ลำนำบุปผาพิษ 1362-1363

 บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (2)


จ้อกแจ้กจอแจ วาจาเร่งรัดต่างๆ นานาล้วนมีทั้งสิ้น


หลัวจั่นอวี่ถลึงตามองตี้ฝูอีอย่างดุดันแวบหนึ่ง เขายังคงไม่อยากรีบร้อนสุกเอาเผากินเช่นนี้ “งานวิวาห์เป็นเรื่องใหญ่ใช่การเล่นขายของเสียที่ไหน? อย่างไรก็ต้องเตรียมกันหลายวัน ทุกคนยังต้องตระเตรียมโถงพิธีให้พวกเขามิใช่หรือ?”


“โถงพิธีจัดเตรียมได้ง่ายยิ่งนัก พวกเราที่นี่มีกันมากมายขนาดนี้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ภายในครึ่งชั่วยามก็จัดการได้แล้ว”


“ใช่แล้วๆ การกราบไหว้ฟ้าดินแท้จริงแล้วเป็นพิธีการอย่างหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาต่างรักกันทั้งสองฝ่าย แยกคู่หนุ่มสาวจากกันก็ออกจะไร้คุณธรรมเกินไปหน่อย”


“วางใจเถอะน่า หัวหน้า ขอเพียงท่านสั่งการ พวกเราก็สามารถตกแต่งโถงพิธีการออกมาได้ทันที!”


“ใช่ๆ เดิมทีเนื่องจากเรื่องในงานชุมนุมคราวก่อนทำให้งานชุมนุมวันนี้กร่อยไป หากว่าใช้เรื่องมงคลมาลบล้างหน่อยก็ไม่เลวเลย”


คนเหล่านี้ต่างคนต่างพูด กล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าหลัวจั่นอวี่ยังไม่เห็นด้วยอีกเช่นนั้นก็จะทำให้ผู้คนขุ่นเคืองแล้ว เขากระแอมคราหนึ่ง “โถงพิธีการจัดเตรียมได้ไม่ยาก แต่เรือนหอ..”


กู้ซีจิ่วที่เงียบงันไร้วาจามาโดยตลอดพลันเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เรือนนั้นของข้าเดิมทีก็เป็นเรือนหออยู่แล้ว”


หลัวจั่นอวี่พูดไม่ออกแล้ว


เอาเถอะ ดูท่าน้องสาวก็คงเต็มใจออกเรือนกับผู้อื่นในทันที เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนเลวแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจตอบรับ เพียงแต่เขาก็มีเงื่อนไขเช่นกัน ภายหน้าถ้าออกไปจากที่นี่ได้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องจัดงานวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่อลังการชดเชยให้อีกครั้ง มอบฐานะอย่างเป็นทางการแก่น้องสาว


ตี้ฝูอีย่อมรับปาก ด้วยเหตุนี้เรื่องวิวาห์ครานี้จึงถูกกำหนดเช่นนี้แล


ทุกคนล้วนเป็นจำพวกที่บอกว่าจะทำก็ทำเลย รีบยกขบวนไปจัดแต่งโถงพิธีการทันที


เนื่องจากเมื่อก่อนเคยจัดงานวิวาห์มาหลายคู่แล้ว ทุกคนยังคงชำนาญการตกแต่งเช่นนี้ยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือตี้ฝูอีเตรียมการไว้หมดแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพกข้าวของทั้งหมดที่ต้องใช้ในพิธีมาด้วย เช่นนี้การตกแต่งย่อมเป็นไปอย่างรวดเร็ว


ส่วนพวกผู้หญิงก็ลากกู้ซีจิ่วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเบิกบาน อย่างไรเสียชุดแต่งงานของเธอก็มีพร้อมแล้ว


ด้วยเหตุนี้หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วก็สวมชุดวิวาห์มงกุฎหงส์ยืนอยู่หน้าโถงพิธีที่เพิ่งตกแต่งเสร็จสดๆ ร้อนๆ ตี้ฝูอีก็สวมชุดเจ้าบ่าวของเขาเช่นกัน ยืนเคียงข้างเธอ


ถึงแม้รอบข้างจะมีแขกเหรื่ออยู่ไม่กี่สิบคน ทว่าคึกคักยิ่งกว่าหลายร้อยคนเสียอีก


โถงพิธีใช้โถงหารือมาดัดแปลงชั่วคราว ไม่น่าเชื่อว่าจะงดงามโอ่อ่าได้เช่นกัน ทุกแห่งเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองยินดี


กู้ซีจิ่วมองอักษรคำว่า ‘ฟ้า’ ตัวใหญ่ที่ติดไว้เหนือโถงพิธี รู้สึกเหมือนมิใช่ความจริง


อักษรตัวใหญ่สองคำนี้เป็นลายมือของตี้ฝูอี ตวัดโค้งเฉียบคมปานตะขอเหล็ก มีอำนาจยิ่งนัก


อันที่จริงตามความคิดของคนส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่ติดไว้ในห้องโถงน่าจะเป็นอักษรมงคลคู่ตัวใหญ่ๆ กราบไหว้ฟ้าดินเป็นเพียงชื่อพิธีอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ที่ติดอักษรตัวเดียวเช่นนี้เช่นตี้ฝูอีเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง


กู้ซีจิ่วทราบตัวตนที่แท้จริงของตี้ฝูอี เทพของทวีปนี้ และมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่สามารถรับการคารวะจากเขาได้ อย่างอื่นล้วนไม่มีคุณสมบัติพอ


ตนจะได้ออกเรือนกับคนผู้นี้อย่างแท้จริงแล้ว!


