พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1359-1364
บทที่ 1359 ทำให้ธงพยัคฆ์ดำสงบ
Ink Stone_Fantasy
แต่ละคนโดนแส้เฆี่ยนครบหมดแล้ว ที่แผ่นหลังเป็นสีแดงเละเทะสะดุดตาน่าตกใจ ผิวหนังและเนื้อฉีกฉาดหมดแล้ว บนกระดูกเต็มไปด้วยรอยแตก สามารถมองเห็นอวัยวะภายในผ่านแผ่นหลังได้เลย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงล้วนโดนเฆี่ยนจนก้นเปลือยออกมาครึ่งหนึ่ง โชคดีที่ยังมีเลือดสดพรางไว้ให้เห็นไม่ชัดเจน เสื้อผ้าท่อนบนของผู้ชายฉีดขาดจนหมดแล้ว ส่วนผู้หญิง…คนที่ลงโทษก็รู้จักบันยะบันยังเช่นกัน ไม่ได้ทำให้ผ้าปิดบังความอับอายด้านหน้าหลุดออกมาหมด
หลังจากนำทั้งสิบสองคนลงมาจากแท่นลงโทษ คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ทั้งสิบสองคนก็งัวเงียฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังสู้การสลบต่อไปไม่ได้ เพราะรสชาติของการฟื้นขึ้นมานั้นทรมานยิ่งกว่า ราวกับปีนกลับมาจากเขตแดนแห่งความตาย แต่ละคนหยิบชุดคลุมมาคลุมไว้บนร่างกายด้วยมือที่สั่นเทา หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งยัดเข้าปากแล้วกลืนลงไป
ในตอนนี้ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำมองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่ต่างออกไปแล้ว การที่สามารถใช้กฏทหารลงโทษผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพต่อหน้าฝูงชนได้ เดิมทีก็ชื่อความหมายถึงบารมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว
หลังจากสิบสองคนนี้โดนลงโทษด้วยแส้แล้ว ก็เหาะขึ้นมาบนฟ้าอีกครั้ง กุมหมัดคารวะขอบคุณในความเมตตาของเหมียวอี้ แต่ละคนสีหน้าไม่มีเลือดฝาดเลย ใบหน้าของสวีถังหรานยังคงบูดเบี้ยว ผ่านไปนานกว่าจะบรรเทา
“จิตใจที่จงรักภักดีของพวกเจ้าสิบคนข้าได้เห็นแล้ว เรื่องถอดอำนาจทางทหารของตัวเองนั้นไม่ต้องหรอก” เหมียวอี้กล่าว
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ผู้บัญชาการทั้งสิบที่ใบหน้าซีดขาวและมีเหงื่อซึมก็เงยหน้าอย่างงุนงง ไม่ถอดอำนาจทางทหารของพวกเราแล้วเหรอ?จากนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็อ่านความหมายในแววตาของอีกฝ่ายออก การพูดแบบนี้ต่อหน้ากำลังพลทุกคนของธงพยัคฆ์ดำ คาดว่าคงจะไม่ปลืนคำพูดของตัวเองแล้ว
กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพได้ยินแล้วก็ยิ่งแปลกใจ โดยเฉพาะลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการทั้งสิบ พวกเขายิ่งดีใจเหนือความคาดหมาย ก็เพราะกลัวว่า ‘เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่จะเปลี่ยนขุนนางใหม่’ ตอนนี้ไม่มีความกังวลนี้แล้ว พวกเขาย่อมโล่งอกมาก ต่างก็แอบรู้สึกว่าการโดนแส้ของผู้บัญชาการทั้งสิบช่างคุ้มค่า
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกอีกว่า “เรื่องที่คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูวางแผนแย่งอำนาจ มีเจตนาเชื่อมโยงกับพวกเจ้าเป็นเรื่องจริงห้ามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เขียนขั้นตอนที่พวกเขาวางแผนยุยงส่งเสริมพวกเจ้าเป็นคำให้การแบบลายลักษณ์อักษร พวกเจ้ามีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”
ทั้งสิบคนลังเลครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เป็นผู้บังคับบัญชาเก่าของพวกเขา คนเพิ่งจะตายไป จะให้เขียนคำให้การเกี่ยวกับทั้งสองเลยก็เหมือนจะไร้คุณธรรมไปหน่อย แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง และจะไม่ตอบตกลงก็เกรงว่าจะไม่ได้ ทั้งสิบบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว อยู่ตรงหน้าทัพกลาง ถ้าใครบังคับออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็จะสามารถเอาชีวิตพวกเขาได้เลย
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อสร้างบารมีต่อหน้าทุกคนแล้ว สร้างอำนาจบารมีของผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ที่ธงพยัคฆ์ดำแล้ว พอใช้กฎทหารแล้ว ถ้าตอนนี้คิดจะปลุกปั่นให้ลูกน้องต่อต้านก็เป็นสิ่งที่ยากมาก ถ้าจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีก ก็คาดว่าคงไม่มีใครฟังคำสั่งของพวกเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา ขวัญกำลังใจของทหารคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“น้อมรับคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสิบแข็งใจเอ่ยรับ
“ไม่ต้องชักชาแล้ส เขียนตอนนี้เลย!” เหมียวอี้ไม่ให้โอกาสพวกเขาถ่วงเวลา ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานเบื้องบนจะถามหาความรับผิดชอบ เขาจะต้องหาคำตอบให้ทันเวลา มีคำให้การของคนทัพกลางมากมายขนาดนี้ ถ้นำคำให้การของผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพมาอีก การตายของคังจือลวี่และเหยาหย่วนชูก็เป็นสิ่งที่สมควรได้รับแล้ว
ผู้บัญชาการทั้งสิบไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงหยิบแผ่นหยกออกมาเขียนท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน บางครั้งก็ถ่ายทอดเสียงปรึกษากัน ย่อมต้องโกหกให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ต้องคัดลอกของตัวเองออกมา
หลังจากผ่านไปสักพัก คำให้การที่ลงนามยืนยันของทั้งสิบก็อยู่ในมือเหมียวอี้หมดแล้ว เหมียวอี้ตรวจอ่านทีละชิ้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีผิดพลาดถึงได้เก็บไว้ สายตากวาดมองทัพใหญ่หนึ่งแสน แล้วบอกว่า “พอข้ามาที่ธงพยัคฆ์ดำ ก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น การปรับปรุงธงพยัคฆ์ดำเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทัพกลางถูกปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ธงอินทรีสิบกองทัพจะละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่นานเกินไปได้ยังไง พวกเจ้าสิบคนรีบเขียนแผนปรับปรุงออกมาให้เร็วที่สุด ต้องปรับปรุงให้เรียนร้อยภายในครึ่งวันนี้!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งฆ่าของทั้งธงพยัคฆ์ดำรวมอยู่ในมือของเหมียวอี้คนเดียวแล้ว ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน ทุกคนทำได้เพียงปฏิบัติตาม
ทัพใหญ่ของธงอินทรีสิบกองทัพตั้งมั่นอยู่นอกค่ายกลป้องกัน พวกเขาแอบวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ ไม่รู้ว่าผลของการปรับปรุงจัดระเบียบจะเป็นอย่างไร
เหมียวอี้นำทัพกลางกลับเข้ามาในค่ายกล ผู้บัญชาการทั้งสิบก็นำกลุ่มลูกน้องคนสนิทของตัวเองเข้ามาในค่ายกลป้องกันเช่นกัน กัดฟันอดทนความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บสาหัสในขณะที่ปรึกษาเรื่องปรับปรุง
เสวี่ยหลิงหลงกับชิงจวี๋มองผู้ชายของตัวเองอย่างปวดใจ อยากจะเข้าไปดูแล แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องมากมายต้องจัดการ สวีถังหรานกับหยางชิ่งยังไม่ว่าง ทำได้เพียงฝืนประคับประคองอาการครึ่งเป็นครึ่งตาย
สวีถังหรานต้องบัญชาการให้ทัพกลางควบคุมและสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ถึงอย่างไรด้านนอกก็มีทัพใหญ่หนึ่งแสนตุนอยู่ โดยมีหยางเจาชิงอยู่ด้วย
ส่วนกลุ่มผู้หญิงที่เป็นสมาชิกในครอบครัวก็ถูกเหมียวอี้เรียกเข้าไปในสวนแห่งหนึ่งที่อยู่ติดภูเขาและแม่น้ำ นั่นคือที่พักชั่วคราวของเหมียวอี้เช่นกัน หยางชิ่งก็อยู่ในนั้นด้วย ต่างก็กำลังรีบตรวจคำให้การที่กำลังพลของทัพกลางเขียนไว้ ของที่คนนับหมื่นเขียนไม่ใช่สิ่งที่คนคนเดียวจะอ่านหมดภายในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกไป๋หลันเจ้าสำนักหกนิ้วและบรรดาผู้อาวุโสมาด้วย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องตรวจดูว่ามีเนื้อหาที่เหมียวอี้ ‘คิดว่าไม่สอดคล้องกับเรื่องจริง’ หรือไม่ อย่าให้ตอนส่งมอบขึ้นไปมีคนเรียงร้องความเป็นธรรมให้พวกคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู
เหมียวอี้ขี้เกียจอ่านแล้ว งานเบ็ดเตล็ดที่กองมั่วกันแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องอ่านผ่านตาด้วยตัวเอง เขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นต้องไปทำ เขาถอดเกราะรบเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้านแล้วลานบ้าน เหยียนซิวยังคงเดินตามหลังเขาโดยไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
เฟยหงนำน้ำชาออกมาวางเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่นหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตอนที่ผู้บัญชาการทั้งสิบมารายงานผลการปฏิบัติงาน เฟยหงก็บังเอิญออกมาพอดี
เมื่อเห็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ในแววตาของผู้บัญชาการทั้งสิบก็ฉายแววทึ่งอัศจรรย์ใจ ทั้งยังแอบส่งสายตาให้กันแล้ว ในใจแอบบอกว่า ไม่แปลกใจที่ทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เพื่อผู้หญิงคนนี้ นางงามเลิศล้ำแบบที่หาพบได้ยากจริงๆ วีรุบุรษยากจะผ่านด่านหญิงงาม
ผู้บัญชาการทั้งสิบมาพบเหมียวอี้ ก็แสดงว่าทำแผนปรับปรุงออกมาแล้ว ทั้งสิบขอโยกย้ายตำแหน่งเอง ไม่พาทหารเล็กๆ ไปด้วย ธงอินทรีสิบกองทัพบัญชาการกันและกัน นับว่าเป็นการยื่นหมูยื่นแมว แสดงความจริงใจที่เหมียวอี้ไม่ถอดพวกเขาออกจากตำแหน่ง สาเหตุรองก็เพราะอยากจะรักษาตำแหน่งของลูกน้องไว้
เหมียวอี้แสดงออกว่าเห็นด้วย และเข้าใจเช่นกันว่าพวกเขาอยากจะปกป้องความรู้สึกของลูกน้อง แต่ก็ไม่ได้พอใจอะไรนัก เพราะไม่บรรลุผลการปรับปรุงอย่างที่เขาต้องการ เขาต้องการให้ปรับปรุงอย่างเต็มที่ นอกจากจะให้ผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันแล้ว เขายังต้องการให้สลายโครงสร้างสมาชิกของธงอินทรีสิบกองทัพในปัจจุบันด้วย ล้างและจัดกลุ่มกำลังพลหนึ่งแสนใหม่ ต้องการทำให้เครือข่ายลูกน้องเก่าทั้งข้างบนข้างล่างวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็ต้องการย้ายกำลังพลส่วนหนึ่งของธงอินทรีสิบกองทัพมาที่ทัพกลางด้วย แล้วค่อยย้ายกำลังพลส่วนหนึ่งของทัพกลางไปที่ธงอินทรีสิบกองทัพ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้อยากได้
เหมียวอี้เรียกหยางชิ่งกับสวีถังหรานมา ให้ทั้งสองรวมทั้งผู้บัญชาการทั้งสิบรับผิดชอบเรื่องนี้ สวีถังหรานกับหยางชิ่งเป็นตัวแทนควบคุมแทนเขา
สาเหตุที่ให้สวีถังหรานเข้าร่วมด้วย ก็เป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทัพกลาง หยางชิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะหยางชิ่งเป็นคนรอบคอบและมีสติปัญญาสูงในเรื่องรายละเอียดด้านนี้ เหมียวอี้ยอมรับว่าตัวเองสู้หยางชิ่งไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรับผิดชอบทิศทางใหญ่ๆ ก็พอ
ทว่าการผสมและจัดคนใหม่ของทัพใหญ่หนึ่งแสนไม่ใช่เรื่องเล็ก การศึกษารายชื่อก็คือเรื่องที่สิ้นเปลืองความพลังความคิดมาก ไม่มีทางจัดการให้เรียบร้อยได้ภายในเวลาอันสั้นแน่นอน เหมียวอี้ตอบตกลงที่จะให้ขยายเวลาออกไป เพียงแต่จะลำบากทั้งสิบสองคนที่โดนการลงโทษ
เหมียวอี้ไม่ลำบาก ผ่านเหตุการณ์ที่หวาดเสียวมา สถานการณ์เริ่มสงบมั่นคงทีละนิด ภายนอกของเขาไม่มีใครดูออก หัวใจที่ตึงเครียดกลับต้องได้รับการผ่อนคลายอย่างเร่งด่วน คนอื่นเห็นเพียงความเด็ดเดี่ยวที่เขาตัดสินใจฆ่า แต่ใครจะรู้ว่าในใจของเขาแบกรับความกดดันไว้มากขนาดไหน ในเวลานี้ย่อมขาดสาวงามคอยปรนนิบัติไม่ได้ ดังนั้นเฟยหงส่งเสียงร้องอุทานออดอ้อน ถูกขาอุ้มเข้าใปในห้องนอนแล้ว ต้องอาศัยให้สาวงามคนนี้ช่วยผ่อนคลายให้…
กลุ่มผู้หญิงในครอบครัวกับพวกเจ้าสำนักไป๋จุดตะเกียงอ่านงานตอนกลางคืน ตรวจคำให้การที่วางเป็นกองต่อไป
หลังเที่ยงคืน ที่นอกค่ายกลป้องกัน คนมากมายกำลังเคลื่อนไหว ท่ามกลางแผ่นหยกรายชื่อที่แบ่งใหม่แผ่นแล้วแผ่นเล่า เสียงเรียกชื่อแบ่งสรรกำลังคนใหม่ดังทั้งคืน
หลังจากแบ่งสรรกำลังคนเสร็จแล้ว แต่ละฝ่ายก็เริ่มทำความรู้จักมักคุ้นกับกำลังพลใหม่ของตัวเอง ปัจจัยวัตถุสิ่งของของแต่ละธงก็ถูกแบ่งใหม่ไม่น้อยเช่นกัน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน
เร่งทำอย่างรวดเร็ว ตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงในวันถัดมา ในที่สุดกำลังพลของทั้งธงพยัคฆ์ดำก็ถูกปรับปรุงใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
รอจนกระทั่งพวกหยางชิ่งกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานทางนี้ ก็ไม่เจอเหมียวแล้ว ทุกคนถูกเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ตรงประตูกันไว้ ไม่ให้ใครรบกวนการพักผ่อนของผู้บัญชาการใหญ่
แต่ความเคลื่อนไหวนี้ก็ปลุกให้เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องตื่นขึ้นมาแล้ว เสียงที่เกียจคร้านดังออกมาจากในห้อง “ปรับปรุงเสร็จหมดแล้วเหรอ?”
