ลำนำบุปผาพิษ 1361-1362
บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (1)
กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เอาคำถามเถอะ!”
“ซีจิ่ว หากว่าไม่มีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ เจ้าจะชอบข้าไหม? ข้าอยากฟังคำตอบจากใจจริง โปรดตอบออกมาจากหัวใจของเจ้า มิใช่แค่ตัดปัญหายุ่งยากอันใดให้จบลงโดยเร็ว เจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยตอบก็ได้”
แววตากู้ซีจิ่วสงบนิ่ง “ไม่ต้องคิดหรอก ข้าสามารถตอบได้ในยามนี้เลย ไม่มีทาง! ข้าสามารถปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะคู่หูในฐานะสหายได้ แต่มิใช่ความสัมพันธ์แบบคนรักแน่นอน ข้าไม่มีความรู้สึกในเชิงนั้นให้เจ้าเลย”
น้ำเสียงเธอเยือกเย็นกระจ่างชัด ดับจินตนาการทั้งหมดของไป๋หลี่เช่อให้มอดลง สีหน้าเขาซีดเซียว “เจ้าชอบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจริงๆ หรือ? หากว่าข้ายืนกรานไม่เห็นด้วยตลอดไปขอเพียงพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวัน ก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริงได้ เจ้ากับเขาจะต้องอยู่กันอย่างไร้ฐานะตลอดไป เช่นนี้เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วสุ่มหยิบผลไม้ลูกหนึ่งขึ้นมา ตอบอย่างเฉยเมยว่า “ความจริงแล้วหากข้าต้องการอยู่กับเขา ผู้ใดก็ไม่อาจขัดขวางพวกเราได้ ตอนอยู่ข้างนอกพวกเรามีสัญญาหมั้นหมายกันแล้ว หากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ข้าคงออกเรือนกับเขาอย่างสง่าผ่าเผยไปแล้ว ว่ากันตามจริงตัวข้าผู้นี้ไม่แยแสวาจาคนเสมอมา และไม่สนใจสายตาของผู้อื่น ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่สามหน้าไหน”
สายตาของเธอกวาดมองฝูงชนรอบหนึ่ง ฝูงชนทั้งหมดก็มองเธอเช่นกัน เธอพูดต่อไป “เหตุผลที่เขายอมปฏิบัติตามกฎของหัวหน้าหลัว ด้วยไม่อยากให้ข้าถูกผู้ใดติฉินนินทา และเห็นแก่ที่หัวหน้าหลัวเป็นพี่ชายของข้า ไม่อยากให้เขาลำบากใจเกินไป เนื่องจากเขาให้เกียรติข้าดังนั้นจึงให้เกียรติกฎระเบียบของที่นี่ด้วย อยากได้รับคำอวยพรจากทุกคน แต่สำหรับข้าแล้ว กฎนี้ไม่มีข้อผูกมัดอันใดกับข้าเลย ข้าจะชอบใครก็เรื่องของข้า ได้รับการยอมรับความเห็นชอบจากทุกคนข้าดีใจยิ่งนัก แต่ถ้าจะอาศัยเรื่องนี้มาเจตนาเอาคืนล้างแค้น เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงกล่าวขออภัยแล้ว มิตรภาพของพวกเราคงต้องสิ้นสุดลงตรงนี้เช่นกัน!”
ไป๋หลี่เช่อหน้าซีดแล้ว
เด็กสาวนั้นหน้าบาง เมื่อก่อนยามที่บุรุษจะแต่งภรรยาต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกคนจึงทุ่มเททำสารพัด เด็กสาวเหล่านั้นกระดากที่จะพูดให้มากความ ส่วนใหญ่แล้วทั้งหมดล้วนเบิกตามองว่าที่สามีของตนทุ่มเทสุดชีวิตอยู่ตรงนั้น บ้างก็ถึงขั้นที่ถูกหลอกปั่นหัว ว่าที่เจ้าสาวก็ไม่กล้าพูดมากเลยสักประโยค
ส่วนกู้ซีจิ่วกลับพูดออกมาที่นี่อย่างฉะฉาน และแสดงความรู้สึกของนางออกมาโดยไม่เคอะเขินเลยสักนิด นางทำเช่นนี้ในยามนี้เป็นการมอบคำเตือนให้เขาอยู่กลายๆ เกลี้ยกล่อมให้เขาหยุดลงตรงนี้ มิเช่นนั้นนางกับเขาก็ไม่อาจเป็นสหายกันได้แล้ว…
เด็กสาวผู้นี้มีความกล้าหาญ มีความรับผิดชอบ! ไม่เสแสร้งดัดจริต กล้าพูดกล้าทำ ตี้ฝูอีสามารถแต่งนางได้นับว่ามีโชคอย่างแท้จริง!
