พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1367-1374

 บทที่ 1367 เปิดโปง

Ink Stone_Fantasy

ถ้าจะบอกว่าสวยยิ่งกว่าผู้หญิง ก็เป็นเพียงคำบรรยายเท่านั้น ที่จริงแล้วผู้ชายสี่คนนี้หน้าตาดี บางคนก็รูปงามแบบที่หาพบได้ยาก บางคนก็สวยกว่าสตรี บางคนก็ใบหน้าหล่อเข้มอาจหาญ หรือไม่ก็มีสง่าราศีความหล่อราวกับแสงอาทิตย์ ทั้งสี่สวมเครื่องแต่งกายต่างกัน ช่วยขับดุนคุณสมบัติประจำตัวของแต่ละคนให้เด่นออกมาพอดี ถ้าจะให้พูดถึงรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งสี่ล้วนเป็นชายงามที่อยู่เหนือชายงาม


สวีถังหรานถึงขั้นสงสัยว่าคนที่หน้าตาสวยที่สุดในบรรดาพวกเขาเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะมีลักษณะเฉพาะที่บอกความเป็นเพศชายชัดเจน ก็จะทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆ


หน้าตาดีก็ส่วนหน้าตาดี ชายงามทั้งสี่มองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ พวกเขาดูตื่นเต้นกังวลเล็กน้อย


“เจ้าไปเอาสินค้าหายากแบบนี้มาจากไหน?” สวีถังหรานกำลังจ้องประเมินทั้งสี่คน แต่ปากกลับถ่ายทอดเสียงถามหวงเสี้ยวเทียน


หวงเสี้ยวเทียนตอบว่า “นายท่าน ท่านมาตรฐานสูงเกินไปแล้ว ต้องการให้หน้าตาดี ทั้งยังร้องเพลงได้เต้นได้ ถ้าอยากจะหารวบรวมมาให้ได้ภายในเวลาอันสั้นก็ยากเกินกำลังเหมือนกัน ต้องใช้เวลาสืบหาสักหน่อยสิ ไม่มีทางรวบรวมมาได้สี่คนภายในเวลาสั้นๆ หรอก ถึงแม้จะไม่ใช่สินค้าคุณภาพดีอะไร แต่ท่านก็ใช้งานแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน”


มารดาเจ้าเถอะ หน้าตาดีขนาดนี้แล้ว ยังไม่ใช่สินค้าคุณภาพดีอีกเหรอ? สวีถังหรานถามว่า “หรือว่ามีปัญหาอะไร?”


หวงเสี้ยวเทียนตอบว่า “ข้าเองก็หมดหนทางแลว้จริงๆ ในตลาดมืดมีปีศาจเฒ่าคนหนึ่งที่มีรสนิยมชายรักชาย ตามเสาะหายอดชายงามจากทุกที่เพื่อมาฝึกสอนไว้ใช้งานโดยเฉพาะ นี่คือของส่วนตัวของเขา อยากจะซื้อหรือขอยืมนั้นเป็นไปไม่ได้ ข้าก็เลยฉวยโอกาสตอนที่สี่คนนี้ออกมาเที่ยวเล่น จ้างคนไปจับตัวมา ท่านไม่ต้องห่วง ช่วยท่านทำให้ชายสี่คนนี้เชื่องเรียบร้อยแล้ว วรยุทธ์ก็ไม่เท่าไร ถ้าสั่งให้ไปทางตะวันออก ก็จะไม่ไปทางตะวันตกแน่นอน”


“ปีศาจเฒ่าที่เจ้าพูดถึงเป็นหญิงหรือชาย” สวีถังหรานสงสัย


หวงเสี้ยวเทียน “ถ้าเป็นหญิงจะนับว่ามีรสนิยมชายรักชายได้ยังไง ก็ต้องเป็นชายอยู่แล้ว”


สวีถังหรานตกตะลึง “ชายสี่คนนี้นอนกับผู้ชายเหรอ?”


หวงเสี้ยวเทียนตอบว่า “แน่นอน!แต่ท่านไม่ต้องห่วง ข้าช่วยตรวจสอบให้ท่านแล้ว คนยังเป็นปกติอยู่ เรื่องปรนนิบัติผู้หญิงนั้นไม่มีปัญหา”


“…” สวีถังหรานมีอาการคลื่นเหียนอยู่พักหนึ่ง แทบจะอาเจียนออกมา น่าเสียดายรูปลักษณ์ภายนอกอันงดงามของทั้งสี่คน อดทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว รีบโบกมือเก็บชายงามทั้งสี่เข้าในกระเป๋าสัตว์ แล้วหันตัวจากไปทันที “วันหลังค่อยติดต่อกันอีก”


“นายท่าน!” หวงเสี้ยวเทียนกลับไม่รีบ ดึงแขนเขาเอาไว้


สวีถังหรานหันกลับมาถาม “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”


หวงเสี้ยวเทียนหัวเราะแห้งๆ “คืออย่างนี้นะ ตอนนี้ท่านเทียบกับตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้แล้ว ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ท่านไม่สะดวกจะพากำลังพลเพ่นพ่านไปทั่ว ศักยภาพมีจำกัด แต่ตอนนี้ท่านไม่เหมือนเดิมแล้ว ในมือมีทหารชั้นดี ทั้งยังมีหน้าที่ปราบผู้ร้าย ไม่สู้เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ต่อไปถ้าข้าเจอเป้าหมายในการลงมือที่เหมาะสม ข้าจะแจ้งให้ท่านรู้ทันที จากนั้นท่านก็นำกำลังพลไปกำจัด ทรัพยากรจะต้องไม่น้อยแน่นอน ถ้าได้ถือโอกาสกำจัดพวกที่มันขัดขวางช่องทางทำเงินของพวกเราด้วย แบบนี้ดีมั้ย?”


ตุ้บ! สวีถังหรานใช้เท้าเตะน่องเขาหนึ่งที แล้วด่าว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ข้าเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง ทัพกลางคือศูนย์กลางในการพิทักษ์ปกป้อง ข้าจะดึงพวกเขาตัวไปทำเรื่องที่นั่นที่นี่ตามอำเภอใจได้ยังไง…” แต่ขณะที่พูดก็เอามือลูบหนวดสั้นที่คางตัวเอง “ตอนนี้ต่อให้มีภารกิจก็ไปไม่ได้ ตอนหลังคอยดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน…ข้าว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ตลาดมืดก็ยิ่งเอาใหญ่แล้วนะ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ทำอะไรก็ระวังตัวหน่อย อย่าสร้างปัญหาอะไร”


หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้ ต่อให้ข้าจะหาเงินมากกว่านี้ แต่ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตตัวเอง แต่จะว่าไปแล้ว ตำหนักสวรรค์มีอำนาจอิทธิพล มีใครบ้างที่ไม่ได้ทำธุรกิจที่ตลาดมืด การค้าขายที่ผิดกฎหมายดำเนินการที่นั่นได้สะดวก ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ทุกคนแค่รู้อยู่แก่ใจแต่ไม่พูดก็เท่านั้นเอง”


“ไปแล้ว!” สวีถังหรานไม่มีอารมณ์จะมาคุยเรื่องนี้กับเขา พูดทิ้งท้ายพลางผลักหินบนปากหลุมออก แล้วถลันตัวขึ้นไป จากไปแล้ว


เพื่อที่จะทดสอบประสิทธิภาพของยาว่าเป็นอย่างไร พอสวีถังหรานกลับมาถึงลานบ้านของตัวเองที่สำนักหกนิ้ว ก็หาข้ออ้างเรียกเสวี่ยหลงหลิงมาดื่มสุรา ดังนั้นผ่านไปไม่นานเสวี่ยหลงหลิงจึงเป็นฝ่ายเข้ามาสวมกอด หลังจากเริงรักเริงรมย์กันไปยกหนึ่ง ก็ทำทำให้เสวี่ยหลงหลิงอับอายแทบแย่ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะบ้าระห่ำขนาดนี้ สวีถังหรานหัวเราะเหมือนคนโง่ ประสิทธิภาพของยาไม่เลวเลย…


ตรงช่วงของแม่น้ำที่อยู่ไกลจากสำนักหกนิ้ว เมื่อเทียบกับทิวทัศน์บนพื้นดินบริเวณนั้นแล้วถือว่าไม่เลว ศิษย์สำนักหกนิ้วกำลังตัดต้นไม้ ขุดหินเจาะดิน สร้างตำหนักที่ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ที่จริงสำหรับสำนักหกนิ้วแล้ว การตัดต้นไม้ที่ดาวหกนิ้วถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายจริงๆ การจะปลูกต้นไม้ที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยทั่วไปจะไม่มาตัดต้นไม้ที่นี่ แต่ก็ไม่มีทางเลือก สวีถังหรานดึงดันจะแอบทำแบบนี้ ต้องการให้เสร็จงานภายในสามวันให้ได้


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไป๋หลันเจ้าสำนักสำนักหกนิ้วก็มาเชิญผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อด้วยตัวเอง บอกว่าร้านค้าที่ตลาดสวรรค์เริ่มขายประเดิมแล้ว จึงจะจัดงานเลี้ยงฉลองทางนี้สักหน่อย หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติมาร่วมงาน สถานที่จัดงานก็คือริมแม่น้ำตรงตำหนักที่สร้างใหม่ เหมียวอี้บอกว่ามีงานรัดตัว จึงให้รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไปแทน


ผู้บัญชาการใหญ่เอ่ยปากแล้ว รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจึงไว้หน้าอยู่บ้าง เดิมทีก็เตรียมจะไปร่วมงานเลี้ยงพอเป็นพิธี ทว่าหลังจากไปถึง…ผู้ชายชอบสาวงาม ผู้หญิงก็ชอบชายงาม ทั้งสองฝ่ายมีเพศที่สอดคล้องกัน จู่ๆ ก็มียอดชายงามสี่คนมาร้องเต้นให้ความบันเทิง จึงดึงดูดสายตาของทั้งสองมาก รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไม่ได้หันหน้ามาสบตากันด้วยความแค้นอีก เพราะความสนใจไปอยู่บนตัวชายงามทั้งสี่หมดแล้ว


อย่าว่าแต่พวกนางเลย ขนาดเจ้าสำนักไป๋หลันก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองชายงามสี่คนนั้นบ่อยๆ ไม่รู้ว่าสวีถังหรานหาชายงามขนาดนี้มาจากไหน


ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล กองไฟลุกโชน หลังจากงานเลี้ยงเลิก รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คืนนี้ไม่อยากกลับไปที่สำนักหกนิ้วอีก ค้างแรมอยู่ในตำหนักใหม่ริมแม่น้ำแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ติดตามของทั้งสองแปลกใจก็คือ รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองให้พวกเขาถอยออกไป ไม่ให้พวกเขาคอยคุมกันอยู่ข้างนอก ให้พวกเขากลับไปก่อนแล้ว


เปลวเพลิงกลางแจ้งยังไม่ดับ คนในงานก็แยกย้ายกันแล้ว แต่คืนนี้สวีถังหรานเหมือนจะมีอารมณ์ดื่มสุราเยอะ ไม่ยอมออกจากงานไปเสียที ให้คนของสำนักหกนิ้วแยกย้ายกันไปก่อน


นอกจากรองผู้บัญชาการสองคนของทัพกลางที่เฝ้าตำหนักจึงไม่ได้มา ผู้ช่วยผู้บัญชาการสิบเอ็ดคนของเขาก็อยู่กันครบ ในเมื่อนายท่านผู้บัญชาการยังไม่ไป ก็คงไม่ดีที่พวกเขาจะไปก่อน จึงทำได้เพียงนั่งล้อมวงพูดพล่ามดื่มสุรากันต่อไป คอยอยู่เป็นเพื่อน!


ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งเที่ยงคืน จู่ๆ สวีถังหรานก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่ง ก็โยนไหสุราแล้วยืนขึ้น ท่าทางที่เหมือนเมาสุราได้สติขึ้นมาในทันที กวาดสายตามองรอบวงพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มีธุระเรียกพบ ให้พวกเรากลับไปเดี๋ยวนี้”


พวกเขาย่อมวางของแล้วยืนขึ้น ขณะกำลังจะออกไป ใครจะคิดว่าสวีถังหรานจะเหลียวซ้ายแลขวา แล้วถามอีกว่า “รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองล่ะ?”


หนึ่งในนั้นชี้ไปที่ตำหนักใหม่บนไหล่เขาริมฝั่งแม่น้ำ “เมื่อครู่เหมือนบอกว่าจะค้างแรมอยู่ที่นี่ขอรับ”


“ผู้บัญชาการใหญ่ให้ทุกคนกลับไปเดี๋ยวนี้!” สวีถังหรานกวักมือ แล้วนำคนกลุ่มหนึ่งกลับไปรายงานตัว


ที่ด้านนอกตำหนัก จู่ๆ สวีถังหรานก็ยกมือหยุด คนอื่นๆ ที่กำลังสังเกตการณ์รอบข้างก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน รองผู้บัญชาการใหญ่พักอยู่ที่นี่ แต่ทำไมไม่มีทหารยามเฝ้าสักคน


“ท่าไม่ดีแล้ว!” สวีถังหรานสีหน้าเปลี่ยนทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาค้นพบอะไร เขารีบถลันตัวเข้าไปในตำหนัก ทุกคนตกใจกับคำพูดของเขาจนหยิบอาวุธออกมาโดยจิตใต้สำนึก


ปั้ง! ประตูของห้องห้องหนึ่งถูกสวีถังหรานเตะทีเดียวจนปลิวไปแล้ว


“อ๊า…” ในห้องมีเสียงร้องตกใจ


สวีถังหรานและคนอื่นๆ ที่บุดเข้ามาในห้องพากันตะลึงค้าง อินลี่จีกับเหวินซินที่เป็นสตรีเบิกตากว้าง ตามติดด้วยเสียง “เชอะ” แล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น


ภาพเหตุการณ์ในห้องหวานซึ้งเกินไป ชายงามสองคนที่เต้นและร้องเพลงก่อนหน้านี้กับชวีหย่าหงรองผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำกำลังโป๊เปลือยอยู่บนเตียง กำลังแสดงละครยอดเยี่ยมแนวหนึ่งหงส์สองมังกร เห็นได้ชัดว่าชวีหย่าหงลืมตัวเสียอาการมาก จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนบุกเข้ามาในเวลาแบบนี้ ทำให้นางตกใจแทบแย่ ร้องอุทานแล้วรีบหยิบผ้าแพรมาปิดบังเนื้อหนังสีขาวหมดจด แล้วมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการหวาดกลัวตกใจ


สวีถังหรานทำสีหน้าเก้อเขิน “พวกเราเห็นว่าที่นี่ไม่มีทหารยามเฝ้า ยังนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เอ่อคือ…พวกท่านเชิญต่อได้เลย! พวกเราไปกันเถอะ!” เขารีบโบกมือนำลูกน้องออกไป


นอกตำหนักริมแม่น้ำก็ไม่มีใครเฝ้าเช่นกัน สวีถังหรานโบกมือแล้สบอกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอก นี่ไม่ต่างอะไรกับการเห็นผี”


ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มนี้ก็รีบหนีออกมาจากตำหนักอีกแห่งเช่นกัน นึกไม่ถึงว่ามู่อวี่เหลียนจะกำลังเล่นบทหนึ่งหงส์สองมังกรอยู่อีกฝั่งเหมือนกัน


กลุ่มคนที่หนีมาอยู่ฝั่งนี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ทุกคนล้วนทำสีหน้าอัศจรรย์ใจมาก


สวีถังหรานส่ายหัวแล้วเงยหน้าถอนหายใจ “ข้าก็นึกว่าผู้ชายจะชอบสาวงาม นึกไม่ถึงว่าเวลาผู้หญิงเห็นชายงามแล้วจะมีนิสัยแบบนี้เหมือนกัน”


คำพูดนี้อินลี่จีทำให้ไม่พอใจแล้ว “นายท่าน ท่านอย่าให้ไม้พายด้ามเดียวทำทั้งเรือจม ผู้หญิงสองคนนั้นชื่อเสียงไม่ดี ทำเรื่องแบบนี้จนติดเป็นนิสัยโดยไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนอื่นจะเหมือนพวกนางสองคนนะ”


ผู้ช่วยผู้บัญชาการหยวนอันเล่อยกมือตบหน้าผาก แล้วพูดเหมือนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ได้ยินชื่อเสียงของผู้หญิงสองคนนี้มานานแล้ว รู้ว่าพวกนางไม่สำรวตัวเอง แต่นึกไม่ถึงว่าจะมั่วถึงขนาดนี้ แต่สองคนนั้นดันเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ธงพยัคฆ์ดำจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทำไมถึงให้คนแบบนี้มาอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำได้?”


