่มีความรู้ระดับสูง อย่าพูดอะไรไร้สาระหน่อยเลย”


“แล้วเมื่อคืนคุณไม่ได้ไปหาหมอหรอกเหรอ?”


“เอาล่ะ ผมไปหาหมอ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ”


“เหมือนที่ผมคิดคืออะไร?” แซนเดอร์สถามด้วยความแปลกใจ


ฉินสือโอวมองเขาอย่างงุนงงและพูดว่า “อืม บางทีผมอาจจะเข้าใจผิด ว่าแต่มีเรื่องอะไร?”


แซนเดอร์สใช้ศอกสะกิดแขนของเขาด้วยความสงสัยและพูดว่า “มีสองเรื่อง เรื่องแรกที่จะบอกคุณก็คือพักผ่อนบ้างเถอะบอส ถึงแม้ว่าวินนี่จะเป็นสาวสวยเซ็กซี่ก็ตาม” ในขณะที่พูดเขาก็ส่ายหัวอีกครั้ง “พูดตามตรง ถ้าเป็นผมมีภรรยาเหมือนวินนี่ตอนที่ยังหนุ่มๆ อยู่ ผมคงต้องไปพบแพทย์วันละสองครั้ง”


“นี่ล้อผมเล่นเหรอ?” ฉินสือโอวแอบด่าเจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้ในใจ โชคดีที่ยังคิดว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่ตัวเองเคารพอยู่ตั้งแต่แรก


แซนเดอร์สกระแอมขึ้นและพูดว่า “เปล่า เรื่องที่สำคัญเรื่องที่สอง คนจากบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดมาถึงแล้ว เราไปเตรียมตัวกันเลยไหม?”


ฉินสือโอวพูดด้วยความงุนงงว่า “พวกเขานี่รวดเร็วจริงๆ เลย มาเร็วกันขนาดนี้เลยเหรอ?”


“แน่นอน วันนั้นผมแจ้งให้พวกเขาทราบเป็นครั้งแรกแล้ว อีกอย่างไม่ใช่ว่าจะใกล้ถึงวันฮาโลวีนแล้วเหรอ? พวกเขาก็กำลังเตรียมหัวข้อบันทึกพิเศษสำหรับฟักทองไว้เช่นกัน” แซนเดอร์สกล่าว


คราวนี้นำทีมโดยเคลลี พอล ผู้อำนวยการหน่วยงานบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจำกัดในแคนาดาเหมือนกับครั้งที่แล้ว เขายังคงสวมเสื้อกั๊กขนาดเล็ก ช่วงปลายเดือนตุลาคมในเซนต์จอห์นอากาศจะเริ่มหนาวแล้ว ฉินสือโอวมองดูเสื้อที่เขาสวมอยู่ก็อยากจะชื่นชมความสามารถในการอดทนต่อความหนาวเย็นของเขา


ครั้งนี้เคลลี พอลพาทีมงานตากล้องมาด้วย เขาพูดว่า “ผมเห็นรูปถ่ายที่พวกคุณส่งมา ผมมั่นใจว่าคราวนี้จะต้องทำลายสถิติโลกได้ พวกคุณให้เราได้เป็นสักขีพยานร่วมกันเถอะ”


ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะขอกันง่ายๆ นะครับ”


พวกเขาเดินจากวิลล่าไปที่ฟาร์มปลาแกธเธอริงพร้อมปืนยาวและปืนสั้นจำนวนมาก ระหว่างทางผ่านเมืองเล็กๆ ชาวเมืองหลายคนที่ไม่มีอะไรทำจำนวนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาดูและยังมีนักท่องเที่ยวตามมาเหมือนกับมาดูการแสดง


หลังจากเข้ามาในสวนฟักทอง เคลลี พอลก็มองไปรอบๆ และอดที่จะถอนหายใจไม่ได้แล้วพูดว่า “พระเจ้า พวกคุณสร้างสถิติโลกไว้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าฟักทองจะลูกใหญ่มากขนาดนี้เลยเหรอ?”


จริงๆ แล้วมันถูกพลังโพไซดอนปกคลุมไว้ จากความรู้ของฉินสือโอว ฟักทองที่สร้างสถิติโลกโดยทั่วไปนั้นจะได้รับการเพาะปลูกเป็นพิเศษและโดยพื้นฐานแล้วมีฟักทองไม่กี่ชนิดที่จะปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้


แน่นอนว่าในช่วงแรกมีการปลูกกันเยอะมาก แต่วิธีที่ใช้เพาะปลูกของพวกเขาคือวิธีการปลูกแบบสปาร์ตัน คือแต่ละช่วงจะต้องคัดเลือกก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นก็ทิ้งฟักทองลูกใหญ่ไว้และเก็บฟักทองลูกเล็กๆ  สุดท้ายเหลือฟักทองลูกใหญ่ที่เหลือไว้ก็เพื่อให้เข้ากับความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินและเติบโตจนเป็นลูกใหญ่


แม้ว่าฟักทองจะเหมือนกับผักชนิดอื่นๆ พอมันโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่ได้แบบนี้แล้ว หลักๆ คือพวกมันจะอาศัยพลังงานที่ได้จากการสังเคราะห์แสง แต่พวกมันก็มีความต้องการธาตุอาหารในดินเป็นอย่างมากเช่นกัน ที่ดินผืนนี้มีฟักทองเจริญเติบโตออกมาเป็นจำนวนมาก คาดว่าปีหน้าปลูกอะไรก็คงจะตายหมด เพราะสารอาหารในดินได้ถูกดูดซับออกไปหมดแล้ว


ภาพแรกจะเป็นการถ่ายภาพหมู่ เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ในภายหลัง ฉินสือโอวขึ้นไปถ่ายรูปกับฟักทอง วินนี่ก็ถ่ายและทั้งสองคนก็ถ่ายรูปด้วยกัน ทั้งสองคนอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยมาถ่ายรูปและพวกเขาก็ถ่ายรูปครอบครัวด้วยกัน ผู้คนในเมืองก็ต่างพากันไปถ่ายรูป คนจากทีมงานก็มาถ่ายรูปด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวก็ตามมาถ่ายรูปด้วย…

 

 

 


บทที่ 1383 ที่บ้านมีแตงกวา

 

ฉินสือโอวโพสต์ภาพใบรับรองทางราชการของฟาร์มปลาลงบนเวยป๋อ วินนี่ก็เตรียมที่จะโพสต์เกี่ยวกับเมืองเล็กๆ ลงเวยป๋อเช่นกัน นักท่องเที่ยวบางคนก็พากันแย่งโพสต์ลงก่อนหน้านั้นแล้ว ทุกคนต่างสนุกสนานร่าเริงกันอย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าการเป็นพยานในการบันทึกสถิติโลก เป็นเรื่องที่แปลกใหม่มาก


ตอนแรกที่กาวชีวภาพของฟาร์มปลาได้รับการรับรอง ผู้คนในเมืองก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ อีกทั้งยังเป็นการนำท่อเหล็กสองท่อนมาติดเข้าด้วยกัน จึงไม่มีอะไรสามารถเป็นพยานได้ ไม่เหมือนกับฟักทองขนาดใหญ่ที่สามารถไปถ่ายรูปได้


สิ่งของที่มีน้ำหนักแบบนี้ จะต้องอาศัยเครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์และเครน เครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์จะดีกว่า เพราะหลังชาวประมงจับปลาได้แล้วมักจะนำมาชั่งน้ำหนัก ซึ่งเครนมักจะมีปัญหา


เมื่อฉินสือโอวได้ยิน จึงโบกมือไปมาและพูดว่าปัญหาคืออะไร? เขาเรียกอีวิลสัน บูล ชาร์คและแบล็คไนฟ์เหล่าคนงานที่แข็งแรงบึกบึนให้เข้ามา ช่วยกันใช้เชือกมัดฟักทอง จากนั้นพวกเขาก็ยืนอยู่ที่ปลีกซ้ายและขวาของรถกระบะพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังขึ้น


ฟักทองวางลงและน้ำหนักก็ปรากฏขึ้น


“น้ำหนักของฟักทองลูกนี้” เคลลีหรี่ตามองไปที่เครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์ ทันใดนั้นถึงกับต้องเบิกตากว้าง “ให้ตายเถอะ ฉิน ฟักทองของคุณหนักหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบห้าปอนด์ ยังไม่ทำลายสถิติโลก!”


“โอ้!” เสียงร้องโห่ดังขึ้น ฉินสือโอวจึงหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจ คนอื่นๆ ก็หันหน้าไปด้วยความประหลาดใจเช่นกันและเห็นบูลกำลังอย่างกำหมัดชูขึ้นมาตื่นเต้นอยู่ตรงนั้น ขณะนี้แม้แต่หู่จือและเป้าจือยังวิ่งออกมาสังเกตดูสิ่งผิดปกติพร้อมกับนั่งลงอย่างเชื่อฟังอยู่ตรงนั้น


หลังจากชูหมัดขึ้นมาแล้ว บูลก็ค่อยๆคลายกำปั้นออกและถามอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อกี้ผมได้ยินไม่ชัด มีอะไรเหรอ?”


“งี่เง่า!” ชาร์คสบถคำด่าออกไป “ไสหัวออกไป!”


ฉินสือโอวมองบูลด้วยความอ่อนเพลีย เขาจึงถามเคลลีว่า “เคลลี คุณไม่ได้ดูผิดใช่ไหม น้ำหนักนี้ยังไม่ทำลายสถิติโลกอีกเหรอ?”


 “นี่มีน้ำหนักถึงหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบห้าปอนด์ไม่ใช่เหรอ? ฉันจำได้ว่าสถิติโลกยังไม่ถึงหนึ่งพันเก้าร้อยปอนด์ด้วยซ้ำ ฉันได้ตรวจสอบฐานข้อมูลของพวกคุณก่อนที่จะมาแล้ว” วินนี่กล่าว


เคลลีพูดอย่างจนปัญญาว่า “คุณผู้หญิงคนสวย คุณควรจะตรวจสอบข่าวบ้าง หลังจากช่วงวันฮัลโลวีนในทุกๆ ปี จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของสถิติโลกในการประกาศน้ำหนักฟักทอง จะมีฟักทองที่เหนือระดับทั่วไปจำนวนมากได้รับการรับรอง ความหมายของผมคือเมื่อสองวันที่ผ่านมา ที่เซนต์วินนิเพ็กในเมืองนอร์เบิร์ต เด็กอายุสิบสามปีคนหนึ่งได้ปลูกฟักทองที่มีน้ำหนักถึงสองพันสิบเก้าปอนด์!”


ฉินสือโอวไม่อยากจะเชื่อในโชคชะตาของตัวเอง “ห่างกันแค่สองวัน สถิติโลกก็ปลิวแล้วเหรอ?”


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีคนจำนวนมากกำลังมองดูอยู่และยังมีกล้องกำลังบันทึก ฉินสือโอวจึงมองไปที่เลนส์กล้องและมีตัวเองขนาดเล็กๆ อยู่ในนั้น ลักษณะที่กระวนกระวายใจช่างน่าขำสิ้นดี


แต่ฉินสือโอวหัวเราะออกมาไม่ได้


เคลลียักไหล่และพูดว่า “ต้องขอโทษจริงๆ คุณฉิน”


ฉินสือโอวมองไปรอบๆ และถามว่า “เด็กคนนั้นปลูกฟักทองได้สองพันเก้าปอนด์เหรอ? เด็กอายุสิบสามปี?”