บุรุษหลายคนที่เคยเคี่ยวกรำลำบากลำบนแสนสาหัสจนฟกช้ำดำเขียวเพื่อให้ได้แต่งงานมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
ไป๋หลี่เช่อก้มหน้าลง สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “วางใจเถอะ ซีจิ่ว ข้าไม่มีเจตนากลั่นแกล้งพวกเจ้าหรอก ข้าแค่อยากเห็นว่าการถอยของข้าคุ้มค่าหรือไม่”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ ชูจอกสุราขึ้น “ขอบคุณยิ่งนักสำหรับการสนับสนุน มา ข้าคารวะเจ้าหนึ่งจอก ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบคุณในความชมชอบของเจ้า”
เมื่อไป๋หลี่เช่อดื่มสุราจอกนี้ลงไป ก็เท่ากับว่าเขาเห็นชอบกับเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
สายตาที่หลัวจั่นอวี่มองกู้ซีจิ่วทอแววซับซ้อนรางๆ นึกไม่ถึงว่าไป๋หลี่เช่อที่กระดูกแข็งเคี้ยวยากปานนี้จะถูกกู้ซีจิ่วสยบลงอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
มีบางคนกวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นล่ะ? หลายวันมานี้ไม่เห็นเขาเลยนะ”
คนอื่นก็พากันคล้อยตาม ล้วนแสดงความเห็นไม่ต่างกันว่าไม่เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาสามวันแล้ว
กู้ซีจิ่วยุ่งมากจริงๆ ง่วนอยู่กับเรื่องยกระดับวิชาหลอมโอสถ งานเลี้ยงรอบกองไฟครั้งนี้เดิมทีเธอไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่เธอไม่ได้เจอตี้ฝูอีกว่าสิบวันแล้ว ในใจค่อนข้างคะนึงหายิ่งนัก คิดอาศัยโอกาสนี้พบหน้าเขาสักครั้ง ถึงแม้ไม่อาจพูดคุยได้ทว่าได้สบตากันสักแวบก็ยังดี คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่มา นี่ทำให้เธอค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
————————————————————–
บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (2)
ในใจถึงขั้นที่ขุ่นเคืองอยู่บ้าง ถึงแม้ตามกฎแล้วเขาไม่สามารถพบเจอเธอได้ แต่อย่างไรเขาก็ไม่แอบมาหาเธอหน่อยหรือ? เขารู้อยู่ชัดๆ ว่าเธอไม่สนใจพิธีรีตองพวกนั้น ถึงแม้แอบมาหาเธอสักแวบหนึ่งก็ยังดีนี่!
ทูตสวรรค์ฝ่ายผู้นี้เห็นกฎระเบียบเป็นเพียงเมฆาเลื่อนลอยเสมอมา หนนี้กลับรักษากฎอย่างเคร่งครัดไม่ย่อหย่อนสักนิด ทำให้คนชิงชังจนกัดฟันกรอดๆ
ไม่ได้พบเธอมาหลายวันแบบนี้ เขาไม่คิดถึงเธอหรือไง?
ฮึ เห็นทีว่าคงไม่คิดถึงเท่าไหร่!
กู้ซีจิ่วหลุบตาดื่มสุราไปหนึ่งจอก จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “นั่งคุยกันเฉยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย มิสู้ให้ข้าร้องเพลงให้ทุกคนฟังสักเพลงดีไหม?”
ตั้งแต่กู้ซีจิ่วมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยร้องเพลงเลย ทุกคนย่อมคาดไม่ถึงว่าเธอจะร้องเพลงเป็น ตะลึงกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันร้องว่าดี
ที่นี่คนที่ร้องเพลงได้ยอดเยี่ยมที่สุดคือหวงซังเซียง นางมักจะภูมิในเรื่องนี้อยู่เสมอ ยามนี้เมื่อได้ยินกู้ซีจิ่วกล่าวเช่นนี้ นางก็ยิ้มน้อยๆ แล้วเปิดปากเอ่ย “ใช่แล้ว ทุกคนลุกขึ้นมาร้องรำทำเพลงก็ค่อนข้างน่าสนุกดี ไม่ว่าจะร้องเป็นหรือร้องไม่เป็น กล้าร้องก็ยอดเยี่ยมแล้ว”
สองตามองไปที่กู้ซีจิ่ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววยั่วยุ “แม่นางกู้ ท่านมีความกล้าในการร้อง วางใจเถอะ ไม่ว่าท่านจะร้องแย่มากเพียงใดทุกคนก็จะไม่หัวเราะเยาะท่าน นับเป็นการโยนกระเบื้องล่อหยก[1]ที่ยอดเยี่ยม ประเดี๋ยวข้าค่อยร้องรำให้ทุกคนฟังอีกเพลง”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เธอแทบจะขำออกมาแล้ว!
คงเป็นเพราะระยะนี้เธอโดดเด่นเหลือเกิน ทำให้จิตใจหวงซังเซียงคลอนแคลนยิ่งนัก ถึงแม้จะเคยได้รับบทลงโทษที่หนักหนาไปแล้ว แต่นางกลับไม่เรียนรู้ที่จะทำตัวสงบเสงี่ยมเก็บหางเสียบ้างเลย ลอบหาโอกาสเล่นงานกู้ซีจิ่วลับหลังอยู่เสมอ สำหรับนางแล้วแม้จะเป็นเพียงการใช้วาจายั่วยุก็ถือว่าดีมากแล้ว
กู้ซีจิ่วคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนเช่นนี้เสมอมา ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจนาง
ยากนักที่หวงซังเซียงจะยึดครองความได้เปรียบได้ ยามนี้จึงค่อนข้างภูมิใจ นางกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง “ทุกคนอยากเห็นข้าร้องเพลงเต้นระบำหรือไม่?”
