คัมภีร์วิถีเซียน 1357-1373
[ส่วนที่ 9 ภาคร้อยเผ่าแดนวิญญาณ] ตอนที่ 1357 ภารกิจ
กลางฝ่าสีแดงสดที่เต็มไปด้วยต้นไม้ประหลาดรูปร่างบิดเบี้ยว มีบุรุษและสตรีวัยเยาว์ห้าคน กำลังยืนเผชิญหน้ากันห่างออกไปคนละสองสามจั้งโดยไม่ได้ปริปากใดๆ ในที่ลับของป่า
คนหนึ่งคือบุรุษอายุสามสิบปีเศษ สวมชุดผ้าไหม คิ้วทั้งสองเป็นสีขาวหิมะ ดวงตาเปล่งประกายราวกับสายฟ้า
คนหนึ่งคือสตรีสวมกระโปรงสีดำ ร่างกายอรชรอ้อนแอ้น คิ้วดำยาวมาจรดปอยผม ใบหน้ามีจิตสังหารเคลือบอยู่
ชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงอายุประมาณสิบเจ็บสิบแปดปี มุมปากมีไฝสีแดง ดูสง่าและหล่อเหลา ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
สตรีสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง อายุสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตางดงาม แฝงความไร้เดียงสาเอาไว้บุรุษคนสุดท้ายอายุยี่สิบสามปี สวมชุดสีเขียว หน้าตาไร้ความรู้สึก นั่นก็คือหานลี่ที่จากเมืองเทวะสวรรค์มาได้ไม่นาน
ทั้งห้าคนดูแล้วอ่อนเยาว์ขนาดนี้ แต่พลังยุทธ์ล้วนอยู่ในระดับเทพแปลงขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากหานลี่และสตรีสวมชุดชาวที่อายุอ่อนเยาว์ที่สุดแล้วซึ่งมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นกลางแล้ว ที่เหลืออีกสามคนก็อยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลาย
ทว่าสตรีที่สวมชุดดำหนึ่งในนั้น นั่นก็คือสตรีแซ่เสี่ยวของเผ่าหงส์ทมิฬที่ปรากฏตัวหลังจากที่หานลี่ผ่านคลื่นอสูรมา
สตรีผู้นี้มองมายังหานลี่ด้วยใบหน้าเย็นชา ถึงแม้ว่าจะปริปาก แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย
“คิดไม่ถึงเลยว่า เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะส่งผู้บำเพ็ญเพียรมาสามคน มีสองคนอยู่ในระดับขั้นกลาง หรือว่าเผ่าของเจ้าจงใจผลักภาระในครั้งนี้?” บุรุษสวมชุดผ้าไหมดวงตาสีเขียวราวกับหิมะเอ่ยปากอย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับดังกึกก้องในหูของทุกคนอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มดวงตาสีขาว ชายหนุ่มไฝสีแดงพลันเลิกคิ้ว หุบยิ้มบนใบหน้า หานลี่กลับเปลือกตาไม่กระตุก แค่ก้มหน้าลงควงคัมภีร์สีขาวนวลในมือเล่น
ส่วนหญิงสาวผู้สวมชุดสีขาวผู้นั้น กลับกลอกตาดำขลับไปมา แล้วแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
คาดไม่ถึงว่าทั้งสามจะไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อเห็นพวกของหานลี่มีสีหน้าเช่นนี้ บุรุษคิ้วขาวก็รู้สึกโกรธ ใบหน้าฉายแววโหดเ**้ยม และไม่ได้กล่าวอะไรอีก สตรีแซ่เสี่ยวกลับเอ่ยปากขึ้นว่า
“ภารกิจครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับเมืองเทวะสวรรค์ แม้กระทั่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของทั้งสองเผ่าของพวกเรา ถ้าหากพวกเราไม่ยอมร่วมมือด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำภารกิจสำเร็จไหมเลย จะไปถึงที่ทำภารกิจหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก อย่าลืมล่ะ แค่รีบไปก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี ในเมื่อเผ่าของเจ้าส่งสหายมาสามคน คิดดูแล้วทั้งสามคนคงไม่ธรรมดา แต่จากนี้ต้องร่วมทางกันเป็นเวลานาน พวกเราก็น่าจะแนะนำตัวกันสักหน่อย ข้าน้อยเสี่ยวหง มาจากเผ่าหงส์ทมิฬ ผู้นี้คือสหายหลี่จากเผ่าอินทรีทมิฬ”
สตรีผู้นี้มีท่าทีไม่ได้เย่อหยิ่งและไม่ได้หงอกลัว