ถึงแม้คืนฝนพรำวันนั้นเขาก็สวมชุดเจ้าสาวให้เธอเหมือนกัน และตกแต่งเรือนหอด้วย แต่นั่นก็เสมือนสวมชุดงามสง่าย่ำราตรีมืดมิด คนอื่นไม่รับรู้เลย การอยู่ร่วมกันของพวกเธอเหมือนการหนีตามกัน แต่ตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงนี้เข้าพิธีกับเขา นั่นก็คือขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว แตกต่างจากที่ผ่านมา


ขณะที่เธอค่อนข้างใจลอย มือก็ถูกตี้ฝูอีกุมไว้


ฝ่ามือของเขาอุ่นร้อน เป็นอุณหภูมิที่เธอโหยหาตลอดมา


และนี่เป็นครั้งที่เขาได้กุมมือเธอ นับตั้งแต่ต้องแยกห่างกันหนก่อน ทำให้หัวใจเธอเต้นแรง


การกุมมือนี้ราวกับจำกุมกันไปชั่วชีวิต ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาถ่ายทอดเข้ามา เคลื่อนขึ้นมาจากฝ่ามือเธอ ราวกับจะแทรกซึมเข้าไปถึงส่วนลึกในจิตใจ ทำให้ทั้งกายและใจของเธออบอุ่นขึ้นมา


————————————————————–


บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (3)


นี่คือก็คือความสุขกระมัง? จูงมือกับคนรักไปชั่วชีวิต ไม่พรากไม่จาก


ทุกอย่างหลังจากนั้นเสมือนความฝัน กราบไหว้ฟ้าดินท่ามกลางคำอวยพรจากฝูงชน จากนั้นเธอก็กลับมาที่เรือนหอของเธออีกครั้ง


อันนี้ที่จริงเธอไม่เคยโยกย้ายการตกแต่งภายในเรือนนี้อีกเลย นับตั้งแต่คืนนั้น เมื่อเขาแยกออกไปเธอก็นอนในห้องนี้เพียงลำพัง ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเรื่องแรกที่ทำก็คือปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่างในห้องนี้อย่างละเอียด ดังนั้นทุกอย่างในห้องจึงยังดูใหม่เอี่ยมอยู่


ตี้ฝูอีจูงมือเธอไว้ตลอด หลังจากส่งตัวเธอเข้าห้องหอ เขาก็ยังจับไว้ตลอด


ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้พบปะกันมาครึ่งเดือนแล้ว ความคิดคำนึงแทรกลึกถึงกระดูก


ตลอดเวลาที่เขาจับมือเธอไว้ ความจริงกู้ซีจิ่วฝืนข่มความคิดที่อยากโผเข้าสู่อ้อมอกของเขาเอาไว้


ตามธรรมเนียม หลังจากเจ้าบ่าวส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอแล้ว สมควรออกไปดื่มสุราขอบคุณแขกเหรื่อในห้องโถงตามมารยาท


ดังนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วนั่งลงก็เร่งเขาทันที ให้เขาออกไปสังสรรค์กับแขก


ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม มือพลันออกแรง รั้งเธอเข้าสู่อ้อมแขน สบตากับเธอ “เด็กน้อย ยามนี้แล้วเจ้ายังจะไล่ข้าอยู่หรือ?”


อ้อมกอดนั้นอบอุ่น เธอฝืนข่มความปรารถนาจะกอดเอวของเขาเอาไว้ “ข้าไม่ได้ไล่ท่าน นี่เป็นกฎ…”


“ช่างหัวกฎสิ! ข้าเกลียดมัน!”


กู้ซีจิ่วร้องฮึคราหนึ่ง “มิใช่ว่าท่านเคารพกฎเกณฑ์ยิ่งนักเสมอมาหรอกหรือ?” ให้เขาอย่ามาพบหน้าเธอก่อนแต่งเขาก็ปฏิบัติได้หมดจดถึงเพียงนี้ ไม่โผล่หน้ามาเลยสักแวบจริงๆ


อันที่จริงครึ่งเดือนมานี้กู้ซีจิ่วก็เคยแอบไปหาเขาเช่นกัน ผลคือเขาไปมาไร้ร่องรอย เธอไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน ย่อมไม่ได้พบกัน หากมิใช่ว่าเห็นสำรับอาหารที่เขาจัดเตรียมให้ทุกวัน เธอคงนึกว่าเขาเผ่นหนีไปแล้ว!


