เทพปีศาจหวนคืน 1360-1368
บทที่ 1360 สถานการณ์สิ้นหวังของฟางหยวน
“โฮก…”
จ้าวเย่ฮุ้ยคำราม คราวนี้มันบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและต้องการโจมตีกลางอากาศ
ราชันมังกรเย้ยหยันและกระตุ้นใช้พลังอำนาจของหอคอยดวงตาสวรรค์
เปลี่ยนเป็นภูตผี!
การโจมตีของจ้าวเย่ฮุ้ยพลาดเป้า
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในหอคอยดวงตาสวรรค์รวมถึงผู้อมตะกลายเป็นภาพมายา นี่ทำให้การโจมตีทางกายภาพกลายเป็นไร้ประโยชน์
“นี่เป็นการหลอกล่อให้ข้าโจมตี?” ดวงตาของราชันภูเขาม่วงส่องประกายขึ้น
นิกายเงามีวิธีตอบโต้กับรูปแบบภูตผี
แต่ราชันภูเขาม่วงยังไม่เคลื่อนไหว
เพราะเขาไม่ใช่เทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาไม่มีวิญญาณอมตะที่จำเป็น แม้เขาจะสามารถใช้มันกับหอคอยดวงตาสวรรค์ แต่มันอาจไร้ประสิทธิภาพ
‘เขาไม่ลงมืองั้นหรือ?’ ราชันมังกรคิดกับตนเอง
ในอดีต ระหว่างการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน เทพปีศาจจิตวิญญาณผนึกหอคอยดวงตาสวรรค์และป้องกันไม่ให้มันกลับสู่ร่างกายภาพ
ราชันมังกรเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพื่อรับมือกับท่าไม้ตายนี้ แต่ราชันภูเขาม่วงกลับอดทนและไม่ทำสิ่งใดเลย
ราชันมังกรควบคุมหอคอยดวงตาสวรรค์มายาและพยายามเข้าใกล้อาณาจักรแห่งความฝัน
แต่เมื่อมันเข้าไปใกล้ วิญญาณจำนวนมากของหอคอยดวงตาสวรรค์ก็ถูกกลืนกินโดยอาณาจักรแห่งความฝัน ร่างมายากลับสู่ร่างกายภาพ
‘วิธีบนเส้นทางแห่งภูตผีไร้ประโยชน์เช่นกัน’ หัวใจของราชันมังกรสั่นสะท้านขึ้น เขารีบนำหอคอยดวงตาสวรรค์ออกห่างจากอาณาจักรแห่งความฝัน
ในความเป็นจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ราชันมังกรได้เห็นอาณาจักรแห่งความฝันที่แท้จริง
มันทำให้ราชันมังกรที่ยิ่งใหญ่ค่อนข้างประหลาดใจ
แม้หอคอยดวงตาสวรรค์จะอยู่ในร่างมายา แต่อาณาจักรแห่งความฝันยังกลืนกินส่วนหนึ่งของมัน
ผู้อมตะภาคกลางในหอคอยดวงตาสวรรค์รีบซ่อมแซมมันอย่างเร่งด่วน
“โดยปราศจากวิธีบนเส้นทางแห่งความฝัน กระทั่งหอคอยดวงตาสวรรค์ก็ยังติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน” ราชันมังกรกล่าว
หนึ่งทักษะปกครองโลก!
ย้อนกลับไปอิงอู๋เซี่ยสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันและทำให้เจ้าวังสวรรค์เข้าสู่ห้วงนิทราได้โดยตรง
เห็นได้ชัดว่ากระทั่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเก้าที่ทรงพลังก็ยังไม่สามารถต่อต้านพลังอำนาจของเส้นทางแห่งความฝัน
เว้นเพียงมันจะเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งความฝัน
‘หมายความว่าสนามรบแห่งนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อหอคอยดวงตาสวรรค์ หอคอยดวงตาสวรรค์ใหญ่โตเกินไป มันมีความคล่องตัวน้อยกว่าผู้อมตะ’ ดวงตาของราชันมังกรที่มองจ้าวเย่ฮุ้ยส่องประกายขึ้น
ตอนนี้จ้าวเย่ฮุ้ยกำลังบินเข้าไปหาหอคอยดวงตาสวรรค์ด้วยคยวามเร็วสูง
“โอ้ ไม่!” ราชันภูเขาม่วงเห็นสิ่งนี้และเร่งหยุดมัน เขาส่งลำแสงลึกลับพุ่งไปยังหอคอยดวงตาสวรรค์และทำให้เกิดระลอกคลื่นราวกับมันเป็นผิวน้ำ
“ภาพลวงตา?” จ้าวเย่ฮุ้ยหยุดเคลื่อนไหวทันที มันเกือบพุ่งเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝัน
ด้านหลังจ้าวเย่ฮุ้ย หอคอยดวงตาสวรรค์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“หึหึหึ” ราชันมังกรยืนอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอยดวงตาสวรรค์และมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ราชันภูเขาม่วงถอนหายใจ เขารู้ว่านี่คือกับดัก
ภายนอก มันดูเหมือนราชันมังกรพยายามวางกับดักจ้าวเย่ฮุ้ย แต่ความจริงก็คือเขาต้องการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของราชันภูเขาม่วง
แต่กระทั่งราชันภูเขาม่วงจะรู้แผนการของราชันมังกร เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยื่นมือเข้าช่วย
จ้าวเย่ฮุ้ยมีค่ามากเกินไป นิกายเงาต้องการใช้มันต่อสู้กับหอคอยดวงตาสวรรค์
“ร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ฮืม ข้าจะฆ่าเขา เทพธิดาจื่อเว่ย ไปจัดการค่ายกลวิญญาณและฆ่าฟางหยวนซะ ให้คนอื่นควบคุมหอคอยดวงตาสวรรค์และนำจ้าวเย่ฮุ้ยออกจากสถานที่แห่งนี้ ข้าไม่ต้องการความสำเร็จ ข้าเพียงไม่ต้องการเห็นความล้มเหลว” ราชันมังกรออกคำสั่ง
ด้วยเสียงคำรามของมังกร ราชันมังกรกลายเป็นลำแสงพุ่งไปทางราชันภูเขาม่วง
ในเวลาเดียวกันเทพธิดาจื่อเว่ยก็พุ่งไปยังค่ายกลวิญญาณ
หอคอยดวงตาสวรรค์บินขึ้นสู่ท้องฟ้าและออกจากสนามรบ
จ้าวเย่ฮุ้ยกวาดตามองราชันมังกร เทพธิดาจื่อเว่ย และหอคอยดวงตาสวรรค์
มันรู้ว่าตนเองถูกจำกัดการเคลื่อนที่ในสนามรบแห่งนี้เพราะร่างกายที่ใหญ่โตของมัน ดังนั้นมันจึงตัดสินใจไล่ล่าหอคอยดวงตาสวรรค์
ราชันมังกรบินข้ามท้องฟ้าราวกับเงาภูตผีก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าราชันภูเขาม่วงอย่างรวดเร็ว
“บึม บึม บึม…”
การต่อสู้ระหว่างราชันภูเขาม่วงกับราชันมังกรปะทุขึ้นทันที
แต่หลังจากไม่กี่ลมหายใจราชันภูเขาม่วงก็ต้องวิ่งหนี
“วันนี้เจ้าต้องตาย!” ราชันมังกรคำรามและไล่ล่าอย่างไม่ลดละ
ในค่ายกลวิญญาณ ฟางหยวนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
เขาตระหนักว่าตนเองตกลงสู่หลุมพราง
‘เจตจำนงสวรรค์! แท้จริงแล้วมันซ่อนอยู่ใน…ไม่ ยิ่งไปกว่านั้น…’ รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง
เทพธิดาจื่อเว่ยมาถึงด้านหน้าค่ายกลวิญญาณแล้ว
ฟางหยวนสงบจิตใจลงและกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณเพื่อป้องกันศัตรู
“ค่ายกลวิญญาณนี้ไม่เลว” ดวงตาของเทพธิดาจื่อเว่ยส่องแสงสีม่วงออกมา นางสังเกตค่ายกลวิญญาณและพยักหน้า “น่าเสียดายที่มันมีข้อบกพร่อง วิญญาณเหล่านี้มาจากหลายแหล่ง พวกมันถูกยืมมาจากผู้อมตะคนอื่นๆ ข้าสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้”
นางยกมือขวาขึ้นและนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกมา
กระดานหมากรุกกลุ่มดาว!
คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะกลุ่มดาว มันเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
เมื่อกระดานหมากรุกกลุ่มดาวถูกกระตุ้นใช้งาน มันกลายเป็นกลุ่มดาวที่ส่องประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
แสงดาวเคลื่อนที่ราวกับหิ่งห้อยอยู่รอบตัวเทพธิดาจื่อเว่ย
ร่างมนุษย์ของเทพธิดาจื่อเว่ยหลอมรวมกับแสงดาวเหล่านี้ก่อนที่มันจะพุ่งไปยังค่ายกลวิญญาณ
ฟางหยวนกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณเพื่อป้องกันการโจมตีจากแสงดาว
แต่แสงดาวไม่ได้โจมตีค่ายกลวิญญาณแต่มันแทรกซึมเข้าไปภายใน
เดิมทีค่ายกลวิญญาณนี้ส่องแสงสี่สีได้แก่ แดง เขียว ฟ้า และดำ แต่หลังจากแสงดาวแทรกซึมเข้าไป แสงทั้งสี่สีก็เริ่มอ่อนแรงลงและผสานเข้ากับแสงดาว
ปฏิกิริยาตอบสนองของค่ายกลวิญญาณเริ่มลดลง
“ฟางหยวน เจ้าเป็นปีศาจต่างโลกที่ได้รับการคัดเลือกจากเจตจำนงสวรรค์ให้เป็นผู้กอบกู้โลกใบนี้ แม้เจ้าจะทำลายแผนการท้าทายสวรรค์ของเทพปีศาจจิตวิญญาณ แต่เจ้าทรยศต่อฝ่ายธรรมะและก้าวเข้าสู่ฝ่ายปีศาจ เจ้ากลายเป็นศัตรูกับโลกใบนี้ หากยอมรับความผิดและยอมจำนน ข้าจะทิ้งศพของเจ้าเอาไว้ ข้าจะสร้างอัตชีวประวัติให้เจ้า ชื่อของเจ้าจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และกลายเป็นบทเรียนสำหรับชนรุ่นหลัง”
เสียงของเทพธิดาจื่อเว่ยดังขึ้นในค่ายกลวิญญาณ
ฟางหยวนหัวเราะ “นี่เป็นแผนการที่น่าเหลือเชื่อของเจตจำนงสวรรค์!”
เขาพยายามกระตุ้นใช้งานค่ายกลวิญญาณแม้วิญญาณบางส่วนจะเริ่มไม่สามารถควบคุม
เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาจื่อเว่ยกำลังต่อสู้กับเขาเพื่อชิงอำนาจการควบคุมค่ายกลวิญญาณ
“ดื้อรั้น!” เทพธิดาจื่อเว่ยก่นเสียงเย็นเมื่อเห็นฟางหยวนพยายามต่อสู้
แสงดาวส่องประกายสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
‘วังสวรรค์รู้ตัวจริงของข้า นี่เป็นการพิสูจน์การคาดเดาของข้า’
‘ข้าไม่สามารถนำวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดออกมาได้อีกต่อไป เมื่อเวลาผ่านไปค่ายกลวิญญาณจะถูกควบคุมโดยวังสวรรค์’
‘ข้าควรทำอย่างไร? ข้าควรละทิ้งค่ายกลวิญญาณนี้และกระตุ้นใช้เกราะหวนคืนเพื่อหลบหนีหรือไม่?’
‘ไม่!’
‘วังสวรรค์เคยต่อสู้กับข้า พวกเขาเข้าใจเกราะหวนคืนของข้า’
‘เมื่อพวกเขาต้องการกำจัดข้าและนิกายเงา พวกเขาย่อมต้องคิดวิธีตอบโต้เกราะหวนคืนไว้แล้ว’
‘วังสวรรค์อยากเห็นข้าใช้เกราะหวนคืน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะพบกับความสูญเสียและอาจตายทันที’
‘ข้าควรทำอย่างไร?’
ความคิดมากมายปะทุขึ้นในใจของฟางหยวน
มันเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
ฟางหยวนพยายามคิดหาทางหลบหนี
แต่ไม่มีทาง
เขาไม่สามารถหลบหนี ความหวังเดียวของเขาคือเกราะหวนคืน
‘ข้าควรพนันกับเกราะหวนคืนหรือไม่?’
ฟางหยวนรู้สึกขมขื่น
เขารู้ว่ามีโอกาสน้อยมาก
สำหรับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด?
ฟางหยวนไม่มีคริสตัลสวรรค์และไม่สามารถเร่งการเติบโตของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด
หรือกระทั่งเขาจะมีคริสตัลสวรรค์มากมาย แต่เมื่ออินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกลายเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด มันอาจไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา มีโอกาสสูงที่เขาจะถูกหักหลัง
‘มีสองวิธีในการถ่วงเวลา’ ฟางหยวนคิด
หนึ่ง นำแม่น้ำหวนคืนออกมาและใช้มันเป็นปราการป้องกัน
สอง วางมิติช่องว่างลงและซ่อนตัวอยู่ภายใน
แต่ทั้งสองวิธีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
หากฟางหยวนใช้สองวิธีนี้ มันจะอันตรายมาก
ความหวังเดียวที่จะทำให้ฟางหยวนรอดคือการสนับสนุนจากกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้
หากผู้อมตะภาคใต้สามารถขับไล่วังสวรรค์ ฟางหยวนจะมีโอกาสหลบหนี
แต่วังสวรรค์ไม่โง่และไม่อ่อนแอ
กองกำลังผู้อมตะของภาคใต้อาจเหนือกว่ากลุ่มผู้อมตะภาคกลางที่อยู่ที่นี่ แต่ด้วยการคงอยู่ของหอคอยดวงตาสวรรค์ ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน
แม้พวกเขาจะชนะขณะที่วังสวรรค์ถูกไล่ล่า ฟางหยวนก็ไม่สามารถเป็นวูอี้ไห่ได้อีก
เขาจะเป็นได้อย่างไร!?
