เทพปีศาจหวนคืน 1369-1372
บทที่ 1369 ยืมวิญญาณอมตะ
ดวงตาของฟางหยวนเบิกกว้าง
ชื่อเสียงและบารมีของผู้อมตะระดับเก้าท่วมท้นอยู่ในหัวใจของผู้ใช้วิญญาณและผู้อมตะทุกคน
แต่ตอนนี้เทพปีศาจจิตวิญญาณกลับถูกจับโดยผู้อมตะระดับแปด
‘ราชันมังกรคือผู้ใดกันแน่? ช่างแข็งแกร่งนัก!’
‘อย่างไรก็ตามเทพปีศาจจิตวิญญาณตายไปนานแล้ว นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณที่เหลืออยู่เท่านั้น’
‘หากดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณอยู่ในสภาพที่ดี ราชันมังกรจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่น่าเสียดายหลังจากความล้มเหลวในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนและติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันมาเป็นเวลานาน ดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณอ่อนแอลงจนถึงจุดต่ำสุด’
ฟางหยวนคิดกับตนเอง หากดวงวิญญาณของเขาติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันโดยปราศจากท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน ดวงวิญญาณของเขาจะอยู่ได้เพียงไม่กี่วันก่อนจะแตกสลายไปอย่างสมบูรณ์
สำหรับเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาสามารถอดทนได้เป็นเวลานานขณะที่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่ในสภาพที่สามารถต่อสู้ได้
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากราชันมังกรจะสามารถจับกุมเขา
ท้ายที่สุดราชันมังกรก็อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดขณะที่เทพปีศาจจิตวิญญาณอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด
ยุคสมัยของเทพปีศาจจิตวิญญาณจบสิ้นไปนานแล้ว
ครั้งหนึ่งเขาเคยเข่นฆ่าผู้คนและสร้างยุคสมัยที่วุ่นวาย
ในช่วงเวลาเหล่านั้นเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้และมีสถานะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อย่างไรก็ตามเวลาไหลราวกับสายน้ำ ในที่สุดชีวิตของเขาก็จบสิ้นลง
แต่กระทั่งหลังจากความตาย เทพปีศาจจิตวิญญาณก็ยังไม่ยอมแพ้
เขาสร้างนิกายเงารวมถึงกองกำลังพันธมิตรผีดิบขึ้นมาและพยายามท้าทายสวรรค์อีกครั้ง
โป้ชิงเป็นความพยายามครั้งแรกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาเป็นกึ่งระดับเก้าที่ล้มเหลวในภัยพิบัติขณะที่ศพของเขาจมลงสู่น้ำตกสวรรค์
วิญญาณทารกอมตะเป็นความพยายามครั้งที่สอง แต่สวรรค์วางแผนต่อต้านเขาโดยนำฟางหยวนย้อนเวลากลับมา
ความล้มเหลวบนภูเขาอี้เทียนทำให้เทพปีศาจจิตวิญญาณสูญเสียรากฐานทั้งหมด แต่ด้วยกองกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายเงา พวกเขายังสามารถสร้างพายุใหญ่
จนถึงตอนนี้เทพปีศาจจิตวิญญาณล้มเหลวอย่างสมบูรณ์และถูกจับโดยราชันมังกรของวังสวรรค์
“ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ตัวละครเก่าเช่นพวกเราควรนอนหลับอย่างสงบและไม่พยายามแสดงเป็นตัวละครหลักในยุคปัจจุบัน เทพปีศาจจิตวิญญาณ ยุคของเจ้าจบไปนานแล้ว” ราชันมังกรถอนหายใจก่อนจะนำเทพปีศาจจิตวิญญาณเก็บไว้ในมิติช่องว่างเทียมของเขา
“อ๊าก…” ราชันภูเขาม่วงกรีดร้องด้วยดวงตาแดงก่ำ
เมื่อเห็นเทพปีศาจจิตวิญญาณตกเป็นเชลย เขาแทบกลายเป็นบ้า
เมื่อร่างหลักถูกจับ ความหวังทั้งหมดก็สูญสิ้น
สูญเสียครั้งใหญ่!
แต่ราชันภูเขาม่วงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา การพุ่งเข้าโจมตีราชันมังกรอย่างบ้าคลั่งเป็นเพียงการฆ่าตัวตายอย่างโง่เขลาเท่านั้น
นั่นจะทำให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
เขาสูดหายใจลึกและเคลื่อนที่เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา
“หนี? เหตุใดยังคิดว่าสามารถหลบหนี?” ราชันมังกรลอยขึ้นไปในอากาศ เขามองราชันภูเขาม่วงด้วยสายตาเย็นชา
ทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ปิดลงแล้วขณะที่กองทัพอสูรวิญญาณกลับมาปกป้องมัน
ราชันมังกรหัวเราะด้วยความเย่อหยิ่ง เขาหันหน้าไปทางค่ายกลวิญญาณและเห็นความก้าวหน้าของเทพธิดาจื่อเว่ยก่อนจะหันหน้ากลับไปและใช้ท่าไม้ตายอมตะกับแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา
ประตูมังกร!
ประตูมังกรที่สง่างามและยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้น
ประตูมังกรเปิดออกและเผยให้เห็นทัศนียภาพภายในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา
ท่าไม้ตายอมตะประตูมังกรสามารถเปิดทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์!
ราชันมังกรหัวเราะและก้าวเข้าไปในประตูมังกรก่อนที่มันจะปิดตัวลง
เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาแต่ภายนอกยังเงียบสงบ
สามารถจิตนาการได้อย่างง่ายดายว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย ราชันมังกรต้องเผชิญหน้ากับกองทัพอสูรวิญญาณอย่างไม่รู้จบสิ้น
“พวกเขากำลังทำสิ่งใด?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้มองหน้ากัน
ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าไม่มีศัตรูเหลืออยู่
ราชันภูเขาม่วงกับราชันมังกรอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาขณะที่ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน อิงอู๋เซี่ย กายาแห่งความฝัน และคนอื่นๆ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอาณาจักรแห่งความฝัน
สิ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในสนามรบคือกองทัพอสูรวิญญาณ
อสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังอาละวาดอยู่ในสนามรบ
ส่วนหนึ่งติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน พวกมันไม่สามารถหลบหนีและสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
อสูรวิญญาณส่วนใหญ่ตระหนักถึงอันตรายจากอาณาจักรแห่งความฝัน ดังนั้นพวกมันจึงหลบหนีด้วยสัญชาตญาณ
อสูรวิญญาณจะกลืนกินดวงวิญญาณของรูปแบบชีวิตทุกชนิดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้จึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของอสูรวิญญาณเหล่านี้แม้พวกมันจะไม่สามารถต่อสู้ก็ตาม
“วูอี้ไห่ รีบส่งพวกเราเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ!” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ตะโกน
พวกเขาไม่ต้องการจากไป
ตอนนี้นิกายเงาแพ้แล้ว แต่วังสวรรค์ยังไม่แสดงเจตนาสังหารต่อผู้อมตะภาคใต้
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้คิดว่าวังสวรรค์อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา
ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นฝ่ายธรรมะเช่นเดียวกันแม้จะอยู่ต่างภูมิภาคก็ตาม
แน่นอนว่ายังมีปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งประการที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา
นั่นคืออาณาจักรแห่งความฝัน
ในมุมมองของผู้อมตะภาคใต้ อาณาจักรแห่งความฝันเหล่านี้เป็นทรัพยากรของพวกเขา มันเป็นของพวกเขา!