สวีถังหรานที่ใบหน้าซีดขาวดูเหนื่อยล้ากุมหมัดคารวะรายงานแทนทุกคน “ปรับปรุงเสร็จหมดแล้วขอรับ เชิญผู้บัญชาการใหญ่ชี้แนะ”
เสียงของเหมียวอี้ดังมาว่า “ธงอินทรีสิบกองทัพละทิ้งการปฏิบัติมานานเกินไปแล้ว เคลื่อนกำลังพลเดี๋ยวนี้ ต่างคนต่างกลับไปประจำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าใครทำให้ชักช้าเสียงาน ก็ถือหัวมันมาให้ข้า ไปเถอะ!”
“รับทราบ!” พวกหวังลี่คุนที่โล่งอกแล้วกุมหมัดรับคำสั่ง แล้วออกไปจากที่นี่ทันที
บนเตียงในห้องนอน เหมียวอี้ที่ฟื้นฟูอารมณ์ได้แล้วเปิดผ้าห่มออกอย่างช้าๆ อีกครั้ง พอเห็นยอดหญิงงามนอนเปลือยกายอยู่ข้างๆ ก็ใช้มือข้างหนึ่งจับเอวขาวบางของนางดันขึ้นมา แล้วคว้าภูเขาหิมะที่อิ่มเอิบและเด้งจนน่าทึ่งมาย่ำยี…
กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพจากไปอย่างราบรื่น สำนักหกนิ้วรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รู้สึกเหมือนรอดชีวิตจากความตาย เทพแห่งภูผาทั้งสองและเทพคงคาทั้งสองยืนถอดถอนใจอยู่บนภูเขาเล็กๆ ไม่หยุด เหตุการณ์พลิกผันอันน่าหวาดเสียวที่เกิดขึ้นในระหว่างหนึ่งวันนี้ทำให้คนเครียดจริงๆ ต่อให้เป็นแค่คนที่มองดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็ตกใจไม่เบาเหมือนกัน
สวีถังหรานไม่วางใจ ดึงกำลังพลส่วนหนึ่งมาจากทัพกลาง ให้กระจายตัวกันอยู่นอกค่ายกล เตรียมป้องกันตั้งแต่อยู่ไกลๆ หลังจากวางกำลังทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เดินโซเซกลับมาพักผ่อน
พอกลับมาถึงห้องของตัวเอง ก็นอนคว่ำลงบนเตียงแล้วร้อง “ไอ๊หยาๆๆ” ทันที เม็ดเหงื่อที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ข่มไว้ก่อนหน้านี้เริ่มผุดไหลอกมาแล้ว
เสวี่ยหลิงหลงรีบเรียกสามใช้สองคนมาเป็นผู้ช่วย แล้วฉีกเสื้อที่โดนเลือดเกาะจนแข็งติดหลังสวีถังหรานอย่างระมัดระวัง สวีถังหรานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วแยกเขี้ยวยิงฟันบอกเสียงสั่นว่า “ฮูหยิน เบาๆ หน่อย เบาๆ…”
จนกระทั่งได้เห็นสภาพยับเยินบนแผ่นหลังของเขาชัดเจน สาวใช้ทั้งสองก็ทนมองตรงๆ ไม่ได้ เสวี่ยหลิงหลงเอามือปิดปาก น้ำตาเอ่อล้นดวงตาออกมาทันที
สวีถังหรานเจ็บจนพูดไม่ออก โบกมือบอกใบ้ให้ใส่ยา
รอจนกระทั่งเสวี่ยหลิงหลงหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาเป่าหมอกดาวปลอบประโลมตรงบาดแผล ความรู้สึกเย็นสบายถึงได้ค่อยๆ ข่มความเจ็บปวดทรมานของสวีถังหรานไว้ ทำให้สวีถังหรานรู้สึกผ่อนคลายจนครางออกมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ สวีถังหรานที่อาการบรรเทาถอนหายใจออกมาช้าๆ คิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกแล้ว เขาได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นข้างหลัง พอหันไปเจอเสวี่ยหลิงหลงที่ปาดน้ำตาไม่หยุด ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ร้องไห้ทำไม ไม่เสียการเสียงานหรอก เจ็บปวดผิวหนังนิดหน่อยเท่านั้น”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวเสียงสะอื้นว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มีจิตใจที่โหดร้ายจริงๆ!”
สวีถังหรานนอนหมอบถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ก็จะโทษว่าผู้บัญชาการใหญ่จิตใจโหดหี้ยมไม่ได้เช่นกัน สถานการณ์ตอนนั้นเร่งด่วนขนาดไหน ขนาดข้ายังตกใจจนเข่าอ่อน ตอนนี้พอเห็นภาพรวมหมดแล้ว กลับมาย้อนคิดดูถึงได้เข้าใจ ว่าข้ากับหยางชิ่งแทบจะทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ทำงานใหญ่พัง ทำเสียเรื่องแล้วจริงๆ ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึงเลย ถ้ากองทัพวุ่นวายแล้วโจมตีเข้ามา พวกเราสองสามีภรรยาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกเหรอ เมื่อเทียบกันแล้ว ความเจ็บปวดทางกายเนื้อนี้จะสำคัญอะไรล่ะ? ผู้บัญชาการใหญ่น่ะ จู่ๆๆๆ ประหารคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูต่อหน้าฝูงชน ฆ่าเผย อู๋ เหิงเพื่อสยบความวุ่นวายของทัพกลาง แล้วก็ปล่อยข่าวลืออีก นำทัพกลางหมื่นคนไปสยบธงอินทรีสิบกองทัพแสนคนด้วยตัวเอง ใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนก็ควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ราบคาบ! เรียกได้ว่ารับมือกับวิกฤตได้อย่างเด็ดขาดด้วยวิธีการที่รวดเร็วปานฟ้าผ่า การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องกันช่างเกรียงไกรห้าวหาญจริงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ช่างเด็ดเดี่ยว! ข้าสวีถังหรานทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยนับถือใครมาก่อนเลย ครั้งนี้ผู้บัญชาการใหญ่ทำให้ข้าหมอบกราบนับถือแล้วจริงๆ การโดนแส้เฆี่ยนครั้งนี้ช่างคุ้มค่า! เหอะๆ ผู้บัญชาการทัพกลาง…”
บทที่ 1360 รายงานกองมังกรดำ
Ink Stone_Fantasy
“แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ยังมาคิดถึงตำแหน่งขุนนางอีก!” เสวี่ยหลิงหลงทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางยื่นมือไปบิดขาเขาอย่างแรง
ถ้าเป็นในปีนั้นที่นางยังอยู่ที่หอกลิ่นสวรรค์ นางก็ไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน แต่ตอนนี้เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีแล้ว ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ ด้วย
สวีถังหรานแยกเขี้ยวยิงฟัน กล่าวขอร้องว่า “โถ่ฮูหยิน ข้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังทำร้ายข้าแบบนี้ได้ยังไง”
เสวี่ยหลิงหลงหัวเราะทั้งน้ำตา ปล่อยมือออกจากเขา แล้วเป่าหมอกดาวเยียวยาต่อไป…
ส่วนอีกห้องหนึ่ง ชิงจวี๋ก็ปาดน้ำตาเช่นกัน กำลังรักษาบาดแผลให้หยางชิ่งที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงเช่นกัน นางกำลังบ่นเหมียวอี้ด้วยความคับแค้น “ผู้บัญชาการใหญ่ใช้วิธีการรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงไตรีเลยสักนิด ต่อให้ไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า แต่จะไม่เห็นแก่หน้าคุณหนูเชียวเหรอ? เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนแบบนี้ ตอนนี้ทำไมเปลี่ยนเป็นไม่รู้จักญาติมิตรแบบนี้”
หยางชิ่งที่นอนหมอบถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า แต่คนเราเมื่อเดินขึ้นมาถึงระดับหนึ่งแล้ว ไมตรีก็ต้องหลีกทางให้สถานการณ์โดยรวมอย่างไม่รู้ตัว นี่ก็คือความจนใจของคนที่อยู่ระดับบน ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจไมตรีและดันทุรังห้ามข้าที่อวดฉลาด เรื่องทำให้ธงพยัคฆ์ดำสงบลงก็คงไม้ราบรื่นขนาดนี้ ดีไม่ดีผลที่ตามมาอาจจะเลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึงก็ได้ การโดนแส้เฆี่ยนครั้งนี้ข้าไม่มีอะไรจะบ่นเลย”
“นายท่านด่าตัวเองว่าอวดฉลาดได้ยังไง ถ้าพูดถึงสติปัญญาความฉลาด ผู้บัญชาการใหญ่อาจจะเทียบนายท่านไม่ติดด้วยซ้ำ” ชิงจวี๋กล่าวอยากทุกข์ใจ
หยางชิ่งส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ก่อนหน้านั้นข้าก็คิดไปเองแบบนี้ แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์พลิกผันครั้งนี้ ข้าก็ต้องยอมรับว่ากับเรื่องบางอย่าง ข้าก็เทียบเขาไม่ติดจริงๆ ในเหตุการณ์ไม่คาดคิดของธงพยัคฆ์ดำครั้งนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นให้ข้าคุมสถานการณ์โดยรวม ข้าก็ทำได้ไม่ดีเท่าเขาหรอก ชิงจวี๋ เจ้าก็รู้จักข้าดี เรื่องเมื่อวานนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้ว ถ้าเปลี่ยนให้คนเมื่อวานเป็นข้า ข้าจะจัดการได้เด็ดขาดอย่างเขามั้ย? ข้าจะมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญได้แบบเขาเหรอ? ข้ารู้จักนิสัยของข้าดี ต่อให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอีกครั้ง ข้าก็จะไม่เสี่ยงอันตรายอย่างเขาแน่ พลังเด็ดเดี่ยวที่อยู่บนตัวเขาคือสิ่งที่ข้าไม่มี วิธีการจัดการปัญหาที่ต่อเนื่องของเขา ขนาดข้าเห็นแล้วยังทอดถอนใจที่สู้ไม่ได้เลย”
ชิงจวี๋เอามือเช็ดน้ำตา ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “ข้าว่าเขาก็แค่บุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ ปล่อยคนของธงอินทรีสิบกองทัพไปอย่างนั้น แก้ไขรายชื่อแล้วยังไงล่ะ เดี๋ยวต่อไปพวกเขาก็หาคนประสานงานให้แล้วกลับมาได้อยู่ดี ถ้าพวกเขาหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งจะทำยังไงเจ้าคะ?
หยางชิ่งถอนหายใจ “ธงพยัคฆ์ดำเป็นเพียงหน่วยงานเล็กๆ ที่อยู่ใต้สังกัดขององครักษ์ฝ่ายซ้าย ไม่ใช่เจ้าอาณาเขตที่ยึดครองเขตแดนอะไร เบื้องบนยังมีบีบเอาไว้อีกหลายชั้น สาเหตุที่พวกเขาก่อเรื่องตามคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เพื่อจะปกป้องชีวิตตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้ทุกคนล้วนรักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ได้แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ก็บรรลุเป้าหมายแล้วเช่นกัน พวกเขาจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้ยังไง? ผู้บัญชาการสิบกองทัพเขียนคำให้การความผิดของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูต่อหน้าฝูงชนแล้ว เท่ากับประกาศต่อหน้าทุกคนแล้วว่าถวายความจงรักภักดีต่อผู้บัญชาการใหญ่ อีกทั้งผู้บัญชาการใหญ่ยังให้โดนเฆี่ยนแส้เป็นรางวัลอีก ทำลายแรงเชื่อมที่ผู้บัญชาการทั้งสิบสามารถใช้เรียกรวมกำลังพลให้หายไปหมดแล้ว ต่อไปนี้สนใจแต่งานที่อยู่ในมือตัวเองก็พอ ถ้าอยากจะต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่อีก ก็จะไม่มีใครฟังพวกเขาอยู่ดี ทุกคนล้วนได้เห็นอิทธิพลที่ผู้บัญชาการใหญ่มีต่อธงอินทรีสิบกองทัพแล้ว นี่ก็คือชื่อเสียงบารมีที่ผู้บัญชาการใหญ่ใช้บัญชาการธงพยัคฆ์ดำ ในจิตใจของทหารในกองทัพ ในธงพยัคฆ์ดำไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของผู้บัญชาการใหญ่ได้ ถ้าผู้บัญชาการทั้งสิบมีใจคิดไม่ซื่ออีก ก็เท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ขอเพียงเรียกรวมกำลังพล ก็จะมีคนรายงานความผิดเพื่อสร้างผลงานแน่นอน”
“เพราะอะไรคะ?” ชิงจวี๋แปลกใจ
หยางชิ่งอธิบายว่า “สาเหตุไม่ซับซ้อนเลย ผ่านพิธีรับเขาครั้งนี้แล้ว ขนาดผู้บัญชาการใหญ่เพิ่งมาใหม่ยังไม่ทันยืนได้มั่นคง พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้บัญชาการใหญ่เลย หลังจากผู้บัญชาการใหญ่ยืนอย่างมั่นคงแล้ว กำลังพลเบื้องล่างไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะยังสู้ผู้บัญชาการใหญ่ใหญ่ได้ กอปรกับผู้บัญชาการใหญ่มีความชอบธรรมในตำแหน่ง ในมือมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนมากกว่าผู้บัญชาการทั้งสิบ ใจคนจะเอนเอียงไปทางไหนก็เลือกได้ง่ายมาก แน่นอน ตอนแรกผู้บัญชาการใหญ่ก็คิดจะกำจัดพวกเขาทิ้งเหมือนกัน เพียงแต่สถานการณ์พลิกผลัน ผู้บัญชาการใหญ่ถึงได้เปลี่ยนแผน ถึงอย่างไรฝ่ายนี้ก็มีคนไม่เยอะ ถ้าฆ่าพวกเขาทิ้งก็จะได้คนที่ไม่คุ้นเคยมานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการทั้งสิบอยู่ดี แบบนี้ถึงได้เปลี่ยนจากการ ‘ฆ่า’ เป็นการ ‘ตี’ ไง ที่เฆี่ยนพวกเราต่อหน้าฝูงชนก็เพื่อสร้างบารมี ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้ก็คือจุดที่ร้ายกาจของผู้บัญชาการใหญ่”
ชิงจวี๋ทำท่าครุ่นคิด แต่ปากก็ยังพูดแสดงความโมโหที่เหมียวอี้ออกคำสั่งลงโทษหยางชิ่ง นางพ่นเสียงทางจมูก “เดี๋ยวกลับไปข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับคุณหนูยังไงล่ะเจ้าคะ”
พอได้ยินคำถาม หยางชิ่งก็รู้สึกขื่นขมในใจ เหมียวอี้เดินมาถึงทุกวันนี้ได้ มีหรือที่จะปล่อยให้อนุภรรยาคนหนึ่งควบคุม ถ้าเขาไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้ ฉินเวยเวยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอนุภรรยาคนอื่นๆ ของเหมียวอี้เลย เกรงว่าจุดจบจะต้องอ้างว้าง
“เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยกับเวยเวยแล้ว ข้า…” หยางชิ่งอึกอักอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เกรงว่าจะปิดบังไม่ไหวแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังไปถึงข้างนอก เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่จะเกิดแพร่ออกไปแน่นอน ต่อให้พวกเราไม่บอกเวยเวย ในบรรดาอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็จะต้องมีคนถือโอกาสนี้ปลุกปั่นบอกเวยเวยแน่นอน หลังจากเวยเวยรู้เรื่องก็จะต้องมายืนยันกับข้าแน่ เจ้าจำไว้นะ อย่าให้นางทะเลาะกับผู้บัญชาการใหญ่เพราะเรื่องนี้เด็ดขาด ในใจผู้บัญชาการใหญ่ยังเห็นอกเห็นใจนางอยู่บ้าง ถ้าไปทำลายความรู้สึกระหว่างนางกับผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร อนุภรรยาคนอื่นๆ อาจจะดีใจที่ได้เห็นด้วยซ้ำ เจ้าต้องบอกเวยเวยนะ ว่านี่เป็นการแสดงระหว่างข้ากับเหมียวอี้ บอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วอีกอย่าง ถ้าใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับนาง ก็ให้นางเปิดเผยให้ฮูหยินอวิ๋นจือชิวรู้สักหน่อย อวิ๋นจือชิวเป็นคนที่มีแผนการในใจ หลายปีมานี้จกาที่ข้าสังเกตนางที่ตลาดสวรรค์ ตำแหน่งในหัวใจของผู้บัยชาการใหญ่ ตอนนี้ยังไม่มีใครแทนที่นางได้ อย่าไปมองว่าตอนอยู่ข้างนอกผู้บัญชาการใหญ่สังหารได้อย่างเด็ดเดี่ยว การที่อวิ๋นจือชิวสามารถขังจูเก๋อชิงได้หลายปีขนาดนี้แต่ผู้บัญชาการใหญ่ไม่กล้าเถียง แค่จุดเดียวก็มองเห็นภาพรวมแล้ว เจ้าเข้าใจมั้ย?”