เมื่อวังสวรรค์รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เพียงพวกเขากล่าวสองสามคำ ผู้อมตะภาคใต้ก็จะหันมาเล่นงานฟางหยวนทันที
บทที่ 1361 ราชันภูเขาม่วงปะทะราชันมังกร
สองร่างบินอย่างรวดเร็วอยู่ท่ามกลางอาณาจักรแห่งความฝัน
ราชันภูเขาม่วงกำลังต่อสู้อยู่กับราชันมังกร
พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับอุกกาบาตอยู่บนท้องฟ้า
“บึม บึม บึม…”
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้อมตะสองคนที่กำลังต่อสู้ หนึ่งเป็นร่างแยกรุ่นแรกของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่บ่มเพาะมาเป็นเวลานับแสนปี อีกหนึ่งไม่เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์แต่เป็นตำนานของวังสวรรค์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกึ่งระดับเก้า
คนทั้งสองกลายเป็นแกนกลางของการต่อสู้ครั้งนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
การต่อสู้ระหว่างหอคอยดวงตาสวรรค์และจ้าวเย่ฮุ้ยยังด้อยกว่าการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะระดับแปดทั้งสองอยู่มาก
ดวงตาของราชันภูเขาม่วงส่องประกายแสงสีม่วง เขาส่งหินที่อาบย้อมไปด้วยเปลวเพลิงจำนวนมากออกไป
ราชันมังกรโจมตีอุกกาบาตเหล่านี้โดยไม่หลบเลี่ยง
หินที่ลุกไหม้กลายเป็นเมฆหมอกลอยอยู่รอบตัวราชันมังกรขณะที่ราชันมังกรพบว่าจิตใจของเขากำลังลุกไหม้
เปลวไฟเหล่านั้นกำลังเผาทำลายความคิดในใจของเขา
ด้วยวิธีนี้อุกกาบาตเพลิงจึงพุ่งเข้าปะทะร่างกายของเขาโดยตรง
แต่ร่างกายของราชันมังกรแข็งแกร่งมาก มันเหมือนเหล็กกล้าที่ไม่หลอมละลาย
ด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมหาศาล ร่างกายของราชันมังกรมีพลังป้องกันไม่ต่างจากเกราะไม้ของไป่เฉินเทียนหรือผนึกภูตผีของฟางหยวน
กลิ่นอายของเขาน่าสะพรึงกลัวมาก เขาเหมือนมังกรในร่างมนุษย์
ดวงตามังกรของเขาทั้งเย็นชาและไม่แยแส เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วต่อหน้าท่าไม้ตายอมตะของราชันภูเขาม่วงและแสดงออกราวกับมันเป็นเพียงสายลมที่อ่อนโยน
ราชันมังกรมีนิสัยที่ก้าวร้าวพร้อมกับพลังทำลายล้างที่น่าเหลือเชื่อขณะที่ราชันภูเขาม่วงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญา เขาเชี่ยวชาญด้านการวางกลยุทธ์ ดังนั้นในการต่อสู้ที่รุนแรง เขาจึงเป็นฝ่ายล่าถอย
อุกกาบาตเพลิงไม่สามารถทำสิ่งใดราชันมังกรแต่ราชันภูเขาม่วงยังเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
เขาชี้นิ้วออกไปและทำให้ดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานขึ้นบนร่างกายของราชันมังกร
‘ท่าไม้ตายต่อเนื่อง’
นี่เป็นครั้งแรกที่ราชันมังกรหยุดไล่ล่าและลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
แม้เขาจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงแต่เขายังสามารถหยุดเคลื่อนไหวได้ในทันที ทุกคนต้องถอนหายใจกับวิธีการเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งของเขารวมถึงร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อของเขา
ดอกไม้เบ่งบานในอัตราเร็วที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
กลีบดอกไม้เหล่านั้นบอบบางมากแต่มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับราชันมังกร
ราชันมังกรกำหมัดขวาก่อนจะเปิดออก
“บึม!”
สายลมสีขาวซีดปะทุออกมาจากมือขวาของเขา
สายลมสีขาวไหลเวียนไปทั่วร่างของราชันมังกรราวกับใบมีดที่กำจัดดอกไม้บนร่างกายของเขา
หลังจากไม่กี่ลมหายใจ ดอกไม้ทั้งหมดบนร่างของราชันมังกรก็หายไปจนหมดสิ้น
รูม่านตาของราชันภูเขาม่วงหดเล็กลง
ท่าไม้ตายของราชันมังกรแหลมคมและแม่นยำมาก มันแสดงให้เห็นถึงทักษะการควบคุมที่ลึกซึ้ง
หากเขาประมาทเพียงเล็กน้อย เขาจะได้รับบาดเจ็บ
แต่ราชันมังกรทั้งเก่งกาจและกล้าหาญ เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยที่ตนเองไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามระยะเวลาดังกล่าวอนุญาตให้ราชันภูเขาม่วงเตรียมท่าไม้ตายต่อไปได้สำเร็จ
ท่าไม้ตายอมตะมักมีปัญหาในการกระตุ้นใช้งาน หากจ้าวเหลียนหยุนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับราชันภูเขาม่วง นางจะล้มเหลวในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะ
แต่ราชันภูเขาม่วงเต็มไปด้วยประสบการณ์และความเด็ดเดี่ยว เขาสามารถฉวยโอกาสนี้
ท่าไม้ตายอมตะถูกกระตุ้นใช้งาน
ร่างเทียมจำวนมหาศาลปรากฏขึ้นรอบตัวราชันภูเขาม่วง
พวกมันพุ่งเข้าโจมตีราชันมังกรขณะที่ร่างจริงของราชันภูเขาม่วงซ่อนอยู่ท่ามกลางพวกมัน
ราชันมังกรก่นเสียงเย็น มือขวาของเขากลายเป็นกรงเล็บมังกรก่อนที่เขาจะฟาดกรงเล็บออกไป
รอยกรงเล็บที่ตัดผ่านอากาศและทำลายร่างเทียมมากมายของราชันภูเขาม่วง
จากนั้นเขาก็กวาดกรงเล็บไปรอบๆ
ราชันภูเขาม่วงตระหนักว่าตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้นเขาจึงออกมา
ทั้งสองฝ่ายยืนอยู่กลางอากาศโดยมีอาณาจักรแห่งความฝันเป็นฉากหลังที่ยิ่งใหญ่
“ดูเหมือนหลังจากนอหลับไปนาน เจ้าก็ยังไม่ล้าหลัง” ราชันภูเขาม่วงกล่าว
“ในช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าฝึกฝนมาบ้าง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีอัจฉริยะมากมายถือกำเนิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหนึ่งล้านปี มีวิธีการใหม่ๆที่น่าเหลือเชื่อมากมายในปัจจุบัน” ราชันมังกรถอนหายใจ
เขาหยุดก่อนกล่าวต่อ “เอาล่ะ พอกับกลอุบายเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ การตรวจสอบจบลงแล้ว มาใช้ทักษะที่แท้จริงกันเถอะ”
ราชันภูเขาม่วงยิ้ม “ได้”
ในเวลาต่อมา ทั้งสองก็พุ่งเข้าปะทะกันราวกับสายฟ้าสองสาย
“บึม บึม บึม…”
แสงสีรุ่งระเบิดออกไปรอบๆราวกับดอกไม้ไฟ
‘พวกเขาเริ่มจริงจังแล้ว…’ ฟางหยวนสังเกตสนามรบด้วยค่ายกลวิญญาณ
หลังจากเห็นการต่อสู้ระหว่างราชันภูเขาม่วงกับราชันมังกร เขารู้สึกพูดไม่ออก
‘ทั้งสองต่างเป็นผู้อมตะระดับแปดและไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปดธรรมดา พวกเขาเป็นผู้อมตะระดับแปดชั้นแนวหน้า แข็งแกร่งเกินไป!’
‘ปกติแล้วเมื่อผู้อมตะเริ่มต่อสู้ พวกเขาจะใช้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ เมื่อพวกเขาเริ่มจริงจัง พวกเขาจึงจะใช้วิญญาณอมตะและท่าไม้ตายอมตะ แต่สองคนนี้ใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อตรวจสอบซึ่งกันและกัน’
‘อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอุกกาบาตเพลิง ดอกไม้ หรือสายลม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเลียนแบบเส้นทางสายอื่นทั้งสิ้น’
‘หากข้าไม่ใช้เกราะหวนคืน ข้าจะแพ้ในครั้งเดียว’
‘รุนแรงมาก’
‘ตอนนี้ทั้งสองเข้าสู่การต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว พลังโจมตีของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาก’
ข้อมูลมีความสำคัญต่อผู้อมตะ
ฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณสังเกตการณ์ นี่ทำให้เขาได้รับประโยชน์มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นราชันภูเขาม่วงหรือราชันมังกร ฟางหยวนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา แม้จะใช้เกราะหวนคืน เขาก็ทำได้เพียงรับการโจมตีเท่านั้น
ในความเป็นจริงฟางหยวนสามารถหลบหนีจากภาคเหนือเพราะสถานการณ์ที่วุ่นวายเกินไป
‘ด้วยความแข็งแกร่งของข้า มันยากที่จะหลบหนีจากสถานการณ์นี้ มีความหวังน้อยมาก!’ ฟางหยวนขมวดคิ้ว
เป็นเพียงเวลานี้ที่การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไป
เขาได้รับจดหมายจากวูหยง
‘วูหยงยังไม่ตาย เฉียวจื่อไค และไท่เมี่ยนเฉินก็ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาถูกขังเป็นการชั่วคราวและตอนนี้พวกเขากำลังมาที่นี่ด้วยคฤหาสน์วิญญาณอมตะ!’
วูหยงบอกฟางหยวนให้อดทนไว้ มันไม่เป็นไรหากเขาจะหลบหนี
เขายังบอกฟางหยวนว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยู กำลังนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะมาที่นี่เช่นกัน แต่เขายังอยู่ไกลกว่าวูหยง
และไม่ใช่เพียงสอง แต่กองกำลังอื่นๆก็ส่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกมาเช่นกัน
กองกำลังฝ่ายธรรมะมีความขัดแย้ง แต่หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของวูหยงเกี่ยวกับสถานการณ์ของอาณาจักรแห่งความฝัน พวกเขาก็ร่วมมือกันทันที
หากมองในมุมสูง ภูเขาอี้เทียนอยู่ตรงกลางค่อนไปทางทิศตะวันตกของภาคใต้ ขณะที่กองกำลังใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทุกทิศทางและกำลังมุ่งตรงมาที่นี่
ฟางหยวนแสดงออกด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
หากเขาเป็นวูอี้ไห่ เขาจะดีใจมาก
แต่ความจริงก็คือเขาไม่ใช่
เขาคือฟางหยวน
เมื่อกองกำลังของภาคใต้มาถึง วังสวรรค์จะเปิดเผยตัวตนของเขา ทุกคนจะพุ่งเข้าโจมตีเขา
‘สำหรับวูหยง…’ ฟางหยวนถอนหายใจ
พี่ชายที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดของเราจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่จะไล่ล่าเขาในอนาคต
ฟางหยวนสังหารวูอี้ไห่ตัวจริง แม้วูหยงจะไม่สนใจความสัมพันธ์พี่น้องและไม่ต้องการแก้แค้น แต่ในฐานะฝ่ายธรรมะ เขาจำเป็นต้องสังหารฟางหยวน
อาจกล่าวได้ว่าฟางหยวนและวูหยงมีความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ไข
‘ตระกูลวูมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะอีกหลัง วูหยงซ่อนมันไว้ลึกมาก แต่กระทั่งเขาจะรวดเร็วและอยู่ใกล้ที่สุด แต่เขายังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อมาที่นี่’
ฟางหยวนคำนวณอย่างรวดเร็ว
เมื่อกำลังเสริมมาถึงและวังสวรรค์เปิดเผยตัวตนของเขา เขาจะสามารถหลบหนีจากความโกลาหลครั้งใหญ่ได้หรือไม่?
บทที่ 1362 ร่วมมือ
ความหวังมีน้อยมาก
ตอนนี้มันเป็นการต่อสู้สามทางที่ชุลมุนวุ่นวาย
ฝ่ายหนึ่งคือวังสวรรค์
ฝ่ายที่สองคือนิกายเงา
ฝ่ายที่สามคือกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้
สำหรับฟางหยวน เขาเป็นสมาชิกของกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ แต่ความจริงคือเขามีความใกล้ชิดกับนิกายเงามากกว่า
จากสถานการณ์ วังสวรรค์และกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้พยายามโจมตีนิกายเงา
นิกายเงาไม่สามารถแข่งขันกับวังสวรรค์ ตอนนี้พวกเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก
‘วูหยงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อมาที่นี่’
‘หากสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป ข้าจะไม่สามารถอดทนจนถึงเวลานั้น’
‘ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนิกายเงาพ่ายแพ้ วังสวรรค์และกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้จะจัดการข้าในฐานะผู้ทรยศ’
‘ยังไม่ต้องกล่าวถึงนิกายเงา ค่ายกลวิญญาณนี้ไม่สามารถทนได้ถึงหนึ่งวัน’
ฟางหยวนมองค่ายกลวิญญาณด้วยความกังวล
เนื่องจากจื่อชิวหยูออกแบบค่ายกลวิญญาณนี้ให้ถูกควบคุมโดยคนเพียงผู้เดียว ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้ใดและไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านการรุกรานจากเทพธิดาจื่อเว่ย
สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวตนของฟางหยวนมีปัญหา
หากผู้อมตะภาคใต้รู้ตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวนจากวังสวรรค์ ฟางหยวนจะตกอยู่ในอันตราย
ค่ายกลวิญญาณเหลือแนวป้องกันสองแนว
หากเทพธิดาจื่อเว่ยประสบความสำเร็จในการทำลายแนวป้องกันที่สาม ตามทฤษฎี ฟางหยวนจะสามารถกระตุ้นใช้แนวป้องกันที่สี่เพื่อต่อต้านนาง
แต่จากข้อมูลของจื่อกุ้ย คนที่สามารถกระตุ้นการทำงานของแนวป้องกันสุดท้ายต้องเป็นสมาชิกตระกูลจื่อเท่านั้น
นี่คือการจัดเตรียมของจื่อชิวหยู เขาทำเช่นนี้โดยคิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลจื่อเป็นหลัก
ค่ายกลวิญญาณมีหลายวิธีในการตรวจสอบ ฟางหยวนอาจสามารถปลอมแปลงสายเลือด
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำสิ่งใดเกี่ยวกับป้ายวิญญาณหรือโคมไฟวิญญาณ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ฟางหยวนทำได้เพียงถอนหายใจ
เขาลอบสาปแช่งอยู่ภายใน ‘จื่อชิวหยู จิ้งจอกเฒ่า!’
ผู้อมตะระดับแปดล้วนไม่ใช่ตัวตนที่สามารถจัดการได้โดยง่าย
ตั้งแต่จื่อชิวหยูออกแบบมัน เขาก็คิดถึงสถานการณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้เอาไว้แล้ว
ฟางหยวเหมือนติดอยู่ในทางตัน
สถานการณ์มีความซับซ้อน สามฝ่ายกำลังต่อสู้กัน ฟางหยวนมีสถานะพิเศษ แม้เขาจะอยู่ในค่ายกลวิญญาณของฝ่ายธรรมะแต่มันก็ไม่สามารถเชื่อถือ
มีตัวแปรมากเกินไป
เขาต้องใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาในการคิดวิเคราะห์และหาทางออก
จิตใจของฟางหยวนเต็มไปด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิง สมองของเขาราวกับกำลังพ่นควันออกมา
เขาจะหลบหนีได้อย่างไร?