“ใช่ เขายังอยู่เกรดเจ็ด” เคลลีว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและหาข่าวให้ฉินสือโอวดู “นี่ไง เด็กคนนี้”


ฉินสือโอวจึงหยิบมาดู เป็นเด็กผมสีเหลืองที่มีฝ้ากระเล็กๆ บนใบหน้ากำลังยิ้มให้เขาอย่างสดใสบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่ออ่านประวัติแนะนำตัวแล้ว เด็กคนนี้มีชื่อว่าคาคา ลักซ์ เขาได้ปลูกฟักทองในสวนหลังบ้านของเขา


“ให้ตายเถอะ เด็กคนนี้โชคดีจริงๆ” ฉินสือโอวพูดด้วยความอิจฉา


วินนี่ดึงข้อมือของเขาไว้และกระซิบว่า “กิริยา ระวังกิริยาท่าทางของคุณด้วย”


“ฉิน คุณประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป ลักซ์สามารถปลูกฟักทองจนได้รับรางวัลคงจะไม่ได้อาศัยแค่ความโชคดีหรอก เขาเริ่มปลูกฟักทองที่สวนหลังบ้านมาตั้งแต่อายุหกขวบ สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว คุณไม่คิดว่ามันเป็นตำนานเหรอ?” เคลลีกล่าว


ฉินสือโอวยิ้มเยอะและพูดว่า “ฟักทองในไร่ของผมก็ปลูกด้วยเด็กๆ เหมือนกันนะ”


ในขณะที่พูดอยู่ เขาจึงลากกอร์ดอนเข้ามาและชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้เป็นคนปลูก เขาเพิ่งอยู่แค่เกรดหก นี่จะไม่เรียกว่าตำนานมากกว่าเหรอ? แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”


เดิมทีกอร์ดอนที่กำลังเฝ้าดูอย่างตื่นเต้น ก็ถูกฉินสือโอวลากออกไป เขามองไปที่ผู้คนรอบข้างและเห็นกล้องกำลังหันมาทางตัวเอง เขาจึงกระแอมแล้วพูดว่า “ใช่ๆ อะแฮ่ม สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ผมต้องยอมรับว่าการปลูกฟักทองเป็นงานที่ทั้งซับซ้อนและยากลำบากมาก ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากและยังต้องทำการศึกษาค้นคว้ามากมาย ต้องเสียสละความสนุกสนานอื่นๆ ไปอีกด้วย เช่นการไปเที่ยวกับครอบครัวในช่วงฤดูร้อน เพื่อที่จะไปปลูกฟักทองผมจึงไปไม่ได้…”


“นี่มันอะไรกัน?” เออร์บักถามด้วยความประหลาดใจ


ฉินสือโอวจึงกลอกตาใส่ เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่ากอร์ดอนจะเอาจริงเอาจัง ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีที่เจ้าเด็กคนนี้แสดงออกมาอย่างจริงจังก็หลอกเขาได้เล็กน้อยเหมือนกับว่าเขาเป็นคนปลูกฟักทองลูกนี้จริงๆ


ไม่มีใครขัดกอร์ดอนเลย เขาจึงพูดอย่างฉะฉานอยู่ตรงนั้นว่า “พวกคุณก็รู้ว่าการดูแลไร่ฟักทองในพื้นที่ที่ใหญ่ขนาดนี้ เป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเด็กคนหนึ่ง ผมต้องใส่ปุ๋ยให้ฟักทองและต้องรดน้ำลงท่อให้มัน สรุปแล้วต้องใช้เวลานานมาก เฮ้อ นี่จึงทำให้เกรดของผมไม่ผ่าน…”


“เจ้าเด็กคนนี้มีหน้ามาพูดเรื่องพวกนี้จริงๆ!” กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่รู้ไส้รู้พุงเรื่องเกรดของกอร์ดอนเป็นอย่างดีก็เริ่มถอนหายใจออกมา


กอร์ดอนไม่สนใจพร้อมกับฉีกยิ้มและเริ่มพูดไร้สาระว่า “เพื่อที่จะปลูกฟักทองออกมาให้ที่ดีที่สุด ในเดือนเมษายนของปีนี้ ก่อนที่จะปลูกฟักทอง ผมได้ไปเข้าร่วมการสัมมนาความรู้และทักษะการปลูกฟักทองที่โรแลนด์…”


“หยุด หยุด หยุด! หยุดเถอะกอร์ดอน นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย” วินนี่ลากเขาออกไป


ชาวประมงและชาวเมืองพากันพูดคุยกันอยู่ตรงนั้นว่า “กอร์ดอนเก่งมาก คิดไม่ถึงว่าจะปลูกฟักทองได้ขนาดนี้ เขานี่สุดยอดจริงๆ”


“ฉันต้องยอมรับว่าฉันเคยประเมินกอร์ดอนต่ำไป ฉันเคยบอกว่าเขาจะเป็นฮิวจ์คนน้องคนต่อไป เพราะเขาเคยขว้างก้อนหินใส่สุนัขของฉันและฉันก็ด่าเขาไป ฉันอยากขอโทษเขา”


“เขาไปเข้าร่วมการบรรยายความรู้ด้วยเหรอ? ต่อไปจะต้องถามว่าเขาแล้วว่าจะปลูกฟักทองอย่างไร ถึงปลูกได้ลูกใหญ่แบบนี้ อีกทั้งยังได้ยินมาว่ามีรสชาติอร่อยอีกด้วย”


หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้คนในเมืองพูดคุยกันแล้ว ฉินสือโอวจึงกุมขมับและนั่งยองลงกับพื้น นี่มันอะไรกัน เพ้อเจ้อกันไปหมดแล้ว! เขาก็ไม่ได้คิดว่ากอร์ดอนจะพูดเพ้อเจ้อได้ขนาดนี้ แล้วยังจะดึงเขาเข้ามาทำเรื่องไร้สาระตามใจอีก สุดท้ายเขาก็กลายเป็นตัวเอก


เหมือนกับที่โบราณเคยว่าไว้ ทองคำมักจะส่องแสง อุจจาระมักเกาะติดและกอร์ดอนก็เป็นตัวดีในเรื่องการพูดเรื่องไร้สาระ


และเรื่องนี้ก็จบลงแบบนี้ น้ำหนักไม่สามารถโกหกได้และเขาก็ไม่ได้ทำลายสถิติโลก


เคลลีกอดปลอบใจเขาและพูดว่า “ไม่เป็นไรฉิน พวกเราเข้าใจผิด ฟักทองของคุณดูเหมือนจะไม่ใช่แค่สองพันปอนด์ มันมีขนาดใหญ่มาก ผมคิดว่ามันหนักอย่างน้อยสองพันสองร้อยปอนด์ ไม่อย่างนั้นผมคงจะไม่เอากล้องมาด้วย”


ชาร์คพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฟักทองของเราไม่เหมือนกับของพวกเขา ของพวกเขาก็แค่ขนาดเท่านั้น แต่ข้างในเต็มไปด้วยน้ำมันถึงมีน้ำหนักมาก แต่ข้างในของฟักทองเราเป็นเนื้อปกติและยังมีรสชาติดีด้วย”


เคลลียักไหล่และพูดว่า “แต่นี่ก็ไม่มีประโยชน์แล้วไม่ใช่เหรอ สถิติโลกไม่ได้ดูที่คุณภาพเนื้อนะ”


ฉินสือโอวไม่ยอม จุดสำคัญก็คือเขาไม่สามารถลงจากเวทีในขณะที่มีผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงชี้ไปข้างหลังเขาและพูดว่า “เคลลี สถิติโลกของพวกคุณมีน้ำหนักของฟักทองทั้งหมดที่ปลูกบนพื้นที่หนึ่งเอเคอร์ไหม? ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมต้องได้สถิติโลกแน่นอน”


เคลลี่ส่ายหัวอย่างจนปัญญาและพูดว่า “ขอโทษนะฉิน ไม่มีหรอก”


“โอเค” ฉินสือโอวไม่พูดอะไรต่อ


ทุกคนจึงเก็บข้าวของและทยอยกลับ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น “คุณเคลลี ทำไมคุณไม่ไปที่สวนหลังบ้านของผมล่ะ? ที่นั่นมีแตงกวาลูกใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง…”

 

 

 


บทที่ 1384 ไม่มีเงินรางวัล

 

คนกลุ่มหนึ่งเดินไปดูตามเสียงและสิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าที่ยิ้มแย้มของบูล ฉินสือโอวจึงถอนหายใจและพูดว่า “นี่บูล หยุดทำตัวแบ๊วได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนรู้สึกอึดอัดและไม่มีอารมณ์ที่จะมาล้อเล่นกับนายนะ”


บูลพูดอย่างระมัดระวังว่า “ผมเข้าใจแล้วกัปตัน ผมก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน คุณไม่สามารถเข้าใจความเศร้าโศกในใจของผมตอนนี้ได้หรอก ตั้งแต่พ่อผมจากไป ผมไม่เคยเศร้าแบบนี้อีกเลย…”


ฉินสือโอวจ้องไปที่เขา ไอ้บ้านี่ล้อตัวเองเล่นเหรอไง?


เดาว่าบูลคงสังเกตเห็นว่าตัวเองพูดเกินจริงมากเกินไป จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “กัปตันก็เป็นซะอย่างนี้ คุณก็รู้ว่าสนามหญ้าหน้าบ้านผมก็ปลูกแตงกวา แล้วเมล็ดพันธุ์ก็เอามาจากคุณด้วยไม่ใช่เหรอ? ขอบอกเลยนะกัปตันว่าแตงกวาของคุณรสชาติดีมาก…”


“เข้าเรื่องเถอะ!” ฉินสือโอวถอนหายใจพร้อมกับพูดไปด้วย บูลทำให้เขากังวลจนจะบ้าตายแล้ว คนที่เป็นพ่อคนแล้ว ทำไมถึงยังทำตัวเชื่อถือไม่ได้แบบนี้นะ?


แตงกวาก็คือแตงกวา เพียงแต่แค่เรียกไม่เหมือนกันเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นพันธุ์เดียวกัน แต่ถ้าออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษ จริงๆ แล้วจะแปลได้เป็น ‘แตงกวา’ คำนี้


 “อย่างไรก็ตามสวนของผมก็ปลูกแตงกวาไว้แถวหนึ่ง พวกมันโตจนมีขนาดใหญ่มาก แตงกวาลูกที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยวัดมามีความยาวถึง สี่สิบสี่จุดห้านิ้ว! แต่แอนนี่เคยค้นหาฐานข้อมูลทั้งหมดของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดทางออนไลน์ดูแล้วและสถิติที่ยาวที่สุดอยู่ที่สี่สิบเอ็ดจุดห้านิ้ว” บูลกล่าว


ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดว่า “ใครจะไปรู้ว่าฐานข้อมูลนี้บันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อไร?”


เคลลียิ้มและพูดว่า “แตงกวากับฟักทองไม่เหมือนกันนะ รายงานบันทึกของผักชนิดนี้มีไม่มาก ดังนั้นสถิตินั้นจึงมีประโยชน์ ฐานข้อมูลของเรามีความล่าช้าถึงเจ็ดวัน เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการการตรวจสอบและอนุมัติ แต่ผมรับรองได้ว่าสถิติของแตงกวาไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”


บูลพูดอย่างตื่นเต้นว่า “แล้วจะยังลังเลอะไรอยู่ล่ะ? ไปเถอะ รีบไปดูที่บ้านผมกัน”


วิลล่าของบูลก็อยู่ในฟาร์มปลาแกธเธอริงเช่นกัน ตอนนี้มีวิลล่าสองหลังในฟาร์มปลา หลังแรกเป็นของบูลและอีกหลังเป็นของโอดอม ฉินสือโอวขอบคุณคุณหมอสุดหล่อที่คอยช่วยเหลือเมืองเล็กๆ แห่งนี้ด้วยการสร้างวิลล่าให้กับเขา


บูลและแอนนี่เริ่มปลูกในพื้นที่เล็กๆ ในสนามหญ้าหน้าวิลล่า เดิมทีพวกเขาต้องการจะปลูกผักเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากแอนนี่มีลูก จึงทำให้ไม่มีเวลาจัดการดูแลพวกมัน จึงทำได้แค่ปลูกแตงกวาที่เธอชอบกิน


วิธีการปลูกแตงกวาที่ฉินสือโอวใช้แบ่งออกเป็นสองวิธี วิธีแรกคือการปล่อยให้เลื้อยและโตขึ้นจากดิน อีกวิธีหนึ่งคือปลูกบนโครงไม้ ซึ่งวิธีที่บูลใช้คือวิธีที่สอง เพราะสามารถเก็บกินโดยตรงได้


