ท่านเทพมาแล้ว 137-140
บทที่ 137 วัยขบเผาะ
โดย
Ink Stone_Romance
เหลียงชิวฉานเห็นกับตาตนเองว่าจีหย่งฟางถูกหัวชิงตัดชีพจรอย่างไร ภาพอีกฝ่ายเจ็บปวดหมดหวังยังคงลอยอยู่ในดวงตานาง หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกมา แบบนั้นหัวชิงต้องทำกับนางเหมือนกับที่ทำกับจีหย่งฟางแน่! หลังจากนางเห็นสภาพอันน่าเวทนาของจีหย่งฟางแล้วถึงได้เข้าใจ หลินเจี้ยนหรูย้ายผลลัพธ์ที่เขาควรจะแบกรับมาไว้ที่นาง!
เขาทำให้นางกลายเป็นแพะรับบาป! นับจากวันนี้ไปคนที่ต้องกลัวและหวาดระแวงอยู่ทุกเมื่อก็คือนาง!
นางจะไม่แค้นได้อย่างไร? ไม่โกรธได้อย่างไร?
นางยื่นนิ้วทั้งสิบไปคว้าหน้าเขา การเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนเกิดจากสัญชาตญาณของร่างกาย นางรู้ว่านางสู้เขาไม่ได้ แต่ยังอยากเสี่ยงดูไม่ว่าจะต้องเสียอะไร นางพะวงเรื่องมากมายขนาดนั้นไม่ได้!
“ศิษย์พี่ลำบากแล้ว” หลินเจี้ยนหรูจับมือทั้งสองของเหลียงชิวฉานไว้มั่น ลูบหน้าผากและแก้มของนาง ขยับปากพูดว่า “ศิษย์พี่ช่วยข้าขนาดนี้ ข้าต้องช่วยเจ้าคิดหาทางรับมือกลับไปแน่”
เหลียงชิวฉานร้องไห้เสียงดัง
นางรู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมารร้าย แต่นางกลับไม่มีเรี่ยวแรงดิ้นรนขัดขืน
ตอนนี้นางยังสามารถทำอะไรได้อีก?
แม้แต่สังหารเขาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!
จังหวะชีวิตในสวรรค์ช่างเชื่องช้า หรือพูดได้ว่าทั้งโลกเซียนไม่มีใครยุ่ง ดังนั้นเวลาจึงผ่านไปเร็ว
พริบตาเดียวมู่จิ่วปฏิบัติงานอยู่ที่กลุ่มถิงเว่ยได้ครึ่งเดือนแล้ว เรื่องงานค่อยๆ อยู่มือ หลังจัดการเรื่องราวเล็กน้อยเท่าเม็ดงาไปจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มคุ้นชินกับพวกหลี่อี้ถงกวงแล้ว และก็รู้จากปากพวกเขาว่าผู้รับผิดชอบคนก่อนหน้านางทำผิดเล็กน้อย จึงถูกส่งไปเป็นเซียนภูเขายังโลกมนุษย์ ตอนแรกพวกหลี่อี้ก็เกือบจะพลอยลำบากไปด้วย
และเพราะแบบนี้ ตอนนั้นพวกเขาจึงต้อนรับขับสู้นางอย่างจริงจัง
มู่จิ่วให้พวกเขาวางใจในเรื่องนี้ได้ ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ทำผิด ถึงแม้ทำผิดจริง ก็ไม่ทำให้พวกเขาลำบากไปด้วยแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงวางใจ ปกติเรียกตอนไหนก็มาตอนนั้น กระฉับกระเฉงว่องไวมาก
อีกอย่างย้ายบ้านใหม่ ช่วงนี้แม้แต่นอนหลับยังดีขึ้นมาก แต่ละคนล้วนพอใจกับลานบ้านเดี่ยวที่แยกออกมานี้อย่างยิ่ง เสี่ยวซิงดีอกดีใจ อาฝูกลิ้งอยู่ที่มุมใหม่ๆ ทุกวัน กลิ้งไปรอบหนึ่งก็กลับมาโดยที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลน จนเสี่ยวซิงไม่อาจไม่จับเขามาอาบน้ำทุกวัน
สถานที่ใหญ่เรื่องก็มากตาม เสี่ยวซิงยิ่งยุ่งกว่าแต่ก่อน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ก่อนนางยังมีเวลาฝึกพลัง ตอนนี้ทุกวันต้องทำงานบ้าน สามารถมีเวลาหายใจหายคอก็ไม่เลวแล้ว
มู่จิ่วจึงปรึกษาหารือกับนาง “พวกเราหาคนมาช่วยทำความสะอาดดีหรือไม่?”
ปีศาจน้อยมากมายนอกประตูสวรรค์แดนใต้ล้วนอยากเข้ามาทำงานด้านใน นางคิดว่าเหล่าลิงพวกนั้นดีมากทีเดียว
“จำเป็นด้วยหรือ?” เสี่ยวซิงพูด “ซ่างกวนสุ่นบอกว่าจะกลับมาไม่ใช่หรือไง!”
พูดตามจริง ตอนเจ้าคนนี้เพิ่งมาแรกๆ ไม่รู้นางรังเกียจเขาตั้งเท่าไหร่ ปากชอบพูดจาโอ้อวด มีตรงไหนเทียบกับอาฝูได้บ้าง? แต่เวลาผ่านไปนางก็เปลี่ยนมุมมอง อย่างน้อยเขาก็สะอาดสะอ้าน ทุกวันไม่เพียงล้างผักล้างชาม กวาดพื้นทำความสะอาดเตา แต่ยังเก็บกวาดห้องของตนและลานบ้าน ช่วยประหยัดเวลานางได้มาก
พูดถึงตรงนี้นางก็อดมองออกไปข้างนอกไม่ได้ ความจริงเขาจากไปเดือนหนึ่งแล้ว เรื่องที่บ้านควรจะจัดการเรียบร้อยแล้วกระมัง? หรือว่าเขาไม่คิดจะกลับมาแล้ว? คนผู้นี้นี่ ตอนเขาไปกลับทำเป็นอาลัยอาวรณ์!
คิดถึงตรงนี้ นางก็หยิบเอาไม้ตีผ้าทุบลงไปบนกระดานซักเสื้อ จากนั้นเดินตึงๆๆ เข้าห้องไป
มู่จิ่วมองแผ่นหลังของเจ้ากระต่าย ยิ่งนานวันนางยิ่งไม่เข้าใจความคิดของเด็กสาววัยขบเผาะเลยจริงๆ เมื่อครู่มิใช่ว่ายังคุยเล่นกันอยู่ดีๆ หรือ? หันมามองอีกทีทำไมกลายเป็นทุบเสื้อไปแบบนั้นแล้ว? นี่ไม่เหมือนวัยแตกเนื้อสาว เหมือนวัยทองเสียมากกว่า!