นี่เป็นปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไข
‘วิญญาณกาลเวลา?’ ฟางหยวนคิดแต่เขาก็ปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งไปทันที
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถใช้วิญญาณกาลเวลา
เจตจำนงสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ภายใน หากเขาใช้งานมัน เขาจะล้มเหลวอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ฟางหยวนสามารถกำเนิดใหม่เพราะความช่วยเหลืออย่างลับๆจากเจตจำนงสวรรค์ แต่ตอนนี้เขายืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เจตจำนงสวรรค์ต้องการกำจัดเขา แล้วมันจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
การใช้วิญญาณกาลเวลาก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย
เว้นเพียงเขาจะใช้วิธีของนิกายเงาเพื่อปรับแต่งวิญญาณกาลเวลาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ฟางหยวนมีเวลาสำหรับเรื่องนี้งั้นหรือ?
‘เดี๋ยว!’
‘ข้าสามารถใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลากับมิติช่องว่างของข้า ด้วยวิธีนี้ข้าจะสามารถปรับแต่งวิญญาณกาลเวลาได้อย่างรวดเร็ว’
‘ไม่ นี่ทำไม่ได้ ยังมีภัยพิบัติ!’
‘หากข้าเร่งเวลา ข้าจะพบกับภัยพิบัติ เจตจำนงสวรรค์จะเข้าแทรกแซงและทำให้มันทรงพลังยิ่งขึ้น’
‘ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของข้าต่ำเกินไป ข้าไม่มีความมั่นใจว่าการปรับแต่งวิญญาณกาลเวลาจะสำเร็จหรือไม่โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์นี้’
‘และการเลิกใช้ค่ายกลวิญญาณก็เป็นวิธีที่งี่เง่าที่สุด มันเป็นการตัดแขนตัดขาตัวเอง!’
ไม่มีสิ่งใดที่เขาทำได้
โชคชะตาโหดร้ายเกินไป ในสถานการณ์นี้เขาไม่มีทางรอด
แต่ฟางหยวนไม่ยอมแพ้
เขายังอดทนต่อไป
ความมุ่งมั่นของเขายังไม่สั่นคลอนแม้แรงกดดันจะรุนแรงมากเพียงใด
อดทน!
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายด้วยความมุ่งมั่น ไม่เกรงกลัว จิตใจของเขาสงบมาก
นี่ไม่ใช่สถานการณ์สิ้นหวังครั้งแรกที่เขาเผชิญ แท้จริงแล้วเขาผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ในโลกนี้ การบ่มเพาะและการดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตราย
จะมีกำไรได้อย่างไรหากปราศจากความเสี่ยง?
กระทั่งปีศาจอมตะเซี่ยหูก็ยังแบกรับความเสี่ยงที่แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะจะล่มสลายเพื่อแผนการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ก่อนจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แม่น้ำหวนคืนถูกพรากไป และกระทั่งภรรยาของเขายังได้รับบาดเจ็บสาหัส
สำหรับวังสวรรค์ พวกเขาสูญเสียสองผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังไป่เฉินเทียนและเว่ยหลิงหยาง แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่ได้รับสิ่งใด
ย้อนกลับไปในชีวิตแรกของฟางหยวน ฟงจิวเก้อยังเสียชีวิตอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา
ฟางหยวนไม่ใช่หม่าหงหยุน เขาไม่ใช่บุตรแห่งโชค หากเปรียบเทียบ เขาเป็นคนธรรมดามาก
ในความเป็นจริงแม้แต่หม่าหงหยุนก็ยังพบกับความตายแม้เขาจะได้รับการปกป้องจากวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์
สวรรค์ปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหมือนตัวหมากเบี้ย ไม่ว่าผู้อมตะจะมีความสามารถเพียงใด พวกเขาก็เป็นรูปแบบหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่จะพบกับการปฏิบัติที่เท่าเทียม
ประสบการณ์ห้าร้อยปีของฟางหยวนจะสามารถเปรียบเทียบกับสวรรค์พิภพได้อย่างไร?
มนุษย์มีขีดจำกัด ไม่มีผู้ใดไม่เคยทำผิด กระทั่งผู้อมตะระดับเก้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้แต่มนุษย์คนแรกก็ยังถูกหลอกโดยวิญญาณสติปัญญา
ในทางตรงข้าม เจตจำนงสวรรค์ยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่มาก
การท้าทายสวรรค์เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ฟางหยวนเพียงผู้เดียวที่รู้สึกถึงความยากลำบาก
อิงอู๋เซี่ยก็รู้สึกคล้ายกัน
เขากำลังต่อสู้
ศัตรูของเขาคือผู้อมตะระดับเจ็ดฝ่ายธรรมะขณะที่เขาเป็นผีดิบอมตะระดับหก
แม้เขาจะมีท่าไม้ตายอมตะที่น่าเหลือเชื่อ แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งมาก อิงอู๋เซี่ยแทบไม่สามารถอดทน
หลังจากการต่อสู้ที่วุ่นวาย อิงอู๋เซี่ยถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง สถานการณ์ของเขาอันตรายมาก
อัญเชิญอสูรวิญญาณ!
อิงอู๋เซี่ยมใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาอัญเชิญอสูรวิญญาณสามตัวออกมา
แต่ศัตรูของเขายังหัวเราะเย้ยหยัน
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อเผชิญหน้ากับท่าไม้ตายอัญเชิญอสูรวิญญาณ
แต่ตอนนี้เขามีประสบการณ์แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตอบโต้โดยใช้ประโยชน์จากอาณาจักรแห่งความฝัน
สัตว์อสูรมีสติปัญญาต่ำ ด้วยการวางอุบาย ผู้อมตะตระกูลเซี่ยสามารถล่อลวงให้อสูรวิญญาณเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝัน
เมื่อพวกมันเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน พวกมันก็จะกลายเป็นเนื้อที่วางอยู่บนเขียง
การใช้ประโยชน์จากสนามรบเป็นหนึ่งในความสามารถของผู้อมตะ
สุดท้ายอสูรวิญญาณที่ถูกอันเชิญมาก็ถูกจัดการโดยผู้อมตะตระกูลเซี่ยผู้นี้
อิงอู๋เซี่ยเผยรอยยิ้มขมขื่น เขาต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก
แต่ในเวลานี้การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไป เขาได้รับจดหมายจากผมที่หก ในจดหมายกล่าวว่าฟางหยวนต้องการร่วมมือกับนิกายเงา!
ตั้งแต่ราชันภูเขาม่วงตื่นขึ้น เขาต้องการทำงานร่วมกับฟางหยวนมาตลอด
น่าเสียดายที่ฟางหยวนระวังตัวมากเกินไป ดังนั้นความร่วมมือจึงไม่เคยเกิดขึ้น
อิงอู๋เซี่ยไม่ได้คาดหวังว่าฟางหยวนจะเป็นฝ่ายร้องขอความร่วมมือในเวลานี้
‘สายไปแล้ว!’ ความขมขื่นทวีความรุนแรงมากขึ้นในหัวใจของอิงอู๋เซี่ย
สายเกินไป
มันสายเกินไปแล้ว!
เขาไม่รู้ว่าฟางหยวนอยู่ที่ใดแต่นิกายเงาได้เริ่มภารกิจช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณไปแล้ว
ผมที่หกบอกว่าฟางหยวนต้องการวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลเพื่อสื่อสารกับอิงอู๋เซี่ยโดยตรง
ก่อนหน้านี้ฟางหยวนไม่สามารถติดต่อกับสมาชิกนิกายเงาได้โดยตรง พวกเขาต้องสื่อสารผ่านผมที่หกเท่านั้น
นี่เป็นเพราะวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลต้องใช้เป็นคู่
ด้วยวิธีนี้มันจะทิ้งเบาะแสของกันและกันไว้เบื้องหลัง มันง่ายที่จะอนุมานตำแหน่งของพวกเขาจากสิ่งนี้
‘มอบให้เขา’ อิงอู๋เซี่ยคิดและไม่ปฏิเสธ
ต่อมาเสียงของฟางหยวนก็ดังขึ้นในใจของอิงอู๋เซี่ย “อิงอู๋เซี่ย เจ้าอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ผู้อมตะตระกูลเซี่ยจะฆ่าเจ้า เหตุใดไม่ใช้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน?”
อิงอู๋เซี่ยเบิกตากว้างเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
“ฟางหยวน!” เขาตอบกลับ “เจ้าอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
“เจ้าคิดอย่างไร?” ฟางหยวนหัวเราะคิกคัก “หยุดใช้วิธีอัญเชิญอสูรวิญญาณอย่างไร้ประโยชน์ เจ้าใช้มันไปสามครั้งแล้วและผลลัพธ์ก็แย่ลงทุกครั้ง เจ้ากำลังเพิ่มความเสี่ยงและสูญเสียพลังงานอมตะโดยไร้ประโยชน์”
อิงอู๋เซี่ยส่ายศีรษะ “ฟางหยวน เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ บัดซบ! เจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด? เดี๋ยว! คู่ต่อสู้ของข้าคือเจ้าหรือไม่?”
“หากเป็นข้า เจ้าคงตายไปแล้ว อย่าไร้สาระ เรามา…” ฟางหยวนหยุดก่อนกล่าวต่อ “ร่วมมือกันเถอะ!”
บทที่ 1363 คนทรยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“ร่วมมือ?”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของฟางหยวน การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยกลายเป็นซับซ้อน
ความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับนิกายเงาซับซ้อนมาก
ในฐานะกึ่งปีศาจต่างโลก ฟางหยวนเคยเป็นเครื่องมือของเจตจำนงสวรรค์ที่ถูกส่งกลับมาในอดีตเพื่อทำลายแผนการของนิกายเงา
ฟางหยวนประสบความสำเร็จ เขายังสามารถฉกชิงร่างทารกอมตะและกลายเป็นศัตรูกับนิกายเงาอย่างสมบูรณ์
ระหว่างการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน นิกายเงาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกเขาต้องการฉีกฟางหยวนออกเป็นชิ้นๆ
แต่ฟางหยนใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีประโยชน์และด้วยความได้เปรียบด้านร่างกาย เขาแข็งแกร่งขึ้นและออกไล่ล่ากลุ่มของอิงอู๋เซี่ย
หากอิงอู๋เซี่ยไม่มีวิธีหลบหนีที่ยอดเยี่ยม พวกเขาคงตายด้วยน้ำมือของฟางหยวนไปแล้ว
หลังการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน ฟางหยวนสามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปด
นิกายเงาที่นำโดยราชันภูเขาม่วงเปลี่ยนกลยุทธ์และต้องการสร้างความร่วมมือกับฟางหยวน นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ของพวกเขา
ด้วยเหตุนี้เมื่อฟางหยวนเสนอความร่วมมือ อิงอู๋เซี่ยจึงตัดสินใจและพยักหน้าตอบ “เอาล่ะ เราจะร่วมมือ”
เขาไม่ปฏิเสธความร่วมมือในครั้งนี้
เวลาเปลี่ยน ความคิดของผู้คนก็มักเปลี่ยนแปลงไป
หากฟางหยวนอ่อนแอเหมือนมดตัวเล็กตัวน้อย อิงอู๋เซี่ยจะไม่ร่วมมือกับเขา
ความพ่ายแพ้ที่ภูเขาอี้เทียนทำให้อิงอู๋เซี่ยเกลียดชังฟางหยวนมาก ในเวลานั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถสร้างความร่วมมือ อิงอู๋เซี่ยต้องการเพียงกู้คืนความรุ่งโรจน์ของนิกายเงา
แต่เมื่อความแข็งแกร่งของฟางหยวนเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะหลังจากการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน มันทำให้อิงอู๋เซี่ยพัฒนาความรู้สึกใหม่ต่อฟางหยวน
มันคือความชื่นชม
ฟางหยวนทำในสิ่งที่อิงอู๋เซี่ยไม่สามารถทำได้ เขาคู่ควรที่จะด้รับการคัดเลือกจากเจตจำนงสวรรค์ให้หวนคืนกลับมาในอดีตและทำลายแผนการของนิกายเงา
‘ไม่ใช่ว่าข้าไม่แข็งแกร่ง แต่ศัตรูของข้าคือฟางหยวน!’ อิงอู๋เซี่ยรู้สึกว่าความล้มเหลวของเขาไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถยอมรับ
“เราจะร่วมมือกันอย่างไร? ข้าทนไม่ไหวแล้ว” อิงอู๋เซี่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ฟางหยวนขมวดคิ้วและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับทัศนคติที่ตรงไปตรงมาของอิงอู๋เซี่ย
“แน่นอนข้าจะช่วยพวกเจ้าก่อน วังสวรรค์แข็งแกร่งเกินไป มีเพียงการทำงานร่วมกันจึงจะมีความหวัง” ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะส่งกลุ่มผู้อมตะตระกูลเซี่ยที่กำลังต่อสู้กับอิงอู๋เซี่ยออกไป
“หือ เหตุใดข้าต้องล่าถอย? ข้ารู้จุดอ่อนของศัตรูแล้ว ข้าชนะได้” ผู้อมตะตระกูลเซี่ยสับสนมาก
“ผู้อมตะตระกูลเหยาตกอยู่ในอันตราย เจ้าต้องไปช่วยเขา เร็วเข้า ข้าเป็นคนดูแลสนามรบทั้งหมด เจ้าจะเข้าใจภาพรวมมากไปกว่าข้าได้อย่างไร?” ฟางหยวนกล่าว
ผู้อมตะตระกูลเซี่ยไม่มีความสุขนักแต่เนื่องจากสถานะของวูอี้ไห่และความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจลึกก่อนจะจากไป
“เจ้าช่วยข้าได้อย่างไร? เจ้าทำสิ่งใดในช่วงที่ผ่านมา!?” อิงอู๋เซี่ยตกใจมาก
“หยุดโวยวาย ข้าช่วยเจ้าแล้ว” ฟางหยวนกล่าวในเวลาที่เหมาะสม
หัวใจของอิงอู๋เซี่ยสั่นสะท้านขึ้น “เจ้ากล่าวเหมือนไม่ใช่ตัวเจ้า! เขาเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้างั้นหรือ?”
“ไร้สาระมาพอแล้ว บอกข้าว่าแผนการของนิกายเงาคือสิ่งใด อย่าบอกว่าพวกเจ้าไม่มีแผนสำรอง” ฟางหยวนเร่งถาม
อิงอู๋เซี่ยเผยรอยยิ้มขมขื่นและตอบ “แน่นอน เรามี แผนสำรองก็คือข้า”
…..
“บึม!”