ภายใต้การนำทางของบูล กลุ่มคนจึงเริ่มจัดการและทำตามกันมากขึ้น


แอนนี่กำลังยุ่งอยู่ในสวนแตงกวา บูลน้อยตัวอ้วนก็กำลังคลานอยู่บนสนามหญ้าด้วยตัวเอง เจ้าเด็กคนนี้อายุเยอะกว่าเถียนกวาสองเดือน แต่พัฒนาการกลับช้ากว่าเถียนกวา เขาเพิ่งจะคลานได้แต่เถียนกวากลับเดินได้แล้ว


เมื่อเห็นกลุ่มคนกำลังเดินมาที่บ้านของตัวเอง บูลน้อยก็ตกใจ เขาใช้มือและเท้าคลานลงไปในสวนผักพร้อมกับกรีดร้อง แต่เขาอ้วนเกินไป พอคลานเร็วเกินไปจึงทำให้หกล้มและกลิ้งลงไปได้…


“เด็กคนนี้นี่แข็งแรงจริงๆ” เคลลีพูดชื่นชม


ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “ผมขอถามหน่อย พวกคุณมีสถิติโลกเรื่องน้ำหนักของเด็กทารกหรือยัง? ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้ก็สามารถสร้างสถิติได้นะ”


เคลลียักไหล่พร้อมพูดว่า “ขออภัยด้วย สถิตินี้ยังไม่มีจริงๆ”


สวนผักเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนักก็มีกลุ่มคนเข้ามาล้อมรอบ มองเข้าไปข้างในจะมีแตงกวาลูกใหญ่และยาวห้อยอยู่บนเถาวัลย์เป็นจำนวนมาก


ฮิวจ์คนน้องมองแตงกวาขนาดใหญ่เหล่านี้แล้วอุทานว่า “โอ้ ให้ตายเถอะ แตงกวาพวกนี้ลูกใหญ่มากจริงๆ มา มาถ่ายรูปให้ฉันหน่อย ฉันต้องการโพสต์บนทวิตเตอร์ให้สาวๆ เข้ามาดู ความสุขของพวกเธอจะได้อยู่ในมือฉัน”


“พระเจ้า ฮิวจ์คนน้อง ระวังปากหน่อยเถอะ” มีคนพูดอย่างไม่พอใจ “ที่นี่มีเด็กๆ อยู่นะ”


กอร์ดอนและเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ ต่างพากันมองฮิวจ์คนน้องด้วยความดูถูกและทำปากตามทีละคน ให้ตายเถอะ ให้ตายเถอะ ให้ตายเถอะ!


แตงกวาที่นี่มีขนาดยาวมากจนฉินสือโอวคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าแอนนี่ภรรยาของบูลต้องชอบกินแตงกวาในฟาร์มปลาแน่นอน ดังนั้นเมื่อปีที่แล้วบูลจึงตั้งใจมาขอเมล็ดไปปลูกเอง


แอนนี่เป็นผู้หญิงที่ดีมาก เธอเป็นผู้หญิงที่สนิทกับวินนี่ที่สุดในเมืองนี้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงถ่ายทอดพลังโพไซดอนของฟักทองให้ในช่วงที่ฝนตกในปีนี้ จึงยิ่งทำให้แตงกวาของบูลที่ได้รับพลังไปเพื่อรักษารสชาติให้ดีเหมือนกับในสวนผัก


แต่แตงกวาในสวนผักของฟาร์มปลาไม่ได้เติบโตเท่าของเขา อาจเป็นเพราะว่ามีแตงกวาที่ปลูกบนพื้นที่นี้มีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่แตงกวาในฟาร์มปลาจะปลูกอยู่ระหว่างกองผัก ซึ่งจะทำให้สารอาหารในดินกระจายได้ไปทั่ว


แตงกวาที่ยาวที่สุดอยู่ส่วนบนของสวนผัก มันห้อยอยู่ตรงนั้นซึ่งมีความยาวกว่าหนึ่งเมตร ดูเหมือนกับกระบองฟันหมาป่า ที่ทั้งยาวทั้งหนาและยังมีสีเขียวสดอีกด้วย ดูแล้วรสชาติคงจะดีไม่น้อย


เคลลีทำการวัดอยู่ครู่หนึ่ง แตงกวาลูกนี้มีความยาวสี่สิบหกนิ้ว ซึ่งเท่ากับหนึ่งร้อยสิบเจ็ดเซนติเมตร!


เมื่อเห็นข้อมูลการวัดแล้ว บูลจึงก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ว้าว เยี่ยมมาก ผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็ยาวขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว”


“นี่มันยาวมากจริงๆ” ชาร์คร้องอุทาน “บูล คิดไม่ถึงว่านายจะมีฝีมือในด้านนี้ นายปลูกได้อย่างไร?”


คราวนี้ก็มาถึงการแสดงของบูลแล้ว เขาแสร้งทำเป็นเชี่ยวชาญแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก พูดแล้วมันจะยาว…”


“ถ้าอย่างนั้นก็พูดให้มันสั้นๆ สิ” ฉินสือโอวทำท่าทางอย่างเสแสร้งไม่เป็น


บูลที่มีความซื่อสัตย์มากจึงพูดว่า “เอาล่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะแอนนี่เป็นคนดูแลสวนผักนี้ด้วยตัวเองและเธอก็ยังบอกผมว่าที่นี่มีแตงกวาลูกใหญ่แบบนี้อยู่ลูกหนึ่ง”


ทันใดนั้นผู้คนก็เข้าใจทันที จากนั้นก็มองไปที่แอนนี่ด้วยสายตาแปลกๆ


แอนนี่เป็นผู้หญิงเงียบๆ ค่อนข้างเก็บตัว เมื่อทุกคนมองด้วยสายตาแบบนี้เธอจึงรู้สึกอาย จึงอุ้มลูกชายขึ้นมาและแกล้งทำเป็นหยอกล้อเขา วินนี่จึงแก้หน้าให้เธอ วินนี่จ้องไปที่ทุกคนด้วยสายตาดุร้ายแล้วพูดว่า “มองอะไรกัน? ถ้ายังมองฉันกับแอนนี่อีกจะให้ภรรยาของพวกคุณจัดการ!”


ชาวเมืองจึงหัวเราะขึ้นมาทันทีและค่อยๆ ละสายตาจากวินนี่ คราวนี้จึงหันมาจ้องที่ฉินสือโอวแทน


ฉินสือโอวแอบถอนหายใจ เขาถูกความคิดอันบริสุทธิ์และงดงามของวินนี่หลอกเข้าแล้ว หลังจากแต่งงานกันลักษณะท่าทางแบบนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่สามารถตอบสนองอะไรได้


เคลลีตรวจสอบฐานข้อมูล จากนั้นก็จับมือกับบูลและแอนนี่แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “ขอแสดงความยินดีกับพวกคุณด้วย ใช่แล้ว พวกคุณสร้างสถิติโลกได้สำเร็จ แต่พวกคุณยังไม่ได้ส่งเอกสารการสมัครมา ดังนั้นผมจึงยังไม่สามารถยืนยันให้พวกคุณได้ พวกคุณต้องทำสำเนาเพิ่มหนึ่งฉบับ”


แซนเดอร์สคุ้นเคยกับการทำสิ่งนี้ดี เขาจึงพูดทักขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ให้ผมจัดการเถอะบูล คุณแค่ดูแลแตงกวาของคุณให้ดีก็พอแล้ว หลังจากผมได้ข้อมูลมาเพิ่มแล้ว แตงลูกนี้ก็จะยิ่งใหญ่โตมากขึ้น”


บูลพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็ถามเคลลีว่าเงินรางวัลนี้เท่าไร เคลลียักไหล่พร้อมพูดว่าเสียดายที่สิ่งนี้ไม่มีรางวัล…


ฉินสือโอวหัวเราะดังขึ้น ตอนแรกที่ประกาศสถิติโลกกาวชีวภาพเขาก็คิดว่าจะมีรางวัล แต่สุดท้ายก็ไม่มี มีแค่เพียงใบรับรองหนึ่งฉบับเท่านั้น


แต่สำหรับกาวชีวภาพนี้ ส่งผลอย่างมากต่อสถิติโลก กล่าวคือมันสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองได้และทำให้ขายได้ในราคาดีอีกด้วย


แต่สำหรับแตงกวาลูกนี้? ฉินสือโอวไม่คิดว่าสถิติของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจะช่วยเพิ่มมูลค่าอะไรให้กับตัวมันได้

 

 

 


บทที่ 1385 ดอกลิลลี่สีขมิ้น

 

เมื่อรู้ว่าการรับรองสถิติกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ไม่มีเงินรางวัล บูลก็ตกตะลึงทันทีเขามองไปที่ฉินสือโอวที่กำลังยักไหล่ใส่และพูดว่า “คราวก่อนนายก็คิดว่าฉันจะได้เงินใช่ไหม? ไม่เลย สักบาทเดียวก็ไม่ได้”


“ให้ตายเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องรับรองเรื่องนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” บูลกล่าว


วินนี่พูดปลอบใจเขาว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก แม้ว่าบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจะไม่มีเงินรางวัล แต่ในเมืองของเราจะประกาศให้รางวัลกับคุณนะ แต่แตงกวาของคุณต้องมีส่วนสนับสนุนเมืองด้วย…”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็คิดพิจารณาอยู่สักพัก “ช่างเถอะ คุณเก็บไว้เองดีกว่า เราแค่ต้องการนำมาถ่ายรูปสักหน่อยก็พอแล้ว นอกจากนี้ ฉันจะช่วยคุณยื่นคำร้องกับรัฐบาลเมืองคงจะได้รับรางวัลอีกส่วนหนึ่งด้วย”


แอนนี่ถามอย่างกระวนกระวายใจว่า “ได้ด้วยเหรอคะ?”


วินนี่ยิ้มและพูดว่า “แน่นอน เพราะอย่างไรคุณก็ได้สร้างสถิติโลกไว้แล้ว ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองและรัฐบาลเมืองของเราดีขึ้นในทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองของเรายังได้เอาการท่องเที่ยวเป็นหลักอีกด้วย”


ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งให้และพูดใส่คนรอบๆ ตัวว่า “ดูนายกเทศมนตรีวินนี่ของเราสิ เธอเป็นคนดีและมีคุณภาพจริงๆ เธอมักจะทำงานเพื่อสวัสดิการของชาวเมืองและมักจะพัฒนาบ้านเมืองอยู่เสมอ”


ชาวประมงค่อยๆ ปรบมือให้ วินนี่ทั้งยิ้มพร้อมกับก้มหน้าโค้งตัวเพื่อเป็นการน้อมรับจากหญิงสาวที่มีคุณธรรม


ฉินสือโอวขับรถไปส่งวินนี่ทำงานในเมือง จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปฟาร์มปลา ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีคนมาขวางรถของเขาไว้ เขาจึงยื่นหน้าออกมาดู และนั่นก็คือซ่งชิงซานที่สวมชุดพนักงานทำความสะอาดกำลังยิ้มให้เขาอยู่


เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาจึงลงจากรถและถามว่า “เฮ้ เพื่อน คุณมีปัญหาอะไรอีกใช่ไหม? มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง?”


ซ่งชิงซานถูมือไปมาและพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราเคยมีช่วงเวลาที่ดีที่นี่ คืออย่างนี้นะคุณฉิน ผมกับคาปาไลอยากจะเลี้ยงอาหารเพื่อขอบคุณคุณที่ช่วยเหลือพวกเรา”


พอได้ยินอย่างนั้น ฉินสือโอวก็โล่งอก จากนั้นเขาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ไม่ต้องหรอก เราก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น อะไรที่ผมช่วยได้ผมก็จะช่วยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ สำหรับผมแล้วนี่ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าเป็นเพราะผมลำพองตน นั่นคงจะไม่ดีแล้วล่ะ”


ซ่งชิงซานพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ไม่ๆ คุณฉิน สำหรับคุณแล้วนี่อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับเราสองคน นี่เป็นหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิต!”