ดูเหมือนตี้ฝูอีจะเข้าใจอะไรแล้ว “ก่อนหน้านี้จ้าโกรธข้าเพราะเรื่องนี้หรือ? เลยจงใจแยกไปจากข้างกายข้าสินะ?”


กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มทีหนึ่ง “ในเมื่อท่านรักษากฎถึงเพียงนี้ข้าย่อมต้องรักษากฎด้วย นี่มิใช่ช่วยให้ท่านสมปรารถนาหรอกหรือ?”


เห็นได้ชัดว่านี่คืออารมณ์ฉุนเฉียวเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ตี้ฝูอีอดนึกขำไม่ได้


ที่แท้เด็กสาวที่สงบเยือกเย็นเฉลียวฉลาดต่อหน้าผู้อื่นอยู่ตลอดก็มีช่วงเวลาที่เจ้าอารมณ์ และมีช่วงที่เป็นเด็กน้อยเช่นนี้เหมือนกัน


และในประโยคนี้ของนางมีความขุ่นเคืองแฝงอยู่ ขุ่นเคืองที่เขาไม่แอบมาพบนาง อันที่จริงก็คือคิดถึงเขานั่นแหละ


เนื่องจากคิดถึงยิ่งนักทว่าไม่ได้พบหน้า ย่อมทีความขุ่นเคือง ดังนั้นการที่เขาถูกเด็กสาวอารมณ์เสียใส่ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ความขุ่นเคืองนี้เป็นความขุ่นเคืองที่ทำให้ในใจของเขาหวานชื่น


เขาแย้มยิ้ม “ที่แท้ก็คิดถึงข้า! เจ้าคงมิใช่ว่าไม่ได้พบหน้าหนึ่งวันเสมือนผ่านผันไปสามปีกระมัง?”


“ชิ ไม่ใช่สิ หลายวันมานี้ข้ายุ่งมาก ยุ่งจนใกล้จะลืมไปแล้วว่าท่านเป็นใคร” กู้ซีจิ่วไม่ยอมรับว่าตัวเองคิดถึงเขาจริงๆ


“โอ้…ใช่หรือ? เช่นนั้นข้าจะย้ำความทรงจำให้เจ้าอีกหน่อยแล้วกัน! ให้เจ้าจำได้ขึ้นใจว่าข้าเป็นใคร!” ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดอีก ประทับจูบลงมาทันที!


จูบนั้นร้อนแรง เผด็จการ แฝงความคิดคะนึงอย่างลึกล้ำไว้ จุดชนวนความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายได้ในชั่วพริบตา…


เดิมทีกู้ซีจิ่วเม้มปากน้อยๆ ไว้ไม่ตอบสนอง แต่ก็เพียงฝืนตัวเองไม่ให้ตอบสนองเท่านั้น เลี่ยงไม่ให้เจ้าคนผู้นี้หลงระเริงได้ใจ


กลับถูกเขาเขาบังคับง้างปาก รุกรานเข้ามาอย่างดุดัน บีบให้เธอร่วมเคล้าคลอไปกับเขา ไปๆ มาๆ เช่นนี้อยู่ไม่กี่ครั้ง ในที่สุดเธอก็แตกพ่ายไม่เป็นท่า สองแขนที่คยแข็งทื่ออยู่ข้างกายมาตลอดยกขึ้นโอบคอเขา ดุจเถาวัลย์พันพฤกษา คลอเคลียแนบชิด เริ่มตอบสนองเขา


คิดถึงเขามากจริงๆ!


คิดถึงอ้อมกอดของเขา คิดถึงจุมพิตของเขา คิดถึงรสชาติของเขา…คิดถึงทุกสิ่งที่เป็นเขา


เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าตัวเองจะติดใครสักคนได้ถึงเพียงนี้ เธอเข้มแข็งเยือกเย็นเสมอมา แต่เมื่ออยู่ข้างกายเขากลับเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง อยากอยู่แค่กับเขา ไม่อยากพรากจากกันอีก…


จุมพิตเร่าร้อนจุดไฟปรารถนาได้ง่ายดายนัก ตี้ฝูอีอุ้มเธอขึ้นมาทันที ก้าวไปที่ริมเตียง


นัยน์ตาของกู้ซีจิ่วพร่าเลือนแวบหนึ่ง ถูกเขาทับไว้บนเตียงแล้ว…


อย่าดูแคลนคู่แต่งงานใหม่ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เพิ่งได้ลิ้มชิมความหวานล้ำในเชิงนี้ก็ถูกบังคับให้แยกกันอยู่แล้วเล่า?


ร่างกายร้อนรุ่มของเขาทาบทับอยู่บนตัวเธอ ไม่หนักทว่าสามารถควบคุมเธอไว้ใต้ร่างอย่างเบ็ดเสร็จได้ สายตาเขาจับจ้องตราตรึงอยู่ที่เธอ “ซีจิ่ว คืนนี้สิถึงจะเป็นคืนวิวาห์ของพวกเราอย่างแท้จริง เจ้าชอบไหม?”


บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (4)


สายตาของเขามีรูปธรรมจับต้องได้เกินไป กู้ซีจิ่วถูกเขาจ้องจนรู้สึกคล้ายว่าหน้าร้อนฉ่าเจียนไหม้แล้ว “ชุดแต่งงานนี้ข้าสวมมาสองหนแล้ว…”


ลมหายใจร้อนผ่าวของตี้ฝูอีรินรดข้างหูเธอ “ครั้งก่อนนับว่าเป็นการลองชุด ครั้งนี้สิถึงจะเป็นของจริง ไม่ว่าเจ้าจะสวมในยามไหนล้วนน่ามองยิ่งนัก”


“แต่ว่า…” กู้ซีจิ่วยื่นมือไปยับยั้งมือของเขาที่แกะสาบเสื้อเธออยู่


“แต่อะไร?” ตี้ฝูอีไม่เข้าใจ เขาต้องการนาง ต้องการเดี๋ยวนี้!


กู้ซีจิ่วอยากขบริมฝีปาก เธอค่อนข้างกระดากอาย “แต่ว่า…แต่ว่าข้ายังไม่ได้อาบน้ำ…”


ทุกคืนก่อนนอนเธอจะอาบน้ำเป็นประจำ


จะอย่างไรเธอก็คาดไม่ถึงว่าคืนนี้จะกลายเป็นคืนวิวาห์ ก่อนหน้านี้หลังจากที่ทุกคนตัดสินใจได้แล้ว ก็ลากเธอไปเปลี่ยนชุดแต่งตัวทันที ไม่มีเวลาให้อาบน้ำเลย…


เร่งด่วนเกินไป! เร่งด่วนเกินไปจริงๆ! แทบจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเธออย่างสมบูรณ์


ตี้ฝูอีตะลึงไปครู่หนึ่ง หัวเราะออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่


กู้ซีจิ่วถูกเขาหัวเราะ ใบหน้าจึงแดงก่ำยิ่งขึ้น ยื่นมือไปทุบไหล่เขา “ท่านยังจะหัวเราะอีก! ล้วนต้องโทษท่าน รีบร้อนแต่งงานถึงเพียงนี้…”


ตี้ฝูอีปล่อยให้นางทุบ ตอนนี้นางทุบเขาด้วยเรี่ยวแรงเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหักใจลงมือกับเขาอย่างแท้จริงไม่ได้ ทำให้เขาคันยุบยิบเท่านั้น


กู้ซีจิ่วทุบเขาต่อเนื่องกันเจ็ดแปดทีถึงได้สติกลับมา ดูเหมือนท่าทางเช่นนี้ของตนจะค่อนข้างเหมือนเด็กน้อยยิ่งนัก…


เธอผงะไปนิด หยุดมืออย่างเก้อเขิน คิดไม่ถึงเช่นกันว่าตนจะมีช่วงที่มีอารมณ์เด็กน้อยเช่นนี้ด้วย


ตี้ฝูอีรอจนนางหยุดมือ ถึงได้กุมมือของนางไว้ ประสานมือกับนาง โน้มลงไปจุมพิตติ่งหูนางเบาๆ คราหนึ่ง มองติ่งหูข้างนั้นแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วปานมะเขือเทศราชินี ลมหายใจเขาร้อนผ่านยิ่งนัก “เด็กน้อย เจ้าอยากอาบน้ำหรือ? เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง มาเถอะ หลับตาลงก่อน”


ในน้ำเสียงอบอุ่นของเขาเปี่ยมด้วยอำนาจ เธอราวกับถูกสะกดจิต หลับตาลงจริงๆ จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าตี้ฝูอีอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน จากนั้นฟ้าดินพลันพลิกหมุน เสียงลมหวีดหวิว


เธอสนใจใคร่รู้อยู่ในใจ ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ก็เหมือนแอ่งกระทะ พวกเขาอยู่ในกระทะไม่มีทางออกไปได้ แล้วเขาจะพาเธอไปไหนกัน?


เธออาศัยอยู่ที่นี่มากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว กล่าวได้ว่าย่างกรายไปทั่วทุกซอกทุกมุม ไม่รู้สึกว่าจะมีสถานที่ไหนที่ทำให้ธอประหลาดใจได้


ดำเนินอยู่เช่นนี้กว่าสิบนาที กู้ซีจิ่วคาดการณ์จากฝีเท้าเช่นนี้ของตี้ฝูอีดูแล้ว น่าจะเดินทางออกมาหลายร้อยลี้ ทว่ายังคงไม่มีทีท่านว่าจะหยุดลง


คงมิใช่ว่าออกมาจากเขตแดนแห่งนั้นแล้วกระมัง?


เธอรู้สึกว่าจากเขตแดนด้านนี้จรดถึงเขตแดนด้านนั้นก็ยังไม่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้เลย


….


