พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1365-1366

 บทที่ 1365 เหมืองแร่ผลึกแดง

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้ซุนกับเจี่ยงกังวลหวาดหวั่นแล้วจริงๆ ซุนหมิงต้งถามว่า “เจ้ามีแผนอะไรมั้ย?”


หลูเอินหวงตอบว่า “นายท่านทั้งสองไปในนามการคุ้มกันนาง ส่งคนข้างกายไปเพิ่มด้วย เพิ่มนักพรตบงกชรุ้งผู้ติดตามไปยี่สิบคน แต่แบบนี้ยังรับประกันความปลอดภัยไม่ได้ จ้านหรูอี้ก็ไม่ได้ด้อยฝีมือเหมือนกัน กำลังรบของนางไม่ธรรมดา ถ้าบนตัวนางมีของวิเศษดีๆ ก็จะยิ่งยุ่งยาก ด้วยวงศ์ตระกูลของนาง การมีของวิเศษดีๆ สักชิ้นสองชิ้นเป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้นนายท่านทั้งสองกับผู้ติดตามทั้งยี่สิบคนควรจะพกกระเป๋าสัตว์ติดตัวไปคนละสามใบ สองใบซ่อนไว้ใต้เกราะ ก็จะมีหกสิบหกใบที่ใส่คนได้ แต่ละใบจะใส่ได้ห้าสิบคน เท่ากับว่าผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะมีกำลังพลติดตามสามพันคน พวกเราจะดึงกำลังพลมาจากทัพกลาง ดึงมาเงียบๆ แบบไม่ให้จ้านหรูอี้รู้ตัว มีกำลังพลสามพันแล้ว ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะใจกล้า แต่ผลที่ตามมาจากการฆ่าคนในกองทัพองครักษ์ จ้านหรูอี้จะกล้าเหมาว่าเป็นฝีมือตัวเองได้ยังไง แล้วต่อให้บนตัวนางจะมีของวิเศษดีๆ แต่ถ้าคิดจะต้านทานการโจมตีหมู่จากกำลังพลสามพันคนก็ยังยาก ถ้านางไม่ทำซี้ซั้วก็แล้วไป แต่ถ้ากล้าทำซี้ซั้วก็ต้องให้บทเรียนกับนาง แล้วอีกอย่าง ก่อนที่นายท่านทั้งสองจะออกเดินทางก็ให้แจ้งทางธงอินทรีสิบกองทัพทันที ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ให้คนทางนั้นรอรับก่อน พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพด้วย ว่าห้ามไม่ให้ลูกน้องใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกโดยพลการ จะทำแบบหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่าให้โอกาสจ้านหรูอี้ทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอน การสั่นคลอนหัวใจทหารคือข้อห้ามที่ร้ายแรงมาก!”


วังทงบอกว่า “วิธีการนี้ไม่เลวเลย ใช้กระเป๋าสัตว์ใสกำลังพลไว้หลายพันคน…เห็นแก่ภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนาง พวกเราอดทน ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังอ่านสถานการณ์ไม่ออกอีก ดึงดันจะทะเลาะวิวาทและโค่นล้มพวกเราให้ได้ ก็กำจัดนางตอนอยู่ระหว่างทางเสียเลย!”


ซุนหมิงต้งเอียงหน้ามองเจี่ยงสื้อฉีที่อยู่ข้างกัน “พี่เจี่ยงคิดว่ายังไง?”


“มีแต่ต้องเตรียมการแบบนี้แล้ว หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ฉีกหน้าทั้งๆ ที่พวกเราไว้หน้าแล้ว” เจี่ยงสื้อฉี


“ทั้งสามคน เช่นนั้นก็เตรียมการตามนี้แล้วกัน” ซุนหมิงต้งพยักหน้า


“รับทราบ!” วัง โหว หลูทั้งสามคนกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วรีบออกไปเตรียมการ


ที่กองมังกรดำ ในตำหนักไม้บนยอดเขา เนี่ยอู๋เซี่ยวเดินออกมาจากตำหนักด้านหลัง เขามองโป๋เยวที่รอพบอยู่ข้างในตำแหนักแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”


โป๋เยวรีบเดินไปข้างกายเขา แล้วบอกว่า “ทางธงพยัคฆ์น้ำเงินกำลังจะเกิดเรื่องแล้วขอรับ”


“อ้อ! เรื่องอะไรกัน?” เนี่ยอู๋เซี่ยวถามขณะที่เอามือไขว้หลังเดินออกนอกตำหนัก


โป๋เยวติดตามอยู่ข้างกาย “จ้านหรูอี้ต้องการจะไปลาดตระเวนที่จุดประจำการของธงอินทรีสิบกองทัพ นางสั่งให้ซุนกับเจี่ยงรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองติดตามไปด้วย แต่รองผู้บัญชาการทั้งสองแอบระดมกำลังพลสามพันคนจากทัพกลางซ่อนไว้ในกระเป๋าสัตว์ ทางธงอินทรีสิบกองทัพสั่งห้ามไม่ให้ใช้ระฆังดารา ข้ากังวลว่าพวกเขาจะลงมือกับจ้านหรูอี้ระหว่างทาง”