คนกลุ่มนี้ส่ายหน้าทอดถอนใจ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว


สวีถังหรานทำสีหน้าเครียดขรึม พร้อมกล่าวว่า “อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้แพร่ออกไปข้างอนก พวกเจ้าสองคนแบ่งกลุ่มกันไปเชิญรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองอีกรอบหนึ่ง บอกว่าผู้บัญชาการใหญ่มีธุระเรียกหา เมื่อครู่นี้ลืมเอ่ยถึง แล้วก็…” และตั้งใจสั่งอีกเรื่องหนึ่งด้วย


ในห้องนอน มู่อวี่เหลียนที่ตะลึงค้างอยู่พักหนึ่งยังไม่เดินออกจากความฉุกละหุก ขณะกำลังลุกลี้ลุกลนใส่เสื้อผ้า นางก็หันกลับไป เห็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการห้าคนที่นำโดยหยวนอันเล่อ ถืออาวุธเข้ามาทางประตูที่พัง


“พวกเจ้าทำอะไร?” มู่อวี่เหลียนเอามือปิดหน้าอกที่ยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จพลางถอยหลังอย่างตกใจกลัว


คนที่มาไม่พูดอะไรสักคำ แสงสะท้อนคมกระบี่กะพริบวิบวับ “อา…” มีเสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ศีรษะของชายงามทั้งสองถูกฟันกระเด็นออกไป ร่างพิการสองร่างล้มลงพื้น


หยวนอันเล่อสะบัดรอยเลือดออกจากคมดาบ แล้วหันกลับมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ จ้องมู่อวี่เหลียนพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “นายท่านมู่ ล่วงเกินแล้ว นี่คือเจตนาของผู้บัญชาการสวี ผู้บัญชาการสวีไม่อยากให้เรื่องวันนี้แพร่ออกไปจนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของธงพยัคฆ์ดำ ใช่แล้ว ผู้บัญชาการสวียังให้พวกข้าน้อยมาแจ้งด้วยว่า ผู้บัญชาการใหญ่มีธุระเรียกพบ เชิญนายท่านมู่รีบจัดการตัวเองแล้วกลับไปเถิด” พูดจบก็หันตัวโบกมือ ถอยออกไปพร้อมกลุ่มลูกน้องแล้ว


การกระทำของลูกน้องแสดงออกว่าไม่เห็นรองผู้บัญชาการใหญ่คนนี้อยู่ในสายตาเลย เมื่อเรื่องแบบนี้ถูกเปิดโปง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเห็นนางอยู่ในสายตาเช่นกัน ถ้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าคนแรกที่จะไม่ปล่อยนางไปก็คือโป๋เยว และไม่ต้องกังวลด้วยว่ามู่อวี่เหลียนจะฆ่าปิดปาก คนเห็นตั้งเยอะขนาดนี้ ถ้าอยากจะปิดปากคนที่จำนวนเท่านี้ที่ธงพยัคฆ์ดำ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากฆ่าทิ้งทั้งธงพยัคฆ์ดำ


บทที่ 1368 ต้องรบกวนทั้งสองแล้ว

Ink Stone_Fantasy

มู่อวี่เหลียนมองศพสองร่างที่นอนอยู่บนพื้นอย่างตะลึงงัน นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ยังเริงรมย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้กันอยู่บนเตียง นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวจะกลายเป็นแบบนี้แล้ว


นางถึงขั้นสงสัยนิดหน่อยว่าวันนี้ตัวเองโดนวางกับดักแล้วรึเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงทำเรื่องเหลวไหลกับผู้ชายสองคนพร้อมกันได้ มีบางสิ่งบางอย่างที่หลอกคนอื่นได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้ ตั้งแต่ตอนที่เห็นชายงามทั้งสี่ขึ้นเวที นางก็รู้แล้วว่าตัวเองหัวใจเต้นแรงนิดหน่อย นั่นคือความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของนาง ไม่ได้มีปฏิกิริยาของการโดนกับดักอะไรทั้งนั้น จากนั้นในระหว่างที่ดื่มสุราในงานเลี้ยง เมื่อเห็นชายสี่คนนั้นรองเพลงและเต้นนางก็ยิ่งทนความรู้สึกไม่ไหว


นางสามารถตัดความเป็นไปได้ว่ามีคนเล่นตุกติกกับนาง เพราะนางไม่ใช่มือใหม่ไร้ประสบการณ์ ย่อมต้องระมัดระวังตัวอยู่แล้ว


ถ้าจะบอกว่านางติดกับดักจริงๆ เช่นนั้นอย่างมากก็ติดกับดักของชายงาม แต่ถ้าตัวเองไม่เต็มใจ แล้วจะติดกับดักได้อย่างไร นางไม่มีทางใช้เหตุผลนี้แก้ตัวกับภายนอกได้


ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลที่สุดก็คือ ถ้าให้โป๋เยวรู้เรื่องนี้ ให้รู้ว่านางทรยศเขา ผลที่ตามมาตอนหลังก็ยิ่งร้ายแรงจนไม่กล้าจินตนาการถึง


ชวีหย่าหงที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็มีความกลุ้มใจแบบเดียวกัน กำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจอยู่ในห้อง


แต่ชายงามทั้งสองกลับยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงขนาดไหน ทั้งยังเดินเปลือยกายเข้ามา มาโอบหน้าโอบหลังชวีหย่าหง เดี๋ยวก็จูบเดี๋ยวก็กอด เดี่ยวก็ลูบไล้เดี๋ยวก็อุ้ม ชวีหย่าหงที่ยังมีความพิศวาสอยู่บ้างรีบบิดตัวให้สองคนนั้นออกไป  ทว่าทั้งสองเกาะแกะไม่ยอมปล่อยนาง สุดท้ายก็ทำให้นางที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วโมโห ตะคอกว่า “ไสหัวไป!”


ชายทั้งสองเพิ่งจะถอยออกไปอย่างอ่อนปวกเปียก ชวีหย่าหงพลันหันหน้ากลับมา เห็นเพียงซ่างหย่วนถิงผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางและพรรคพวกบุกเข้ามาอีกแล้ว


“หยุดนะ…” ชวีหย่าหงยื่นมือร้องอุทาน แต่ห้ามไม่ได้ “อ้า!” ลงดาบสองครั้งจนเกิดเสียงกรีดร้อง ชายงามทั้งสองโดนฟันจนล้มลงพื้น


ขณะมองดูเลือดที่ไหลนองบนพื้น ชวีหย่าหงก็ตกตะลึงแล้ว จะว่าไปแล้วก็เหลวไหล แต่ความจริงก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้เริงรมย์กับชายสองคนนี้แล้ว ก็ทำให้นางเกิดความเสน่หากับพวกเขาอยู่บ้าง อยากจะชุบเลี้ยงชายสองคนนี้ไว้


ทว่าสวีถังหรานทำเรื่องแบบนี้ได้โหดเหี้ยมอำมหิตมาตลอด มีหรือที่จะทิ้งพยานอย่างชายงามทั้งสี่ไว้ คำสัญญาอันสวยหรูที่ให้ไว้กับทั้งสี่ ก็ให้พวกเขาไปทวงเอากับผีก็แล้วกัน


เดิมทีพวกซ่างหย่วนถิงก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ถึงอย่างไรเหตุการณ์ก็ฉุกละหุกจนบังเอิญเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ารองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะเล่นบท ‘หนึ่งหงส์สองมังกร’ ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เห็นชวีหย่าหงปวดใจเมื่อชายงามทั้งสองโดนประหาร ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะห้ามพวกเขา พบว่าผู้หญิงสองคนนี้ทำตัวสมกับชื่อเสียงที่ร่ำลือจริงๆ


เมื่อลองมองจากบางมุม ก็จะพบว่าเรื่องพวกนี้ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงเอามากๆ ถ้าหากเป็นผู้ชายทำเรื่องแบบนี้ ก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติมาก แต่พอผู้หญิงทำแบบนี้บ้าง จุดจบก็คือโดนทุกคนทอดทิ้ง


มาตามคำสั่งของของสวีถังหราน พวกซ่างหย่วนถิงขี้เกียจอยู่ต่อด้วย จึงหันตัวแล้วเดินไปเลย


“นายท่าน จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วขอรับ จับได้คาหนังคาเขา ตอนนี้รองแม่ทัพภาคโป๋ที่หนุนหลังพวกนางกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิตพวกนางแล้ว รับรองว่าจะทำให้พวกนางว่านอนสอนง่ายแน่นอน ไม่กล้าเรื่องเยอะเหมือนตอนอยูที่ธงพยัคฆ์ดินแน่”


เมื่อมาถึงจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ สวีถังหรานมาพบเหมียวอี้เพื่อรายงานข่าวลับ


เหมียวอี้ที่เดินช้าๆ อยู่ในลานบ้านกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “ข้าได้ยินว่าสองคนนั้นโดนเจ้าจับได้พร้อมกัน เจ้าไม่รู้สึกว่ามันบังเอิญไปหน่อยเหรอ?”


ไม่รู้เหมือนกันว่าใครแอบมาฟ้อง! สวีถังหรานพึมพำในใจ ทว่าเรื่องนี้เขาไปตรวจสอบไม่ได้ด้วยซ้ำ ทัพกลางมีคนแจ้งข่าวบอกผู้บัญชาการใหญ่ มันใช่เรื่องเหรอที่เขาจะไปสืบ? จึงตอบว่า “นายท่าน นั่นก็ต้องดูว่าบังเอิญสำหรับใคร ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ชื่อเสียงของผู้หญิงสองคนนี้ฉาวโฉ่ตั้งนานแล้ว มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ไม่เหมือนเรื่องอื่น เรื่องแบบนี้ทั้งสองน่าจะไม่กล้าป่าวประกาศ แล้วอีกอย่าง ถ้าแม้แต่พวกนางเองยังไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นปัญหา แล้วจะมีใครมาเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกนางเชียวหรือ?”


“พวกนางสองคนไม่ได้โง่ขนาดนั้นมั้ง ทั้งสองเกิดเรื่องพร้อมกัน จะมองเบาะแสไม่ออกสักนิดเลยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม


สวีถังหรานเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “พวกนางสองคนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอีกฝ่ายเหมือนกัน มิหนำซ้ำข้าน้อยก็เอาของดีนั่นมาจากตลาดมืดนิดหน่อย เล่นไม่ซื่อแล้วผีไม่รู้เทพไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลยที่สองคนนั้นจะสังเกตเห็น”


“มันคืออะไร ทำไมมั่นใจขนาดนี้?” เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจ


สวีถังหรานหันซ้ายหันขวาอย่างลับๆ ล่อๆ แล้วพลิกมือนำของสิ่งหนึ่งออกมา ใช้ฝ่ามือปิดบังสายตาของคนอื่น แล้วเปิดกล่องหยกดำที่มีขนาดเล็กและงามประณีตออก เผยให้เห็นของข้างในที่มีรัศมีสีอำพัน แล้วถ่ายทอดเสียงอธิบายให้ฟังถึงประโยชน์อันเยี่ยมยอดของมัน


แทบจะชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง แล้วหรี่ตามถามว่า “เจ้าเอาของมาจากไหน?”


“ให้หวงเสี้ยวเทียนหามาจากตลาดมืด ได้ยินว่าฆ่าสายลับของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์ แล้วค้นบนตัวเขามาได้ขอรับ” สวีถังหรานตอบ


เหมียวอี้เม้มปากแน่นในขณะที่แววตาวูบไหว นึกไม่ถึงว่าปริศนาคลุมเครือที่แก้ไม่ได้ก่อนหน้านี้จะถูกสวีถังหรานไขได้โดยบังเอิญแล้ว เขาโบกมือปิดกล่องในฝ่ามือสวีถังหราน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเก็บของสิ่งนี้ไว้ให้ดีนะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามนำออกมาใช้ ทางที่ดีหาที่ซ่อนไว้ดีกว่า อย่าเก็บไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นระวังหัวเจ้าจะร่วงลงพื้น! แล้วก็ทางหวงเสี้ยวเทียนด้วย บอกให้เขาปิดปากให้สนิท อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าในมือเจ้ามีของสิ่งนี้ ไม่อย่างนั้นก็ให้เขาระวังชีวิตของตัวเองไว้ให้ดี!”


สวีถังหรานตกใจกับน้ำเสียงดุดันของเขา ในใจอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหมียวอี้ค่อนข้างทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาเองก็รู้ว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสายลับของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าเสียหน่อย ถ้าสืบสาวมาถึงตัวพวกเรา ก็สามารถอธิบายอย่างซื่อสัตย์ได้เลยว่าซื้อมาจากตลาดมืด ของที่ใช้เงินซื้อมาแล้ว ใครจะไปรู้ว่าหามาจากไหน


ในใจคิดแบบนี้ แต่ภายนอกยังคงเอ่ยรับซ้ำๆ “ขอรับๆๆ จะไม่ให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”


เขายังไม่รู้เรื่องที่เฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไม่รู้เรื่องที่ราชันสวรรค์จงใจจะทดสอบเหมียวอี้ ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับราชันสวรรค์ เหมียวอี้ก็จะไม่เล่นใหญ่ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เรื่องเกี่ยวข้องกับราชันสวรรค์แล้ว ถ้าเปิดเผยว่าเขามองทะลุแผนการของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายได้ตั้งแต่แรก แบบนี้จะไม่เหมือนเป็นการปั่นหัวราชันสวรรค์ให้กลายเป็นคนโง่หรอกเหรอ ผลที่ตามมาร้ายแรงจนไม่อยากจะจินตนาการถึง


เหมียวอี้กลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นความสำคัญ จึงพูดเสริมอีกว่า “สวีถังหราน มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด ถ้าเปิดโปงขึ้นมา ทั้งข้าทั้งเจ้าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ กลับไปยืนยันกับหวงเสี้ยวเทียนอีกรอบ ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมนิดเดียว ก็อย่าเก็บไว้ให้เป็นปัญหาในภายหลัง!”


เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคนประหลาดอย่างสวีถังหรานจะหาของประเภทนี้มาได้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาจะไม่ให้สวีถังหรานให้มันกับผู้หญิงสองคนนั้น ถ้าโดนคนจับได้จะไม่แย่หรอกเหรอ? อำนาจทางทหารของธงพยัคฆ์ดำอยู่ในมือตัวเอง มีวิธีการที่จะสู้กับผู้หญิงสองคนนั้นอยู่แล้ว ยังไม่คุ้มที่จะเสี่ยงอันตรายมากขนาดนี้


ตอนนี้สวีถังหรานตกใจแล้วจริงๆ ฟังออกถึงความหมายในคำพูดของเหมียวอี้แล้ว ถ้าทางหวงเสี้ยวเทียนมีเค้าที่ส่อให้เห็นว่าไม่เหมาะสมก็ปิดปากได้เลย เขานึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะร้ายแรงถึงขนาดนี้


เรื่องเกิดขึ้นแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงช่วยสวีถังหรานแสดงละครต่อจนจบ


จากนั้นผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางสิบคนก็มาถึง เหมียวอี้กำชับทันทีว่า อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หลุดออกไปเด็ดขาด ใครกล้าทำลายชื่อเสียงของธงพยัคฆ์ดำก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!


หลังจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสิบถอยออกไปแล้ว มู่อวี่เหลียนก็มาถึงแล้วเช่นกัน บอกไม่ถูกเลยว่าสีหน้าดูแย่ขนาดไหน


สุดท้ายชวีหย่าหงที่มาถึงช้าก็ถูกสวีถังหรานที่เฝ้าอยู่นอกลานบ้านดักไว้ มีเรื่องเชิญไปคุยอีกด้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากให้ผู้หญิงทั้งสองรู้ว่าเกิดเรื่องเช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย


ดึกดื่นขนาดนี้แต่มีคนเข้าคนออก เฟยหงมีเจตนาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางยกน้ำชาเข้ามาในโถงหลักแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะตะคอกอย่างไม่ไว้หน้า “ออกไป!”


เฟยหงตะลึงงัน แล้วก็เม้มริมฝีปากถอยออกไป


แสงโคมไฟในโถงส่องสว่าง เมื่อเห็นมู่อวี่เหลียนที่อยู่ตรงหน้ามีสีหน้าเหมือนคนที่ปีนขึ้นมาจากกองคนตาย เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังแล้วเดินมาตรงหน้านาง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “รองผู้บัญชาการใหญ่มู่ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว แต่ข้าก็บอกทุกคนที่เกี่ยวข้องไว้อย่างเข้มงวดแล้วล่ะ นี่คือเรื่องส่วนตัวของเจ้า การรักใคร่ของชายหญิงเป็นเรื่องปกติมาก ถ้าใครกล้าปากมากก็จะลงโทษอย่างรุนแรง! เออใช่ มีอยู่จุดหนึ่งที่สวีถังหรานทำไม่เลว ฆ่าสี่คนนั้นทิ้งก็ไม่มีพยานแล้ว คนอื่นๆ มีแต่คำพูดปากเปล่าไร้น้ำหนัก ต่อไปถ้ามีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้เลย”


ปฏิเสธ? มู่อวี่เหลียนยิ่งคิดที่คับแค้น ถึงขั้นอยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตายแล้ว คนเห็นเยอะแยะขนาดนั้น จะปฏิเสธยังไงล่ะ? ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป โป๋เยวจะต้องเรียกคนที่อยู่ในเหตุการณ์มาตรวจสอบความจริงแน่ ถ้ามีแค่คนสองคนก็ยังกล้าบอกว่าไม่จริง แต่ทุกคนกล้าพูดจาหลอกลวงรองแม่ทัพภาคเหรอ?


นอกเสียจากคนพวกนี้จะไม่พูด ลูกน้องมากมายเห็นเรื่องฉาวโฉ่แบบนี้ของนาง ต่อไปนางคงแทรกแซงอะไรธงพยัคฆ์ดำไม่ได้แล้ว


หลังจากมู่อวี่เหลียนออกไป ชวีหย่าหงก็เข้ามาอีก เหมียวอี้ยังคงพูดเหมือนเดิม


“ถ้าผู้บัญชาการใหญ่อยากจะช่วยข้าจริงๆ งั้นก็ให้ข้าออกไปจากที่นี่อย่างมีเกียรติ ผู้บัญชาการใหญ่สามารถหาเหตุผลรายงานขึ้นไปเพื่อย้ายข้าออก ส่วนเรื่องอื่นข้าจะคิดหาทางเอง” ชวีหย่าหงที่ฟังเงียบๆ มาตลอด จู่ๆ ก็พูดประโยคแบบนี้ นางรู้ว่าต่อไปก็พูดจาอะไรที่มีนำหนักในธงพยัคฆ์ดำไม่ได้แล้ว ในภายหลังถ้าเจอหน้าพวกที่เห็นภากนั้นกับตาอีก นางจะเงยหน้าได้อย่างไร อยากจะหนีไปหาที่ใหม่


“ไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ถ้าตอนนี้ปล่อยให้เจ้าไป ข้าจะไม่ดูเป็นคนใจแคบหรอกเหรอ! เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ ต่อไปห้ามไม่ให้เจ้าพูดเรื่องออกไปจากที่นี่อีก ในภายหลังวันที่เจ้ากับข้าต้องทำงานร่วมกันยังอีกยาวไกล” เหมียวอี้โบกมือปฏิเสธเสียเลย ทำให้รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนนี้กลายเป็นหุ่นเชิดแล้ว เขาจะปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร ถ้าปล่อยไปแล้วเบื้องบนส่งคนมาอีกสองคน ก็จะคุยกันไม่ง่ายแบบนี้แล้ว


ชวีหย่าหงกัดริมฝีปาก นางรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ นางถึงขั้นสงสัยว่านี่คือกับดักที่เหมียวอี้วางไว้หรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็หาพยานมายืนยันไม่ได้ ตอนแรกนางก็ใจสั่นกับยอดชายงามสี่คนนั้นจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าตัวเองจะติดกับดักชายงาม แต่เหตุผลนี้ไม่มีทางพูดออกมาได้


วันต่อมา ผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพมาถึงแล้ว สวีถังหรานและพวกหยางชิ่งก็อยู่เช่นกัน ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ทำสีหน้าหยิ่งผยองทำเสียงกระซิบกระซาบเหมือนยามปกติอีก ดูเงียบงันอย่างเห็นได้ชัด


หลังจากผู้บัญชาการทั้งสิบทยอยกันมารายงานสถานการณ์แล้ว เหมียวอี้ก็เริ่มประกาศต่อหน้าทุกคน “จากวันนี้เป็นต้นไป รองผู้บัญชาการใหญ่ชวีหย่าหงรับผิดชอบธงอินทรีฟ้า ม่วง ขาว ทอง เขียวเงิน ส่วนรองผู้บัญชาการใหญ่มู่อวี่เหลียนรับผิดชอบธงอินทรีดิน ดำ แดง เขียว น้ำเงิน”


ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนสบตากันแวบหนึ่ง สำหรับการแบ่งความรับผิดชอบที่มาช้านี้ ทั้งสองกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ!”


เหมียวอี้บอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งด้วย หลังจากธงพยัคฆ์ดำจัดระเบียบกำลังพลใหม่แล้ว ข้ากังวลว่าในด้านการประสานงานกับบัญชาการจะมีอะไรไม่เหมาะสม บวกกับที่ข้ามาอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเป็นครั้งแรก ยังขาดประสบการณ์ ดังนั้นจึงอยากจะดึงกำลังพลออกมาปรับตัวสักหน่อย ไม่ทราบว่าทุกคนมีความคิดเห็นยังไง?”