“เจ้าดูอะไรอยู่?”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาข้างหู มู่จิ่วหันกลับไปทันที นึกไม่ถึงว่าเป็นจะซ่างกวนสุ่นยืนอยู่ข้างหน้า ไม่เพียงยืนอยู่ตรงหน้า บนหลังยังมีห่อผ้าขนาดใหญ่มาด้วย มือซ้ายถือถังหูลู่[1]มาสองไม้ มือขวาถือขนมเคลือบงามาสองห่อ ดูแล้วเหมือนกับพ่อค้าเร่ที่ตะลอนไปทั่ว
“เจ้ามาได้อย่างไร?” มู่จิ่วชี้เขา คดีจบแล้วยังคิดจะมากินอยู่เปล่าๆ อีก?
“เจ้าพูดว่ายินดีต้อนรับข้ากลับมาทุกเวลามิใช่หรือ!” ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่ “เร็วขนาดนี้ก็ลืมแล้ว เจ้าแก่แล้วหรือไร?!” พูดจบเขาก็เชิดคางขึ้น เดินหลบนางเข้าไปข้างในทันที
มู่จิ่วสำลักจนพูดไม่ออก พูดให้ชัดเจนหน่อยดีหรือไม่? บ้านนี้ของนาง ของนาง!
กลายเป็นสถานที่ที่พวกเขาคิดจะเข้าก็เข้าได้ตั้งแต่ตอนไหนกัน? แล้วยังแสดงท่าทีแบบนี้กับนางอีก!
“จิ๋วจิ่ว ให้เจ้ากินถังหูลู่”
กำลังครุ่นคิดว่าจะให้อาฝูเอาเขาโยนออกไปหรือไม่ เสี่ยวซิงกลับกระโดดโลดเต้นออกมา ในมือหนึ่งถือถังหูลู่ ความโกรธที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุเมื่อครู่หายไปแล้ว ท่าทางเบิกบานใจ เหมือนกับได้รับของมีค่าอะไรมา
แน่นอนว่านี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือถังหูลู่นี้เอามาเพื่อให้เสี่ยวซิงกิน ไม่ใช่เอามาคารวะเจ้าของบ้าน?
ซ่างกวนสุ่นคนนี้ ตาอยู่ที่คอหรืออย่างไร!
นางรับถังหูลู่มาอันหนึ่ง ดึงเสี่ยวซิงมาพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ข้าพูดให้เจ้าฟัง ซ่างกวนสุ่นคนนี้ช่างไม่มีมารยาท ภายหลังเจ้าคบหากับเขาให้น้อยหน่อย”
เสี่ยวซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบรับหนึ่งคำแล้วกลับห้องไป
มู่จิ่วกลับห้องไปเช่นกัน ไม่นานประตูก็มีเสียงเคาะ ซ่างกวนสุ่นเดินเบียดนางเข้าไป นำห่อผ้ามาวางไว้บนโต๊ะนาง พูดว่า “นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ข้าให้ข้านำมาให้เจ้า เจ้าดูว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบข้าจะนำกลับไปเปลี่ยนให้เจ้า! หากชอบ ภายหลังอย่าไปพูดกับเสี่ยวซิงเรื่องห้ามคบหากับข้า! คำนี้ข้าไม่อยากได้ยิน!” เขากอดอกเหยียบลงไปบนเก้าอี้นาง จมูกเชิดขึ้นฟ้า
“พ่อแม่เจ้า?”
ในคำพูดนี้มีข้อมูลเยอะมาก ตาของมู่จิ่วนิ่งไปนานถึงจะหาประเด็นสำคัญเจอ จากนั้นยื่นสองนิ้วออกไปแกะห่อผ้าออกดู กลับเป็นกล่องผ้าขนาดใหญ่สามกล่อง เมื่อเปิดกล่องเป็นกำไลทองดำลวดลายสลับซับซ้อนหนึ่งอัน ถุงมือบางราวกับปีกจักจั่นหนึ่งคู่ ยังมีรองเท้าปักลายดอกไม้ซึ่งมีลวดลายสวยสะดุดตา
“พ่อแม่เจ้าส่งเครื่องประดับรองเท้ามาให้ข้าทำไม?”
นางรู้สึกระแวงสงสัยขึ้นมาทันที พ่อแม่เขาส่งเสื้อผ้าเครื่องประดับให้นาง? เรื่องนี้ทำไมแปลกประหลาดนัก!
ซ่างกวนสุ่นเห็นท่าทางของนางก็ไม่สบอารมณ์ “ทั้งสามชิ้นนี้ล้วนเป็นของวิเศษ! กำไลใช้เป็นเชือกมัดเซียนได้ แต่กลับรุนแรงกว่าเชือกมัดเซียนนัก! ถุงมือทำมาจากผิวเงือก สามารถป้องกันพิษทุกชนิดบนโลก! รองเท้านี้เป็นรองเท้าเหยียบเมฆ วันหนึ่งเดินได้หมื่นลี้! เพราะเจ้าคลี่คลายคดีนี้ได้ พวกเขาจึงอยากแสดงความขอบคุณ ทำไมถึงจะส่งมาให้ไม่ได้?!”
ที่แท้ก็หมายถึงแบบนี้ รีบพูดสิ!
นางวางถังหูลู่ นำของวิเศษแต่ละชิ้นมาทดลอง กำไลนั่นคิดไม่ถึงว่าสามารถปรับระดับความใหญ่เล็กกับข้อมือนางได้ และนางเป็นธาตุทอง พลังเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ นางยกมือขึ้นไปทางซ่างกวนสุ่นเพื่อทดสอบเสียหน่อย เขากลับโดนจับไว้ ขยับไม่ได้ทันที ซ้ำยังมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานใบหน้าเขาก็แดงเถือก!