การระเบิดที่รุนแรงส่งคลื่นกระแทกพุ่งออกไปรอบๆ ราชันภูเขาม่วงบินออกมาอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดต้องหลบหนี? มาสู้กับข้า!” ราชันมังกรไล่ล่า
ตอนนี้ร่างกายของราชันมังกรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เขามังกรบนศีรษะของเขายาวขึ้น กรงเล็บกลายเป็นยิ่งแหลมคม ผิวหนังปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกร ขณะที่หางมังกรสะบัดไปมา
ราชันภูเขาม่วงอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชแต่แววตาของเขายังคมชัด
‘ราชันมังกร ตามบันทึก มันกล่าวว่าเขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณเป็นหลัก แต่เนื่องจากอายุขัยที่ไม่เพียงพอ เขาจึงเปลี่ยนไปบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ราชันภูเขาม่วงวิเคราะห์อยู่ในใจ
‘เพียงวิธีบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาก็ทรงพลังมากแล้ว ดังคาด เขาเป็นตัวตนระดับเดียวกับโป้ชิงจริงๆ’
‘เช่นนั้นลองสิ่งนี้’
ร่างของราชันภูเขาม่วงสั่นสะท้านขึ้น เขาหันหลังกลับอย่างกะทันหันและบินขึ้นไปด้านบน
ในเวลาเดียวกันสิบนิ้วของเขาก็ขยับตัวราวกับกำลังดีดพิณ
แสงดาวสีม่วงพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขาและโจมตีราชันมังกร
แสงดาวเหล่านี้ทั้งรวดเร็วและงดงามแต่ราชันมังกรรู้สึกว่าพวกมันไม่ธรรมดา
เขาเริ่มตอบโต้พวกมันแต่แสงดาวเหล่านั้นกลับว่องไวและคล่องแคล่วมาก พวกมันสามารถหลบการโจมตีของราชันมังกรและพุ่งเข้าโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ราชันมังกรลอบยกย่องอยู่ภายใน ‘ดังคาด ท่าไม้ตายอมตะของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาทั้งรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะท่าไม้ตายนี้ มันละเอียดอ่อนมาก ข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขาในแง่นี้’
ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญามีความเชี่ยวชาญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของท่าไม้ตายอมตะและสร้างการโจมตีรูปแบบต่างๆที่หลากหลาย
‘เหตุใดข้าต้องติดอยู่ที่นี่? เป็นการฉลาดกว่าที่จะใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของข้า’ ราชันมังกรเพิกเฉยต่อแสงดาวสีม่วงเหล่านั้น เขาใช้การป้องกันที่ทรงพลังของตนและพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของราชันภูเขาม่วงก็ส่องประกายขึ้น
‘ในที่สุดเขาก็ตกหลุมพรางของข้า’
ปรากฎว่ามีกับดักที่ซ่อนอยู่ เมื่อแสงดาวสีม่วงสัมผัสเป้าหมาย มันจะส่งข้อมูลกลับไปยังราชันภูเขาม่วง
แม้จะเป็นข้อมูลที่กระจัดกระจายแต่มันยังสามารถเปิดเผยความลับของท่าไม้ตายอมตะ
ด้วยข้อมูลที่เพียงพอ ราชันภูเขาม่วงจะสามารถวางแผนและต่อสู้กับราชันมังกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ราชันภูเขาม่วงเริ่มใช้ท่าไม้ตายใหม่
เขาผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปและสร้างกลุ่มเมฆหมอกขึ้นปิดกั้นการเคลื่อนไหวของราชันมังกร
ดวงตาของราชันมังกรส่องประกายแหลมคม เขาเข้าใจพลังอำนาจของท่าไม้ตายนี้ทันที
เขาหัวเราะและพุ่งเข้าไปในหมอกสีม่วง
ทันใดนั้นเขาก็สูญเสียการรับรู้ทิศทางไปอย่างสิ้นเชิง
ราชันมังกรหยุดเคลื่อนไหวก่อนจะอ้าปากคำรามด้วยเสียงมังกร
“โฮก…”
เสียงคำรามทำให้เมฆหมอกสีม่วงระเบิดออกและจางหายไป
ราชันมังกรเห็นราชันภูเขาม่วงอีกครั้ง เขายังคงหลบหนีและพยายามสร้างระยะห่าง
ราชันมังกรหัวเราะ ร่างของเขาหายไปก่อนจะปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าราชันภูเขาม่วงในพริบตา
“กินกำปั้นของข้า!” ราชันมังกรตะโกนเสียงดังและชกหมัดขวาออกมาโดยตรง
นี่ไม่ใช่ท่าไม้ตายอมตะ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ราชันมังกรต้องให้ความสำคัญกับท่าไม้ตายอมตะสายป้องกัน เขาไม่สามารถกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอื่นๆ
อย่างไรก็ตามเพียงความแข็งแกร่งของร่างกาย หมัดธรรมดาของเขาก็ยังทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
“ปัง!”
ราชันภูเขาม่วงไม่สามารถหลบได้ทันเวลา เขาถูกชกโดยตรง
แต่แสงลึกลับกลับส่องประกายขึ้นขณะที่ร่างกายของเขาไม่ได้รับอันตรายใดๆ
ราชันภูเขาม่วงมีวิธีป้องกันที่น่าเหลือเชื่อเช่นกัน
นอกจากนั้นเขายังอาศัยแรงผลักจากหมัดของราชันมังกรเพื่อล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในเวลาต่อมาราชันมังกรก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างของราชันภูเขาม่วงอีกครั้งและส่งหมัดออกมาอีกหน
“ปัง!”
ฉากเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งแต่ราชันมังกรยังไล่ล่าอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าราชันภูเขาม่วงจะบินไปที่ใด เขาก็สามารถเคลื่อนย้ายสถานที่และชกศัตรูได้ทันที
หมัดของราชันมังกรหลั่งไหลออกมาอย่างไม่รู้จบสิ้น เงาหมัดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าโจมตีราชันภูเขาม่วง
นั่นทำให้ราชันภูเขาม่วงดูเหมือนลูกบอลยางที่ถูกทุบตีโดยไม่สามารถตอบโต้
เมื่อเห็นราชันภูเขาม่วงยังสามารถป้องกันตัว ราชันมังกรจึงส่งหมัดที่ไม่ธรรมดาออกมาในที่สุด
หมัดมังกรแห่งความโกลาหล!
ท่าไม้ตายอมตะถูกใช้งาน
แต่ผลลัพธ์ของมันกลับไม่เป็นดังคาด
ราชันมังกรคิด ‘หมัดมังกรแห่งความโกลาหลของข้าจะทำให้ความคิดในใจของศัตรูกลายเป็นโกลาหล แต่การโจมตีนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลย’
ราชันมังกรสามารถเลียนแบบวิธีการบนเส้นทางสายอื่น ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาสามารถส่งผลกระทบเลียนแบบเส้นทางแห่งปัญญา
แต่เมื่อมันถูกใช้กับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเช่นราชันภูเขาม่วง มันก็กลายเป็นเพียงของเล่นหลอกเด็กเท่านั้น
หมัดมังกรแห่งความโกลากลอาจมีประสิทธิภาพต่อผู้อื่นแต่ไม่ใช่สำหรับราชันภูเขาม่วง
ขณะที่ราชันมังกรตรวจสอบความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วง ราชันภูเขาม่วงก็กำลังวิเคราะห์ราชันมังกรเช่นกัน
แม้เขาจะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่เขายังสามารถสงบจิตใจและไม่มีอาการตื่นตระหนก
เส้นทางแห่งปัญญาเกี่ยวข้องกับความคิด เจตจำนง และอารมณ์ความรู้สึก แน่นอนว่าราชันภูเขาม่วงมีวิธีจัดการอารมณ์ในเชิงลบของตนเองระหว่างการต่อสู้
‘ชัดเจนว่าเป็นเพราะท่าไม้ตายอมตะที่ทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตา’
‘ในดวงตามังกรของเขายังมีท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบที่ทรงพลังอยู่อีกหนึ่ง’
‘ด้วยการอนุมานของข้า การเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตาของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขามองไปที่ใด อย่าบอกข้าว่า…’
บทที่ 1364 ราชันมังกรเข้าสู่ความฝัน
ในเวลาต่อมา ราชันภูเขาม่วงดีดนิ้ว
ท่าไม้ตายอมตะถูกกระตุ้นใช้งาน แสงสีม่วงระเบิดออกไปในรัศมีหลายพันก้าว
การเคลื่อนที่ของราชันมังกรหยุดลง เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตาเพื่อเข้าใกล้ราชันภูเขาม่วงได้อีกต่อไป
‘เขามองเห็นมันและสามารถตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว…การต่อสู้กับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่เปลี่ยน’ ราชันมังกรหยุดการโจมตีของเขาและถอนหายใจ
การเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตาของเขาเกิดการเสียงคำรามของมังกรก่อนหน้านี้ ทุกที่ที่เสียงคำรามไปถึง เขาสามารถเคลื่อนย้ายสถานที่ไปที่นั่น
แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดด้านเวลา
ราชันภูเขาม่วงมองเห็นสิ่งนี้และใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาเลียนแบบผลกระทบนเส้นทางแห่งเสียงเพื่อชำระล้างสภาพแวดล้อม
นั่นทำให้ราชันมังกรไม่สามารถเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตาได้อีก
“เช่นนั้นลองวิธีนี้” ราชันมังกรเปิดปากขณะที่เขี้ยวมังกรสองซี่หลุดออกมา
หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นดาบโค้งสีขาว
ท่าไม้ตายอมตะ ดาบโค้งเขี้ยวมังกร!
ดาบโค้งสองเล่มพุ่งเข้าโจมตีราชันภูเขาม่วงทันที
ดาบโค้งเขี้ยวมังกรหมุนวนอยู่รอบๆราชันภูเขาม่วง ทุกครั้งที่พวกมันโจมตีจะมีแสงดาบอันแหลมคมส่องประกายขึ้นบนร่างของราชันภูเขาม่วง
‘ใช้วิธีนี้เพื่อหยุดข้างั้นหรือ?’
‘เขี้ยวมังกร…พวกมันแข็งแกร่งมาก นี่ต่างจากท่าไม้ตายอมตะทั่วไป’
ราชันภูเขาม่วงรู้สึกถึงแรงกดดัน
พลังอำนาจของเขี้ยวมังกรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ราชันภูเขาม่วงตระหนักได้ว่าเขาต้องจัดการท่าไม้ตายอมตะนี้อย่างรวดเร็วที่สุด
…..
‘ท่านสีม่วงใช้ทักษะที่แท้จริงออกมาแล้ว แต่ท่านยังถูกปราบปรามโดยราชันมังกร’ อิงอู๋เซี่ยบินไปข้างหน้าและสังเกตการต่อสู้ของราชันภูเขาม่วงกับราชันมังกร
เห็นได้ชัดว่าราชันมังกรแข็งแกร่งกว่าราชันภูเขาม่วง
ในแง่ของพลังการต่อสู้ ราชันมังกรเทียบเท่ากับโป้ชิง แม้ราชันภูเขาม่วงจะเป็นผู้อมตะระดับแปดเช่นกันแต่เขายังอ่อนแอกว่าโดยธรรมชาติ
‘พลังการต่อสู้ของท่านสีม่วงลดลงมาก นี่เป็นเพราะท่านใช้ท่าไม้ตายอมตะสร้างกายาแห่งความฝันจำนวนมากเพื่อจัดการอาณาจักรแห่งความฝัน ระหว่างกระบวนการนี้ท่านต้องแบ่งดวงวิญญาณของตนเองออกมา นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก!’
อิงอู๋เซี่ยเต็มไปด้วยความกังวล
ราชันภูเขาม่วงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชันมังกรตั้งแต่แรก แต่ก่อนหน้านี้เขายังต้องสร้างกายาแห่งความฝันจำนวนมาก นี่ทำให้พลังการต่อสู้ของเขายิ่งลดน้อยลงไปอีก เมื่อเวลาผ่านไป ราชันภูเขาม่วงจะพ่ายแพ้ในที่สุด
‘เร็ว เร็ว เร็ว!’ อิงอู๋เซี่ยกระตุ้นตนเอง
เขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับฟางหยวนแม้พวกเขาจะทำงานร่วมกัน
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำข้อตกลงบนเส้นทางแห่งข้อมูลใดๆ อิงอู๋เซี่ยไม่สามารถไว้ใจฟางหยวนได้อย่างเต็มที่
แต่กระทั่งเขาจะต้องการทำข้อตกลง สถานการณ์ก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาทำ และแม้พวกเขาจะทำได้ ฟางหยวนก็จะไม่ทำข้อตกลงดังกล่าว
ทั้งสองฝ่ายต้องการสร้างความร่วมมือแต่พวกเขาก็ไม่สามารถไว้ใจกันอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามเพราะศัตรูคือวังสวรรค์ พวกเขาจึงต้องสร้างความร่วมมือ
“พบแล้ว ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีรังไหมกำลังก่อตัวขึ้น ไปที่นั่นเร็วเข้า” เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนถ่ายทอดเสียง
อิงอู๋เซี่ยมองไปในทิศทางนั้นและรู้สึกลังเล
หากเขาทำตามคำแนะนำของฟางหยวน เขาต้องเข้าไปในอาณาเขตของผู้อมตะภาคใต้ มีผู้อมตะภาคใต้อยู่ที่นั่นมากมาย
ฟางหยวนสามารถเชื่อถือได้หรือไม่? นี่เป็นกับดักหรือไม่?
“หากข้าต้องการทำร้ายเจ้า เจ้าคงตายไปนานแล้ว!” ฟางหยวนกล่าวราวกับรู้ความคิดของอิงอู๋เซี่ย
อิงอู๋เซี่ยต้องยอมรับว่าฟางหยวนพูดเรื่องจริง เขาคิด ‘บางทีฟางหยวนอาจไม่ต้องการฆ่าข้าแต่ต้องการจับข้าทั้งเป็น หากเขาต้องการจับข้า เขาต้องเตรียมการ มีค่ายกลวิญญาณหรือท่าไม้ตายเขตแดนอยู่ที่นั่นหรือไม่?’
แต่คราวนี้อิงอู๋เซี่ยกลับส่ายศีรษะและเลิกลังเล
เขาต้องเดิมพัน
นาทีนี้เขาต้องเดิมพันเท่านั้น!
เขาบินไปยังทิศทางที่ฟางหยวนชี้นำ
ในไม่ช้าเขาก็พบผู้อมตะภาคใต้
‘บัดซบ!’ หัวใจของอิงอู๋เซี่ยเต้นแรง
ผู้อมตะภาคใต้พบเขาเช่นกัน
แต่เมื่อเขากำลังจะพุ่งเข้าโจมตีอิงอู๋เซี่ย ใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนแปลงไป หลังจากลังเลใจ เขาบินหนีไปด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” อิงอู๋เซี่ยตะลึง
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว
พวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฟางหยวนงั้นหรือ?