ชิงจวี๋ได้ยินแล้วถามเสียงสั่น “นายท่าน ท่านกำลังหมายความว่า คุณหนูต้องแย่งชิงความโปรดปรานกับอนุภรรยาคนอื่นเหรอเจ้าคะ?”
“เฮ้อ!” หยางชิ่งบอกว่า “ในเมื่อตอนแรกเกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ นางดึงดันจะเดินเส้นทางนี้ เช่นนั้นนางก็ต้องเผชิญหน้า นี่คือเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ยังไม่เดินไปถึงตำแหน่งนั้นก็ยังดีหน่อย ยังไม่ปะทุขึ้นมา ถ้าผู้บัญชาการใหญ่เดินไปสูงถึงระดับหนึ่งจริงๆ ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องเกิดเรื่องขึ้น ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ สิง่ที่แย่งชิงกันไม่ได้มีแค่ความโปรดปรานเท่านั้น เรื่องบางเรื่องข้าไม่สะดวกจะบอกนาง แต่เจ้าต้องหาทางทำให้นางเข้าใจให้ได้ การที่อวิ๋นจือชิวว่านางต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่เพียงประโยคเดียว ก็เท่ากับคนอื่นว่านางต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่ร้อยประโยค ตอนนี้อย่าคิดจะทำตัวโดดเด่นแข่งกับอวิ๋นจือชิว แต่ต้องหาทางสร้างสัมพันธ์อันดีกับอวิ๋นจือชิวให้ได้ ตอนนี้ต้องให้อวิ๋นจือชิวคอยข่มอนุภรรยาคนอื่นๆ ไว้…” ประโยคสุดท้ายเขาเหมือนจะพึมพำกับตัวเอง
ชิงจวี๋เข้าใจแล้ว นางพยักหน้าเบาๆ เพียงแต่บนใบหน้ายังคงมีรสชาติขื่นขม ตอนนั้นนายท่านกับพี่สาวล้วนไม่เห็นด้วยที่จะให้เวยเวยแต่งงานกับเหมียวอี้ แต่ตัวเองกลับเห็นด้วย พอมาดูตอนนี้แล้ว การที่เวยเวยแต่งงานกับเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ….
จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นตรงบนศีรษะ เหมียวอี้ถึงได้เดินออกมาจากห้องนอนของเฟยหง
เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ด้านนอกถอยหลบไปด้านข้าง เฟยหงที่ทำเรื่องเหลวไหลทั้งคืนจนถึงตอนนี้แก้มแดงสองข้าง นางดูเก้อเขินเล็กน้อย แอบบ่นเหยียนซิวในใจว่าเป็นบ้าอะไรของเขา ทุกครั้งที่นางกับเหมียวอี้ทำเรื่องเหลวไหลอยู่ในห้องด้วยกัน เหยียนซิวก็จะเฝ้าอยู่นอกประตูตลอด เวลาทำเรื่องเหลวไหลนางมักจะหลุดร้องออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ถ้าให้คนอื่นได้ยินจะน่าอับอายขนาดไหน
แต่เหยียนซิวก็ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่แยแสกับสิ่งนี้เช่นกัน
เหมียวอี้ถามว่า “ทางโถงหลังตรวจสอบคำรับสารภาพหมดหรือแล้วหรือยัง?” เหยียนซิวตอบว่า “ฝ่ายนั้นแจ้งมาแล้วว ว่าตรวจสอบหมดแล้ว ของทั้งหมดอยู่ที่ไห่ผิงซิน”
เหมียวอี้ถึงได้ทิ้งเฟยหงแล้วเดินก้าวยาวออกไป ขณะที่เหยียนซิวกำลังจะตามไป จู่ๆ ก็ได้ยินเฟยหงเรียกเสียงต่ำว่า “เหยียนซิว”
เหยียนซิวหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา ถามว่า “หรูฮูหยินมีธุระอะไรหรือขอรับ?”
“เหยียนซิว ต่อไปเวลาข้ากับนายท่านพักผ่อน การที่เจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอกนั้นไม่เหมาะสม” เฟยหงกัดฟันพูด
เหยียนซิวมองนางแวบหนึ่ง รู้ว่าหมายความว่าอะไร ทว่าอวิ๋นจือชิวสั่งเอาไว้แล้ว อวิ๋นจือชิวฝากฝังความปลอดภัยของเหมียวอี้ไว้กับเขาอย่างเต็มที่ อวิ๋นจือชิวบอกเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าต่อให้เป็นอวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้เข้าห้องอยู่ด้วยกัน เขาก็ต้องคอยคุ้มกันเหมียวอี้อยู่ด้านนอก อวิ๋นจือชิวไม่สนใจว่าเขาจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่น่าอับอายอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนจะมาที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งกำชับเหยียนซิว เวลาที่คนเราอยู่ในอารมณ์ลืมตัว ยามมีอันตรายมาเยือนจะตอบสนองช้าที่สุด
ที่จริงตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่ชินเหมือนกัน แต่พอได้ยินว่าเป็นคำสั่งของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ขอรับ!” เหยียนซิวพยักหน้าเอ่ยรับ ขี้คร้านจะพูดอะไรมาก รีบสาวเท้าเดินตามรอยก้าวของเหมียวอี้ไป ปากก็ตอบตกลงไปแล้ว ในภายหลังถ้าควรจะเฝ้าเขาก็ยังจะเฝ้าเหมือนเดิม จะเชื่อฟังเฟยหงหรือจะเชื่อฟังฮูหยิน ยังต้องเลือกอีกเหรอ?
จากนั้นเฟยหงก็ตามออกไปด้วยเช่นกัน
หลังจากนำของมาจากไห่ผิงซินแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกเจ้าสำนักไป๋หลันของสำนักหกนิ้วมาประชุมกันอีก
ดังนั้น ศิษย์ของสำนักหกนิ้วจึงถอนกำลังออกจากค่ายกลป้องกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้ให้คนบุคคลระดับสูงของสำนักหกนิ้วอย่างไป๋หลันและคนอื่นๆ ออกไปด้วย ยังเหลือศิษย์จำนวนหนึ่งเอาไว้ซ่อมแซมตำหนักบนยอดเขาใหม่ ความจริงก็โหดร้ายอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ถ้าจะให้คนสองกลุ่มอยู่ในสถานที่เดียวกันก็จะแออัดไปหน่อย ตอนนี้ในทัพกลางยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องนั่งสมาธิฝึกตนในป่า ขุดถ้ำอยู่ไปทั่ว ถ้าใช้วัสดุก่อสร้างซี้ซั้วจนเกิดความเสียหายก็จะไม่เหมาะสม ผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้จะต้องวางแผนหาที่พักให้ลูกน้อง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้จะอยู่ที่นี่แค่วันสองวัน กอปรกับถ้าในกองทัพมีคนนอกเยอะเกินไป ก็จะมีข่าวหลุดไปได้ง่าย จึงทำได้เพียงให้สำนักหกนิ้วได้รับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อย
แต่เขาก็ไม่ปฏิบัติกับสำนักหกนิ้วอย่างขาดความยุติธรรม เหมียวอี้ติดต่อฝูชิงที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ต่อหน้าไป๋หลัน พร้อมรับปากว่าจะช่วยให้สำนักหกนิ้วซื้อร้านค้าในราคาต่ำ
สิ่งนี้ทำให้บุคคลระดับสูงของสำนักหกนิ้วดีใจแทบแย่ ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อได้ ที่สำคัญคือขาดแคลนแหล่งสินค้า ทุกคนล้วนอยากได้ ตอนนี้เหมียวอี้ช่วยสำนักหกนิ้วให้ผ่านด่านสำคัญไปแล้ว นับว่าได้ทำตามสัญญาแล้วเช่นกัน แต่เหมียวอี้ก็สั่งให้พวกเขารักษาความลับ เขามีเรื่องกับคนอื่นไว้เยอะเกินไป ไม่อยากสร้างปัญหาให้สำนักหกนิ้ว
เมื่อได้หนังสือที่เหมียวอี้เขียนเอง ไป๋หลันก็นำบรรดาผู้อาวุโสออกไปอย่างตื่นเต้นดีใจ กำลังนึกว่าสำนักลมปราณอันโด่งดังที่ตลาดสวรรค์ก็ได้ร้านแล้วผงาดขึ้นมาทันทีเลย จากนั้นไป๋หลันก็สั่งให้ผู้อาวุโสสองคนพกเงินและถือหนังสือที่เหมียวอี้เขียนไปพบฝูชิงที่ตลาดสวรรค์ด้วยตัวเอง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าส่งให้ลูกน้องไปจัดการนางก็ไม่วางใจ
ส่วนเหมียวอี้ก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ไปให้กองมังกรดำอย่างเป็นทางการ
กองมังกรดำได้ยินแล้วตกตะลึง เนื่องจากไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก
ถ้าฝั่งเหมียวอี้จัดการลูกน้องไม่ได้ ก็ไม่มีทางที่จะเอ่ยปากกับเบื้องบน แบบนั้นเสียหน้าเกินไป คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูต้องการจะเล่นไม่ซื่อ จึงยังไม่ได้รายงานเบื้องบนเหมือนกัน ที่สำคัญคือหลังจากจบเรื่อง เหมียวอี้ก็ฆ่าคนที่สามารถติดต่อกับเบื้องบนทิ้งหมดได้ทิ้งหมดแล้ว ส่วนผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพที่ก่อเรื่องจนกลายเป็นแบบนั้น ก็ไม่มีหน้าจะไประบายความในใจกับเบื้องบนเช่นกัน บวกกับเรื่องนี้เกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้นจริงๆ
แน่นอน ลูกน้องจำนวนหนึ่งของกองมังกรดำก็ได้ยินข่าวความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรลูกน้องของธงพยัคฆ์ดำกับลูกน้องของฝ่ายนี้ก็มีการส่งข่าวไปมาหากัน เพียงแต่ยังไม่ถึงหูของเบื้องบนก็เท่านั้นเอง พวกลูกน้องยังนึกว่าเบื้องบนรู้แล้วเสียอีก
ที่จริงเหมียวอี้ถ่วงเวลาอีกหน่อยแล้วค่อยรายงานก็สิ้นเรื่องแล้ว
เนี่ยอู๋เซี่ยวแม่ทัพภาคของกองมังกรดำตะโกนเรียกรองแม่ทัพภาคโป๋เยวมาถามสถานการณ์ ปรากฏว่าพอถามแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย กำลังพลเบื้องล่างสูญเสียการควบคุมแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้ โป๋เยวจึงโดนเนี่ยอู๋เซี่ยด่ายับทันที
ผ่านไปไม่นาน เนี่ยอู๋เซี่ยวก็มาด้วยตัวเอง ไม่มาคงไม่ได้ ธงพยัคฆ์ดำใต้สังกัดคือเป้าหมายที่อวี่จ้งเจินหัวหน้าภาคทัพเป่ยโต้วเน้นจับตามอง โป๋เยวที่รับผิดชอบธงพยัคฆ์ดำย่อมโชคดีรอดพ้นได้ยาก จะต้องมาดูแน่นอนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในคืนนั้น ทั้งสองนำผู้ติดตามมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วเรียกเหมียวอี้ไปถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟัง ผลักความผิดไปให้ผีที่ตายไปแล้วทั้งหมด แล้วค่อยนำคำรับสารภาพเป็นกองผลักไปตรงหน้าผู้บังคับบัญชา
คำรับสารภาพนับหมื่น จะอ่านรวดเดียวจบได้อย่างไร อ่านแค่ส่วนเล็กๆ ก็พอแล้ว พวกเขาไม่ใช่แค่อ่านอย่างเดียว ยังติดต่อกำลังพลเบื้องล่างของธงพยัคฆ์ดำมาสอบถามสถานการณ์ด้วย พอทราบว่าเหมียวอี้ใช้เวลาสองวันก็สามารถทำให้ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำสงบได้อย่างราบคาบ เนี่ยอู๋เซี่ยวกับโป๋เยวก็พูดไม่ออกมาก
เบื้องบนทำแบบนี้ การที่ธงพยัคฆ์ดำจะเกิดเรื่องก็เป็นสิ่งที่เนี่ยอู๋เซี่ยวกับโป๋เยวคาดคิดไว้แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเร็วขนาดนี้ ทั้งยังแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วด้วย โป๋เยวไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก แต่เนี่ยอู๋เซี่ยวกลับรู้อยู่แก่ใจ ต่างก็รู้ว่าหลังจากรายงานเรื่องนี้ไปที่ทัพเป่ยโต้วแล้ว นายท่านหัวหน้าภาคจะมีปฏิกิริยาอะไร คาดว่าคงจะทำใจเชื่อได้ยาก ดีไม่ดีอาจจะมายืนยันความจริงด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
บทที่ 1361 แนะนำคน
Ink Stone_Fantasy
“นายท่าน ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่เอง”
สำนักหกนิ้ว ที่พักที่จัดหาให้แม่ทัพภาคชั่วคราว ในห้องหนังสือห้องหนึ่ง โป๋เยวนำรายงานสถานการณ์โดยละเอียดของธงพยัคฆ์ดำที่เก็บรวบรวมได้มอบให้ พร้อมทั้งกล่าวตำหนิตัวเอง
เนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือรับแผ่นหยกมาอ่าน แล้วบอกว่า “เรื่องนี้ก็โทษเจ้าไม่ได้หรอก ทั้งสองฝ่ายต่างก็สู้กันเองภายในอย่างมีเจตนาแอบแฝง ไม่มีใครรายงานขึ้นมา เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เกินความคาดหมายของทุกคน” พออ่านแผ่นหยกหมดแล้วก็โยนไปไว้ข้างๆ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้…ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน จริงๆ”
โป๋เยวก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ใช้เวลาสองวันก็ปรับปรุงธงพยัคฆ์ดำเสร็จแล้ว เหนือความคาดหมายจริงๆ! นายท่าน ข้าอยากจะถามสักคำ ก่อนหน้านี้ท่านจัดธงพยัคฆ์ดำไว้แบบนี้ เพราะจงใจจะสร้างโจทย์ยากให้หนิวโหย่วเต๋อรึเปล่า?” เขาคัดค้านการทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
เรื่องนี้พัวพันไปถึงเบื้องบน เรื่องบางเรื่องเนี่ยอู๋เซี่ยวไม่สะดวกจะบอกกับเขาจริงๆ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าต้องจับตาดูสถานการณ์ทางธงพยัคฆ์น้ำเงินไว้ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องเหมือนที่ธงพยัคฆ์ดำ”
โป๋เยวยิ้มเจื่อน “ข้าจะกล้าประมาทได้ยังไง ก่อนจะมาได้ติดต่อกับทางธงพยัคฆ์น้ำเงินไว้แล้ว ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อสู้กับพวกจ้านหรูอี้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เคลื่อนไหวรุนแรงเหมือนฝั่งนี้ก็เท่านั้นเอง”
เนี่ยอู๋เซี่ยวทำสีหน้าจริงจัง ถามว่า “สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
โป๋เยวตอบอย่างจนใจมากว่า “หลังจากจ้านหรูอี้รับตำแหน่งแล้ว ก็อยากจะแต่งตั้งคนที่พามาด้วยให้เป็นผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพ การกระทำนี้ย่อมก่อให้เกิดการต่อต้าน ตอนแรกจ้านหรูอี้อยากจะส่งคนไปเข้าควบคุมทัพกลาง แล้วให้อีกเก้าคนเข้าควบคุมเก้ากองทัพจากสิบกองทัพของธงอินทรี ทว่ากำลังพลเบื้องล่างต่อต้าน จ้านหรูอี้คนเดียวเปลี่ยนไม่ได้ ถึงได้เกรี้ยวกราดสุดขีด แสดงความเจ้าอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ออกมา อยากจะใช้วิธีการแข็งกร้าว อยากจะฝืนเปลี่ยนคน ผลปรากฏว่าเกือบจะทำให้เกิดการใช้กำลังทางทหารข่มขู่ ถึงได้หดถอยกลับมา นางตระหนักได้เช่นว่าว่าตกอยู่ในวงล้อมของทัพกลาง คนจำนวนนั้นของพวกนางไม่ได้อยู่ในสายตาของกำลังพลนับหมื่นของทัพกลางเลย ย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่แล้ว การเคลื่อนไหวของจ้านหรูอี้ก่อนหน้านี้ค่อนข้างรักษาความลับ กำลังสำรวจสถานการณ์ทั้งข้างบนข้างล่างของธงพยัคฆ์น้ำเงินอย่างละเอียด คาดว่าคงคิดจะหาช่องโหว่ลงมือ”
เนี่ยอู๋เซี่ยวพนักหน้าเบาๆ โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คนบ้าเหมือนกัน เขาโล่งใจแล้ว จากนั้นก็เอาหลังพิงเก้าอี้ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อนั่นมาพร้อมกับเป้าหมาย ถ้าได้ข่าวจากฝั่งนี้อาจจะรับการกระตุ้น จับตาดูสถานการณ์ของฝั่งนั้นไว้ให้ดี อย่าเข้าไปแทรกแซง”
“ไม่ต้องแทรกแซงเหรอ?” โป๋เยวถามอย่างตกใจ “ถึงยังไงจ้านหรูอี้ก็เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าโดนอ๋องสวรรค์อิ๋งจับจุดอ่อนที่พวกเราละเลยแล้วยื่นเรื่องสืบสวนหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ถึงตอนนั้นถ้าเบื้องบนถามหาความรับผิดชอบ พวกเราจะมีที่อยู่ได้ยังไง?”