ครั้นลองถุงมือผิวเงือกและรองเท้าเหยียบเมฆ กลับใช้ได้ดีอย่างมากเช่นกัน
“ช่างเป็นของที่ดีนัก”
นางเก็บของทั้งหมดเข้ากล่อง จากนั้นเก็บกลับไปในห่อผ้า
“เจ้าไม่เอาหรือ?” ซ่างกวนสุ่นเบิกตาโต
“ข้าไม่ได้ทำอะไรให้ ไม่กล้ารับของหรอก การทำคดีเป็นหน้าที่ของข้า ข้าย่อมไม่รับ” มู่จิ่วนั่งไขว่ห้าง หยิบถังหูลู่ขึ้นมา “หากเจ้ามีใจกตัญญู มิสู้ภายภาคหน้าทำงานให้ข้ามากหน่อย ดูแลบ้านดีๆ เป็นผู้ช่วยที่ดีของเสี่ยวซิง นี่เทียบกับมอบของให้ข้าแล้วดีกว่ามาก” พูดจบนางก็นั่งตัวตรง “อีกอย่าง เสี่ยวซิงเป็นคนของข้า ข้าจะสอนนางอย่างไรเกี่ยวอะไรกับเจ้า!”
…………………………………………………………
[1] ถังหูลู่ คือผลไม้เคลือบน้ำเชื่อม
บทที่ 138 อัดอั้นตันใจเกินไปแล้ว!
โดย
Ink Stone_Romance
ซ่างกวนสุ่นถูกพูดย้อนจนสำลัก เกือบหัวทิ่มไปกับพื้น!
เขารีบพูด “เจ้าไม่รับของข้าจะกลับไปบอกพวกเขาอย่างไร? ข้าอ้างเรื่องส่งของขวัญเพื่อมาที่นี่ เจ้าไม่รับของข้าจะอยู่ต่อไปได้ที่ไหน?”
“ช่างดูไม่ออกจริงๆ เจ้ายังมีช่วงเวลาเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกันนี่!” มู่จิ่วกินไปพลางยิ้มเยาะไปพลาง แต่ก็ช่างเถอะ ถึงแม้คนคนนี้จะทำให้นึกรังเกียจ แต่ความตั้งใจของพ่อแม่เขายากที่จะรับมา นางแค่กล้ำกลืนรับบุตรชายพวกเขาไว้สักระยะหนึ่งก็พอ นางพูด “ข้าสามารถเขียนจดหมายไปให้ทางฝั่งพ่อแม่เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมก็แล้วกัน!”
ซ่างกวนสุ่นตื่นเต้นจนแทบอยากจะเปลี่ยนร่างเป็นประทัดพุ่งไปบนฟ้า
ถึงแม้มู่จิ่วจะขัดหูขัดตาเรื่องที่เขาไม่เกรงอกเกรงใจเลย แต่หลักๆ คือคิดแบบนี้ แท้จริงในบ้านขาดคนทำงานบ้าน ยังไงเชิญลิงขนทองมาก็ต้องเสียเงิน ประเด็นคือเชิญมาก็ทำงานไม่เหมือนองค์ชายเจ็ดซ่างกวนสุ่น เพียงแค่รับไว้ดูแลบ้านก็มีบารมีกว่าบ้านอื่นแล้ว จริงหรือไม่?
เรื่องในหน่วยมีไม่มาก และก็ไม่จำเป็นต้องเข้างานตรงเวลาเหมือนเมื่อก่อน มู่จิ่วมักจะกินข้าวเช้าก่อนค่อยไป
ช่วงนี้ใช้ชีวิตได้สงบเงียบจริงๆ อีกทั้งสบายจนนางรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง แม้แต่ลู่ยายังรู้สึกว่านางว่างเกินไป ช่วงนี้ตอนสั่งสอนอาฝูยังมักจะพานางมาอยู่ข้างๆ
ตอนนี้อาฝูมีความสามารถมากแล้ว ไม่เพียงกระโดดทีเดียวไปได้หลายร้อยลี้ พลังการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นมาก ตอนนี้เขาเปลี่ยนจากนักสะสมผีเสื้อเป็นนักสะสมนกน้อยแล้ว แต่ปกตินกที่บินเข้ามาในรัศมีสิบลี้ต้องถูกเขาจับมาเล่นสักครู่ก่อนปล่อยไป นกน้อยบางส่วนรีบกลับรังไปป้อนอาหารลูก เที่ยวจับหนอนอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อมาเจอกับตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ก็ไร้หนทาง
เสี่ยวซิงสงสารพวกนกน้อย ตอนแม่นกแต่ละตัวจะจากไปจึงมักเตรียมหนอนให้พวกมันนำกลับไปเลี้ยงลูกน้อย
เพราะแบบนี้พวกมันกลับดีใจใหญ่ แม่นกไม่ปฏิเสธแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนกล้ำกลืนให้ราชาอาฝูเล่นให้สบายเสียหน่อย ดังนั้นเกือบทุกวันในลานบ้าน ราชาอาฝูจะวางแผนจัดงานเลี้ยงกับพวกสัตว์ปีกทั้งหลาย คิดหาวิธีใหม่ๆ ว่าจะเล่นกับเขาอย่างไรดี
แต่ลู่ยาโทษว่าพวกเขาเอะอะเกินไป จึงไล่ให้ไปเล่นตามสบายอยู่สวนเล็กด้านหลัง
ลู่ยาสั่งสอนอาฝูเสร็จ ก็สอนเสี่ยวซิงด้วย
เสี่ยวซิงเรียนรู้วิชาถ่ายทอดทางใจที่มู่จิ่วสอนให้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ตอนนี้วิชาพัฒนาเพิ่มขึ้นมาก ลมหายใจก็มั่นคงกว่าแต่ก่อนนัก ย้ายตำแหน่งเปลี่ยนร่างอะไรล้วนคุ้นชินกว่าเดิม ลู่ยาชี้แนะนางไปเรื่อยเล็กน้อย จากนั้นหลายวันก่อนยังช่วยนางทะลวงชีพจรเริ่นกับชีพจรตู๋ ตอนนี้นางจึงอยู่ที่ขั้นเจี๋ยตันแล้ว
กลางวันลู่ยาสอนพวกเขาเสร็จ กลางคืนก็เรียกมู่จิ่วมาที่ห้อง
“ถึงแม้เรื่องเลื่อนขั้นบำเพ็ญของเจ้าจะมีกำหนดการแน่นอน ข้าช่วยไม่ได้ แต่พลังฤทธิ์พลังบำเพ็ญกลับสามารถเพิ่มขึ้นได้ ตอนนี้เจ้าเลื่อนตำแหน่งแล้ว เข้ามาสวรรค์ก็ครึ่งปีกว่าได้ ตอนนี้ปลดผนึกพลังพันปีนั้นออกมาได้แล้ว”
พูดจบเขาก็จับข้อมือนางไว้แผ่วเบา ฉับพลันรู้สึกว่าแต่ละจุดลมปราณราวกับถูกทะลวงเปิดออก มีพลังไหลออกมา จากนั้นทั้งร่างก็สบายปลอดโปร่ง เทียบกับแต่ก่อนแล้วมีพลังเต็มเปี่ยมกว่ามาก นางหยิบกระบี่ชี้ไปกลางอากาศ กระบี่นั้นฉวัดเฉวียนไปชี้ไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง ไม่ต้องใช้พลังควบคุมมาก
แต่ก่อนนางมีพลังบำเพ็ญสองพันปี ภายหลังมีพลังของมู่หรงหลิวเย่เพิ่มมาอีกพันปี จึงมีทั้งหมดสามพันปี นับว่าเป็นหัวเสินที่แก่กล้าแล้ว
“ภายหลังเจอระดับแบบจิ้งจอกเฒ่า ข้าก็ไม่ต้องทุลักทุเลขนาดนั้นแล้วกระมัง?”
นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งอย่างดีใจ พูดพลางมองลู่ยาที่นั่งขัดสมาธิบนโต๊ะเตี้ยฝั่งตรงข้าม
ลู่ยาแค่นเสียงเบาๆ “นั่นต้องดูว่าเขามองเจ้าเป็นคู่ประมือจริงจังหรือไม่”
มู่จิ่วคิดๆ ก่อนพูดอีก “เช่นนั้นหากข้าเรียนวิชาภาพมายาของจิ้งจอกแดงเป็นแล้วล่ะ?”
“ภาพมายาเป็นแค่วิชาลวงตา ไม่มีพลังต่อสู้จริงจังอะไร หากเจอคนแบบข้ามิใช่บอกว่าจะจัดการก็จัดการได้” ลู่ยาพูดอย่างไม่ยี่หระ
มู่จิ่วฟังจบก็ไร้คำพูด “ทั้งบนสวรรค์และพื้นพิภพที่เป็นแบบท่านมีเพียงสี่คน ข้าคงไม่โชคร้ายเจอทั้งหมดหรอก?” อีกอย่าง ใครจะเหมือนเขาที่เบื่อจนวิ่งพล่านไปทั่ว? หรือว่าเวลาไม่มีอะไรทำ พวกหงจวิน หุนคุน กับหนี่ว์วาก็มาเดินเล่นสามภพแล้วหาที่พักอาศัยเหมือนกับเขา?
“พูดอะไรของเจ้า?” ลู่ยาไม่ดีใจ “ ‘ท่านท่านท่าน’ อะไร เจ้าเป็นแบบนี้ทำให้ข้าจนปัญญาจะคุยเล่นกับเจ้าแล้ว”
คำแบบนี้ง่ายต่อการทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่ำต้อย ชัดเจนว่าทุกคนดูไปแล้วอายุก็ไม่ต่างกันนัก…ถึงแม้ดูไปแล้วเขาจะมีอายุกว่าเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบกระมัง? ต้องแบ่งแยกรุ่นชัดเจน หากเขารู้สึกต่ำต้อยแล้วภายหลังจะไม่เกิดเรื่องหรือ!
เขาร้องเสียงหนึ่งแล้วสะบัดพัดออกมา ยืดตัวมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เอาละ เอาละ” มู่จิ่วไม่มีอารมณ์จึงไม่เซ้าซี้เขาเรื่องนี้ “สรุปคือทำตามเจ้าพูด ข้ากลับไปห้องฝึกภาพมายา”
นางพูดพลางลุกขึ้นมา
ลู่ยาเก็บพัด พลันหันกลับมามองนาง “ทำไมต้องกลับไปฝึกที่ห้อง ฝึกที่นี่ไม่ได้หรือ?”
แน่นอนว่าฝึกที่นี่ไม่ได้! ใบไม้ทองสองใบของวิชาถ่ายทอดทางใจอยู่ในกระเป๋าเล็ก หากนางหยิบผิดเป็นวิชายั่วยวนขึ้นมา ใบหน้านี้ของนางยังจะเหลืออยู่อีกหรือ? พูดความจริง นางต้องอาศัยตอนยังว่างไปชิงชิวเพื่อคืนวิชายั่วยวนนี้ให้จิ้งจอกแดงถึงจะถูก! นางไม่ชินกับของเล่นแบบนี้
“ข้ารู้สึกว่ากลับห้องค่อนข้างสงบกว่า” นางพูดพลางลงจากตั่ง
พูดยังไม่ชัดเจน ลู่ยาไหนเลยจะยอมปล่อยนางไป? เพียงยื่นแขนออกไปก็ลากนางขึ้นมาแล้ว “เจ้าฝึกที่นี่”
มู่จิ่วมองแขนที่ขวางอยู่หน้ากระดูกไหปลาร้านางอย่างหมดคำพูด ไหนเลยจะมีคนไร้เหตุผลแบบเขา? กลับบังคับกันอีก!
“หากข้าไม่ยินยอมล่ะ?” นางลองถาม
“ข้าจะตัดรากฐานเซียนเจ้า” คนระยำก็คือคนระยำ จับประเด็นสำคัญได้ตรงเผงขนาดนี้ ประเด็นคือสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนใจไม่เต้น น้ำเสียงนี้ราวกับพูดว่าต้องการตัดผักกาดขาวที่นางปลูกไว้เลย
มู่จิ่วสำลัก กระฟัดกระเฟียดนั่งกลับลงไป
ไม่ว่าอะไรก็นำเรื่องนี้มาข่มขู่นาง ที่แท้แล้วมีบุคลิกสง่างามบ้างหรือไม่?
ลู่ยากลับพอใจอย่างมาก รินชาให้นางแก้วหนึ่ง ทั้งยังปลอกส้มให้อย่างใส่ใจ ท่าทางไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย เขาย้ายมานั่งกับนาง ป้อนส้มให้นางกิน นางจึงต้องกินอย่างเสียมิได้ เขายิ้มตาหยี สีหน้าผ่อนคลาย ส่วนนางทำได้เพียงอ้าปากอยู่ใต้อำนาจเขา
มีชีวิตเช่นนี้ช่างน่าอัดอั้นตันใจเสียจริง!
คิดไม่ถึงว่านางย้ายหนีหยางอวิ้นอวี๋เสี่ยวเหลียน กลับหนีไม่พ้นพ่อหนุ่มคนนี้
วันคืนเหล่านี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นเสียที? ใครก็ได้มาเอาเขาไปเก็บหน่อย!