เนี่ยอู๋เซี่ยวหยุดฝีเท้าทันที ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ดูท่าแล้วคงจะได้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ” เขายังเดินไปข้างหน้าต่อ เดินไปริมหน้าผาแล้วทอดสายตามองหมู่ขุนเขาอยู่นานมาก สุดท้ายก็บอกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เรียกจ้านหรูอี้ ซุนหมิงต้งและเจี่ยงสื้อฉีให้มาที่กองมังกรดำ บอกให้พวกเขารีบมา ห้ามชักช้า”


“ขอรับ!” โป๋เยวเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ


และในตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินก็อยู่นอกผู้บัญชาการใหญ่ ซุนหมิงต้งกับเจี่ยงสื้อฉีนำคนกลุ่มหนึ่งมารอยู่นอกประตู


ผ่านไปครู่เดียว จ้านหรูอี้ก็เดินนำคนสองคนออกมา พอเดินออกประตูมาแล้วเห็นผู้ติดตามของซุนกับเจี่ยงเพิ่มขึ้นไม่น้อย นางก็เลิกคิ้วเบาๆ “รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง วันนี้มีคนข้างกายไม่น้อยเลยนะ!”


พอซุนกับเจี่ยงเห็นข้างกายนางนำคนมาแค่สองคน ก็อดไม่ได้ที่จะสบตากัน แอบใคร่ครวญว่าฝ่ายตัวเองคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่ซุนหมิงต้งก็ยังกุมหมัดคารวะตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางไกล พวกเราก็ต้องนำคนไปเยอะๆ เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของผู้บัญชาการใหญ่”


“หวังว่าคงจะไม่คิดวางแผนร้ายอะไรกับข้าหรอกนะ!” จ้านหรูอี้กล่าวแดกดันอย่างไม่เก็บสำรวมสีหน้า


“มิบังอาจ ผู้บัญชาการใหญ่พูดล้อเล่นแล้ว” ซุนหมิงต้งตอบ


จ้านหรูอี้โบกมือ “ไปกันได้…” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ก็สังเกตได้ว่ามีระฆังดาราส่งข่าวมา จึงโบกมือส่งสัญญาณให้รอก่อน แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อ ทำให้ทราบว่าอีกฝ่ายสั่งให้ตัวเองไปที่กองมังกรดำทันทีบอกว่าท่านแม่ทัพภาคมีเรื่องด่วนเรียกพบ ห้ามชักช้าเด็ดขาด


ขณะที่นางกำลังกลุ้มใจ ซุนหมิงต้งกับเจี่ยงสื้อฉีก็ทยอยกันรับข่าว ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนถลึงตาสลับกับหรี่ตาใส่กัน ทั้งสองฝ่ายต่างแอบเตรียมลงมือสังหารกัน ใครจะคิดว่าจู่ๆ ทางกองมังกรดำจะสอดไม้มาตีกวนแผนการของพวกเขาแล้ว


ที่จริงโป๋เยวก็ไม่รู้เช่นกันว่าจู่ๆ เนี่ยอู๋เซี่ยวเรียกพบคนพวกนั้นหมายความว่าอะไร เดาออกเพียงว่าท่านแม่ทัพภาคอยากจะหยุดยั้งการเข่นฆ่ากันเองของสองคนนั้น


ทว่าจนกระทั่งจ้านหรูอี้ ซุนหมิงต้งและเจี่ยงสื้อฉีมาถึงกองมังกรดำพร้อมกัน พอเนี่ยอู๋เซี่ยวเอ่ยปากก็ทำให้พวกเขางุนงงแล้ว


ซุนหมิงต้ง เจี่ยงสื้อฉีไม่ต้องกลับไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอีกแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวย้ายรองผู้บัญชาการทั้งสองของธงพยัคฆ์แดงไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว ส่วนซุนกับเจี่ยงก็ถูกย้ายไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์แดง เท่ากับสลับสลับตัวรองผู้บัญชาการของสองธง พร้อมทั้งสั่งย้ายวัง โหวและหลูเข้าไปอยู่ทัพกลางกองมังกรดำ แล้วสั่งให้โป๋เยวไปคุมที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วยตัวเอง


บนใบหน้าของโป๋เยวเต็มไปด้วยความงุนงง ก่อนหน้านี้ยังจงใจเหลือตัวป่วนของธงพยัคฆ์น้ำเงินเอาไว้ก่อกวนจ้านหรูอี้อยู่เลย ทำไมครั้งนี้ถึงช่วยจ้านหรูอี้เก็บตัว่วนแล้วล่ะ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างสงสัย “นายท่าน นี่…”


เนี่ยอู๋เซี่ยวยกมือห้าม “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เอาตามนี้แล้วกัน” เขาเองก็ไม่อยากบอกเหตุผล


ซุนกับเจี่ยงสบตากันอย่างพูดไม่ออก ย้ายตอหนามอย่างพวกเขาไปแล้ว ทั้งยังส่งรองแม่ทัพภาคไปคุมด้วยตัวเอง ชัดเจนว่ากำลังช่วยจ้านหรูอี้ให้ควบคุมธงพยัคฆ์น้ำเงินได้สำเร็จ


เจตนาดีนี้จ้านหรูอี้ก็รับรู้ได้เหมือนกัน แต่นางกลับไม่ต้องการเจตนาดีแบบนี้ นางเม้มริมฝีปากแน่น โมโหจนเกินทน นางอยากจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองด้วยมือตัวเอง การช่วยเหลือแบบนี้ถือเป็นความอัปยศสำหรับนาง นางอุตส่าห์เตรียมปล่อยหมัดหนักๆ แล้วเชียว แต่ใครจะคิดว่ากลับไม่มีที่ให้โจมตี…