ในขณะที่พูดอยู่เขาถอนหายใจ “ตอนแรกที่กำลังหางาน เราได้รู้จักกับคนบางคนและเพื่อนๆ ของเขา พวกเขาก็ถูกหลอกเช่นกัน บางคนหางานไม่ได้จนถึงตอนนี้และชีวิตของพวกเขาก็นรันทดมาก ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ พวกเขาก็คงเป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา”


ระหว่างนั้นคาปาไลที่กำลังทำความสะอาดถนนอยู่ไกลๆ ก็มองเห็นเข้า จึงโบกมือให้ฉินสือโอวที่อยู่หน้ารถ จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “บังเอิญจริงๆ คุณฉิน ให้ผมทำอาหารเลี้ยงขอบคุณที่คุณได้ช่วยเหลือพวกเราเถอะ”


ต่อให้ทั้งสองคนพูดแบบนี้ ฉินสือโอวก็ยังจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกว่าตัวเขาเองกำลังดูถูกพวกเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พวกคุณได้เงินเดือนไหม? หรือถ้าได้เงินเดือนมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”


ซ่งชิงซานพูดอย่างมีความสุขว่า “คุณวินนี่ให้เงินเดือนเราทุกสัปดาห์และเราก็ยังได้ส่งเงินกลับบ้านหลายครั้งแล้ว ผมยังส่งถ่ายภาพให้ครอบครัวดูในคิวคิวเป็นจำนวนมากอีกด้วย พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นผมอยู่ในสถานที่ดีๆ แบบนี้”


ในขณะที่พูดอยู่ ดวงตาของชายผู้มีความฮึกเหิมคนนี้ก็เริ่มแดงขึ้น “จริงๆ นะคุณฉิน ถ้าไม่ใช่คุณช่วยเราไว้ ตอนนี้ผมคงจะไม่แค่ลำบากเท่านั้น แต่ครอบครัวของผมก็จะเป็นห่วงด้วยเช่นกัน”


เหมือนกับที่ฉินสือโอวเคยพูดกับเฉินเหลยและคนอื่นๆ แคนาดาไม่ใช่สวรรค์ เมื่อเห็นคนงานเหล่านี้กำลังถูกกดขี่ มีชีวิตที่ยากลำบาก โดยเฉพาะการหางานยิ่งลำบาก ซ่งชิงซานจึงต้องทนทุกข์ทรมานมาก


คาปาไลจึงพูดว่า “ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยคุณฉิน ผมจะทำอาหารที่ขึ้นชื่อในบ้านเกิดของผม ซึ่งเป็นอาหารคิวบา ผมไม่รู้ว่าคุณจะทานได้ไหม”


เมื่อเป็นเช่นนั้นฉินสือโอวจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาจึงพูดว่า “มื้อเย็นใช่ไหม? ไม่มีปัญหา ผมและภรรยาจะไปที่หอพักของคุณให้ตรงเวลาแน่นอน”


คาปาไลยิ้มพร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นหกโมงตรงเป็นอย่างไร? พวกคุณมาตอนหกโมงตรง ห้าโมงตรงผมเลิกงานแล้วจะรีบเตรียมอาหารให้พร้อม”


งานทำความสะอาดบนเกาะแฟร์เวลไม่เลวเลย เพราะที่นี่มีการนำระบบการทำงานเข้างานแปดโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็นของงานทำความสะอาดในเซนต์จอห์นมาใช้ ตอนเที่ยงจะมีเวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับพักเที่ยงและทานอาหารกลางวัน


พอกลับมาก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติ คราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องต้อนรับเคลลีและคนอื่นๆ เป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นฉินสือโอวจึงไปที่ร้านขายปืนและแช่อยู่ที่นั่นจนถึงช่วงบ่าย เมื่อวินนี่เลิกงานเขาก็จะไปรับเธอและบอกเธอเรื่องที่คาปาไลและซ่งชิงซานจะเลี้ยงข้าว


วินนี่คิดอยู่สักพัก จึงเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นเรายังมีบัตรของขวัญกำนันจากห้างสรรพสินค้าเมย์ซีอยู่ใช่ไหม? เลือกเสื้อขนเป็ดมาสองชุดและเอาให้กับพวกเขาด้วย ฤดูหนาวที่เกาะแฟร์เวลจะหนาวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องทำงานอยู่ข้างนอก”


ฉินสือโอวจูบลงบนใบหน้าอันงดงามของภรรยา วินนี่คิดเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เขาแค่ว่าอยากจะลองชิมรสชาติของอาหารคิวบาเท่านั้น


ตอนหกโมงตรง เขาขับรถไปที่หอพักในเมืองที่ทั้งสองคนเตรียมไว้พร้อมกับนำบัตรของขวัญกำนัลไปให้ ที่พักของพวกเขาเป็นอาคารไม้หลังเล็กๆ มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ซึ่งมีอายุเก่าแก่มากแล้ว แต่กลับมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แน่นอนว่าบ้านชนบทในแคนาดาล้วนเป็นพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก


หลังจากที่ทั้งสองลงจากรถ คาปาไลที่ได้ยินเสียงเดินลงจากประตูรถก็เดินไปเอาดอกลิลลี่สีขมิ้นแล้วมอบให้กับพวกเขาและพูดอย่างมีความสุขว่า “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน”


ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ประจำชาติของคิวบา ดอกลิลลี่สีขมิ้นเป็นดอกไม้ที่ชื่นชอบของพวกเขาและมีความหมายพิเศษสำหรับพวกเขา ซึ่งเหมือนกับผ้าแพรฮาต๋าของชาวทิเบต แต่พวกเขาจะให้ดอกลิลลี่สีขมิ้นให้เพื่อแสดงถึงความเคารพและความรักที่มีต่อบุคคลนี้


วินนี่ยิ้มพร้อมกับรับดอกไม้มาและก็นำบัตรของขวัญกำนันส่งกลับให้คาปาไลแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับดอกไม้ นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเรา ไม่ต้องเกรงใจ”


คาปาไลปฏิเสธ ฉินสือโอวจึงพูดว่า “นี่เอาไปใช้ซื้อเสื้อขนเป็ดได้ เพราะฤดูหนาวที่เกาะแฟร์เวลจะหนาวมาก คุณสามารถซื้อเสื้อผ้า รองเท้าและหมวกเพื่อรักษาความอบอุ่นได้และรักษาสุขภาพของคุณให้แข็งแรง”


วินนี่ยิ้มและพูดว่า “ซ่งซื้อสามารถซื้อหมวกได้ ส่วนคุณบัจโจฮาเกินก็ช่างมันเถอะถูกไหม?”


เมื่อวินนี่พูดแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ดูเหมือนว่าชาวคิวบาจะมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ก็คือห้ามสวมหมวก พวกเขาคิดว่าจะต้องสวมหมวกแค่ตอนที่ญาติเสียชีวิตแล้วเท่านั้นเพื่อเป็นการไว้อาลัย


คาปาไลยิ้มอย่างมีความสุข “มาดามนี่ช่างใส่ใจจริงๆ แต่ผมจะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นหลัก ถ้าหนาวมากเกินไป ผมจะสวมหมวกผ้าฝ้ายก็พอ เพื่อที่งานจะได้ไม่ล่าช้า”


ฉินสือโอวรู้สึกว่าภายในของผู้ชายที่ดูหยาบคายคนนี้กลับตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขา อย่างน้อยเขาก็พูด ซึ่งประโยคนี้ทำให้เขาและวินนี่ประทับใจมาก


หลังจากเข้าบ้านแล้ว บนโต๊ะอาหารก็ได้มีการจัดเตรียมเหล้าและอาหารไว้เรียบร้อย ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้ ซึ่งในนั้นก็เป็นดอกลิลลี่สีสดใสหนึ่งดอก พอเห็นแล้วก็รู้สึกมีสีสันมาก


คาปาไลเชิญทั้งสองคนให้นั่งลงและพูดว่า “คุณผู้ชายกับมาดามรอสักครู่ ผมยังมีกับข้าวอีกสองสามอย่างที่กำลังเตรียมอยู่ อ้อ ขอบอกก่อนเลยนะว่า อาหารคิวบาของเราส่วนใหญ่จะมีทั้งสไตล์คลาสสิกและสไตล์โมเดิร์น ซึ่งผมไม่ถนัดอาหารคลาสสิก แต่อาหารที่ผมถนัดคืออาหารสไตล์โมเดิร์น ไม่รู้ว่าพวกคุณจะคุ้นเคยและกินได้หรือไม่?”


ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “ผมคิดว่าเราต้องคุ้นเคยแน่นอน เพราะผมได้กลิ่นหอมของมันแล้ว คงต้องอร่อยมากแน่ๆ”


คาปาไลยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิมพร้อมกับเช็ดม้านั่งอีกครั้งและพูดว่า “เชิญครับ เชิญแขกผู้มีเกียรตินั่งลงได้เลย!”

 

 

 


บทที่ 1386 ชักชวนผู้ผลิตไวน์

 

เมื่ออาหารแต่ละอย่างนำมาเสิร์ฟ ฉินสือโอวก็สามารถมองวัตถุดิบออกได้ เนื้อส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัวและยังมีผัก เช่นถั่วและผลไม้สดอีกมากมาย แต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรและรู้สึกว่าคงจะใช้เครื่องเทศเป็นจำนวนมาก


วินนี่อธิบายให้เขาฟังว่าพายในอาหารคิวบาจะให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องเทศ กระเทียม ยี่หร่า วานิลลาอิตาเลียน ผักชี ใบกระวานและเครื่องเทศอื่นๆ ที่ชาวแคนาดาไม่ค่อยใช้เป็นจุดสำคัญ เนื่องจากคิวบาเคยเป็นอาณานิคมของสเปน สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะของสเปน


หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว ซ่งชิงซานก็ย้ายถังที่มีของเหลวสีเหลืองส้มข้นออกมา ซึ่งมันดูเหมือนกับน้ำมะม่วงที่มีเนื้อเข้มข้น ฉินสือโอวจึงถามว่านี่เป็นน้ำผลไม้หรือเปล่า ซ่งชิงซานหัวเราะแล้วพูดว่า “เปล่า นี่คือเบียร์ เบียร์นี้พี่ชายของคาปาไลเป็นคนกลั่นเองเลยนะ”


ทันใดนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของคาปาไลดูดีขึ้นมากและเมื่อคาปาไลนำอาหารอีกจานมาเสิร์ฟ เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เบียร์นี้คุณเป็นคนกลั่นเหรอ? กลั่นเองน่ะ?”