สวรรค์ชั้นสามสิบเก้าที่แท้ไปอย่างไร? นางต้องแอบไปฟ้องร้องอย่างสุภาพกับหุนคุนและหนี่ว์วาหรือไม่?
“แสดงวิชาถ่ายทอดทางใจของจิ้งจอกแดงให้ข้าดู” ลู่ยาป้อนนางไปพลาง มองผมสีดำเงางามบนหน้าผากนางไปพลาง ยังมีขนตาหนายาวและจมูกจิ้มลิ้มงดงาม แก้มสองข้างขยับไปมาเพราะเคี้ยวตุ้ยๆ ช่างน่ารักอย่างมาก เขาอยากจะบีบสักครั้งจริงๆ
มู่จิ่วใจเต้นกระหน่ำ อึกอักพูดว่า “ไม่ได้เอามา”
“วางไว้ที่ไหน ข้าจะไปเอามา” เขาพูดอย่างพออกพอใจ
“ข้า ข้าลืมแล้ว ต้องหาก่อน” มู่จิ่วยืดคอกลืนส้มลงไป แล้วหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาดื่มชา
ลู่ยามองแก้วชานั้นอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “นั่นของข้า”
…………………………………………….
บทที่ 139 เจ้าเรียนวิชายั่วยวน?
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วก้มหน้ามอง หยิบผิดจริงด้วย
“แต่ไม่เป็นไร” เจ้าคนระยำผู้นี้เผยอปาก ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหยดน้ำบนปากนาง นั่นเป็นเพียงแค่แก้วมิใช่หรือ ภายหลังของของเขานางสามารถใช้อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว วันนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าที่แท้เปิดเผยตัวตนไปมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย อย่างน้อยเมื่อก่อนเอาเปรียบผู้อื่นแบบนี้ยังต้องสิ้นเปลืองแรงไปมาก ตอนนี้ดีมากกว่า ประโยคเดียวตัดรากฐานเซียนก็ทำให้นางเชื่องได้แล้ว
สองมือมู่จิ่วประคองแก้วนั้นไว้ รู้สึกโกรธเล็กน้อยแล้ว
“ข้าถามเจ้า วิชาทางใจอยู่ไหน” ลู่ยาเอ่ยเร่ง
นางพูดอย่างอับจน “ให้ข้ากลับห้องไปเอาเถิด”
พูดจบนางลุกขึ้นยืน หันกลับมาพูดอีกประโยค “ข้าหยิบแล้วจะกลับมา!”
อย่ารั้งนางอีก! ฟ้ามืดแล้ว นางกับเขาเป็นโสดทั้งคู่ แบบนี้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เสี่ยวซิงและอาฝู!
ลู่ยาตอบรับอย่างยินดี มองนางออกประตูไป
มู่จิ่วรู้ตัวว่าหนีไม่พ้นคนสารเลวนี่ ทำได้เพียงกลับห้องไปเอาใบไม้สีทองสองใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเล็ก เสี่ยวซิงไม่รู้ไปไหน นางเข้าใกล้ไข่มุกราตรีที่จิ้งจอกเฒ่าให้มาแล้วพิจารณาอย่างละเอียด จากนั้นเอาวิชายั่วยวนออกไป คิดว่าจะซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า
แต่นางยังเดินไม่ถึงครึ่งทาง พลันมีมือหนึ่งหยิบเอาใบไม้ทั้งสองไป!
มู่จิ่วตกใจอย่างมาก ลู่ยาตรงหน้าดูพวกมันอย่างละเอียดอยู่ใกล้แสงไข่มุก “วิชา…ยั่วยวน?”
มู่จิ่วอับอายจนแทบจะมุดลงดินแล้ว! นางเข้าไปแย่งชิงอย่างลนลาน “คืนมาให้ข้า!”
ลู่ยากางแขนออก มู่จิ่วจึงพุ่งเข้าไปในอกเขา เขาเก็บแขนทั้งสองเข้ามา นางก็ถูกกักไว้ในอกจนไม่สามารถขยับได้ “ถึงแม้จะเรียนวิชายั่วยวน ก็ไม่น่าร้อนรนแบบนี้ได้ เจ้าคิดจะทดลองใช้กับข้าก่อนหรือ?” เขาก้มหน้ามองนาง มุมปากยกขึ้นเหยียดตรงอย่างสุขใจเหลือล้น
วิชาสองแขนงที่สุดยอดที่สุดของชิงชิว จิ้งจอกแดงล้วนมอบให้นาง ดูแล้วของขวัญนี้ไม่เบาจริงๆ
มู่จิ่วใกล้จะเลือดออกจากทางทวารทั้งเจ็ด พูดอธิบายอย่างอ่อนใจ “ข้าไม่คิดจะเรียนอันนี้…”
“ของขวัญที่เขาให้มา เจ้าจะปฏิเสธได้อย่างไร นี่เป็นวิชาที่ได้มายาก มิสู้ลองเรียนดูเสียหน่อย” ลู่ยาปล่อยมือ มองนางเหมือนหมาป่าตัวใหญ่มองแกะน้อย
มู่จิ่วรู้สึกว่าเลือดทั้งหมดพุ่งออกมาจากหน้าได้โดยตรงแล้ว
นางอยากบีบคอคนระยำนี่ให้ตายเสียจริง…ไม่เห็นหรือว่านางกระอักกระอ่วนจะตายอยู่แล้ว? กลับยังล้อนางไม่หยุด! นางกัดฟันพูด “หากท่านคิดจะเรียนละก็สามารถไปหาจิ้งจอกเฒ่าได้ ต่อไปให้ภรรยาท่านเรียน รับรองปรนนิบัติท่านเลือดกำเดาไหลทุกคืน…” รังแกนางนับเป็นความสามารถอะไร? ไม่มีรัศมีเพิ่มขึ้นบนศีรษะมหาเซียนอย่างเขาเสียหน่อย!
“อา เจ้าพูดว่าภรรยาข้า”
ลู่ยามองตัวอักษรบนใบไม้สีทองไปพลาง ยื่นมือตบๆ กระหม่อมนางไปพลาง “เจ้าพูดจับประเด็นได้ดีจริง แต่หากพูดย้อนกลับมา” พูดพลางหันหน้าไปมองนางอย่างสนอกสนใจ “ท่าทางนางในตอนนี้ข้าก็ชอบมากอยู่แล้ว หากนางยินยอมเรียนแน่นอนว่าย่อมดี เพิ่มความอภิรมย์สักเล็กน้อย หากไม่คิดเรียนก็ไม่เป็นไร เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เกี่ยวอะไรกับนาง!