หยางชิ่งขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเวรนี่คิดจะเล่นบ้าอะไรอีก


สวีถังหรานกลับอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย สงสัยว่าเขาคิดจะดึงคนไปก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์หรือไม่ จึงกุมหมัดบอกทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ธงพยัคฆ์ดำทำหน้าที่ประจำการที่นี่ ทั้งยังต้องเฝ้าเหมืองผลึกที่สำรวจเจอแล้วอีก ถ้ากำลังพลละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ทางนี้ ก็เกรงว่าเบื้องบนจะไม่เห็นด้วย”


“ไม่ต้องดึงคนไปทั้งหมด ดึงคนไปส่วนหนึ่งเพื่อปรับตัวสักหน่อยก็พอ” เหมียวอี้โบกมือ แล้วก็พูดกับสองคนที่ยืนอยู่ตำแหน่งหน้าสุดข้างล่างอย่างร่าเริงอีกว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจการดำเนินงานของกองมังกรดำสักเท่าไร รองผู้บัญชาการใหญ่ชวีกับรองผู้บัญชาการใหญ่มู่เป็นคนเก่าคนแก่ของกองมังกรดำ เรื่องขออนุญาติจากเบื้องบนก็ต้องรบกวนทั้งสองแล้ว”


บทที่ 1369 ปิดร้านหนีไปแล้ว

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินแบบนี้ สวีถังหรานก็แทบจะหัวเราะออกมา ผู้บัญชาการใหญ่ไม่เกรงใจเลยจริงๆ เมื่อคืนนี้เพิ่งจะเปิดโปงสัมพันธ์สวาทไป แต่วันนี้ก็เริ่มเรียกใช้ทำงานแล้ว ธงพยัคฆ์ดำในตอนนี้มีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง ก็คือเฝ้ารักษาการณ์ในอาณาเขตดาวผืนนี้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามละทิ้งหน้าที่โดยพลการ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปต่อให้ขออนุญาตแล้ว แต่คาดว่าเบื้องบนอาจจะไม่อนุญาต แต่ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับรองแม่ทัพภาคโป๋ แล้วรองแม่ทัพภาคโป๋ก็เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของธงพยัคฆ์ดำ ให้สองคนนี้ไปเอ่ยปากขออนุญาตนั้นดีที่สุดแล้ว


“รับทราบ!” ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนเอ่ยรับพร้อมกัน


หยางชิ่งชำเลืองมองอย่างแปลกใจอยู่บ้าง พบว่ารองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองตอบตกลงได้อย่างสบายใจเกินไปหรือเปล่า ในเรื่องแบบนี้อาจจะไม่ตอบตกลงก็ได้ ไม่ควรปรึกษาหารือกันสักหน่อยเหรอ?


ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียน แต่จากพฤติกรรมที่ผิดปกติของทั้งสองก็ทำให้สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล


หลังจากประชุมเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็มาหาเหมียวอี้ แล้วเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังเขาเรื่องนี้เช่นกัน เล่าเรื่องที่สวีถังหรานทำให้เขาฟังคร่าวๆ ทำให้หยางชิ่งพูดไม่ออก…


ดึงกำลังพลออกไปปรับตัวให้เข้ากันเหรอ? ไปปรับตัวที่ไหน? ตอนนี้เป็นเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่แบบตายตัว จะเพ่นพ่านออกไปทำไม?


พอโป๋เยวได้รับรายงานของธงพยัคฆ์ดำ ก็ปฏิเสธทันที บอกให้ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ ทว่าทั้งสองเกาะติดเขาแล้ว บอกประมาณว่าไม่ทำงานหลักล่าช้าเสียหาย แค่แบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งออกไปข้างนอกเท่านั้น ทั้งยังบอกอีกว่าทั้งสองเพิ่งจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและรับภารกิจต่อหน้าทุกคน รับประกันไว้แล้วว่าจะทำให้ได้ ถ้าทำไม่สำเร็จแล้วจะทนรับความรู้สึกได้อย่างไร


ทั้งสองเหาะแกะตามตื๊อจนทนไม่ไหว โป๋เยวทำได้เพียงไปแจ้งเนี่ยอู๋เซี่ยว ถึงแม้เขาจะควบคุมธงพยัคฆ์ดำ แต่เรื่องโยกย้ายกำลังพลก็ยังต้องแจ้งให้เนี่ยอู๋เซี่ยวทราบก่อน โดยทั่วไปถ้าไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่เนี่ยอู๋เซี่ยวก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง ถ้าเนี่ยอู๋เซี่ยวไม่อนุญาต โป๋เยวเองก็ไม่มีทางทำได้แล้ว


ทั้งสองเดินช้าๆ ลงจากบันไดหินบนยอดเขา เนี่ยอู๋เซี่ยวขมวดคิ้วถาม “ตอนนี้กำลังปฏิบัติหน้าที่ตายตัว ไม่ยอมเฝ้ารักษาการณ์ให้ดี จะเพ่นพ่านไปทั่วทำไม?”


โป๋เยวยิ้มพร้อมตอบว่า “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะรับงานต่อจากธงพยัคฆ์ดำ ผลลัพธ์หลังจากดันทุรังจัดเบียบกำลังพลใหม่เป้นอย่างไร หนิวโหย่วเต๋อเองก็ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นจึงอยากดึงกำลังพลออกไปสักหน่อย”


เนี่ยอู๋เซี่ยวลังเลเล็กน้อย แล้วถามว่า “เจ้าเป็นคนคุมธงพยัคฆ์ดำ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”


โป๋เยวตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าตราบใดที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อภารกิจที่ปฏิบัติอยู่ตอนนี้ การปรับตัวให้เข้ากันสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เคยอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาก่อน นำกำลังพลเดินทางไปกลับสักสองรอบก็จะได้มีข้อมูลในใจ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้น อาศัยพวกที่มีฝีมือแค่เฝ้าประตูตลาดสวรรค์พวกนั้น จะรับมือไหวได้ยังไง”


เนี่ยอู๋เซี่ยวได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าคำพูดนั้นมีเหตุผล “อันดับแรกคืออย่าให้ทำให้งานในมือล่าช้าเสียหาย แล้วก็ห้ามไปไกลเกินไป”


“ขอรับ!” โป๋เยวเอ่ยรับ ในใจรู้สึกโล่งแล้ง ในที่สุดก็ให้คำตอบกับสาวงามทั้งสองได้แล้ว


เมื่อจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวชมรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองอย่างดี บอกว่าหลังจากจบเรื่องจะตบรางวัลอย่างงาม พร้อมทั้งสั่งด้วยว่า ให้ดึงกำลังพลสองหมื่นจากธงอินทรีสิบกองทัพมารวมตัวกันด้วย


จะตบรางวัลอย่างงามหรือไม่ ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนไม่ได้คาดหวังแล้ว มีอยู่จุดหนึ่งที่ทั้งสองเข้าใจแล้ว ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับโป๋เยวแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ตนไปจัดการโป๋เยว


ทำไมพวกนางถึงรู้น่ะเหรอ? ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววเคียดแค้นเป็นศัตรู เหมือนเกลียดจนอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย


“รับทราบ!” ทั้งเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม


รอจนทั้งสองไปแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกสวีถังหรานมาอีก แล้วสั่งว่า “ติดต่อคนรู้จักที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ปล่อยข่าวลือบางอย่างไป บอกว่าข้าจะนำทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำไปล้างเลือกที่ตลาดสวรรค์!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออก หลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึง หยางชิ่งรีบกุมหมัดคารวะห้าม “นายท่าน ไม่ได้เด็ดขาด…”


เหมียวอี้ยกมือ แล้วห้ามไม่ให้เขาพูดต่อไป “บอกแล้วว่าเป็นข่าวลือ ข้ามีแผนอยู่แล้ว ไปทำตามก็พอ”


สวีถังหรานมองซ้ายมองขวา ทำได้เพียงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม


หยางชิ่งขมวดคิ้ว แล้วเหลือบมองเฟยหงที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้จึงตัดสินใจแบบนี้และพูดแบบนี้ต่อหน้าเฟยหง


ผ่านไปไม่นาน ในตอนบ่ายของวันนั้น กำลังพลสองกลุ่มที่ถูกดึงตัวมาก็ไปที่ดาวเทียนหยวนแล้ว เมื่อบวกกับกำลังพลของทัพกลาง รวบรวมกำลังพลได้สามหมื่นกว่าคน ออกจากดาวหกกนิ้วที่กกว้างใหญ่ไพศาลไป


สิ่งที่รวดเร็วเช่นเดียวกันก็คือ เริ่มมีข่าวลือเรื่องล้างเลือดตลาดสวรรค์ที่ตลาดสวรรค์ ราวกับโยนหินก้อนเดียวแล้วทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน ข่าวลือกระจายไปทั่วทั้งตลาดสวรรค์อย่างรวดเร็ว


ถ้าคนอื่นบอกว่าจะทำเรื่องนี้ พวกพ่อค้าที่ตลาดสวรรค์ก็คงไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้าทำ แต่ถ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะเจ้าตัวล้างเลือกไปสองรอบแล้ว ถ้าจะมีครั้งที่สามก็ไม่มีอะไรแปลก


สิ่งสำคัญที่ต้องสนใจตอนนี้ก็คือ ข่าวลือเป็นความจริงหรือโกหก หนิวโหย่วเต๋อระดมกำลังพลมาที่นี่แล้วจริงหรือเปล่า


“จะมีอีกครั้งแล้วเหรอ?”


หอกลิ่นสวรรค์ คนงานรีบร้อนวิ่งมาบอกข่าวที่ได้ยินมาจากข้างนอก ท่านแม่สวีได้ยินข่าวแล้วอุทานถาม


ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวได้ยินข่าวแล้วขมวดคิ้ว นางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน พลางพึมพำว่า “ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ เจ้าบ้านั่นคงไม่ทำจริงหรอกใช่มั้ย?”


ถึงแม้นางกับเหมียวอี้จะจะทะเลาะกันจนขัดแย้งกัน แต่ตอนที่ยังอยู่ใกล้กัน ตอนที่เหมียวอี้ยังอยู่ที่ตลาดสวรรค์ นางก็ยังพาหักห้ามใจได้ แต่พอแยกจากกัน ความคนึงหาก็ทรมานคนนิดหน่อย ในหัวนึกถึงแต่เรื่องที่เหมียวอี้ยอมโดนแม่เฒ่าลวี่เตะออกจากตลาดสวรรค์แทนที่จะยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ก็สะเทือนไปถึงจุดที่อ่อนที่สุดของหัวใจนาง แม้แต่แววตาก็เปลี่นยนเป็นอ่อนโยนขึ้น เมื่อคิดไปคิดมา ในที่สุดนางก็หยิบระฆังดาราออกมา เตรียมจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการติดต่อติดต่อเหมียวอี้


ทว่า ในขณะที่ติดต่อซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่สนใจข้อความของนางเลย จึงทำให้นางเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงอีกครั้ง


“ใครก็ได้!” หวงฝู่จวินโหรวผลักหน้าต่างตะโกนเรียก สั่งให้คนไปสังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวทางธงพยัคฆ์ดำทันที ดูว่าเหมียวอี้กำลังนำทัพใหญ่มาทางนี้จริงหรือไม่


ตอนที่ข่าวลือแพร่มานั้นบังเอิญมาก มู่หรงซิงหัวกำลังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง ครั้งก่อนฝูชิงนำเรื่องหาร้านค้ามาหยั่งเชิงนาง กระตุ้นให้นางรีบตัดสินใจเร็วๆ เป็นฝ่ายขอออกไปจากตลาดสวรรค์ ขอให้ฝูชิงช่วยเตรียมการให้


ข่าวลือมาถึงอย่างกะทันหัน ฝูชิงกับมู่หรงซิงหัวก็ตกใจมาก จำเป็นต้องหยุดคุยกันชั่วคราว


ฝูชิงหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้แล้ว : เจ้าห้า ได้ยินว่าเจ้าจะนำทัพใหญ่มาล้างเลือดที่นี่เหรอ


เหมียวอี้ : พี่รอง ข้ารู้จักบันยะบันยังอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องคิดว่า ไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก


ฝูชิง : งั้นเจ้าจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?


เหมียวอี้ : ตอนนี้ยังไม่ได้พิจารณาให้แน่ชัด ไปที่นั่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน


หลงัจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเสร็จแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ถามหยั่งเชิงว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ทางผู้บัญชาการใหญ่หนิวว่ายังไงบ้าง?”


ฝูชิงยิ้มเจื่อน “เขาบอกว่าเขายังไม่ได้พิจารณาชัดเจน”


มู่หรงซิงหัวพูดไม่ออกแล้ว


ฝ่าอินกับอวี้หนูเจียวออกจากตลาดสวรรค์ไปก่อนแล้ว อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่รีบแบ่งกันติดต่อเหมียวอี้ ถามเขาว่ามีเรื่องนี้จริงหรือเปล่า เหมียวอี้บอกทั้งสองว่าอย่าเชื่อข่าวลือนั้น ให้ทำการค้าของตัวเองอย่างสงบใจ


คนที่ติดต่อเหมียวอี้มีไม่น้อย ขนาดอวี่ซวีเจินเหรินที่ร้านขายของชำซื่อตรง เมื่อได้ยินข่าวก็ติดต่อเหมียวอี้เช่นกัน แต่ไม่สามารถหาข่าวที่แน่นอนจากปากเหมียวอี้ได้


ถ้าเป็นแค่ข่าวลือก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่นานก็มีคนพบว่าทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำกำลังเคลื่อนพลไปทางดาวเทียนหยวนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร พอข่าวนี้มารวมกับข่าวลือที่ตลาดสวรรค์ ก็ทำให้ฝั่งตลาดสวรรค์วุ่นวายเหมือนโดนระเบิดรัง


ร้านค้าทั่วไปไม่เป็นอะไร พวกเขาไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะไม่มีความแค้นอะไรกับเหมียวอี้ พวกที่กังวลก็คือพ่อค้าร้านของตระกูลผู้มีอำนาจที่มาสร้างความอับอายให้เหมียวอี้ตอนส่งเหมียวอี้ออกจากจากตลาดสวรรค์ครั้งก่อน ตอนนั้นเหมียวอี้พูดทิ้งท้ายเอาว่าจะกลับมาจัดการพวกเขา พอได้ยินข่าวว่าเหมียวอี้นำทัพใหญ่มาทางนี้แล้วจริงๆ ก็เรียกได้ว่าตกใจจนขวัญกระเจิง


เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่พ่อค้าจำนวนไม่น้อยทำก็คือติดต่อกับเจ้าของร้านของตัวเอง ขอคำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไร เจ้าของร้านตำหนิว่า คนยังไม่ทันมาก็ตกใจถึงขนาดนี้แล้ว มีอะไรน่ากลัวนักหนา บอกให้พวกเขาไม่ต้องกลัว คนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่กล้าทำเรื่องประเภทนี้


สำหรับผู้จัดการร้านค้าพวกนี้ นี่เป็นการพูดจาจากมุมมองของคนที่ไม่ได้อยู่สถานการณ์เดียวกัน เจ้าไม่ต้องโดนดาบอยู่ที่นี่ก็ย่อมไม่ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ข้าเป็นคนที่จะหัวหลุดอยู่ที่นี่ไง!


คนกลุ่มหนึ่งไปหาฝูชิง ขอร้องให้ฝูชิงต้านทานไว้ ในฐานะที่ฝูชิงเป็นตลาดสวรรค์ผู้บัญชาการใหญ่ มีหน้าที่คุ้มครองเมือง ย่อมต้องรับประกันความปลอดภัยอย่างเต็มที่


ทว่ารับประกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ข่าวที่ทางนี้ได้รับมาก็คือ เหมียวอี้ยังคงนำทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำมาที่นี่ ไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนทิศทางหรือว่าเลี้ยวกลับ


ดังนั้นจึงมีบางคนที่ไม่สนใจแล้ว ตัดสินใจว่าจะหลบคมอาวุธชั่วคราว ให้เหตุผลว่าจะหลีกเลี่ยงความเสียหาย เก็บสินค้าในร้าน ปิดร้าน ทุกคนหนีไปแล้ว รอให้แก้ไขเรื่องนี้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ในฐานะที่เป็นผู้จัดการร้าน ย่อมมีอำนาจในการตัดสินใจเลิกกิจการและปิดกิจการในระยะสั้นอยู่แล้ว


เมื่อมีร้านนี้เป็นแกนนำ ร้านค้าของผู้มีอำนาจทั้งตลาดสวรรค์ก็เอาเยี่ยงอย่าง ทำให้เกิดกระแสการปิดร้านเป็นวงกว้าง พากันปิดร้านหนีไปหมดแล้ว สิ่งที่ร้านค้าของผู้มีอำนาจผูกขาดก็คือรายการสินค้าที่นักพรตเน้นซื้อขายแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวัน แค่คิดก็รู้ถึงผลกระทบที่มีต่อตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแล้ว


ร้านค้าเล็กๆ พวกนั้นจึงร่าเริง ของที่ยามปกติไม่อนุญาตให้พวกเขาขาย ตอนนี้ถือโอกาสนำมาออกขายแล้ว


บนแท่นสังเกตการณ์ของตำหนักคุ้มเมือง เป็นจุดที่สูงที่สุดของทั้งเมือง ฝูชิงยืนพิงรั้วพลางทอดสายตามองตลาดสวรรค์ที่เกิดปรากฏการณ์วุ่นวายแล้ว เขากล่าวกับชิงเฟิงที่อยู่ข้างกายอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ขนาดข้ารับประกันแล้วนะว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไร  แต่พวกเขากลับหนีไปแล้ว”


“คุณชายห้าสะสมบารมีไว้ที่นี่เยอะมาก” ชิงเฟิงกล่าว


ข่าวที่ทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำไปที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนไม่ได้ครึกโครมแค่ที่ตลาดสวรรค์เท่านั้น แต่สั่นสะเทือนขุนนางทั้งราชสำนัก กำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายกำลังจะล้างเลือดตลาดสวรรค์เหรอ ล้อเล่นอะไรกัน?


เพราะเหมียวอี้ใช้วิธีการที่รวดเร็วดุดันควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ ทำให้ก่อนหน้านี้มีผู้มีอำนาจมากมายมองเหมียวอี้สูงขึ้นอีกระดับ ตอนนี้เห็นเหมียวอี้ใช้วิธีการนี้อีกแล้ว เพิ่งจะชื่นชมเขาไปเอง ตอนนี้เขาจะมาตบหน้าเจ้าอีกแล้ว เหมือนจะกระโจนเข้าใส่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์อย่างสุดแรงแล้ว


จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในห้องเล็กๆ ที่จัดแต่งอย่างงดงาม ผังก้วนเอามือไขว้หลังมองไปนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจ “เจ้าเรนี่โง่หรือฉลาดกันแน่ ก่อเรื่องแล้วก่อเรื่องอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือไง?”


เฉินหวยจิ่ว บ่าวชรากล่าวว่า “เกรงว่าผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักคงอยากจะเห็นข่าวทำเรื่องแบบนี้ใจจะขาดแล้ว ต่างก็อยากดูอะไรสนุกๆ เกรงว่าคงจะมีคนเริ่มครุ่นคิดแล้วว่าควรจะเขียนกล่าวโทษหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายยังไง”


เป็นอย่างที่ทั้งสองคุยกัน หลังจากผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักตกตะลึงแล้วก็ตกอยู่ในความเงียบสงบเหมือนเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปเลย สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสงบมักจะเป็นการมาเยือนของพายุฝน


ทว่าราชันสวรรค์ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอด เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นแล้ว มีหรือที่จะไม่รู้ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะดึงกองทัพองครักษ์ของเขามาเกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ แบบนี้ก็แย่น่ะสิ จึงสั่งให้ทูตตรวจการฝ่ายซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนกับผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาที่ตำหนักดาราจักรทันที


บทที่ 1370 กระแสที่ไม่ดีมาจากไหน

Ink Stone_Fantasy

ซือหม่าเวิ่นเทียนข่าวสารรวดเร็ว พอเกิดเรื่องขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าราชันสวรรค์จะพบเขา ตอนที่ถูกเรียกพบเขาก็อยู่ระหว่างทางแล้ว ไปถึงตำหนักดาราจักรก่อนก้าวหนึ่ง


“ฝ่าบาท!”


หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพแล้ว ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงถึงได้กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “เจ้าลูกลิงน้อยนั่นจะทำอะไรกันแน่ เขาต้องการจะล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงเหรอ?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาต้องการจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงหรือเปล่า แต่เขาระดมกำลังพลไปที่ดาวเทียนหยวนจริงๆ เพียงแต่ก่อนออกเดินทางเขาจงใจให้คนปล่อยข่าวลือที่ตลาดสวรรค์ จงใจกุข่าวว่าเขาจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์”


“ข่าวลือ?” ประมุขชิงงุนงงไปชั่วขณะ สีหน้าขุ่นเคืองจางลงทีละนิด รู้สึกได้ว่าเหมียวอี้มีจุดประสงค์อีกอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องจงใจปล่อยข่าวลือ “ข่าวลืออีกแล้วเหรอ? ครั้งก่อนก็ใช้ข่าวลือสั่นคลอนหัวใจทหาร ครั้งนี้ก็ปล่อยข่าวลือว่าจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์อีก เจ้าลูกลิงน้อยตัวนี้ชอบปล่อยข่าวสร้างเรื่องเป็นพิเศษ”


ซือหม่าเวิ่นเทียน “ข้าน้อยคิดว่าครั้งนี้เขาคงจะไม่ก่อเรื่อง เพียงอยากกู้หน้ากลับมาเฉยๆ” ประมุขชิงกำลังรอให้เขาพูดต่อ เขามองดูปฏิกิริยาของประมุขชิงแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ครั้งก่อนตอนที่เขาออกจากตลาดสวรรค์ กลุ่มพ่อค้าวิ่งไปเยาะเย้ยให้เขาอับอาย เขาจึงประกาศตรงนั้นเลย ว่าเดี๋ยวจะนำทัพใหญ่มาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ ตอนนั้นเขาทำให้พ่อค้าพวกนั้นตกใจมากจริงๆ แต่คาดว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะรู้ชัด ว่าการนำหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จะมีผลอะไรตามมา แต่ตอนแรกเขาพูดโอ้อวดไว้ขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นจึงต้องดึงกำลังพลไปที่นั่น ส่วนจุดประสงค์ของข่าวลือก็คือจะทำให้คนพวกนั้นตกใจหนีไป พอคนหายไปแล้ว เขาก็มีบันไดลงแล้ว เรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน”


“อืม! ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง” ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ คิดไปคิดมาก็น่าจะเป็นแบบนี้ เพราะเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่คนโง่ น่าจะรู้ว่าถ้านำกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์แล้ว ไม่ว่าใครก็ปกป้องเขาไม่ได้ทั้งนั้น จึงถามว่า “คนพวกนั้นถูกเขาทำให้ตกใจจนหนีไปแล้วจริงเหรอ? อย่าให้ถึงเวลาจริงแล้วลงจากหลังเสือไม่ได้นะ”


ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “ผู้จัดการร้านค้าของตระกูลขุนนางพวกนั้นกลัวหนิวโหย่วเต๋อราวกับเป็นเสือดุ พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนำทัพมาแล้ว ก็พากันตัวสั่นเป็นแถบๆ ตกใจหนีกันไปหมดแล้วขอรับ ไม่มีใครกล้าเดิมพันว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังขู่พวกเขาหรือเปล่า หลบหลีกคมอาวุธก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทุกคนปิดร้านหนีไปแล้ว”


“ฮึ! ช่างน่าเกรงขามเสียจริง” ประมุขชิงแสยะยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดนี้เป็นคำชมเชยหรือว่าลดขั้น ถามอีกว่า “ทางหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนั่นยังไงกันแน่ ทำไมถึงปล่อยให้เขาโยกย้ายกำลังพลเพ่นพ่านไปทั่ว แม้แต่วินัยทหารก็ไม่มีสักนิดเลยเหรอ?”


“ฝ่าบาท ตอนแรกเพื่อที่จะดำเนินการเรื่องนี้ได้สะดวก ก็เลยเลือกที่ใกล้ๆ หน่อย ตอนนี้ธงพยัคฆ์ดำที่หนิวโหย่วเต๋อควบคุมอยู่ห่างจากตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนไม่ไกลแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการเช่นกัน เขาขอคำสั่งจากเบื้องบนแล้วขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ


“ผู้บังคับบัญชาคนไหนที่เลอะเลือนอนุญาตให้เขาเคลื่อนย้ายกำลังพลมาทำเรื่องแบบนี้?” ประมุขชิงถาม


คำถามนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ตอบได้ยากเหมือนกัน สายลับที่แทรกไปไว้ข้างกายก็ใช่ว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทุกเรื่องได้ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงอยากจะดูละครลิง เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่มีทางให้สายลับคนนั้นไปเข้าร่วมเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเข้าไปยุ่งทุกอย่างก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย ที่เขาแทรกสายลับคนนั้นไปไว้ข้างกายเหมียวอี้ ก็เพื่อจะยืนยันให้แน่ใจว่าเหมียวอี้มีปัญหาหรือจุดที่น่าสงสัยหรือไม่ ถ้าพบว่าไม่น่าไว้ใจก็จะได้แจ้งประมุขชิงได้ทันเวลา จะได้หลีกเลี่ยงให้ไม่ต้องใช้งานคนที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่ตกอับไปเป็นอนุภรรยาที่เอาแต่ร่วมวงเรื่องทางทหารเพื่อสืบข่าวเล็กน้อยแค่นี้ แบบนั้นเหมาะสมเหรอ? ต่อให้เป็นฮูหยินเอกก็ไม่เหมาะจะทำแบบนี้เช่นกัน


ดังนั้นเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ใช้ข้ออ้างอะไรโน้มน้าวกองมังกรดำเพื่อให้ระดมพลไปทำเรื่องนี้


แต่ที่โชคดีก็คือ คนที่จะตอบคำถามเขาได้มาถึงแล้ว ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำเดินเข้ามาในตำหนักดาราจักร เขามีรูปร่างผอมและค่อนข้างเตี้ย ผมและหนวดเครายาวดำขลับดุจน้ำหมึก เดินก้าวยาวเข้ามา สายตาเฉียบแหลม แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลัง เขาคือโพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนั่นเอง


“ฝ่าบาท!” โพ่จวินยืนทำความเคารพ แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ให้ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็พยักหน้าเช่นกัน นับว่าทักทายกันแล้ว


“เวิ่นเทียน เจ้าบอกเรื่องของหนิวโหย่วเต๋อให้เขารู้รึยัง” ประมุขชิงถาม


ซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังจะเอ่ยตอบ แต่โพ่จวินยกมือห้าม แล้วเหล่ตามพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้หมดแล้ว”


“ทำไมหนิวโหย่วเต๋อนั่นถึงโน้มน้าวขอผู้บังคับบัญชาเพื่อเคลื่อนย้ายกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปทำเรื่องแบบนั้นได้?” ประมุขชิงถาม


โพ่จวินตอบว่า “ตามสถานการณ์ที่กำลังพลเบื้องล่างรายงานมา หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้บอกว่าจะพาคนไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ บอกเพียงว่าเพิ่งได้ควบคุมธงพยัคฆ์ดำเป็นครั้งแรก มีปัญหาเรื่องทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการภารกิจหน้าที่ จึงนำคนจำนวนหนึ่งออกไปเพื่อปรับตัวให้เข้ากันสักหน่อย เป็นคำขอที่สมเหตุสมผล ข้าน้อยไม่คิดว่ามีจุดไหนที่เบื้องล่างทำผิด”


ประมุขชิงพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่เขาอธิบาย ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบพูดต่อว่า “โพ่จวิน เจ้าไม่รู้สึกเหรอว่าขุนนางใหญ่กลุ่มนั้นเงียบสงบเกินไป? ไปหยุดหนิวโหย่วเต๋อให้ทันเวลาเถอะ อย่าให้คนที่คิดไม่ซื่อฉวยโอกาสใช้ประโยชน์”


โพ่จวินกล่าวอย่างกระฉับกระเฉงว่า “พวกขุนนางใหญ่เงียบสงบแล้วเกี่ยวอะไรกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายของข้าล่ะ? กำลังพลเบื้องล่างไม่ได้รายงานขึ้นมาเสียหน่อยว่าจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ แค่นำคนออกไปฝึกนิดหน่อยเอง ที่จริงหนิวโหย่วเต๋อก็อาจจะไม่ล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ได้ ผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งทางทหารถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีความผิดพลาดใดๆ ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรทั้งนั้น หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะเปลี่ยนคำสั่งถอยกลับไปเราะโดนพวกขุนนางใหญ่ขู่ให้ตกใจได้อย่างไร?”


“ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม


โพ่จวินเหล่ตาตอบว่า “งั้นก็รอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน ยังไม่ทันเกิดเรื่องอะไรเลย จำเป็นต้องตกใจจนทนไม่ไหวแบบนี้เชียวเหรอ?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนถลึงตาจ้องเขาอย่างพูดไม่ออก คำพูดต่อว่าแบบนี้เหมือนจะไม่ได้ว่าเขาแค่คนเดียว


ประมุขชิงเอามือลูบเคราพลางเงยหน้ามองข้างบน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกำลังนับดาวในตำหนักดาราจักร


คนที่สามารถทำให้ประมุขชิงมอบอำนาจบัญชาการหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายให้ ย่อมต้องเป็นลูกน้องคนสนิทที่อยู่เหนือลูกน้องคนสนิทอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยระดับความจงรักภักดี เพียงแต่บางครั้งก็พูดจาตรงเกินไปหน่อย ทำให้คนหาทางลงได้ยาก


ในตอนนี้ดันมีคนถ่อมาหาเรื่องตัว ด้านนอกมีคนมารายงาน ว่าราชินีสวรรค์มาแล้ว ประมุขชิงบอกให้เชิญนางเข้ามา


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินลากกระโปรงยาวเข้ามา ซือหม่าเวิ่นเทียนกับโพ่จวินแบ่งไปยืนอยู่ทางซ้ายและขวา แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน


หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่รับการทำความเคารพแล้ว ก็เริ่มบ่นว่า “ฝ่าบาท มีคนจะนำกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์แล้ว กำลังจะเกิดเรื่องแล้วเพคะ”


ประมุขชิงเหล่ตามองลูกน้องบางคนที่อยู่เบื้องล่าง เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ เขายังไม่ทันจะเอ่ยปาก ผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินแห่งหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ตอบแทนแล้วว่า “พระนาง ไม่ทราบว่าท่านหมายถึงใครในหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขอรับ? หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมีคนต้องการจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ แต่ทำไมข้าน้อยถึงไม่รู้?”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวเล็กน้อย แล้วกล่าวดว้ยสีหน้าจริงจังว่า  “ก็หนิวโหย่วเต๋อที่เพิ่งย้ายไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายของพวกเจ้าไง”


โพ่จวินตอบว่า “ทำไมขนาดข้าน้อยยังไม่รู้เลย พระนางรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะนำกำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์? เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่บอกท่านเอง หรือว่าเขาทำเรื่องนี้ไปแล้ว? หวังว่าพระนางจะไม่นำข่าวซุบซิบที่ได้ยินมายัดความผิดให้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนะขอรับ”


“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ค่อนข้างพูดไม่ออก นางได้ข่าวจากตลาดสวรรค์ตั้งนานแล้ว เลยตั้งใจรอให้สองคนนี้มาพร้อมกัน นางถึงได้ถ่อมาขอพบฝ่าบาท ที่จริงโพ่จวินก็พูดไว้ไม่ผิด นี่เป็นข่าวที่นางได้ยินมาจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่เกิดเรื่องขึ้น หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง นางก็บอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะนำกำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปถึงดาวเทียนหยวนแล้ว”


โพ่จวินก้มหน้าเหลือบตาลง พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “พระนางตั้งใจทำงานที่อยู่ในมือตัวเองให้ดีเถอะขอรับ เรื่องของฝั่งข้าน้อย ไม่จำเป็นต้องให้พระนางมาสนใจ”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าเดือดดาลเล็กน้อย “โพ่จวิน เจ้า…”


“พอแล้ว นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาทะเลาะกัน” ประมุขชิงพูดตัดบทได้ทันเวลา ไม่ให้นางได้พูดต่อ ไม่อย่างนั้นรออีกประเดี๋ยวถ้าโพ่จวินหยิบยกความผิดต่างๆ มาตำหนิเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ มาเสนอให้ปลดฐานันดรศักดิ์อีก นางจะต้องโมโหจนจะเป็นจะตายแน่ และตอนหลังถ้าท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยโห้วมาสู้ตายกับโพ่จวิน แล้วโดนโพ่จวินโจมตีจนสาหัส แล้วตัวเองก็ต้องมาปลอบใจ ทั้งยังต้องรับมือกับนางที่ร้องห่มร้องไห้ แบบนั้นยุ่งยากมั้ยล่ะ จำเป็นด้วยเหรอ…


โพ่จวินไม่แยแสเรื่องที่เหมียวอี้จะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ แต่หลังจากกองมังกรดำได้ข่าวแล้วกลับตกใจมาก เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนติดต่อมาถามฝั่งกองมังกรดำ อวี่จ้งเจินผู้ตรวจการของทัพเป่ยโต้วเป็นคนแรกที่ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่


ขออนุญาตระดมพลออกจาไปปรับตัวให้เข้ากันสักหน่อย เจ้ามีวิธีปรับตัวให้เข้ากันแบบนี้เหรอ ต้องนำกำลังพลไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ ล้อเล่นอะไรกัน?


เนี่ยอู๋เซี่ยวโมโหนิดหน่อย ติดต่อกับเหมียวอี้ด้วยตัวเองแล้ว ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร?


เหมียวอี้แสร้งทำเป็นโง่เลอะเลือน บอกว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย แค่นำกำลังพลไปซื้อของบางอย่างที่ตลาดสวรรค์เท่านั้น แต่ซื้อของจะกลายเป็นล้างเลือดตลาดสวรรค์ได้อย่างไร


เนี่ยอู๋เซี่ยว : หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาให้ดีนะ ถ้าอยู่ดีๆ กำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปโจมตีตลาดสวรรค์โดยไม่มีเหตุผล ระวังเจ้าจะรักษาหัวตัวเองเอาไว้ไม่ได้


เหมียวอี้ : ท่านแม่ทัพภาค จะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีเรื่องแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เวรที่ไหนมันวางกับดักข้า เรื่องแบบนี้ต่อให้ข้าออกคำสั่ง แต่ก็ต้องอาศัยให้ลูกน้องเชื่อฟังด้วยนะ!


เนี่ยอู๋เซี่ยวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ แต่เพื่อให้มั่นใจและเชื่อถือได้ เขาสั่งให้โป๋เยวแอบสืบให้รู้เบื้องหลัง พอสืบแล้ว ก็พบว่ากำลังพลที่ออกเดินทางพร้อมหนิวโหย่วเต๋อ ไม่มีใครที่ได้ยินเรื่องล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์มาก่อนเลย…และแน่นอน เรื่องนี้กำลังพลเบื้องล่างก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน นอกจากคนข้างกายเหมียวอี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น


เนี่ยอู๋เซี่ยวแปลกใจทันที ไปเอากระแสไม่ดีจากไหนมาสร้างข่าวลือนี้?


เมื่อนึกถึงความแค้นที่หนิวโหย่วเต๋อเคยมีกับตลาดสวรรค์ คิดไปคิดมาก็ยังทำให้โป๋เยวแอบออกคำสั่งกับคนที่อยู่ในกลุ่มผู้ติดตามเหมียวอี้แล้ว ว่าถ้าเหมียวอี้ออกคำสั่งล้างเลือดตลาดสวรรค์ ก็ให้เอาคำสั่งที่เบื้องบนใช้กับธงพยัคฆ์ดำออกมาห้ามการกระทำที่บุ่มบ่ามของเหมียวอี้ไว้ทันที


มู่อวี่เหลียนนำกำลังพลส่วนน้อยเฝ้าอยู่ที่ดาวหกกนิ้ว ส่วนชวีหย่าหงติดตามไป โป๋เยวส่งคำสั่งลับนี้ให้ชวีหย่าหง ทว่าโป๋เยวไม่รู้ว่าชู้รักทั้งสองคนโดนคนอื่นจัดการไปแล้ว ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าชวีหย่าหงจะมีความกล้ากระโดดออกมาห้ามเหมียวอี้หรือไม่


ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่กำลังพลมาถึงนอกเมืองของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน พอเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกชวีหย่าหงที่อยู่ข้างๆ ว่า “ทางกองมังกรดำได้บอกให้เจ้าประกาศคำสั่งลับในเวลาสำคัญหรือเปล่า?”


ชวีหย่าหงทำสีหน้าไม่ถูก แอบถ่ายทอดเสียงเรื่องคำสั่งลับของโป๋เยวให้ฟังทันที


“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ไม่ได้หัวเราะโป๋เยวกับชวีหย่าหง เขาเดินก้าวยาวออกมาจากกลุ่มคน ตรงหน้าเห็นฝูชิงนำคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากเมืองมาต้อนรับ


ฝูชิงกวาดสายตามองกำลังพลหลายหมื่น บนใบหน้ามีรอยยิ้มขื่นขม พูดในใจว่า เจ้าบอกว่าไม่ใช่แล้วใครจะเชื่อล่ะ!


ทหารยามที่อยู่ตรงประตูรวมทั้งบนกำแพงเมืองเห็นทัพใหญ่ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านนอก พบว่าในจำนวนนั้นยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่สวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วง ไม่ใช่หนึ่งคนแต่เป็นหนึ่งกลุ่ม ทุกคนแอบเดาะลิ้น โชคดีที่พ่อค้าพวกนั้นปิดร้านหนีไปเร็ว ไม่อย่างนั้นอดีตผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ท่านนี้ก็ไม่ใช่คนมีเมตตาปราณี ตอนแรกประกาศต่อหน้าทุกคนไว้แล้วว่าจะนำกำลังพลมาคิดบัญชี


บทที่ 1371 เฝ้าไว้

Ink Stone_Fantasy

“ผู้บัญชาการใหญ่” ฝูชิงกุมหมัดคารวะก่อน


“ผู้บัญชาการใหญ่ฝู” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะตอบ


ในสายตาของฝูงชน อดีตเจ้านายกับลูกน้องที่เพิ่งแยกจากกันไปไม่นานมาเจอหน้ากันอีกแล้วทักทายกันอย่างร่าเริง


มีพ่อค้าไม่น้อยที่อยู่ในเมืองอยากจะเห็นภาพเหตุการณ์ข้างนอก แต่ช่วยไม่ได้ที่กำแพงสูงบังไว้ ประตูเมืองก็ถูกปิดสนิทเช่นกัน


ที่ด้านนอกเมือง กลุ่มลูกน้องเก่า กลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตรของเหมียวอี้ก็ทยอยกันเข้ามาทักทายเช่นกัน สวีถังหรานกับพวกหยางชิ่งก้าวขึ้นมาทักทายฝูชิง


หลังจากทั้งสองฝ่ายกล่าวทักทายปราศัยกันเสร็จแล้ว ฝูชิงก็เดินมาข้างกายเหมียวอี้อีก ถ่ายทอดเสียงถามว่า  “เจ้าห้า เจ้าพาคนมาเยอะขนาดนี้ คงไม่ได้คิดจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงๆ หรอกใช่มั้ย?”