โป๋เยวตามไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว มีโป๋เยวคอยเป็นอุปสรรคขัดขวาง การจัดระเบียบกำลังพลของจ้านหรูอี้ก็ก้าวหน้าอย่างราบรื่น เพียงแต่ต้องเก็บกลั้นความคับแค้นใจ โป๋เยวได้รับการฝากฝังมาจากท่านแม่ทัพภาค ว่าอย่าปล่อยให้นางทำซี้ซั้ว จะให้จ้านหรูอี้จัดระเบียบกำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพใหม่อย่างไรก็ได้ แต่ไม่ให้จ้านหรูอี้ไปทำอะไรบุ่มบ่ามกับผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพสักคน นำคนทั้งหมดที่จ้านหรูอี้พามาไปกดไว้ที่ทัพกลาง และกำชับจ้านหรูอี้ด้วย ว่าถ้ารอให้นางคุ้นเคยกับการบัญชาการรบของธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว ค่อยปรับปรุงตามประสงค์ของนางก็ยังไม่สาย ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อน อย่าทำอะไรซี้ซั้ว


ทำซี้ซั้วงั้นเหรอ จ้านหรูอี้จำต้องถามว่า “แล้วทำไมหนิวโหย่วเต๋อสามารถจัดระเบียบกำลังพลที่ธงพยัคฆ์ดำได้ตามอำเภอใจล่ะ?”


“หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ได้โยกย้ายผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพเช่นกัน” โป๋เยวกล่าว


จ้านหรูอี้จึงบอกว่า “นั่นเป็นเพราะเขาพาคนที่ใช้งานได้ไปด้วยไม่พอ ไม่อย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่โยกย้าย! รองแม่ทัพภาคโป๋ ถ้าพวกท่านจงใจกลั่นแกล้งข้า ข้าก็จะพูดตรงๆ เลยนะ ถ้ามัวทำตัวเป็นเป็นอุปสรรคขัดขวางทุกอย่างแบบนี้ แล้วข้าจะทำงานได้ยังไง ไม่ต้องเป็นก็ได้มั้งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินเนี่ย!”


“เป็นอุปสรรคขัดขวาง?” โป๋เยวหัวเราะเย้ย “ตอนนี้เจ้าควบคุมทัพกลางได้แล้ว ก่อนจะพูดคำนี้ออกมา ทางที่ดีเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์การโยกย้ายกำลังพลของของวัง โหว หลูที่อยู่ในทัพกลางก่อนเถอะ อย่ามายืนพูดแล้วบอกว่าไม่ปวดเอว[1]อยู่ที่นี่ กองมังกรดำพูดจากันด้วยเหตุผล ในกองทัพต้องเคารพความยุติธรรมพื้นฐาน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าช่วยคนทำเรื่องลำเอียงแบบนี้ ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน เจ้าจะอยากเป็นหรือไม่อยากเป้นก็ตามใจ ที่กองมังกรดำมีคนมาเสริมชดเชยอยู่แล้ว!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไป


จ้านหรูอี้ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดหมายความว่าอะไร จึงสั่งให้ลูกน้องไปสืบเรื่องการระดมกำลังพลของทัพกลางก่อนหน้านี้ทันที


ตอนที่สืบรู้ว่าครั้งก่อนตอนที่นางเตรียมจะลงมือจัดการซุนกับเจี่ยง ซุนและเจี่ยงจึงเตรียมทหารที่เก่งกาจไว้สามพันคนเพื่อจัดการนาง จ้านหรูอี้ก็หน้าซีดทันที ถึงได้รู้ว่าตัวเองเลอะเลือนไป สนใจแต่จะสู้กับหนิวโหย่วเต๋อจนเกือบพาตัวเองไปตกอยู่ในความตาย ที่จริงเป็นกองมังกรดำที่ยื่นมือเข้ามาช่วยนางได้ทันเวลา


ไม่ต้องพูดถึงนางแล้ว ลูกน้องพวกนั้นของเขาก็ถูกทำให้ตกใจแล้วเหมือนกัน ถ้าครั้งนั้นก้าวเท้าออกไปจริงๆ เกรงว่าคงไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีใครรอดกลับมาสักคน น่าหวาดเสียว!


รู้สึกพ่ายแพ้! จ้านหรูอี้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างลึกซึ้ง ทำให้นางอารมณ์ตกต่ำมากอยู่สักพัก…


ในอุโมงค์เหมืองแร่แห่งหนึ่งที่ขุดจนลึก ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่กลับใความรู้สึกมหัศจรรย์เกี่ยวกับการมองเห็น มีแสงระยิบระยับขมุกขมัว บนผนังหินเต็มไปด้วยทรายระยิบระยับ ในนั้นฝังเลี่ยมผลึกแดงรูปแบบต่างๆ เอาไว้


เหมียวอี้เดินมาถึงก้นอุโมงค์พร้อมกลุ่มลูกน้อง แล้วเอามือลูบคลำผนังหินที่เปล่งแสงระยิบระยับ


นี่คือเหมืองสายแร่ผลึกแดงแห่งหนึ่งที่ถูกพบใหม่ในอาณาเขตที่ธงพยัคฆ์ดำประจำการชั่วคราว หลังจากสำรวจออกมาได้แล้ว ธงพยัคฆ์ดำก็รีบส่งคนมาควบคุมทันที เหมียวอี้ได้ยินข่าวและมาตรวจดู ที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในเหมืองเหรียญผลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมืองแร่ผลึกแดง