มู่จิ่วอยากเปลี่ยนเป็นอสุนีบาตฟาดเขาให้ตาย!
นางทำใบหน้าขึงขัง คลายใจที่โกรธเคืองอยู่ ในใจพลันมีเสียงกระซิบขึ้นมาเสียงหนึ่ง…เขามีภรรยาแล้วหรือ?
แต่ก่อนมิใช่พูดว่าไม่มีคู่ครองหรือไร ทำไมฟังเขาพูดแล้วเหมือนกับมีเป้าหมายแล้วเลยล่ะ?
นางเหลือบมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ความโกรธในใจพลันกลายเป็นความร้อนรน ราวกับถูกใครยัดฟางเข้าไปกะทันหัน
แต่นี่ไม่ถูกต้อง เขาเพียงบอกว่าเขายังไม่แต่งงาน และไม่มีคู่รัก แต่เขาเคยพูดจากปากตนเองว่าแม่นางบนสวรรค์และพื้นพิภพมากมายล้วนคิดจะไล่ตามเกี้ยวพาเขา ด้วยตำแหน่งและหน้าตาของเขาแล้วมิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนถูกตาต้องใจนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ไม่มีโอกาสยกระดับความสัมพันธ์?
เขามีชีวิตอยู่มาหลายแสนปี สายตาย่อมดูเป็นแล้ว คนที่ถูกตาต้องใจสักแปดส่วนต้องเป็นเซียนหญิงสูงศักดิ์งดงาม ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ง่ายๆ นางไม่รับปากเขาเร็วขนาดนั้นก็เป็นเรื่องปกติ
คิดแบบนี้ ความอยากซุบซิบนินทาก็มาอีกแล้ว “คนที่เจ้าพูดคือใคร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อน?” ช่วงนี้มิใช่เขาอยู่ด้วยกันกับนางหรือ? หรือว่าเขาแอบออกไปเดินเล่นลอบพบกัน?
“อ้อ ด้วยระดับมันสมองเจ้า ถึงรู้เป็นคนสุดท้ายก็ไม่แปลกอะไร” ลู่ยาสะบัดผ้าคลุมลงนั่งบนเก้าอี้
มู่จิ่วเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมา! นางเดินเข้าไป ใช้ท่าทางราวขุนเขาไท่ซานกดดันอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเขา “ดูเหมือนเจ้าดูถูกระดับมันสมองของข้าเหลือเกินนะ!”
ลู่ยาแหงนหน้าเล็กน้อย มองนางในระดับเดียวกัน “ไม่ใช่ข้าดูถูกเจ้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าประเมินตนเองสูงไป”
เจ้าคนชั่วช้า! ช่วงนี้นางโชคร้ายจริง!
ก่อนอื่นเลยซ่างกวนสุ่นไม่มองนางผู้เป็นเจ้าของบ้านอยู่ในสายตา ต่อมาก็เป็นลู่ยาเจ้าคน…เอาละ เขาเป็นเทพเซียน เขามีเหตุผล เขาบีบนางอย่างไรนางก็ไม่กล้าบ่น แต่ดีร้ายอย่างไรกินของนางอยู่ที่ของนาง อย่าพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้ได้หรือไม่?
มันสมองของนาง มันสมองของนางทำไมกัน?
แต่ก่อนนางอยู่ที่โรงเรียน อย่างไรก็เคยได้รับเหรียญรางวัลมาเหมือนกัน! บางคนเขาบำเพ็ญตนกันมากกว่าหมื่นปีถึงเข้าสู่หัวเสิน ดีหน่อยก็เกือบสี่ห้าพันปี นางสองพันปีก็บำเพ็ญถึงแล้ว ถึงแม้บุญกุศลจะขาดไปหน่อย แต่พลังฤทธิ์ของนางก็ฝึกมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่แสดงว่าระดับมันสมองของนางไม่มีปัญหามิใช่หรือ? อย่างน้อยก็ปกติละ!
นางไม่คิดจะพูดไร้สาระกับเขาแล้ว จึงยื่นมือไปแย่งใบไม้สีทองในมือเขามา “คืนให้ข้า! ฟ้ามืดนานแล้ว ข้าจะนอน!”
“ข้านำกลับไปช่วยเจ้าค้นคว้าก่อน อีกเดี๋ยวค่อยคืนให้เจ้า” ลู่ยาเคลื่อนมือไปข้างหลัง ภาพมายาก็แล้วไปเถอะ แต่วิชายั่วยวนให้นางได้หรือ? นางเรียนแล้วไปยั่วยวนใคร? นอกจากเขา ใครก็ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ให้เขาเก็บไว้จะปลอดภัยกว่า
“คืนให้ข้า!” มู่จิ่วพุ่งเข้าไป หากตกอยู่ในมือเขา มันจะเป็นมุกตลกล้อเลียนทั้งชีวิตนาง!
มู่จิ่วพุ่งเข้าไป ลู่ยาก็ถอยออกมา นางจับไม่อยู่ จึงล้มลงไปบนตัวเขา
“เด็กดีจริงๆ” ลู่ยาลูบศีรษะนางด้วยความเอ็นดู
“จิ๋วจิ่ว จิ๋วจิ่ว…”
ตอนนี้เองประตูห้องเปิดออก เสี่ยวซิงถือถาดผลไม้ยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาและปากฉับพลันอ้ากว้างยิ่งกว่าฆ้องเสียอีก! “เจ้าทำอะไรอยู่?”
มู่จิ่วรีบลุกขึ้นมา สีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนกับลมพายุคลั่ง
ลู่ยากลับนิ่งสงบ ปัดเสื้อคลุมลุกขึ้นมา เก็บใบไม้ทองเข้าไปในอก จากนั้นหยิบสาลี่จากในถาดขึ้นมากิน แล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกคืนมาที่ห้องข้าฝึกพลังครึ่งชั่วยาม”
ไปตายซะ!