คาปาไลคิดว่าเขาคงจะไม่ชอบจึงอธิบายว่า “นี่กลั่นจากมอลต์บริสุทธิ์ รสชาติจะหอมมากและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก รสชาติเมื่ออยู่ในปากผมคิดว่าก็ไม่เลวนะ คุณต้องลองชิมดูสิ”


“กลั่นเบียร์เองที่บ้านก็ได้เหรอ?” ฉินสือโอวพูดด้วยความแปลกใจ


คาปาไลหัวเราะและพูดว่า “แน่นอน มันง่ายมากเลยนะ เพียงแค่เตรียมบรีเวอร์ยีสต์ ฮอปทำเบียร์ มอลต์และน้ำตาล เพียงเท่านี้ก็สามารถกลั่นได้แล้ว”


“แล้วอุปกรณ์ที่ใช้ล่ะ? คุณต้องการเครื่องในการกลั่นเบียร์หรือไม่?” ฉินสือโอวถามอีกครั้ง


 “ไม่ๆ แค่เครื่องใช้ในบ้านก็พอ อืม กระติกน้ำอุ่น กระติกน้ำ ขวดแก้ว เทอร์โมมิเตอร์ แอร์วาล์ว กรวยน้ำ สายยาง สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำความสะอาด ไม่จำเป็นต้องให้เตรียมอะไรมากมายเลย” คาปาไลกล่าว


เขามองไปที่สีหน้าแปลกๆ ของฉินสือโอวและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ผมฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิหลายครั้งแล้ว ถูกสุขอนามัยแน่นอน”


สีหน้าของฉินสือโอวก็แปลกใจทันที เพราะเขาไม่คิดว่าคาปาไลจะมีความสามารถแบบนี้ เขาเห็นคาปาไลกระตือรือร้นที่จะอธิบาย ก็รู้เลยว่าการแสดงออกของตัวเองได้ทำลายความนับถือของผู้อื่นที่มีต่อตนเองเป็นอย่างมาก แต่เขาพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เทียบไม่ได้กับการกระทำเพื่อเป็นการยืนยัน


เมื่อเอาแก้วมา ฉินสือโอวก็หยิบมาหนึ่งใบ จากนั้นก็ชิมรสชาติ


เป็นอย่างที่คาปาไลว่า เบียร์นี้มีรสชาติที่หอมและกลมกล่อม แต่จะมีรสขมเล็กน้อย หลังจากลองจิบอีกสองสามครั้งก็จะปรับตัวให้เข้ากับรสขมนี้ได้และรู้สึกว่าเบียร์ที่กลั่นเองแบบนี้มีรสชาติดีมากจริงๆ


หลังจากดื่มเบียร์ไปหนึ่งแก้วแล้ว ฉินสือโอวก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้พร้อมกับพูดชมเชยว่า “อร่อย อร่อยมาก”


ชาวคิวบาชอบดื่มไวน์ ผู้ชายจะไม่ค่อยกินข้าวแต่จะมีไวน์เป็นส่วนประกอบหลัก แต่ไวน์ที่มีชื่อเสียงของพวกเขาก็คือค็อกเทล ฉินสือโอวยังไม่รู้ว่าชาวคิวบามีความสามารถในการกลั่นไวน์แบบนี้


ต่อมาคาปาไลจึงได้แนะนำว่า “ในช่วงหลายปีที่คิวบาเริ่มดีขึ้น ผมได้ทำงานเป็นช่างเทคนิคในเวิร์กช็อปการผลิตที่บูคานเนโร จึงเคยเรียนรู้วิธีการทำไวน์หลากหลายประเภท แต่เบียร์และเหล้ารัมคือสิ่งที่ผมถนัดดีที่สุด”


เมื่อได้ยินแบบนั้นฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ที่แท้อาชีพเดิมของเขาก็เกี่ยวกับเทคโนโลยี ดังนั้นเขาจึงตกใจและพูดว่า “คาปาไล คุณอยากทำงานพาร์ทไทม์ในช่วงวันหยุดไหม? คนในฟาร์มปลาของผมชอบดื่มไวน์มาก ที่ฟาร์มผมก็มีวัตถุดิบด้วยนะ ถ้าต้องการกลั่นเหล้าเอง ไม่ว่าจะเป็นไวน์ เบียร์หรือเหล้ารัมก็ทำได้หมด”


ดวงตาของคาปาไลก็เปล่งประกายขึ้นทันทีและถามว่า “คุณจะจ้างผมเหรอครับ?”


ฉินสือโอวยักไหล่และพูดว่า “ใช่ ข้อเสนอแรกคือคุณต้องกลั่นไวน์ดีๆ ที่ชอบให้เราดื่ม เงินเดือนพูดง่ายๆ ถ้าคุณไปทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณจะได้รับเงินเดือนถึงสามเท่าของพนักงานที่ทำความสะอาดทุกวัน”


คาปาไลพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก เรื่องเทคนิคของผมไม่มีปัญหา ผมมั่นใจ ที่ผมพูดถึงบริษัทใช้แรงงานที่นั่นก็คือผู้ผลิตไวน์ เบียร์ ไวน์แดง เหล้ารัม ซึ่งผมรู้จักเป็นอย่างดี!”


ซ่งชิงซานพูดด้วยความอิจฉาว่า “ถ้าอย่างนั้นคาปาไล นายช่วยสอนวิธีกลั่นไวน์ให้หน่อยได้ไหม? ต่อไปฉันจะได้หางานพาร์ตไทม์ทำบ้าง”


คาปาไลทุบหน้าอกเบาๆ อย่างกล้าหาญและพูดว่า “นายตามฉันไปเรียนเถอะ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดี แม้ว่าจะไม่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่อาจารย์ของฉันเป็นผู้กลั่นไวน์อาวุโสจากบริษัทบูคานเนโร ฉันถึงได้เรียนรู้มากมาย”


ก่อนรับประทานอาหาร โทรศัพท์ของคาปาไลก็ดังขึ้น เขามองไปที่หมายเลขโทรศัพท์ก็ตัดสายทันที ฉินสือโอวจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าครอบครัวของเขาโทรมา


ดังนั้นฉินสือโอวจึงให้คาปาไลไปรับโทรศัพท์ก่อน เผื่อว่าจะมีเรื่องอะไรเร่งด่วน


ดูเหมือนว่าคาปาไลก็ต้องการจะติดต่อกับครอบครัวเช่นกัน แต่แทนที่จะใช้โทรศัพท์ เขากลับเชื่อมอินเทอร์เน็ตในแล็ปท็อปแล้ววิดีโอคอลคุยกับครอบครัวผ่านเอ็มเอสเอ็น


ซ่งชิงซานพูดอย่างเขินอายว่า “การโทรทางไกลระหว่างประเทศจะมีราคาแพงมาก ที่บ้านเรามีอินเทอร์เน็ตจึงใช้เอ็มเอสเอ็น เพราะมันสามารถวิดีโอคอลได้ ดังนั้นเราจึงซื้อมาหนึ่งเครื่องและมันถูกมาก แล็ปท็อปเครื่องนี้มีราคาเพียงหนึ่งร้อยกว่าดอลลาร์แคนาดาเท่านั้น”


เด็กสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ คาปาไลคุยกระซิบกระซาบกับเธอเป็นภาษาสเปน ไม่นานเด็กผู้ชายผิวสีเข้มสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนก็มาอยู่ข้างๆ เด็กสาว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวของคาปาไล


คาปาไลหันหน้ามาและพูดว่า “คุณฉิน คุณวินนี่ ครอบครัวของผมอยากเจอคุณได้ไหม?”


ฉินสือโอวบอกว่าแน่นอน ไม่มีปัญหา เขาและวินนี่จึงทักทายกล้องและวินนี่ก็พูดภาษาสเปนสองสามประโยค คิดไม่ถึงว่าเธอจะคล่องแคล่วมากขนาดนี้


เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวตกใจมาก จึงถามว่า “คุณยังเข้าใจภาษาสเปนด้วยเหรอ?”


“นี่คือภาษาที่ใช้สนทนากับพระเจ้า ตอนที่เราอยู่ในโรงเรียนก็ต้องเรียนด้วยค่ะ” วินนี่พูดอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับดวงตาที่ดูโอ้อวด


ฉินสือโอวพยักหน้าให้ซ่งชิงชานและพูดว่า “ก็ใช่ พวกเขาควรจะเรียนภาษาสเปน ไม่อย่างนั้นต่อไปถ้าได้ไปสวรรค์ เมื่อหลงทางและพบเทวดาเข้าจะได้ใช้ภาษาสเปนถามทาง”


ซ่งชิงซานจึงหัวเราะดังขึ้น ถ้าขัดจังหวะเขาพูดคงจะไม่ดี จึงทำได้เพียงแค่หัวเราะ


เมื่อครอบครัวของคาปาไลได้ยินภาษาสเปนของวินนี่ จึงตื่นเต้นและแย่งกันคุยกับเธอ


ฉินสือโอวไม่สามารถเข้าร่วมได้และถามคาปาไลว่า “พวกเขากำลังคุยอะไรกัน?”


คาปาไลหัวเราะและพูดว่า “เมื่อกี้ลูกของผมกำลังชื่นชมความสวยของวินนี่ ต่อมาเอลิซาลูกสาวคนโตของผมก็ถามเธอเกี่ยวกับความรู้ในการเรียนต่อต่างประเทศ”


หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็รอวินนี่พูดให้จบ เธอพูดอย่างเข้มงวดไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ปิดวิดีโอลง


“ไม่เป็นไร ฉันไม่รบกวนแล้ว ถ้าลูกสาวของคุณยังอยากรู้อยู่ ฉันจะเอาข้อมูลติดต่อของฉันให้เธอ แล้วฉันจะตอบคำถามเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศให้เธอรู้” วินนี่กล่าว


คาปาไลพูดด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณมากๆ คุณวินนี่ อย่างที่ภรรยาของผมบอกจริงๆ ว่าคุณคือนางฟ้า”


ฉินสือโอวจึงแทรกมุกตลกว่า “แล้วภรรยาคุณไม่ชื่นชมผมบ้างเหรอ?”


 “ชื่นชมสิ เขาบอกว่าบุคลิกลักษณะอันห้าวหาญของคุณ ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง เช่นเดียวกับความสามารถในประเทศของคุณที่ช่วยเหลือเราชาวคิวบา” คาปาไลกล่าว


ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “คาปาไลผมไม่ได้พูดนะ ภรรยาของคุณตาถึงจริงๆ ผมเป็นคนแบบนั้นแหละ เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่อย่างนั้นวินนี่ก็คงดูถูกผมแล้วใช่มั้ย?”


ซ่งชิงชานและคาปาไลพูดอะไรนอกจากนี้ได้บ้าง? จึงรีบพยักหน้าตอบว่าใช่พร้อมกัน

 

 

 


บทที่ 1387 คำเชิญของเอ็นแอลซีซี

 

คาปาไลต้อนรับอย่างเอาใจใส่มาก ชาวคิวบามีความประทับใจต่อชาวจีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสังคมนิยม ไม่อย่างนั้นคาปาไลและซ่งชิงชาน คนแปลกหน้าสองคนก็คงจะไม่ไปด้วยกันจนสนิทสนมกันขนาดนี้


ในขณะที่ทั้งรับประทานอาหารและพูดคุยไปด้วยนั้น ซ่งชิงซานก็ยังคงยิ้มพร้อมกับพูดคุย เมื่อคาปาไลเห็นเขาในตอนแรก จึงเรียกเขาออกไปว่าเพื่อนยาก ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเรียกคำว่า ‘สหาย’ คำนี้แทน จึงทำให้ไม่คุ้นชินกับมัน


คาปาไลพูดอย่างเขินอายว่า “เมื่อก่อนตอนที่อยู่โรงกลั่นไวน์ หัวหน้าวิศวกรของเราก็เป็นเพื่อนชาวจีน พวกเราจึงพากันเรียกเขาแบบนั้นกัน”


คำว่า ‘สหาย’ คำนี้คาปาไลออกเสียงเป็นภาษาจีน เพราะภาษาจีนกลางเขาพูดได้ค่อนข้างเป็นมาตรฐาน และได้มาตรฐานมากกว่าพ่อและแม่ฉิน


สำหรับมื้อนี้ ฉินสือโอวพอใจกับอาหารมากและเขายังได้เห็นวิธีการทำอาหารใหม่ๆ อีกด้วย


โดยเฉพาะจานที่ชื่อว่า ‘ราชินีแห่งทะเลแคริบเบียน’ จานนี้ทำจากกุ้งมังกร โดยนำมานึ่งจนสุก เมื่อแกะเนื้อกุ้งออกจะใช้เปลือกกุ้งมาประกอบกันเป็นรูปดอกไม้ จากนั้นก็นำเนื้อกุ้งมาสับกับหอมใหญ่และโรสแมรีผสมกับเครื่องเครื่องปรุงอื่นๆ สุดท้ายก็ตักใส่ช้อนแล้วก็กิน


นอกจากนี้ยังมีอาหารหลักที่ชื่อว่ากงรี เป็นอาหารที่ใช้ข้าวขาวและถั่วหลากสีมาต้มเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเติมน้ำมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวอมหวาน พอฉินสือโอวกินเข้าไปก็รู้สึกสดชื่นมาก เขาจึงตัดสินใจว่าจะกลับไปทำ


คาปาไลบอกว่าอาหารจานนี้เป็นราชาแห่งอาหารคิวบา มันดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วทำยากมาก เขาพูดว่า “ภรรยาของผมทำอาหารอร่อย แต่น่าเสียดายที่ผมไม่เคยเรียนรู้งานฝีมือจากเธอเลย ผมเสียดายมากที่มักจะขี้เกียจเวลาที่อยู่บ้าน จึงไม่ได้เรียนรู้วิธีศิลปะการเข้าครัวเลย”