หลังจากทั้งสองอยู่ในตำแหน่งระดับเดียวกัน คำเรียกก็กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนโดยไม่รู้ตัว


“มาคิดบัญชีกับคนพวกนั้นจริงๆ เพียงแต่ไม่พังตลาดของท่านหรอก” เหมียวอี้ตอบ


ดวงตาฝูชิงฉายแววสงสัย ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร คิดบัญชีแต่ไม่พังตลาด แล้วยังจะเรียกว่าคิดบัญชีอยู่อีกเหรอ? จึงเตือนว่า  “คนที่เจ้าอยากจะคิดบัญชีด้วยหนีไปหมดแล้ว”


“ถึงอย่างไรพระก็หนีวัดไม่พ้นหรอก” เหมียวอี้แสยะยิ้ม


ฝูชิงมองเขาพลางถอนหายใจ ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน จึงหันไปมองกำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ด้านหลัง แล้วถามว่า “พาคนมาด้วยเยอะขนาดนี้ นี่เจ้าคิดจะเหมาะโรงเตี๊ยมของทั้งตลาดสวรรค์เหรอ?”


“โรงเตี๊ยมน่ะไม่ต้องหรอก ตั้งค่ายชั่วคราวอยู่ข้างนอกก็พอ” เหมียวอี้ตอบ


ฝูชิงจึงถามว่า “เจ้าเตรียมจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน? ข้าสั่งให้คนเก็บกวาดเรือนพักหลังหนึ่งที่ตำหนักคุ้มเมืองให้เจ้าแล้ว”


เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ไปตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ถึงยังไงตอนนี้ข้าก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ไม่สะดวกจะเข้าใกล้กำลังพลของอำนาจฝ่ายอื่นเกินไป ตั้งค่ายชั่วคราวกับลูกน้องตัวเองข้างนอกก็พอแล้ว” พูดจบก็หันกลับไปเรียกสวีถังหราน แล้วออกคำสั่งให้ตั้งค่ายชั่วคราวนอกเมือง


พอออกคำสั่งแล้ว กำลังพลก็เคลื่อนไหวรอบทิศ มีคนไม่น้อยรีบเหาะไปตัดไม้ในป่าใกล้ๆ


ใช้เวลาไม่ถึงครั้งชั่วยาม สถานที่ตั้งค่ายบริเวณกว้างก็ล้อมไว้เรียบร้อยแล้ว นอกประตูเมืองเหนือใต้ออกตกล้วนถูกล้อมไว้บริเวณหนึ่ง นอกจากกำลังพลทัพกลางของเหมียวอี้ที่อยู่นอกประตูเมืองตะวันออก กำลังพลสองหมื่นที่เหลือก็แบ่งกันอยู่นอกประตูเมืองเหนือ ใต้และตะวันตกอีกสามแห่ง


ไม้ที่ถูกตัดก็ทยอยกันขนย้ายกลับมาเช่นกัน เริ่มจากลงเสา ล้อมรั้วกั้น มัดเชือกดึงกระโจม นอกประตูของทั้งสี่เขตเมืองล้วนกำลังงานยุ่ง


ฝูชิงติดตามเหมียวอี้เดินดูรอบเมือง รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง พบว่าการทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการล้อมประตูเมืองทั้งสี่เอาไว้


“นี่เจ้าจะช่วยเฝ้าประตูเมืองให้ตลาดสวรรค์ใช่มั้ย?” หลังจากกลับมาถึงประตูเมืองตะวันออก ฝูชิงก็พูดล้อเล่นแต่ไม่เหมือนล้อเล่น


“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอน” เหมียวอี้พูดปลอบใจ


ฝูชิงรู้สึกอับจนปัญญา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ลูกน้องเก่าบางส่วนต้องการจะแสดงน้ำใจ จัดงานเลี้ยงไว้ให้ในเมือง”


เหมียวอี้มองดูสถานที่ตรงนั้นที่กำลังงานยุ่ง แล้วบอกว่า “ท่านกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไปหาท่าน”


ฝูชิงพยักหน้าแล้วพาคนกลับไปก่อน มู่หรงซิงหัวยังไม่ไป เป็นฝ่ายขอรับผิดชอบหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนเหมียวอี้ตรงนั้น


หลังจารอพวกฝูชิงเข้าเมืองไปแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปที่ไหล่เขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง แล้วถามว่า  “ได้ยินว่าเจ้ากำลังจะออกไปจากตลาดสวรรค์แล้วเหรอ?”


มู่หรงซิงหัวเดินช้าๆ มายืนอยู่ข้างกายเขา ขณะมองดูคูเมืองขนาดใหญ่ตรงหน้า สายตาก็ดูเหม่อลอย ตอบอย่างรู้สึกปลงว่า  “ตั้งแต่ก้าวเข้าแดนฝึกตนมา เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตข้าก็ใช้อยู่ที่นี่ ตอนนี้กำลังจะไปแล้ว ยังอาลัยอาวรณ์นิดหน่อย”


เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ใช้เวลาอยู่ที่ตลาดสวรรค์นานที่สุดแล้ว จึงถามว่า “เตรียมจะไปที่ไหน?”


มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนแรกก็คงไปกับเจ้าแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนั้นเฉาว่านเสียงไม่เห็นด้วย ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกว่าให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปจะไม่เหมาะแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนแข็งทื่อเกินไป ตอนนี้ข้าทำได้เพียงกลับไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉาว่านเสียง รอให้ปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนดีกัน ข้าก็อาจจะกลับไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวได้”


เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา “ทางปี้เยว่ข้ายังพอคุยให้ได้นิดหน่อย ถ้าอยู่ฝั่งนี้ไม่ไหว จะให้ข้าหาสักตำแหน่งให้เจ้าที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นมั้ยล่ะ”


มู่หรงซิงหัวยกมือขึ้นทัดผมข้างหู แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ช่างเถอะ ไปอยู่ข้างกายเฉาว่านเสียงแล้วกัน ถ้าแยกจากกันนานๆ เกรงว่าจะกลายเป็นฮูหยินเถาฮวาคนที่สอง ที่ปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนทะเลาะกันแบบนี้ ก็คงจะเป็นเพราะแยกกันนานเกินไปเหมือนกัน”


เหมียวอี้ไม่บังคับ เพียงยิ้มให้เฉยๆ ไม่พูดอะไรมากแล้วเช่นกัน


กำลังพลหลายหมื่นลงมือทำงานพร้อมกัน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ค่ายทหารที่เกิดจากกระโจมทอดยาวเหยียดก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว


ในม่านของทัพกลาง ประตูม่านสองฝั่งม้วนขึ้นสูง กว้างใหญ่สะอาดเรียบร้อย ข้างนอกข้างในแบ่งเป็นสองห้อง ค่อนข้างมีสง่าราศี


หลังจากเข้ามาข้างในแล้วเดินวนได้สองรอบ ด้วยการนำทางของมู่หรงซิงหัว เหมียวอี้นำลุกน้องไม่กี่คนตามนางไปร่วมงานเลี้ยงในเมือง พอเข้ามาในเมือง ก็ ‘บังเอิญ’ เห็นอวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่อยู่ในร้านค้าริมถนน เจอกันแต่ไปทักทายกันไม่ได้


วันนี้จัดงานเลี้ยงในตำหนักคุ้มเมือง กลุ่มลูกน้องเก่าที่ตลาดสวรรค์คอยอยู่เป็นเพื่อน การร้องเพลงเต้นระบำเสริมความบันเทิงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้


พอกลับมาถึงค่ายทัพกลางที่อยู่นอกเมือง เหมียวอี้ก็เดินเข้าไปในผ่านม่านที่ปิดอยู่อย่างอดใจรอไม่ไหว ก่อนหน้านี้บอกใบ้ให้หยางชิ่งส่งตัวอวิ๋นจือชิวมาแล้ว


แต่ใครจะคาดคิด หลังจากเปิดม่านดูแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปชั่วขณะ เห็นเพียงสาวสวยรูปร่างสูงสง่ากำลังนั่งนั่งยองๆต้มน้ำชาอยู่ข้างใน อากัปกิริยางามสง่า ไม่ใช่ใครที่หน เป็นจีเหม่ยลี่นั่นเอง


เหมียวอี้ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างโต๊ะ ทั้งสองสบตากันอย่างพูดไม่ออก แล้วจีเหม่ยลี่ก้มหน้าต้มน้ำชาของตัวเองต่อไป


หลังจากต้มน้ำชาเสร็จ จีเหม่ยลี่ก็รินน้ำชาเต็มถ้วยและผลักไปตรงหน้าเขา “พรุ่งนี้ข้าก็จะไปแล้ว ฮูหยินให้ข้ามาที่นี่ ให้ถามท่านว่ามีอะไรจะสั่งข้าหรือเปล่า”


เหมียวอี้ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจ่อปาก แล้วบอกว่า “ติดต่อกันเหมือนเดิม เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย ถ้ามีเวลาข้าจะไปหาเจ้า”


“อื้ม!” จีเหม่ยลี่พยักหน้า แล้วยกถ้วนน้ำชาขึ้นมาเป่าเบาๆ


ทั้งสองคุยกันแบบถามคำตอบคำ เหมียวอี้เองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับนางดี ที่จริงก็รู้ว่านางพะวงเรื่องที่เขาฆ่าพี่สาวนางอยู่ในใจมาตลอด นี่ก็คือช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างทั้งสอง


รอจนกระทั่งน้ำชาหมดกาแล้ว จีเหม่ยลี่ก็เก็บโต๊ะน้ำชา นำชัยภูมิถ้ำสวรรค์ออกมาวางไว้ข้างๆ แล้วเปิดประตูเดินเข้าไป เหมียวอี้ก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน


ข้างในมีน้ำร้อนที่อุ่นแล้ว ตรงข้างอ่างอาบน้ำ จีเหม่ยลี่ช่วยเขาถอดเสื้อผ้า แล้วสุดท้ายก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเอง เรืองร่างที่ทำให้ผู้พบเห็นเลือดลมสูบฉีดเปิดเผยออกมา นางเคยชินกับความเขินอายแบบนี้แล้ว ร่างเปลือยแช่ลงไปในอ่างน้ำพร้อมกับยเขา ช่วยอาบน้ำให้เขา หลังจากอาบน้ำไปได้ครู่เดียว เขาก็ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด…


กำลังพลของธงพยัคฆ์ดำก็ไม่ได้เฝ้าประจำอยู่นอกเมืองโดยไม่ได้ไปไหน พวกเขาผลัดกันเข้าไปเที่ยวเล่นในเมือง เดินเล่นซื้อของ หอนางโลมที่มีทิวทัศน์งดงามพวกนั้นคือแหล่งที่พวกเขาโปดปรานที่สุด ถ้ายศยังไม่สูงพอก็ให้ครอบครัวติดตามกองทัพไปด้วยไม่ได้


สวีถังหรานดูน่าเกรงขามมาก ข้างหลังมีแม่ทัพเกราะม่วงติดตามสิบกว่าคน ถัดไปเป็นทหารสวรรค์เกราะทองร้อยคน


“ผู้บัญชาการสวี!”


“คารวะผู้บัญชาการสวี!”


ตอนที่เดินผ่านเขตเมืองตะวันตก ก็มีคนรู้จักเก่าไม่น้อยเลย ผู้จัดการร้านมากมายพากันออกประตูมาคารวะ พอเห็นข้างหลังเขามีแม่ทัพเกราะม่วงติดตามมากมายขนาดนี้ ก็มีคนไม่น้อยแอบอุทานในใจ เจ้าคนขี้ประจบคนนี้ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งมีหน้าตามีตา


สวีถังหรานพยักหน้าหัวเราะตลอดทาง สิ่งที่ทำให้คนตกใจก็คือ พอเจอร้านค้าที่ปิดไปเนื่องจากเหตุผลพิเศษบางอย่าง สวีถังหรานก็จะยกมือชี้ เสร็จแล้วข้างหลังก็จะมีคนบันทึกตำแหน่งร้านค้าและป้ายร้านไว้ทันที และร้านค้าที่ปิดพวกนี้ก็คือร้านค้าของผู้มีอำนาจที่กลัวว่าเหมียวอี้จะมาคิดบัญชี


เมื่อฉากนี้อยู่ในสายตาคนที่อยู่เหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็ชัดเจนว่าเป็นเพราะลูกน้องในปัจจุบันของเหมียวอี้ยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของฝั่งตลาดสวรรค์ กำลังทำความเข้าใจเพื่อลงมือ


ถึงแม้คนของร้านค้าพวกนั้นจะไม่อยู่ แต่ก็สังเกตความเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์ฝั่งนี้อยู่ตลอด พอได้ยินข่าวก็อดสั่นขวัญแขวน ถ้ามีใครมาพูดอีกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มาคิดบัญชีกับพวกเขา ต่อให้ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อแล้ว โชคดีที่หนีมาตั้งแต่แรก


ตอนเริ่มแรก ทั้งตลาดสวรรค์ล้วนแอบวิจารณ์กันว่าหนิวโหย่วเต๋อคว้าน้ำเหลว พ่อค้าจากร้านค้าเล็กๆ บางคนถึงขั้นเสียดายที่ปล่อยให้ร้านค้าพวกนั้นหนีไป และมีบางคนกำลังสงสัยเช่นกันว่าที่จริงข่าวลือเรื่องล้างเลือดถูกปล่อยมาจากเหมียวอี้ จุดประสงค์ก็เพื่อจะขู่ให้ตกใจหนีไป ตัวเองจะได้หาบันไดลงได้สะดวก


ทว่าหลังจากเวลาต่อเนื่องไปได้ครึ่งเดือน ก็ยังไม่เห็นกำลังพลธงพยัคฆ์ดำที่เฝ้าอยู่นอกประตูสี่เขตเมืองถอนกำลัง แถมฝั่งธงพยัคฆ์ดำก็ถึงขั้นส่งกำลังพลมาผลัดกันทำงาน ผลัดกันมาเที่ยวเล่นที่ตลาดสวรรค์ ทุกคนล้วนมาผ่อนคลาย การกระทำแบบนี้ดูเหมือนกำลังคุ้มกันตลาดสวรรค์ ดังนั้นจึงเริ่มมีพ่อค้านเมืองแอบรู้สึกบันเทิง พบว่าการล้อเล่นนี้หนักเกินไปแล้ว


“เฝ้าอยู่นอกเมืองครึ่งเดือนกว่าโดยไม่ไปไหนเหรอ?”


ที่ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่ได้ฟังรายงานอึ้งไปครู่เดียว จากนั้นก็ส่ายหน้าหลุดขำ “ชัดเจนว่าเขากำลังวางรูปแบบสถานการณ์ว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ล้มเลิก”


ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยนอยู่ข้างล่างยิ้มเจื่อน  “ตอนนี้เขาไม่ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์โดยรวมของทั้งตลาดสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ พวกขุนนางใหญ่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่การที่เขาเฝ้าอยู่อย่างนั้น ตราบใดที่เฝ้าไปอีกหนึ่งวัน ร้านค้าพวกนั้นก็ไม่กล้าเริ่มประกอบกิจการไปอีกหนึ่งวัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปทุกวัน ร้านค้าพวกนั้นก็เสียหายไปไม่น้อยเลย คาดว่าใกล้จะแบกรับไม่ไหวแล้ว”


“เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ ลูกลิงน้อยทำแบบนี้เสียหายไปหน่อยนะ” ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ


ซือหม่าเวิ่นเทียนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ย้ายเขาออกจากตลาดสวรรค์แล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ล้อมตลาดสวรรค์ไว้แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เป็นไปได้สูงว่าโพ่จวินก็กำลังรอดูละครสนุกๆ เหมือนกัน”


“เรื่องนี้ต่อเนื่องไม่นาน คาดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าพวกนั้นกำลังจะโต้ตอบแล้ว หวังว่าโพ่จวินจะแยกแยะความสำคัญได้ อย่าทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต” ประมุขชิงกล่าว


ที่หน้าน้ำตกริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ขณะมองตามเงาคนเหาะขึ้นฟ้าจากไปไกล เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังก็ถอนหายใจเบาๆ อวิ๋นจือชิวไปแล้ว!


ทั้งสองอยู่กระหนุงกระหนิงกันสามวัน สุดท้ายก็ยังต้องจากกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อวิ๋นจือชิวนำคนของร้านโฉมเมฆาจากไปด้วยกัน


หลังจากเงียบงันอยู่นาน เหมียวอี้ถึงได้ออกจากภูเขากลับมาในค่ายทัพกลางที่อยู่นอกประตูเมืองตะวันออก เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน ด้านนอกก็มีคนมารายงานว่า “ฝูชิงผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ขอพบ”


เหมียวอี้ยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าให้เชิญเข้ามา


รอสักสักประเดี๋ยว ฝูชิงก็เดินก้าวยาวเข้ามา พอเจอหน้าก็ถามว่า “เจ้าห้า ทำไมพวกน้องสะใภ้ขายร้านทิ้งหมดเลยล่ะ?”


“ไปกันหมดแล้ว” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ


“ไปที่ไหน?” ฝูชิงประหลาดใจ


เหมียวอี้โบกมือส่ายหน้า แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนไม่อยากพูดมาก


ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีก “ผู้จัดการร้านเยี่ยนแห่งร้านค้าเจ็ดอารมณ์ของขอพบขอรับ”


“ให้เขาเข้ามา แล้วเรียกสวีถังหรานกับหยางชิ่งมาด้วย” เหมียวอี้ถาม


ฝูชิงขมวดคิ้ว เดินมาข้างๆ แล้วนั่งลง เห็นได้ชัดว่าอยากจะเห็นว่าผู้จัดการร้านเยี่ยนถ่อมาทำอะไรที่นี่ เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าเจ็ดอารมณ์นี้ก็คือจวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ เรียกได้ว่าผูกความแค้นกับเหมียวอี้แบบฝังลึก ตอนนี้ถ่อมาที่นี่หมายความว่าอย่างไร?


สวีถังหรานกับหยางชิ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากเข้ามาคารวะในค่ายแล้ว ก็มายืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของเหมียวอี้


ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็มาถึง เขากวาดสายตามองในค่ายแวบหนึ่ง กุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยคารวะผู้บัญชาการใหญ่หนิว คารวะผู้บัญชาการใหญ่ฝู คารวะนายท่านทั้งสอง”


“มีเรื่องอะไรมาพบข้า?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ


บทที่ 1372 กอบโกยแล้วหนี

Ink Stone_Fantasy

ผู้จัดการร้านเยี่ยนก็ทำตัวสอดคล้องกับความเป็นจริงเช่นกัน ใช้สองมือยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้


เหมียวอี้ดูดเข้ามา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบแล้ว ก็ถือแกว่งอยู่ในมือพร้อมถามว่า “หมายความว่ายังไง?”