เนี่ยอู๋เซี่ยวไม่สะดวกจะบอกกเขาอย่างชัดเจน ได้แต่โบกมือบอกว่า “เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ฟ้าถล่มก็ยังมีเบื้องบนคุ้มหัวอยู่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นความรับผิดชอบก็ไม่มาถึงตัวเจ้าเหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้ามาแทรกเรื่องของธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงิน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแค่บอกมาก็พอ เดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบด้วยตัวเอง เจ้าแค่ต้องจับตาดูสถานการณ์สองฝั่งนั้นไว้ แล้วรายงานรายละเอียดขึ้นมาให้ทันเวลา”
โป๋เยวพูดไม่ออก แบบนี้เท่ากับเป็นการถอดอำนาจในการควบคุมสองธงพยัคฆ์แล้ว จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “รองผู้บัญชาการใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำขาดสองตำแหน่ง ไม่ทราบว่านายท่านจะส่งใครไปเติมขอรับ?”
ตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่ให้เบื้องบนเป็นผู้แต่งตั้ง เหมียวอี้มีเพียงอำนาจในการแนะนำคนที่เหมาะสมขึ้นไป ไม่มีอำนาจแต่งตั้งโดยตรง ทำแบบนี้เพื่อให้เบื้องบนควบคุมทัพใหญ่เบื้องล่างได้สะดวก จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่คนคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจ แล้วเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่มีใครรู้
“รอก่อนแล้วกัน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่มีคนที่เหมาะสมรายงานขึ้นมา แล้วค่อยส่งคนไปก็ยังไม่สาย” เนี่ยอู๋เซี่ยวกล่าว
หลังจากยืนยันเรื่องพวกนี้จนแน่ใจแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวก็กันโป๋เยวออกไป แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเบื้องบนโดยตรง ติดต่ออวี่จ้งเจินที่เป็นผู้ตรวจการของทัพเป่ยโต้ว
หลังจากได้รู้สถานการณ์ฝั่งเหมียวอี้แล้ว อวี่จ้งเจินก็ตกใจเช่นกัน : เมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะบอกว่าเขาเพิ่งรับตำแหน่งอยู่เลย รับช่วงต่อธงพยัคฆ์ดำได้ราบรื่นขนาดนี้เชียวเหรอ เจ้าแน่ใจนะว่าข่าวไม่ได้ผิดพลาด?
เนี่ยอู๋เซี่ยว : ตอนนี้ข้าน้อยยังอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำ มายืนยันสถานการณ์ด้วยตัวเองแล้ว
อวี่จ้งเจิน : รายละเอียดเป็นยังไง?
เนี่ยอู๋เซี่ยวนำสถานการณ์โดยละเอียดที่รู้จากฝั่งนี้รายงานขึ้นไปทันที
หลังจากฟังจบแล้ว ฝั่งอวี่จ้งเจินก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับมาว่า : สถานการณ์ตั้งมั่นของกองทัพ ข้ากำลังจะไปลาดตระเวนสำรวจ พรุ่งนี้จะไปดูทางนั้นก่อน
เนี่ยอู๋เซี่ยว : รับทราบ!
หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องบ้างเรื่องพูดที่ระฆังดาราได้ไม่ชัดเจน เกรงว่าปฏิกิริยาของผู้ตรวจการอวี่จะเหมือนกับตน ที่บอกว่าจะลาดตระเวนสำรวจนั่นเป็นคำโกหก ถ้าไม่ได้ยืนยันด้วยตัวเองสักหน่อยก็จะไม่กล้าเชื่อ
ที่ด้านนอกสวน เหมียวอี้นำเหยียนซิวกับสวีถังหรานมารออยู่ด้านนอก หลังจากโป๋เยวออกมาแล้ว สีหน้าก็ดูย่ำแย่มาก หลังจากเรียกเหมียวอี้มาตำหนิตรงหน้ายกหนึ่ง ก็เตือนว่า “ครั้งนี้เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งมารับตำแหน่งใหม่เลยไม่เข้าใจสถานการณ์ จะไม่สืบสาวเอาเรื่อง ถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วกล้าปิดบังไม่รายงานอีก ก็จะโดนลงโทษอย่างร้ายแรง!”
เหมียวอี้รู้สึกเหยียดหยามในใจ ข้างนอกมีอำนาจตัดสินใจโดยพลการตามแต่โอกาส ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็มีแต่ผีเท่านั้นที่จะรายงาน แล้วผีที่ตายแล้วพวกนั้นได้รายงานขึ้นไปมั้ยล่ะ? แต่ภายนอกยังคงกุมหมัดคารวะอย่างเคารพนอบน้อม “รับทราบ!”
โป๋เยวกล่าวด้วยใบหน้านิ่ง “ตอนนี้ฝั่งเจ้าขาดตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่สองคน ข้าเลือกคนที่เหมาะสมไว้แล้ว เจ้าเพิ่งมาใหม่ ถ้ายังไม่มีคนที่เหมาะสมจะแนะนำ ก็ลองพิจารณาดูได้”
มารดาเจ้าเถอะ เจ้าบอกแล้วว่าเป็น ‘คนที่เหมาะสม’ แล้วจะจะสะดวกพูดว่าไม่เหมาะสมเหรอ? เหมียวอี้บ่นในใจ แต่ภายนอกยังกุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าเลือกใครมาหรือขอรับ ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง!”
โป๋เยวตอบว่า “วรยุทธ์แต่ไม่เลวทั้งคู่เลย ล้วนมีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสอง มียศแม่ทัพสองแถบ ความสามารถก็พอจะมีอยู่บ้าง ผู้บัญชาการสองคนของเป็นธงพยัคฆ์ดิน คนหนึ่งชื่อมู่อวี่เหลียน คนหนึ่งชื่อชวีหย่าหง”
สวีถังหรานที่ยืนเก็บมืออย่างเคารพอยู่ข้างๆ แอบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้ขมวดคิ้วทันที แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฟังจากชื่อแล้ว…อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงหมดเลย?”
โป๋เยวพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก เป็นผู้หญิงทั้งคู่”
“รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองของธงพยัคฆ์ดำล้วนเป็นผู้หญิง แบบนี้จะ…” เหมียวอี้กล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย
โป๋เยวพูดตัดบททันที “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าพูดไม่ถูกแล้วนะ เจ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ควรจะแต่งตั้งคนที่มีคุณธรรมและความสามารถสิ ทำไมถึงดูถูกผู้หญิงยกย่องผู้ชายล่ะ?”
เหมียวอี้พยักหน้าบอกว่า “รองแม่ทัพภาคพูดถูก ก็ดีขอรับ ให้พวกนางสองคนเป็นแล้วกัน”
โป๋เยวขานรับ แล้วบอกอีกว่า “หลังจากรายงานชื่อคนที่เลือกขึ้นมาแล้ว ท่านแม่ทัพภาคก็จะช่วยพูดจาดีๆ ให้เจ้าเอง เจ้าขาดกำลังพลพอดี ถ้าพวกนางสองคนมาที่นี่ก็ยังสามารถพาคนมาได้จำนวนหนึ่ง”
ชัดเจนว่ากำลังเร่งรัดให้ตนเลือกคนรายงานขึ้นไป เหมียวอี้พยักหน้าตอบ “ขอรับ!”
ในขณะนี้เอง ในสวนก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เหมียวอี้และคนอื่นๆ รีบยืนหลีกทางให้สองฝั่ง ผู้ที่มาคือเนี่ยอู๋เซี่ยว
“นายท่าน!” พวกเหมียวอี้ทำความเคารพ
“ตอนนี้ยังไม่กลับ” เนี่ยอู๋เซี่ยวบอกโป๋เยว แล้วหันมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ พรุ่งนี้ผู้ตรวจการอวี่จะมาตรวจตราที่นี่ เจ้าเพิ่งจะรับช่วงต่อธงพยัคฆ์ดำ ต้องเตรียมตัวต้อนรับให้ดี อย่าสร้างความผิดพลาดอะไรให้ข้าล่ะ”
“รับทราบ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ
เนี่ยอู๋เซี่ยวโบกมือบอกใบ้ให้เขาไปเตรียมตัวทันที แล้วก็หันกลับมาเตรียมจะสั่งงานโป๋เยวต่อ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกุมหมัดคารวะอีก “นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอร้อง”
คนที่เหลือมองมาพร้อมกัน เนี่ยอู๋เซี่ยวถามว่า “เรื่องอะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ธงพยัคฆ์ดำคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูก่อกบฏจนโดนประหารชีวิต ตอนนี้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองยังว่างอยู่ ข้าน้อยแนะนำให้มู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงของธงพยัคฆ์ดินมารับตำแหน่งต่อ”
“มู่อวี่เหลียน ชวีหย่าหง?” เนี่ยอู๋เซี่ยวงงไปชั่วขณะ เหล่ตามองโป๋เยวที่อยู่ข้างๆ โป๋เยวยืนตรงเก็บมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง สายตาของเนี่ยอู๋เซี่ยวจึงย้ายไปที่ตัวเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเรียบว่า “ไม่แนะนำคนธงพยัคฆ์ดำของตัวเอง แต่แนะนำคนของธงพยัคฆ์ดิน เจ้ารู้จักพวกนางสองคนเหรอ?”