ฉินสือโอวมองไปที่อาหารแสนอร่อยบนโต๊ะ จากนั้นก็มองไปที่ซ่งชิงซาน ซ่งชิงซานจึงยืนขึ้นอย่างมีสติและพูดว่า “พวกคุณคุยกันไปเลย ผมจะไปทำความสะอาดก่อน”


เมื่อทานเสร็จ ฉินสือโอวต้องการจะกลับ แต่คาปาไลขอให้เขารอสักครู่และหยิบกล่องสี่เหลี่ยมออกมา หลังจากเปิดออกมาแล้วก็พบว่าข้างในนั้นก็คือซิการ์


“ผมนำสิ่งนี้มาจากบ้านเกิด ไม่ใช่ของแบรนด์เนมอะไร แต่พี่ชายของผมม้วนมันเองกับมือ ซิการ์ที่เขาม้วนมีชื่อเสียงมากในฮาวานาและเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คุณฉินนี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผม หวังว่าหลังอาหารมื้อนี้คุณจะเพลิดเพลินกับมันได้” เขากล่าว


วินนี่จึงช่วยรับไว้แทนฉินสือโอว จากนั้นทิ้งหมายเลขเอ็มเอสเอ็นของเธอไว้และพูดว่า “ให้เอลิซาเพิ่มฉันเป็นเพื่อน ถ้าเธอมีข้อสงสัยอะไร ฉันสามารถช่วยได้”


เย็นวันนั้นผ่านไปอย่างมีความสุข เมื่อฉินสือโอวขับรถออกมาได้ไกลแล้ว จึงมองกลับก็พบว่าคาปาไลและซ่งชิงซานยังคงโบกมืออยู่ที่ประตู


วันรุ่งขึ้น ฉินสือโอวก็พาเด็กๆ วัยรุ่นไปเริ่มซื้ออุปกรณ์และของขวัญสำหรับวันฮาโลวีนในอินเทอร์เน็ต


เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น หลังจากรับสายแล้วฝั่งนั้นก็พูดว่า “สวัสดีครับคุณฉิน เราคือคณะกรรมการการทำปุ๋ยหมักแห่งนิวฟันแลนด์ สวนผักของคุณเก็บเกี่ยวฟักทองได้ถึงสองพันปอนด์ใช่ไหมครับ?”


คณะกรรมการการทำปุ๋ยหมักแห่งนิวฟันแลนด์? นี่มันอะไรกัน? ฉินสือโอวรู้สึกงงในใจจึงตอบกลับไปว่า “ไม่ถึงสองพันปอนด์หรอก แต่น่าจะมากกว่าหนึ่งพันเก้าร้อยปอนด์ ทำไมเหรอครับ?”


เมื่อได้ยินคำตอบของเขา คนฝั่งนั่นก็ตกใจและร้องเสียงสูงกันแล้วพูดว่า “เป็นอย่างนี้นี่เอง คุณฉิน เราจะจัดการแข่งขันการชั่งน้ำหนักฟักทองภายในบริเวณนิวฟันด์แลนด์ จึงอยากจะเชิญชวนให้คุณเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ สถานที่จัดงานอยู่ที่ตลาดเกษตรปากิลาในเซนต์จอห์น ไม่รู้ว่าคุณจะสนใจไหม?”


ฉินสือโอวจึงให้พวกเขารอสักครู่และถามว่า “คณะกรรมการการทำปุ๋ยหมักแห่งนิวฟันแลนด์คืออะไร?”


เออร์บักอธิบายว่า “NLCC มีชื่อเต็มว่า Composting Council of Newfoundland & Labrador ซึ่งเป็นสมาคมพื้นเมืองที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลส่วนกลาง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมีในการทำการเกษตร”


ฉินสือโอวพูดถึงคำเชิญของพวกเขา เออร์บักจึงพูดว่า “ไม่มีปัญหา กิจกรรมแบบนี้จัดขึ้นทุกปี เพราะเป็นหนึ่งในกิจกรรมวันฮาโลวีนและนี่ยังสามารถทำการบันทึกรับรองได้อีกด้วย ราชาฟักทองของทุกปีจะได้ใบรับรอง นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ยังขึ้นอยู่กับเมืองเป็นหลักและยังสามารถส่งเสริมเมืองของเราได้”


หลังจากเข้าใจแล้ว ฉินสือโอวจึงตอบกลับว่า “โอเค ผมคิดว่าผมจะเข้าร่วม”


บุคคลในโทรศัพท์พูดว่า “ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ ผมขอแนะนำอะไรก่อนสักหน่อย ตอนที่ปลูกฟักทองนี้ ปุ๋ยที่ใช้คือปุ๋ยหมักอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี? เคยนำเข้าสารอาหารฉีดเข้าต้นกล้าฟักทองไหมครับ? ปลูกอยู่นอกบ้านหรือเปล่า?”


ฉินสือโอวตอบว่า “อืม ผมใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์และไม่มีการฉีดสารอาหารใดๆ เข้าไปเลย ส่วนสถานที่เพาะปลูกนั้นก็ต้องปลูกนอกบ้านอยู่แล้ว”


หลังจากได้รับคำตอบจากเขา ทางฝั่งนั้นก็ส่งคำเชิญให้อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็บอกเขาว่าให้นำฟักทองไปเข้าร่วมการแข่งขันในวันที่ 30 ตุลาคม แต่ควรนำเถาฟักทองหรือแม้แต่รากและดินที่ปลูกด้วยกันมาด้วย


วันฮาโลวีนจะจัดขึ้นปลายเดือนตุลาคม ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ นี่เป็นเทศกาลที่สำคัญอีกวันหนึ่ง โดยเฉพาะวันที่ 31 ตุลาคมของปีนี้ตรงกับวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่ดีและกำหนดการจัดงานก็มีชีวิตชีวามากกว่าปีก่อนๆ ดังนั้นทุกครอบครัวจึงเริ่มเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่ตอนนี้ หลายๆ องค์กรและเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดกิจกรรมแล้ว


ในช่วงสองปีที่ผ่านมาฉินสือโอวไม่ได้สนใจกับเทศกาลนี้เลย เพราะฟาร์มปลาของเขาอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก ถ้าเขาไม่ได้ไปติดต่องานด้วยตัวเองก็จะไม่รู้เรื่องข่าวสารเหล่านี้ ปีนี้จึงลองจับตาดูเป็นพิเศษและพบว่ามีกิจกรรมมากมาย


กิจกรรมเฉลิมฉลองในสวน การแข่งขันฟักทอง การแข่งขันแกะสลักฟักทองหรือแม้แต่การแข่งขันเรือฟักทองก็ยังมี


ปลูกฟักทองที่ปลูกในฟาร์มปลามีจำนวนมาก มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เด็กๆ วัยรุ่นก็ต่างพากันเก็บมันกลับมาด้วยความตื่นเต้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแต่ละคนก็กำลังยุ่งกับการแกะสลักโคมไฟฟักทองและรูปปั้นฟักทอง


แน่นอนว่าการเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดก็คือปาร์ตี้แต่งหน้าในช่วงเย็น เมืองแฟร์เวลจะจัดงานอย่างสนุกสนานขึ้นทุกปี โดยเฉพาะหลังจากที่ตลาดนักท่องเที่ยวเปิดให้บริการ จะมีนักท่องเที่ยวได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย ถึงอย่างไรทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นรายได้จำนวนมาก


ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าเธอจะแต่งตัวอะไร วินนี่มองเขาด้วยสายตาที่สดใสและถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วคุณล่ะที่รัก?”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างพอใจและพูดว่า “ผมยังไม่บอกคุณหรอก”


“แล้วคุณคิดว่าฉันจะบอกคุณไหม?”


ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ ก็จริง ทำไมตัวเองถึงซื่อบื้อขนาดนี้นะ พูดว่าแกล้งวินนี่ยังจะดีกว่า


วินนี่หยิกแก้มของเขา จากนั้นปลายเท้าก็กระดกขึ้นและจูบลงไปที่เขาอย่างอ่อนหวานแล้วพูดว่า “ฉันชอบที่คุณดูซื่อบื้อแบบนี้จัง โอเค เชิญเศร้าต่อไปเถอะค่ะ พอถึงเวลาฉันจะทำให้คุณรู้สึกเห็นโลกกว้างเอง”


ในวันที่ 30 บรรยากาศฮาโลวีนก็เริ่มคึกคักขึ้น ชาวแคนาดาจะให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้มากและลักษณะการปฏิบัติของพวกเขาก็แทบจะเหมือนกับเทศกาลคริสต์มาสทุกอย่าง ร้านค้าจะเริ่มจัดโปรโมชั่นสินค้าต่างๆ เหมือนกับต้องการจะขายของที่ค้างอยู่ในร้านออกให้หมด


ในตอนเช้าฉินสือโอวพาวินนี่และเด็กๆ ไปที่ตลาดเกษตรปากิลา คราวนี้เขาจะไปรับสถิติด้วย แม้ว่ากินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจะไม่มีเงินรางวัล แต่สถิติของเอ็นแอลซีซีจะมีรางวัลเพิ่มให้อีกห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก


หลังจากที่บูลรู้ก็นึกถึงแต่เงินรางวัลมาโดยตลอด ถ้าเลือกได้ เขาคงจะยอมปลูกฟักทองขนาดใหญ่แบบนี้เองและเอาสถิติแตงกวาให้ฉินสือโอวแทน

 

 

 


บทที่ 1388 ตลาดเกษตรปากิลา

 

เรือออกจากท่าเรือ ฝ่าคลื่นและแล่นตรงไปทางเซนต์จอห์น


บนดาดฟ้าเรือ นักท่องเที่ยวผู้หญิงสองสามคนกำลังมองไปที่หัวเรืออย่างไม่พอใจหรือไม่ก็แอบมองอย่างเงียบๆ อยู่


ฉินสือโอวที่ยืนคิดอะไรเงียบๆ พิงรั้วอยู่ตรงนั้น ลมพัดเสื้อผ้าไปมา ใบหน้าของเขาหล่อเหลา รูปร่างที่สูงยาวและยังมีนิสัยที่ได้จากการปลูกฝังให้ต่อสู้กับคลื่นทะเลอีก มองอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่หล่อและดูดี


ฉินสือโอวก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน จากนั้นเขาก็คิดอะไรเงียบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับทำท่าชูสองนิ้วถ่ายเซลฟี่ตัวเอง ‘แชะๆๆ’ สองสามครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนท่า เอียงหน้ามองฟ้าทำมุมสี่ห้าองศาพร้อมกับทำสีหน้ากลุ้มใจและถ่ายเซลฟี่ตัวเองต่อไป


เมื่อเห็นรูปถ่ายในโทรศัพท์ก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลย ฉินสือโอวจึงเดินออกจากดาดฟ้าอย่างพึงพอใจและเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวผู้หญิงสองสามคนยืนมองอย่างอัดอั้นตันใจอยู่อย่างนั้น


วินนี่กำลังอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ก็สอนให้เธอพูดว่า “…หลุนฉวน ไม่ใช่หลุนหลุน หลุนฉวน ไม่ใช่ช้วนช้วน มันคือคำว่าเรือนะ…”


ฉินสือโอวบีบใบหน้าอันอวบอ้วนของลูกสาวด้วยความเอ็นดู เด็กหญิงตัวน้อยจึงจ้องเขาด้วยความโกรธ ปากเล็กๆ ของเธอก็เริ่มพ่นฟองออกมา


“น่ารักจริงๆ เลย เหมือนกับปูที่ถูกจับได้เลยนะ?” ฉินสือโอวหัวเราะโง่ๆ ออกมา จากนั้นก็บีบแก้มอ้วนของลูกสาวพร้อมกับถ่ายเซลฟี่อีกครั้ง


วินนี่ส่ายหัวไปมา เธอรู้สึกว่าต่อจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวและพ่อคงจะไม่ปรองดองกันแล้ว ดังนั้นในฐานะที่เธอเป็นแม่ก็คงต้องลำบากแล้ว