นางยังคงเข้าใจกลยุทธ์การกระตุ้นความอยากยิ่งนัก ทราบว่าของหายากสิถึงจะแพง ยามปกติจึงไม่ร้องรำต่อหน้าผู้คนเท่าไหร่ จะรอให้คนอื่นรบเร้าเชิญชวนให้หน้านางจนพอก่อน นางถึงจะร้องมาร้องรำสร้างความหรรษาอย่างไว้ท่าสักเพลง ทุกคนล้วนต้องโห่ร้องให้กำลังใจ มิเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นนาง ต่อไปนางก็จะไม่ร้องอีก
เนื่องจากเรื่องนี้ เหล่าบุรุษที่ยังคงค่อนข้างเอ็นดูนางอยู่ ยามที่นางร้องเพลงร่ายรำจะต้องปรบมือแล้วร้องว่ายอดเยี่ยมใส่หน้านาง
ยากนักที่จะได้เห็นนางเสนอตัวออกมาร้องรำเองเช่นยามนี้ คนส่วนใหญ่ยังคงชื่นชอบยิ่งนัก เพียงแต่นางถามเช่นนี้ออกมาในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากสร้างความลำบากให้กู้ซีจิ่ว ดังนั้นทุกคนจึงมองหน้ากันกระอักกระอ่วน สุดท้ายทุกคนก็ตอบกันอย่างคลุมเครือ “การร้องรำของเจ้าทั้งสองพวกเราล้วนอยากเห็นทั้งคู่”
“แม่นางทั้งสองต่างร้องรำกันเถิด ข้าตั้งตารอชมแล้ว…”
ทุกคนค่อนข้างมีประสบการณ์โชกโชน วาจาเช่นนี้ล้วนไม่ล่วงเกินแม่นางทั้งสอง
ในใจหวงซังเซียงไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้เผยท่าทีไม่พอใจออกมา นางจะทุ่มเทในการร้องรำเพื่อเอาชนะแล้วกู้หน้ากลับมาให้ตัวเอง ให้กลายเป็นจุดสนใจของเหล่าบุรุษอีกครั้ง
ผู้คนที่นี่มีอยู่ไม่กี่คนที่สามารถเล่นดนตรีได้ ถึงขั้นมีอยู่คนหนึ่งที่มีพิณโบราณอยู่หนึ่งตัว ดีดได้เข้าทีอยู่บ้าง ยามนี้เขาจึงขันอาสา “ข้าใช้พิณบรรเลงประกอบให้แม่นางทั้งสองเอง”
หวงซังซียงมองไปที่กู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้ ท่านเริ่มก่อนเถิด”
————————————————————–
[1] โยนกระเบื้องล่อหยก เป็นหนึ่ง 36 ยอดกลยุทธ์ของจีน เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการใช้สิ่งใดที่มีความคล้ายคลึงกันในการหลอกล่อดึงดูดความสนใจของศัตรู แต่ปัจจุบันใช้เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า เสนอความคิดตื้นๆ ที่ไม่ค่อยได้ความเพื่อหลอกล่อขอความคิดเห็นที่ดีกว่า
บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (3)
กู้ซีจิ่วเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ยิ้มมิเชิงยิ้ม “ให้ข้าเริ่มก่อนจริงหรือ?”
“แน่นอน ข้าเกรงว่าถ้าข้าร้องก่อน ท่านจะไม่อยากร้องต่อแล้ว ยากนักที่ท่านจะสมัครใจร้องเอง ทุกคนก็อยากสนุกสนานเฮฮา ข้าไม่อยากขัดความสำราญของทุกคน เจ้าว่าใช่หรือไม่?” หวงซังเซียงตีสีหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี
กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว “ได้ เช่นนั้นข้าจะเริ่มก่อน!”
กับคนแบบนี้เธอคร้านจะปากต่อคำด้วย แสดงความสามารถสิถึงจะเป็นเส้นทางของราชา!
ชายบรรเลงพิณคนนั้นเอ่ยถามกู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้จะร้องเพลงใด? ลองร้องทำนองออกมาก่อนเถิด ข้าจะได้เตรียมตัวให้ดี”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปเล็กน้อย ยื่นโน้ตเพลงให้เขาแผ่นหนึ่ง เป็นเพลง ‘โต๊ะหยกเขียว’ นักพิณคนนั้นอ่านดูก่อนรอบหนึ่ง แล้วเข้าจังหวะดูทันทีพลางทอดถอนใจ “เพลงดี!”
นักพิณคนนี้มีความสามารถโดยแท้ เขายื่นนิ้วไปลองดีดดูก่อนสองสามเสียง จากนั้นก็ค่อยๆ จับจังหวะได้ ดีดเป็นท่วงทำนองติงๆ ตังๆ ต่อเนื่องกันอย่างมีชั้นเชิงนัก กู้ซีจิ่วพลันหมุนกาย ร้องไปพลางร่ายรำไปพลาง
ดวงตะวันลับเหลี่ยมฟ้า ณ ขอบเมือง
ธุลีฝันตลบฟุ้งในราตรี
หมู่บ้านเก่าพายุฝนโหมกระหน่ำ
เงาเลือนราง สะท้อนดวงหน้าสั่นไหวในคันฉ่อง…
….