“ได้ยินว่าพวกนางสองคนมีความสามารถ ข้าน้อยก็เลยอยากได้พวกนางมาป็นผู้ช่วยที่มีฝีมือ” เหมียวอี้ตอบ
ผู้ช่วยที่มีฝีมือ? เนี่ยอู๋เซี่ยวไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าโป๋เยวกำลังใช้อำนาจข่มเหมียวอี้แล้ว ผู้หญิงสองคนนั้นจะกลายเป็นผู้ช่วยที่มีฝีมือของเหมียวอี้หรือไม่ เนี่ยอู๋เซี่ยวก็ยังไม่รู้ แต่เนี่ยอู๋เซี่ยวได้ยินข่าวลือมา ว่าโป๋เยวกับผู้หญิงสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ อาศัยว่ามีโป๋เยวหนุนหลัง จึงค่อนข้างกำเริบเสิบสาน ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดินบ่นฟ้องอย่างขุ่นเคืองใจ ครั้งก่อนเขาลองหยั่งเชิงเจตนาของโป๋เยวดูนิดหน่อย เตรียมจะถอดผู้หญิงสองคนนั้นออก แต่ใครจะคิดว่าโป๋เยวจะคิดวางแผนกับหนิวโหย่วเต๋อ
“เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการพวกนางสองคน?” เนี่ยอู๋เซี่ยวถาม
“ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบ
เนี่ยอู๋เซี่ยวแอบรู้สึกขำ ขนาดไม่ทันรู้ชัดว่าเป็นใครก็ยังกล้ารับ ช่างไม่กลัวปัญหาความยุ่งยากจริงๆ กลับเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดิน จะได้ไม่เอาแต่พร่ำบ่นกับตนอยู่อย่างนั้น โป๋เยวดันเป็นผู้ช่วยที่เบื้องบนแนะนำมาให้เขาอีก คงไม่ดีถ้าเขาจะกรีดหน้าโป๋เยวเกินไปจนยั่วให้คนเบื้องบนไม่พอใจ ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร เขาก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสุดท้ายโป๋เยวจะยุติเรื่องระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับผู้หญิงสองคนนั้นอย่างไร
“อนุญาตแล้ว!” เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบตกลงทันที แล้วบอกโป๋เยวว่า “ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้แล้วกัน” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดินกลับออกไป
“ขอรับ!” โป๋เยวกุมหมัดคารวะน้อมส่ง ผ่านครู่เดียวใบหน้าก็อมยิ้ม หันตัวมาตบบ่าเหมียวอี้ด้วยสีหน้าชื่นชม นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะง่ายๆ สบายๆ ขนาดนี้ เรื่องที่เขาเพิ่งจะเอ่ยถึงนิดเดียว แต่เหมียวอี้ก็เสนอแนะบุคคลให้เขาจัดการให้เรียบร้อยทันที แก้ไขปัญหาคาใจสุดท้ายที่เขาคิดวนเวียนเรียบร้อยแล้ว ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด จึงกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ต่อไปถ้าอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำแล้วประสบความลำบากอะไร ก็ให้ติดต่อข้าให้ทันเวลา ถึงยังไงเจ้าก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ข้าย่อมต้องพูดเข้าข้างเจ้าอยู่แล้ว เอาล่ะ พรุ่งนี้นายท่านผู้ตรวจการจะมาแล้ว เจ้ารีบเร่งเตรียมตัวเถอะ ถ้ามีอะไรต้องการให้เบื้องบนให้ความร่วมมือ ก็บอกข้าได้เลย” พูดจบก็รีบสาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน เดาว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวคงมีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา
เมื่อไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เหมียวอี้ก็นำคนถอยออกมาเช่นกัน ตอนที่ลงเขา เขาก็สั่งสวีถังหรานว่า “ไปสืบข่าวมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงอะไรนั่นหน่อยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่”
“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับคำสั่ง ต่อให้เหมียวอี้ไม่บอก แต่จู่ๆ มีรองผู้บัญชาการใหญ่โผล่มาสองคนแบบนี้ เขาย่อมต้องไปสืบข่าวอยู่แล้ว
บนโลกนี้มีเรื่องบางเรื่องที่เป็นความลับที่รู้กันทั่ว โดยเฉพาะข่าวลือระหว่างชายหญิง จะถูกเผยแพร่ปล่อยข่าวได้ง่ายที่สุด สวีถังหรานไม่ได้ใช้ความพยายามสักเท่าไรเลย แค่ถามใครสักคนจากทัพกลางเท่านั้น จากนั้นก็เรียกคนมาถามเพิ่มอีกนิดหน่อย เขาก็รู้สถานการณ์ของรองผู้บัญชาการใหญ่ในอนาคตทั้งสองอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
หลังจากได้รับรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็อึ้งจนพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้เขาเดาเพียงว่า คนที่สามารถทำให้โป๋เยวสิ้นเปลืองความคิดได้จะต้องเป็นลูกน้องคนสนิทของโป๋เยวแน่นอน นึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับโป๋เยว ทั้งยังทำตัวค่อนข้างกำเริบเสิบสานอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดินด้วย ทำให้ธงพยัคฆ์ดินผู้บัญชาการปวาดประสาท
ถึงแม้จะเป็นแค่ข่าวลือ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้โง่ สามารถทำให้โป๋เยวสิ้นเปลืองพลังความคิดแบบนี้ได้ ก็เป็นไปได้สูงว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง ครั้งนี้พ่ายแพ่ให้โป๋เยวแล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายขอสองคนนั้นมาไว้มือ นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ พอนึกถึงคำถามยืนยันซ้ำจากเนี่ยอู๋เซี่ยวก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวรู้สถานการณ์เบื้องลึก ดีไม่ดีอาจจะอยากหัวเราะเยาะตนก็ได้
บทที่ 1362 จุดด่างพร้อยไม่อาจปิดบังหยกงาม
Ink Stone_Fantasy
นอกจากจะตะโกนว่าซวยแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่มีวิธีการอื่น ต่อให้จะรู้ล่วงหน้าเรื่องคนรักสองคนนนั้นขอโป๋เยว เขาก็ยังจะตอบตกลงอยู่ดี ตั้งแต่ที่พิภพเล็กจนถึงตลาดสวรรค์ของพิภพใหญ่ ผ่านบทเรียนที่นองเลือดมาหลายปีขนาดนั้น ทำให้เขาเข้าใจหลักการหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ว่าถ้าเบื้องบนมีคนสนับสนุน ก็จะมีประโยชน์ต่อการยืนอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ไม่อย่างนั้นกลุ่มคนในแดนอเวจีจะช่วยเขาจัดการปี้เยว่ไปเพื่ออะไรล่ะ?
ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่มีค่าพอให้เขาครุ่นคิดถึงมาก ผ่านอุปสรรคใหญ่หลวงมาตั้งมากมาย แค่ผู้หญิงสองคนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ ถ้าแม้แต่ ‘นางจิ้งจอก’ สองตัวก็ยังปราบไม่ได้ เช่นนั้นการทำงานในหลายปีมานี้ของเขาก็สูญเปล่าแล้ว
“นายท่าน ทำยังไงดี?” สวีถังหรานถามอย่างระมัดระวัง
“ทำยังไงอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถาม
สวีถังหรานชี้นิ้วไปข้างบน “คนรักสองคนของรองแม่ทัพภาคโป๋เยวมาแล้วจะทำยังไง? ถ้าพวกนางทำตัววุ่นวายเหมือนที่ธงพยัคฆ์ดินล่ะ…”
“นี่ถือว่าเป็นปัญหาด้วยเหรอ?” เหมียวอี้พูดดูถูก มองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “เจ้าคงไม่ถึงขนาดสู้ไม่ได้แม้แต่ผู้หญิงสองคนหรอกใช่มั้ย?”
“…” สวีถังหรานพูดไม่ออก แล้วถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “ข้า…ข้าสู้เหรอ?”
“ถ้าเจ้าไม่สู้ แล้วจะให้ข้าลดเกียรติตัวเองลงไปสู้กับพวกนางรึไงล่ะ?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ
“นายท่าน หลังจากมาแล้วพวกนางก็จะได้เป็นรองผู้บัญชาการนะ ไม่ว่าจะเป็นยศหรือตำแหน่งข้าก็ควบคุมพวกนางไม่ได้เลย” สวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม
เหมียวอี้จึงบอกว่า “มีข้าหนุนหลังอยู่ เจ้าจะกลัวอะไร? หลังจากพวกนางมาแล้ว ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน…ผู้บัญชาการทัพกลางผู้สง่าผ่าเผยอย่างเจ้า อยากได้คนก็มีคนให้ อยากได้อำนาจก็มีอำนาจให้ ถ้าแม้แต่พวกนางสองคนยังจัดการไม่ได้ ข้ายังจะหวังให้เจ้ามาพิทักษ์ที่ศูนย์กลางธงพยัคฆ์ดำได้อีกเหรอ?”
“…” สวีถังหรานเถียงไม่ออกไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้จ้องตนไม่ละสายตา เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ถามว่า “นายท่านต้องการให้จัดการพวกนางสองคนยังไง? จะให้ถึงตายหรือจะให้มีชีวิตอยู่!”
เหมียวอี้บอกว่า “สองคนนี้สามารถใช้เส้นสายกับโป๋เยวได้ ยังมีประโยชน์ให้ใช้งาน ข้าออกจากตลาดสวรรค์มาที่นี่ก็เรียกได้ว่ามามือเปล่า ตอนนี้ยังต้องการให้โป๋เยวช่วยพูดกับเบื้องบนให้ แล้วข้าก็ไม่อยากเห็นพวกนางสองคนเรื่องเยอะเหมือนตอนอยู่ธงพยัคฆ์ดินด้วย ทำให้พวกนางว่านอนสอนง่ายหน่อย”
สวีถังหรานเข้าใจแล้ว แค่ต้องเปลี่ยนมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงให้กลายเป็นแจกันดอกไม้ของธงพยัคฆ์ดำ เวลาต้องการใช้ก็หยิบออกมาวาง เวลาไม่ต้องการใช้ก็วางไว้ข้างๆ อย่างสงบ เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าน้อยจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง!”
ในใจรู้สึกเครียดนิดหน่อย ทั้งชีวิตนี้ต้องประจบคนที่อยู่ระดับสูงกว่าตนมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่วางแผนร้ายรับมือคนใต้บังคับบัญชา แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าการที่ผู้บัญชาการใหญ่สามารถมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางให้เขา ไม่ได้มอบให้คนสนิทข้างกายคนอื่นๆ ถ้าเขาไม่นำผลงานมาช่วยคลายความกังวลให้ผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย เขาก็จะรู้สึกผิดกับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของผู้บัญชาการใหญ่ ดังนั้นเขาจึงแอบตัดสินใจแน่วแน่ ครั้งนี้เขาจะต้องจัดการได้อย่างสวยงามเพื่อให้คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ได้เห็น ว่าพ่อคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกันนะ!
ที่จริงเขาก็คิดมากเกินไปหน่อย จะผลักเรื่องนี้ไปให้บรรดาคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางก็จะไม่ตกมาถึงตน
ประมาณที่ยงวันของวันต่อมา อวี่จ้งเจินผู้ตรวจการของทัพเป่ยโต้วก็มาเยือนที่สำนักหกนิ้วด้วยตัวเอง เนี่ยอู๋เซี่ยวนำกลุ่มคนมาต้อนรับ
พอเจออวี่จ้งเจิน เหมียวอี้ก็หมั่นไส้นิดหน่อย อวี่จ้งเจินเพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ที่หางตาเหมือนอมยิ้มเล็กน้อย
พอเดินวนทั้งสำนักหกนิ้วได้รอบหนึ่ง อวี่จ้งเจินก็พาคนไปเดินดูที่ธงอินทรีสิบกองทัพใต้บังคับบัญชาต่อ
แต่ละจุดที่ธงอินทรีสิบกองทัพไปประจำการ จุดประจำการที่สำรวจเจอเหมืองเหรียญผลึก แต่ละแห่งล้วนทิ้งเงาของอวี่จ้งเจินเอาไว้ เหมียวอี้ตามหลังหลุ่มอยู่ตลอด เมื่อถึงแต่ละจุดที่ไป อวี่จ้งเจินก็จะหัวเราะอย่างร่าเริงเสมอ พูดคุยอย่างมีอัธยาศัยไมตรีดีกับคนจำนวนไม่น้อย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้คุยกับเหมียวอี้สักคำ ทำเหมือนไม่รู้จักเหมียวอี้ จนกระทั่งจากไปก็ไม่ได้สบตากับเหมียวอี้อีกเลย
เหมียวอี้อยากจะพูดคุยกับเขาดีๆ อยากจะอาศัยบารมีท่านหัวหน้าภาคสักหน่อย ต่อไปจะได้อยู่ที่นี่ได้สะดวก แต่จนใจที่คนตำแหน่งสูงกว่าเขาล้อมอวี่จ้งเจินไว้หมดแล้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีสิทธิแม้แต่จะเข้าใกล้ หลังจากขอให้คนไปรายงานแล้ว อวี่จ้งเจินก็ไม่ยอมเจอเขาเลย เหมือนจงใจจะแบ่งแยกความสัมพันธ์ให้ชัดเจน คำว่า ‘น้องชาย’ ที่พออ้าปากก็เอ่ยเรียกตอนอยู่ตำหนักคุ้มเมืองโดนสุนัขกินไปหมดแล้ว
ท่านผู้ตรวจการตรวจตราไปรอบหนึ่งแล้วไม่พบปัญหาอะไร หลังจากอวี่จ้งเจินไปแล้ว พวกเนี่ยอู๋เซี่ยวก็กลับมาที่กองมังกรดำ
มู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงต่างคนต่างนำลูกน้องสิบคนมารายงานตัวในวันถัดไป ในลานบ้านชั่วคราวของเหมียวอี้ ทั้งสองกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”
นับว่ายังมีท่าทีเกรงใจอยู่บ้าง ก่อนที่ทั้งสองจะมา โป๋เยวก็เคยย้ำเตือนพวกนางแล้ว ว่าแม่ทัพภาคไม่ค่อยพพอใจพวกนาง มีเจตนาที่จะถอดพวกนางออกจากตำแหน่ง เขาใช้ความพยายามไปเยอะมากเพื่อที่จะปกป้องทั้งสองเอาไว้ ยังยังเลื่อนตำแหน่งให้หนึ่งขั้นด้วย การสร้างความดีความชอบให้ตัวเองนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเน้นตักเตือนว่า หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ
ที่จริงตอนที่รู้ว่าจะต้องมาอยู่กับเหมียวอี้ ทั้งสองก็กลัวนิดหน่อย เป็นเพราะชื่อเสียงของ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ โด่งดังไปถึงข้างนอก อำนาจเล็กน้อยที่หนุนหลังพวกนางอยู่ เกรงว่าจะไม่อยู่ในสายตาหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ มีคนที่มีภูมิหลังตั้งมากมายเท่าไรที่โดนเจ้าเวรนั่นตัดหัวไป เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็ฆ่าที่นั่น คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว
ทั้งสองเองก็ไม่ใช่คนโง่ วางแผนไว้ว่าจะทำตัวว่านอนสอนง่ายไปสักระยะก่อน และแน่นอน ทั้งสองก็มีจิตใจที่แสวงหาความก้าวหน้าเช่นกัน ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็น ทุกอย่างล้วนต้องรอให้พวกนางยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงก่อน มีรากฐานของตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ผู้หญิงสวยมักจะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าสู้กับคนต่ำทรามอย่างสวีถังหรานแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร
พอทั้งสองเข้ามา พวกเหมียวอี้ก็มองประเมินศีรษะจดเท้าอย่างละเอียด พบว่าสองคนนี้เป็นสาวสวยที่งามหยาดเยิ้มจริงๆ แต่ละคนหน้าตาดุจภาพวาด ผิวกายขาวดุจหิมะ เรือนร่างก็มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เห็นแล้วทำให้พึมพำในใจว่า ‘โป๋เยว เจ้านั่นช่างน่าสนใจจริงๆ’
หยางชิ่งเหล่ตามองเหมียวอี้ เขาเองก็ได้ข่าวผู้หญิงสองคนนี้มาแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะรับมือกับสองคนนี้อย่างไร สามารถแส่หาเรื่องที่ธงพยัคฆ์ดินได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่รักษากฎระเบียบอะไร ที่สำคัญคือเหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนดีมีเมตตาเหมือนกัน ไม่ยอมให้พวกลูกน้องทำซี้ซั้ว คาดว่าไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องเกิดเรื่องขึ้นอีก
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือ
จากนั้นมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงก็ยื่นหลักฐานแสดงตัวตนให้เหมียวอี้ตรวจสอบ。
หลังจากตรวจสอบตัวตนของทั้งสองแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ “ทั้งสองคนมาที่นี่ได้ นับว่าเป็นการเพิ่มทัศนียภาพให้ธงพยัคฆ์ดำจริงๆ แต่ช่วยไม่ได้ที่ข้ายังมีงานรัดตัว ตอนนี้ยังอยู่ด้วยไม่ได้”
“มิบังอาจรบกวนผู้บัญชาการใหญ่” ทั้งสองตอบด้วยรอยยิ้มออดอ้อนพร้อมกัน
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกว่า “สวีถังหราน รองผู้บัญชาการทั้งสองเพิ่งมาใหม่ เจ้าพาพวกนางสองคนไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ธงพยัคฆ์ดำเถอะ อย่าเมินเฉยพวกนาง!”