ผ่านไปอีกสักครู่ ในที่สุดเขาก็หยุด จุมพิตแพขนตาของเธอที่อยู่ในอ้อมแขน “เอาล่ะ ลืมตาได้แล้ว”


กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นจริงๆ จากนั้นก็ตะลึงอยู่ตรงนั้น


นี่เธอเข้ามาในแดนเซียนแล้วใช่ไหม?


รอบข้างล้วนเป็นวัตถุคล้ายผลึกกึ่งโปร่งแสง วัตถุเหล่านี้มีหนามีบาง มีกว้างมีแคบ บางอันก็คล้ายผนังด้านหนึ่ง บางอันก็เหมือนเสาที่ไม่ตรงตามแบบแผนต้นหนึ่ง บางอันก็เหมือนเขากวาง…หลากหลายพิลึกพิลั่น ไม่เพียงเท่านั้น ที่ยิ่งประหลาดกว่านั้นก็คือวัตถุเหล่านี้คล้ายว่าจะกลวงเปล่าทั้งสิ้น ด้านในมีฟองอากาศเหมือนคลื่นน้ำผุดพรายอยู่


สิ่งนี้คืออะไร?


กู้ซีจิ่วพนันได้เลยว่าชั่วชีวิตนี้เธอไม่เคยพบเห็นสิ่งนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ยื่นมือไปลูบคลำดู มือสัมผัสถึงความอุณหภูมิเย็นๆ เสมือนหยก ไม่นับว่าแข็งเกินไปและไม่นับว่าอ่อนเกินไป หากว่าเธอออกแรงกดอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจกดสิ่งเหล่านี้ให้แตกได้


“นี่คืออะไร? แล้วที่นี่คือที่ไหน?” กู้ซีจิ่วสนใจใคร่รู้


“ที่นี่อยู่ใต้ดินลึกสามสิบลี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรากเหง้าของต้นถันภังคี” ตี้ฝูอีอธิบายแก่เธอ


กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง โพล่งออกไปประโยคหนึ่ง “ข้ามาที่นี่ได้หรือ?”


เจ้าหอยยักษ์กล่าวไว้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ตี้ฝูอีใช้ฝึกฝน ลึกลับยิ่งนักมิใช่หรือ?


มีเพียงตี้ฝูอีที่สามารถมาที่นี่ได้ แม้แต่เจ้าหอยยักษ์ที่มาที่นี่ได้ก็เป็นเพราะตอนนั้นตี้ฝูอีบาดเจ็บสาหัสจนมาที่นี่ด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ ดังนั้นถึงต้องโดยสารเจ้าหอยยักษ์เข้ามา


ส่วนเจ้าหอยยักษ์ที่ได้เข้ามาหนนั้น ต่อมามันโหยหาพลังวิญญาณที่เข้มข้นยิ่งนักของที่แห่งนี้ คิดจะแอบเข้ามาเงียบๆ ตัวเดียว ผลคือคว้าน้ำเหลว เนื่องจากถ้าไม่มีตี้ฝูอีนำทางก็ไม่อาจเข้ามาได้เลย


————————————————————–


บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (5)


ตี้ฝูอีดึงมือเธอให้ออกเดินไปด้านหน้า “ต่อไปนี้สถานที่ที่ข้าไปเจ้าสามารถไปได้ทั้งหมด”


หากกล่าวกันว่าพลังวิญญาณในตาค่ายแห่งนี้คิดเป็นสองเท่าของโลกภายนอก เช่นนั้นจุดที่กู้ซีจิ่วอยู่ในยามนี้มีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่เกือบสิบเท่าของโลกภายนอกแล้ว!


พลังวิญญาณที่เข้มข้นของที่นี่แปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมไหลเวียน กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าสูดหายใจที่นี่เฮือกหนึ่ง ก็สัมผัสถึงชีพจรของพลังวิญญาณในร่างกายได้แล้ว


“เจ้าหอยยักษ์บอกว่าที่นี่ไม่มีอากาศหายใจ คนทั่วไปเข้ามาแล้วต้องตาย ที่แท้เจ้านั่นก็หลอกข้า!”


“ก็มิได้หลอกเจ้าไปเสียทั้งหมดหรอก หากว่าเจ้าไม่ใช่คนของข้า เจ้าไม่มีทางเข้ามาในเขตแดนรอบๆ รากต้นไม้ยักษ์ได้ และรอบนอกของเขตแดนก็ไม่มีอากาศอันใดเลยจริงๆ”


กู้ซีจิ่วบรรลุได้ในทันใด “ความหมายที่ท่านจะบอกคือ เป็นเพราะข้ากับท่าน…มีความสัมพันธ์ขั้นนั้นกันแล้ว บนร่างมีกลิ่นอายของท่านอยู่ ดังนั้นจึงสามารถเข้ามาได้ใช่หรือไม่?”