แล้วเหตุใดเขาถึงแสดงออกเช่นนั้น เขาดูไม่เต็มใจและกระทั่งโกรธเล็กน้อย
อิงอู๋เซี่ยรู้สึกสับสนมากขึ้น
เขายังเดินหน้าต่อไปและพบผู้อมตะภาคใต้คนที่สาม คนที่สี่ แต่คนทั้งสองก็ทิ้งเขาไปเช่นกัน
แน่นอนว่านี่เป็นการจัดการของฟางหยวน
เขาส่งผู้อมตะภาคใต้ทั้งหมดออกไปโดยใช้ข้ออ้างเรื่องภาพรวม
ตัวอย่างเช่น สถานที่นั้นต้องการเจ้ามากกว่า พันธมิตรกำลังตกอยู่ในอันตราย หากเจ้าไม่ไป พวกเขาจะตาย และ เพิกเฉยต่อผีอมตะระดับหก ข้าส่งคนอื่นมาจัดการเขาแล้ว
ด้วยข้ออ้างที่สมเหตุสมผล ทำให้อิงอู๋เซี่ยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้โดยปราศจากอุปสรรค
ไม่มีผู้ใดคาดหวังว่าวูอี้ไห่จะร่วมมือกับนิกายเงา
ในเวลานี้วังสวรรค์ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวน แล้วผู้อมตะภาคใต้จะคาดคิดถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ด้วยความช่วยเหลือจากฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ
“หือ มีรังไหมอยู่ที่นี่จริงๆ” ผู้อมตะระดับเจ็ดอี้ไห่ถิงค้นพบอย่างกะทันหัน
เขาบินเข้าไปหารังไหมแสง
“หยุด!” อิงอู๋เซี่ยที่พึ่งมาถึงตะโกนเสียงดัง
อี้ไห่ถิงแปลกใจ “ผู้ใด? เขาเป็นผู้สร้างมันงั้นหรือ?”
อี้ไห่ถิงไม่สนใจอิงอู๋เซี่ยและยังบินเข้าไปหารังไหมแสง
แต่ในเวลาต่อมาวิสัยทัศน์ของอี้ไห่ถิงกลับเปลี่ยนแปลงไป
เขาถูกเคลื่อนย้ายสถานที่โดยพลังอำนาจของค่ายกลวิญญาณ
“วูอี้ไห่! ข้ากำลังจะ…” อี้ไห่ถิงตระหนักถึงเรื่องนี้และตะโกน
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะประสบความสำเร็จในการกำจัดรังไหมแสง แต่ฟางหยวนกลับกลายเป็นอุปสรรค
“ข้ารู้ แต่ที่อื่นต้องการเจ้ามากกว่า อย่ากังวล ข้าสังเหตเห็นศัตรูแล้ว ข้าจะจัดการเขาเอง” ฟางหยวนขัดจังหวะอี้ไห่ถึง
อี้ไห่ถิงต้องการกล่าวมากกว่านี้แต่วิสัยทัศน์ของเขากลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่น!
“วูอี้ไห่ผู้นี้ เขาคิดว่าเขาสามารถใช้ข้าเป็นตัวหมากเบี้ยเพราะเขาควบคุมค่ายกลวิญญาณงั้นหรือ? ฮืม!” อี้ไห่ถิงไม่มีความสุขแต่เขาก็ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเจตนาของฟางหยวน
ฟางหยวนไม่ได้เคลื่อนย้ายเขาแบบสุ่มแต่มีผู้อมตะภาคใต้บางคนกำลังจะตายเพราะเทพธิดาเมี่ยวหยินอยู่จริงๆ
อี้ไห่ถิงเข้าสู่การต่อสู้และลืมความไม่พอใจที่มีต่อฟางหยวนไปอย่างรวดเร็ว
อิงอู๋เซี่ยรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน
ก่อนหน้านี้เมื่อเห็นอี้ไห่ถิงกำลังจะประสบความสำเร็จ เขารู้สึกสิ้นหวังมาก
แต่ในวินาทีต่อมา เขากลับทะยานจากขุมนรกขึ้นสู่สรวงสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกะทันหันเกินไป
มันทำให้อิงอู่เซี่ยรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
เขากรีดร้องเมื่อคิดถึงบางสิ่ง “แท้จริงแล้วเจ้าสามารถควบคุมค่ายกลวิญญาณทั้งหมด! ตอนนี้เจ้าคือผู้ใดกันแน่?”
ฟางหยวนรู้ว่าไม่สามารถปกปิดเรื่องนี้ “จะเป็นผู้ใดได้ ข้าคือวูอี้ไห่”
ดวงตาของอิงอู๋เซี่ยแทบหลุดออกมาจากเบ้า
คำตอบนี้น่าทึ่งเกินไป ฟางหยวนมาถึงจุดนี้ได้ด้วยวิธีใด
หลังจากยอมรับความจริงเรื่องนี้ อิงอู๋เซี่ยก็เข้าใจทุกสิ่ง
ไม่แปลกเลยที่ผู้อมตะภาคใต้เปิดทางให้เขา อิงอู๋เซี่ยรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงที่น่าขันมาก
แต่ไม่นานเขาก็เริ่มกังวล
‘ฟางหยวนมีท่าไม้ตายคลี่คลายความฝัน เขาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานโดยไม่มีผู้ใดรู้ เขามีแผนการที่ยิ่งใหญ่ เขาต้องได้รับกำไรมหาศาลอย่างแน่นอน!’
‘เกือบแล้ว หากไม่ใช่เพราะแผนการของท่านสีม่วง ฟางหยวนอาจอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน และนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนิกายเงา’
อารมณ์ของอิงอู๋เซี่ยเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความตระหนักรู้และความกังวล แต่ในที่สุดเขาก็มาถึงรังไหมแสง
“กลิ่นอายนี้ รังไหมระดับเจ็ด!” อิงอู๋เซี่ยรู้สึกตื่นเต้นมาก
“ข้าจะเลือกผิดได้อย่างไร? แล้วเจ้ารอสิ่งใดอยู่?” ฟางหยวนหัวเราะ
อิงอู๋เซี่ยพยักหน้าและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขา
ท่าไม้ตายนี้ส่งผลกระทบทันที
ดวงวิญญาณของอิงอู๋เซี่ยและวิญญาณของเขาพุ่งเข้าสู่รังไหมแสง
ในเวลาเดียวกันร่างผีดิบอมตะระดับหกก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
รังไหมแสงแตกออกขณะที่อิงอู๋เซี่ยในร่างกายาแห่งความฝันระดับเจ็ดปรากฏตัวขึ้น
“อย่าขัดขืน ข้าจะส่งเจ้าไปเดี๋ยวนี้” เสียงของฟางหยวนดังขึ้นในใจของอิงอู๋เซี่ย
ในช่วงเวลาต่อมาอิงอู๋เซี่ยจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังสนามรบของราชันมังกรและราชันภูเขาม่วง
โดยปราศจากความลังเล อิงอู๋เซี่ยใช้ไพ่ตายของเขาทันที
นำวิญญาณสู่ความฝัน!
“หือ!?” การแสดงออกของราชันมังกรเปลี่ยนไปขณะที่เขาถูกลากเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน
ราชันภูเขาม่วงตะลึง “เกิดสิ่งใดขึ้น?”
ในเวลาต่อมาเขาได้รับการถ่ายทอดเสียงจากอิงอู๋เซี่ย “ข้าอยู่ที่นี่ ท่านสีม่วง ตอนนี้ข้าอยู่ในร่างกายาแห่งความฝันระดับเจ็ด!”
“ดี” ราชันภูเขาม่วงดีใจมาก ในที่สุดไพ่ตายของเขาก็ถูกใช้งาน
“หลังจากผ่านอุปสรรคมากมาย ข้าได้รับร่างนี้มาด้วยความช่วยเหลือจากฟางหยวน ปัจจุบันเขาคือวูอี้ไห่ เขากำลังควบคุมค่ายกลวิญญาณของผู้อมตะภาคใต้ เขาต้องการร่วมมือกับพวกเรา!”
“โอ้!?” ดวงตาของราชันภูเขาม่วงส่องประกายขึ้น “ยอดเยี่ยม ส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้เขา เราจะคุยกัน”
เมื่อฟางหยวนร่วมมือกับนิกายเงา สถานการณ์ดูเหมือนจะพลิกกลับในที่สุด
บทที่ 1365 เจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาว
ราชันมังกรเข้าสู่ความฝัน
ด้วยร่างกายาแห่งความฝันระดับเจ็ด อิงอู๋เซี่ยสามารถระเบิดความแข็งแกร่งออกมาและเปลี่ยนสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างสองผู้อมตะระดับแปด
ราชันมังกรติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันและไม่สามารถหลบหนี
ราชันภูเขาม่วงฉวยโอกาสนี้ตอบโต้
“ไม่สำนึกจริงๆ!”
“ปีศาจที่โง่เขลา เจ้าไม่มีทางรอดแล้ว!” เสียงของเทพธิดาจื่อเว่ยดังขึ้นในค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง
ฟางหยวนช่วยอิงอู๋เซี่ยและทำให้ราชันมังกรเข้าสู่ความฝันทางอ้อม เทพธิดาจื่อเว่ยเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
“อย่างไรก็ตาม หากเจ้าคิดว่าท่านราชันมังกรจะล้มเหลวเพราะเหตุนี้ เจ้าคิดผิดทั้งหมด”
หลังกล่าวจบคำ เทพธิดาจื่อเว่ยก็หัวเราะ “ข้าต้องขอบคุณเจ้า หลายครั้งที่เจ้าใช้ค่ายกลวิญญาณ มันทำให้ข้าได้เห็นการดำเนินการที่หลากหลายของค่ายกลวิญญาณ เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าเจ้ากำลังสูญเสียการควบคุมค่ายกลวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ?”
“ความเร็วในการบุกของเจ้าเพิ่มขึ้น แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถหลอกลวงข้า” ฟางหยวนเย้ยหยัน
เทพธิดาจื่อเว่ยมึนงง “หือ?”
“แม้พวกเจ้าจะมาที่นี่อย่างสง่างาม แต่กำลังรบของพวกเจ้ามีเพียงเท่านี้” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น
“ความจริงก็คือตราบเท่าที่ผู้อมตะระดับแปดเช่นเจ้าอีกคนปรากฏตัว พวกเจ้าก็จะสามารถกวาดล้างสนามรบได้อย่างง่ายดาย น่าเสียดายที่วังสวรรค์ไม่ได้ส่งผู้อื่นมา”
“ในความเป็นจริง เจ้ายังต้องลอบเข้ามาในค่ายกลวิญญาณอย่างลับๆ ขณะที่ราชันมังกรต้องไปต่อสู้เป็นการส่วนตัว”
“แม้เจ้าจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า แต่เจ้าไม่ได้เปิดเผยตัวตนของข้าทันที ตัวตนของข้ายังเป็นความลับ”
“นอกจากไม่มีหลักฐาน ความตั้งใจของเจ้าก็คือหยิบยืมพลังของผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้เพื่อจัดการนิกายเงา ถูกต้องหรือไม่?”
“และยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง แม้เจ้าจะเปิดเผยตัวตนของข้าและโน้มน้ามผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ ค่ายกลวิญญาณนี้ก็ยังอยู่ในการควบคุมของข้า จุดสำคัญนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากตัวตนของข้า”
“เจ้ามาที่ค่ายกลวิญญาณนี้เพื่อชิงตัวหมากที่ยิ่งใหญ่ตัวนี้”
“ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าวังสวรรค์ของเจ้ากำลังหลอกลวง พวกเจ้าขาดแคลนกำลังรบระดับแปด”
เทพธิดาจื่อเว่ยเงียบ
นางนึกถึงฉากเหตุการณ์เมื่อสองสามวันก่อน
ย้อนกลับไปนางกำลังเรียนรู้คฤหาสน์วิญญาณอมตะกระดานหมากรุกกลุ่มดาว
คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้เคยอยู่ในคลังสมบัติของวังสวรรค์ หลังจากราชันมังกรตื่นขึ้น เขามีอำนาจที่จะนำมันออกมาให้เทพธิดาจื่อเว่ยใช้งาน
หลังจากเรียนรู้มัน เทพธิดาจื่อเว่ยตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้
‘มันสมควรเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะกลุ่มดาวจริงๆ มันช่วยให้ความสามารถในการอนุมานของข้าเพิ่มขึ้นหลายเท่า’
เมื่อคิดถึงเทพอมตะกลุ่มดาว เทพธิดาจื่อเผยแสดงออกด้วยความชื่นชม
มันทำให้เทพธิดาจื่อเว่ยรู้สึกราวกับนางคือผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอันดับหนึ่งของโลกยุคปัจจุบัน
‘น่าเสียดายที่แม้การอนุมานของข้าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ข้ายังต้องการข้อมูลและเบาะแสมากกว่านี้ มิฉะนั้นมันจะเป็นเรื่องยากในการอนุมาน’ ดวงตาของเทพธิดาจื่อเว่ยมืดมนลง
นางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เมื่อกลุ่มผู้อมตะภาคกลางถูกไล่ล่าโดยปีศาจอมตะเซี่ยหูและกองกำลังถ้ำสวรรค์นิรันดร พวกเขาพยายามปกปิดเบาะแสและป้องกันไม่ให้เทพธิดาจื่อเว่ยอนุมานตำแหน่งของกลุ่มผู้อมตะภาคกลาง ดังนั้นกำลังเสริมจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา
นางยังคิดถึงฟางหยวน เป้าหมายที่วังสวรรค์ต้องการสังหารมาตลอด
แต่พวกนางยังขาดเงื่อนงำเกี่ยวกับเขา
นางสรุปว่าฟางหยวนมีวิธีป้องกันและสามารถต่อต้านการอนุมาน
ดังนั้นวังสวรรค์จึงไม่เคยรู้ที่อยู่ของฟางหยวน
เทพธิดาจื่อเว่ยถอนหายใจ
แต่ในจังหวะนั้นกระดานหมากรุกกลุ่มดาวในมือของนางกลับเริ่มดูดกลืนพลังงานอมตะของนางและทำงานด้วยตัวของมันเอง
เจตจำนงแห่งสวรรค์จำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากกระดานหมากรุกกลุ่มดาวและกลายเป็นเทพอมตะกลุ่มดาว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เทพธิดาจื่อเว่ยตกใจมาก
กระดานหมากรุกกลุ่มดาวเป็นสมบัติของเทพอมตะกลุ่มดาว แต่นางเสียชีวิตไปนานแล้ว ตอนนี้เทพธิดาจื่อเว่ยเพียงหยิบยืมมันมาเท่านั้น
“จื่อเว่ย นี่คือเทพอมตะกลุ่มดาว เหตุใดถึงไม่แสดงความเคารพ?” ราชันมังกรเดินเข้ามาด้านหลังเทพธิดาจื่อเว่ย
“แต่นี่คือเจตจำนงสวรรค์” เทพธิดาจื่อเว่ยเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา นางสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือสิ่งใด
“แน่นอนว่านี่คือเจตจำนงสวรรค์ เจ้ายังเด็กเกินไป เจ้าไม่รู้ความลับเรื่องนี้ เทพอมตะกลุ่มดาวได้หลอมรวมเข้ากับเจตจำนงสวรรค์มานานแล้ว แม้ร่างของท่านจะสูญสิ้น แต่เจตจำนงของท่านก็รวมเป็นหนึ่งกับสวรรค์พิภพ!”
เทพธิดาจื่อเว่ยงุ่นงงและตกใจมาก
“นี่หมายความว่าเทพอมตะกลุ่มดาวมีชีวิตนิรันดร์เช่นนั้นหรือ? หากเจตจำนงสวรรค์คือเทพอมตะกลุ่มดาว เช่นนั้นทั้งโลกก็ต้องอยู่ข้างวังสวรรค์มิใช่หรือ?”