เธอเพิ่งร้องออกมาประโยคเดียว จัตุรัสที่เดิมทีมีเสียงเซ็งแซ่อยู่เล็กน้อยก็เงียบกริบลงทันที
เสียงสวรรค์!
เห็นได้ชัดว่าฝูงชนคาดไม่ถึงว่าเธอจะร้องได้ดีขนาดนี้ แต่ละคนอ้าปากเล็กน้อยมองดูเธอ
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่อให้ไม่มีสัมผัสทางด้านดนตรีมากนัก ตนเองร้องไม่เป็น แต่ยังคงฟังเป็น! ทุกคนต่างชมชอบเสียงเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้ง เสียงเพลงที่ร้องออกมาดั่งเสียงสวรรค์ย่อมทำให้แต่ละคนมัวเมา…
เดิมทีนักพิณผู้นี้เมื่อบรรเลงพิณอยู่ที่นี่นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ ไม่ค่อยบรรเลงประกอบให้ใครง่ายๆ วันนี้ออกหน้าก็เพียงเพราะเห็นแก่คุณงามความดีที่กู้ซีจิ่วสร้างให้ทุกคน ในใจเตรียมการไว้อย่างดีว่าถ้ากู้ซีจิ่วร้องเพี้ยนเขาจะหาทางใช้เสียงพิณลากกลับมา แต่เมื่อกู้ซีจิ่วร้องเพลงออกมา แม้แต่หัวใจของเขาก็เต้นรัวเช่นกัน นัยน์ตาเจิดจ้าทันที!
เสียงเพลงเช่นนี้…
จู่ๆ เขาก้รู้สึกว่าเสียงพิณของตนไม่คู่ควรกับนางเลย ทำให้เขารู้สึกอับอายที่ตนด้อยกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง
เริ่มแรกที่เขายังดีดอย่างไม่อนาทรร้อนใจอยู่บ้าง ยามนี้กลับอดไม่ได้ที่จะรวบรวมสมาธิเพื่อบรรเลง…
กู้ซีจิ่วไม่เพียงแต่ร้องเพลงได้ดีเท่านั้น การร่ายรำก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีครามนภา ยามที่ร่ายรำกรีดกรายดั่งระลอกคลื่นครามใสที่รินไหลอยู่ใต้แสงจันทร์ ดุจบุปผาดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางราตรี…
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนกลั้นลมหายใจ ด้วยเกรงว่าถ้าหายใจแรงไปจะเป็นการรบกวนคนที่ร้องรำอยู่ผู้นี้ ทำลายความงดงามทั้งหมดนี้ไป
บางคนที่พอเข้าใจศาสตร์ดนตรีถึงขั้นที่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง การร้องรำเช่นนี้ควรใช้เสียงพิณที่ดีกว่านี้ถึงจะคู่ควร เสียงพิณของนักพิณคนนี้ยังดีดได้ไม่ถึงเข้าขั้นถึงเพียงนั้น…
ยามที่กู้ซีจิ่วร้องถึงประโยคที่ห้า จู่ๆ ก็มีเสียงขลุ่ยสายหนึ่งผสานเข้ามา
เสียงขลุ่ยนี้แผ่วพลิ้วดุจสายลม ราวกับพกพาสายลมจากป่าสนบุกป่าฝ่าดงมาด้วย เพิ่งจะประสานเข้ามาก็กลบเสียงพิณไปจนหมดได้
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามันผสานเข้ามาอย่างฉุกละหุก ทว่าเข้ากับเสียงเพลงได้ดียิ่ง ประหนึ่งว่าเสียงเพลงที่เป็นเสียงสวรรค์เช่นนี้ก็น่าจะคู่ควรกับเสียงขลุ่ยที่เป็นเสียงสวรรค์เช่นกัน เสียงอื่นใดล้วนเป็นเสียงรบกวนทั้งสิ้น
นักพิณคนนั้นฝืนไล่ตามไปอีกสองจังหวะ ตัวเขาก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้ จึงหยุดลงอย่างอาลัยอาวรณ์
ผู้ที่สามารถเป่าขลุ่ยได้ขั้นเทพเช่นนี้บนโลกนี้มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!
ในที่สุดเขาก็มาแล้ว!
————————————————————–
บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (4)
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา ยังคงร้องรำต่อไป
แสงจันทราดั่งหิมะแรกอรุณ
เมฆาแดงฉานกล่าวอำลา
ประพันธ์บทเพลงด้วยรักและน้ำตา
ความซับซ้อนอันหลายหลาก สรวงสวรรค์แดนมนุษย์ต่างแบ่งแยก นับแต่นี้ไร้ซึ่งคนรู้ใจ…
เสียงขลุ่ย เสียงเพลง การร่ายรำที่อ่อนช้อย สามสิ่งผสมผสานกัน ราวกับทำให้ฟ้าดินเงียบสงัดลงได้ สายลมก็โบกโชยอย่างอ่อนโยนขึ้นมา
เมื่อบทเพลงสิ้นสุด เสียงดนตรียังคงอ้อยอิ่ง คงอยู่อีกเนิ่นนาน
จวบจนเสียงดนตรีสลายไป ฝูงชนถึงได้ตื่นจากภวังค์เสียงเพลง
จากนั้นเสียงปรบมือดังกึกก้องก็แว่วขึ้น!