เด็กหญิงร้องตะโกน วินนี่จึงอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนและหลีกเลี่ยงเท้าของฉินสือโอวแล้วพูดว่า “เอาล่ะเอาล่ะ เลิกแกล้งเธอได้แล้ว อุปกรณ์ที่ยืมมาพร้อมหรือยังคะ? ไปตรวจสอบอีกครั้งเลยนะ จะได้ไม่ต้องมาแกล้งลูกสาวอีก”


คราวนี้ฉินสือโอวจะไปที่เซนต์จอห์น ไม่เพียงแต่เข้าร่วมการแข่งขันฟักทองเอ็นแอลซีซีเท่านั้น แต่ยังไปติดต่อพูดคุยกับแบรนดอนเรื่องกู้เงินห้าร้อยล้านจากธนาคารมอนทรีออลอีกด้วย


ฉินสือโอวตบกระเป๋าเป้ด้วยความมั่นใจ จากนั้นเขาก็พูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มต่อว่า “มาเถอะที่รัก เรามาถ่ายรูปคู่ด้วยกันเถอะ นานแล้วที่ไม่ได้นั่งเรือข้ามฟาก เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ”


คราวนี้พวกเขานั่งเรือข้ามฟากตรงไปที่เซนต์จอห์นเพราะต้องไปหลายที่ ต้องจัดการหลายเรื่องและยังต้องนำฟักทองหนักหนึ่งตันมาด้วยอีก จริงๆ ขับรถไปก็ได้ แต่เรือยอชต์ในฟาร์มไม่สามารถรองรับฟอร์ดเอฟหกร้อยห้าสิบที่รุนแรงได้


แต่วินนี่กลับไม่รู้สึกแปลกใหม่อะไร ตอนนี้การนั่งเรือข้ามฟากกลายเป็นวิธีการคมนาคมที่สำคัญที่สุดในเมืองแล้ว นักท่องเที่ยวยังต้องพึ่งมันเพื่อต่อจากเกาะเล็กๆ ไปเซนต์จอห์น ดังนั้นหลังจากที่วินนี่รับตำแหน่ง เธอจึงได้นั่งเรือเฟอร์รี่หลายครั้งเพื่อสัมผัสดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุง


จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องปรับปรุงก็ยังมี ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเรือลำเล็กๆ ลำนี้มันเก่ามากเกินไปแล้ว เธอจึงถอนหายใจแล้วพูด “ฉันหวังจริงๆ ว่าปีนี้จะหมดไปเร็วๆ หลังจากที่คุณจ่ายภาษีประจำปี ฉันต้องซื้อเรือใหม่แล้วล่ะ”


“ซื้อเรืออะไร? ในฟาร์มปลาก็ไม่ใช่ว่ามีเรืออยู่หลายลำเหรอ?” ฉินสือโอวถาม


 “ฉันกำลังพูดถึงเรือที่ใช้ข้ามฟาก คุณไม่รู้สึกว่าเรือลำนี้มันเก่ามากแล้วเหรอ? เรือข้ามฟากเป็นทางผ่านในการเข้าเมืองของเรา เป็นตัวแทนแรกที่แสดงภาพลักษณ์ของเมืองแฟร์เวลของเรา ดังนั้นเรือข้ามฟากลำนี้จึงแย่ไปหน่อย” วินนี่กล่าว


ฉินสือโอวจึงมองไปรอบๆ พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย เรือลำนี้ใช้งานมาสี่สิบห้าสิบปีแล้ว ตัวเรือก็เป็นสนิม ที่นั่งก็ไม่สม่ำเสมอกันและแรงขับก็ไม่ดี ไม่รู้ว่ามีการซ่อมแซมครั้งใหญ่มากี่ครั้งแล้ว คงจะต้องรีบเปลี่ยนใหม่จริงๆ


แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของวินนี่ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ทำไมต้องรอให้เขาจ่ายภาษีประจำปีด้วยล่ะ?


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ วินนี่ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก “ที่รัก คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ คุณคิดว่าถ้าเปลี่ยนเรือลำใหม่จะใช้เงินประมาณเท่าไร? จะเปลี่ยนเป็นเกรดไหนดีล่ะ? อู่ซ่อมเรือที่ไหนเหมาะสมที่สุด?”


ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะตีเธอ แต่ก็ต้องบอกความจริงไปว่า “ถ้าคุณคาดหวังว่าฟาร์มปลาของเราจะต้องจ่ายภาษีเพื่อซื้อสิ่งนี้ เดาว่าเราคงจะต้องรออีกสองปี ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีจำนวนมากในปีนี้ ผมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมการกุศลมากมายขนาดนี้ บริจาคเงินก็จำนวนมากแล้วยังลงทุนให้กับบอมบาร์เดียร์อีกด้วย เพียงแค่การขอส่วนลดภาษีและการหลีกเลี่ยง คงจะเพียงพอที่จะหักล้างภาษีฟาร์มปลาได้”


เมื่อได้ยินแบบนั้น วินนี่ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก ฉินสือโอวจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมคุณถึงทำท่าทางแบบนั้นล่ะ? ฟาร์มปลาเป็นสมบัติสาธารณะของสามีภรรยา เพื่อที่จะพัฒนาเมืองคุณถึงกับต้องทำร้ายผลประโยชน์ของเราเลยเหรอ?”


วินนี่ยักไหล่และพูดว่า “ขอโทษนะฉิน ตอนที่ฉันรับตำแหน่ง ฉันได้สาบานกับ “พระคัมภีร์ไบเบิล” และ “รัฐธรรมนูญ” ว่าจะละทิ้งครอบครัวเล็กๆ เพื่อมาเปลี่ยนแปลงทุกคนให้สมบูรณ์ เมื่อพูดแล้วก็ไม่สามารถคืนคำได้ แล้วใครให้คุณแต่งงานกับนายกเทศมนตรีหญิงล่ะค่ะ?”


ทั้งสองคนแทรกมุกตลกตลอดทางและเรือก็จอดเทียบท่าเรือเซนต์จอห์น ฉินสือโอวขับรถพาภรรยาลูกสาวและเด็กๆ วัยรุ่นไปตามทาง รถที่พวกเขาขับคือรถคาดิลแลควันและมีเอฟหกร้อยห้าสิบที่บรรทุกฟักทองลูกใหญ่ตามหลังมาติดๆ


ตลาดเกษตรปากิลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซนต์จอห์น ซึ่งห่างไกลจากท่าเรือมาก ที่ตั้งของท่าเรืออยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองและทั้งสองฝั่งตั้งอยู่ที่ขอบเขตของเมืองพอดี


ตลาดของเกษตรแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในเซนต์จอห์น ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าหนึ่งหมื่นสี่พันตารางเมตร มีห้องเย็นรักษาความสดของอาหารสองพันตารางเมตรและพื้นที่ค้าขายขนาดใหญ่ห้าพันตารางเมตร ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้ามากกว่าหกร้อยรายที่ทำการค้าขายที่นี่


วันฮาโลวีนใกล้เข้ามาแล้ว ตลาดของเกษตรจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของเทศกาลและมีผีอยู่ทุกหนทุกแห่ง สัตว์ประหลาดทะเลอัดลมและเรือผีลอยอยู่ที่จุดขายอาหารทะเล และแสงเลเซอร์สีแดงปล่อยลงบนพื้นที่อยู่จุดขายเนื้อสัตว์ ดูเหมือนกับเลือดสดๆ กำลังไหลออกมา


“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวอุทานเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ “นี่มันคือห้องสยองขวัญหรือตลาดผักกันแน่? ถ้ามีคนกลัวจนหัวใจวายใครจะรับผิดชอบ?”


กอร์ดอนเหลือบมองเขาและพูดว่า “คุณกลัวเหรอ?”


ฉินสือโอวหัวเราะเยาะขึ้น “จะกลัวแค่สิ่งของพวกนี้ได้อย่างไร? ฉันแค่ถามไปเท่านั้นเอง นายไม่รู้ความกล้าของฉันเลยเหรอ?”


เชอร์ลี่ย์ที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มหวาน จากนั้นก็เปิดทวิตเตอร์ ให้ฉินสือโอวดูภาพตอนที่เขากลัวพี่น้องไฮเออร์จนไม่กล้าเข้าไปในครัว


จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นมือออกมา “พวกคุณก็มาเข้าร่วมการแข่งขันฟักทองใช่ไหม? ขอถามหน่อยได้ไหมว่าชื่ออะไร? ช่วยบอกฉันหน่อยนะ”


ฉินสือโอวจับมือเขาพร้อมกับแนะนำตัวเองไปด้วย คนคนนั้นจึงพูดอีกครั้งว่า “โอ้ คุณคือคุณฉิน เจ้าของฟาร์มปลาขนาดใหญ่แห่งเกาะแฟร์เวล? ฉันชื่นชมคุณมานานแล้ว ฉันได้ยินมาว่าคุณปลูกฟักทองลูกใหญ่ ใช่ลูกที่อยู่ข้างหลังนั้นไหมคะ? พระเจ้า มันใหญ่มากจริงๆ!”


ฉินสือโอวยักไหล่ให้วินนี่ ซึ่งเป็นการสื่อให้เธอดูว่า ตอนนี้เขาเป็นคนดังแล้ว


คนคนนั้นจึงสั่งให้พนักงานมาขนฟักทองลูกใหญ่นี้ไป เขาบอกฉินสือโอวว่า เถาฟักทองจะต้องตัดออกให้เหลือเพียงยี่สิบห้าเซนติเมตรและถามเขาว่าเขามีปัญหาอะไรไหม


ฉินสือโอวไม่มีปัญหา แต่เขารู้สึกงงเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมคุณถึงให้ผมเอาเถาวัลย์มาด้วยล่ะ?”


คนคนนั้นอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่า “เนื่องจากเราต้องตรวจสอบเถาวัลย์ เพื่อดูว่ามีร่องรอยเข็มหรือตำหนิหรือไม่ และการนำดินที่ปลูกมาด้วยก็เพื่อตรวจสอบว่าคุณใช้ปุ๋ยเคมีปลูกหรือไม่  เพื่อง่ายต่อการแบ่งกลุ่มแข่งขันค่ะ”

 

 

 


บทที่ 1389 รางวัลชนะเลิศ

 

พื้นที่ทั้งหมดของตลาดเกษตรถูกใช้เพื่อในการจัดกิจกรรมการแข่งขันฟักทองขนาดใหญ่ มีกลุ่มต่างๆ อยู่ในนั้น จากวิธีการเพาะพันธุ์ ปุ๋ยอินทรีย์คือกลุ่มหนึ่ง ปุ๋ยเคมีเป็นอีกกลุ่มและใช้วิธีการฉีดสารอาหารก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง


หลังจากที่ฉินสือโอวเดินเข้าไป ก็เห็นว่าฟักทองขนาดใหญ่ทั้งหมดวางเกลื่อนในบริเวณนี้ เดาว่าฟักทองที่เล็กที่สุดคงจะมีน้ำหนักหลายพันปอนด์ เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็มาถ่ายรูปกับวินนี่ เพราะมันหาได้ยากมากที่ได้เห็นฟักทองขนาดใหญ่แบบนี้มาอยู่รวมกันแบบนี้


เอ็นซีแอลแอลจัดงานดังกล่าวขึ้นทุกปี กิจกรรมนี้มีอิทธิพลต่อพื้นที่ท้องถิ่นในเซนต์จอห์น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมถึงขั้นมาจากออนแทรีโอและผู้ชมจากที่ต่างๆ ทั่วแคนาดาก็มา


นอกจากการแข่งขันน้ำหนักฟักทองแล้ว ยังมีการแข่งขันระดับการชื่นชมฟักทองอีกด้วย ตอนแรกฉินสือโอวไม่รู้ หลังจากวินนี่เดินเล่นรอบๆ กับเด็กหญิงตัวน้อยกลับมา เด็กหญิงตัวน้อยก็กอดฟักทองสีส้มๆ กลมๆ ไว้ในอ้อมแขน วินนี่บอกว่านี่คือฟักทองที่ซื้อมาในราคาสี่สิบดอลลาร์แคนาดา เขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้