ราชันมังกรส่ายศีรษะ “เจ้าควรกล่าวว่าวังสวรรค์อยู่ข้างเจตจำนงสวรรค์ หลังจากหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์ เทพอมตะกลุ่มดาวก็ไม่ใช่ตัวท่านเองอีกต่อไป นี่เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เพื่อมวลมนุษยชาติ! หลังจากเทพอมตะกลุ่มดาวหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์ เจตจำนงสวรรค์ได้รับประโยชน์มหาศาล แต่แก่นแท้ของมันยังเป็นเจตจำนงสวรรค์”
เทพธิดาจื่อเว่ยสามารถทำความเข้าใจอย่างรวดเร็ว
เทพอมตะกลุ่มดาวเสียสละตนเองเพื่อมวลมนุษยชาติ
แก่นแท้ของเจตจำนงสวรรค์ไม่เปลี่ยนแปลง แต่บางสิ่งถูกดัดแปลงโดยเทพอมตะกลุ่มดาว ตัวอย่างเช่นรูปแบบที่มันใช้และบางทีอาจรวมถึงคำใบ้ที่วังสวรรค์ได้รับ
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าเหตุใดวังสวรรค์จึงปฏิบัติตามความต้องการของเจตจำนงสวรรค์ และหลังจากหลายชั่วอายุคน วังสวรรค์ก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง
“ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ห้าภูมิภาคจะกลายเป็นหนึ่ง โชคชะตาได้มาถึงจุดสำคัญแล้ว” เจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวกล่าวและยื่นมือขวาออกมา
บนฝ่ามือของนาง ภาพค่ายกลวิญญาณของภาคใต้ปรากฏขึ้น
“ที่นี่”
“การต่อสู้ครั้งสำคัญกำลังจะคลี่คลาย ผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก”
“เทพปีศาจจิตวิญญาณอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก นิกายเงาจะรวบรวมผู้คนไปที่นั่น ฟางหยวนปลอมตัวเป็นวูอี้ไห่และผสานตัวอยู่ในกลุ่มผู้อมตะภาคใต้”
“นี่คือกลุ่มคนที่ท้าทายต่อโชคชะตา ที่มาของความโกลาหล กำจัดพวกเขาและซ่อมแซมวิญญาณชะตากรรม”
“อย่างไรก็ตามวังสวรรค์จะอนุญาตให้พวกเจ้าสองคนเข้าสู่การต่อสู้ครั้งนี้เท่านั้น”
เจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวกล่าวอย่างชัดเจน
“เพราะเหตุใด?”
วังสวรรค์มีรากฐานที่ลึกมาก ก่อนหน้านี้ในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน พวกเขาค้นพบมันช้าเกินไป นั่นทำให้ผู้อมตะระดับแปดที่ตื่นขึ้นไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์
แต่ตอนนี้พวกเขาได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าจากเจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาว พวกเขามีเวลาเหลือเฟือ วังสวรรค์มีเวลาเตรียมตัวอีกมาก พวกเขาสามารถรวบรวมกำลังรบทั้งหมดเพื่อบดขยี้ศัตรู
อย่างไรก็ตามเทพอมตะกลุ่มดาวกลับบอกให้เทพธิดาจื่อเว่ยและราชันมังกรออกไปต่อสู้เพียงสองคน
“นี่คือโชคชะตา”
“หลังจากการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ความไม่แน่นอนของโชคชะตาลดลงมาก ตอนนี้วิญญาณชะตากรรมฟื้นคืนแล้ว โชคชะตากลับมาควบคุมโลกใบนี้อีกครั้ง”
“คราวนี้พวกเจ้าจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”
“อย่ารบกวนการจำศีลของผู้อมตะคนอื่นๆ พวกเขามีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต รากฐานของวังสวรรค์จะอ่อนแอลงกว่านี้ไม่ได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะรุนแรงมาก”
“นำหอคอยดวงตาสวรรค์และกระดานหมากรุกกลุ่มดาวออกไป ไม่ควรระดมกำลังผู้อมตะจากสิบนิกายโบาณของภาคกลางหากไม่จำเป็น จำไว้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าวังสวรรค์จะต้องการผู้อมตะระดับแปดอีกมาก จำไว้ จำไว้…”
เจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวแนะนำ
เทพธิดาจื่อเว่ยได้รับข้อมูลมากมายแต่ตอนนี้นางเริ่มสับสน
นางพบว่าแม้นางจะเป็นสมาชิกของวังสวรรค์แต่แท้จริงแล้วนางแทบไม่รู้สิ่งใดเลย
องค์กรขนาดใหญ่นี้มีรากฐานที่ลึกล้ำแต่ไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้อย่างอิสระ
ผู้อมตะของวังสวรรค์กำลังจำศีล นอกเหนือจากการรักษาชีวิต ดูเหมือนพวกเขายังมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่ารออยู่
บทที่ 1366 ราชันมังกรตื่นขึ้น
วังสวรรค์มีสิ่งที่ต้องกังวลแต่เกี่ยวกับความกังวลนี้เทพอมตะกลุ่มดาวไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน
หลังกล่าวจบ เจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวก็หายไปในอากาศ
“โอ้ จื่อเว่ย อย่ามองข้า แม้ข้าจะอายุยืนยาว แต่ข้าก็ไม่รู้ทุกสิ่ง ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าได้เห็นเจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวปรากฏขึ้นด้วยตนเอง” ราชันมังกรถอนหายใจ
เขาหยุดก่อนกล่าวต่อ “เราต้องเชื่อในเจตจำนงของเทพอมตะกลุ่มดาวและทำตามคำกล่าวของนาง เราจะชนะในครั้งนี้อย่างแน่นอน นี่คือชะตากรรมของเรา!”
ด้วยคำสั่งของเทพอมตะกลุ่มดาว ราชันมังกรและคนอื่นๆจึงไม่กล้าขัดขืน
ในช่วงเวลาที่หอคอยดวงตาสวรรค์อยู่ในสวรรค์สีขาว มันถูกขัดขวางโดยวิธีการบางอย่างที่ราชันภูเขาม่วงทิ้งไว้และทำให้พวกเขามาถึงช้ากว่าความตั้งใจเดิม
การวิเคราะห์ของฟางหยวนถูกต้อง
แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดวังสวรรค์ถึงไม่นำผู้อมตะระดับแปดมามากกว่านี้ แต่มันก็ไม่สามารถหยุดเขาจากการมองเห็นรายละเอียดดังกล่าว
ฟางหยวนตัดสินใจใช้ค่ายกลวิญญาณช่วยอิงอู๋เซี่ยและแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างราชันมังกรกับราชันภูเขาม่วง
ด้วยการใช้สวรรค์สีเหลืองเป็นตัวกลาง พวกเขาประสบความสำเร็จในการส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูล
นี่ทำให้ฟางหยวนสามารถพูดคุยกับราชันภูเขาม่วงได้โดยตรง
ฟางหยวนต้องช่วยอิงอู๋เซี่ยเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากนิกายเงา มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถดำเนินการต่อไป
ด้วยวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูล มันทำให้ฟางหยวนสามารถอนุมานบางสิ่งเกี่ยวกับราชันภูเขาม่วง
หากเป็นช่วงเวลาปกติ พวกเขาต้องทำข้อตกลงพันธมิตรเป็นอันดับแรก มิฉะนั้นข้อมูลอาจรั่วไหล
ราชันภูเขาม่วงเริ่มกล่าวกับฟางหยวน “ฟางหยวน ก่อนอื่นข้าต้องขอบคุณชื่อราชันภูเขาม่วงที่เจ้าตั้งให้ มันยอดเยี่ยมมาก ข้าชอบมัน”
ฟางหยวนไม่ได้คาดหวังว่าคำโกหกที่เขาใช้หลอกลวงไท่เป่ยหยุนเฉิงจะกลายเป็นความจริงในวันหนึ่ง
ราชันภูเขาม่วงมีทักษะในการติดต่อสื่อสาร เขากล่าวเรื่องนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นกับฟางหยวน
ฟางหยวนหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็จะเรียกท่านว่าราชันภูเขาม่วง ท่านเห็นความจริงใจของข้าแล้ว เราควรทำงานร่วมกัน ตอนนี้ถึงเวลาสำหรับข้อตกลงแล้ว”
ราชันภูเขาม่วงโจมตีราชันมังกรอย่างดุเดือด ขณะเดียวกันก็ตอบฟางหยวน “ตกลง เจ้าต้องการสิ่งใด?”
ฟางหยวนตอบ “คริสตัลสวรรค์ ข้าต้องการคริสตัลสวรรค์จำนวนมาก!”
คริสตัลสวรรค์หายากมาก กระทั่งในสวรรค์สีเหลืองก็ยังมีขายน้อยมากและไม่เพียงพอต่อความต้องการของฟางหยวน
แต่นิกายเงามี
ฟางหยวนไม่สงสัยเรื่องนี้แม้แต่น้อย
แม้นิกายเงาจะอยู่ในจุดต่ำสุด แต่พวกเขาไม่เคยขาดแคลนทรัพยากร ฟางหยวนสามารถมองเห็นสิ่งนี้ระหว่างการไล่ล่ากลุ่มของอิงอู๋เซี่ย
ดังคาด ราชันภูเขาม่วงตอบ “ตกลง ข้ามีคริสตัลสวรรค์มากมาย พวกมันจะถูกส่งมอบให้เจ้าเพื่อแสดงความจริงใจ”
“เจ้าต้องการคริสตัลสวรรค์เพื่อหล่อเลี้ยงอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดใช่หรือไม่?”
“นี่เป็นความคิดที่ดี เกราะหวนคืนไม่สามารถใช้งานได้อย่างอิสระ แต่กระทั่งเจ้าจะเปลี่ยนอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดให้เป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด มันก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุด นอกจากนั้นเจ้าอาจไม่สามารถควบคุมมัน ข้าเข้าใจความสามารถบนเส้นทางแห่งทาสของเจ้า”
“แต่ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าสามารถควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด”
คำกล่าวของราชันภูเขาม่วงทำให้ฟางหยวนทั้งดีใจและประหลาดใจ
ราชันภูเขาม่วงใจกว้างมาก เขายอมสละคริสตัลสวรรค์เพื่อสนับสนุนฟางหยวนโดยไม่ลังเล
โดยเฉพาะวิธีการควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด เรื่องนี้สามารถล่อลวงฟางหยวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังคาด คำกล่าวของผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งปัญญาล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา
ฟางหยวนเงียบก่อนกล่าว “การเพิ่มวิธีควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่ดี แต่ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญต้องทำ!”
เขากล่าวราวกับวิธีควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นของเขาอยู่แล้ว
ด้วยวิธีนี้ราคาที่ราชันภูเขาม่วงใช้ต่อรองจึงด้อยค่าลง
ราชันภูเขาม่วงยิ้ม “มีสิ่งใดสำคัญกว่านี้?”
“นั่นคือเราทั้งคู่ต้องหยุดสู้รบเดี๋ยวนี้!” ฟางหยวนกล่าว
นิกายเงาจะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ มันดีสำหรับฟางหยวนเช่นกัน มีเพียงวังสวรรค์เท่านั้นที่จะไม่ได้รับผลประโยชน์
ราชันภูเขาม่วงออกคำสั่งกับสมาชิกนิกายเงาทันที
ฟางหยวนออกคำสั่งผู้อมตะภาคใต้ด้วยตัวตนของวูอี้ไห่และผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายเริ่มแยกออกจากกัน
นิกายเงาพบความสูญเสียมากมาย ตอนนี้พวกเขาเหลือสมาชิกไม่กี่คนเช่น อิงอู๋เซี่ย ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน เทพธิดาเมี่ยวหยิน และคนอื่นๆ
ฝ่ายธรรมะของภาคใต้มีความสูญเสียเช่นกัน แต่มันไม่ถือว่ามีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามกายาแห่งความฝันยังไม่หยุดปรากฏตัวขณะที่อาณาจักรแห่งความฝันค่อยๆหายไปอย่างต่อเนื่อง
นี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับวังสวรรค์
‘ตอนนี้วังสวรรค์จะทำอย่างไรต่อไป?’ ฟางหยวนเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของวังสวรรค์
ราชันมังกรติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน เทพธิดาจื่อเว่ยกำลังเร่งการยึดครองค่ายกลวิญญาณหอคอยดวงตาสวรรค์ยังต่อสู้อยู่กับจ้าวเย่ฮุ้ย
“บึม!”
จ้าวเย่ฮุ้ยใช้กรงเล็บตบหอคอยดวงตาสวรรค์ลงกระแทกพื้น
แต่มันไม่ได้รับความเสียหาย
จ้าวเย่ฮุ้ยอ้าปากและยิงลำแสงค่ำคืนสีเทาออกมา
หอคอยดวงตาสวรรค์ใช้การโจมตีพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาอีกครั้ง
ค่ำคืนสีเทาถูกกลืนกินโดยแสงสีดาวขณะที่จ้าวเย่ฮุ้ยถูกผลักดันออกไปและได้รับบาดเจ็บ
แต่แทบจะในทันทีที่อาการบาดเจ็บของมันหายไป
จ้าวเย่ฮุ้ยคำรามและพุ่งเข้าโจมตีหอคอยดวงตาสวรรค์อีกครั้งด้วยความโกรธและเกลียดชัง
หอคอยดวงตาสวรรค์บินขึ้นสู่ท้องฟ้า
จ้าวเย่ฮุ้ยไล่ล่าไปอย่างไม่ลดละ
ผู้อมตะภาคกลางที่อยู่ในหอคอยดวงตาสวรรค์เต็มไปด้วยความประหม่าและกังวล
“บัดซบ! สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป มันสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ หอคอยดวงตาสวรรค์ไม่สามารถจัดการมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ”
“เราควรทำอย่างไร? ท่านราชันมังกรติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันและถูกโจมตีโดยผู้อมตะระดับแปด”
“เราต้องอดทนและไปช่วยท่านราชันมังกร มิฉะนั้นมันจะยิ่งเลวร้าย”
“แต่ท่านราชันมังกรสั่งให้พวกเราอยู่ในหอคอยดวงตาสวรรค์ เราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ”
“ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว”
“มีผู้อมตะระดับแปดอยู่ในกลุ่มพวกเรา ตอนนี้ท่านราชันมังกรตกอยู่ในอันตราย ท่านสูญเสียการควบคุม หากเราไม่ช่วย ท่านจะตกอยู่ในอันตราย”
หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ หอคอยดวงตาสวรรค์ก็ผลักดันจ้าวเย่ฮุ้ยให้ล่าถอยออกไปเป็นการชั่วคราว
สองผู้อมตะภาคกลางฉวยโอกาสบินออกมาจากหอคอยดวงตาสวรรค์และมุ่งหน้าไปทางราชันมังกร
“ฮ่าฮ่าฮ่า หนูสองตัวออกมาแล้ว!” จ้าวเย่ฮุ้ยหัวเราะขณะที่ดวงตาของมันส่องประกายขึ้น
มันเปิดปากกว้าง
ร่างของสองผู้อมตะภาคกลางสั่นสะท้านขึ้นขณะที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเอง
จ้าวเย่ฮุ้ยหุบปาก แม้มันจะอยู่ห่างจากสองผู้อมตะภาคกลาง แต่มันแสดงออกราวกับฟันของมันเชื่อมต่อกับร่างของผู้อมตะภาคกลางทั้งสอง
เลือดไหลออกมาจากปากของมัน
ในเวลาเดียวกันบาดแผลที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นบนร่างของผู้อมตะภาคกลางทั้งสองพร้อมกับเลือดที่ไหลทะลักออกมา
“นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางอาหาร! มันยากที่จะป้องกัน!”
