ลำนำบุปผาพิษ 1363-1368
บทที่ 1363 ราวกับมีประสบการณ์โชกโชน (2)
เตียงเมฆาหลังนั้นอบอุ่น เธอนอนหงายบนเตียงแทบจะไม่รู้สึกหนาวเลย กลับมีกระแสความอบอุ่นจางๆ ส่งผ่านจากบนเตียงมายังแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอ
ใช่แล้ว เบื้องหลังที่เปลือยเปล่า การสะบัดของตี้ฝูอีเมื่อสักครู่ไม่เพียงแต่ใช้วิชาชำระล้างอันแข็งแกร่งให้เธอ ซ้ำยังถือโอกาสถอดเสื้อผ้าเธอทั้งหมดด้วย
“ท่าน…รีบร้อนขนาดนี้เลย…”
หัวใจกู้ซีจิ่วแทบจะกระโดดออกมา มือทั้งสองข้างผลักแขนเขาเบาๆ เขาโน้มตัวลงมา น้ำเสียงแหบพร่าราวกับกำลังควบคุมลาวาที่เดือดพล่าน “ใช่ ข้ารีบร้อนนัก…”
เรื่องราวต่อจากนี้เธอก็พูดต่อไม่ได้แล้ว ด้วยถูกเขาผนึกไว้ด้วยจุมพิต…
…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วแทบจะเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงไม่อยากขยับไปไหน ในที่สุดเธอก็ได้รับรู้ถึงความรีบร้อนของเขาแล้ว…
สมกับที่เป็นเทพ ร่างกายมิอาจหาคำมาบรรยายได้ พายุฝนพัดกระหน่ำตลอดหนึ่งชั่วยามเต็ม…
อีกทั้งทักษะของเขาช่ำชองกว่าครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าอะไรคือการลอยล่องราวเทพเทวะ อะไรคือไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ การเคลื่อนไหวเช่นนั้นทำให้คนเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำ ประหนึ่งมีเพียงเขาและเธอบนโลกใบนี้ มีเพียงการเคลื่อนไหวอันเร่าร้อนดิบเถื่อน…
ท้ายที่สุด เธอเหน็ดเหนื่อยจนแม้แต่ปลายนิ้วยังไม่อยากกระดิก แต่เขากลับกระปรี้กระเปร่าประดุจหมาป่าที่สุขสมอารมณ์หมาย อดทนชำระล้างให้เธอ
เนื่องจากเป็นครั้งที่สอง อีกทั้งเขาไม่เหมือนคนทั่วไป เธอยังคงเจ็บและมีอาการบวมเล็กน้อย หลังจากชำระล้างเสร็จสิ้น เขาหยิบยาชนิดหนึ่งออกมา เตรียมจะทาให้เธอ…
ใบหน้ากู้ซีจิ่วแดงก่ำดั่งลูกมะเขือเทศ แม้แต่เรื่องที่สนิทชิดเชื้อที่สุดก็ทำแล้ว ทว่าให้เขาทาตรงนั้น…
เธอฝืนเอื้อมจับมือเขา “ข้า…ข้าทาเอง…คือว่า ไม่ใช่สิ ความจริงไม่ต้องทายาหรอก…” ความเจ็บปวดเช่นนี้ฟื้นฟูแค่นิดหน่อยก็หายแล้ว หรือไม่ต้องฟื้นฟูก็ได้…
มือไม้เธออ่อนปวกเปียก ย่อมหยุดยั้งเขาไม่ไหว
“ใช้ยาทาจะได้หายเร็วๆ เจ้าจะได้ไม่เจ็บปวด” ตี้ฝูอีจับมือทั้งสองข้างที่ดิ้นรนของนางด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งทายาให้นางอย่างเบามือ
ความรู้สึกที่แตกต่างไปทำให้ใบหน้าเธอแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เธอแทบจะไม่กล้าลืมตา อยากยกขาขึ้นมาถีบเขาออกไป แต่ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรง ต่อให้ถีบก็เสียแรงเปล่า เธอจึงโอนอ่อนตามความต้องการของเขาไป
สำหรับเธอแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้กระอักกระอ่วนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อกระอักกระอ่วนก็ตึงเครียด เมื่อตึงเครียดก็จะพูดมาก “นี่…นี่เป็นครั้งแรกของท่านจริงหรือ?”
“แน่นอน!”
“แต่ดูท่านช่ำชองยิ่งนัก ราวกับมีประสบการณ์โชกโชน”
ตี้ฝูอีมองใบหน้าแดงระเรื่อของนาง ถึงแม้นางพยายามสงบสติอารมณ์เต็มที่ ทว่าสายตากลับลอกแลก ไม่กล้ามองเขา…
หัวใจของเขาพลันสั่นไหว ที่แท้นางก็มีช่วงเวลาเด็กน้อยแบบนี้เหมือนกัน ลักษณะของนางเช่นนี้มีเพียงเขาที่ได้เห็นกระมัง?