ใช้นิ้วแกะผลึกแดงก้อนหนึ่งที่ฝังเลี่ยมอยู่บนผนังหิน มีเสียงดังแกร๊ก แต่ด้วยวรยุทธ์ของเขา ต้องอาศัยแรงเยอะมากกว่าจะแกะลงมาได้ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันของเหมืองเหรียญผลึกแข็งแกรงทนทานมาก เก็บไม่ได้ง่ายๆ แต่นี่ก็ยังเป็นประสบการณ์ครั้งแรก


ปั้ง! จู่ๆ เหมียวอี้ก็ใช้ฝ่ามือถล่มไปบนผนังหินอีกหนึ่งครั้ง ผนังหินระเบิดออกมาก้อนหนึ่ง ลอยกระจายอยู่กลางอากาศ แต่ที่แปลกก็คือ หลังจากจุดเล็กๆ ที่เปล่งแสงระยิบระยับแปลกเป็นผุยผง แสงขมุกขมัวก็ค่อยๆ จางหายไป


แต่ในผนังหินที่โดนฝ่ามือตีไปหนึ่งทีกลับนมีเสียงดังโครมครามไม่หยุด ดังจากใกล้ไปไกล ดังไกลไปถึงใต้ดิน แล้วก็ดังแว่วกลับมา


เหมียวอี้แปลกใจทันที กดฝ่ามือบนผนังหินอีกครั้ง ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอย่างช้าๆ เขาศึกษาความลี้ลับที่ทำให้ขุดเก็บเหมืองเหรียญผลึกได้ยาก ที่สำคัญเป็นเพราะโครงสร้างของแร่รวมมหัศจรรย์มาก ความแข็งแรงทนทานเป็นเพียงส่วนหนึ่ง วิธีการกำจัดแรงชัดเจนมาก สามารถถ่ายทอดพลังโจมตีที่ตอนขุดไปยังจุดที่ลึกและไกลมากได้ถึงได้ทำให้พลังอ่อนแอลง พอเป็นแบบนี้ ที่เหลือก็แค่ต้องอาศัยเครื่องช่วยขุดนิดหน่อยเท่านั้น จักรวาลกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ


เหมียวอี้ครุ่นคิดว่าจะนำเยารั่วเซียนมาศึกษาที่นี่ได้หรือไม่ ดูว่าจะสามารถนำวิธีการกำจัดแรงแบบนี้ไปใช้กับอาวุธได้หรือไม่ แต่พอลองเปลี่ยนมุมมองก็พบว่าตัวเองคิดมากไป โครงสร้างการกำจัดแรงประเภทนี้จะต้องมีระความกว้างที่เพียงพอ จะให้แบกอาวุธที่ใหญ่เหมือนภูเขาไว้บนตัวก็ดูจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ถ้าใช้งานได้จริงก็คงไม่ถึงคราวของเขาหรอก คงจะมีคนนำไปใช้ประโยช์นานแล้ว


ก็แค่คิดดูเท่านั้นเอง จากนั้นพวกเขาก็เดินออกมาจากห้องถ้ำ เหมียวอี้บอกว่า “ส่งคนมาดูไว้ให้ดี อย่าให้โดนคนขโมยไป ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางรายงานกับเบื้องบนได้”


ลิ่งหูหลานจื่อ ผู้บัญชาการธงอินทรีดินที่รับผิดชอบเขตนี้กล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องห่วง สั่งให้ผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งนำคนมาเฝ้าที่นี่ไว้แล้ว ถ้าพบความผิดปกติอะไรจะรายงานขึ้นไปทันที”


พอออกจากห้องถ้ำ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว รอบข้างหนาวเย็นรกร้าง ถ้าไม่ใช่เพราะสำรวจค้นพบ ใครจะไปรู้ว่าบนดาวเคราะห์ที่ไม่มีใครพูดถึงนี้จะซ่อนเหมืองสายแร่ผลึกแดงเอาไว้


หลังจากเดินมองรอบๆ แล้ว เห็นรองผู้บัญชาการมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงที่มาด้วยกันกำลังดึงลิ่งหูหลานจื่อไปคุยด้วยอยู่ไม่ไกล เหมียวอี้ก็เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกสวีถังหรานที่อยู่ข้างกัน “ให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน นี่ใกล้จะครึ่งเดือนแล้วนะ”


สวีถังหรานตอบว่า “นายท่านไม่ต้องห่วง ข้าน้อยมีแผนในใจแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมลงมือแล้ว จะว่าไปก็น่าขำ หลังจากข้าน้อยหยั่งเชิงดูแล้วถึงได้พบว่า ผู้หญิงสองคนนี้เหมือนจะไม่รู้ว่าคนนอกรู้แล้วว่าพวกนางเป็นชู้รักของรองแม่ทัพภาคโป๋ และต่างคนต่างไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์พิเศษกับรองแม่ทัพภาคโป๋”