นอกจากนี้ในการต่อสู้ระหว่างราชันมังกรและราชันภูเขาม่วงรวมถึงการปรากฏตัวของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เรียนรู้รายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน
มีความลับเกี่ยวกับผู้อมตะระดับเก้าอยู่ที่นี่ อาจมีการเผชิญหน้ากับโชคลาภโดยบังเอิญ แล้วผู้ใดจะต้องการจากไป?
นี่คือค่ายกลวิญญาณของภาคใต้และกำลังเสริมของพวกเขาก็กำลังเดินทางมา
สำหรับหอคอยดวงตาสวรรค์และจ้าวเย่ฉุ้ย พวกมันยังต่อสู้กันและติดอยู่ในสถานการณ์ชะงักงัน
ฟางหยวนออกคำสั่ง “ทุกคนกำจัดอสูรวิญญาณเหล่านี้ กำลังเสริมของพวกเราใกล้มาถึงแล้ว สังหารอสูรวิญญาณเพื่อทำให้ศัตรูอ่อนแอลง หากปล่อยพวกมันเอาไว้จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา นี่คือความรับผิดชอบของฝ่ายธรรมะ!”
คำกล่าวเหล่านี้เต็มไปด้วยเหตุผลแต่ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ไม่ฟังเขา
“กำลังเสริมกำลังมามิใช่หรือ? ปล่อยให้พวกเขาจัดการพวกมัน!”
“ถูกต้อง ข้าเหนื่อยมากแล้ว ข้าต้องการพักผ่อน”
“แม้ตอนนี้เราจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เราเสียค่าใช้จ่ายไปมากมาย เราต้องรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้และไม่ใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย”
ฟางหยวนก่นเสียงเย็น “ข้าบอกให้ไป อย่าไร้สาระ!”
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้สาปแช่งแต่ฟางหยวนไม่สนใจ
เขากำลังจะทำเรื่องสำคัญ
นั่นคือการขอความช่วยเหลือจากตระกูลวู
“เร็วเข้า ที่นี่อันตรายมาก สถานการณ์ซับซ้อนมาก รีบส่งวิญญาณที่ข้าต้องการผ่านสวรรค์สีเหลืองมาให้ข้า”
“อย่ากังวล ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมด!”
“เหตุใดต้องเป็นวิญญาณอมตะสายโลหิต? ข้าต้องใช้มันในค่ายกลวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังอำนาจของมัน!”
“เหตุใดมันจึงยากนักที่ข้าจะยืมวิญญาณ? เหตุใดต้องกังวล? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ายืมวิญญาณอมตะ!”
“กระไรนะ!? การยืมวิญญาณอมตะจากคลังสมบัติของตระกูลวูต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งงั้นหรือ?”
ฟางหยวนรีบติดต่อวูหยง
“พี่ใหญ่ ช่วยข้าเร็วเข้า!”
วูหยงกำลังควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะ เมื่อเขาได้ยินเสียงของน้องชาย เขาเร่งตอบกลับ “เกิดสิ่งใดขึ้น? เจ้าต้องการสิ่งใด?”
“ข้าแน่ใจว่าท่านรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี ตอนนี้ข้ากำลังควบคุมค่ายกลวิญญาณ นี่เป็นโอกาสที่ดี มันทำให้ตระกูลวูสามารถควบคุมจุดทรัพยากรนี้และกำหราบกองกำลังอื่นๆ เราจะเป็นอิสระจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก!” ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงใจ
วูหยงเงียบไปชั่วขณะ
สนามรบนี้ไม่ได้ถูกปิดผนึก ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้สามารถสื่อสารกับตระกูลของตนโดยใช้วิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูล
สำหรับตระกูลวู พวกเขามีฟางหยวน วูเหลียว รวมถึงผู้อมตะของตระกูลเฉียว
ดังนั้นกำลังเสริมทั้งหมดจึงเข้าใจสถานการณ์ในสนามรบ วูหยงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในช่วงเวลาสำคัญฟางหยวนกอบกู้สถานการณ์และเข้าควบคุมค่ายกลวิญญาณแทนจื่อกุ้ย วูหยงย่อมรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ
เมื่อเขาได้ยินครั้งแรก เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าน้องชายของเขาจะมีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลถึงระดับนี้ แต่วูหยงสามารถยอมรับเรื่องนี้
เพราะเหตุใด?
เนื่องจากก่อนหน้านี้ฟางหยวนแข่งขันกับจื่อซานเกี่ยวกับปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกล ข่าวลือของพวกเขาก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
ฟางหยวนเปิดเผยความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของตน นี่ทำให้ทุกคนตกใจ แต่ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงสามารถยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย
หากวูอี้ไห่เป็นผู้อมตะที่เกิดและเติบโตขึ้นในภาคใต้ เขาต้องเผชิญหน้ากับข้อสงสัยมากมาย แต่ความจริงก็คือวูอี้ไห่มาจากทะเลตะวันออกและไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
ดังนั้นฟางหยวนจึงมีพื้นที่เพียงพอที่จะแสดงความสามารถ
ฟางหยวนต้องการวิญญาณอมตะขีดจำกัดชื่อเสียงเพื่อสนับสนุนค่ายกลวิญญาณและทำกำไรให้กับตระกูลวู
วูหยงลังเล
แต่เขาเชื่อฟางหยวน
เขาไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของวูอี้ไห่
สิ่งที่ทำให้วูหยงลังเลคือแผนการของฟางหยวน มันจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด หากล้มเหลว สถานการณ์ทางการเมืองของตระกูลวูจะเป็นอย่างไร?
ในฐานะผู้นำ เขาต้องมองการณ์ไกล เขาไม่สามารถฉกฉวยผลประโยชน์เล็กๆที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่คิดให้รอบคอบ
บทที่ 1370 ผู้นำคนใหม่
สุดท้ายวูหยงตัดสินใจทำตามแผนการของฟางหยวน
นี่เป็นโอกาสที่ดี!