ตี้ฝูอีหรี่ตาเหลือบมองนาง อมยิ้มเอ่ย “นี่เจ้า…ไม่พึงพอใจในทักษะของข้าหรือ? ไม่พอใจพวกเราทำกันใหม่อีกครั้งก็ได้…”
พอใจสิ พึงพอใจมากจริงๆ!
กู้ซีจิ่วกลัวว่าเขาจะทำอีกครั้ง โพล่งออกไปทันที “พึงพอใจสิ! ไม่ต้องทำแล้ว…”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม จุมพิตริมฝีปากนางคราหนึ่ง สุ้มเสียงเร่าร้อนคลุมเครือ “ความจริงข้ายังทำให้เจ้าพึงพอใจได้มากกว่านี้”
ร่างกู้ซีจิ่วคุดคู้ “ไม่ ไม่ต้องแล้ว…” หากต้องการเธออีกครั้งหนึ่ง เธอรู้สึกว่าร่างกายตนต้องแหลกสลายแล้ว
ตี้ฝูอีไม่ได้บังคับนาง แต่กลับยิ้มพลางฉุดนางขึ้นมา “มา ฝึกฝน”
กู้ซีจิ่วงงงวย “หา?”
โดยปกติหลังจากเสร็จกิจล้วนนอนพักผ่อนอิงแอบแนบกายไม่ใช่หรือ? เหตุใดให้เธอฝึกฝนเล่า? เธอเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!
————————————————————————————-
บทที่ 1364 เจ้าอยากอาบน้ำไม่ใช่หรือ?
“ไม่เอา! ข้าเหนื่อยแล้ว!” กู้ซีจิ่วเอนกายนอนราวกับร่างที่ไร้กระดูก เนื่องจากร่างกายเปล่าเปลือย เธอจึงขดตัวเองเป็นวงกลมโดยสัญชาตญาณ
ตี้ฝูอีอดยิ้มไม่ได้ คลายตัวนางออกแล้วค่อยดึงให้ลุกขึ้นนั่ง “เชื่อข้า การฝึกฝนในช่วงเวลานี้ดีที่สุด เจ้าลองดู ข้าจะสอนวิธีให้เจ้า”
เขาแสดงวิธีการฝึกฝนให้ดูเป็นตัวอย่าง เธอนั่งโอนเอนไปมาดุจตุ๊กตาล้มลุก เมื่อเขาพูดจบ เธอล้มตัวลงอีกครั้ง “ข้าขอนอนก่อนสักงีบ เดี๋ยวค่อยฝึก”
ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงฝืนดึงนางขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนเคาะศีรษะไปครั้งหนึ่ง ข่มขู่นาง “หากไม่ยอมเชื่อฟังอีกข้าจะขืนใจเจ้า!”
กู้ซีจิ่วเหนื่อยจนเปลือกตาบนและล่างจะปิดเข้าหากันอยู่แล้ว ทว่าการข่มขู่ของเขาก็ยังได้ผลกับเธอ ดังนั้นจึงตื่นตัวขึ้นมานิดหน่อย ดวงตาพร่ามัวทั้งคู่มองเขา “เมื่อกี้ท่านพูดถึงวิธีการฝึกฝนแบบไหน?”
ตี้ฝูอีกล่าวอันใดไม่ออกแล้ว มีคนตั้งมากมายต้องการรับฟังคำชี้แนะของเขา แม้เพียงหนึ่งหรือครึ่งประโยคก็ไม่มีทางได้ฟัง เด็กคนนี้กลับทำเป็นหูทวนลม
เขาสอนนางอีกรอบหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าระหว่างที่สอนก็สังเกตความตื่นตัวของนาง เตรียมพร้อมจะเคาะปลุกนางตลอด
เคราะห์ดีที่นางยังมีใจสู้ไม่ย่อท้อ ครั้งนี้เข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง รีบนั่งขัดสมาธิทันที…
ฝึกฝนไปสักครู่เธอก็สัมผัสได้ถึงคุณประโยชน์ เมื่อโคจรพลังวิญญาณในร่างกาย จุดสำคัญบางจุดภายใต้ท้องน้อยแทบจะหลอมละลายรวมเป็นหนึ่งเดียวทีละน้อย และจุดสำคัญเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ หลอมรวมเข้ากับพลังวิญญาณในตัวเธอ…
หลังจากเธอฝึกฝนหนึ่งชั่วยาม เหงื่อออกโซมกาย ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง
เธอในตอนนี้ย่อมมีประสาทสัมผัสไวต่อพลังวิญญาณยิ่งนัก เมื่อสัมผัสถึงการเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณ หัวใจพลันสั่นไหว เอ่ยถามทันที “คงไม่ได้…นี่ข้าคงไม่ได้รวบรวมพลังหยางไปเติมเต็มพลังหยินกระมัง?”