ฝ่ามือของทุกคนปรบจนแทบจะแดงไปหมดแล้ว
ในชีวิตนี้พวกเขายังไม่เคยฟังบทเพลงที่ไพเราะถึงเพียงนี้ ไม่เคยเห็นการร่ายรำที่น่าชมถึงเพียงนี้มาก่อนเลย!
กู้ซีจิ่วกลับไปนั่งที่เดิม เหลือบมองหวงซังเซียงแวบหนึ่ง “ข้าโยนกระเบื้องออกไปแล้ว แม่นางหวงสามารถนำหยกออกมาได้แล้ว เชิญ!”
หวงซังเซียงพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ฝูงชนพากันส่ายหน้า เมื่อเทียบกับการร้องรำของแม่นางกู้แล้ว การร้องรำของหวงซังเซียงก็เหมือนเด็กน้อยเล่นขายของ ทนมองทนฟังไม่ได้เลย
หวงซังเซียงทึ่มทื่อปานไก่ไม้ สีหน้าซีดเขียว นั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมา อยากแทรกแผ่นดินหนีอย่างยิ่ง
แต่เมื่อครู่คุยโวโอ้อวดออกไปแล้ว ยามนี้คิดจะกลับลำก็ไม่ได้แล้ว ขณะที่กำลังยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ นางพลันเงยหน้าขึ้น มองเห็นตี้ฝูอีร่อนลงมาจากบนต้นไม้ มือข้างหนึ่งของเขาถือขลุ่ยไว้ มืออีกข้างถือถังไว้ ถึงแม้จะเป็นภาพที่ค่อนข้างประหลาด แต่ท่าทางเช่นนี้ไม่ได้ทำให้บุคลิกที่ดูสูงส่งดั่งต้นอวี้ของเขาลดลงเลยสักนิด
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”
“ใช่แล้ว สามวันนี้ไม่เห็นท่านเลย…”
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบรรเลงขลุ่ยได้ยอดเยี่ยมโดยแท้! เข้ากับเสียงร้องของแม่นางกู้ได้ปานเสียงสวรรค์…”
ระยะนี้ความนิยมของตี้ฝูอีไม่เลวเลย ทุกคนพากันเอ่ยทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่านับเขาเป็นพวกเดียวกันแล้ว
มุมปากของตี้ฝูอีหยักขึ้นบางๆ ดูคล้ายเกียจคร้าน ทว่าสายตากลับตกลงบนร่างของกู้ซีจิ่ว ลึกล้ำยิ่งกว่ารัตติกาล พร่างพราวยิ่งกว่าแสงดารา
กู้ซีจิ่วนั่งกอดอกอยู่ตรงนั้น สบตาเขาโดยไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด เธอยกยิ้มแวบหนึ่ง ผงกศีรษะให้เขา พลางหันไปคุยกับคนที่อยู่ด้านข้าง ไม่มองเขาอีก
แววตาตี้ฝูอีพลันมืดมนลง ดูเหมือนสาวน้อยกำลังโกรธอยู่…
เพราะเหตุใดกัน?
หรือรังเกียจที่เขาเคลื่อนไหวช้าไป?
อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว…
ฝูงชนมองดูถังในมือเขา ในถังมีเสียงน้ำดังขึ้นเป็นครั้งคราว บางคนยืดคอมองเข้าไปแวบหนึ่งด้วยความอยากรู้ พบว่าถังมีปลาตัวหนึ่งว่ายอยู่
ปลาตัวนั้นหน้าตาประหลาดยิ่ง ครึ่งแดงครึ่งเงิน เสมือนปลาไนอวบอ้วน มองๆ แล้วค่อนข้างน่าเอ็นดู
“เอ๋ นี่มิใช่ปลาไนดิ้นเงินหรอกหรือ? นี่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปตกปลามารึ?”
“ปลาชนิดนี้มีไหวพริบยิ่งนัก ตกไม่ง่ายเลย! ไม่น่าเชื่อว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะตกตัวนี้มาได้ เห็นทีว่าทักษะการตกปลาของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะไม่เลวเลย”
“ปลานี้ถึงแม้จะตกยาก แต่กลับอุดมสารอาหารนัก รสชาติก็ล้ำเลิศยิ่ง ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตกปลาตัวนี้กลับมาคิดจะมอบให้ผู้ใดหรือ?”