หลังจากพูดคุยกันตามมารยาท สวีถังหรานก็เชิญทั้งสองออกไปอย่างร่าเริง แล้ววันต่อๆ มาสวีถังหรานก็อยู่เป็นเพื่อนตลอด เจ้าหมอนี่ประจบสอพลอได้เก่ง ปะเหลาะคนผู้หญิงสองคนนี้มีความสุขมาก…
ที่ตำหนักดาราจักร มีเสียงหัวเราะเบาๆ ที่มีอำนาจบารมีดังขึ้นอีกครั้ง
ซือหม่าเวิ่นเทียนยืนยิ้มอยู่เบื้องล่างโดยไม่พูดอะไร
“เลือกคนตายสองคนไปเป็นผู้ช่วย เหอะๆๆ เขาก็ทำได้เนอะ เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผู้บังคับบัญชาที่เลอะเลือนขนาดนี้…” ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องบนถือแผ่นหยกพลางส่ายหน้าไม่หยุด จากนั้นก็หัวเราะอีก ท่าทางเหมือนกลั้นขำไม่ไหว “ลูกลิงน้อยตัวนี้ช่างออกนอกลู่นอกทางจริงๆ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มตอบว่า “ทำเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนไปหน่อย ฉุกละหุกเกินไป ทำให้เกิดเรื่องน่าขำอย่างเลี้ยงไม่ได้”
“จุดด่างพร้อยไม่อาจปิดบังหยกงาม[1]!” จู่ๆ ประมุขชิงก็กล่าวอย่างกระชุ่มกระชวย โยนแผ่นหยกในมือบนโต๊ะยาว “มีจุดบกพร่องสิถึงจะปกติ สมบูรณ์แบบเกินไปจะมีปัญหาแน่นอน ใช้เวลาสองวันก็ควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้แล้ว พอลงสนามก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วปานฟ้าผ่าฆ่าจนทุกคนฉุกละหุกรับมือไม่ทัน ทั้งกล้าหาญและมีแผนการ เด็ดขาดที่สุด ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ลงสนามเล่นได้อย่างสวยงาม เรียกได้ว่าพลิกสถานการณ์ ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
เป็นการประเมินค่าที่สูงมากจริงๆ! ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบตกตะลึง นานแล้วที่ไม่ได้ยินฝ่าบาทเอ่ยชมใคร แต่จะว่าไปแล้ว พอได้เห็นข่าวนั้น เขาก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้หลายปีที่วางหมากข้างกายเหมียวอี้ไม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าไม่ปลอมแล้ว จึงกุมหมัดคารวะพร้อมพูดประจบเยินยอแบบพอประมาณ “เป็นฝ่าบาทที่ปราดเปรื่องมองคนออก!”
“หลานสาวคนนั้นของอิ๋งจิ่วกวง ให้เงื่อนไขที่เหมือนกันแล้ว ผู้ช่วยที่พาไปด้วยก็มีศักยภาพเต็มที่กว่า ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขชิงถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “นี่ก็คือปัญหาของลูกหลานผู้มีอำนาจ สายตาสูงถึงยอด มองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา พอไปถึงก็คิดจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวเลย ถ้าไม่ใช่เพราะข้างกายนางมีคนที่ตระกูลจัดหาให้อยู่ด้วย ทำให้ตระกูลนางรู้สถานการณ์เบื้องลึกล่วงหน้าแล้วหยุดยั้งได้ทัน ก็แทบจะทำให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเกิดการก่อกบฏแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ตอนนี้กำลังอดทนครุ่นคิดว่าจะลงมืออย่างไร แต่ก็ถูกถ่วงเวลาไว้แล้วเช่นกัน ตอนนี้เกรงว่าจะยังไม่มีเวลาไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” ในใจแอบทอดถอนใจ อยู่ดีไม่ว่าดี ดึงดันจะออกมาประลองให้ได้ เลยโดนจับโยนออกไปเหมือนเป็นหมากให้เปรียบเทียบเสียเลย
“นี่ก็คือความแตกต่าง!” ประมุขชิงกล่าวเหน็บแนม แล้วถามอีกว่า “อิ๋งจิ่วกวงเที่ยวก่อเรื่องวุ่นวาย ตอนหลังไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกจริงเหรอ?”
“ภายนอกไม่ได้ยุ่งแล้วจริงๆ บอกว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ให้นางหนูนั่นได้รับบทเรียนยาวๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
ประมุขชิงบอกว่า “แจ้งไปทางนั้นด้วย ว่าอย่าทำให้นางตาย ที่นางหนูนั่นเย่อหยิ่งจองหองถือเป็นเรื่องดี เดี๋ยวต่อไปหาเรื่องที่ทำลายงานของตระกูลอิ๋งให้นางทำ กระตุ้นความหยิ่งผยองของนาง จะต้องน่าสนุกมากแน่นอน”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน “ยั่วให้อิ๋งจิ่วกวงโมโห เกรงว่าคงจะไม่ปล่อยนางไปแน่”
ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกในวังที่พูดอะไรก็เชื่อฟังข้าเห็นจนเลี่ยนแล้ว หาคนที่เจ้าอารมณ์มาเปลี่ยนรสชาติหน่อยก็ดีเหมือนกัน ได้ยินว่านางหนูนั่นหน้าตาสวย ถ้าอิ๋งจิ่วกวงไม่ปล่อยนางไปจริงๆ เจ้าก็พานางหนูนั่นเข้าวังมาแล้วกัน ข้าจะรับนางเป็นสนม ให้ตระกูลอิ๋งตั้งใจให้ความสำคัญสักหน่อย…ควรจะหาคู่ต่อสู้ที่มีน้ำหนักให้เฉิงอวี่สักคน ภรรยาที่เป็นคู่ที่ชีวิตของข้าจะเอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลฝ่ายตัวเองได้อย่างไรล่ะ”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็หุบปากทันที เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ จ้านหรูอี้ เด็กสาวคนนั้นถือว่าถูกกำหนดโชคชะตาแล้ว…
ดาวหยกงาม หอสามรากฐาน ลูกชายทั้งสามของตระกูลโค่วยืนอยู่เบื้องล่าง
พอฟังรายงานจากโค่วเหมี่ยนเสร็จ อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งบนเก้าอี้และใช้สองมือวางบนท้องพร้อมใช้นิ้วเคาะจังหวะก็พลันลืมตา เขาหยุดเคาะนิ้วแล้ว จ้องมองเบื้องล่างพร้อมถามเสียงต่ำว่า “ลูกสาม เจ้ารู้ข่าวของทางหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเจ้ายื่นมือเข้าไปในหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว?”
โค่วเหมี่ยนตกใจทันที รีบโบกมือบอกว่า “เปล่าขอรับ เป็นเพราะข่าวแพร่ออกมาแล้ว ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว ไปสืบนิดหน่อยก็รู้แล้วขอรับ”
ผู้เฒ่าถังโค้งตัวเล็กน้อยข้างกายอ๋องสวรรค์โค่ว “พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็นับว่าประเมินความสามารถของเจ้าเด็กนั่นต่ำเกินไป ทหารนับหมื่นพันหาได้ง่าย ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง ถ้ารู้แต่แรกแล้วจ่ายมากๆ หน่อยก็คุ้ม เขาเป็นคนที่ตระกูลโค่วดึงขึ้นมาจากน้ำ แต่กลับโดนประมุขชิงชุบมือเปิบ น่าเสียดายไปหน่อย!”
อ๋องสวรรค์โค่วพยักหน้า เคาะนิ้วที่วางพาดบนหน้าท้องต่อไป พร้อมบอกว่า “น่าเสียดายจริงๆ!”
…………………………
[1] จุดด่างพร้อยไม่อาจปิดบังหยกงาม 瑕不掩瑜 อุปมาว่า จุดด่างพร้อยเล็กๆน้อยๆ ไม่สามารถจะบดบังจุดเด่นได้
บทที่ 1363 จ้านหรูอี้โมโหมาก
Ink Stone_Fantasy
ที่ตำหนักคุ้มเมืองของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เคอโส่วอี้กับฉูอิ้น ผู้อาวุโสทั้งสองของของสำนักหกนิ้วเดินออกมาจากตำหนักแล้ว เรียกได้ว่ามุ่งตรงไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
ทั้งสองพบว่าเหมียวอี้หน้าใหญ่พอสมควร นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าตำหนักคุ้มเมืองของตลาดสวรรค์ เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งดื่มน้ำชากับผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่ฝูชิงถามถึงสถานการณ์ทางธงพยัคฆ์ดำที่เกี่ยวกับเหมียวอี้ไปไม่น้อย ถามละเอียดมาก จากนั้นพวกเขาก็ไปหาผู้บัญชาการมู่หรงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ บอกเรื่องที่ทางนั้นจัดเตรียมร้านค้าให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองย่อมตื่นเต้นดีใจมาก แต่ก็ไม่รู้เบื้องหลังของตลาดสวรรค์ชัดเจนเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมฝูชิงจึงไม่ให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองไปจัดการเรื่องนี้ แต่กลับให้มู่หรงซิงหัวไปจัดการแทน
หลังจากทั้งสองไปแล้ว ที่สวนดอกไม้ในตำหนัก อิงอู๋ตี๋ก็มีความสงสัยนี้เช่นเดียวกัน “พี่รอง ทำไมต้องให้พวกเขาไปหามู่หรงซิงหัวด้วยล่ะ?”
ฝูชิงเรียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “เจ้าห้าไปแล้ว ข้าอยากจะเห็นท่าทีของมู่หรง ดูว่านางยินดีจะฟังคำสั่งข้าหรือไม่”
อิงอู๋ตี๋เข้าใจแล้ว จึงพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้าเคร่งเครียดนิดหน่อย เรื่องบางเรื่องทำตามใจตัวเองไม่ได้ เป็นหัวหน้าก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกน้อง พวกเขายินดีจะไว้หน้ามู่หรงซิงหัว แต่เกรงว่าลูกน้องคนอื่นๆ จะก่อเรื่องในไม่ช้าก็เร็ว เดิมทีก็ขาดแคลนทัพยากรอยู่แล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พี่รอง เรื่องนั้นที่หยางชิ่งเตือน…”
ฝูชิงโบกมือเบาๆ เหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าห้าก็คือเจ้าห้า สังหารจนเลือดนองเป็นแม่น้ำที่ตลาดสวรรค์ พอไปที่ธงพยัคฆ์ดำก็ใช้วิธีการที่รุงแรงรวดเร็ว ทำได้อย่างสวยงามมาก พวกเราทำงานมาจนอายุป่านนี้ ก็ยังสู้ไม่ได้เลย!”
“นิสัยเจ้าอารมณ์ของเจ้าห้า เรื่องบางเรื่องก็ทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็ทนไม่ได้” อิงอู๋ตี๋กล่าว
“เจ้าห้าลงหลักปักฐานที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว พรุ่งนี้เจ้าเตรียมออกเดินทางแล้วเหรอ?” ฝูชิงถาม
อิงอู๋ตี๋ตอบว่า “ใช่แล้ว! พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว ทางเจ้าสี่ก็จะออกเดินทางพรุ่งนี้เหมือนกัน ข้ารับตำแหน่งต่อจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าสี่รับช่วงต่อจากจ้านหรูอี้ เฮ้อ…มีแค่พี่ใหญ่คนเดียวที่ออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวไป”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้าเองก็หวังจะให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มีตำแหน่งอยู่บ้างแล้ว ต้องไปสักคน…เจ้าไม่สะดวกจะพาลูกน้องไปเยอะเกินในรวดเดียว พาไปรับตำแหน่งก่อนส่วนหนึ่ง แล้วตอนหลังค่อยสลับคนของทั้งสองฝ่าย สลับให้คนของเจ้าไปก่อน เจ้าห้าช่วยบอกทางจวนแม่ทัพภาคไว้แล้ว” ฝูชิงกล่าว
“อืม!” อิงอู๋ตี๋พยักหน้า
ตรงนี้เพิ่งจะคุยเรื่องออกเดินทาง แต่ในภูเขานอกเมืองของเขตเมืองตะวันออก คนกลุ่มหนึ่งออกเดินทางไปจากที่นี่แล้วจริงๆ กลุ่มอนุภรรยาของเหมียวอี้กำลังล้อมสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน ส่งเดินทาง!
สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนเป็นกลุ่มแรกที่อวิ๋นจือชิวจัดเตรียมให้ออกจากที่นี่ไป ทางมู่ฝานจวินส่งคนมารับแล้ว ทุกคนต่างก็รู้จักคนที่มารับ ถังจวินกับเยว่เหยานั่นเอง
หลังจากสั่งอะไรแล้วนิดหน่อย อวิ๋นจือชิวก็เดินออกมาจากกลุ่มคน เดินมาข้างกายเยว่เหยา “ทั้งสองคน พวกเราไม่เจอกันมานานแล้ว หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?”
บุคลิกของเยว่เหยาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นไม่น้อย แต่กลับหันหน้าไปอีกด้าน ยังคงไม่ค่อยชอบอวิ๋นจือชิว มีอคติมาตลอด
ถังจวินกลับยิ้มบางๆ “ก็พอได้! เหมียวฮูหยินกลับมีสง่าราศีกว่าในปีนั้นอีก”
อวิ๋นจือชิวมองไปที่เยว่เหยาด้วยแววตาจนใจนิดหน่อย ความสัมพันธ์ของเยว่เหยากับเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ นางเองก็บ่นอะไรเยว่เหยาไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องดีหากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเยว่เหยากับเหมียวอี้ต่อหน้ากลุ่มคน เดิมทีอยากจะถามถึงสถานการณ์ของนางแทนเหมียวอี้สักหน่อย ตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยผ่าน แล้วหันกลับมามองสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนสามารถคุ้มกันส่งพวกนางให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัยได้ใช่มั้ย? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกนาง เกรงว่าหนิวเอ้อร์คงจะไม่ยอมจบเรื่องแน่”
“เชอะ!” เยว่เหยาทำเสียงดูถูก ไม่ค่อยพอใจที่อวิ๋นจือชิวยังเรียกเหมียวอี้ว่า ‘หนิวเอ้อร์’ เหมือนตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุมาตลอด ในสายตานาง ตัวการที่ทำให้พี่น้องของพวกนางต้องแยกจากกันก็คืออวิ๋นจือชิว เดิมทีสองพี่น้องอยู่ใต้บังคับบัญชาท่านอาจารย์อยู่ดีๆ มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ ในตอนหลังพี่ใหญ่จะพบปัญหายุ่งยากแบบนั้นได้อย่างไร
ถังจวินเองก็ทำอะไรกับศิษย์น้องเล็กไม่ได้เหมือนกัน เพราะท่านอาจารย์เอ็นดูนาง จึงส่งสายตาบอกอวิ๋นจือชิวว่าอย่าถือสา แล้วตอบว่า “เหมียวฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอาจารย์ส่งยอดฝีมือมาคุ้มกันส่ง เพียงแต่ไม่อยากให้คนรู้ถึงสถานการณ์ของฝั่งนี้มากเกินไป จึงไม่ได้ให้มาที่นี่ พวกเขาล้วนรออยู่ในดาราจักร ท่านอาจารย์บอกแล้ว ว่าต่อให้ต้องยอมแลกทุกอย่างแต่ก็จะปล่อยให้เกิดเรื่องกับอนุภรรยาของผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ได้”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า คาดว่ามู่ฝานจวินคงส่งยอดฝีมือของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกมา และตอนนี้เหมียวอี้ก็มีมูลค่าให้หกลัทธิใช้ประโยชน์มากกว่าเดิมแล้ว หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาเรียกได้ว่าเป็นอาวุธคมในการปราบโจรของตำหนักสวรรค์
หลังจากกลุ่มผู้หญิงบอกลากันแล้ว สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนก็จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เหาะขึ้นฟ้าตามถังจวินกับเยว่เหยาไป
หลังจากมองคล้อยหลังพวกเขาจากไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันตัวกลับถอนหายใจให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ แล้วบอกว่า “ใกล้แล้ว ทุกคนอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ อีกไม่นานตะแยกย้ายกันไปแล้ว เดี๋ยวถ้าไปถึงที่นั่นแล้วก็อย่าลืมติดต่อนายท่าน บอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นายท่านบอกว่าจะเจียดเวลาไปหาพวกเจ้า”
จีเหม่ยลี่ลังเลนิดหน่อย ก่อนจะถามว่า “ช่วงนี้มีข่าวลือที่ตลาดสวรรค์ ว่าพอนายท่านไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายธงพยัคฆ์ดำแล้ว ก็เปิดฉากสังหารทันที เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”
อวิ๋นจือชิวยิ้มหยอกล้อ “จริงหรือไม่จริง เจ้าไปถามนายท่านเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ทุกคนล้วนเคยแก้ผ้าตอนเจอหน้านายท่าน ยังมีอะไรน่าเขินอายอีกเหรอ? เฮ้อ! ในเมื่อทุกคนได้ยินแล้ว ก็น่าจะรู้ว่ากว่านายท่านจะเดินมาถึงวันนี้ได้ในแต่ละก้าวนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ใช่ว่าเขาอยากทิ้งพวกเรา แต่ทำตามใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ทุกคนกำลังจะไปกันแล้ว หวังว่าต่อไปนี้ทุกคนจะช่วยแบ่งเบาความกังวลให้นายท่านได้บ้าง ถ้ามีเรื่องอะไรก็ช่วยคิดในมุมของนายท่านให้มากๆ หน่อย อย่าให้นายท่านแบกทุกเรื่องไว้คนเดียว อย่าทำเหมือนพวกเราเป็นแจกันดอกไม้ที่วางประดับไว้เฉยๆ”
ผู้หญิงกลุ่มนี้เงียบไปพักหนึ่ง จีเหม่ยลี่บอกอีกว่า “ได้ยินว่าพวกร้านค้าที่ตลาดสวรรค์กังวลกันมาก พอรู้ว่านายท่านควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ราบคาบภายในเวลาอันสั้น ก็พากันกังวลว่านายท่านจะนำกำลังพลมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์เหมือนที่พูดไว้ในปีนั้น”
อวี้หนูเจียวก็ถามเช่นกันว่า “ฮูหยิน นายท่านจะพาคนมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงเหรอคะ?”