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ เรื่องแบบนี้ปกติมาก อยู่ดีๆ ใครจะไปเที่ยวบอกคนอื่นว่าคนนั้นเป็นชู้กับคนนี้ นั่นไม่ใช่การยั่วโมโหหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ เรื่องแบบนี้ตัวหลักของเรื่องมักจะรู้เป็นคนสุดท้าย ตอนแรกมู่หรงซิงหัวก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นึกว่าทุกคนไม่รู้เรื่องระหว่างนางกับเฉาว่านเสียง เพียงมู่หรงซิงหัวค่อนข้างโชคร้าย ดันไปเจอกับคนขาดคุณธรรมที่ไม่ไว้หน้าใครอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง จึงถูกเปิดโปงต่อหน้าสาธารณชน ไม่อย่างนั้นก็คงจะต้องหลอกตัวเองไปทั้งชีวิต


เขาเดาว่าโป๋เยวก็คงไม่รู้หมือนกันว่าทุกคนนินทาลับหลังเขา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยัดผู้หญิงสองคนนี้มาที่นี่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย


“เจ้ารีบลงมือแล้วกัน ต้องอุดปากพวกนางสองคนไว้ ข้าถึงจะนำกำลังพลไปเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนได้สะดวก” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง


สวีถังหรานเบิกตากว้างพูดไม่ออก ไม่หรอกมั้ง เจ้าจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงเหรอ? แต่เพราะครั้งก่อนโดนแส้เฆี่ยนสั่งสอน เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้าตอบทันทีว่า “ได้ขอรับ ตอนนี้ข้าน้อยจะไปยุให้รำตำให้รั่ว ให้นายท่านได้ดูอะไรสนุกๆ สักหน่อย”


…………………………


[1] ยืนพูดแล้วบอกว่าไม่ปวดเอว 站着说话不腰疼 อุปมาว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ


บทที่ 1366 เป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบ

Ink Stone_Fantasy

ยุให้รำ ตำให้รั่ว? เหมียวอี้กลับเริ่มสนใจแล้ว ไม่รู้ว่าสวีถังหรานจะยุให้รำ ตำให้รั่วอย่างไร ชำเลืองมองเขาที่เดินจากไป


รองผู้บัญชาการทั้งสองเกรงใจมาก! ลิ่งหูหลานจื่อที่กำลังรับมือกับพวกนางพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารองผู้บัญชาการทั้งสองกำลังหาพวก


สำหรับชื่อเสียงของสองคนนี้ มีหรือที่นางจะไม่เคยได้ยินข่าว ในฐานะที่เป็นผู้หญิง จึงไม่อยากจะคบกับคนที่จะทำให้ชื่อเสียงตัวเองเสียหายไปด้วย ทว่าพวกนางทั้งสองมีรองแม่ทัพภาคโป๋เยวหนุนหลัง คงไม่ดีถ้าจะไปขัดใจ ทำได้เพียงเสแสร้งทำตัวเป็นมิตร นอกจากนี้ นางก็ไม่รู้ด้วยว่าผู้บัญชาการใหญ่มีเจตนาอะไร จนทุกวันนี้ยังไม่แบ่งธงอินทรีที่รองผู้บัญชาการทั้งสองดูแลออกมาเลย ไม่รู้ว่าในภายหลังใครจะได้เป็นผู้บังคับบัญชาของตน แบบนี้ยิ่งไม่กล้าล่วงเกิน


จู่ๆ นางก็แววตาวูบไหว สังเกตเห็นว่าผู้บัญชาการทัพกลางสวีถังหรานที่อยู่ไม่ไกลกำลังส่งสายตาให้นาง นางยังไม่สนิทกับสวีถังหรานจนถึงขั้นมองตาก็รู้ใจ แต่สวีถังหรานมีกลลวงเยอะมาก จู่ๆ เผยฝ่ามือให้เห็น ตรงฝ่ามือเขียนเอาไว้ว่า : ล่อออกไปหนึ่งคน


ดังนั้นลิ่งหูหลานจื่อจึงเข้าใจว่าการที่สวีถังหรานส่งสายตาให้หมายความว่าอะไร ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมสวีถังหรานต้องการให้นางทำแบบนี้ แต่ก็รู้ว่าจะต้องมีเหตุผลแน่นอน กอปรกับในสายตาของทุกคนในธงพยัคฆ์ดำ สวีถังหรานถือเป็นลูกน้องคนสนิทที่สุดของผู้บัญชาการใหญ่ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่ก็ได้ นางย่อมต้องปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว


ลิ่งหูหลานจื่อมีตัวอย่างให้เลียนแบบ จึงส่งสายตาให้ชวีหย่าหงเช่นกัน ชวีหย่าหงเข้าใจ เอามือลูบผมนิดหน่อย แล้วเดินเข้ามาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ผู้บัญชาการลิ่งหู ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไปเดินดูเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”


“เชอะ!” มู่อวี่เหลียนพ่นเสียงทางจมูก แล้วพูดพึมพำเหมือนเหน็บแนม “มีใครบ้างที่ไม่ได้มาครั้งแรก”


ลิ่งหูหลานจื่อทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าเดินตามชวีหย่าหงไปแล้ว


พอสองคนนั้นเดินออกไปแล้ว สวีถังหรานก็ทำตัวราวกับคนว่างงาน ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “นายท่านมู่ ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ?”