ตี้ฝูอีแน่นิ่ง
เขาไม่พูดไม่จาพลันสะบัดมือ กู้ซีจิ่วโบยบินดังขี่หมอกเมฆา ร่วงหล่นลงไปในทะเลสาบน้อยดังจ๋อม
กู้ซีจิ่วว่ายน้ำเป็น ไม่นานเธอก็ปรากฏกายขึ้นจากผิวน้ำ เหลือบมองบางคนที่ยังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง “ตี้ฝูอี!”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้มมองดูนาง “เจ้าอยากอาบน้ำไม่ใช่หรือ? ยามนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้ว”
กู้ซีจิ่วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าก็เริ่มอาบน้ำแล้ว เมื่อสักครู่เธอยังปวดเมื่อยร่างกายอย่างหนัก แม้แต่นิ้วมือยังไม่อยากกระดิก แต่หลังจากฝึกฝนหนึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นไม่น้อย ความปวดเมื่อยร่างกายล้วนจางหายไป จนถึงขั้นรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก รู้สึกเบาหวิวดังได้ขึ้นสวรรค์
น้ำในสระนี้ทั้งอุ่นและนุ่มลื่นดังผ้าแพร แช่น้ำแล้วสบายตัวยิ่งนัก สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งสุขใจก็คือ เมื่อแช่น้ำราวกับมีพลังวิญญาณจำนวนมากไหลเวียนรอบกายเธอ…
มือทั้งสองของเธอประคองน้ำขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ น้ำสีเขียวดังมรกต เมื่อเธอประคองมันขึ้นมาก็รับรู้ได้ว่าภายในมีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ น้ำพุร้อนนี้เป็นน้ำพุวิญญาณกระมัง?
“นี่คือน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดในร่างกายเจ้าได้ เพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย ทำให้กลายเป็นคนใหม่ เจ้านั่งสมาธิในนั้นโดยใช้วิธีที่ข้าเพิ่งสอนเจ้า เจ้าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมยิ่งกว่า” เสียงของตี้ฝูอีดังขึ้นอีกครั้ง
มิน่าเล่า เขาถึงฟื้นฟูได้รวดเร็วปานกินลูกกลอนสวรรค์! สถานที่เช่นนี้ช่างดีงามตามหลักฮวงจุ้ย!
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงละทิ้งความไม่พอใจที่เขาโยนเธอลงน้ำมาเมื่อสักครู่ เริ่มปรับลมปราณนั่งสมาธิในนี้ พลังวิญญาณที่เดิมทีไหลเวียนภายในน้ำพุร้อนแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังและภายในเส้นเลือด ลามไปตามแขนขาและกระดูกทั้งหมด ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างช้าๆ…
บทที่ 1365 เธอทำเพียงได้ขอร้องเขาเท่านั้น
กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นหลังจากปรับลมปราณรอบหนึ่ง ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกครั้ง…
หากว่าเดิมทีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นได้เพียงหนึ่งไมโครเมตรต่อสองวัน เช่นนั้นพลังวิญญาณจากการฝึกฝนสองชั่วยามนี้กลับเพิ่มขึ้นได้หนึ่งมิลลิเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า!
นี่เหมือนกับเปิดสูตรโกงเล่นเกมเลยนี่!
กู้ซีจิ่วไม่ยอมขึ้นจากน้ำ เธอหลับตาต้องการจะฝึกฝนในนี้ต่อ
“ไม่ต้องแช่น้ำแล้ว ขืนแช่อีกประเดี๋ยวเจ้าก็เหี่ยวย่นหมดพอดี” ตี้ฝูอีไม่รู้มาอยู่ริมสระน้ำตั้งแต่เมื่อใด
“ข้าขอฝึกอีกครั้งหนึ่ง” กู้ซีจิ่วไม่อยากจากไป
“ไม่ได้ อยู่ในน้ำนานเกินไปไม่เป็นผลดีต่อผิวพรรณเจ้า ผิวจะเหี่ยวเอา”
“เหี่ยวก็เหี่ยวสิ พลังวิญญาณที่นี่เพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไปแล้ว!” กู้ซีจิ่วเหมือนโจรที่ค้นพบขุมทรัพย์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากจากไป
ตี้ฝูอีไม่กล่าวอันใดอีก เขาเคลื่อนไหว พลันสะบัดชายเสื้อ ชายเสื้อของเขายืดหดได้อย่างอิสระ สะบัดออกประดุจแถบผ้าเส้นหนึ่ง ห่อหุ้มนางในน้ำไว้ทันที กู้ซีจิ่วจึงโบยบินขึ้นฝั่งอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง…
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
ถึงแม้จะเข้าใจความหวังดีของเขา ทว่าเขาบังคับโยนเธอไปมาราวของเล่นเช่นนี้ตลอด…
หลังจากเธอลงสู่พื้นข้างกายเขา เธอเหมือนแช่น้ำจนอ่อนระทวยไปแล้ว เมื่อลงสู่พื้นจึงซวนเซ ร่างกายเปียกปอนโผเข้าสู่อ้อมกอดเขา
ตี้ฝูอีอุ้มนางไว้ ยังไม่ทันได้พูดคุย หน้าอกก็พลันเหน็บชาอย่างไม่คาดคิด แล้วถูกผลักเข้าอย่างจัง!