ฝูงชนพูดจาหยอกเอินอย่างเจ้าคำข้าคำ
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนน้ำแกงปลาที่เธอตุ๋นให้ไป๋หลี่เช่อเมื่อวันก่อนก็เป็นปลาชนิดนี้เหมือนกัน ได้ยินว่าต่อมาถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแย่งไป ทำให้ไป๋หลี่เช่อขุ่นเคืองอยู่เนิ่นนาน
ขณะที่เธอใคร่ครวญอยู่ ข้างกายพลันสลัวลง มีกลิ่นหอมอ่อนจางโชยเข้าสู่จมูก
ตี้ฝูอีเดินมาถึงข้างกายเธอแล้ว ไม่ได้พูดกับเธอโดยตรง แต่ใช้น้ำเสียงสุภาพกล่าวกับสตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของกู้ซีจิ่ว “แม่นางสละที่ให้ได้หรือไม่?”
สตรีนางนั้นย่อมตามีแววเช่นกัน อีกอย่างยามที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใช้น้ำเสียงสุภาพพูดกับผู้อื่น ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้โดยไม่ละอายใจ ดังนั้นนางลุกออกไปหาที่อื่นนั่งทันที
จากนั้นตี้ฝูอีก็นั่งลงข้างกายกู้ซีจิ่วอย่างสง่าผ่าเผย
บทที่ 1361 อันที่จริงเขารีบร้อนยิ่งนักแล้ว… (5)
กู้ซีจิ่วไม่ได้เจอเขามาสิบกว่าวันแล้ว ยามนี้เขานั่งอยู่ข้างกาย จมูกได้กลิ่นหอมจางๆ จากร่างเขา แขนสัมผัสถูกแขนเขาเข้าโดยมิได้ตั้งใจ อุณหภูมินั้นทำให้เธอใจสั่น
หลัวจั่นอวี่ที่นั่งอยู่ด้านขวาของกู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตามกฎแล้วท่านไม่สามารถพบปะพูดคุยกับซีจิ่วได้ ท่านนั่งตรงนี้ไม่เหมาะกระมัง?”
ตี้ฝูอีวางถังลงบนพื้น “นี่เป็นพื้นที่สาธารณะ พบหน้ากันมิใช่เรื่องที่พอเข้าใจได้หรือกหรือ? และข้าก็ไม่ได้คุยกับนางเลย ส่วนการที่ข้าเลือกนั่งตรงนี้ นั่นก็เป็นเพราะทิวทัศน์ตรงนี้ยอดเยี่ยมที่สุด”
หลัวจั่นอวี่อับจนวาจาแล้ว ทุกคนนั่งล้อมวงกัน ไหนเลยจะมีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดกัน?
เพียงแต่ที่ตี้ฝูอีว่ามาก็มีเหตุผล เขาหาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ไปชั่วขณะ ขณะที่กำลังพูดอะไร จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ลุกขึ้นมา ตรงไปหยิบเนื้อย่างบนตะแกรงมาเสียบหนึ่ง จากนั้นก็ไปหาที่อื่นนั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีตะลึง
นางโกรธแล้ว เขามั่นใจ แต่เขายังไม่ทราบเลยว่านางโกรธเคืองด้วยเรื่องใด
กู้ซีจิ่วแยกห่างจากเขาอย่างสงบนิ่ง คนอื่นๆ นึกว่าเธอกำลังหลบเลี่ยงคำครหาอยู่ ดังนั้นจึงไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงรู้สึกว่าตี้ฝูอีค่อนข้างน่าสงสาร…
โชคดีที่บุรุษที่แต่งงานแล้วของที่นี่ล้วนเคย ‘น่าสงสาร’ เช่นนี้มาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นอกเห็นใจตี้ฝูอีอย่างยิ่ง สนทนาปราศรัยกับเขาอีกสองสามประโยค
ทุกคนต่างสนใจปลาที่เขาตกได้ ปลาชนิดนี้เลี้ยงไว้ดูเล่นได้ทำอาหารก็ได้ เหมาะสำหรับเด็กสาว ตี้ฝูอีจะมอบปลาตัวนี้ให้กู้ซีจิ่วหรือเปล่านะ?
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็สงสัยเช่นกันว่าเขาจะทำอะไรกับปลาตัวนี้ เมื่อครู่เธอกวาดตามองถังของเขาแวบหนึ่ง ปลาตัวนั้นดูเหมือนจะขนาดเท่าตัวนั้นที่เธอตุ๋นน้ำแกงไป แม้กระทั่งลวดลายก็ยังเหมือนกันทุกประการ…
สายตาของตี้ฝูอีร่อนลงบนร่างไป๋หลี่เช่อ ไป๋หลี่เช่อถูกสายตาเขาจับจ้อง รู้สึกว่าตัวหดเล็กลงทันที เพียงแต่เขาเหยียดเอวให้ตั้งตรง จ้องกลับไป ชิงเปิดประเด็นก่อนเสียเลย “ท่านผู้สูงศักดิ์มีอันใดจะชี้แนะหรือ?”
ตี้ฝูอีตอบเรียบๆ ว่า “คราวก่อนที่แย่งน้ำแกงปลาของเจ้าไป เป็นความผิดของข้าเอง ข้าตั้งใจตกปลาตัวนี้มา เหมือนตัวนั้นของเจ้าทุกประการ ไม่ต่างกันสักกระผีกเกล็ด เจ้าตรวจดูด้วยตัวเองได้เลย”
ปลาตัวนี้เป็นการชดใช้ให้เขางั้นหรือ?!