มันเป็นโอกาสสำหรับตระกูลวู
ก่อนหน้านี้สถานการณ์ของตระกูลวูค่อนข้างลำบาก วูหยงไม่ต้องการเผชิญหน้ากับมันอีก
และเขายังเข้าใจว่าตราบเท่าที่ผู้อมตะระดับแปดยังไม่ตาย ตระกูลวูก็มีรากฐานที่เพียงพอและจะไม่ล้มลงง่ายๆ
เขาให้ฟางหยวนยืมวิญญาณอมตะ!
ฟางหยวนจะได้รับวิญญาณอมตะขีดจำกัดชื่อเสียง
สำหรับวิญญาณอมตะสายโลหิต?
ตระกูลวูไม่สามารถตัดสินใจโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ
หากพวกเขารู้สึกถึงความไม่สมเหตุสมผล พวกเขาจะโต้กลับและปฏิเสธ
ความระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกองกำลังใหญ่ทั้งหมด
วิญญาณอมตะทุกดวงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกมัน กระทั่งวิญญาณอมตะระดับหกก็ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของกองกำลังต่างๆ
วิญญาณอมตะไม่สามารถถูกยืมโดยง่าย
ฟางหยวนต้องหาเหตุผลมากมายในระยะเวลาสั้นๆ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ในที่สุดเขายังสามารถยืมวิญญาณอมตะหกดวง!
“วิญญาณอมตะหกดวงเพียงพอแล้ว หากยืมมากกว่านี้ พลังงานอมตะของเจ้าอาจไม่เพียงพอ” วูหยงปฏิเสธคำขอของฟางหยวนอย่างสุภาพ
การให้คนเพียงผู้เดียวยืมวิญญาณอมตะหกดวงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
ไม่ใช่ว่าตระกูลวูสงสัยในตัวตนของวูอี้ไห่ แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเขา วิญญาณอมตะเหล่านี้จะหายไป มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อรากฐานของตระกูลวู
อย่าใส่ไข่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียว นี่เป็นตรรกะที่ทุกคนยอมรับ
ฟางหยวนถอนหายใจ “พี่ใหญ่ คำเตือนของท่านเป็นเรื่องจริง ข้าเหลือพลังงานอมตะไม่มาก พี่ใหญ่ ข้าขอยืมหินวิญญาณอมตะเพื่อเติมเต็มพลังงานอมตะของข้าด้วย!”
เขาตัดสินใจรับผลประโยชน์เพิ่มเติม
วูหยงตกลงโดยไม่ลังเล หากปราศจากพลังงานอมตะ วิญญาณอมตะเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย หลังจากให้ยืมวิญญาณอมตะจำนวนมาก พวกเขาต้องแน่ใจว่าพวกมันจะถูกใช้งานอย่างมีประโยชน์
ฟางหยวนได้รับหินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนก้อน
ตระกูลวูแสดงให้เห็นถึงรากฐานอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาอีกครั้ง
“ใช้พวกมันอย่างประหยัด”
“เจ้าต้องใช้หินวิญญาณอมตะและวิญญาณอมตะเหล่านี้อย่างระมัดระวัง!”
วูหยงเตือนฟางหยวน
วิญญาณอมตะและหินวิญญาณอมตะถูกส่งผ่านสวรรค์สีเหลืองและทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
เมื่อฟางหยวนได้รับพวกมัน เขาก็เปลี่ยนหินวิญญาณอมตะให้เป็นพลังงานอมตะของตนอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเขาก็โยนวิญญาณอมตะทั้งหกดวงลงไปในแม่น้ำหวนคืน
หลังการต่อสู้ครั้งนี้ตัวตนของวูอี้ไห่จะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
คำกล่าวเพียงไม่กี่คำของวังสวรรค์เพียงพอที่จะดึงดูดความสงสัย ฟางหยวนสามารถผ่านด่านการตรวจสอบที่เข้มข้น เพียงการค้นวิญญาณหรือตรวจมิติช่องว่าง ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
ดังนั้นก่อนหลบหนี เขาต้องทำกำไรให้ได้มากที่สุด
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถยืมคฤหาสน์วิญญาณอมตะ’ ฟางหยวนรู้สึกเสียดาย แม้เขาจะหลอกและกอบโกยผลประโยชน์จากตระกูลวูถึงระดับนี้ แต่เขายังไม่พอใจ!
สำหรับกองกำลังใหญ่ คฤหาสน์วิญญาณอมตะมีความสำคัญกับพวกเขามากกว่าวิญญาณอมตะ
พวกเขาไม่สามารถให้ฟางหยวนยืมไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น!
เว้นเพียงฟางหยวนจะกลายเป็นตัวตนเช่นวูหยงที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลวู
เช่นเดียวกับที่ไห่เจิ้งยืมคฤหาสน์วิญญาณอมตะคุกทมิฬจากผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ของตระกูลไห่
หากฟางหยวนเอ่ยปากยืมคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ความคิดแรกของวูหยงจะเป็น ‘น้องชายของข้าต้องการยืมคฤหาสน์วิญญาณอมตะ หลังการต่อสู้ครั้งนี้หากเขาไม่ส่งคืนและหันไปร่วมมือกับตระกูลเฉียวเพื่อต่อต้านข้า ข้าจะทำอย่างไร?’
นอกจากนี้คฤหาสน์วิญญาณอมตะก็ไม่สามารถส่งผ่านสวรรค์สีเหลือง
หากต้องแยกร่างมัน การสร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะขึ้นมาใหม่จะเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างที่สุด
คฤหาสน์วิญญาณอมตะถือเป็นจุดสูงสุดของค่ายกลวิญญาณ หากล้มเหลว ผู้อมตะต้องเผชิญหน้ากับฟันเฟืองและจบลงอย่างน่าสมเพช
มีความเสี่ยงมากเกินไป ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่สามารถยืนคฤหาสน์วิญญาณอมตะ
นอกจากวูอี้ไห่จะเป็นน้องชายของวูหยง เขายังสร้างผลงานมากมายให้กับตระกูลมาก่อนหน้านี้ นั่นทำให้การยืมวิญญาณอมตะและหินวิญญาณอมตะประสบความสำเร็จ
ฟางหยวนเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างนิกายเงาและวังสวรรค์ขณะเดียวกันก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทุกทิศทาง
แม้เขาจะพยายามอย่างหนักแต่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเขา ราชันมังกรของวังสวรรค์ทรงพลังเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง
นิกายเงาแพ้ วังสวรรค์ชนะ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่แน่นอน
กระทั่งร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณก็ยังถูกจับกุม หากนิกายเงายังมีวิธีอื่น พวกเขาคงใช้มันไปแล้ว
กล่าวถึงรากฐานของนิกายเงา มันลึกมาก น่าเสียดายที่พวกเขาพบการสูญเสียที่รุนแรงเกินไปเมื่อพวกเขาพยายามหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะบนภูเขาอี้เทียน
มันเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถกู้คืน
‘แต่ข้าสามารถจับกายาแห่งความฝันและได้รับคริสตัลสวรรค์มากมาย ขณะนี้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกำลังเติบโตขึ้น ข้ายังได้รับวิญญาณอมตะหกดวงและหินวิญญาณอมตะอีกหนึ่งแสนก้อนจากตระกูลวู นี่ถือเป็นกำไรมหาศาลจริงๆ!’
ฟางหยวนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ค่อนข้างดี
จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ต่อสู้ เขาไม่ได้ทุ่มเทสิ่งใด แต่เขากลับสามารถทำกำไรก้อนใหญ่
‘น่าเสียดายที่วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดไม่สามารถเรียกคืน ข้าไม่สามารถนำมันออกมาในเวลานี้ หากค่ายกลวิญญาณแตกสลาย ข้าต้องเผชิญหน้ากับเทพธิดาจื่อเว่ยโดยตรง’
‘ยังมีอีกปัญหา นั่นคือข้อตกลงพันธมิตรของตระกูลวู นอกจากนี้ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของข้าก็ยังอยู่ในตระกูลวู’
ปัญหานี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกปวดหัว
เหตุผลที่เขาสามารถหลอกยืมวิญญาณอมตะจากตระกูลวูโดยปราศจากปัญหาเพราะความสัมพันธ์ที่ฟางหยวนพยายามสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก
นักหมากรุกที่เก่งกาจต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างแยบยล
แม้ตอนนี้ฟางหยวนจะติดอยู่ในสนามรบแต่เขาต้องวางแผนสำหรับอนาคต
“สมาชิกฝ่ายปีศาจช่างร้ายกาจและโลภมากนัก กระทั่งก่อนตาย เจ้าก็ยังหลอกลวงผู้อื่น โอ้ ฟางหยวน อาชญากรรมของเจ้าร้ายแรงเกินไป เจ้าจะตายวันนี้อย่างไม่ต้องสงสัย! ไม่มีความหวังที่จะหลบหนี!” เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงของเทพธิดาจื่อเว่ยดังขึ้น
เทพธิดาจื่อเว่ยรู้เรื่องที่ฟางหยวนยืมวิญญาณอมตะและหินวิญญาณอมตะจากตระกูลวู
หลังจากทั้งหมดสวรรค์สีเหลืองเป็นตลาดเปิด
ฟางหยวนเย้ยหยัน “นี่เป็นเพราะวังสวรรค์ไม่เปิดเผยตัวตนของข้าก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แท้จริงแล้วแม้เจ้าจะทำ แล้วอย่างไร? ตระกูลวูจะเชื่อเจ้างั้นหรือ? ผู้อมตะภาคใต้จะเชื่อพวกเจ้างั้นหรือ? พวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาได้พิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น ฝ่ายธรรมะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องใด พวกเขาก็ต้องคิดถึงแผนการทางการเมืองของตนเองเสมอ”
เทพธิดาจื่อเว่ยเงียบ
นางเข้าใจจิตใจที่แน่วแน่และมั่นคงของฟางหยวน ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะไม่พยายามตอบโต้อย่างไร้ประโยชน์
การรุกรานค่ายกลวิญญาณของนางเร็วขึ้น
การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนแปลงไป
ด้วยความเร็วนี้ แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกำลังเติบโตขึ้น มันก็ยังสายเกินไป
ตอนนี้เขามีวิญญาณอมตะขีดจำกัดชื่อเสียง
แผนการของเขาคือใช้มันควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด
แต่ฟางหยวนยังไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้มากนัก
เนื่องจากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด มันมีพลังการต่อสู้ระดับแปด ขณะที่วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับเจ็ด สิ่งเดียวที่ทำให้ฟางหยวนมีความหวังคือชื่อเสียงที่ทรงพลังของเขา
หากมันไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะปล่อยอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกไปสร้างความโกลาหลและฉวยโอกาสหลบหนี
ตอนนี้สนามรบแบ่งออกเป็นสี่ส่วน
สนามรบแรกคือการต่อสู้ระหว่างราชันภูเขาม่วงและราชันมังกร พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา แต่มีโอกาสสูงมากที่ราชันมังกรจะได้รับชัยชนะ
สนามรบที่สองคือหอคอยดวงตาสวรรค์และจ้าวเย่ฮุ้ย ทั้งสองไม่สามารถเอาชนะกันและกัน แม้จ้าวเย่ฮุ้ยจะสามารถฟื้นตัว แต่ร่างกายของมันยังเต็มไปด้วยบาดแผล ขณะที่หอคอยดวงตาสวรรค์อยู่ในสภาพที่น่าสมเพช
สนามรบที่สามคือการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผู้อมตะภาคใต้และกองทัพอสูรวิญญาณ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในสนามรบนี้
สนามรบที่สี่คือการต่อสู้ระหว่างเทพธิดาจื่อเว่ยและฟางหยวน สนามรบนี้ลึกลับที่สุด กระทั่งผู้อมตะภาคใต้ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ในความคิดเห็นของฟางหยวน มันมีข้อสรุปที่แน่นอน วังสวรรค์จะเป็นผู้ชนะ ในสถานการณ์นี้เขาทำได้เพียงหลบหนี
แต่ฟางหยวนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ แม้เขากำลังจะแพ้ แต่เขายังสามารถกอบโกยผลประโยชน์มหาศาล
‘ตอนนี้ถึงเวลาหาทางหลบหนีแล้ว’
ฟางหยวนทำงานหนักเพื่อเป้าหมายนี้ แต่ในเวลานี้เขากลับได้ยินเสียงของราชันภูเขาม่วง “ฟางหยวน พวกเรายังสามารถร่วมมือกันต่อไปหรือไม่?”
ฟางหยวนรู้สึกสนใจมาก “แน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ”
“ข้าจะมอบทุกสิ่งให้เจ้าไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอมตะของข้า ท่าไม้ตายอมตะของข้า หรือประสบการณ์มากมายของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิบชอบหรือทำงานใดๆเพื่อแลกเปลี่ยนกับพวกมัน!”
“อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน กระต่ายขาว เมี่ยวหยิน และผมที่หก พวกเขาทั้งหมดจะเป็นลูกน้องของเจ้า!”
“จากนี้ไปเจ้าจะเป็นผู้นำของนิกายเงา!”
บทที่ 1371 ความตายของราชันภูเขาม่วง (1)
“ให้ข้าเป็นผู้นำนิกายเงา?” ฟางหยวนตะลึง
เหลือเชื่อ!