มู่จิ่วทุบหมอน
ใบไม้สีทองของวิชายั่วยวนถูกลู่ยานำไปแล้ว มู่จิ่วกลับไม่ได้ทะนุถนอมมันเพียงนั้น ไม่คิดว่าเขาจะเอาไป หนึ่งเพราะอย่างไรนี่เป็นของของจิ้งจอกแดง ตัวนางไม่ใช้ต่อไปก็ต้องคืนเจ้าของ สองคือนางไม่อยากจะจินตนาการว่าต่อไปลู่ยาจะล้อเลียนนางอย่างไร
ดังนั้นวันถัดมาจึงลืมคำพูดเขาทิ้งไว้ด้านหลัง กลางคืนนำอาฝูออกไปเดินเล่นที่ริมทางช้างเผือก แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งกลับมาถึงประตูก็ถูกลากไปฝึกตนในห้องทางตะวันออก มู่จิ่วถูกสถานการณ์บังคับ ไม่อาจไม่ฟัง แต่ยังดีที่ลู่ยาไม่ได้หยิบยกเรื่องใบไม้สีทองขึ้นมา กลับยังฝึกฝนบำเพ็ญพลังให้นางจริงๆ และจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ
หลายวันต่อมาก็เป็นแบบนี้ ตกกลางคืนครึ่งชั่วยามนี้ไม่มีการล้อเล่น เขามุ่งมั่นตั้งใจเข้มงวดสอนนางเหมือนกับหลิวหยางในตอนแรก
…………………………………………………………
บทที่ 140 แต่ละคนมีอุดมการณ์ของตนเอง
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วรู้ว่าโอกาสที่จะให้เขาชี้แนะอย่างจริงจังได้มายาก จึงค่อยๆ ทิ้งเรื่องนี้ไป ตั้งใจบำเพ็ญฝึกวิชา
แต่ก่อนตอนอยู่บนเขา นางเข้าใจว่าก่อนเลื่อนขั้นไม่มีทางก้าวหน้าขึ้นแล้ว ภายหลังได้ลู่ยาสั่งสอน และหลังจากทะลวงเส้นลมปราณไปหลายจุด นางค้นพบว่าพลังฤทธิ์ของนางเพิ่มมากขึ้น บุญกุศลแม้ไม่มีหนทางเพิ่มขึ้น แต่พลังฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกายของตนเอง ดังนั้นตอนร่ายรำกระบี่ ใช้คาถา และใช้ของวิเศษล้วนมีประโยชน์ใหญ่หลวง
กล่าวได้ว่า ถึงแม้นางยังต้องสะสมบุญกุศลถึงจะได้เลื่อนขึ้น แต่พลังการต่อสู้ของนางกลับเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง แต่ก่อนไปเกาะเป่ยอี๋นางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสองชั่วยาม ตอนนี้ขี่เมฆไปใช้เพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว และขอบเขตคลื่นค่ายกลกระบี่ของนาง แต่ก่อนรัศมีห้าสิบลี้ก็กลายเป็นร้อยกว่าลี้ สามารถพูดได้ว่าก้าวหน้าไปไกลมาก
ดังนั้นผ่านไปหลายเดือน มู่จิ่วจึงรู้สึกว่าพลังฤทธิ์ล้วนสามารถกระตุ้นสิ่งของที่หนุนธาตุทองให้เข้ามาใกล้เอง แม้แต่หลิวจวิ้นยังรู้สึกได้ว่าทั้งร่างนางดูกระปรี้กระเปร่า แววตาสว่างไม่น้อย ส่วนภาพมายาที่มู่หรงหลิวเย่ให้มานางก็เริ่มฝึกแล้ว ภาพมายาธรรมดานางสามารถสร้างขึ้นมาได้หลายอย่าง
ตอนอิ่นเสวี่ยรั่วมาเยี่ยม มู่จิ่วกำลังสร้างภาพมายาฝึกอาฝู ผลคือทำให้นางเข้าใจผิดว่ามาผิดที่ เดินไปๆ มาๆ อยู่ที่หน้าประตูหลายรอบ สุดท้ายเห็นเสี่ยวซิงถือตระกร้าเดินออกมาจากป่ารก จึงได้รู้ว่าถูกภาพมายาหลอกเอาแล้ว
หลังจากที่มู่จิ่วพาพวกเสี่ยวซิงย้ายออกมาแล้ว ลานจื่อหลิงก็มีคนเข้ามาอยู่ใหม่ อวี๋เสี่ยวเหลียนกลับมาแล้ว นอกจากนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญอีกสองคน หยางอวิ้นถูกสั่งไม่ให้กลับมาอยู่อีก จางเหยี่ยนซิงจวินตั้งใจแยกพวกนางจากกันตลอดไป
“แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนบอกว่ามาจากสำนักตะวันอำพราง เขามาถามเรื่องเจ้า” อิ่นเสวี่ยรั่วถูกรั้งไว้ให้กินข้าวกลางวัน ก่อนกินข้าวก็นั่งปอกลิ้นจี่อยู่ในห้องกับมู่จิ่ว พูดคุยเรื่องซุบซิบในหอวิหคแดง “ทุกคนกำลังพูดกันเรื่องที่เจ้าคลี่คลายคดีชิงชิวได้ พวกเขาได้ยินชื่อเจ้าก็ถามที่มาที่ไป พอดีมาถามข้าเข้า ข้าเห็นว่าพวกเขาไม่ได้มาดี จึงไม่สนใจ”
สำนักตะวันอำพราง?
หากนางไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมามู่จิ่วก็ลืมแล้ว เพราะสำนักตะวันอำพรางทำให้นางถูกหลิวหยางส่งมาทำงานบนสวรรค์! แต่ตอนนี้นางไม่กลัวแล้ว ตัวการที่ทำลายยอดเขาของพวกเขาอยู่กับนางนี่ และยังเป็นอาจารย์อาของเจ้าสำนักพวกเขาอีก มีขุนเขาอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ให้พึ่งพิง สิบสำนักตะวันอำพรางนางก็ไม่กลัว
นางพูด “ไม่ต้องสนใจ บนโลกนี้ใจคนยากแท้หยั่งถึงที่สุด ใครจะรู้ว่าพวกเขาแอบซ่อนอะไรไว้ในใจ” นางเอ่ยอีก “หลังจากผ่านเรื่องชิวชิวไป พวกลัทธิฉ่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่ยาบอกว่าพวกเขายังมีเคราะห์ใหญ่ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง
อิ่นเสวี่ยรั่วไม่เปลี่ยนสีหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “หลายเดือนก่อนวิมานหลีเฮิ่นถ่ายทอดคำสั่งไปยังสำนักต่างๆ สั่งอย่างเข้มงวดให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ แต่สวรรค์อยู่สูงกษัตริย์อยู่ห่างไกล ลัทธิฉ่านใหญ่ขนาดนั้น ใครจะทำตามอย่างหวาดกลัวจริงๆ? แต่อย่างไรก็สำรวมลงไปเยอะ ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าสำนักแรกพยับที่ไปหาชิงชิวก่อนหน้านี้ ภายหลังก็ไม่มีการเคลื่อนไหว”
พูดถึงแรกพยับ มู่จิ่วพลันนึกถึงหลินเจี้ยนหรูที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้ถึงแม้จะบังเอิญเจอหน้ากันบ่อย รู้ว่าเขายังอยู่หน่วยลาดตระเวน แต่กลับไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะทั้งสองหน่วยอยู่ไกลกันมาก นอกจากตั้งใจมาหา มิฉะนั้นโอกาสบังเอิญเจอก็ไม่มากนัก
แรกพยับไม่ได้ไปถามหาความยุติธรรมที่ชิงชิว นั่นหมายความว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้วใช่หรือไม่?