ผู้จัดการร้านเยี่ยนโค้งตัวเล็กน้อย “ตอนแรกที่นายท่านคุมตลาดสวรรค์ ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ไร้มารยาทล่วงเกินไปหลายจุด น้ำใจเล็กน้อยนี้เพื่อแสดงการขออภัย หวังว่านายท่านจะไม่ถือสาผู้น้อย” พูดจบแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ได้แต่อยู่อย่างนั้น


ฝูชิงเหล่ตามองกำไลเก็บสมบัติในมือเหมียวอี้แวบหนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว สงสัยจะมาเพื่อมอบของขวัญให้


ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววเข้าใจในทันที เขาชำเลืองมองของในมือเล็กน้อย แล้วโยนให้สวีถังหราน จากนั้นเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะยาว “น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ในเมื่อรู้ตัวว่าผิด นภายหลังอย่าทำผิดอีกก็พอแล้ว” ท่าทางเหมือนใจกว้างมีเมตตามาก


“รับทราบๆๆ!” ผู้จัดการร้านเยี่ยนกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยจะจดจำคำสอนของนายท่าน”


“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ไปทำการค้าขายของเจ้าให้ดีเถอะ ในค่ายทหารไม่สะดวกจะให้แขกอยู่” เหมียวอี้โบกมือ


“ผู้น้อยขอตัว” ทั้งตอนแรกและตอนหลังพูดเพียงไม่กี่ประโยค ผู้จัดการร้านเยี่ยนจากไปอย่างโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก


ฝูชิงลุกขึ้นยืนตามแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เหมียวอี้ให้เขาอยู่รับรับประทานอาหารในค่ายต่อ แต่เขาไม่มีอารมณ์นั้น จึงกล่าวขอตัวแล้วเดินออกไป อนุภรรยาของเหมียวอี้ทยอยกันออกจากที่นี่ไปแล้ว ทำให้ความรูสึกของเขาค่อนข้างซับซ้อนและใจคอแห้งเหี่ยว จะเอาอารมณ์จากไหนมาสนทนาในวงสุรา


หลังจากฝูชิงไปแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งสวีถังหรานกับหยางชิ่ง ว่าให้สวีถังหรานตรวจนับทำสมุดรายชื่อของในร้านค้าเจ็ดอารมณ์ จากนั้นก็ส่งต่อให้หยางชิ่งเก็บรักษาไว้ ให้ความรู้สึกเหมือนควบคุมดูแลกันและกัน


ทั้งสองย่อมเอ่ยรับแล้วถอยออกไป


หลังจากออกจากค่ายทัพกลาง สวีถังหรานก็มองดูกำไลเก็บสมบัติในมือ พร้อมพึมพำว่า “หมายความว่ายังไง?”


หยางชิ่งหันกลับมามองค่ายทัพกลางแวบหนึ่ง แล้วยกมือตบบ่าสวีถังหราน “รอดูไปเถอะ อีกประเดี๋ยวจะมีของมาส่งให้มากกว่านี้อีก”


“เอ่อ…” สวีถังหรานแปลกใจ “ของในกำไลนี้ก็ไม่น้อยแล้วล่ะ ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ยังจะเอามาให้อีกเหรอ?”


หยางชิ่งยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร และไม่นานสวีถังหรานก็พบว่าตัวเองเข้าใจความหมายผิดไป…


ธงพยัคฆ์น้ำเงิน จวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่ จ้านหรูอี้ที่นั่งสง่าอยู่ในโถงหลักรับรายงานจากลูกน้องที่นำกลับมาจากกองมังกรดำ หลังจากอ่านด้วยสีหน้าเย็นเยียบ นางก็กำฝ่ามือเสียงดังแกร๊ก แผ่นหยกแหลกกลายเป็นผุยผง


ทางตระกูลจ้านส่งข่าวเรื่องที่เหมียวอี้ ‘ล้อมเมือง’ ที่ตลาดสวรรค์มาแล้ว ให้นางนำคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินไปก่อกวน นางย่อมต้องปฏิบัติตาม เพราะถึงอย่างไรนางก็มาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์จะงัดข้อกับเหมียวอี้อยู่แล้ว ยื่นหนังสือว่าต้องการนำผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองออกไปปรับตัวให้เข้ากัน


ทว่าโป๋เยวไม่อนุมัติ ยื่นหนังสือไปต่อเนื่องกันหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง เรื่องที่เหมียวอี้จะนำธงพยัคฆ์ดำไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์แล้วก็ทำให้โป๋เยวตกใจแทบแย่แล้ว อยากจะเรียกเหมียวอี้กลับมาใจจะขาด ถ้าไม่ใช่เพราะเนี่ยอู๋เซี่ยวห้ามไว้ เขาก็คงทำแบบนี้ไปแล้ว มีหรือที่จะยอมอนุญาตให้จ้านหรูอี้ไปประสมโรงด้วย


“ทำไมเขาไปได้แล้วข้าไปไม่ได้!” จ้านหรูอี้ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ตวาดด้วยเสียงเดือดดาล “ข้าจะไปขอคำอธิบายกับท่านแม่ทัพภาคด้วยตัวเอง!”


ท่ามกลางร้านค้ามากมายที่ปิดตัวลงในตลาดสวรรค์ ผู้จัดการร้านเยี่ยนเป็นคนแรกที่นำคนงานกลับมาเปิดดำเนินกิจการ


ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ดำเนินกิจการอีกครั้ง พวกร้านค้าข้างเคียงแปลกใจมาก ความแค้นระหว่างร้านค้าเจ็ดอารมณ์กับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ความลับอะไร ไม่น่าเชื่อว่าผู้จัดการร้านเยี่ยนจะยังกล้าต้านกระแสลมกลับมา ไม่กลัวตายจริงเหรอ?


ถึงแม้ผู้จัดการร้านค้าคนอื่นๆ ที่ปิดกิจการจะไม่อยู่ แต่ก็สังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดสวรรค์อยู่ตลอด มีหรือที่จะไม่ได้ยินเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขานึกว่าหลบหลีกอันตรายแล้วจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะนำกำลังพลธงพยัคฆ์ดำผลัดกันเฝ้าอยู่นอกประตูตลาดสวรรค์ แล้วทุกวันก็มีคนไปที่หน้าร้านพวกเขาเพื่อดูว่าพวกเขากลับมาหรือไม่ ไม่มีท่าทีว่าจะจากไปเลย เจตจำนง ‘ถ้าไม่ทำให้พวกเขาตายก็จะไม่ไป’ ของหนิวโหย่วเต๋อชัดเจนมาก แบบนี้น่าสะพรึงเกินไปแล้ว ใครจะยังกล้ากลับมาอีกล่ะ


พวกเขาขอคำชี้แนะจากเจ้าของร้านไม่หยุด หวังว่าเจ้าของร้านจะคิดหาทางทำให้กำลังพลของธงพยัคฆ์ดำกลับไปได้ ทว่าต่อให้เจ้าของร้านของพวกเขาจะมีอำนาจมาก แต่ก็ยังทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎสวรรค์ เบื้องหลังของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ใช่สิ่งที่ใครจะยัดข้อหาใส่ซี้ซั้วได้ เพราะเบื้องหลังของอีกฝ่ายพูดจามีน้ำหนักเมื่ออยู่ต่อหน้าเบื้องบน


เมื่อรอไปสักระยะแล้วยังไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อทำอะไรซี้ซั้ว และไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อจากไปด้วย เจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลับยิ่งเล่นบทโหด ออกคำสั่งกดดันให้พวกเขากลับไปเปิดร้าน บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าทำอะไรพวกเขาหรอก


คนที่สามารถถูกส่งมาเป็นผู้จัดการร้านของสาขาได้ก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน แต่ละคนแอบร้องว่าแย่แล้ว รู้ว่าเบื้องบนกำลังเริ่มงัดข้อกันอีกแล้ว ยังไม่ทันรอให้หนิวโหย่วเต๋อลงมือ ก็หวังจะให้พวกเขากลับมาเปิดร้านยั่วยุให้หนิวโหย่วเต๋อลงมือ ถ้าเป็นแค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเบื้องบน สิ่งที่เบื้องบนต้องการก็ไม่มีอะไรนอกจากจุดอ่อนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย หน่วยองครักษ์ซ้ายขวายังเป็นกองทัพเสือดุในมือของราชันสวรรค์ ทำให้พวกลูกพี่ใหญ่คนอื่นๆ หวาดกลัวมาตลอด คิดมาตลอดว่ายิ่งมัดมือมัดเท้าหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาให้แน่นเท่าไรก็ยิ่งดี


ส่วนพวกเขา ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นตัวหมาดที่ตายเท่าไรก็ไม่พอ


“หัวหน้าสมาคมเซียวทำไมแต่งตัวแบบนี้?”


ในร้านค้าเจ็ดอารมณ์มีลูกค้าคนหนึ่งมาลงชื่อขอพบผู้จัดการร้านเยี่ยน พอผู้จัดการร้านเยี่ยนออกมาพบ ก็พบว่าเป็นเซียวฉีเจินที่ปลอมตัวแล้ว จึงถามอย่างประหลาดใจ


เซียวฉีเจินเหลียวซ้ายแลขวา แล้วดึงเขาไปที่ลานบ้านด้านหลังอย่างลับๆ ล่อๆ พอมาถึงที่ลับตาคน ก็ถามว่า “พี่เยี่ยนไม่กลัวตายรึไง?”


“ดูพูดเข้าสิ มีใครไม่กลัวตายบ้าง?” ผู้จัดการร้านเยี่ยนกล่าวกลั้วหัวเราะ เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เขามาแล้ว


พอเปิดร้านค้าเจ็ดอารมณ์ ผู้จัดการร้านค้าพวกนั้นก็ทยอยกันติดต่อผู้จัดการร้านเยี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนที่ปลอมตัวมาเหมือนเซียวฉีเจินเป็นแค่ส่วนน้อย ส่วนใหญ่ใช้ระฆังดาราติดต่อโดยตรง ถามเขาว่าไม่กลัวหนิวโหย่วเต๋อจะทำซี้ซั้วเหรอ


ผู้จัดการร้านเยี่ยนบอกว่าจะไม่กลับมาก็ไม่ได้ เบื้องบนกดดันมากเกินไป แอบบอกใบ้ให้ไป ‘ส่งของขวัญ’ ขอโทษหนิวโหย่วเต๋อ พอได้รับการให้อภัยจากหนิวโหย่วเต๋อถึงได้กลับมาเปิดร้านได้


ยังได้ผลเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าใช้เงินซื้อได้! กลุ่มผู้จัดการร้านทั้งงงงันทั้งประหลาดใจ ทำไมตัวเองถึงคิดไม่ได้ว่าควรลองทำแบบนี้ ภายใต้การขนาบโจมตีทั้งซ้ายทั้งขวา พวกเขาเห็นหนทางรอดชีวิตแล้ว


ขอเพียงสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ใครจะอยากไปเดินบนเส้นทางแห่งความตายล่ะ?


เจ้าของร้านแค่กดดันให้พวกเขากลับมาเปิดร้านก็เท่านั้น แค่ให้พวกเขาตั้งใจทำการค้าขาย ในเมื่อเจ้าของร้านแกล้งโง่ไม่พูดให้ชัดเจนว่าส่งพวกเขาไปตาย เช่นนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงแกล้งโง่เหมือนกัน โจวหรานกับอูหันซานที่โดนเจ้าของร้านกดดันให้ไปฆ่าตัวตายนอกตำหนักคุ้มเมือง นั่นต่างหากหนทางแห่งความตายของจริง


ผ่านไปไม่นาน ปากของสวีถังหรานก็ยกยิ้มแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจความหมายในคำพูดของหยางชิ่งแล้ว


“ที่แท้ก็เป็นผู้จัดการร้านเซียว ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าหัวหน้าสมาคมเซียวสิถึงจะถูก”


สวีถังหรานที่รับแขกอยู่ในค่ายทหารหัวราะเสียงดัง ท่าทางดุร้ายเหมือนคนต่ำช้าที่บรรลุถึงซึ่งลาภยศ ทำให้เซียวฉีเจินที่มาเยี่ยมคารวะอกสั่นขวัญแขวน


“มิบังอาจ มิบังอาจ เหตุใดผู้บัญชาการสวีต้องหัวเราะเยาะคนต่ำต้อย ก่อนหน้านี้ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกิน ก็ได้โปรดให้อภัยด้วย” เซียวฉีเจินมีท่าทางหวาดหวั่น จากนั้นก็เปิดเผยจุดประสงค์ในการมาทันที


“ฮ่าๆๆ…” สวีถังหรานเงยหน้าหัวเราะลั่น


เซียวฉีเจินเป็นคนแรก และไม่นานก็มีผู้จัดการร้านค้าใหญ่ๆ มาเยือนไม่ขาดสาย มามอบของขวัญขอโทษผู้บัญชาการใหญ่หนิว เหมียวอี้ขี้คร้านจะออกหน้าด้วยตัวเองอีก จึงส่งต่อให้สวีถังหรานกับหยางชิ่งไปรับมือให้


เพื่อที่จะปกป้องชีวิต ความจริงใจในการ ‘มอบของขวัญขอโทษ’ จึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ สวีถังหรานที่เป็นตัวแทนรับน้ำใจนี้มือไม้อ่อนนิดหน่อย


“ผู้บัญชาการใหญ่ช่างมีพลังอำนาจ จะไม่ให้คนนับถือคงไม่ได้แล้ว พอวางกำลังพลที่นี่ ก็มีเงินทองไหลมาเทมาทันที”


หลังจากนั้นหลายวัน แขกที่ควรจะมาก็มากันครบแล้ว สวีถังหรานที่รับรายงาน ‘น้ำใจ’ มาจากหยางชิ่งเดาะลิ้นหลายครั้ง ตอนนี้ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของหวงเสี้ยวเทียน ใครบอกว่าออกจากตลาดสวรรค์แล้วจะไม่มีทรัพยากร เมื่อมีอำนาจแล้วยังจะกลัวไม่รวยอีกเหรอ


ตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วเช่นกัน สงสัยการที่ผู้บัญชาการใหญ่นำกำลังพลมาล้อมไว้ที่นี่ ทั้งยังสั่งให้เขานำคนไปตรวจสอบ ก็เพื่อจะอาศัยอำนาจขู่คุกคามคนบางกลุ่ม


หยางชิ่งเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “รีบตรวจเทียบหน่อย ดูว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ถ้าไม่มีปัญหาก็ไปส่งต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่”


“ข้าจะไม่วางใจการทำงานของพี่หยางเชียวเหรอ” สวีถังหรานพูดเยินยอตามมารยาท แต่สายตาก็กวาดมองรายการตรวจสอบคร่าวๆ แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “ของพวกนี้ ผู้จัดการร้านค้าพวกนั้นมอบให้ผู้บัญชาการใหญ่คนเดียว ผู้บัญชาการใหญ่จะให้พวกเราบันทึกลงสมุดทะเบียนอย่างเป็นทางการทำไม?”


หยางชิ่งก็ส่ายหน้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร


จากนั้นทั้งสองก็กลับไปที่ค่ายทัพกลางด้วยกัน หลังจากเจอเหมียวอี้แล้ว ก็นำรายการตรวจสอบที่บันทึกลงสมุดทะเบียนรวมทั้ง ‘น้ำใจ’ ของพ่อค้าพวกนั้นส่งให้เหมียวอี้


เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวหยิบรายการตรวจสอบขึ้นมาดูจำนวนรวมของสิ่งของ จากนั้นก็โยนกลับคืนให้สวีถังหราน “ตามธรรมเนียมเก่าของธงพยัคฆ์ดำ นำของพวกนี้ทำเป็นรางวัลในการรบแจกจ่ายไปให้หมด บอกผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพด้วยว่า นี่คือน้ำใจที่ข้ามอบให้เหล่าพี่น้อง ห้ามหักไว้ส่วนตัว ทุกคนจะต้องได้รับครบจำนวน”


สวีถังหรานกับหยางชิ่งมองหน้ากันเลิกลั่ก นี่คือเงินค่าไถ่ชีวิตผู้จัดการร้านค้าพวกนั้น บวกรวมกันแล้วไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรมองข้ามนะ!


“ผู้บัญชาการใหญ่ นี่ไม่ใช่รางวัลในการรบ นี่คือของที่พวกเขามอบให้ท่านคนเดียว ไม่ต้องแบ่งกับเหล่าพี่น้องก็ได้” สวีถังหรานกล่าว


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่มีผลงานอะไรจะแสดงให้เห็น คิดเสียว่าของพวกนี้เป็นของขวัญแรกพบก็แล้วกัน! แล้วก็บอกพี่น้องกำลังพลเบื้องล่างด้วย ขอเพียงติดตามข้าและตั้งใจทำงาน หนิวคนนี้ก็จะไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน ในภายหลังยังมีโอกาสร่ำรวยอีก” ขณะที่มองดูปฏิกิริยาของทั้งสอง ก็พูดเสริมเสียงต่ำอีกว่า “เงินเล็กน้อยนี่ไม่สำคัญอะไรหรอก ในภายหลังถ้าทุกคนอยากจะรวย ก็ยังต้องอาศัยพวกเขา เมื่อออกจากตลาดสวรรค์มาแล้ว อาศัยมือพวกเราแค่ไม่กี่มือก็ทำอะไรไม่ได้หรอก กำลังพลหนึ่งแสนนี่ต่างหากที่เป็นต้นทุนของความร่ำรวยที่อยู่ในมือเราอย่างแท้จริง”


หยางชิ่งได้ยินแล้วหวาดระแวง เจ้าเวรนี่คิดจะทำอะไร?


สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขารู้แล้วว่าราชันสวรรค์ถูกใจเขา เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าราชันสวรรค์ถูกใจเขาแค่เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าถูกใจในความสามารถของเขาก็เป็นเรื่องรอง ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาจะเก่งกว่านี้ แต่ก็ไม่มีค่าพอให้ราชันสวรรค์ผู้สูงส่งมาสนใจอยู่ดี เพราะระดับของทั้งสองต่างกันเกินไป สิ่งที่เหมียวอี้เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ต่อให้ในภายหลังราชันสวรรค์จะใช้ให้เขาปฏิบัติงานสำคัญ แต่จะไม่ว่าจะสำคัญอย่างไรก็ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม ความสัมพันธ์ที่เหลวไหลไร้ระเบียบของเขา ในสักวันหนึ่งก็จะต้องยั่วให้ราชันสวรรค์เดือดดาล ถึงตอนนั้นราชันสวรรค์จะไม่ฆ่าเขาก็แปลกแล้ว ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องฉวยโอกาสตักตวงสักหน่อย ถ้าในภายหลังต้องหนีจะได้มีต้นทุนเพียงพอ


หยางชิ่งตกใจ แต่สวีถังหรานกลับได้ยินแล้วตาเป็นประกาย


เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ตักตวงของมาไว้ในมือได้อย่างราบรื่นแล้ว ผีที่ไหนจะอยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อรอให้เกิดปัญหา เหมียวอี้ออกคำสั่งทันที ให้กำลังพลธงพยัคฆ์ดำที่ประจำอยู่นอกประตูของสี่เขตเมืองถอนทัพ กำลังพลรวมตัวกันเหาะขึ้นฟ้าหนีไปแล้ว ไปอย่างรวดเร็วฉับไว


รอจนกระทั่งพวกพ่อค้าในเมืองวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ด้านนอกก็เหลือเพียงรั้วกั้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ การจากไปแบบนี้อาจจะกะทันหันเกินไปหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด


บทที่ 1373 คนหาเรื่องมาแล้ว

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นครึ่งวัน


จ้านหรูอี้ก็ไปที่กองมังกรดำเพื่อยกเหตุผลมาถกเถียงกับเนี่ยอู๋เซี่ยว ทุกคนล้วนมาใหม่เหมือนกัน แต่ทำไมหนิวโหย่วเต๋อจึงสามารถนำกำลังพลไปปรับตัวให้เข้ากันได้ แต่นางทำไม่ได้?


เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบรับคำขอของนาง ให้เงื่อนไขอะไรกับเหมียวอี้ก็ให้เงื่อนไขนั้นกับนาง รินน้ำใส่ชามให้เท่ากัน เรียกได้ว่ายุติธรรมสมเหตุสมผล


ดังนั้นเมื่อผ่านไปครึ่งวัน เป็นครึ่งวันหลังจากที่เหมียวอี้นำกำลังพลออกไป จ้านหรูอี้ก็นำกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินเร่งรีบมาถึงนอกประตูเมืองของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแล้ว ข้างหน้าคือรั้วกันว่างเปล่าที่กำลังพลธงพยัคฆ์ดำทิ้งไว้หลังจากออกเดินทางไปหมดแล้ว จะยังเห็นเงาคนของธงพยัคฆ์ดำได้อย่างไรกัน


พ่อค้าที่เข้าออกอยู่นอกเมืองกลับถูกทำให้ตกใจจนรีบวิ่งกลับเข้าไปในเมืองอีก ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่


ผ่านไปไม่นาน พวกพ่อค้าในเมืองก็ทยอยกันวิ่งออกมาตรวจดูแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?


ฝูชิงก็นำทหารยามในเมืองออกมาข้างนอกเช่นกัน ยืนตรวจสอบอยู่นอกประตูรั้ว เห็นเพียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาเหยียบพื้น บนผืนธงผ้าแพรขนาดใหญ่ที่กำลังพลกลุ่มนั้นถือปักลายเสือสีน้ำเงินดุร้ายเอาไว้ แค่มองสัญลักษณ์ธงก็รู้แล้วว่าเป็นธงพยัคฆ์น้ำเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นำทัพมา มีคนไม่น้อยที่ไม่รู้สึกแปลกหน้า นางคือจ้านหรูอี้ไง หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง มีคนไม่น้อยที่รู้จักนาง


“นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้มาได้ยังไง?” ฝูชิงเอียงหน้าถาม


ชิงเฟิงพยักหน้าเบาๆ “ไม่ทราบขอรับ ที่จู่ๆ เขาถอนทัพไป เป็นเพราะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมาหรือเปล่า?”


ท่ามกลางพ่อค้ามีคนคนหนึ่งเดินออกมา หวงฝู่จวินโหรวลอยเข้ามาช้าๆ อาวุธที่ตั้งแถวเรียงรายอยู่ในธงพยัคฆ์ดำตั้งขึ้นเตรียมป้องกันทันที จ้านหรูอี้ยกมือเล็กน้อย ทำให้กำลังพลข้างหลังวางอาวุธลงไป


“เจ้ามาได้ยังไง?” หวงฝู่จวินโหรวที่เหยียบลงตรงหน้าจ้านหรูอี้ถามอย่างแปลกใจนิดหน่อย


จ้านหรูอี้เดินช้าๆ ไปตรงหน้าแถวรั้วกั้น สายตากวาดมองเขตตั้งค่ายที่ว่างเปล่า พอได้ยินคำถามนี้ นางก็หยุดฝีเท้า ยื่นมือไปคว้าบนราวจับ แล้วหันกลับมาถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อกับกำลังพลของเขาไปไหนแล้ว?”


“เขาก้าวนำไปก่อน แล้วเจ้าก็ก้าวตามหลังมา เวลาห่างกันครึ่งวัน” หวงฝู่จวินโหรวตอบ


“ไปแล้วเหรอ?” จ้านหรูอี้เห็นสถานการณ์ที่ตัวเองกังวลที่สุดเกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว คว้าน้ำเหลวแล้วเหรอ? นางกัดฟัน แล้วถามอย่างรู้สึกไม่ยอมว่า “ทำไมถึงไปแล้ว?”


ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขาไปแล้ว? หวงฝู่จวินโหรวถามอย่างไม่แน่ใจว่า  “เจ้ามาหาเรื่องเขาใช่มั้ย? หรือว่าเขารู้ว่าเจ้าจะมา ถึงได้หนีไปแล้ว?”


เมื่อได้ยินคำถามนี้ จ้านหรูอี้กลับสบายใจขึ้นบ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลัวแล้วหนีไปก็ได้


แต่นางก็ยังงงเหมือนเดิม สิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้กว่าจะได้รับอนุญาตจากเบื้องบนให้นางนำกำลังพลออกมาปรับตัวข้างนอกได้ ตอนนี้เหมียวอี้หนีไปแล้ว หนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วนางจะถ่อมาที่นี่ทำไมล่ะ? จะต้องนำกำลังพลเพ่นพ่านไปทั่วเพื่อปรับตัวให้เข้ากันงั้นเหรอ?


ในขณะนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฝูชิงที่อยู่ในฐานะเจ้าถิ่นนำคนจำนวนหนึ่งเหาะมาแล้ว พอเหยียบลงพื้นก็กุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการใหญ่จ้าน ไม่ทราบว่านำกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินมาทำอะไรที่นี่?”


“มาดูเฉยๆ” จ้านหรูอี้ตอบอย่างขอไปที ย่อมไม่บอกความจริงที่ทำให้ตัวเองเสียหน้าอยู่แล้ว และในเมื่อมาแล้วก็คงไม่ดีที่จะรีบร้อนจากไปทันที ดีไม่ดีอาจจะดูเหมือนกำลังวิ่งไล่ตามก้นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็อยากจะรู้ด้วยว่าเหมียวอี้ไปไหนแล้ว ถึงได้หันตัวมาออกคำสั่งให้กำลังพลตั้งค่ายชั่วคราวบนร่องรอยที่ธงพยัคฆ์ดำทิ้งไว้


ฝูชิงกลุ้มใจ ตรงนี้ธงพยัคฆ์ดำเพิ่งจะออกไป แต่ก็มีธงพยัคฆ์น้ำเงินมาอีกแล้ว มาตั้งฐานประตูบ้านเขาอย่างต่อเนื่อง เล่นบ้าอะไรกัน เห็นอาณาเขตของเขาเป็นอะไรไปแล้ว?


ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎเลยสักนิด บวกกับต่อให้กำลังพลของตัวเองรวมกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ดี บ่นอะไรจ้านหรูอี้ไม่ได้เหมือนกัน


เพียงแต่ในครั้งนี้ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเงียบสงบมาก พ่อค้าในเมืองก็ไม่มีใครกลัวว่าจ้านหรูอี้จะทำอย่างไรได้ ทุกคนมาดูเอาสนุกล้วนๆ


ทิศทางการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้สืบเจอได้ไม่ยาก หลังจากนั้นหนึ่งวัน จ้านหรูอี้ที่นั่งคุยกับหวงฝู่จวินโหรวอยู่ในค่ายทัพกลางก็ได้รับข่าวแล้ว ทำให้นางโมโหแทบกระอักเลือด


เหมียวอี้นำกำลังพลกลับไปถึงดาวหกนิ้วตั้งนานแล้ว กำลังตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพกันอย่างครื้นเครง ตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพก็ยังไม่เท่าไร ที่สำคัญคือของที่รางวัลให้ลูกน้องยังไม่ใช่ของของเหมียวอี้ด้วย แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าเอาของจากไหนมาตบรางวัล พอเหมียวอี้ถอนทัพออกไปจากที่นี่ เจ้าของร้านแต่ละร้านไม่เห็นเรื่องที่ตัวเองจินตนาการไว้เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกแปลกใจทันที


ไม่เห็นเหมียวอี้ถูกยั่วยุให้ทำอะไรซี้ซั้วกลัวว่าแปลกแล้ว ทำไมร้านค้าแต่ละร้านกลับมาเปิดกิจการ แต่เหมียวอี้กลับนำคนหนีไปล่ะ เจ้าของร้านแต่ละร้านย่อมต้องสืบดูสถานการณ์ เรื่องบางอย่างทำก็ส่วนทำ แต่ถ้าจะให้หลอกลวงเบื้องบน พวกเขาก็ยังไม่กล้า ผู้จัดการร้านค้าแต่ละร้านจึงคายความจริงออกมาว่าจ่ายเงินเพื่อกำจัดภัยพิบัติ


พวกเจ้าของร้านค้าแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็คงจะไม่ดีถ้าจะไปว่าอะไรพวกผู้จัดการ เพราะผู้จัดการควักเงินของตัวเองเพื่อธุรกิจของพวกเจ้าของร้าน!


เมื่อเชื่อมโย่งต้นสายปลายเหตุ ในที่สุดก็เข้าใจจุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตเลย ครั้งนี้ก็แค่มาเพื่อขู่เอาเงินเท่านั้น พอทำสำเร็จก็พาคนหนีไปทันที แถมเจ้ายังว่าอีกฝ่ายไม่ได้ว่าขู่เอาเงิน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้บังคับคนอื่น เป็นคนอื่นที่เป็นฝ่ายนำของขวัญไปมอบให้เพื่อขอโทษเอง


แบบนี้จะไม่ให้จ้านหรูอี้โมโหจนแทบกระอักเลือดได้อย่างไร สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ได้หนีไปเพราะกลัวนาเลย แต่เป็นเพราะขู่เอาเงินสำเร็จแล้วจึงหนีไป


สิ่งที่ทำให้นางทรมานยิ่งกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อกำลังตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพ ในการแสดงผลงานแบบนี้ นางไม่อยากแพ้เหมียวอี้อีกต่อไปแล้ว ทว่านางก็ไม่มีเป้าหมายให้ขู่เอาเงิน จะเอาเงินจากไหนมากมายมาตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพล่ะ แน่นอน ใช่ว่าตระกูลจ้านจะหาเงินจำนวนนั้นมาไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ตบรางวัลให้กำลังพลหนึ่งแสน นั่นก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถ้าควักเงินตัวเองมาทำเรื่องนี้ก็เหมือนสมองมีปัญหา ถ้าทำแบบนั้นจริงกลับจะก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะด้วยซ้ำ


โดนเหมียวอี้เอาชนะทุกอย่างในด้านการแสดงผลงาน สิ่งนี้ทำให้จ้านหรูอี้สุดจะทนจริงๆ นางไม่อยากยอมรับว่าตัวเองสู้เหมียวอี้ไม่ได้ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นางเก็บกดจนระบายออกมาไม่ได้ โมโหจนหน้าซีดขาวหมดแล้ว


หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่เป็นเพื่อนจ้านหรูอี้ในค่ายทัพกลาง เมื่อได้รู้ความจริงก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ยังนึกว่าเหมียวอี้จะมาล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงๆ เสียอีก ที่แท้ก็ไม่ได้มาล้างเลือด แต่มาเพื่อปล้นจนเกลี้ยงบ้านนี่เอง ทำให้ดูเหมือนร้านค้าของตลาดสวรรค์นำเงินไปซื้อใจคน เจ้าเวรนั่นทำให้นางไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาพูดแล้ว จำเป็นต้องยอมรับว่ามีความสามารถจริงๆ ทำให้คนทั้งรักทั้งเกลียด


“จุจุ! ออกไปรอบเดียวก็ทำเงินได้เยอะขนาดนี้”


“ผู้บัญชาการใหญ่มีสัจจะ!”


“ใช่แล้ว! อย่างน้อยทำงานกับคนแบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะฮุบผลประโยชน์ของพวกเราไป”


มีทั้งคนดีใจมีทั้งคนกลุ้มใจ กำลังพลฝั่งธงพยัคฆ์ดำกลับส่งเสียงกล่าวชม


ที่จริงเงินที่แบ่งมาถึงมือทุกคนแล้วก็ไม่ได้เยอะเท่าไร เมื่อเฉลี่ยกันแล้วก็ได้เป็นยาแก่นเซียนคนละประมาณหนึ่งหมื่นเม็ด เท่ากับได้แจกค่าจ้างหลายปีในรวดเดียว แต่ช่วยไม่ได้ที่คนเยอะ! ทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่ เฉลี่ยแบ่งให้คนประมาณแสนกว่า แต่ละคนได้ยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นเม็ด บวกรวมกันแล้วมีความหมายแฝงว่าอะไรล่ะ? ที่จริงเงินก้อนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ไม่จำเป็นต้องแจกจ่ายให้ทุกคนเลย ต่อให้ไม่แจกก็ไม่มีใครว่าอะไร


เฉลี่ยแบ่งแล้วอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่เยอะ แต่จำนวนรวมก็เห็นๆ กันอยู่ เมื่อเจอกับผู้บังคับบัญชาแบบนี้ มีใครบ้างจะไม่วางใจ ทุกคนยังมีอะไรให้บ่นอีกล่ะ?


ส่วนมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก เหมียวอี้บอกว่าที่ครั้งนี้ร่ำรวยได้เป็นเพราะทั้งสองช่วงชิงโอกาสมาจากกองมังกรดำ เรียกได้ว่าไม่ฝั่งกลบผลงาน พวกนางได้รางวัลเป็นยาแก่นเซียนคนละสิบล้านเม็ด ต้องตบรางวัลทั้งสองอย่างงามก่อน แล้วที่เหลือค่อยแบ่งให้ทุกคนตามระเบียบปฏิบัติ


เดิมทีทั้งสองนึกว่าเหมียวอี้จะบีบจุดอ่อนพวกนาง การตบรางวัลก้อนนี้ทำให้ทั้งสองประหลาดใจมาก ถึงแม้วรยุทธ์ของทั้งสองจะถึงระดับนี้แล้ว แต่สำหรับพวกนาง นี่ก็ไม่ใช่รางวัลจำนวนน้อยๆ ไม่ว่าจะไปวางไว้ตรงไหนก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย พวกนางอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รางวัลเยอะขนาดนี้ในรวดเดียว


ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น เหมียวอี้ก็ไม่ปฏิบัติกับทั้งสองอย่างขาดความยุติธรรม มุมมองที่ทั้งสองมีต่อเหมียวอี้เปลี่ยนไปมากในทันที เมื่อตัดสินจากท่าทีของผู้บัญชาการใหญ่ ก็คาดว่าในภายหลังชีวิตในธงพยัคฆ์ดำคงจะไม่ลำบากเกินไป


“ถอนกำลังไปแล้วเหรอ? ขู่เอาเงินจากร้านค้าพวกนั้น พอกลับไปก็ตบรางวัลปลอบขวัญทหารเหรอ?”


ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงถามจนเขาอึ้งไปแล้ว กำลังทำสีหน้างุนนงง


“ใช่ขอรับ! ทุกคนต่างก็คิดว่าเขากำลังจะก่อเรื่อง ใครจะคิดว่าเขาจะถ่อไปขู่เอาเงิน…แต่ก็ไม่นับว่าเป็นการขู่เอาเงิน เพราะทุกคนล้วนเป็นฝ่ายนำไปมอบให้เขาเองถึงที่” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ


“ฮ่าๆ!” ในที่สุดประมุขชิงก็กลั้นขำไม่ไหว “ลูกลิงน้อยตัวนี้น่าสนใจทีเดียว เวิ่นเทียน เจ้าบอกว่าเขาจงใจปล่อยข่าวลือเพื่อหาบันไดลงให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ? เคยคิดหรือเปล่าว่าเขาจะทำแบบนี้?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะพลางถอนหายใจ “ข้าน้อยนึกไม่ถึงจริงๆ”


จู่ๆ ประมุขชิงก็ยืนขึ้น เอามือไขว้หลังพร้อมบอกว่า “ในด้านความสามารถม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้ก็คือผลงานในการรบ!”


ดาวหยกงาม หอสามรากฐาน


“เหอะๆ! ผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักโดนเขาปั่นหัวเล่นแล้ว เมื่อมีหนังเสืออย่างหน่วยองครักษ์ซ้ายไว้คลุม นับวันจะยิ่งกำเริบเสิบสานไม่กวาดกลัวอะไร” อ๋องสวรรค์โค่วที่เอนกายบนเก้าอี้ส่ายหน้ากล่าวอย่างจนใจ


ผู้เฒ่าถัง บ่าวชรามองลูกชายทั้งสามของตระกูลโค่วที่ยืนอยู่เบื้องล่างแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขื่นขมเล็กน้อย “ใครจะคาดคิดล่ะ! เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ลงไพ่ตามกติกาเลย แต่กลับยิ่งโดดเด่นสะดุดตา โอ้อวดความฉลาดเจ้าเล่ห์ใส่ทุกคนในราชสำนักเสียแล้ว ดึงดูดความสนใจจริงๆ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาในตอนนี้”


“อืม!” อ๋องสวรรค์โค่วหรี่ตาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม้เด่นเกินป่า ลมพัดหักโค่น”


ตรงที่ไกลๆ ของดาวหกนิ้ว กำลังพลสามหมื่นเหาะเข้ามาอย่างเข้มแข็งเกรียงไกร


ยังไม่ทันเข้าใกล้ดาวหกนิ้ว กำลังพลกลุ่มเล็กๆ จำนวนหนึ่งร้อยก็เหาะขึ้นมาจากดวงดาวรกร้างดวงหนึ่ง เข้ามาขวางด้านหน้าของกำลังพล ทหารที่นำหน้ามาตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “สถานที่นี้ไม่อนุญาตให้คนอื่นบุกเข้ามา ผู้ที่มาเป็นใคร!”


ทัพใหญ่ประชิดเข้ามาใกล้แล้วหยุดอยู่กับที่ มีคนตะโกนตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินนำทัพใหญ่มาเยี่ยมคารวะธงพยัคฆ์ดำผู้บัญชาการใหญ่หนิว รีบไปแจ้งให้ทราบ!”


จ้านหรูอี้อยู่ตรงหน้าทัพใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ


หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้กลับรังเก่า นากง็ไม่สะดวกจะตามมาในทันที จึงจงใจถ่วงเวลาอยู่ที่นอกตลาดสวรรค์สองสามวัน ถึงได้นำกำลังพลตามมา ครั้งนี้นางจะต้องให้บทเรียนกับเหมียวอี้ให้ได้


ฝั่งนี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้ว่าจ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีสักเท่าไร จะนำคนมาเยอะขนาดนี้ทำไม? ทหารที่นำหน้ามารีบหยิบระฆังดาราอกมาคิดต่อกับเบื้องบน


ในค่ายกลป้องกันของสำนักหกนิ้ว สวีถังหรานที่ได้รับข่าวรีบมารายงานที่จวนพักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่


“จ้านหรูอี้มาแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว แล้วพึมพำว่า “เกรงว่าคงจะไม่ได้มาดี ผู้หญิงคนนี้ยังไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก”


สวีถังหรานพยักหน้า “ใช่แล้ว จากที่เบื้องล่างรายงานมา นางนำกำลังพลมาไม่ต่ำกว่าสามหมื่น”


“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป อนุญาตให้นางนำคนมาด้วยแค่สิบคนเท่านั้น ถ้ากล้าบุกเข้ามาก็จะรายงานเบื้องบนทันที” เหมียวอี้กล่าว


“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมา แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกอีกว่า “บอกธงอินทรีสิบกองทัพเดี๋ยวนี้ เหลือสมาชิกให้อยู่เฝ้า แล้วรวบรวมกำลังพลหนึ่งแสนมาที่นี่ ล้อมกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินไว้ ถ้ากล้าทำซี้ซั้วก็ไม่ต้องเกรงใจ กำจัดนางเสียเลย!”