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะพัฒนามาเป็นเช่นนี้
‘ข้าเป็นศัตรูกับนิกายเงา ข้ายังฉกชิงวิญญาณทารกอมตะมาจากพวกเขา’
‘เหตุใดราชันภูเขาม่วงถึงทำเช่นนี้?’
‘เขามีแผนการใด?’
ความคิดมากมายปะทุขึ้นในใจของฟางหยวน
“ราชันภูเขาม่วง นี่หมายความว่าอย่างไร?” ฟางหยวนถาม
ราชันภูเขาม่วงอธิบาย “ฮ่าฮ่าฮ่า ฟางหยวน อย่ากังวลว่านี่จะเป็นแผนการ ไม่มีสิ่งใด มันเป็นเพียงเพราะข้ากำลังจะตาย! ร่างหลักของข้าถูกจับ ราชันมังกรอยู่ที่นี่ เขาจะจัดการข้าและดูดซับผลประโยชยน์จากข้า”
“ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ฟางหยวน!”
“วังสวรรค์ต้องการเป็นผู้นำของห้าภูมิภาคและปกครองมวลมนุษยชาติทั้งหมด”
“วังสวรรค์จะไม่ปล่อยเจ้าไปเพราะเจ้าไม่ใช่จ้าวเหยียนหลุน เจ้าคือปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ เจ้ามีมิติช่องว่างจักรพรรดิตลอดถึงมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชค!”
“เจ้าไม่ใช่คนของโลกใบนี้ เจ้าเป็นผู้ท้าทายต่อโชคชะตา ที่มาของเจ้าไม่สามารถตรวจสอบ เจ้าเป็นความไม่แน่นอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสวรรค์พิภพ”
“เจ้าเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของวังสวรรค์ หากเจ้าไม่กำจัดวังสวรรค์ พวกเขาก็จะกำจัดเจ้า!”
“นิกายเงาของข้าท้าทายสวรรค์ วังสวรรค์จึงเป็นอุปสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา แต่กระทั่งเราจะพ่ายแพ้ ข้าก็ยินดีมอบทุกสิ่งของข้าให้เจ้ามากกว่าศัตรูของเรา ฮ่าฮ่าฮ่า”
ราชันภูเขาม่วงหัวเราะ
ฟางหยวนไตร่ตรอง ‘แม้จะตายก็ไม่ยอมให้ศัตรูมีช่วงเวลาที่ง่ายดาย สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตามข้าต้องตรวจสอบบางอย่าง’
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงถามราชันภูเขาม่วง “ท่านเคยกล่าวไว้ว่าร่างทารกอมตะมีข้อบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ มันคือสิ่งใด?”
ราชันภูเขาม่วงหัวเราะคิกคัก “เจ้าไม่สังเกตเห็นข้อบกพร่องนี้งั้นหรือ? เดาไม่ยาก คำตอบคืออาหาร ร่างทารกอมตะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้มันจะมีเลือดเนื้อ แต่แก่นแท้ของมันก็คือวิญญาณอมตะระดับเก้า ตั้งแต่มันเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า มันก็จำเป็นต้องกินอาหาร!”
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายเจิดจ้า “ข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่ข้าอยากถามก็คืออาหารของมันคือสิ่งใด?”
ราชันภูเขาม่วงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเดาไม่ได้จริงๆงั้นหรือ? เจ้าเพียงทดสอบความจริงใจของข้า แต่ข้าจะบอกเจ้า”
ราชันภูเขาม่วงบอกคำตอบแก่ฟางหยวนและทำให้เขาต้องสูดหายใจลึก
อาหารของร่างทารกอมตะคือสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้
‘ในกรณีนี้ข้าก็มีปัญหาใหญ่จริงๆ’
‘แต่ราชันภูเขาม่วงบอกข้าอย่างตรงไปตรงมา เขาดูมีความจริงใจ…’
ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา กองทัพอสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าโจมตีราชันมังกรราวกับคลื่นยักษ์
แต่ราชันมังกรแข็งแกร่งมาก โดยไม่คำนึงถึงระดับการบ่มเพาะ อสูรวิญญาณทั้งหมดถูกกำจัดด้วยการสบัดกรงเล็บของราชันมังกร
ร่างของอสูรวิญญาณถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆอย่างไม่สามารถต่อต้าน
อสูรวิญญาณระดับสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลราวกับเต้าหู้อันอ่อนนุ่มที่ถูกทำลายอย่างไร้ปรานี
“ขยะ แม้จะส่งมามากเท่าใดก็ไร้ประโยชน์” ราชันมังกรลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยดวงตาที่ส่องประกายเย็นเยียบ
ในรัศมีหนึ่งพันก้าวปราศจากสิ่งมีชีวิต ซากศพอสูรวิญญาณจำนวนมากกองรวมกันอยู่รอบๆ
ราชันภูเขาม่วงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพอสูรวิญญาณ
แม้ราชันมังกรจะถูกปิดล้อมโดยกองทัพอสูรวิญญาณ แต่เขาไม่ได้รับอันตรายใดๆ
เขามองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีประตูแห่งชีวิตและความตายตั้งอยู่ ประตูเปิดออกและปล่อยอสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาราวกับน้ำพุธรรมชาติ
อสูรวิญญาณเหล่านี้ถูกควบคุมโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณในระดับหนึ่ง พวกมันภักดีต่อนิกายเงาอย่างไม่น่าเชื่อและไม่สนใจการเสียสละ พวกมันยังฟังคำสั่งของราชันภูเขาม่วงและโจมตีราชันมังกรแม้จะเป็นการต่อสู้ที่สิ้นหวังก็ตาม
‘ประตูแห่งชีวิตและความตาย…’ ราชันมังกรครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน
นี่ถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
มันเป็นหนึ่งในเป้าหมายของราชันมังกรในการเดินทางครั้งนี้
‘หลังจากได้รับประตูแห่งชีวิตและความตาย เมื่อวิญญาณชะตากรรมฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ รูปแบบชีวิตที่ตายจะต้องเข้าสู่ประตูแห่งชีวิตและความตายโดยปราศจากข้อยกเว้น’
‘เมื่อเวลานั้นมาถึง วังสวรรค์จะเป็นกฎของโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์!’
จากมุมมองของราชันมังกร หากเขาใช้ท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสาม แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาจะพังทลายลงอย่างง่ายดาย
แต่เขาไม่ต้องการทำลายประตูแห่งชีวิตและความตาย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้วิธีอื่น
“บึม!”