“ตูม!” เขาร่วงหล่นลงน้ำ น้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง
เมื่อเขาโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ก็เห็นกู้ซีจิ่วยืนอยู่ริมสระน้ำยิ้มเย้ยอย่างพึงพอใจ ดวงตาฉ่ำวาว “ข้าว่าท่านก็ควรฟื้นฟูในน้ำเสียหน่อย…”
สุ้มเสียงของนางดังชัดกังวาน ประหนึ่งนกหวีดพิราบส่งเสียงใต้แสงตะวัน
ภายใต้ความกระชุ่มกระชวยของความรัก เธอละทิ้งความเคร่งขรึมเย็นชาทั้งหมด สุขใจเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักความเศร้าหมองบนโลกนี้
ตี้ฝูอีกึ่งจมกึ่งลอยอยู่ในน้ำ มองดูนางครู่หนึ่ง ในขณะที่กู้ซีจิ่วอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะเล่นเล่ห์กลอันใดอีก เขาก็ส่งเสียงอย่างเนิบนาบมาถึงฝั่ง “เด็กน้อย เจ้าอยากเต้นรูดเสาด้วยสภาพเช่นนี้หรือไม่?”
สภาพเช่นนี้? สภาพเช่นไหน?
กู้ซีจิ่วก้มหน้าลง จากนั้นใบหน้างามก็กลายเป็นเมฆยามอาทิตย์อัสดง
เรือนกายเธอยังเปลือยเปล่านี่! เธอเปลือยกายยืนหยิ่งผยองเป็นกาน้ำชาอยู่ตรงนี้!
เธอรีบหันกายตามหาชุดที่ตี้ฝูอีใช้วิชาถอดให้ ตามหาอยู่รอบหนึ่งก็ไม่เจอ…ไม่ต้องถามเลย ถูกเขาเก็บเข้าช่องมิติไปแล้ว
เคราะห์ดีที่เธอเก็บซ่อนเสื้อผ้าหลายชุดไว้กับหยกนภา เธอยกมือขึ้นจะเปิดช่องมิติของหยกนภา ก็พบว่าเจ้านี่ไม่เปล่งแสงแม้แต่น้อย ไม่มีการตอบสนองใดๆ เห็นได้ชัดว่ามันถูกตี้ฝูอีบังคับให้ ‘ปิดเครื่อง’ ไปแล้ว
“นี่ เสื้อผ้าข้าเล่า?” เธอทำเพียงได้ขอร้องเขาเท่านั้น
“บนเตียงเมฆา”
กู้ซีจิ่วเปิดม่านเตียง พบว่าข้างเตียงมีเสื้อผ้าสะอาดพับไว้เรียบร้อยอยู่ชุดหนึ่ง…
…
ผ่านไปสักครู่ เขาขึ้นฝั่งมาอีกครั้ง และเธอก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินเล่นไปรอบๆ
ช่างน่าแปลก ก่อนหน้านี้สองชั่วโมงเธอยังเหนื่อยล้าจนไม่รู้ทิศทาง แทบจะนอนหลับทันทีเมื่อล้มตัวลง ทว่าสักครู่หลังจากฝึกฝนสองครา ก็ประหนึ่งได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มสมบูรณ์ สดชื่นกระปรี้ประเปร่า ไม่ง่วงนอนแล้ว
เธอรับรู้ร่างกายตัวเอง พลังวิญญาณไหลเวียนได้อย่างอิสระ เธอนั่งลงบนเก้าอี้หวาย ทอดถอนใจเอ่ย “ข้ายังคิดว่าหากฝึกฝนถึงขั้นสิบอย่างไรก็ต้องใช้เวลาสามสิบถึงสี่สิบปี จากความรวดเร็วของการฝึกฝนตอนนี้ ข้ารู้สึกว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี…”
————————————————————————————-
บทที่ 1366 นี่ก็คือประโยชน์ของการแต่งภรรยา
ตี้ฝูอีเบียดตัวบนเก้าอี้หวาย ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง ทั้งสองนอนศีรษะแนบชิดบนเก้าอี้หวาย นางหนุนแขนเขา เขาหยิบปอยผมช่อหนึ่งของนางขึ้นมาเล่น พ่นสองคำออกมาอย่างราบเรียบ “แปดปี”
“หา?” กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขา
“ข้าบอกว่าเจ้าต้องใช้เวลาแปดปีเพื่อทะลวงขั้นสิบ” ตี้ฝูอีอมยิ้ม
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาต้องอยู่ที่นี่ดูแลซึ่งกันและกันไปแปดปี…
แปดปีช่างเป็นตัวเลขที่ยาวนาน และดูเหมือนจะเป็นปีที่แสนยาวนาน หากกู้ซีจิ่วถูกขังไว้ที่นี่แปดปี เธอคงทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ทว่ามีเขาอยู่ข้างกาย…กลับรู้สึกว่าแปดปีก็ยังพอทนรับไหว
เธอปีนป่ายขึ้นมาบนตัวตี้ฝูอี นับแพขนตาของเขา “ท่านบอกว่าออกไปได้เพียงแค่เก้าคน รวมท่านด้วยหรือไม่?”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “เจ้าอยากกำจัดข้าออกไป?”