“จ้าวเย่ฮุ้ยมีสติปัญญาของมนุษย์ มันรู้วิธีกำหนดเป้าหมาย!”
“รีบพาพวกเขากลับมา!”
หอคอยดวงตาสวรรค์พยายามช่วยคนทั้งสอง นอกจากนี้สองผู้อมตะภาคกลางยังเป็นผู้อมตะระดับแปด พวกเขามีวิธีการของตนเอง ดังนั้นทั้งสองจึงรอดชีวิตมาได้อย่างฉิวเฉียด
หลังจากประสบความสำเร็จในการหลบหนี ผู้อมตะภาคกลางจึงตระหนักถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของจ้าวเย่ฮุ้ย
“สมกับเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนาน ช่างอำมะหิตนัก เราไม่สามารถประมาท!”
“แต่ด้วยวิธีนี้เราจะช่วยท่านราชันมังกรได้อย่างไร?”
“นำหอคอยดวงตาสวรรค์เข้าไป”
“มันอันตรายเกินไป หากเราถูกส่งเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน เราจะสูญเสียการควบคุมหอคอยดวงตาสวรรค์ หากเป็นเช่นนั้นผู้ใดจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบ?”
ขณะที่กลุ่มผู้อมตะภาคกลางกำลังพูดคุย ราชันมังกรตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญหน้ามาตลอดชีวิต
วิธีการของราชันภูเขาม่วงมีประสิทธิภาพ
“ถึงเวลาตาย!” ราชันภูเขาม่วงบินเข้าไปหาราชันมังกรและพ่นควันสีม่วงออกมา
ควันสีม่วงทำลายการป้องกันทั้งหมดของเขา
“ตาย!” ดวงตาของราชันภูเขาม่วงส่องประกายขึ้นขณะที่เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ
แต่ในจังหวะนี้ราชันมังกรกลับเปิดเปลือกตาขึ้น
“บึม!”
เสียงระเบิดดังขึ้น
ราชันภูเขาม่วงบินออกจากกลุ่มฝุ่นควันขณะที่ราชันมังกรยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม
เขาตื่นแล้ว
“เหตุใดเขาถึงหลบหนีออกมาได้รวดเร็วนัก?” อิงอู๋เซี่ยตะลึง เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันอีกครั้ง
ราชันภูเขาม่วงต้องการหยุดอิงอู๋เซี่ย แต่มันสายเกินไปแล้ว
ราชันมังกรหายตัวไปและทำให้อิงอู๋เซี่ยได้รับผลกระทบย้อนกลับจากท่าไม้ตายนี้
ตัวเขาเองถูกนำเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน
“ท่าไม้ตายนี้เรียกว่านำวิญญาณสู่ความฝันงั้นหรือ? เป็นท่าไม้ตายที่ดี หากข้ามีเวลามากกว่านี้ ข้าจะสามารถถอดรหัสมัน” ราชันมังกรกล่าว
หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางราชันภูเขาม่วง “สำหรับเจ้า หากเจ้ามีวิธีการเพียงเท่านี้ เจ้าจะไม่สามารถต่อต้านการโจมตีต่อไปของข้า”
“เพราะสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะแรกกำเนิด!”
ราชันมังกรบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณเป็นเส้นทางหลักและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นเส้นทางรอง ในที่สุดเขาก็กำลังจะใช้ทักษะที่แท้จริงของตนออกมา
บทที่ 1367 ดูดกลืนปราณทั้งสาม
หลังกล่าวจบคำ กลิ่นอายของราชันมังกรก็เปลี่ยนแปลงไป
มันเหมือนกลิ่นอายของมังกรยักษ์ที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ราชันภูเขาม่วงตระหนักถึงอันตรายร้ายแรง
“โฮก…”
ราชันมังกรเปิดปากคำราม
ต่อมาเขาหายตัวไปจากจุดนั้น
“โอ้ โม่!” หัวใจของราชันภูเขาม่วงจมดิ่งลง
ราชันมังกรกำลังทำสิ่งเดิมอีกครั้ง
เขาเคยใช้วิธีนี้เคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตาและโจมตีราชันภูเขาม่วงด้วยหมัดมังกรแห่งความโกลาหล
ผู้อมตะทั่วไปจะไม่สามารถตอบสนองแม้พวกเขาจะรู้ถึงเจตนาของราชันมังกร แต่ราชันภูเขาม่วงแตกต่างออกไป เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งปัญญา ความคิดของเขารวดเร็วมาก
แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่ราชันมังกรคำราม ราชันภูเขาม่วงก็ตอบสนองไปแล้ว
ครั้งนี้ราชันมังกรไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าประชิดตัวราชันภูเขาม่วง เขาอยู่ห่างออกไปหลายร้อยก้าว
แต่สำหรับราชันมังกร ระยะทางนี้เพียงพอแล้ว
“ดูดกลืนปราณมนุษย์!” ราชันมังกรโบกมืออย่างง่ายๆ
แต่ราชันภูเขาม่วงกลับเผชิญหน้ากับการระเบิดครั้งใหญ่
ปราณมนุษย์จำนวนมากพุ่งออกจากร่างของราชันภูเขาม่วงและบินเข้าไปหาราชันมังกร
หลังจากสูญเสียปราณมนุษย์จำนวนมหาศาล ใบหน้าของราชันภูเขาม่วงกลายเป็นซีดขาว เส้นผมสีม่วงที่สดใสของเขากลายเป็นหม่นหมอง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ
ลึกเข้าไปในดวงตาของราชันภูเขาม่วงสามารถมองเห็นความตกใจ นี่ทำให้เขานึกถึงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณที่มีชื่อเสียง
ดูดกลืนปราณทั้งสาม!
นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะแรกกำเนิด มันมีลักษณะเด่นสองประการที่ทุกคนรู้จักดี
ประการแรก มันยากที่จะเรียนรู้
มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อและใช้วิญญาณจำนวนมหาศาล กระทั่งผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญายังรู้สึกปวดหัวกับมัน
ประการที่สอง ความเสี่ยงของการใช้ท่าไม้ตายนี้สูงมาก
เนื่องจากความซับซ้อนของมัน ผู้อมตะมีโอกาสทำสิ่งผิดพลาดและพบกับฟันเฟืองร้ายแรง
หากท่าไม้ตายล้มเหลว พวกเขาจะเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสามมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลับอย่างไม่น่าเชื่อ
คำอธิบายของมันเริ่มจากขั้นตอนก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ
มนุษย์ที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะต้องดูดซับและหลอมรวมปราณสวรรค์ ปราณพิภพ และปราณมนุษย์
เมื่อผู้ใช้วิญญาณบ่มเพาะตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงห้า พวกเขาจะได้รับปราณมนุษย์ในกระบวนการนี้ เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ พวกเขาจะดูดซับปราณสวรรค์และปราณพิภพเข้าไปผสานกับปราณมนุษย์
ยิ่งมีปราณมนุษย์มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถดูดซับปราณสวรรค์และปราณพิภพได้มากเท่านั้น
โดยปกติแล้วร่างสุดยอดกายาทั้งสิบจะมีปราณมนุษย์มากที่สุด นอกจากนั้นผู้อมตะที่สามารถบรรลุระดับปรมาจารย์บนเส้นทางบางสายก็จะมีปราณมนุษย์ที่อุดมสมบูรณ์เช่นกัน
ด้วยการผสานปราณทั้งสามเข้าสู่มิติช่องว่าง พวกเขาจะกลายเป็นผู้อมตะ
ปราณสวรรค์ ปราณพิภพ และปราณมนุษย์ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มิติช่องว่างของพวกเขาจะขาดเสถียรภาพ
เช่นเดียวกับฟางหยวนที่ต้องวางมิติช่องว่างลงเพื่อดูดซับปราณสวรรค์และปราณพิภพเป็นครั้งคราวเพื่อสร้างสมดุลให้กับมิติช่องว่างจักรพรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นผู้อมตะหรือเทพอมตะ พวกเขาก็ไม่สามารถประมาทกับเรื่องนี้
ปราณสวรรค์และปราณพิภพจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค หากผู้อมตะดูดซับปราณสวรรค์และปราณพิภพของภูมิภาคอื่น มิติช่องว่างของพวกเขาจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ แม้พวกเขาจะสามารถทำเช่นนั้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยเกินไป
คำอธิบายเหล่านี้พิสูจน์ว่าปราณสวรรค์ ปราณพิภพ และปราณมนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมิติช่องว่างของผู้อมตะ หากเกิดความไม่สมดุล มิติช่องว่างของพวกเขาจะได้รับความเสียหายร้ายแรง
และท่าไม้ตายนี้เป็นการโจมตีไปที่จุดนี้โดยตรง
มันเป็นท่าไม้ตายต่อเนื่องและกำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในท่าเดียว ดังนั้นผู้อมตะที่ใช้ท่าไม้ตายนี้จึงต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมาก
การดูดกลืนพลังปราณมีอยู่สามรูปแบบ
รูปแบบแรกคืการดูดกลืนปราณมนุษย์ หลังจากเป้าหมายถูกโจมตี พวกเขาจะสูญเสียปราณมนุษย์จำนวนมาก รากฐานของพวกเขาจะร่วงหล่นลง แน่นอนว่าหากเป้าหมายไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อสูร ท่าไม้ตายนี้ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
รูปแบบที่สองคือการดูดกลืนปราณพิภพ หากเป้าหมายถูกโจมตี พวกเขาจะสูญเสียปราณพิภพอย่างรุนแรง ปราณทั้งสองจะเสียสมดุล มิติช่องว่างจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
รูปแบบที่สามคือการดูดกลืนปราณสวรรค์ มันจะดูดปราณสวรรค์ออกมา เมื่อเป้าหมายถูกโจมตี มิติช่องว่างของพวกเขาจะแตกสลายทันที
ราชันภูเขาม่วงเร่งล่าถอย
เขาถูกดูดปราณมนุษย์ออกไปแล้ว หากเขาถูกดูดปราณพิภพอีกครั้ง มันจะร้ายแรงมาก
อย่างไรก็ตามแม้ราชันภูเขาม่วงจะรู้เรื่องนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับมัน เขาไม่สามารถมองทะลุท่าไม้ตายนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ท่าไม้ตายนี้ซับซ้อนเกินไป แม้มันจะใช้งานยาก แต่มันก็ยากที่คู่ต่อสู้จะคลี่คลายและตอบโต้เช่นกัน
ท้ายที่สุดมีข้อดีก็มีข้อเสีย
ราชันภูเขาม่วงไม่สามารถแก้ไข เขาทำได้เพียงใช้วิธีของเขาสร้างร่างเทียมจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาเท่านั้น
ท่าไม้ตายของราชันมังกรทรงพลัง แต่หากมันไม่สามารถโจมตีเป้าหมาย มันก็ไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตามราชันมังกรไม่รู้สึกกังวล เขาหัวเราะขณะที่เสียงของเขากระจายไปทั่วสนามรบ “มันสายไปแล้ว ราชันภูเขาม่วง เจ้าถูกโจมตีแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะหลบเลี่ยงการโจมตีอีกสองครั้ง”
“มา ดูดกลืนปราณพิภพ!” ราชันมังกรโบกมือเป็นครั้งที่สอง
เขาไม่ได้หลอกลวง แม้เขาจะไม่รู้ว่าราชันภูเขาม่วงอยู่ที่ใด แต่ราชันภูเขาม่วงยังถูกโจมตีทันที
ราชันภูเขาม่วงตกใจมาก
ปราณพิภพจำนวนมหาศาลพุ่งออกจากมิติช่องว่างของเขาและบินเข้าสู่ฝ่ามือของราชันมังกร
มิติช่องว่างของราชันภูเขาม่วงได้รับความเสียหายร้ายแรง รากฐานของเขาพังทลายขณะที่มิติช่องว่างของเขากำลังจะแตกออกเป็นชิ้นๆ
ทางเลือกสุดท้ายของราชันภูเขาม่วงคือการวางมิติช่องว่างลง
ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถดูดซับปราณสวรรค์พิภพเพื่อสร้างเสถียรภาพ
แต่ราชันภูเขาม่วงยอมแพ้ต่อตัวเลือกนี้ทันที
นี่เป็นความคิดที่แย่มาก
หากราชันภูเขาม่วงวางมิติช่องว่างลง ร่างของเขาจะติดอยู่ในมิติช่องว่าง เขาจะถูกผลักออกจากสนามรบทันที
ในเวลาเดียวกับราชันมังกรก็จะรอเขาอยู่ด้านนอก
หากประตูมิติเปิดออก ราชันมังกรจะสามารถเข้าไปและสร้างความเสียหายร้ายแรง นอกจากนั้นเขายังสามารถต่อสู้และล่าถอยได้ตามใจปรารถนาขณะที่ราชันภูเขาม่วงจะติดอยู่ภายใน
‘กระทั่งข้าจะพยายามดูดซับปราณพิภพ แต่ข้าก็ยังขาดปราณมนุษย์ ข้าไม่มีวิธีบนเส้นทางแห่งมนุษย์ที่สามารถเติมเต็มปราณมนุษย์ ข้าทำได้เพียงต้องซื้อมนุษย์หรือมนุษย์กลายพันธุ์จำนวมากเข้ามาเท่านั้น’
ความคิดมากมายพุ่งเข้าสู่จิตใจของราชันภูเขาม่วง
ในเวลาอันสั้น เขาตัดสินใจแล้ว
เขายื่นแขนออกมาและจับหน้าท้องของตนเองก่อนที่แสงสีม่วงจะส่องประกายขึ้นในมือของเขา
จากนั้นเขาก็ดึงฝ่ามือออกมาอย่างช้าๆ
ด้วยวิธีนี้ มิติช่องว่างของเขาจึงถูกนำออกมา
ฟางหยวนรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้
เขานึกถึงนางมารผลาญสวรรค์
นางมารผลาญสวรรค์สามารถใช้วิธีบนเส้นทางแห่งไฟเพื่อดึงมิติช่องว่างของผู้อื่นออกมา
ท่าไม้ตายนี้ฝากความประทับใจไว้กับฟางหยวน
‘ราชันภูเขาม่วงรู้จักวิธีนี้ได้อย่างไร?’ ฟางหยวนงุนงงเล็กน้อยแต่ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจ
นางมารผลาญสวรรค์เป็นสมาชิกของกองกำลังพันธมิตรผีดิบขณะที่ไห่ลั่วหลันถูกควบคุมโดยนิกายเงา ไม่ใช่เรื่องแปลกหากราชันภูเขาม่วงจะรู้จักวิธีนี้
หากความสำเร็จเพียงพอ พวกเขาจะสามารถเลียนแบบทักษะบนเส้นทางสายอื่น
การเคลื่อนไหวของราชันภูเขาม่วงชัดเจนว่าเป็นวิธีบนเส้นทางแห่งปัญญา มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองและไม่เกี่ยวข้องกับนางมารผลาญสวรรค์
ราชันภูเขาม่วงนำมิติช่องว่างของเขาออกมาและวางมันลงเพื่อดูดซับปราณพิภพ
แต่ถ้ำสวรรค์แห่งนี้มีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะรอดพ้นจากการล่มสลาย แม้มันจะได้รับปราณพิภพกลับคืน แต่มันก็ยังขาดปราณมนุษย์
เห็นวิธีการของราชันภูเขาม่วง ราชันมังกรรู้สึกตกใจเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง
บทที่ 1368 จับกุมเทพปีศาจจิตวิญญาณ
ราชันภูเขาม่วงสูญเสียมิติช่องว่าง เขาสูญเสียรากฐานการบ่มเพาะ โดยปราศจากมิติช่องว่าง อนาคตของเขาจะกลายเป็นหลุมดำ
แต่ลืมอนาคตไปได้เลย กระทั่งตอนนี้เมื่อมิติช่องว่างถูกแยกออกจากร่างของเขา เขาก็สูญเสียพลังงานแห่งเต๋าไปเป็นจำนวนมาก