ไป๋หลี่เช่อมองเข้าไปในถังแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ พบว่าปลาตัวนี้เหมือนปล่าตัวก่อนหน้านั้นของเขาทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ เขาทึ่มทื่อไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ปลาชนิดนี้ตกยากแค่ไหนเขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใด ปลาชนิดนี้มีจำนวนน้อยและหายากยิ่งนัก อย่าว่าแต่ตัวที่เหมือนกันเลย ต่อให้เขาอยากจับตัวที่มีขนาดไม่ต่างกับตัวก่อนหน้านี้ให้ได้อีกสักตัวก็ลำบากลำบนแสนสาหัสแล้ว แต่ยามนี้ตี้ฝูอีกลับคืนปลาที่ราวกับเป็นฝาแฝดกันให้เขาหนึ่งตัว…
เขาตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง สายตาจ้องตรงไปที่ตี้ฝูอี “ปลาตัวนี้ท่านตกนานไหม?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีกระจ่างราบเรียบ “ก็ไม่นานมาก สามวันเท่านั้น”
ที่แท้เขาก็หายไปตกปลามาสามวัน!
บางคนปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว เบิกตากว้างแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นสามวันมานี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะต้องตกปลาชนิดนี้ได้ไม่น้อยเลยกระมัง? ไม่ทราบว่าตกไปมากน้อยเพียงใดถึงจะพบตัวที่เหมาะสมตัวนี้?”
“ก็ไม่มากเท่าไหร่” ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยชา ชูมือคราหนึ่ง ถังใส่ปลาแปดถังพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ในถังทุกใบมีปลาสารพัดชนิดเบียดเสียดอยู่ ขนาดแตกต่างกัน ลวดลายไม่เหมือนกัน มีถึงหกสิบเจ็ดสิบตัว!
ฝูงชนตกตะลึงไปตามๆ กัน
ปักหลักตกปลาอยู่ในสถานที่แห่งเดียวมาสามวัน เพียงเพื่อตกปลาที่เหมือนกันตัวหนึ่งมาชดใช้ให้ผู้อื่น…
การชดเชยนี้ช่างจริงใจยิ่งนัก!
ฝูงชนต่างประทับใจ พากันมองไปทางไป๋หลี่เช่อ
ไป๋หลี่เช่อได้รับความสะเทือนใจไม่น้อยเลย เขามองปลาในถังอย่างใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง พลันถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ายอมแพ้แล้ว! ข้าขออวยพรให้งานวิวาห์ของท่านทั้งสอง ไม่ก้าวก่ายอีกต่อไป…”
เขาแพ้แล้ว! ยอมรับความพ่ายแพ้ทั้งปากทั้งใจ!
ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกกู้ซีจิ่วว่าจะถอยให้ ไม่ก้าวก่ายอีก นั่นเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของกู้ซีจิ่วทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีเลย
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นปลาตัวนี้ท้ายที่สุดกลับเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา! เลื่อมใสตี้ฝูอีด้วยใจจริง!
————————————————————————————-
บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (1)
ตี้ฝูอีถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างแผ่วเบา เขาอยู่สูงส่งเหนือปวงชนมาหลายพันปี ใช้อำนาจกดดันผู้อื่นจนเคยชินแล้ว ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังเขาจะถูกเขาใช้อำนาจเข้าข่ม ทั้งมวลเชื่อฟังอย่างว่าง่าย
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้อำนาจเลยสักนิด ทั้งหมดทำไปด้วยใจจริง เพียงเพื่อให้นางได้สถานะอย่างเป็นทางการ และเพื่อให้ครองคู่ฉันท์สามีภรรยากับนางได้อย่างแท้จริง ได้รับคำอวยพรจากทุกคนที่นี่…
สมองอันละเอียดลออของเขาที่เคยชินกับการใคร่ควรญจัดการเรื่องราวใหญ่โตของโลกระยะนี้ต้องครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะสยบคนพวกนี้อย่างไรดี ให้เรื่องแต่งภรรยาเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะการสยบไป๋หลี่เช่อเป็นเรื่องที่ลับสมองอย่างยิ่ง บัดนี้ในที่สุดก็สยบก้างขวางคอชิ้นนี้ได้แล้ว ตี้ฝูอีมองไปทางหลัวจั่นอวี่แวบหนึ่ง “หลัวจั่นอวี่ เช่นนี้นับว่าข้าผ่านด่านแล้วกระมัง?”
ถึงยามนี้หลัวจั่นอวี่ก็ยอมรับทั้งปากทั้งใจแล้วเช่นกัน ตอบอย่างเบิกบานยิ่ง “ผ่านด่านแล้ว! ท่านเป็นคนแรกที่ผ่านด่านได้รวดเร็วเช่นนี้ ยินดีด้วย!”
ฝูงชนก็พากันแสดงความยินดีกับตี้ฝูอี สายตาของตี้ฝูอียังคงมองหลัวจั่นอวี่อยู่ “เช่นนั้นเจ้าจะจัดงานวิวาห์ให้พวกเราเมื่อไหร่?”