ถึงแม้นางไม่ได้ยอมรับเรื่องที่เขาสังหารบิดา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสนใจ นางกินข้าวกลางวันแล้ว จึงอ้างว่าจะไปพบสหายร่วมงาน จากนั้นไปหอวิหคแดงกับอิ่นเสวี่ยรั่ว
อย่างไรก็ตาม หลินเจี้ยนหรูไม่อยู่ จึงถามทหารที่อยู่ลานบ้านเดียวกันเรื่องชีวิตช่วงนี้ของเขา ถึงได้รู้ว่าช่วงนี้เขาเข้างานกะเช้า ไปที่หน่วยงานแล้ว
“หากท่านต้องการพบเขา เอาไว้ข้าจะบอกเขาให้” ตอนนี้นางเลื่อนตำแหน่งแล้ว เหล่าทหารจึงเคารพนาง
มู่จิ่วคิดว่าไม่จำเป็น นางเพียงอยากรู้ว่าเขาอยู่อย่างสงบก็พอแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่ายกเท้าเตรียมจะออกไป ก็เกือบชนเข้ากับคนอย่างจัง! มองดูกลับเป็นเขานี่เอง!
มองออกได้ว่าเขาเดินอย่างรีบเร่ง แต่หายใจปกติ ดูไปแล้วเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ช่วงนี้น่าจะไม่เลวทีเดียว มู่จิ่วยิ้มพูด “วันนี้ข้าหยุดพักผ่อน เมื่อครู่ผ่านมาทางนี้ จึงคิดจะมาดูว่าเจ้าอยู่หรือไม่ ไม่คิดว่าเจ้ากลับมาแล้ว”
หลินเจี้ยนหรูก็มองนางพลางยิ้มพูด “เพราะได้ยินว่าเจ้ามา ข้าจึงตั้งใจกลับมา” เขาเข้างานกะเช้าพอดี เกือบจะเลิกงานแล้ว เมื่อถึงประตูพบกับเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องทั่วไปสองคน บอกว่าเห็นมู่จิ่วมาทางลานสนเขียว จึงรีบเร่งกลับมา
“เข้าไปนั่งในเรือนก่อนเถิด” เขาชี้ไปที่ห้องขณะพูด
ตอนนี้ทางแรกพยับกำหนดตัวฆาตกรที่สังหารหลินเซี่ยแล้ว จีหย่งฟางก็ตายแล้ว เขาไม่กลัวว่าลู่หยาจะแพร่งพรายเรื่องของเขาออกไปอีก
มู่จิ่วกลับไม่อยากผิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับลู่ยา กล่าวว่า “ข้าเพียงได้ยินว่าพวกจีหมิ่นจวินไม่ได้ไปชิงชิวแล้ว ดังนั้นจึงมาถามเจ้าว่าเรื่องเป็นอย่างไร?”
หลินเจี้ยนหรูมองดูซ้ายขวา นำนางไปยังใต้ต้นสนเขียวนอกประตูลาน แล้วพูด “สงบไปแล้ว”
“อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วลอบถอนหายใจโล่งอก
หลินเจี้ยนหรูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูด “เพราะวังโตวลวี่ถ่ายทอดคำสั่งลงมา พวกเขาจึงไม่กล้าไปก่อเรื่องอีก”
เขาไม่กล้าพูดความจริงกับนาง หากให้นางรู้ว่าเขาป้ายสีจีหย่งฟาง นางคงจะไม่ยกโทษให้เขาอีก
นางพยักหน้า “นี่ดีแล้ว เรื่องนี้แม้จะผ่านไป แต่รากฐานวิญญาณเจ้าไม่สะอาด ลู่ยาบอกว่าหากไม่ระวังเจ้าอาจถูกรากฐานมารเข้าครอบงำ จะกระทบต่อเส้นทางบำเพ็ญเพียรของเจ้า”
“ข้ารู้” เขาถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรสังหารบิดา หลายเดือนนี้ข้าก็ตั้งใจบำเพ็ญตน ดิ้นรนหาหนทางว่ามีวิธีล้างรากฐานวิญญาณให้สะอาดใหม่หรือไม่ ใช่แล้ว” เขาหยิบคัมภีร์ที่นางเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากในอก “ในนี้ข้าเรียนรู้หมดแล้ว คืนให้เจ้าพอดีเลย”
มู่จิ่วรับมาดู เห็นเพียงขอบกระดาษมีขุยปรากฏขึ้นมา ดูออกว่าเขาตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง
“ขอบคุณเจ้า” เขาพูด
“ขอบคุณอะไร” มู่จิ่วม้วนคัมภีร์ “ก็แค่มีอยู่ในมือพอดี”
คิดๆ ดูแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก กำชับไปสองประโยคนางก็บอกลา
หลินเจี้ยนหรูมองส่งนางออกประตูใหญ่ไป
นอกจากเรื่องจีหย่งฟางที่เขาปิดบังไว้แล้ว เรื่องอื่นเขากลับไม่ได้หลอกนาง หลายเดือนมานี้เขาตั้งใจบำเพ็ญตน ทักษะการดูสีหน้าอ่านใจคนที่เขาฝึกในแรกพยับ ทำให้เขาค่อยๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทัพทหารสวรรค์ บางครั้งเขาก็ได้รับสิทธิ์เข้าไปในหอเก็บคัมภีร์เพื่อยืมหนังสือตำรา ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ารากฐานวิญญาณของตนยังมีโอกาสชำระล้างให้สะอาดได้ แต่วาสนานี้พบเจอได้ ทว่าร้องขอมาไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีความหวังก็ดีแล้ว
ก่อนหน้านั้น เรื่องที่เขาสามารถทำได้คือตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญตน
บำเพ็ญเต๋าไม่พอ ถึงมีวาสนาก็ไร้ประโยชน์
…………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น