แม้เขาจะเก็บวิญญาณไว้บนร่างกาย แต่โดยปราศจากความช่วยเหลือจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า พลังอำนาจของพวกมันก็จะตกลงสู่จุดต่ำสุด
แต่เขาไม่มีทางเลือก
หากถูกดูดกลืนปราณสวรรค์ มิติช่องว่างของเขาจะแตกสลยทันที ลมมรณะจะพัดมา ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตราย
ท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสามทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ
มันโจมตีไปที่รากฐานของผู้อมตะโดยตรง กระทั่งราชันภูเขาม่วงที่ยิ่งใหญ่ยังต้องละทิ้งมิติช่องว่างของตนเอง มันเหมือนผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ฝ่ามือเหล็กที่ต้องตัดแขนทั้งสองข้างของตนเองทิ้ง
ฟางหยวนเห็นเหตุการณ์นี้และเต็มไปด้วยความตกใจ
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานมีผู้อมตะระดับเก้าปรากฎขึ้นเพียงไม่กี่คน
ทุกสิ่งที่เกิดข้องกับตัวตนเหล่านี้ล้วนอัศจรรย์
ไม่ว่าจะเป็นมือปีศาจปล้นวิญญาณของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เขตแดนสนามรบกลับชาติมาเกิดของเทพอมตะสวรรค์พิภพ หรือท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสามของเทพอมตะแรกกำเนิด
‘พวกเราทำสิ่งใดได้บ้าง?’ ฟางหยวนคิดหาวิธีพลิกสถานการณ์อย่างหนัก
แต่ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้
ตอนนี้เขาทำได้เพียงรู้สึกยินดี
ยินดีที่ราชันภูเขาม่วงมอบคริสตัลสวรรค์ทั้งหมดให้เขาเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่เขาต่อต้านเทพธิดาจื่อเว่ย เขาก็เริ่มให้อาหารอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแล้ว ตอนนี้เขามีคริสตัลสวรรค์มากมาย แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะกลายเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด มันก็จะไม่อดอาหารตาย
“สมกับเป็นราชันมังกรจริงๆ” ราชันภูเขาม่วงกล่าวชื่นชม
ราชันมังกรทรงพลังเกินไป
เขามีพลังการต่อสู้กึ่งระดับเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับแปดทั่วไป เขาสามารถบดขยี้ตัวตนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย มีเพียงคนเช่นราชันภูเขาม่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับแปดและเป็นหนึ่งในร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่บ่มเพาะมานับแสนปีเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายเขา
แต่หลังจากผ่านไปหลายสิบรอบ ราชันมังกรก็ตระหนักว่าราชันภูเขาม่วงไม่ใช่คู่ต่อสูของเขา ดังนั้นเขาจึงเริ่มใช้ไพ่ตายของตน
ท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสามทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะทำให้ผู้ใช้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงหากถูกตอบโต้
ดังนั้นผู้อมตะจึงต้องระวังตัวอย่างมากในการใช้ท่าไม้ตายอมตะของพวกเขา
เช่นเดียวกับฟางหยวนที่ต้องการเลี้ยงอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดมากกว่าการใช้ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน
“ในการต่อสู้ครั้งนี้ถือว่าข้ากลั่งแกล้งรุ่นน้อง หากเจ้าไม่ใช่คนที่ท้าทายโชคชะตา เราอาจสามารถนั่งลงและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท้ายที่สุดโลกนี้ก็มีคนน้อยเกินไปที่สามารถทำให้ข้ารู้สึกสนใจ”
“อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ โลกทั้งใบจะสว่างไสวและน่าตื่นเต้นขี้นอย่างไม่น่าเชื่อ”
“และข้าจะเป็นผู้เปิดฉากยุคที่ยิ่งใหญ่ด้วยตนเอง!”
ราชันมังกรถอนหายใจขณะไล่ล่าราชันภูเขาม่วง
ราชันภูเขาม่วงต่อสู้และล่าถอย เขาถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์
เขาถูกโจมตีด้วยสองรูปแบบของท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสามไปแล้ว พลังการต่อสู้ของเขาในเวลานี้ลดลงอย่างมาก เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชันมังกรอีกต่อไป
ราชันมังกรโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง
ราชันภูเขาม่วงตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแต่เขายังพยายามสร้างกายาแห่งความฝันต่อไป
เขาไม่มีทางเลือกอื่น
อิงอู๋เซี่ยยังติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน สำหรับผู้อมตะคนอื่นๆ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆโดยไม่สามารถทำสิ่งใด
ฟางหยวนกัดฟันด้วยความหนักใจ
เขามองไปรอบๆสนามรบ วิธีเดียวที่สามารถทำได้ในเวลานี้คือค้นหาจุดอ่อนของศัตรูเพื่อกอบกู้สถานการณ์
อย่างไรก็ตามราชันมังกรทำนายเรื่องนี้ไว้แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนที่เขาส่งออกมาล้วนเป็นตัวตนที่ทรงพลัง
โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงราชันมังกร เพียงเทพธิดาจื่อเว่ยและหอคอยดวงตาสวรรค์ก็ทรงพลังมากแล้ว
ผู้อมตะภาคใต้ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้
‘โอ้ ไม่!’
‘เหตุการณ์นี้ไม่สามารถดำเนินต่อไป’
‘หากราชันภูเขาม่วงแพ้ สถานการณ์จะหันไปทางวังสวรรค์’
‘เมื่อเวลานั้นมาถึง ความหวังของข้าที่จะหลบหนีจะเหลือน้อยเกินไป!’
‘ข้าควรถอยตั้งแต่ตอนนี้หรือไม่?’
‘ข้าควรเดิมพันหรือไม่ว่าวังสวรรค์จะมีวิธีตอบโต้เกราะหวนคืนของข้าหรือไม่?’
ฟางหยวนลังเล
นี่เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ
แต่ในเวลานี้การต่อสู้ระหว่างราชันมังกรกับราชันภูเขาม่วงกลับเกิดจุดพลิกผัน
ทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ลึกลับเปิดออกขณะที่กองทัพอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากภายใน
ราชันภูเขาม่วงใช้อสูรวิญญาณเหล่านี้ป้องกันการโจมตีของราชันมังกรขณะที่เขาล่าถอยเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว
‘แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา!’
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น
ระหว่างการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาถูกย้ายมาที่นี่โดยเทพปีศาจจิตวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีประตูแห่งชีวิตและความตายอยู่ภายใน เทพปีศาจจิตวิญญาณเดินทางผ่านประตูแห่งชีวิตและความตายบานนี้ออกมาเพื่อต่อต้านภัยพิบัติและสร้างวิญญาณทารกอมตะ
หลังจากฟางหยวนฉกชิงร่างทารกอมตะมาจากเทพปีศาจจิตวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาก็ปิดตัวลงและตัดขาดจากโลกภายนอก
ราชันภูเขาม่วงใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาเปลี่ยนอาณาจักรแห่งความฝันเป็นกายาแห่งความฝันอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาที่ติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันได้รับอิสระ
ดังนั้นราชันภูเขาม่วงจึงสามารถเปิดประตูทางเข้าของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และปลดปล่อยอสูรวิญญาณออกมาจากประตูแห่งชีวิตและความตาย
กองทัพอสูรวิญญาณพุ่งเข้าโจมตีราชันมังกร
ท่ามกลางพวกมันมีอสูรวิญญาณระดับสัตว์อสูรเดียวดายมากมาย มันมีกระทั่งอสูรวิญญาณระดับสัตว์อสูรบรรพกาลและสัตว์อสูรแรกกำเนิด
พวกมันโจมตีราชันมังกรโดยไม่สนใจชีวิตของตนเอง
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ราชันภูเขาม่วงประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงา
การปรากฏตัวของกองทัพอสูรวิญญาณไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ราชันภูเขาม่วงเท่านั้น
“ฟางหยวน เจ้ารอสิ่งใดอยู่? เหตุใดไม่ปล่อยอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมา?” ราชันภูเขาม่วงเร่งเร้า
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
นี่เป็นครั้งที่ห้าสิบแล้วที่เขาถาม
ตั้งแต่ราชันภูเขาม่วงถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะดูดกลืนปราณทั้งสาม เขาก็กระตุ้นให้ฟางหยวนใช้ประโยชน์จากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดซึ่งเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขา แม้เขาจะไม่สามารถควบคุม มันก็ยังสามารถสร้างความโกลาหล
แต่ฟางหยวนจะปล่อยมันออกมาตามคำร้องขอของราชันภูเขาม่วงได้อย่างไร?
‘บุกเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาเลย’ ฟางหยวนต้องการให้ราชันมังกรบุกเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาเพราะเขาเชื่อว่าที่นั่นจะเต็มไปด้วยกับดัก
แต่ราชันมังกรกลับหยุดไล่ล่าราชันภูเขาม่วง
นี่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกผิดหวังขณะที่ราชันภูเขาม่วงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ริมฝีปากของราชันมังกรม้วนตัวขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ทันใดนั้นเขาก็พุ่งไปบางแห่งด้วยความเร็วสูง
“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว เทพปีศาจจิตวิญญาณ!” ราชันมังกรตะโกนและใช้กรงเล็บเปิดเส้นทาง
“เขารู้ตัวแล้ว!” ราชันภูเขาม่วงรู้สึกราวกับตกลงไปในแม่น้ำที่เย็นยะเยือก
ท่ามกลางกองทัพอสูรวิญญาณ มีดวงวิญญาณร่างมนุษย์ปรากฏขึ้น เขาไม่ได้หลบเลี่ยงราชันมังกรแต่เผชิญหน้าโดยตรง
“บึม!”
กระทั่งราชันมังกรก็ยังถูกส่งลอยกับหลังขณะที่ดวงวิญญาณร่างมนุษย์ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชันมังกรถ่มน้ำลายออกมาเป็นเลือดแต่เขายังหัวเราะ “เทพปีศาจจิตวิญญาณ เจ้าอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชจริงๆ”
“บัดซบ!” ราชันภูเขาม่วงพุ่งไปข้างหน้า เขาพยายามเป็นกำลังเสริมแต่ใบหน้าของเขากลับแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกเป็นครั้งแรก
เห็นเหตุการณ์นี้ ฟางหยวนเข้าใจทุกสิ่ง
‘นิกายเงาฉลาดแกมโกงจริงๆ’
‘การสร้างกายาแห่งความฝันจำนวนมหาศาลอาจดูเหมือนการสร้างเส้นทางหลบหนีให้กับเทพปีศาจจิตวิญญาณ’
‘แต่ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาก็คือการปล่อยกองทัพอสูรวิญญาณออกมาเพื่อให้เทพปีศาจจิตวิญญาณกลืนกินและเสริมกำลังให้กับตนเอง’
‘เทพปีศาจจิตวิญญาณสามรถกลืนกินดวงวิญญาณ นั่นคือวิธีกู้คืนความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วของเขา หากประสบความสำเร็จ เขาอาจสามารถพลิกสถานการณ์’
แต่ทั้งหมดกลับถูกทำนายไว้ล่วงหน้าโดยราชันมังกร
ราชันมังกรโจมตีเทพปีศาจจิตวิญญาณในสภาพที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นราชันภูเขาม่วงจึงต้องเข้าแทรกแซง
“สายไปแล้ว” ราชันมังกรหัวเราะและใช้กรงเล็บมังกรกวาดผ่านอากาศ
ราชันมังกรพุ่งเข้าโจมตีเทพปีศาจจิตวิญญาณอีกครั้ง
เดิมทีร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณทรงพลังมาก เขาถือเป็นอสูรวิญญาณระดับเก้าที่สามารถใช้วิญญาณอมตะและพลังงานอมตะที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
แต่หลังจากการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน เทพปีศาจจิตวิญญาณเหลือเพียงเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณที่ติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน
ดวงวิญญาณร่างมนุษย์คำรามและป้องกันการโจมตีของราชันมังกร
ดวงตาของราชันมังกรส่องประกายขึ้นด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ “คิดว่าสามารถต่อต้านข้างั้นหรือ?”
“โอ้ เทพปีศาจจิตวิญญาณ หากเจ้ายังเป็นเทพปีศาจระดับเก้า ข้าจะหลีกทางให้เจ้าและจะหลบหนีไปสุดขอบโลก”
“แต่ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณที่เหลืออยู่และยังไม่มีวิญญาณอมตะหรือพลังงานอมตะใดๆ”
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว!”
“ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า ข้ามาที่นี่เพื่อจับตัวเจ้าและกักขังไว้ในวังสวรรค์เพื่อให้คนทั้งโลกตระหนักถึงพลังอำนาจอันเป็นที่สุดของวังสวรรค์!”
ดวงวิญญาณร่างมนุษย์พยายามดิ้นรนขณะที่ราชันภูเขาม่วงโจมตีราชันมังกรราวกับคนบ้า
ราชันมังกรป้องกันการโจมตีของราชันภูเขาม่วงได้อย่างง่ายดายขณะที่เขามองดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณและเย้ยหยัน “ยังดิ้นรนอย่างสิ้นหวังอีกงั้นหรือ?”
“ในอดีตกระทั่งตาแก่เทพปีศาจบัวแดงยังถูกข้าขัดขวาง!”
“เอาล่ะ ยอมจำนนซะ!”
เทพปีศาจจิตวิญญาณไม่สามารถต่อต้านและถูกขังไว้ในกรงอากาศของราชันมังกร
ราชันมังกรสามารถจับกุมเทพปีศาจจิตวิญญาได้จริงๆ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น