โธ่ ไม่ใช่เสียหน่อย เธอมักรู้สึกว่าเขาเป็นเทพ ไม่ควรนับรวมอยู่กับกลุ่มคนทั่วไปอย่างพวกเขา ทว่าฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว น่าจะต้องนับรวมเข้าไปด้วย เช่นนั้นคนที่เธอพาออกไปได้มีเพียงเจ็ดคน…
เจ็ดคนนี้ส่วนมากเป็นผู้ชาย ในหมู่ผู้หญิงมีเพียงเมิ่งซู่เหยียนเท่านั้นที่มีหวัง
เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้กู้ซีจิ่วกลัดกลุ้มใจที่สุด สิ่งที่เธอกลุ้มใจก็คือ ในบรรดาชายหนุ่มหกคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะบรรลุขั้นที่กำหนดไว้ก่อน มีสามคนแต่งงานแล้ว (นี่ก็ไม่แปลก บุรุษมากสตรีน้อย คนที่สตรีจะแต่งงานด้วยย่อมเป็นคนที่แข็งแกร่ง)
หากเธอพาพวกเขาออกไป จะไม่เป็นการแยกคนรักทั้งสามคู่ออกจากกันหรอกหรือ?
บางทีอาจเป็นเพราะความรักไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ทั้งสี่คู่ต่างรักใคร่กันดีเสมอมา ปกติถึงแม้จะไม่ค่อยเปิดเผยท่าที ทว่าสายตาและการกระทำในบางครั้งล้วนเผยให้เห็นความอบอุ่น
คู่สามีภรรยาเช่นนี้ ใครจะแยกพวกเขาจากกันได้ลง?
ถึงแม้จากเป็น กลับเหมือนจากตาย…
เพราะคนที่เหลือไม่อาจออกไปได้อีก
“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาก็คัดเลือกคนที่ไม่มีคู่ออกไปดีกว่ากระมัง?” กู้ซีจิ่วเสนอแนะ
เสียงตี้ฝูอีราบเรียบ “ถึงเวลานั้นคนที่ฝึกฝนถึงขั้นเก้าต้องไม่เกินเจ็ดคน ให้พวกเขาเลือกกันเองเถิด บอกข้อดีข้อเสียออกมาให้ชัดเจน”
กู้ซีจิ่วบอก “…ข้าว่ามันค่อนข้างโหดร้าย…”
ตี้ฝูอีโค้งยิ้มมุมปาก “บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งก็ได้”
ส่วนได้เสียเช่นนี้ถึงจะวัดระดับความรักของคนทั้งสองได้อย่างแท้จริง ระหว่างอิสรภาพที่โหยหามาเป็นเวลานานกับภรรยาที่ล่มหัวจมท้ายกันมา…
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันหนักอึ้ง “แล้วท่านจะป่าวประกาศความหมายที่ท่านถอดความได้ตอนนี้เลยหรือไม่?” เธอรับรองได้เลยว่าหากป่าวประกาศออกไปต้องเกิดโกลาหลครั้งใหญ่แน่นอน
น้ำเสียงตี้ฝูอีเรียบเฉย “แน่นอน!”
กู้ซีจิ่วกล่าวอันใดไม่ออก
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้าว่าประกาศช้าหน่อยก็ดีเหมือนกัน ข้าเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย…”
ก่อนที่ข่าวนี้จะแพร่กระจายออกไป ทุกคนสนับสนุนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่หากวันใดป่าวประกาศออกไป เช่นนั้น จะกลายเป็นการแข่งขันกันได้ คู่สามีภรรยาอาจแคลงใจ มิตรสหายอาจเกิดความขัดแย้ง วางแผนตลบหลังกัน…การอยู่ร่วมกันอย่างสันติที่สืบเนื่องมานานหลายสิบปีก็อาจไม่มีอีกต่อไป…
ผลที่ตามมาของการประกาศส่งผลร้ายมากกว่าผลดีจริงๆ!
แขนของตี้ฝูอีโอบนางไว้กึ่งหนึ่ง “อย่ากลัวความวุ่นวาย ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าจัดการความวุ่นวายเช่นนี้ได้แน่ ข้าเชื่อใจเจ้า!”