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจอีก แล้วส่ายหน้าบอกใบ้ว่าไม่รู้
ว่ากันตามจริง นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จะทำแบบนี้หรือเปล่า ตามหลักการแล้ว ถ้าพวกฝูชิงยังอยู่ที่นี่ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นสิ แต่สาเหตุที่ร้านค้าพวกยังหวั่นวิตกทั้งๆ ที่เหมียวอี้ไปแล้ว ก็เป็นเพราะเหมียวอี้สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ ไม่มีใครเคลือบแคลงในความน่าเชื่อถือของคำพูดเหมียวอี้ นี่ก็คือบารมีความน่าเชื่อถือของเหมียวอี้ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ บรรดาคนของสมาคมร้านค้าสุมหัวปรึกษากันทุกวัน เรียกได้ว่ากลัวจะตายอยู่แล้ว แต่ดันทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เลยสักนิด ยังไม่มีใครกล้าไปลงมือกับเหมียวอี้ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย และข้างกายเหมียวอี้ก็มีกำลังทหารล้อมพิทักษ์หนาแน่นมาก ลงมือไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
แดนอเวจี ที่ยอดเขาสูงบนทะเล ไห่ยวนเค่อยืนหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ย้อมจนท้องฟ้าและมหาสมุทรเป็นสีแดงฉาน เขาเองก็ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน
ในตำหนัก จินม่านเดินเนิบนาบออกมา เดินลงบันไดแล้วมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกกงซุนลี่เต้าติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา มองเงาร่างที่ยืนลำพังอยู่ริมหน้าผาแวบหนึ่ง แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก
พอเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายไห่ยวนเค่อ จินม่านก็กล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าเพิ่งจะติดต่อกับประมุขปราชญ์ ซินเอ๋อร์ปลอดภัยดีมาก แม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่หลุดไป”
ทางนี้ก็ทราบข่าวที่เหมียวอี้อยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำแล้วเช่นกัน ความน่าหวาดเสียวแบบนั้น คนที่เคยบัญชาการทัพใหญ่มาก่อนต่างก็รู้ดี เพียงแต่ในข่าวที่คนข้างนอกลือกันไม่มีใครเอ่ยถึงไห่ผิงซิน ในเรื่องแบบนี้ไม่มีใครเอาความสนใจเกี่ยวกับข่าวมาวางไว้ที่ตัวละครเล็กๆ อย่างไห่ผิงซินคนเดียว กำลังคนของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ไม่มีทางสืบรู้ข่าวเบื้องลึกของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้เช่นกัน
ทว่าพอไห่ยวนเค่อมาที่นี่ จินม่านและคนอื่นๆ ก็รู้แล้วว่าไห่ยวนเค่อกำลังกังวลอะไร แต่ไห่ยวนเค่อมีนิสัยชอบเก็บความทุกข์ไว้ในใจคนเดียว ต่อให้เป็นวิธีการติดต่อกับประมุขปราชญ์และลูกสาว เขาก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนเช่นกัน
เมื่อได้รู้ว่าลูกสาวอยู่รอดปลอดภัย ในที่สุดไห่ยวนเค่อก็มีสีหน้าผ่อนคลายแล้ว แต่ทำหมือนไม่เป็นห่วงไห่ผิงซิน กลับถามเสียงเรียบว่า “ทางประมุขปราชญ์ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
จินม่านล้อเล่นพอหอมปากหอมคอ พูดหยอกล้อว่า “เป็นสิ ตอนนี้ประมุขปราชญ์ปวดหัวมาก เพราะควบคุมซินเอ๋อร์ไม่ได้ ซินเอ๋อร์เคารพบูชานางระบำที่เป็นอนุภรรยาของประมุขปราชญ์สุดๆ อยากจะเรียนร้องเพลงเต้นระบำกับนาง แต่นางระบำคนนั้นกลับเป็นสายลับที่ฝ่ายโจรกบฏแทรกมาไว้ข้างกายประมุขปราชญ์ ซินเอ๋อร์ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปอยู่ข้างกายนางระบำคนนั้น เจ้าว่าประมุขปราชญ์จะไม่ปวดหัวเหรอ”
“ฮ่าๆ…” พวกกงซุนลี่เต้าหัวเราะเสียงดังอย่างให้ความร่วมมือมาก แต่ไม่นานก็อ้าปากค้างหัวเราะไม่ออกแล้ว ไห่ยวนเค่อหันกลับมามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับกำลังถามว่า น่าขำมากนักเหรอ?
ทำเอาพวกที่ยิ้มค้างทำตัวไม่ถูก พอไห่ยวนเค่อหันกลับไป ก็เหาะขึ้นฟ้าจากไปทันที
ขณะที่มองส่งเขา คนที่เหลือก็สบตากันแวบหนึ่ง “เฮ้อ…” เรียกได้ว่าถอนหายใจออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ถ้ารู้แต่แรกว่าประมุขปราชญ์จะถูกย้ายไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทุกคนก็คงไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามกับปี้เยว่มากจนมีแม่สาวน้อยคนนี้ออกมาหรอก ตอนนี้หมดกัน ตอนนี้สาวน้อยไม่ใช่แค่ควบคุมไห่ยวนเค่อแค่คนเดียว ทั้งยังควบคุมพวกเขาทุกคนแล้วด้วย นับว่าทุกคนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง’
ธงพยัคฆ์น้ำเงินปลิวสะบัดอยู่บนไหล่เขา ระหว่างหุบเขามีน้ำตกลำธาร ภูเขาทอดยาวเหยียด ป่าเขียวขจีสดชื่น
ปัจจัยด้านที่พักของธงพยัคฆ์น้ำเงินดีกว่าธงพยัคฆ์ดำเยอะมาก ระหว่างภูเขามีเรือนพักหลายหลังที่ทำจากไม้ซุง เป็นที่ประจำการของทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงิน
นอกคฤหาสน์ไม้หลังหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในภูเขา มีคนสิบคนมาพร้อมกัน พอเข้ามาในสวน เห็นเพียงจ้านหรูอี้ทำตัวราวกับกินยาผิดมา รูปร่างสูงสง่ามีส่วนเว้าส่วนโค้งและใบหน้านั้นงดงามแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนผู้หญิง ชุดกระโปรงที่สวยงามกลับกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบไม่หยุด
“คารวะผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสิบคนกุมหมัดคารวะพร้อมกัน
กระโปรงยาวตัวนั้นสั่นไหวและหยุดอยู่กับที่ จ้านหรูอี้หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังโมโหใคร โกรธหน้าดำหน้าแดง ได้ยินเพียงเสียงอันคับแค้นของนางราวกับกำลังกัดฟันพูด “ทุกคนรู้รึเปล่าว่า ว่าหนิวโหย่วเต๋อควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้อย่างราบรื่นแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือกุมทั้งธงพยัคฆ์ดำโดยใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ขนาดผู้ตรวจการทัพเป่ยโต้วยังไปตรวจสอบแล้ว แต่พวกเราล่ะ? กลับโดนถ่วงเวลาให้ขยับไปไหนไม่ได้ ทำเรื่องอะไรไม่ได้ทั้งนั้น สำหรับธงพยัคฆ์น้ำเงิน คำพูดของผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าไร้น้ำหนักยิ่งกว่าลมตดด้วยซ้ำ!” มีภูมิหลังเป็นตระกูลที่ดี แต่กลับพูดคำหยาบคายสกปรกออกมาได้ จะเห็นได้ว่าโมโหขนาดไหน
ทั้งสิบคนส่งสายตาให้กันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ข้อมูลของทางธงพยัคฆ์ดำพวกเขาก็ได้ยินมาแล้ว แต่ทางตระกูลจ้านส่งข่าวมา ว่าให้พวกเขาปิดข่าวไว้ อย่าให้จ้านหรูอี้รู้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน เรียกได้ว่าค่อนข้างเข้าใจนิสัยเจ้าอารมณ์ของหลานสาวบ้านตัวเอง ทั้งสิบย่อมไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ธงพยัคฆ์ดำอยู่แล้ว
ทว่าจ้านหรูอี้ก็มีกลุ่มสหายของตัวเองเหมือนกัน ยามนางได้รับความลำบากอยู่ที่นี่ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหมียวอี้ที่เป็นคู่ต่อสู้เก่า อยากจะรู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้โชคร้ายกว่าตัวเองรึเปล่า ถึงได้ให้สหายช่วยสืบข่าวให้
บทที่ 1364 ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้โง่ขนาดนั้น
Ink Stone_Fantasy
ผลปรากฏว่าตอนยังไม่สืบข่าวก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอสืบจนกระจ่างแล้วก็งงไปเลย เหม่อค้างไปเลย
ตอนแรกนางยังนึกว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ยินดีต้อนรับตน ถึงอย่างไรนางก็ได้รับบทเรียนตั้งแต่มารายงานตัวที่กองมังกรดำแล้ว ชัดเจนว่ามีคนไม่ต้อนรับตน อยากจะกดดันให้ตนหนีไป ดังนั้นจึงจงใจทำสถานการณ์ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินให้กลายเป็นแบบนี้
แต่สำหรับนาง ความจริงไม่ได้โหดร้ายแบบธรรมดา คนของธงพยัคฆ์ดำที่ถูกดึงออกไปเหมือนกันคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินทุกอย่าง หนิวโหย่วเต๋อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เหมือนกับตนทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยด้านฐานประจำการของธงพยัคฆ์น้ำเงินก็ดีกว่าของธงพยัคฆ์ดำตั้งเยอะ สมาชิกของตนก็พามาครบ แต่หนิวโหย่วเต๋อพาลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องมาด้วยเพียงไม่กี่คน
ถึงแม้จะมีการเปรียบเทียบแบบนี้ แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ หนิวโหย่วเต๋อใช้เวลาไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ พอไปถึงก็วางหมากกันทัพกลางที่ล้อมไว้ออกไป ตามด้วยการใช้วิธีที่รวดเร็วดุดัน ฆ่าคนจนฝ่ายตรงข้ามฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก ประหารคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู กำจัดเผย อู๋ เหิง ทำให้ทัพกลางสงบ จากนั้นก็อาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญนำทัพกลางจำนวนหนึ่งหมื่นไปคุมเชิงกับธงอินทรีสิบกองทัพที่มีจำนวนหนึ่งแสน ตะโกนอย่างดุร้ายอยู่หน้ากระบวนทัพ ใช้กำนาจบารมีสยบธงอินทรีสิบกองทัพ ใช้แส้เฆี่ยนลงโทษผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพต่อหน้าทุกคนของธงพยัคฆ์ดำ แล้วรีบจัดระเบียบโครงสร้างธงพยัคฆ์ดำใหม่ ควบคุมทั้งธงพยัคฆ์ดำได้ภายในครั้งเดียว
ตอนที่สหายของจ้านหรูอี้เล่าเรื่องนี้ให้จ้านหรูอี้ฟัง ถึงแม้จะไม่ได้ชมหนิวโหย่วเต๋อต่อหน้าจ้านหรูอี้ แต่เจตนาชื่นชมที่อยู่ในน้ำเสียงก็ค่อนข้างชัดเจน ทว่าเจตนาชื่นชมนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าจ้านหรูอี้อย่างแรง ตบจนจ้านหรูอี้สับสนวุ่นวาย เหม่อค้างไปแล้ว
ตอนแรกนางก็ยังไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะเก่งขนาดนั้น จึงไปสืบข่าวกับอีกหลายคนติดต่อกัน สงสัยทุกคนจะรู้กันหมดแล้ว มีแค่นางคนเดียวที่โง่งมงาย
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่ทำให้เจ็บปวดราวกับเลือดไหล แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าใครเก่งใครอ่อน ความยอดเยี่ยมของหนิวโหย่วเต๋อได้ขับให้ความไร้ฝีมือของจ้านหรูอี้เด่นชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ แบบนี้จะให้นางข่มอารมณ์โกรธได้อย่างไร ในภายหลังจะมีที่ยืนในตระกูลจ้านได้อย่างไร ดังนั้นจึงเกิดฉากอย่างที่เห็น
“ทำไมไม่ใครพูดอะไรเลยล่ะ?” จ้านหรูอี้เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้จากปฏิกิริยาของทุกคน จึงตะคอกถามว่า “พวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จงใจปิดบังข้าใช่มั้ย?”
ทุกคนก้มหน้าเล็กน้อย ยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
การไม่พูดอะไรก็คือการแสดงท่าทีเหมือนกัน จ้านหรูอี้เข้าใจแล้ว จึงกล่าวถามด้วยใบหน้าเย็นเยียบ “คนในบ้านข้าให้พวกเจ้าปิดข่าวนี้ใช่มั้ย?”
ทุกคนยังคงเงียบงัน จ้านหรูอี้หายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง บนใบหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด กำนิ้วทั้งสิบที่อยู่ในแขนเสื้อ กำแล้วก็ปล่อย ให้ความรู้สึกเหมือนใกล้จะประสาทเสีย แต่สุดท้ายก็ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะเข้าใจนะ ว่าข้ามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อะไร ข้าต้องการจะล้างความอัปยศ แทนที่พวกเจ้าจะช่วยข้า แต่กลับทำร้ายข้า! ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้แล้ว แต่ข้ากลับเหมือนจมอยู่ในโคลน ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ เปรียบเทียบกันแล้วอัปยศจริงๆ เจ้าว่ามาซิว่าควรทำยังไง?”