มู่อวี่เหลียนบุ้ยปากไปทางเงาหลังของคนสองคนที่เดินออกไป “ผู้บัญชาการสวี อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ เจ้าเห็นพวกนางสองคนรึยัง? คนอื่นอาจจะไม่รู้จักนิสัยชวีหย่าหงดี แต่ข้ากลับรู้ดีมาก ผู้หญิงคนนี้กำลังหาพวกอีกแล้ว เจ้าเป็นคนที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ ควรจะเตือนให้ผู้บัญชาการใหญ่ระวังตัวไว้หน่อยนะ”


“เฮ้อ!” สวีถังหรานส่ายหน้า เม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วถามว่า “พวกนางสองคนไปหลบทำอะไรกันลับๆ ล่อๆ?”


“ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน” มู่อวี่เหลียนตอย


สวีถังหรานพยักหน้าอีก เอามือลูบหนวดสั้นๆ ที่คางพลางครุ่นคิด แล้วพูดอึกๆ อักๆ “นายท่านมู่ มีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าข้าควรจะบอกดีมั้ย”


มู่อวี่เหลียนหันกลับไปมองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร จึงเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการสวี พวกเราสนิทกันขนาดนี้ ยังมีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดอีกล่ะ มีอะไรก็พูดมาได้เลย”


สวีถังหรานเหลียวซ้ายแลขวา แล้วบอกว่า “นายท่านมู่ ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา เหมือนข่าวจะปล่อยมาจากนายท่านชวี”


“ข่าวลืออะไร?” มู่อวี่เหลียนแปลกใจ


“เอ่อคือ…อันนั้น…” สวีถังหรานพูดตะกุกตะกัก แล้วก็ทำท่าเหมือนแข็งใจพูดว่า “นายท่านมู่ระวังเอาไว้นะ ช่วงนี้มีข่าวลือว่านายท่านมู่เป็นชู้รักของรองแม่ทัพภาคโป๋ อาศัยเส้นสายของผ้าคาดกระโปรงถึงไต่เต้าขึ้นมาอยู่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่ได้” คำพูดนี้คือเรื่องจริง


ร่างงามของมู่อวี่เหลียนสั่นเล็กน้อย ใบหน้าสวยซีดขาวในทันที แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เหลวไหล! เจ้าแน่ใจเหรอว่าฝั่งชวีหย่าหงเป็นคนปล่อยข่าว?”


“เปล่าๆๆ ก็แค่ได้ยินมาเฉยๆ ข้าไม่ได้มีหลักฐานอะไร” สวีถังหรานรีบโบกไม้โบกมือ ทำราวกับว่าพูดผิดไป พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วรีบหนีไปเลย


ผ่านไปไม่นาน ถือโอกาสตอนที่ลิ่งหูหลานจื่อเดินออกไปและทิ้งชวีหย่าหงให้อยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าสวีถังหรานโผล่มาจากไหนอีก เข้ามาอยู่ข้างกายชวีหย่าหง หลังจากทำทู่ดคุยกันลับๆ ล่อๆ แล้ว สวีถังหรานก็พูดเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด “นายท่านชวีระวังไว้หน่อยนะ ช่วงนี้มีข่าวลือว่านายท่านชวีเป็นชู้รักของรองแม่ทัพภาคโป๋ อาศัยเส้นสายของผ้าคาดกระโปรงถึงไต่เต้าขึ้นมาอยู่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่ได้”


ชวีหย่าหงยืนเหม่อค้างอยู่กับที่ เหมือนจะมึนงงนิดหน่อย หลังจากได้สติกลับมาแล้ว แล้วกล่าวพร้อมหายใจถี่ด้วยความโมโห “เหลวไหลสิ้นดี! ข้าจะฉีกปากนางตัวดีนั่น!”


“นายท่านชวี…” สวีถังหรานรีบยื่นมือไปห้ามนาง “ข้าก็แค่ได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานชี้ว่านายท่านมู่เป็นคนพูด ถ้านายท่านชวีไปเปิดโปงนางตรงนั้นเลย จะไม่ทำให้ทุกคนรู้กันหมดหรอกเหรอ แบบนั้นเป็นการทำลายชื่อเสียง อันดีงามของนายท่านชวี”


ชวีหย่าหงเรียกได้ว่าเดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหน้าแดง คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าไปฉีกหน้ามู่อวี่เหลียนต่อหน้าสาธารณะ ถ้ามู่อวี่เหลียนตะโกนออกมาต่อหน้าฝูงชน แบบนั้นก็…


สวีถังหรานไม่ได้มีเจตนาจะอยู่ต่อด้วย เมื่อเห็นยืนกัดฟันโดยไม่พูดอะไร ก็กุมหมัดคารวะแล้วเดินออกไปเงียบๆ


ระจนกระทั่งลาดตระเวนฝั่งนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง ตอนที่เหมียวอี้เรียกรวมกำลังพลเตรียมจะกลับ ก็เห็นได้ชัดว่ามู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงสีหน้าแย่มาก บางครั้งทั้งสองก็สบตากันด้วยสายตาเคียดแค้น


รอจนกระทั่งสวีถังหรานเดินเข้ามาใกล้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ผู้หญิงสองคนนั้นทำหน้าบูดบึ้ง เจ้าทำอะไรพวกนางไป?”