ราชันมังกรอาละวาดไปรอบๆ
‘เพียงร่างแยก เจ้าคิดว่าสามารถหลบซ่อนงั้นหรือ?’ ราชันมังกรกล่าวและตบมือ
“ครืน…”
ภูเขาโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากกระแสอาการกดทับลงมา
ราชันภูเขาม่วงกัดฟันแน่น เขาต้องแสดงตัวออกมาเพื่อต่อต้านมัน
ทั้งสองต่อสู้กัน ราชันภูเขาม่วงกระอักเลือกและถูกส่งลอยกลับหลังราวกับว่าวสายป่านขาด
‘เจ้าจะขัดขืนเพื่อสิ่งใด? เจ้ายังมีความหวังอยู่อีกงั้นหรือ?” ราชันมังกรก่นเสียงเย็น เขาโจมตีต่ออย่างไร้ปรานี
“ความหวัง ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชันภูเขาม่วงรู้ว่าเขาไม่มีทางรอด นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของเขา
แสนปีก่อน
เจ็ดชีวิตออกมาจากประตูแห่งชีวิตและความตาย
“ในที่สุดเราก็สามารถออกมา เราฟื้นคืนชีพแล้ว!”
“มีพวกเราเพียงเจ็ดคนเท่านั้น”
“โชคดีที่แม่น้ำหวนคืนไม่ได้อยู่ที่นั่น มิฉะนั้นพวกเราจะออกมาได้อย่างไร?”
“ตอนนี้เทพอมตะสวรรค์พิภพตายไปแล้ว ไปกันเถอะ พวกเราแบกรับความหวังของร่างหลักเอาไว้!”
ในปีนั้นนิกายเงาก่อตั้งขึ้น ร่างแยกรุ่นแรกรู้จักกันในชื่อของสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีม่วง
“ดังนั้นข้าก็คือสีม่วง” ราชันภูเขาม่วงมองผิวน้ำและเห็นภาพสะท้อนของตนเอง “มาเริ่มบ่มเพาะกันเถอะ เราต้องการความแข็งแกร่ง!”
…..
หลายปีต่อมา
“บึม!”
การระเบิดครั้งใหญ่ทำให้ค่ายกลวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ดังคาด สีม่วง เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ เราสามารถทำลายค่ายกลวิญญาณของเทพปีศาจไร้ขอบเขต” สีเหลืองหัวเราะเสียงดัง
สีเหลืองตบไหล่สีม่วง “สีม่วง ท่ามกลางพวกเรา เจ้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา ตอนนี้ความสำเร็จของเจ้าอยู่ในระดับใด?”
“ปรมาจารย์เอก” สีม่วงตอบอย่างตรงไปตรงมา
สีเหลืองอ้าปากค้าง “สวรรค์ เจ้าเป็นปรมาจารย์เอกคนแรกในกลุ่มพวกเรา!”
สีม่วงมองสีเหลือง “มีสิ่งใดต้องประหลาดใจ อย่าลืมว่าเราเป็นร่างแยกของร่างหลัก เรามีประสบการณ์ส่วนหนึ่งของร่างหลัก”
สีเหลืองพยักหน้า “ถูกต้อง สิ่งที่น่ายินดีที่สุดคือมรดกไร้ขอบเขตนี้ เราผ่านบททดสอบสุดท้ายของเทพปีศาจไร้ขอบเขตแล้ว มรดกที่แท้จริงนี้เป็นของเรา”
“ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้ความหวังของเราจะเพิ่มขึ้น” สีม่วงเผยรอยยิ้มบาง “หากมันเป็นไปได้ด้วยดี เราจะได้รับมรดกและทรัพยาการมากขึ้น เราจะแข็งแกร่งขึ้นและสามารถปูทางให้กับร่างหลัก”
…..
หลายปีผ่านไป
“เจตจำนงสวรรค์! ผู้ใดจะคิดว่ามันทรงพลังถึงเพียงนี้ กระทั่งสีฟ้ายังพ่ายแพ้ ตอนนี้เราควรทำอย่างไร?”
“ระดับการบ่มเพาะของเราสูงขึ้น กองกำลังของนิกายเงาแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่เจตจำนงสวรรค์เล็งเป้ามาที่พวกเรา หลังจากนี้เราจะพบปัญหาใหญ่”
“ข้ามีวิธีจัดการเรื่องของสีฟ้า นั่นคือการหลอมรวมวิญญาณอมตะดาบแห่งปัญญา สำหรับเจตจำนงสวรรค์…ข้าจะคิดหาวิธี” สีม่วงกล่าว
…..
“แม้สีฟ้าจะไม่ถูกผูกมัดด้วยความรักอีกต่อไป แต่ความพยายามในการก้าวเข้าสู่ระดับเก้าของเขาก็ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์”
“เราสามารถทำสิ่งใดได้อีก”
“เราจะต่อต้านเจตจำนงสวรรค์ได้อย่างไร?”
สีม่วงพยายามหาทางอย่างเต็มที่
และในที่สุดเขาก็พบวิธี
“หลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์ ข้าจะเป็นส่วนหนึ่งของเจตจำนงสวรรค์ชั่วคราว”
“แม้จะอันตราย แต่มันเป็นความคิดที่ดี เราจะแทรกซึมเข้าไปและเรียนรู้แผนการของเจตจำนงสวรค์”
“แต่มีบางสิ่งที่ต้องระวัง หากหลอมรวมกับมันนานเกินไป เจตจำนงสวรรค์อาจครอบงำข้า ข้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจตจำนงสวรรค์จริงๆ”
“ข้าต้องหาทางรักษาสติของตน”
หลังจากอนุมานอย่างยากลำบาก
“ฮืม ในที่สุดข้าก็มีวิธี ข้าจะตั้งชื่อมันว่าผลึกหินทองม่วง เพื่อต่อต้านเจตจำนงสวรรค์ แม้จะมีความหวังเพียงเล็กน้อย ข้าก็ยังต้องทำ แค๊ก แค๊ก”
เขาไอออกมาเป็นเลือด
…..
เวลาผ่านไปอีกครั้ง
ผลึกหินทองม่วงแตกออก สีม่วงตื่นขึ้น
“ที่นี่ที่ใด นานเท่าใดแล้ว?” เขามองสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักและตกตะลึง
“ร่างแยกรุ่นแรกเสียชีวิตเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คน พวกเขาเป็นเหมือนข้าที่แทบไม่สามารถรักษาชีวิต เห้อ…โชคดีที่นิกายเงาพัฒนาไปได้ด้วยดี”
สีม่วงถอนหายใจและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เจตจำนงสวรรค์” ใบหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึม
…..