คนกลุ่มนั้นยังก้มหน้าไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นใครพูดอะไร จ้านหรูอี้ก็เข้าใจพวกเขาเช่นกัน นางไม่ได้กดดันพวกเขา เอาแต่กัดฟันพูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อสามารถทำได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำบ้างไม่ได้? ข้ามีคนน้อยกว่าเขาเหรอ หรือวรยุทธ์สู้เขาไม่ได้ล่ะ หรือศักยภาพของพวกเราสู้เขาไม่ได้? ถ้าแม้แต่เลียนแบบยังทำไม่ได้ ยังหยุดถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไป งั้นพวกเราก็จะกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะแล้ว ต่อไปก็อย่าได้ออกไปเจอใครเลย เอาเต้าหู้มาทุบหัวให้ตายก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
ทั้งสิบตกใจทันที มีบางคนกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ได้เด็ดขาด เงื่อนไขของทั้งสองฝั่งต่างกัน หนิวโหย่วเต๋อมีสำนักหกนิ้วที่คอยเป็นมือเท้าให้เขา ช่วยย้ายทัพกลางออกไปให้เขา แต่พวกเรากลับอยู่ในป่าภูเขาลึก ถูกล้อมไว้หลายชั้น ไม่มีเหตุผลที่จะกันทัพกลางออกไปได้เลย”
จ้านหรูอี้ตะคอกตัดบททันที “อาณาเขตเป็นของตาย แต่คนยังมีชีวิต ถ้าย้ายทัพกลางออกไปไม่ได้ก็ย้ายซุนกับเจี่ยงออกจากทัพกลางเพื่อหาโอกาสลงมือ”
ซุนกับเจี่ยงที่นางบอกก็คือรองผู้บัญชาการทั้งสองของธงพยัคฆ์น้ำเงิน คนหนึ่งชื่อซุนหมิงต้ง อีกคนชื่อเจี่ยงสื้อฉี อีกฝ่ายไม่สนใจว่านางจะเป็นหลานสาวใคร อ๋องสวรรค์อิ๋งก็มายุ่งที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ได้เช่นกัน
อันที่จริง การเริ่มต้นของนางควรจะดีกว่าเหมียวอี้ ประการแรกเป็นเพราะยศและวรยุทธ์ของนางสูงพอ กอปรกับฐานะหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง อย่างน้อยก็ยังมีพลังที่น่าหวาดกลัวอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครจะอยู่ในกองทัพตลอดโดยไม่ออกมา ขอเพียงจ้านหรูอี้ใช้วิธีทางการเมืองมาปลอบประโลมรองผู้บัญชาการทั้งสอง ทำให้ตำแหน่งของทั้งสองมั่นคง ครอบครองทุกตำแหน่งเอาไว้อย่างไม่รีบร้อน เหลือทางหนีทีไล่ครึ่งหนึ่งไว้ให้ลูกน้อง กำลังพลเบื้องล่างที่ไม่พอใจก็คงไม่ก่อเรื่องสักเท่าไร ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนรังแกเพราะมีอำนาจน้อยเหมือนเหมียวอี้ จ้องอยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของเหมียวอี้ พอมาถึงก็สั่งสอนเหมียวอี้เลย ขนาดผ่านไปครึ่งวันยังไม่ให้เหมียวอี้เข้าประตู แล้วจะไม่ให้เหมียวอี้เกิดความคิดอยากจะฆ่าได้อย่างไร
ทว่าตั้งแต่จ้านหรูอี้มีตำแหน่งขุนนางตำหนักสวรรค์ติดตัว อาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนาง ก็ไม่เคยจำเป็นต้องมองสีหน้าของลูกน้องเลย ไม่ว่าจะไปรับตำแหน่งที่ไหน ลูกน้องก็ล้วนเชื่อฟังนาง นางมีอำนาจตัดสินใจมาตลอด ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ไม่เคยรู้เลยว่าวิธีทางการเมืองคืออะไร แต่ต่อให้รู้จักก็ไม่เคยให้มาก่อน จะไปรู้ถึงอันตรายในสังคมได้อย่างไร
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย แต่บนศีรษะของจ้านหรูอี้ก็มีรัศมีของตระกูลอิ๋งคุ้มอยู่ มีหรือที่จะก้มหน้าอยู่ที่นี่โดยไม่สนใจชื่อเสียงบารมีของตระกูลอิ๋ง ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงพูดจาไม่ค่อยเกรงใจใคร ที่สุดจะทนยิ่งกว่านั้นก็คือ คนที่นางพามาด้วยก็เข้าใจเช่นกันว่าตัวเองมาเพื่อตระกูลอิ๋ง มีภูมิหลังแบบนั้นก็จะมาโดยสูญเปล่าไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วที่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทั้งสองจะเป็นของพวกเขา ต่อให้ตอนนี้ไม่ทำ แต่ในภายหลังก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ในคำพูดเป็นการแสดงให้กำลังพลเบื้องล่างเห็น เป็นการสื่อความนัยที่ชัดเจนมาก เจตนาก็คือให้ลูกน้องเชื่อฟังแต่โดยดี ช่วยให้พวกเขายืนได้อย่างมั่นคง ในภายหลังก็ย่อมอยู่ด้วยกันดีๆ ได้
แบบนี้ก็แย่น่ะสิ พวกเราไม่ได้แย่งตำแหน่งเจ้า แต่เจ้ากลับจะไล่ตะเพิดพวกเราลงจากเวทีเหรอ? การขู่คุกคามที่กระชั้นชิดจวนตัว ซุนกับเจี่ยงย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว ตอนแรกที่เห็นจ้านหรูอี้ก็ยังเกรงใจอยู่ ไม่ได้แสดงอำนาจบารมีโดยการไม่ให้เข้าประตูเหมือนที่ทำกับเหมียวอี้ หลังจากทั้งสองฉีกหน้า เปลี่ยนแนวโน้มของเรื่องราว ก็ทำให้จ้านหรูอี้ได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของ ‘งูเจ้าที่’ ทันที
เมื่อเห็นนางพูดจาอย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ก็มีคนรีบเกลี้ยกล่อมให้หยุดอีก “ผู้บัญชาการใหญ่ การที่หนิวโหย่วเต๋อพาคนไปน้อยก็ถือเป็นข้อดี กอปรกับวรยุทธ์ไม่สูง ถึงได้ทำให้รองผู้บัญชาการทั้งสองประมาทได้ แต่คนฝั่งพวกเราที่ไม่จำนวนเยอะและมีศักยภาพมากกลับกลายเป็นข้อเสีย กลับยิ่งลงมือให้สำเร็จได้ยาก ดูจากเวลาที่ซุนกับเจี่ยงเข้าออกที่พักของผู้บัญชาการใหญ่แล้วเตรียมผู้ช่วยจำนวนหนึ่งไว้ข้างกายตลอดเวลาก็รู้แล้ว”
จ้านหรูอี้กล่าวอย่างแค้นใจว่า “มีหรือที่ข้าจะไม่รู้หลักการนี้ แต่อาศัยผู้ติดตามไม่มีคนข้างกายพวกเขา ขอเพียงไม่มีทัพใหญ่คอยช่วยเหลือ เวลาเข่นฆ่ากันพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราหรอก แค่ข้าคนเดียวก็ฆ่าพวกเขาได้เหมือนดอกไม้ร่วงระนาวลงแม่น้ำแล้ว แล้วยิ่งมีพวกเจ้าคอยช่วยอีก”
คังเต้าผิง ลูกน้องคนสนิทของนางบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ฝั่งนี้ต้องรู้เรื่องฝั่งหนิวโหย่วเต๋อแล้วแน่นอน ต่อให้กำจัดซุนกับเจี่ยงทิ้งแล้ว แต่วัง โหว หลูสามคนที่อยู่ทัพกลางจะนั่งรอความตายเฉยๆ เหรอ จะต้องต่อต้านการสังหารแน่นอน มีบทเรียนจากหนิวโหย่วเต๋อให้เห็นแล้ว ถ้าพวกเขามีแผนในใจก็จะไม่ให้โอกาสพวกเรารกบฏทัพกลาง เดิมทีพวกเราก็รับผลแบบนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว”
จ้านหรูอี้บอกว่า “ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น ย่อมมีแผนดีๆ รับมืออยู่แล้ว เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้อีก คังเต้าผิง เป็นเจ้าแล้วกัน เจ้าไปบอกพวกเขาสองคน บอกว่าข้าจะไปลาดตระเวนตรวจสอบที่ธงอินทรีสิบกองทัพ ให้พวกเขาสองคนคอยติดตาม อย่าชักช้า เดี๋ยวนี้ ไปตอนนี้เลย!”
ทั้งสิบมองหน้ากันเลิกลั่ก คังเต้าผิงก็ยิ่งทำสีหน้าลำบากใจ
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งเหรอ?” จ้านหรูอี้ถลึงดวงตางามแล้ว
“รับทราบ!” คังเต้าผิงทำได้เพียงแข็งใจเอ่ยรับ พบว่าผู้หญิงคนนี้กำลังโมโหและวู่วามเกินไป เขากะว่าพอออกจากลานบ้านก็จะติดต่อกับตระกูลจ้านทันที เขาห้ามไม่ไหว ทำได้เพียงให้ตระกูลจ้านห้ามไว้
แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะจ้องคนอื่นๆ อีก “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ข้ารู้ว่าในบรรดาพวกเจ้ามีคนที่ติดต่อกับบ้านข้าตลอด วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ถ้าใครกล้าเอาเรื่องวันนี้ไปรายงานบ้านข้าอีก…พวกเจ้าอย่าลืมนะว่าตอนนี้อยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า เกินขอบเขตอำนาจของบ้านข้าเหมือนกัน ถ้าข้าจับได้ว่าใครทำให้งานของข้าเสีย ก็อย่านึกว่าข้าจะไม่กล้าเด็ดหัว!”
เมื่อนางกล่าวแบบนี้ ทุกคนก็เถียงไม่ออก คังเต้าผิงที่แอบดำเนินการอยู่เบื้องหลังก็ยิ่งแอบร้องอย่างขื่นขม พบว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้ช่างรับใช้ยากจริงๆ
จากนั้นจ้านหรูอี้ก็วางแผนกับคนอื่นๆ ทันที เพื่อไม่ทำให้ซุนกับเจี่ยงสงสัย นางตัดสินใจพาผู้ติดตามไปด้วยเพียงสองในสิบ ส่วนที่เหลือทั้งหมดคอยรอฟังคำสั่งอยู่ในกระเป๋าสัตว์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ก็ออกมาร่วมมือกันล้อปราบกำลังพลของซุนกับเจี่ยงทันที
ในลานบ้านระหว่างภูเขาอีกแห่งหนึ่ง คังเต้าผิงที่เพิ่งรายงานออกไปได้ไม่นาน วังทง โหวอวี้หวน หลูเอินหวงผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางทั้งสามของธงพยัคฆ์น้ำเงินก็มาถึงครอบแล้ว
ซุนหมิงต้ง เจี่ยงสื้อฉีบอกเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่จะลาดตระเวนสังเกตการณ์ให้ฟัง ให้ทั้งสามคนเฝ้าบ้านให้ดี อย่าให้คนอื่นย้ายเสือออกจากภูเขาและเจาะช่องโหว่ เรื่องรองลงมาก็คือรองผู้บัญชาการทั้งสองต้องขอยืมตัวยอดฝีมือจากทัพกลางให้คอยติดตามคุ้มกันด้วย จะนำคนของทัพกลางไปด้วยก็ย่อมต้องบอกทัพกลางอยู่แล้ว
ทั้งสามได้ยินแล้วตกใจ วังทงบอกว่า “นายท่านทั้งสอง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ให้ทัพใหญ่ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ ระวังจะมีแผนร้ายนะ เพื่อความมั่นใจและเชื่อถือได้ นายท่านทั้งสองอย่าไปจะดีกว่า ดึงคนจากทัพกลางจำนวนหนึ่งให้ติดตามผู้หญิงคนนั้นก็พอแล้ว”
ซุนหมิงต้งโบกมือ “ไม่เหมาะสม ต่อให้สู้กันแต่ก็ต้องมีขอบเขต พวกเราแค่ไม่ให้อำนาจนาง ถ้ายังไม่ยอมอีกก็โค่นล้มนาง ถ้าแม้แต่เรียกไปลดตระเวนแล้วยังไม่สนใจ แบบนั้นก็แลว่าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว ถ้านางรายงานขึ้นไป ว่าพวกเราทำซี้ซั้วไร้ระเบียบ ปัญหายุ่งยากก็จะมาอยู่ที่พวกเรา”
โหวอวี้หวนขมวดคิ้วบอกว่า “นายท่านทั้งสอง ไม่ได้ยินเรื่องที่ธงพยัคฆ์ดำเหรอ ผู้หญิงคนนี้กำลังตามกัดก้นหนิวโหย่วเต๋อนะ หนิวโหย่วเต๋อเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ถ้าผู้หญิงคนนั้นเดินเรื่องเขาตามจะไม่อันตรายหรอกเหรอ?”
เจี่ยงสื้อฉียิ้มพร้อมตอบว่า “จะไม่รู้ได้ยังไง ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกมั้ง หนิวโหย่วเต๋อเล่นแบบนี้ แล้วนางก็เล่นแบบนี้เหมือนกัน คิดว่าฝ่ายนี้โง่จริงๆ เหรอ? ต่อให้กำจัดพวกเราสองคนทิ้งได้ แต่พวกเจ้าสามคนจะเสียเปรียบให้ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำอีกรึไง? ข้าว่าต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะหยิ่งผยองยังไง แต่ก็ไม่น่าจะไม่เข้าใจจุดนี้ มิหนำซ้ำกำลังพลที่ติดตามพวกเราก็ไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ นางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเหมือนกัน”
วัง โหว หลูทั้งสามสบตากับแวบหนึ่ง สถานการณ์ของทัพกลางก็เห็นๆ กันอยู่ คนอื่นอาจจะมีทางหนีทีไล่ แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาสามคนกลับไม่มีทางถอย เรื่องนี้มีแต่จะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น พวกเขาจะมัวหวาดกลัวตัวสั่นและระวังตัวตามใจตัวเองไม่ได้
หลูเอินหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ที่นี่อยู่ในอาณาเขตของอ๋องสวรรค์อิ๋ง คนอื่นอาจจะก่อเรื่องที่นี่ได้ยาก แต่ถ้าตระกูลอิ๋งอยากจะจัดเตรียมคนจำนวนหนึ่งมาไว้ที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าคนที่เตรียมไว้ลอบจู่โจมกลางทาง อาศัยคนที่นายท่านทั้งสองพาไปด้วยก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้”
ซุนกับเจี่ยงเงียบไป เจี่ยงสื้อฉีขมวดคิ้วบอกว่า “ต่อให้อ๋องสวรรค์อิ๋งจะใจกล้ากว่านี้ แต่จะกล้าลงมือกับคนในหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อราชันสวรรค์เชียวเหรอ?”
หลูเอินหวงถามอีก “ไม่เคยได้ยินเรื่องฆ่าปิดปากเหรอ หลังจากจบเรื่องจ้านหรูอี้สามารถเหมาเรื่องทุกอย่างไว้เองได้เลย ยัดข้อหากลับเหมือนหนิวโหย่วเต๋อ นอกจากนี้ ชีวิตของนายท่านทั้งสองสำคัญหรือเปล่า? อย่าบอกนะว่าจะเอาไปเดิมพัน?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น