สวีถังหรานมองซ้ายมองขวาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พวกนางสองคนเป็นผู้บังคับบัญชาของข้า ข้าจะไปกล้าทำอะไรพวกนางได้ยังไง แค่พูดความจริงก็เท่านั้นเอง ก็แค่…” เขาบอกเรื่องเด็ดที่ตัวเองทำให้เหมียวอี้ฟัง


เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเวรนี่ถนัดทำเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสันดานหมาชอบกลับไปกินขี้ ช่างเป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบจริงๆ


สวีถังหรานไม่ละอายใจ กลับรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ เอาแต่หัวเราะหึหึอยู่ตรงนั้น “ต่อไปผู้หญิงสองคนนี้จะต้องทะเลาะกันแบบไม่ตายไม่เลิกแน่นอน ถ้านายท่านเป็นคนกลางไกล่กลี่ย น่าจะช่วยลดความยุ่งยากให้นายท่านไม่น้อย”


“เจ้าไม่กลัวเหรอว่าพวกนางสองคนจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้โป๋เยวรู้ ถ้าโป๋เยวเรียกทั้งสองฝั่งไปถาม ก็จะพบทันทีว่าเจ้าเป็นคนยุยง” เหมียวอี้กล่าว


สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ ข้าได้ยินมาจากพวกลูกน้อง เรื่องนี้แพร่ไปทั่วแล้ว ข้าเองก็ได้ยินมาจากลูกน้องจริงๆ ถ้ารองแม่ทัพภาคโป๋ไม่เชื่อก็ส่งคนมาสืบสวนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าได้เลย แล้วอีกอย่าง ข้าว่ารองแม่ทัพภาคโป๋คงไม่ดึงพวกนางสองคนมาถามยืนยันด้วยกันหรอก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ลักลอบแบบให้ใครเห็นไมได้ รองแม่ทัพภาคโป๋คงจะไม่อยากให้ผู้หญิงทั้งสองรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับอีกฝ่าย ถ้าเปิดเผยขึ้นมาจริงๆ ก็ถึงคราวที่รองแม่ทัพภาคโป๋จะได้ปวดหัว ถึงตอนนั้นคอยดูว่าเขาจะช่วยฝั่งไหน”


เหมียวอี้เบาะข้างเดียว แล้วถามว่า “แล้วตอนหลังเจ้าเตรียมจะทำยังไงต่อ?”


สวีถังหรานเปิดเผยให้ฟังทันที…


เหมียวอี้ได้ฟังแล้วหนังตากระตุก ถามเสียงเรียบว่า “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเจ้ารับผิดชอบคนเดียวนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านะ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” พูดจบก็กวักมือเรียกข้างหลัง แล้วเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน ราวกับอยากจะอยู่ให้ห่างจากสวีถังหรานสักหน่อย


หลังจากนั้นสองวัน ที่สำนักหกนิ้ว แดนที่หนาวเย็นรกร้าง พื้นดินสีเหลืองที่ไร้ขอบเขตสูงต่ำไม่เสมอกัน พอลมพัดมาวูบหนึ่ง ก็ม้วนฝุ่นสีเหลืองตลบอบอวลขึ้นมา


ฝุ่นเหลืองซัดสาดผ่านไปราวกับมังกรกลิ้งบนพื้น เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านท้องฟ้าลงมา เหยียบลงบนเนินดินสีเหลืองแล้วมองไปรอบๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือสวีถังหรานนั่นเอง


หินก้อนใหญ่ใต้เนินดินกลิ้งออก เผยอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่งออกมา ชายชราชุดดำคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากอุโมงค์นั้น เป็นสหายเก่าของสวีถังหราน เหมียวอี้ก็รู้จักเขาเช่นกัน หวงเสี้ยวเทียน ปีศาจสิงโตที่พากลับมาจากสถานที่ไร้ชีวิตในปีนั้น ตอนนี้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจของสวีถังหราน หลายปีมานี้พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในที่ลับ คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้งที่ตลาดสวรรค์ สมคบคิดกันทำเรื่องไม่ดี คนหนึ่งเป็นขุนนางที่ตลาดสวรรค์ คนหนึ่งภายนอกทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ แต่ลับหลังค้าขายอยู่ในตลาดมืด ไม่รู้ว่าการร่วมหุ้นของสองคนนี้ได้สร้างคดีใส่ร้ายไว้มากเท่าไรแล้ว กอบโกยไปแล้วไม่น้อยเลย


หวงเสี้ยวเทียนกวักมือเรียกสวีถังหรานที่อยู่ข้างบน สวีถังหรานถลันตัวลงมา แล้วทั้งสองก็ทยอยกันเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน พอหวงเสี้ยวเทียนกวักมือ หินก้อนใหญ่ก็กลิ้งกลับมาปิดอุโมงค์ไว้


ในอุโมงค์มีไข่มุกราตรีหลายลูก สว่างทั่วถึง หวงเสี้ยวเทียนโค้งหัวกุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง “ยินดีด้วยที่นายท่านได้เลื่อนขั้น”


“ยินดีบ้าอะไรล่ะ ก็ยังเป็นผู้บัญชาการเหมือนเดิม” สวีถังหรานกล่าว


หวงเสี้ยวเทียนยิ้มสู้ “แต่นั่นไม่เหมือนกันแล้ว ตอนที่นายท่านอยู่ที่ตลาดสวรรค์มีผู้บัญชาการไม่กี่คน แต่ตอนนี้ได้บัญชาการกำลังพลนับหมื่นแล้วจริงๆ ทั้งยังเป็นกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์อีกด้วย ทรัพยากรอาจจะน้อยลงนิดหน่อย แต่ฐานะต่างออกไปแล้ว อนาคตก็ยิ่งยาวไกล เมื่อมีอำนาจแล้ว ในภายหลังยังจะกลัวไม่รวยอีกเหรอ”


สวีถังหรานโบกมือ “อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นเลย ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ?”