หลัวจั่นเงียบงัน
ฝูงชนก็เงียบงันเช่นกัน เพิ่งเคยเห็นคนที่ใจร้อนขนาดนี้เป็นครั้งแรก
โดยทั่วไปหลังจากผ่านด่านแล้ว ทุกคนต้องตระเตรียมข้าวของบางส่วน ยกตัวอย่างเช่นตกแต่งโถงพิธี ห้องหอ จัดเตรียมอาหาร…เรื่องราวจุกจิกมากมายเหล่านี้ต้องใช้เวลาจัดเตรียมอย่างน้อยสิบกว่าวัน ดังนั้นหลังจากผ่านด่านแล้วหลัวจั่นอวี่จะกำหนดช่วงวิวาห์เป็นอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ให้ทุกคนสามารถตระเตรียมได้อย่างไม่รีบร้อน
ดังนั้นครั้งนี้เขาก็ยังคงบอกไปตามกรณีที่ผ่านมา “เช่นนั้นก็อีกหนึ่งเดือนให้หลังเถิด”
หนึ่งเดือนให้หลัง?
ตี้ฝูอีหรี่ตาเล็กน้อย ประสิทธิภาพช่างล่าช้าเสียจริง! หากว่าประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องราวของลูกน้องเขาล่าช้าถึงเพียงนี้คงถูกเขาซัดปลิดไปนานแล้ว!
ตามกฎของที่นี่แล้ว ต่อให้เขาผ่านด่านแล้ว ก่อนเข้าวิวาห์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้พบปะพูดคุยกับเจ้าสาวอยู่ดี เช่นนั้นเขามิต้องทนต่อไปอีกหนึ่งเดือนหรอกหรือ?!
เขาเหลือบมองกู้ซีจิ่วอีกคราหนึ่ง สาวน้อยผู้นั้นนั่งอยู่ตรงนั้น ในมือหมุนกระดูกที่แทะจนไปแล้วไว้ชิ้นหนึ่ง หลุบตาต่ำไม่ทราบเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่
เขายิ้มบางๆ แวบหนึ่ง เอ่ยอย่างสบายๆ “เรื่องวิวาห์ของข้าพักไว้ชั่วคราวก่อน เกี่ยวกับลิขิตสวรรค์ที่ปรากฏขึ้นบนต้นไม้ยักษ์ ไม่ทราบว่าทุกคนตีความกันว่าอย่างไร?”
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนสนใจ ดังนั้นเมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันที
ทุกคนตีความกันมาเนิ่นนานแล้วตีความกันไปสารพัดอย่าง จนปัญญาที่ว่าไม่มีอันไหนน่าเชื่อถือเลยสักอัน ยามนี้ทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทุกคนย่อมให้ความสนใจเป็นธรรมดา
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เรื่องนี้ให้ท่านตีความจะดีกว่า ไม่ทราบว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคิดเห็นประการใด?”
“ใช่แล้ว ที่พวกเราคิดออกมาพวกนั้นล้วนไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าทุกคนชนตอไปมากน้อยเพียงใดแล้ว”
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายตีความอย่างแท้จริงได้แล้วใช่หรือไม่?”
สายตาฮึกเหิมเร่าร้อนจดจ่ออยู่ที่ร่างตี้ฝูอี รอให้เขาแถลงไข
ตี้ฝูอีดีดสาบเสื้อ กล่าวอย่างเฉยเมย “ตอนแรกที่ข้าได้เห็นลิขิตสวรรค์เดิมทีก็มีความคิดใหม่ๆ อย่างหนึ่งแล้ว เพียงสัมผัสได้รางๆ ว่าเนื้อความที่ลิขิตสวรรค์ชี้นำมีส่วนเกี่ยวข้องกับซีจิ่วยิ่งนัก พวกเราจำเป็นต้องเจรจาหารือกัน ในเมื่องานวิวาห์ของพวกเรากำหนดไว้ในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง เช่นนั้นข้าก็คงต้องรอผ่านพ้นงานวิวาห์ไปถึงจะหารือกับนางให้ชัดเจนแล้วค่อยมาแถลงไขแก่ทุกคน”
ฝูงชนเงียบงันลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง แทบทุกคนล้วนพุ่งเป้าไปที่หลัวจั่นอวี่ทั้งสิ้น
“หัวหน้าหลัว ข้ารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าในเมื่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผ่านด่านแล้ว อีกทั้งสองคนนี้ก็ถูกตาต้องใจกัน มิสู้จัดงานวิวาห์นี้ให้เร็วขึ้นหน่อย!”
“ใช่แล้ว หนึ่งเดือนให้หลังช้าเกินไปแล้ว! ข้าว่าตีเหล็กต้องตีตอนยังร้อน วันนี้เลยเถอะ!”
“ใช่ ใช่! รอฤกษ์งามยามดีมิสู้ใช้ฤกษ์สะดวก วันนี้ก็กำลังดีเลย!”
“ท่านดูสิปลาของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เตรียมไว้พรั่งพร้อมยิ่งนักแล้ว พวกเราที่นี่มีกินมีดื่ม จัดให้คืนนี้เป็นคืนวิวาห์ของพวกเขาไปเลยสิ ทุกคนที่นี่จัดการงานวิวาห์ให้พวกเขา ไม่ดีกว่าหรอกหรือ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น