“ท่านปู่ เชิญดื่มน้ำ” วันหนึ่งสีม่วงพบกับคู่เจ้านายกับคนรับใช้
เด็กหญิงสวมชุดหรูหรามากับสาวใช้กล้ามโต
“คุณหนูสาม อย่าเข้าใกล้ขอทานเฒ่า ท่านใจดีเกินไป ขอทานเฒ่าผู้นี้ไม่ใช่สมาชิกในหมู่บ้านของเรา อย่าเข้าใกล้เขา” คนรับใช้หญิงมองสีม่วงและไม่ปกปิดกลิ่นอายของผู้ใช้วิญญาณ
สีม่วงมองตัวเองด้วยรอยยิ้มขมขื่น
บทที่ 1372 ความตายของราชันภูเขาม่วง (2)
ราชันภูเขาม่วงตระหนักว่าเขาอยู่ในสภาพไม่ต่างจากขอทานเฒ่าจริงๆ
เขามองเด็กหญิงและคิด ‘นางคือบุคคลแห่งโชคชะตางั้นหรือ? ไม่ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่นาง แต่เป็นบุตรหลานของนาง’
เด็กหญิงทิ้งอาหารไว้และจากไปพร้อมกับคนรับใช้
คืนนั้นราชันภูเขาม่วงเข้าสู่ความฝันของนาง
“มรดกที่แท้จริงนี้ค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย มันเป็นมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญา เส้นทางแห่งข้อมูล และเส้นทางอาหาร ข้าจะเรียกมันว่ามรดกที่แท้จริงเสือดำ”
“โอ้ มันจะสำเร็จหรือไม่?”
“แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง”
ราชันภูเขาม่วงจากไปอย่างเงียบๆ
…..
ภาคเหนือ ในถ้ำแห่งหนึ่ง
‘นางอยู่ที่นี่’ ราชันภูเขาม่วงคิดกับตนเอง
ท่านหญิงหว่านซูในวัยเยาว์เข้ามาในถ้ำและพบกับราชันภูเขาม่วง หัวใจของนางจมดิ่งลง “ผู้อาวุโส เมื่อท่านอยู่ที่นี่ ผู้น้อยจะจากไป ผู้น้อยไม่กล้ารบกวนผู้อาวุโสจากการรับทอดมรดกนี้”
กลิ่นอายที่ทรงพลังของราชันภูเขาม่วงทำให้หัวใจของท่านหญิงหว่านซูสั่นสะท้านขึ้น
ราชันภูเขาม่วงมองนางและคิด ‘มันคือนาง’
เขากล่าว “สาวน้อย เจ้าสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะได้ตั้งแต่ยังเยาว์และยังรู้ขีดจำกัดของตนเอง เจ้ารู้ว่าเมื่อใดควรถอยหรือเดินหน้า ดี ข้าไม่มีคุณสมบัติรับสืบทอดมรดกนี้ ข้าจะมอบมันให้เจ้า แต่หลังจากเจ้าได้รับมรดก เจ้าต้องบอกเนื้อหาของมันกับข้า เจ้าจะติดหนี้บุญคุณข้า ในอนาคต เจ้าต้องช่วยคนที่ติดต่อเจ้าผ่านวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้”
…..
“ฮืม จะฆ่าก็ฆ่า แต่ข้าจะไม่ร้องขอความเมตตา!” ผู้ใช้วิญญาณหญิงที่นอนอยู่บนพื้นกล่าวอย่างดื้อรั้น
ราชันภูเขาม่วงหัวเราะ “เด็กน้อย เจ้าน่าสนใจทีเดียว เจ้าทำให้ข้านึกถึงอดีต การได้พบกับข้าคือความโชคดีของเจ้า”
หลังกล่าวจบคำราชันภูเขาม่วงชี้นิ้วไปที่หน้าผากของผู้ใช้วิญญาณหญิง
“นี่คือมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งไฟ ข้าจะให้ครึ่งแรกแก่เจ้า เมื่อเจ้าบรรลุสู่ระดับห้า เจ้าจะพบครึ่งหลังที่ใดสักแห่งหนึ่งในภาคเหนือ หากเจ้าจัดการได้ดี เจ้าจะกลายเป็นผู้อมตะ”
หลังจากนั้นราชันภูเขาม่วงก็หายตัวไป
“สวรรค์! ผู้อมตะ? ขอทานเฒ่าผู้นี้เป็นผู้อมตะงั้นหรือ?” ผู้ใช้วิญญาณหญิงได้สติเมื่อเวลาผ่านไป
นางออกจากสถานที่แห่งนี้ด้วยความตกใจและสงสัย
ราชันภูเขาม่วงยืนอยู่บนก้อนเมฆและมองไปยังผู้ใช้วิญญาณหญิง “หญิงผู้นี้ค่อนข้างพิเศษ ไม่เพียงนางจะมีกลิ่นอายของโชคชะตา นางยังได้รับความสนใจจากสวรรค์ ข้าเกรงว่าญาติสนิทของนางจะกลายเป็นตัวหมากเบี้ยของสวรรค์ในอนาคต”
…..
“ฮ่าฮ่าฮ่า หนุ่มน้อย ข้ามีมรดกที่แท้จริงสามชิ้น”
“มรดกแรกจะทำให้เจ้าสามารถอาบเปลวเพลิงและเดินบนกองไฟ เจ้าจะทะลวงขีดจำกัดของมนุษย์ มรดกที่สองอนุญาตให้เจ้าควบคุมวายุและอากาศ เจ้าจะโบยบินไปได้อย่างอิสระ มรดกที่สามจะทำให้เจ้ามีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย เจ้าสามารถช่วยผู้คนบนโลกใบนี้ เลือกหนึ่งในสาม คิดดูให้ดีและบอกข้า”
ไท่เป่ยหยุนเฉิงในวัยเยาว์คิดและกล่าว “ข้าเลือกมรดกที่สาม”
“อีกหนึ่งความหวัง”
“เห้อ…เกือบแสนปีมาแล้ว”
“ข้าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังไปทั่ว นี่คงเพียงพอที่จะช่วยสนับสนุนแผนการของร่างหลักแล้ว”
…..
“โฮก…”
เสียงคำรามของมังกรดังไปทั่วแดนศักดิ์สิทธิ์
ราชันมังกรพ่นไฟออกมาจากปากและโจมตีราชันภูเขาม่วงโดยตรง
ราชันภูเขาม่วงเสียสละแขนของตนเพื่อรักษาชีวิตก่อนจะล่าถอย
ราชันมังกรตามเข้าทุบหน้าอกของราชันภูเขาม่วงกระทั่งกระดูกหัก
ราชันภูเขาม่วงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ด้วยตนเองแต่เขายังสามารถใช้วิญญาณในการเคลื่อนไหว
ราชันมังกรกล่าวเสียงเย็น “อยากรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงแพ้?”
ราชันภูเขาม่วงไอออกมาเป็นเลือดและมองราชันมังกร “ข้ากำลังฟังอยู่”
ราชันมังกรเผยรอยยิ้มเย็นชาและเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตาไปอยู่ด้านหน้าราชันภูเขาม่วง
“ปัง!”