กู้ซีจิ่วนิ่งเงียบ เธอดึงสาบเสื้อเขา “ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ เรื่องนี้ท่านก็ควรมาจัดการไม่ใช่หรือ?”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “ที่นี่เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ข้าเป็นผู้ช่วยเจ้าหรือเป็นอะไรก็ได้”
กู้ซีจิ่วชกเขาไปหนึ่งหมัด “นี่ท่านแอบอู้กระมัง!”
ตี้ฝูอีหัวเราะร่า “มีปัญหาให้ภรรยาออกหน้า นี่ก็คือประโยชน์ของการแต่งภรรยา”
บทที่ 1367 ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่!
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก เธอนั่งอยู่ตรงนั้นเริ่มขบคิดถึงเรื่องที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นรวมถึงวิธีรับมือ
ตี้ฝูอีก็ไม่รบกวนเธอ เพียงโอบกอดเธอไว้…
….
ยามที่ป่าวประกาศข่าวนี้ ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้น ทึ่มทื่อกันไปหมดแทบทุกคน! จากนั้นก็แตกฮือ!
ยามนั้นตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วยืนอยู่ใจกลางโถงหารือ รอให้พวกเขาย่อยข้อมูลข่าวนี้อย่างอดทน ยามที่เสียงจ้อกแจ้กเซ็งแซ่เงียบลง กู้ซีจิ่วจึงเปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “ในบรรดาพวกเจ้าข้าสามารถพาออกไปได้เจ็ดคน ต้องกล่าวก่อนว่า เงื่อนไขคือทั้งเจ็ดคนนี้ต้องบรรลุถึงขั้นเก้า และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ยังมีอีก คนที่ข้าจะพาออกไปต้องดูที่ความประพฤติด้วย หากว่าความประพฤติแย่เกินไปต่อให้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นสิบ ข้าก็ไม่พาไป! ในระหว่างนี้พวกเจ้าสามารถแข่งขันประชันยุทธ์กันได้ สามารถแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมได้ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามใช้อุบายทำร้ายผู้อื่นลับหลัง หากข้าพบเข้า ไม่เพียงแต่จะไม่พาออกไป ยังจะขับไล่ออกไปจากที่นี่ด้วย…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็อยู่ที่นี่ เขาคือประจักษ์พยาน!”
ภายในห้องโถงเงียบสงัดลง คนที่ค่อนข้างคิดไม่ซื่อเหล่านั้นถูกวาจาประโยคนี้ของกู้ซีจิ่วสะกดไว้ ไม่กล้าเกิด ‘ความคิดไม่ซื่อ’ เหล่านั้นออกมาแล้ว
ถึงอย่างไรท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถเลิศล้ำ ถ้าเกิดเล่นลูกไม้ใต้จมูกเขาล่ะก็…
เกรงว่าจะต้องตายอนาถยิ่งนัก!
ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ส่งกระแสเสียงหานาง ‘อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องตัดทางถอยในการสู้กันอย่างไม่โปร่งใสของพวกเขาเลย สมควรให้พวกเขาทุ่มเทกันสุดความสามารถถึงจะถูก’
‘ทำไมล่ะ?’ กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ หรือว่าเขาอยากเห็นพี่น้องผัวเมียเหล่านี้ประหัตประหารกัน?
‘คนเหล่านี้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมาเนิ่นนานเกินไป ถ้าออกจากที่นี่ได้จริงเกรงว่าจะรับมือกับการต่อสู้อันดุเดือดของโลกภายนอกไม่ไหว…’ รูปการณ์ของโลกภายนอกนั้นมากเล่ห์กลับกลอก จิตใจมนุษย์ไม่อาจคาดคะเนได้ และคนเหล่านี้สามารถออกไปได้ยามที่บรรลุขั้นเก้า พลังวิญญาณย่อมเพียงพอแล้ว แต่ที่โลกภายนอกหากต้องการสร้างชื่อระบือนามอย่างสมบูรณ์ มิใช่อาศัยแค่พลังวิญญาณแล้วจะทำได้ ความสูงต่ำของพลังวิญญาณเป็นเพียงตัวช่วย สิ่งที่จะทำให้พวกเขาสามารถก้าขึ้นสู่จุดสูงสุดได้คือกลยุทธ์และมันสมอง…
แต่กลยุทธ์และมันสมองก็ต้องได้รับการหล่อหลอมจากสภาพแวดล้อมอันโหดเหี้ยมเจ้าหลอกข้าข้าหลอกเจ้าซ้ำไปซ้ำมา
ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับคล้ายแดนสุขาวดี วันคืนของผู้คนคือฟ้าสางก็ออกทำงานพลบค่ำก็เข้านอน การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับสัตว์ร้าย ระหว่างผู้คนยังคงรักใคร่กลมเกลียวกันเสมอมา…