ตี้ฝูอีหมุนแหวนบนนิ้วเธอเล่น “ฉลาดมาก! เพียงแต่ยังมีผลงานของแหวนวงนี้ด้วย”


ไม่คิดเลยว่าการเล่นพลิกผ้าห่มกับเขามีข้อดีเช่นนี้อยู่ด้วย


กู้ซีจิ่วทราบว่าสถานที่บางแห่งมีเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่เข้าไปได้ เปิดทางให้เพียงเทพศักดิ์สิทธิ์ นึกไม่ถึงว่าพอกลายเป็นภรรยาของเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ทำได้เหมือนกัน กู้ซีจิ่วมีความรู้สึกเหมือนได้พึ่งพาวาสนาของผู้มีบารมี


ตี้ฝูอีจูงเธอเดินไปอีกประมาณครึ่งลี้ เบื้องหน้าพลันปรากฏสระน้ำแห่งหนึ่ง น้ำในสระเขียวคราม ราวกับหยกเนื้อแข็งที่โปร่งใส มีไอร้อนสีเขียวจางๆ ลอยขึ้นมาจากสระ ลอยอ้อยอิ่งปานไอเซียน


สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือเตียงเมฆาสีแดงอ่อนหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากริมสระ ม่านเตียงสีแดงห้อยย้อยลงมาดั่งละอองหมอก เตียงที่ตั้งไว้ในสถานที่เช่นนี้ก็เปรียบเสมือนบุปผาแดงที่โดดเด่นออกมาท่ามกลางใบไม้เขียวขจี งดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน


ไม่จำเป็นต้องถามเลย นี่เป็นเตียงที่ตี้ฝูอีจัดเตรียมไว้ เห็นทีว่าเขาจะเตรียมการทุกอย่างไว้นานแล้ว


กู้ซีจิ่วมองเตียงนั้นด้วยความตะลึง


“เด็กน้อย ชอบที่นี่หรือไม่? คืนนี้พวกเราจะร่วมหอกันที่นี่ ที่นี่สิถึงจะเป็นเรือนหอที่ข้าตกแต่งไว้ให้เจ้า” ตี้ฝูอีจูงเธอก้าวไปทางสระนั้น “เจ้าอยากแช่น้ำก็แช่ที่นี่ได้ พวกเราแช่ด้วยกัน”


ใบหน้ากู้ซีจิ่วเห่อแดงอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมได้ เธอพบว่ายามนี้ตี้ฝูอีพูดกับเธออ่างเปิดเผยยิ่งนัก พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ เจ้าคนผู้นี้มักมากยิ่ง…


ถึงอย่างไรก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรก เธอสนใจในสถานที่แห่งนี้มาก สลัดมือตี้ฝูอีออก เริ่มสำรวจดูรอบบริเวณนี้


ตี้ฝูอีหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาแล้วนั่งลงไปทันที มองนางวนสำรวจ บางคราเมื่อเห็นนางรั้งอยู่จุดไหนนานหน่อย เขาก็จะอธิบายให้นางฟัง


อย่างเช่นฝึกฝนอยู่ที่นี่ต้องให้ความสำคัญกับอะไร พลังวิญญาณตรงไหนที่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเธอที่สุด เพิ่มพูนความรู้ให้กู้ซีจิ่วไม่น้อยเลย


สถานที่แห่งนี้ไม่นับว่าใหญ่มาก มีขนาดเท่าสนามฟุตบอลแห่งหนึ่งเท่านั้น เพียงครู่เดียวเธอก็วนรอบแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ


สายตาของตี้ฝูอีหันเหตามเธออยู่ตลอด “ถอนหายใจด้วยเหตุใดเล่า?”


“สถานที่แห่งนี้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับบำเพ็ญโดยแท้ เมื่อก่อนท่านเข้าฌานอยู่ด้านนอกเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ก็ยังฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาไม่ได้ แต่หลังจากมาที่นี่ ภายในระเวลาสั้นๆ เพียงแปดวันท่านก็สามารถฟื้นฟูพลังยุทธ์ทั้งหมดคืนมาได้แล้ว ตอนที่ท่านโผล่ออกมาตอนนั้นข้าตกใจแทบแย่…” กู้ซีจิ่วปลงอนิจจัง เธอกล่าวยังติดตลก “ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก คงให้ท่านมาที่นี่แต่แรกแล้ว”


นัยน์ตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย ยิ้มแวบหนึ่ง “ดังนั้นกล่าวได้ว่านี่เป็นโชคในคราวเคราะห์ของข้ากระมัง?”


กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ “อันที่จริงหลายวันมานี้ข้าสำนึกเสียใจยิ่งนักมาโดยตลอด เสียใจที่หนีงานแต่งครั้งนั้น ทำให้ท่านต้องบาดเจ็บสาหัสจนหวิดสิ้นชีพ…”


บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (6)


ตี้ฝูอีรั้งนางเข้ามานั่งในอ้อมแขนตน “ซีจิ่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด อันที่จริงนี่ก็เป็นชะตาฟ้าลิขิตเหมือนกัน หากไม่ใช่เจ้าหนีมาเช่นนี้ ก็คงหาพี่ชายของเจ้าไม่พบใช่ไหมล่ะ? อีกอย่างข้าก็ยังมีชีวิตปลอดภัยดี เรื่องราวก็ไม่นับว่าดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายลง…”


“แต่ท่านถูกขังไว้ที่นี่ด้วย ยังไม่รู้เลยว่าจะถูกขังไปอีกนานเท่าไหร่ ท่านคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ถูกขังไว้ในสถานที่เช่นนี้ ด้านนอกไม่มีท่านนั่งบัญชาการ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร” นี่เป็นปมที่อยู่ในใจของกู้ซีจิ่ว ซึ่งไม่เคยบอกกล่าวออกมาเลย ยามนี้ทนไม่ไหวแล้วจึงพูดออกมา


“วางใจเถอะ พวกเราจะต้องออกไปได้ในไม่ช้าก็เร็ว” เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริงข้าก็น่าจะตีความลิขิตสวรรค์นั้นได้แล้ว ขอเพียงบรรลุเงื่อนไขได้เรื่องที่พวกเราจะไปได้ก็ง่ายดายยิ่งนัก”


ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกายทันที “ท่านตีความได้แล้วหรือ? ต้องการเงื่อนไขใด?”


“ขั้นเก้าเก้าคน คนที่เป็นผู้นำจะต้องเป็นสตรี พลังวิญญาณต้องบรรลุขั้นสิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน” ตี้ฝูอีสรุปเงื่อนไขที่ต้องบรรลุภายในไม่กี่ประโยค


กู้ซีจิ่วตะลึงเล็กน้อย ยามนี้ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงตี้ฝูอีกับหลัวจั่นอวี่ที่บรรลุขั้นเก้า คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนเตร็ดเตร่อยู่ที่ขั้นแปดขั้นเก้าทั้งสิ้น ตอนนี้คนที่บรรลุขั้นแปดนับรวมเธอแล้วก็เป็นเจ็ดคน คนที่บรรลุขั้นแปดตอนกลางจนถึงขั้นเก้ารวมแล้วสามคน ที่เหลือเพิ่งจะบรรลุขั้นแปดเท่านั้น


อย่างที่ทราบกันดี การทะลวงจากขั้นแปดไปสู่ขั้นเก้ายากเย็นพอๆ กับปีนขึ้นสวรรค์ คนมากมายที่บรรลุขั้นแปดแล้วฝึกฝนต่ออีกห้าสิบหกสิบปีก็ยังไม่แน่ว่าจะทะลวงขึ้นสู่อีกขั้นได้


หากขั้นแปดไม่กี่คนนี้อยากทะลวงสู่ขั้นเก้าเกรงว่าใช้เวลาอีกสิบยี่สิบปีก็ยังบรรลุไม่ได้


ผู้นำต้องเป็นสตรี หากไม่ผิดจากที่คิดไว้ คนที่ว่านั้นก็คือตัวเธอกู้ซีจิ่ว


ตอนนี้เธอเพิ่งบรรลุขั้นแปด ไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ปีกี่เดือนถึงจะทะลวงขั้นเก้าได้ ให้เธอทะลวงสู่ขั้นสิบนั่นมิใช่ว่าแสนริบหรี่หรอกหรือ?


ยังมีอีก ผู้คนที่นี่ล้วนอยากออกไปจริงๆ ทุกคนร่วมหัวจมท้ายกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้หากว่าออกไปได้เพียงเก้าคน เช่นนั้นคนที่เหลือจะทำยังไงล่ะ? เกรงว่าพวกเขาจะสิ้นหวังเอา!


ความจริงข้อนี้หากว่าตี้ฝูอีกล่าวออกมา เกรงว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นได้…


เธอค่อนข้างใจลอย ทว่าตี้ฝูอีราวกับอ่านความคิดเธอออก ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว เป็นผู้นำต้องรู้จักคัดสรร ไม่อาจใจอ่อนเยี่ยงอิสตรีได้…”


————————————————————————————-


บทที่ 1363 ราวกับมีประสบการณ์โชกโชน (1)


กู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจหลักการนี้ดี แต่ว่า…


ช่วงนี้ตี้ฝูอีมักจะชอบปลูกฝังหลักการจัดการของนักปกครองให้เธอ ทำให้เธอรู้สึกขบขันอยู่บ้าง ความจริงคนอย่างเธอไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อย ไม่ต้องการปกครองโลกใบนี้ เธอแค่อยากมีชีวิตที่มีความสุข มีอิสระเสรี กระบี่ในมือมีไว้เพื่อปกป้องคนที่อยากปกป้องเท่านั้น ไม่ได้สนใจตำแหน่งอันสูงส่งเสียเท่าไร…


“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าท่านเป็นนักปกครอง มีปรัชญาชีวิตของผู้ปกครอง แต่ข้าไม่ใช่และก็ไม่ได้อยากเป็นนักปกครองอะไร ข้าเล่าเรียนวรยุทธ์เพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องคนรักและมิตรสหายข้างกายข้า เพียงหวังว่าสหายของข้าจะมีชีวิตที่ดี…”


ตี้ฝูอีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง สบสายตาล้ำลึกของเธอ กู้ซีจิ่วถูกเขามองจนขนลุกขนพอง “มองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุอันใด? ข้าพูดอะไรผิดงั้นหรือ?”