วินนี่ซื้อหมวกฟักทองให้ฉินสือโอวมาใบหนึ่ง ฉินสือโอวจึงเอาไปดู คิดไม่ถึงว่ามันทำมาจากฟักทองจริงๆ แต่ผ่านกรรมวิธีโดยการใช้ฟิล์มพลาสติกและกาวและเหลือเพียงผิวชั้นนอกแค่หนึ่งชั้นเท่านั้น มันจึงค่อนข้างเบา เมื่อสวมไว้ที่หัวก็ดูน่าสนใจอยู่บ้างเล็กน้อย


เมื่อฟักทองลูกใหญ่แต่ละลูกขนส่งมาถึง ก็จะมีคนไปรอรับ จากนั้นก็จะนำไปชั่งน้ำหนักและนำไปวางไว้ในสถานที่จัดแสดง ตามน้ำหนักของฟักทอง ใจกลางของสถานที่จัดแสดงมีบางอย่างที่เหมือนกับแท่นโอลิมปิกอยู่ ซึ่งนั่นจะเป็นที่วางของฟักทองอันดับที่หนึ่ง สองและสาม


ระหว่างรอก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ ฉินสือโอวจึงพาเด็กๆ วัยรุ่นไปเดินเล่นรอบๆ ตลาด ไม่เพียงแต่เดินดูฟักทองเท่านั้น แต่ยังซื้อผักมามากมายอีกด้วย…


กิจกรรมนี้จะจัดขึ้นตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายขอเพียงแค่ส่งฟักทองเข้ามาก็นับจำนวนทั้งหมด ฉินสือโอวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกลุ้มใจ จะให้เขาเดินไปรอบๆ ตลาดผักทั้งวันเลยเหรอ? พูดอีกอย่างคือสิ่งนี้ก็ไม่ได้สำคัญเท่าไรนักและเขาก็ไม่สนใจอันดับด้วยว่าจะได้ที่เท่าไร


ดังนั้นเขาจึงพาเด็กๆ และวินนี่ขับรถออกไป เซนต์จอห์นมีกิจกรรมมากมาย ข้างๆ ตลาดผักมีโรงยิมอยู่ ซึ่งที่นั่นเป็นที่จัดงานฮาโลวีนสำหรับเด็กทารก ฉินสือโอวจึงมองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไร จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปดู


ในนั้นเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่เครื่องแต่งกายแตกต่างกัน แม้แต่เด็กโตอย่างกอร์ดอนก็ยังได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรม ขอแค่พวกเขาไม่รังแกคนอื่นให้เสียหน้าก็พอ


กิจกรรมหลายอย่างล้วนเป็นการแข่งขันและยังมีเกมทางธุรกิจอย่างเช่น แผงขายของเล่นเด็กมือสอง วินนี่บอกว่ากิจกรรมสำหรับเด็กและเกมธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นจุดเด่นของงาน พ่อแม่ชาวแคนาดาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูเด็กๆ ให้มีพรสวรรค์ในด้านธุรกิจเป็นอย่างมาก


ฉินสือโอวมองไปที่ลูกสาว ก็น่าเสียดายที่เถียนกวายังเล็กเกินไปที่จะเล่นเกมแบบนี้ กอร์ดอนก็กระตือรือร้นที่จะลอง เชอร์ลี่ย์และพาวลิสจึงคอยดึงเขาไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เขาไปรังแกเพื่อนตัวน้อย


เกมประเภทนี้เรียบง่ายมาก เพียงแค่เด็กๆ นำของเล่นมาเอง เพื่อให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ทำธุรกิจการตั้งแผงขายของ ผู้ปกครองสามารถช่วยเด็กๆ ตั้งแผงขายของได้ แต่ขั้นตอนการค้าขายจะต้องไม่เข้าไปยุ่ง ซึ่งสิ่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อฝึกทักษะการสื่อสารแลกเปลี่ยนของเด็กๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน แม้ว่าในระหว่างนั้นเด็กๆ จะขายสินค้าในราคาสูงหรือแลกเปลี่ยนสินค้าหรือจะให้ฟรีก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้


กอร์ดอนมองดูสถานการณ์นี้อย่างกระวนกระวายใจและพูดว่า “ตอนเด็กๆ ผมอยากเล่นเกมนี้มาก แต่ผมไม่มีของเล่นให้แลกเลยเล่นไม่ได้”


ฉินสือโอวจึงมองไปที่พาวลิส กอร์ดอนเจ้าเด็กคนนี้ชอบมีลับลมคมใน จึงไม่สามารถเชื่อทั้งหมดได้


พาวลิสยักไหล่ใส่และพูดว่า “ใช่ เมืองน้ำตกเล็กก็จะจัดงานแบบนี้ด้วย แต่เราไม่สามารถไปเข้าร่วมได้ เราไม่สามารถเอาตั๋วที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้”


“โอเค” ฉินสือโอวจึงใจอ่อน เขาเรียกเด็กวัยรุ่นทั้งสี่คนมาและพูดว่า “ถ้าพวกนายอยากเล่น แล้วทำไมไม่ไปซื้อของเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตถัดจากที่นี่ล่ะ จากนั้นก็เข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้แล้วนะ?”


มิเชลส่ายหัวและพูดว่า “นั่นมันโง่เกินไป ฉิน นั่นมันโง่ไป! ของเล่นที่ซื้อมาก็เป็นของใหม่ แล้วเอาไปแลกกับของเล่นเก่าเนี่ยนะครับ?”


ฉินสือโอวยักไหล่ใส่และพูดว่า “ฟังนะเด็กๆ พวกนายจะต้องตัดสินใจนับไม่ถ้วนในชีวิตนี้และการตัดสินใจเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องถูกต้องทั้งหมด พวกนายจะทำธุรกิจจำนวนมากมายและธุรกิจเหล่านี้จะไม่ทำกำไรให้นายได้เลย ดังนั้นบางครั้งสิ่งสำคัญก็คือการลองลงมือทำ แต่ไม่ใช่ทำเพื่อให้ได้กำไร”


เด็กๆ พากันพยักหน้าเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็วิ่งอย่างมีความสุขไปที่ประตูที่อยู่ถัดไปข้างๆ และซื้อของเล่นกลับมาเป็นจำนวนมาก เมื่อหาสถานที่ได้ก็ตั้งแผงขายของทันที


ฉินสือโอวและวินนี่จึงเดินดูพร้อมกับลากรถเข็นเด็กไปเรื่อยๆ และพวกเขาก็เห็นบ้านจับรางวัลอยู่ตรงทางออก แม่มดน้อยและพ่อมดน้อยที่สวมแว่นแฮร์รี่พอตเตอร์กำลังแจกใบปลิว เพื่อหาคนเข้ามาจับรางวัล ซึ่งแต่ละคนจะสามารถสุ่มได้หนึ่งครั้งและครั้งละแค่หนึ่งดอลลาร์แคนาดาเท่านั้น


ฉินสือโอวจึงอ่านคำแนะนำ ซึ่งมีทั้งหมดสี่รางวัล รางวัลแรกเป็นแพ็กเกจท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวมูลค่าสามพันดอลลาร์แคนาดา จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและอื่นๆ จะเป็นสถานที่ตัวเลือก รางวัลที่สองคือตั๋วล่องเรือสองใบ มูลค่าหนึ่งพันดอลลาร์แคนาดา ซึ่งจะสามารถเพลิดเพลินกับการล่องเรือสุดหรูท่ามกลางท้องทะเลได้หนึ่งครั้ง ส่วนรางวัลที่สามคือบัตรเติมเงินเดินทางและรางวัลที่สี่คือของเล่น ซึ่งมีราคาไม่แพง ฉินสือโอวจึงจ่ายเงินสามหยวนเพื่อสุ่มจับฉลากสามครั้ง สุดท้ายพอล้วงมือเข้าไปจับก็พบว่าปากกล่องจับสลากนั้นเล็กมากเกินไป ต้องให้เด็กทารกหรือเด็กๆ วัยรุ่นล้วงเข้าไปเท่านั้น


ดังนั้นฉินสือโอวจึงให้เสี่ยวเถียนกวามาล้วงจับสลาก เธอใช้มือเล็กๆ จับฉลากออกมาสามใบ สองใบแรกเป็นสุขสันต์วันฮาโลวีน ส่วนอีกหนึ่งใบคือรางวัลอันดับที่สี่ ซึ่งสามารถแลกเป็นหน้ากากผีน้อยที่คล้ายกับหน้ากากงิ้วเสฉวนมาได้หนึ่งอัน


ฉินสือโอวหัวเราะพร้อมกับสวมหน้ากากนั้นให้กับเสี่ยวเถียนกวา พวกเขาเดินไปที่ประตูทางออกและพบกับเชอร์ลี่ย์ วินนี่จึงถามว่า “ฮึ ทำไมเธอไม่อยู่ที่แผงขายของล่ะ?”


เชอร์ลี่ย์พูดอย่างไม่พอใจว่า “กอร์ดอนและคนอื่นๆ ไร้ยางอายมาก พวกเขาใช้ไอคิวรังแกเด็กตัวเล็กๆ หนูจะไม่ทำสิ่งที่น่าอับอายแบบนั้นเด็ดขาด หนูก็เลยมาหาพวกคุณ”


ฉินสือโอวเห็นว่าเธอกำลังโกรธ จึงสลากหนึ่งใบให้เธอจับ แม้ว่าช่องของกล่องจับสลากจะเล็ก แต่มือของเชอร์ลี่ย์ก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก


ในขณะที่จับสลากอยู่ ฉินสือโอวจึงพูดติดตลกว่า “เฮ้ สาวน้อย เธอยื่นมือออกไปแตะที่ด้านบนและต้องวนรอบๆ ปากกล่องก่อนนะ”


“หมายความว่าอะไร?” วินนี่ถาม


ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่จะล้อเล่น เมื่อก่อนในตลาดบ้านเราก็มีคนทำจับสลาก โดยเอาตั๋วรางวัลที่หนึ่งมาวางไว้บนปากกล่องจับสลาก…”


เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นสีหน้าของเชอร์ลี่ย์เปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขาก็ถามว่า “ไม่ให้หนุพูดแล้วใช่ไหม?”


เชอร์ลี่ย์พยักหน้าแรง จากนั้นก็หยิบสลากออกมา ฉินสือโอวจึงเปิดดูและเห็นว่ามันคือรางวัลที่หนึ่ง!


“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบออกมา


หลังจากพวกเขาไปแลกรางวัล ชายผู้รับผิดชอบในการแลกรางวัลก็มองดูใบสลากที่พวกเขาถือมาอย่างไม่น่าเชื่อ ฉินสือโอวพาเชอร์ลี่ย์มาด้วย เขาพาแค่เสี่ยวเถียนกวาไปรับรางวัล เมื่อได้เห็นความตกใจของชายคนนั้น เขาจึงยักไหล่และพูดว่า “ลูกสาวของผมนี่ดวงดีจริงๆ”


ชายคนนั้นยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ใช่ เธอดวงดีมากจริงๆ”


กิจกรรมของพวกเขาเป็นความร่วมมือกับเครือข่ายการท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง รางวัลที่หนึ่งจึงเป็นตั๋วรางวัลหนึ่งใบ ซึ่งจะต้องใช้รหัสคิวอาร์บนตั๋ว ถึงจะสามารถรับแพ็กเกจท่องเที่ยวจากเครือข่ายการท่องเที่ยวได้…


จริงๆ แล้ว นี่แพ็กเกจของขวัญชิ้นใหญ่ มูลค่าสามพันดอลลาร์แคนาดา


หลังจากได้รับตั๋วรางวัลแล้ว ฉินสือโอวที่กำลังจะเดินจากไป จู่ๆ ก็หันกลับมาเหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออกและพูดว่า “นี่คุณ ลูกสาวของผมมีบางอย่างให้ผมมาบอกคุณ การทำธุรกิจต้องพูดให้มีความน่าเชื่อถือและมีจริยธรรม”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)