หวงเสี้ยวเทียนร้องไอ๊หยา แล้วตอบด้วยท่าทางจริงใจว่า “นายท่าน ท่านไม่ยุติธรรมกับข้าเลยนะ การคิดหาวิธีเอาของมาให้ได้นั้นต้องใช้เวลา ท่านเร่งข้าแบบนี้ การที่ข้าหาของมาได้ในเวลาอันสั้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว”


“รีบนำของออกมาให้ข้าดู” สวีถังหรานตาเป็นประกายเล็กน้อย


หวงเสี้ยวเทียนพลิกมือนำกล่องหยกดำที่ประณีตงดงามออกมาใบหนึ่ง กล่องเล็กขนาดเท่าขนมแป้งปิ้งวางบนฝ่ามือ พอเปิดฝากล่องออกเบาๆ ก็เห็นสิ่งของที่เลี้ยงเกลาดุจหยกบรรจุอยู่ในนั้น เปล่งรัศมีสีส้มเล็กน้อย


สวีถังหรานแย่งมาไว้ในมือ พลิกดูไปมา แล้วเอามาจ่อดมตรงจมูก แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “เฒ่าหวง เจ้าอย่าปิดบังข้านะ ของเล็กเท่านี้จะใช้ได้ผลจริงๆ เหรอ? ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ ถ้าทำข้าเสียเรื่อง เจ้าก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีมีสุขเลย”


หวงเสี้ยวเทียนทำท่าเหมือนเจ็บใจปวดหัว ส่ายหน้าบอกว่า “นายท่าน อย่าไปมองว่าของมันน้อย เพื่อของเล็กน้อยเท่านี้ ข้าจ่ายเงินไปเยอะมากนะ ข้าเองก็บังเอิญได้ยินจากปากคนอื่นว่าในตลาดมืดมีคนมีสิ่งนี้ ได้ยินว่ามีคนฆ่าสายลับของหน่วยตรวจตรวจการฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์แล้วได้มา เป็นสินค้าที่ปรุงขึ้นลับๆ คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินมันด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้ของสิ่งนี้มา นอกจากข้าจะสิ้นเปลืองเงินแล้ว ก็ยังสิ้นเปลืองความคิดอีก กลัวว่าจะชักช้าเสียเวลานายท่าน ถึงขั้นจ้างนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพให้คุ้มกันมาส่งที่นี่ด้วย ท่านคิดดูสิว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากขนาดไหน”


“หน่วยตรวจตรวจการฝ่ายซ้าย จริงหรือโกหก” สวีถังหรานพึมพำ แล้วพลิกดูซ้ำไปซ้ำมาต่อไป แล้วก็ดมอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้กลิ่นอะไร


“ข้าเองก็ไม่รู้จริงหรือโกหก ถึงยังไงเขาก็พูดมาแบบนั้น แต่นี่เป็นของดีจริงๆ เอามาใช้ยั่วยวนเพศตรงข้ามได้ดีสุดๆ เลย” หวงเสี้ยวเทียนกล่าว


“ของสิ่งนี้ใช้ยังไง?” สวีถังหรานถาม


หวงเสี้ยวเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วก็หยิบของกลับมาจากมือเขา ชี้ไปที่ของพร้อมอธิบายว่า “นายท่านรู้รึเปล่าว่านี่คืออะไร นี่คืออารมณ์ราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ขอเพียงกินเข้าไปนิดเดียว เหอะๆ นายท่านก็น่าจะรู้ถึงผลที่ตามมาแล้ว”


สวีถังหรานตาเป็นประกายมาก เขาย่อมรู้ว่ากินอารมณ์ราคะไปแล้วจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “อารมณ์ราคะก็เหมือนกับแสง ระเหยง่ายมาก ขังไว้ในนี้ได้ยังไง?”


หวงเสี้ยวเทียนส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง สาเหตุจะต้องอยู่ในวัตถุเหลวแน่นอน ตอนที่นายท่านใช้งานมัน แค่ใช้เล็บขูดนิดเดียวแล้วดีดลงในน้ำสุราก็พอ ของสิ่งนี้ดูเหมือนปกติ แต่หลังจากรวมกับน้ำสุราแล้วจะมีสรรพคุณอัศจรรย์มาก พอโดนน้ำสุรามันก็จะไร้รูปร่างทันที ไร้สีไร้กลิ่น ไม่สามารถสังเกตเห็นได้เลย พอดื่มลงท้องไปแล้วเหอะๆ…” ทำท่าเหมือนรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย


สวีถังหรานเลิกคิ้ว ในดวงตาฉายแววจินตนาการเล็กน้อย จากนั้นก็แย่งกล่องหยกดำนั่นมาปิดฝาไว้ แล้วเก็บไว้กับตัวเอง ก่อนจะถามอีกว่า “คนล่ะ?”


พอหวงเสี้ยวเทียนโบกมือ ก็มีชายหน้าตาหล่อละมุนสี่คนถูกเรียกออกมาจากกระเป๋าสัตว์ทันที


พอสวีถังหรานเหลือบตามอง ก็เบิกตากว้างอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว ตรงหน้าเป็นผู้ชายสี่คนที่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)