ความกังวลของตี้ฝูอีมีเหตุผลยิ่งนักกู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจได้เช่นกัน เพียงแต่เธอก็มีแผนการของเธอเอง ‘การเติบโตสมควรเติบโตไปตามธรรมชาติ ต่อให้พวกเขาจะเสียเปรียบหลายที่โลกภายนอกแต่ก็สามารถเรียนรู้เป็นบทเรียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาเป็นวรยุทธ์ หลังจากออกไปได้แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำ คนที่สามารถทำให้พวกเขาเสียเปรียบได้มีอยู่ไม่มาก แต่หากว่ายามนี้ให้ต่อสู้กันเองในหมู่พวกเขาขึ้นมา จะต้องวุ่นวายยิ่งนักเป็นแน่ วิถีชีวิตตามกิจวัตรทุกอย่างจะถูกทำลาย หากว่าในระยะไม่กี่ปีนี้แต่ละคนต่างแฝงเร้นเจตนาร้ายเอาไว้ จะต้องแยกแยกขาดความสามัคคีเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่ต้องรอให้ฝึกฝนจนถึงขั้นเก้า ก็ถูกสัตว์ร้ายถล่มแล้ว…จอมยุทธ์ด้านนอกล้วนเย่อหยิ่งหัวรั้น ชอบเดินทางเพียงลำพัง แต่คนเหล่านี้กลับเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หลังจากออกไปได้จะกลายเป็นเกลียวเชือกที่ไม่อาจสะบั้นได้ เมื่อใจคนรวมเป็นหนึ่ง แม้แต่เขาไท่ซานก็เคลื่อนได้ ยังไม่แน่ว่าพวกเขาจะเสียเปรียบมากนัก’
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง ที่นางว่ามาก็มีเหตุผลจริงๆ ถึงแม้แนวทางการจัดการคนของนางจะแตกต่างกับเขา แต่ก็ยังคงเป็นวิถีทางอย่างหนึ่ง
เขายิ้มนิดๆ “ได้ เจ้าคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่!”
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเอ่ยวาจาออกมาที่นี่ แต่เรื่องนี้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกคนจริงๆ หลายวันมานี้จิตใจของคนบางส่วนกระสับกระส่าย ภายใต้ฉากหน้าอันเงียบสงบมีคลื่นใต้น้ำกำลังปั่นป่วน
————————————————————————————-
บทที่ 1368 นี่คงมิใช่ลิขิตสวรรค์อีกกระมัง
และกู้ซีจิ่วพูดจริงทำจริง เมื่อมีคนฝ่าฝืนกฎที่เธอบอกไว้ ลอบใช้อุบายลับหลัง เธอก็ลงโทษอย่างหนักหนาไม่ผ่อนปรน…
สำหรับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่มองเล่ห์กลทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วนี่เสมือนวิธีการของเด็กน้อย ไม่คู่ควรให้มองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากมีคนผู้หนึ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วถูกตี้ฝูอีควานตัวออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าคนผู้นี้จะคุกเข่าขอความเมตตาอย่างไร กู้ซีจิ่วก็ไม่ลดราวาศอก ตัดสินโทษทัณฑ์ ขับไล่ไปใช้ชีวิตตามยถากรรมที่ภูเขาด้านหลัง…
บทลงโทษนี้ย่อมเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูที่ได้ผลอย่างยิ่ง สั่นสะเทือนคนเหล่านั้นได้ไม่น้อย อีกอย่างกู้ซีจิ่วก็เอ่ยไปว่า ถ้าพวกเขาสู้กันทางในทางลับทางแจ้ง มีความเป็นไปได้ยิ่งนักที่สุดท้ายจะเสียหายกันทั้งสองฝ่าย หลังจากทั้งเก้าคนออกไปแล้ว คนที่อยู่ด้านในก็เหลือเพียงไม่กี่คน ไม่มีทางดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ยามนี้มิสู้ทุกคนทุ่มเทความคิดจิตใจไปกับการฝึกฝนวรยุทธ์ดีกว่า เช่นนี้สหายก็ยังเป็นสหาย ต่อให้มีคนออกไปแล้ว เช่นนั้นก็ยังเหลืออยู่อีกยี่สิบสามสิบคน สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นที่พำนักพักพิงของพวกเขาได้
ส่วนลิขิตสวรรค์ที่ตี้ฝูอีตีความออกมาไม่แน่ว่าอาจตีความแบบอื่นได้อีก ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้ออกไปจริงๆ ใครจะรู้ได้ว่ายังมีความหวังอื่นอยู่อีกหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าวาจาสุดท้ายนี้สั่นสะเทือนจิตใจของทุกคน ได้สติกลับมาดั่งตื่นจากฝัน!