ราชันมังกรชกหน้าท้องของราชันภูเขาม่วงและส่งชายชราพุ่งลงสู่พื้นราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
“เจ้าพยายามหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์ ความจริงก็คือเทพอมตะกลุ่มดาวเคยทำมาแล้ว นางเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา แล้วเจ้าจะใช้เล่ห์กลนี้ต่อหน้านางได้อย่างไร?”
“เจ้าใช้เวลาครึ่งหลังของชีวิตทำสิ่งหนึ่ง นั่นคือการฉกชิงตัวหมากเบี้ยของเจตจำนงสวรรค์ แต่น่าเสียดาย เมื่อเจ้าหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์ เจ้าก็กลายเป็นตัวหมากเบี้ยของเจตจำนงสวรรค์เช่นกัน”
ราชันมังกรกล่าวขณะบินลงมา
ราชันภูเขาม่วงกัดฟันและพยายามบินออกจากหลุม
เขาบินถอยหลังและร่อนลงบนพื้นพร้อมกับกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
บาดแผลบนร่างกายของราชันภูเขาม่วงฟื้นฟูขึ้นแล้วแต่ใบหน้าของเขายังซีดขาว ตอนนี้มีเพียงความแน่วแน่เท่านั้นที่ทำให้เขายังสามารถประคองสติ
ราชันมังกรค่อยๆบินลงสู่พื้นก่อนจะชี้นิ้วไปที่ราชันภูเขาม่วง
“ฮูม…”
ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งออกไป
ร่างของราชันภูเขาม่วงปลดปล่อยแสงสีม่วงออกมา แต่เขายังถูกส่งลอยกลับหลังก่อนจะล้มลงบนพื้นขณะที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด
“สำหรับเหตุผลที่เจ้าล้มเหลว ข้าแน่ใจว่าเจ้าเดาได้ ถูกต้อง อาณาจักรแห่งความฝันนี้ถูกยึดครองโดยเจตจำนงสวรรค์ไปแล้ว ยิ่งอาณาจักรแห่งความฝันปรากฏขึ้นนานเท่าใด เจตจำนงสวรรค์ก็ยิ่งแทรกซึมเข้าไปได้ลึกเท่านั้น”
“ครั้งนี้วังสวรรค์ของข้าได้รับคำแนะนำจากเจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาว ดังนั้นเราจึงเข้าใจสถานการณ์และตำแหน่งที่อยู่ของเทพปีศาจจิตวิญญาณ”
“โอ้ และฟางหยวน มันค่อนข้างน่าขัน หากเขาซ่อนตัวอยู่ที่อื่น เราจะไม่พบเขา แต่เพราะเขามาที่นี่เพื่อสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน เขาจึงเปิดเผยตนเองต่อหน้าเจตจำนงสวรรค์”
“เขาพยายามท้าทายเจตจำนงสวรรค์ เขาสมควรตายและจะต้องตายในวันนี้”
ราชันมังกรก้าวไปข้างหน้า
อสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันแต่ราชันมังกรไม่แยแส เขายกแขนซ้ายขึ้น
“บึม!”
ด้วยเสียงระเบิดเพียงครั้งเดียว อสูรวิญญาณจำนวนมากถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ราชันมังกรหยุดยืนอยู่ด้านหน้าราชันภูเขาม่วงขณะที่ฝ่ายหลังพยายามดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้น
ราชันมังกรคว้าลำคอของราชันภูเขาม่วงและยกร่างของชายชราขึ้นสู่อากาศ
“รู้สึกอย่างไรที่ความหวังของเจ้าพังทลายลง? การพยายามท้าทายโชคชะตาทำให้เจ้าพบจุดจบที่น่าสมเพช กระทั่งเทพปีศาจจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น” ราชันมังกรกล่าวเสียงเย็น
ราชันภูเขาม่วงคว้าแขนของราชันมังกร “แค๊ก แค๊ก ข้า…ไม่มี…ความหวัง…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า…ผู้อื่น…ไม่มี…ฮิฮิ”
การแสดงออกของราชันมังกรเปลี่ยนแปลงไป
“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าอ่อนแอ”
“เจ้าส่งวิญญาณอมตะส่วนหนึ่งออกไปแล้ว”
“ไม่สำนึก”
“กระทั่งเจ้าก็ยังทำไม่สำเร็จ แล้วกองกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายเงาจะสามารถทำสิ่งใด?”
ใบหน้าของราชันภูเขาม่วงเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขาหายใจไม่ออก เขาไม่สามารถกล่าวแต่คิดกับตนเอง ‘คนผู้นี้…แตกต่าง…’
‘ฟางหยวน’
‘เจ้าเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ เจ้าสามารถต่อต้านโชคชะตา’
‘เจ้าคือตัวหมากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สวรรค์เลือกให้มาจัดการกับนิกายเงา แต่ตอนนี้เจ้าหลุดพ้นจากการควบคุมของเจตจำนงสวรรค์แล้ว’
‘ข้าหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์และพยายามแทรกแซงอิทธิพลของโชคชะตา น่าเสียดายที่ข้าล้มเหลว เป็นเช่นที่ราชันมังกรกล่าว ข้ากลายเป็นตัวหมากเบี้ยของเจตจำนงสวรรค์โดยไม่รู้ตัว’
‘ข้าไม่มีความหวังเหลือแล้ว แต่ฟาหงยวน เจ้าแบกรักความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเอาไว้’
‘ให้ข้าใช้อิทธิพลสุดท้ายของข้าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต’
‘ฮิฮิ ข้าอยากรู้นัก หลังจากได้รับนิกายเงาไปแล้ว เจ้าจะไปได้ไกลเพียงใด?’
‘ไปข้างหน้าและสร้างหายนะให้กับโลกใบนี้ ฟางหยวน!’
ความคิดทั้งหมดถูกส่งไปยังฟางหยวน
ฟางหยวนถอนหายใจ ‘คนใกล้ตาย…’
เขาไม่สงสัยอีกต่อไป “ข้าเข้าใจแล้ว แม้เราจะเป็นศัตรู…ข้าก็จะยอมรับสิ่งนี้และกลายเป็นผู้นำของนิกายเงา!”
“ดีมาก ดีมาก…ดีมาก…” ราชันภูเขาม่วงปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนแรง
ในที่สุดเขาก็จากไปแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากแขนของราชันมังกร
ราชันภูเขาม่วงตายแล้ว!
หลังจากหนึ่งแสนปีของการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดเขาก็ได้พักผ่อน
แม้เขาจะล้มเหลวและเสียชีวิต แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขายังสามารถส่งต่อความหวัง
เขาตายอย่างมีความหวัง บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะเสียชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น