บทที่ 1374 กล้าตัวต่อตัวกับข้ามั้ยล่ะ

Ink Stone_Fantasy

“หา!” สวีถังหรานตกใจ “นายท่าน ทุกคนล้วนเป็นคนของกองมังกรดำ ถ้าสองธงพยัคฆ์เปิดฉากสู้กันก็จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เกรงว่าจะอธิบายกับเบื้องบนลำบาก”


“เหลวไหล นางเป็นฝ่ายถ่อมาหาเรื่องข้าก่อน แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ถลึงตาเหล่มอง


“รับทราบ!” สวีถังหรานไม่กล้าพูดมาแล้ว รีบไปปฏิบัติตาม


กองมังกรดำ ในจวนพักชั่วคราวของแม่ทัพภาค เนี่ยอู๋เซี่ยวเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ ออกมา พอเดินมาถึงริมหน้าผาก็ถอนหายใจเบาๆ “ช่างก่อเรื่องเก่งจริงๆ! วุ่นวายอยู่ตั้งนานก็เพราะต้องการจะตบทรัพย์พ่อค้าพวกนั้น ทั้งยังตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพด้วยเหรอ? ใช้ดอกไม้ของคนอื่นมาถวายพระได้เก่งจริงๆ ตอนนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้วว่าตอนหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ตลาดสวรรค์ กลุ่มพ่อค้าพวกนั้นจะปวดหัวขนาดไหน ขนาดตัวย้ายออกมาแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป”


โป๋เยวที่เดินตามอยู่ข้างๆ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ทั้งยังแยกแยะความสำคัญได้ด้วย จ่าไปก็ไม่ได้ทำผิดต่อตลาดสวรรค์เลย และไม่มีจุดไหนที่ทำผิดกฎระเบียบด้วย อีกฝ่ายเป็นคนนำของมามอบให้เองถึงที่ ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าเขาไม่มีประสบการณ์ในการบัญชาการกำลังพลเยอะขนาดนี้ พอมาดูตอนนี้แล้ว ก็พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ถือว่าช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพภาคได้เหมือนกัน” คำพูดนี้เท่ากับช่วยพูดให้เหมียวอี้ดูดี


ที่ช่วยพูดจาดีๆ ให้แบบนี้ได้ ก็ย่อมเป็นเพราะถูกชะตากับเหมียวอี้ จะไม่อยากถูกชะตาก็คงไม่ได้หรอก เขาจัดให้ผู้หญิงทั้งสองของตัวเองไปเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ที่ธงพยัคฆ์ดำ ปรากฏว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง แนะนำให้มู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงขึ้นสู่ตำแหน่งทันที ลูกน้องที่เชื่อฟังขนาดนี้ใครจะไม่ชอบ


และพอมาดูตอนนี้แล้ว การให้ผู้หญิงทั้งสองของตัวเองมาเป็นคู่หูผู้ช่วยหนิวโหย่วเต๋อก็เหมาะสมมาก เมื่อหนิวโหย่วเต๋อจะระดมพล พวกนางทั้งสองก็จะออกหน้าประสานงานให้ ครั้งนี้ทำเงินที่ตลาดสวรรค์ได้ เหมียวอี้ก็มอบรางวัลใหญ่ให้ชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนทันที นอกจากทั้งสองจะได้ยาแก่นเซียนคนละสิบล้านเม็ดแล้ว จากมุมมองของโป๋เยว ที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ก็เพราะรู้ว่าทั้งสองคือคนที่โป๋เยวย้ายไป รู้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของโป๋เยว ที่ตบรางวัลอย่างงามก็เพราะไว้หน้าโป๋เยว ไม่อย่างนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะควรค่าแก่การตบรางวัลเป็นยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ดได้อย่างไร จากเรื่องบางเรื่องก็สามารถมองออกได้ ว่าหนิวโหย่วเต๋อเคารพรองแม่ทัพภาคอย่างเขามาก ไม่ว่าจะเป็นฉากหน้าหรือภายในก็มีให้เขาอย่างเต็มที่ ลูกน้องแสนดีแบบนี้ ถ้าไม่ช่วยพูดให้สักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล


ตอนนี้เขากลับไม่พอใจผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดินแล้วนิดหน่อย ทำไมชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนไปอยู่ใต้บังคับบัญชาการหนิวโหย่วเต๋อแล้วไม่ก่อเรื่องล่ะ ชัดเจนแล้วว่าปัญหาหลักมาจากตัวของพวกเขาเอง จิตใจคับแคบ


แน่นอนว่าเขามีบางอย่างที่ยังไม่รู้ ตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่ได้เตรียมจะตบรางวัลให้ผู้หญิงทั้งสองเยอะขนาดนี้หรอก ตอนแรกหลังจากเหมียวอี้กอบโกยของพวกนี้มาจากพ่อค้าที่ตลาดสวรรค์แล้ว ก็สั่งให้สวีถังหรานกับหยางชิ่งแบ่งให้กำลังพลเบื้องล่างตามระเบียบเก่าของธงพยัคฆ์ดำ แต่ตอนหลังเมื่ออยู่ระหว่างทางกลับ หยางชิ่งก็แนะนำเหมียวอี้ว่า ในเมื่อไม่อยากฮุบของพวกนี้เอาไว้ส่วนตัว อยากจะนำออกมาซื้อน้ำใจคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแจกจ่ายออกไปอยู่ดี ก็ตบรางวัลชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนหนักๆ ไปเสียเลยสิ หลังจากแนะนำแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาถึงได้ตบรางวัลจนชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนตกตะลึง


ขณะกำลังพูดแบบนี้ จู่ๆ โป๋เยวก็ได้รับข่าวจากระฆังดารา เนี่ยอู๋เซี่ยวมองดูเขาหยิบระฆังดาราออกมา


ผ่านไปครู่เดียว โป๋เยวก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก กำระฆังดาราเอาไว้พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นายท่าน จ้านหรูอี้คนนี้เหลวไหลไปกันใหญ่แล้ว”


“เป็นอะไรไป?” เนี่ยอู๋เซี่ยวถาม


โป๋เยวตอบว่า “นางอยากจะทำให้ลูกน้องปรับตัวเสียที่ไหนกัน ชัดเจนว่าจะไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ ก่อนหน้านี้นำกำลังพลตามหลังหนิวโหย่วเต๋อไปที่ตลาดสวรรค์แต่ก็คว้าน้ำเหลว ครั้งนี้นำกำลังพลหลายหมื่นไปที่ดาวหกนิ้วแล้ว นางคิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าจะท้าทายให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินกับธงพยัคฆ์ดำสู้กันให้ได้ให้ได้?” ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าจะให้พูดตอนนี้ เขาก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเหมียวอี้


เนี่ยอู๋เซี่ยวขมวดคิ้ว “บอกพวกเขาทั้งสองฝั่ง ว่าให้สงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเล่นเกินขอบเขต…ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อชอบทำอะไรไม่ค่อยเลือกวิธีการ ไม่ได้สังหารลูกหลานของผู้มีอำนาจเป็นครั้งแรก อีกทั้งครั้งนี้ก็ได้เปรียบด้านเหตุผลด้วย ดีไม่ดีอาจจะลงมือฆ่าก็ได้ ถึงตอนนั้นจ้านหรูอี้อาจจะไม่ชนะเขา ข้าจะบอกเจ้าไว้อย่างหนึ่งนะ ว่าจะให้เกิดเรื่องขึ้นกับจ้านหรูอี้ไม่ได้!”


“…” โป๋เยวงงนิดหน่อย ถามว่า “เป็นเพราะนางเป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งเหรอ? ตระกูลอิ๋งมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของพวกเรา?”


เนี่ยอู๋เซี่ยวหันกลับมา “การที่ตอหนามสองตอนี้โผล่มาที่กองมังกรดำ เดิมทีก็เป็นปัญหายุ่งยากอยู่แล้ว สิ่งที่เจ้าต้องรู้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ ถ้าจ้านหรูอี้ตายแล้ว ทั้งเจ้าทั้งข้าก็จะซวยไปด้วยกัน อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ ในภายหลังเดียวเจ้าก็เข้าใจเอง”


“หนิวโหย่วเต๋อกับจ้านหรูอี้วรยุทธ์ห่างกันหนึ่งระดับ ถ้าลงมือสู้กันขึ้นมา แล้วหนิวโหย่วเต๋อตายด้วยน้ำมือจ้านหรูอี้จะทำยังไงขอรับ?” โป๋เยวถาม


เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบว่า “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตายก็แสดงว่าตัวเขาเองไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าจ้านหรูอี้ตายพวกเราก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้ ตอนนี้รู้รึยังว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ?”


โป๋เยวพูดไม่ออก…


“ทัพใหญ่หยุดก่อน อนุญาตให้นำผู้ติดตามมาได้สิบคนเท่านั้น” ทหารหัวหน้าที่ได้รับคำสั่งให้ห้ามไว้ตะโกนถ่ายทอดคำสั่งต่อทันที


กำลังพลทางซ้ายและขวาฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินมองไปที่จ้านหรูอี้ในทันที จ้านหรูอี้แสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมงานในกองมังกรดำ ทำไมหนิวโหย่วเต๋อต้องกินปูนร้อนท้องขนาดนี้?” จากนั้นก็มองซ้ายมองขวาต่อ “สิบคนตามข้ามา คนอื่นรออยู่ตรงนี้”


“นายท่าน…” หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของนางค่อนข้างกังวล ต่างก็รู้ว่านางมาเพื่อหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ กลัวว่าจะยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อ อีกทั้งฝั่งตัวเองก็มีคนแค่ไม่กี่คนที่เข้าไปได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะฝ่าวงล้อมทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามได้ยาก


จ้านหรูอี้ยกมือห้าม รู้ว่าพวกเขากำลังกังวลอะไร “ไม่ต้องห่วง! ข้ามีวิธีสู้กับเขาอยู่แล้ว ต่อให้มีคนเยอะกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์”


กำลังพลเบื้องล่างไม่สะดวกจะหักหน้านางท่ามกลางฝูงชน ทำได้เพียงเชื่อฟัง เลือกคนออกมาสิบคน แล้วเหาะตามหลังจ้านหรูอี้ไป ส่วนที่เหลือก็รออยู่ในดาราจักร


ทหารคนหนึ่งที่ฝั่งนี้ส่งออกไปนำพวกจ้านหรูอี้เข้ามาที่ดาวหกนิ้ว แค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ดวงนี้เลวร้ายขนาดไหน แม่น้ำสายยาวบนพื้นที่สีเขียวราวกับเป็นรอยแผลเป็นบนดาวเคราะห์ดวงนี้


เหมียวอี้ไว้หน้ามาก ก่อนที่จะมีเรื่องกัน อย่างไรเสียก็เป็นการเยี่ยมเยียนของเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกันของกองมังกรดำ เหมียวอี้ถึงได้นำลูกน้องออกมาต้อนรับนอกค่ายกลป้องกันด้วยตัวเอง


พวกจ้านหรูอี้เหาะลงมาจากฟ้า พอเหยียบลงตรงหน้าประตู เหมียวอี้ก็กุมหมัดทักทายอย่างร่าเริง “จ้านคนสวยให้เกียรติมาเยือน ดินแดนอันต่ำต้อยก็มีสง่าราศีขึ้นมา”


จ้านหรูอี้อยากจะตบปากคนสองสองคนจริงๆ คนแรกคือคนปากพล่อยอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง คนที่สองก็คือคนตรงหน้าที่เรียกตามเซี่ยโห้วหลงเฉิงว่า ‘จ้านคนสวย’ ต่อให้ตัวเองจะไต่เต้าขึ้นในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ แต่เมื่อถูกสองคนนี้เรียกแบบนี้ พลังอำนาจก็อ่อนแอลงสามส่วน แน่นอน ที่แค้นกว่าก็คือเจ้าเวรตรงหน้านี้ อยากจะฆ่าให้ตาย


“สภาพแวดล้อมเลวร้ายก่อให้เกิดผู้อยู่อาศัยเสนียดจัญไร!” จ้านหรูอี้เหลือบมองสภาพแวดล้อมซ้ายขวา พลางกล่าวตีวัวกระทบคราด จากนั้นก็กุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิวอย่าเติดเสนียดไปด้วยล่ะ”


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ต่อให้ติดเสนียดแต่ก็เทียบกับเจ้าไม่ติดหรอก! ที่บ้านมีทั้งอำนาจอิทธิพล อยากจะย้ายไปไหนก็ย้ายได้ พอธงพยัคฆ์น้ำเงินเกิดเรื่อง เบื้องบนก็มีคนมาช่วยเจ้าคุมให้ราบรื่นทันที นี่เจ้าเพิ่งจะมาถึงเองนะ แต่เบื้องบนก็เตือนมาแล้ว ว่าให้ข้ารับประกันความปลอดภัยของเจ้า ชีวิตที่สุขสบายแบบนี้ ต่อให้หนิวนอนฝันแต่ก็นึกไม่ถึง!” พอพูดถึงเรื่องนี้ก็เซ็งนิดหน่อย จ้านหรูอี้เป็นฝ่ายมาหาเขาถึงที่ แต่โป๋เยวกลับเตือนเขา ไม่อนุญาตให้เขาลงมือฆ่าจ้านหรูอี้


สิ่งที่จ้านหรูอี้เกลียดที่สุดก็คือการที่มีคนเอาภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนางมาคุย เพราะทำให้นางดูเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์ จึงแสยะยิ้มบอกว่า “ก็เหมือนกันนั่นแหละ มีแม่เฒ่าลวี่ดูแล พี่หนิวอยากจะดึงกำลังพลออกไปไหน แต่ขออนุญาตสองสามคำก็พอแล้ว แต่ข้ากลับโดนกลั่นแกล้งไปทุกที่ ไปขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ก็ได้รับคำเตือนจากเบื้องบนเหมือนกัน ว่าอย่าให้ข้าทำเกินขอบเขต” โป๋เยวเพิ่งจะเตือนนาง ไม่ให้นางเล่นเกินขอบเขต


เหมียวอี้เดาะลิ้นแล้วบอกว่า “การเปรียบเทียบของจ้านคนสวยช่างน่าสนใจจริงๆ ข้าน่ะโดนกดดันให้มา แต่เจ้ากลับเป็นฝ่ายถ่อมาเอง ทำเหมือนเจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรนักหนาอย่างนั้นแหละ ถ้าอยู่ที่กองมังกรดำแล้วไม่มีความสุขจริงๆ ก็รีบหนีไปสิ อาศัยภูมิหลังของเจ้า การจะมาจะไปก็เป็นเรื่องง่ายที่เอ่ยปากเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ทำไมต้องได้รับความมาเป็นธรรมด้วยล่ะ”


“เจ้านึกว่าตัวเองเป็นใคร ข้าอยากจะไปไหนมันก็เรื่องของข้า จำเป็นต้องให้เจ้ามาชี้นิ้วบอกด้วยเหรอ?” จ้านหรูอี้ถาม


“ก็ใช่ แต่ข้ามีบางอย่างจะแนะนำจริงๆ ฟังว่าจ้านคนสวยจะฟังไหว” เหมียวอี้ตอบ


“ว่ามา” จ้านหรูอี้กล่าว


เหมียวอี้จึงบอกว่า “อย่าดื้อด้านอีกเลย เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว หาคนที่เหมาะสมแล้วแต่งงานออกไปไวๆ หน่อย ทำไมต้องมาตามกลั่นแกล้งข้า คลอดลูกแล้วเสพสุขกับวาสนานั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น”


พอสองคนนี้เจอกันก็ปะทะกันซึ้งๆ หน้าแล้ว พออ้าปากพูดก็ปะทะคารมกัน ขนาดคำว่าคลอดลูกยังพูดออกมาได้ ผู้ติดตามของทั้งสองฝ่ายพากันเหงื่อออกหมดแล้ว


“เหลวไหล!” จ้านหรูอี้โมโหมาก พ่นคำหยาบออกทันที ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งเช่นกัน


นักพรตบงกชรุ้งสองคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า มาขวางอยู่ตรงหน้าเขา กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา


พอฝั่งนี้เคลื่อนไหว คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของจ้านหรูอี้ก็รีบก้าวขึ้นมาเช่นกัน กำลังพลสองฝั่งประจันหน้ากันแล้ว บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดในชั่วพริบตาเดียว


“หลีกไป!” จ้านหรูอี้ตะคอกคนให้ถอยออกไปทันที ถ้าจะแข่งจำนวนกำลังพลกันจริงๆ ฝ่ายนางมีไม่เยอะเท่าแน่นอน จึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เก่งแต่จะแข่งว่าใครมีพวกเยอะกว่ากันเหรอ? ถ้ากลัวแล้วก็บอกมาตรงๆ”


“กลัวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ แล้วโบกมือบอกใบ้ให้คนตรงหน้าถอยไปเช่นกัน แต่เหยียนซิวยังยืนอยู่ข้างหลังเขา เขาไม่กลัวเลยว่าจ้านหรูอี้จะเล่นตุกติก พูดตรงๆ เลยว่า “จ้านหรูอี้ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มาด้วยเจตนาดี บอกมาตรงๆ เถอะ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”


จ้านหรูอี้ “เรื่องระหว่างข้ากับเจ้า ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ทำให้มันจบๆ ไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วันนี้เจ้ากับข้าสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ ถ้าแพ้แล้วก็ตะโกนดังๆ สามครั้งว่า ‘ข้าสู้อีกฝ่ายไม่ได้’ กล้าสู้ตัวต่อตัวกับข้ามั้ยล่ะ!”


นี่ก็คือจุดประสงค์ที่นางมาที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ในปีนั้นที่แดนอเวจี นางโดนเหมียวอี้โจมตีทีเดียวจนสาหัส สิ่งนี้ติดอยู่ในใจนางมาตลอด เมื่อวรยุทธ์ถึงระดับบงรุ้งแล้วนางก็มีความมั่นใจในชัยชนะ และมีความมั่นใจที่จะควบคุมของวิเศษที่แข็งแกร่งกว่านั้นด้วย นางอยากจะคิดบัญชีกับเหมียวอี้ แต่จนใจที่ตอนอยู่จวนแม่ทัพภาคตงหัวมีปี้เยว่ข่มไว้ หลังจากมาที่นี่ก็โดนถ่วงเวลามาตลอดเพราะยังคุมลูกน้องให้สงบไม่ได้ ในที่สุดครั้งนี้ก็จะได้ลงมือแล้ว นางจะต้องระบายความโกรธแค้นนี้


เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปอะไรของเจ้า เป็นใครกันแน่ที่ไม่ยอมเลิกราเสียที?


แต่เขาก็ไม่ได้โง่ นักพรตบงกชรุ้งกับนักพรตบงกชทองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย ถ้าลงมือสู้จะต้องเสียเปรียบแน่ ผู้หญิงคนนี้มั่นอกมั่นใจเต็มที่ แสดงว่าจะต้องมีที่พึ่งพาแน่นอน ผีที่ไหนจะไปตัวต่อตัวกับนางล่ะ จึงปฏิเสธทันทีว่า “ไม่สนใจ!”


จ้านหรูอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียดังทันทีว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าเป็นตัวแทนธงพยัคฆ์น้ำเงินเพื่อท้าสู้กับเจ้า เจ้ากล้าเป็นตัวแทนธงพยัคฆ์ดำสู้แบบตัวต่อตัวตัวกับข้าเพื่อตัดสินแพ้ชนะมั้ยล่ะ ถ้าไม่กล้า ในภายหลังถ้ากำลังพลของธงพยัคฆ์ดำเจอธงพยัคฆ์น้ำเงินของข้า ก็จะต้องเดินอ้อมไปอย่างซื่อสัตย์หน่อย!”


เสียงนี้ดังก้องทั่วฟ้าดิน นี่เจ้าไม่กลัวกำลังพลทั้งกองทัพจะได้ยินเหรอ เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นับว่าโดนจ้านหรูอี้ควบคุมแล้ว ควบคุมจนหาบันไดลงไม่ได้ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)