กู้ซีจิ่วพูดถูก ทุกคนต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ถึงแม้การออกไปได้จะเป็นเรื่องดี แต่การรั้งอยู่ก็มิได้เลวร้ายเกินไป อย่างน้อยก็ยังรักษาวิถีชีวิตแบบเดิมต่อไปได้
เมื่อถึงยามนี้ ทุกคนถึงคลายปมในใจลงได้ในที่สุด เริ่มทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์อย่างสุดชีวิต
ส่วนกู้ซีจิ่วก็ทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์สุดกำลังเช่นกัน และฝึกฝนทักษะการหลอมโอสถด้วย ความหวังที่ทุกคนจะบรรลุสู่ขั้นเก้าล้วนขึ้นอยู่กับโอสถที่เธอหลอมทั้งสิ้น ย่อมสะเพร่าเลินเล่อมิได้
อันที่จริงกู้ซีจิ่วอยากอู้ยิ่งนัก เธอเคยสอบถามคนผู้นั้นเป็นการส่วนตัว “ผู้อื่นอาจไม่ทราบแต่ท่านปิดบังข้าไม่ได้หรอก วิชาหลอมโอสถของท่านก็สูงส่งพอกระมัง? ยามนี้ท่านน่าจะสามารถหลอมโอสถที่ทุกคนต้องการออกมาได้แล้ว มิสู้ให้ข้าทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเดียว ส่วนเรื่องหลอมโอสถก็พักไว้ก่อนดีหรือไม่?”
คนผู้นั้นไม่หลงกล “ซีจิ่ว ครั้งนี้ต้องพึ่งเจ้าทั้งหมด บทบาทของข้าเป็นเพียงการช่วยเหลือเกื้อกูล อย่างเช่นเคี่ยวเข็ญให้เจ้าฝึกฝนวรยุทธ์ ชี้เจ้าเรื่องการหลอมโอสถ อย่างอื่นข้าไม่อาจข้องเกี่ยวได้”
กู้ซีจิ่วปวดหัวแล้ว “แต่แบบนี้ข้าเหนื่อยมากเลย ข้ารู้สึกว่าเวลาของข้ามีไม่ค่อยพอ…” ดึงแขนเขาไว้อย่างออดอ้อนออเซาะ “สามีของผู้อื่นล้วนทะนุถนอมเอ็นดูยิ่งนัก ล้วนกางปีกปกป้องภรรยาของตนเลี่ยงมิให้นางเหนื่อยล้าบาดเจ็บ ท่านช่วยแบ่งเบาภาระข้าบ้างสิ”
ตี้ฝูอีค่อนข้างชื่นชอบการออดอ้อนเช่นนี้ของเธอ ปกติแล้วออเซาะเสียหน่อยเขาก็ยอมจำนนแล้ว แต่ครั้งนี้กลับคล้ายว่าประสบปัญหาด้านอุดมการณ์ของเขาเข้าแล้ว ไม่ยอมผ่อนปรนเลยสักนิด
กู้ซีจิ่วออดอ้อนเขาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “นี่คงมิใช่ลิขิตสวรรค์อีกกระมัง?”
ตี้ฝูอีจุมพิตหน้าผากเธอ “ฉลาดมาก!”
ฉลาดกับหัวเจ้าสิ! กู้ซีจิ่วโมโหจนไม่สนใจเขาไปสามวัน
ทุกคนล้วนฝึกฝนวรยุทธ์กันอย่างไม่ลดละ ในบรรดานี้ยังคงเป็นหลัวจั่นอวี่ที่อยู่ว่างที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็บรรลุขั้นเก้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทฝึกฝนอีกต่อไป ดังนั้นกิจธุระของที่นี่ยังคงเป็นเขาที่จัดการตามเดิม เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งนัก
กาลเวลาผันผ่าน วันคืนเคลื่อนคล้อย
แปดปีดูเหมือนจะเนิ่นนานนัก แต่เมื่อยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดจึงไม่รู้สึกว่าเชื่องช้าเท่าไหร่ ถึงขั้นที่รู้สึกว่ารวดเร็วยิ่งนักด้วยซ้ำ
กู้ซีจิ่งยุ่งหัวหมุนอยู่ตลอด หลอมโอสถเอย ฝึกวรยุทธ์เอย บำเพ็ญคู่เอย ถึงขั้นที่ยังต้องร่ำเรียนการจัดการข้อราชการงานบริหารบางส่วนที่ตี้ฝูอีถ่ายทอดให้เธอด้วย
แน่นอนว่าหน้าที่สุดท้ายนี้ตี้ฝูอีเพิ่มให้เธอในภายหลัง นั่นเป็นช่วงต้นปีที่หก ทักษะการหลอมโอสถของเธอในที่สุดก็บรรลุขั้นแปดแล้ว สามารถหลอมลูกกลอนที่ต้องการได้ง่ายดายนัก
ขณะที่เธอกำลังปีติยินดีว่าในที่สุดภาระหน้าที่ก็ลดลงอย่างหนึ่ง สามารถพักหายใจได้แล้ว ตี้ฝูอีก็ลากเธอมาเรียนรู้การจัดการข้อราชการงานบริหาร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น