“ซีจิ่ว ความจริงแล้ว…” ตี้ฝูอีเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดพลางยิ้ม “เจ้านี่นะ อย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ความจริงเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากทำก็ไม่ทำ และก็ไม่ใช่ว่าอยากทำแล้วจะสำเร็จได้ ข้าก็เคยเป็นเช่นเจ้ามาก่อน…”


เขาแน่นิ่งไปอีก ทอดถอนใจ “ช่างเถิด วันนี้พูดถึงเรื่องนี้ทำให้เสียบรรยากาศ ต่อไปเจ้าก็จะเข้าใจเอง…และข้าก็ไม่จำเป็นต้องสั่งสอนเจ้าเช่นนี้”


กู้ซีจิ่วอดยิ้มไม่ได้ กอดแขนเขาไว้ “ท่านสั่งสอนสาวกจนติดเป็นนิสัยแล้วใช่หรือไม่? เลยมาสั่งสอนข้าเหมือนข้าเป็นสาวกท่าน?”


ตี้ฝูอียิ้ม “เด็กโง่ ข้าแค่อยากให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น จะได้ไม่เสียเปรียบในภายภาคหน้า”


กู้ซีจิ่วเอนศีรษะซบไหล่เขา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านเอ่ยคำหวานไม่เป็นจริงๆ”


“หืม?”


“ข้าจำได้ว่าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อบุรุษรักใคร่สตรีจะพูดว่า ‘มีข้าอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่ง’ น่าประทับใจมากใช่ไหมล่ะ?”


ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง


กู้ซีจิ่วหอมแก้มเขาหนึ่งครา “ท่านพูดเช่นนี้กับข้าบ้างสิ”


“นี่กำลังออดอ้อนข้าหรือ?” ตี้ฝูอีโอบเอวนาง


สายตากู้ซีจิ่ววาบไหวจ้องมองเขา “พูดสิๆ เอาใจข้าหน่อย”


ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า เจ้าสอนข้าพูด ข้าพูดแล้วเจ้าจะรู้สึกอันใดหรือ?”


กู้ซีจิ่วเอ่ย “รู้สึกสิ ข้าชอบฟัง ท่านพูดให้ข้าฟังหน่อย ถ้าไม่พูดคืนนี้ไม่ร่วมหอ!”


“ขี้โกง!” แววตาตี้ฝูอีลึกล้ำ ริมฝีปากกลับโค้งยิ้มอันตราย “ไม่ร่วมหอ? เจ้าหักห้ามใจได้หรือ?”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “มีอะไรหักห้ามใจไม่ได้?”


ริมฝีปากตี้ฝูอีแนบชิดใบหูนาง “เจ้าไม่กลัวข้าอกแตกตายหรือไร?”


กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองส่วนล่างเขาแวบหนึ่ง เขาสวมใส่ชุดหลวมโคร่ง ย่อมมองไม่เห็นสิ่งใด เธอโอบคอเขาพลางพูดข้างหู “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านอดทนมาตั้งหลายปีก็ไม่เห็นจะอกแตกตาย ยามนี้ไยจะอกแตกตายได้? มิเช่นนั้น หลายพันปีมานี้ท่านใช้ชีวิตผ่านมาได้อย่างไร?”


ลมหายใจของเธอรินรดข้างใบหูเขา ตอนนี้เธอเหมือนนางมารร้ายที่มีเสน่ห์เย้ายวน เย้าหยอกใจคนให้คันยุบยิบ


ดวงตาตี้ฝูอีล้ำลึกดั่งน้ำวน “ก่อนหน้านี้…ยังไม่เคยได้กินเนื้อ…”


เมื่อใดได้กินเนื้อ ได้ลิ้มรสชาติอันแสนวิเศษนั้นแล้ว หากมองเห็นคนรักอีก เขาจะหักห้ามใจได้อย่างไร? และเขาก็ไม่อยากหักห้ามใจด้วย!


กู้ซีจิ่วยังอยากพูดอะไรอีก แต่ตี้ฝูอีไม่อยากคุยกับนางแล้ว!


เขาเพิ่งได้ลิ้มรสเนื้อก็ถูกบังคับให้อดกลั้นเป็นเวลาครึ่งเดือน วันนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอ เขาพานางมาที่นี่ไม่ใช่มาพูดคุยเป็นเพื่อนนาง!


ดังนั้นเขาจึงสะบัดชายเสื้อ เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพลันพร่ามัว ร่างกายเย็นวาบ คล้ายมีน้ำอุ่นชำระล้างผ่านกาย ยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกเขาคร่อมอยู่บนเตียงเมฆาหลังนั้นแล้ว…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)