ชายหนุ่มไฝแดงได้ยินคำนี้ พลันกลอกตาไปมา เอ่ยปากพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ว่า
“ข้าน้อยหล่งตง ดูจากพลังเพลิงของเซียน คิดดูแล้วน่าจะฝึกฝนเปลวเพลิงประจำกายของเผ่าหงส์ทมิฬจนถึงระดับสูงแล้วสินะ”
“นายท่านคือคนของตระกูลหล่ง!” หญิงสาวได้ยินชื่อของชายหนุ่ม กลับหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าเซียนจะรู้จักตระกูลหล่งของข้า” ชายหนุ่มไฝแดงอ้าปากเผยไรฟันสีขาวสะอาดออกมา เอ่ยปากพร้อมกับกลั้วหัวเราะ
“ข้าชื่อเยี่ยอิ่ง” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะเบาๆ ขณะเอ่ย น้ำเสียงไพเราะดุจนกขมิ้น
“หานลี่!” หานลี่พ่นคำพูดส่งประโยคออกมา แล้วปิดปากฉับในทันใด
“หานลี่? เจ้าจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะวันนั้นคาดไม่ถึงว่าท่านจะมีสมบัติวิเศษอย่างไข่มุกทลายเซียนอยู่ด้วย เดิมทีเจ้าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงดังคาด เช่นนั้น เคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนก็คือผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรสินะ” เสี่ยวหงมองหานลี่ น้ำเสียงกลับเย็นชา
เมื่อได้ยินคำว่าผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ชายหนุ่มแซ่หล่งและชายหนุ่มคิ้วขาวก็พากันตกตะลึง หญิงสาวชุดขาวเองก็ตกตะลึง
“หากเรียกว่าฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ก็นับว่าใช่กระมัง ไม่เจอกันนาน ไต่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” หานลี่ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ แค่ถามกลับหนึ่งประโยค
“ที่ไต่เอ๋อร์มากับข้าในวันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ชาญฉลาด ครานี้นางฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว และผนึกจิตวิญญาณทองได้แล้ว ถึงแม้จะไล่ตามเจ้าและข้าไม่ทัน แต่ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น” ได้ยินคำว่าไต่เอ๋อร์ หญิงสาวกลับเงียบขรึม แล้วถึงได้ตอบกลับอย่างเย็นชา
“งั้นหรือ ในเมื่อไม่เป็นไร ผู้แซ่หานก็วางใจ” หานลี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อันใด พี่หญิงเสี่ยวรู้จักพี่หานหรือ?” หญิงสาวนามว่าเยี่ยอิ่งกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่ แล้วหัวเราะคิกคักขณะเอ่ยถาม
“รู้จัก? หึๆ! นับว่าเป็นสหายเก่ากระมัง!” สตรีหัวเราะอย่างเย็นชา
ครานี้ ชายหนุ่มไฝแดงเองก็มองมาทางนี้แวบหนึ่ง แล้วดูเหมือนจะมองมาทางหานลี่และเสี่ยวหง สายตากลับหยุดชะงักอยู่บนร่างของหญิงสาว แล้วทันใดนั้นก็เลื่อนสายตาออกราวกับไม่สนใจ
นัยน์ตาของคนผู้นี้ฉายแววละโมบ แต่กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ถึงแม้ว่าที่นี่จะยังไม่ใช่ส่วนลึกของแดนป่าเถื่อน แต่ทุกท่านสามารถมารวมตัวกันที่นี่ตามลำพังได้ นั่นหมายความว่าความสามารถของทุกท่านไม่อ่อนแอ แต่ระยะทางหลังจากนี้ ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนที่ผ่านมา หากพวกเราห้าคนไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าคงไปถึงป่าใบดำอย่างปลอดภัยได้ยาก อันตรายที่พบระหว่างทาง น่ากลัวกว่าก่อนหน้าหลายเท่า” หลังจากลังเลเล็กน้อย เสี่ยวหงก็เอ่ยเตือน
เมื่อได้ยินคำว่าป่าหินดำ ที่เหลือทั้งสี่คนก็หน้าเปลี่ยนสี และชักสีหน้าเล็กน้อย
“ภารกิจครั้งนี้ความจริงแล้วเป็นแค่ไปลาดตระเวนเผ่าพฤกษาวิญญาณ รวบรวมข่าวสารและสถานการณ์จากสายลับที่พวกเราส่งเข้าไปในเผ่านั้นกลับมาก็พอแล้วใช่หรือไม่? ฟังดูแล้ว ดูเหมือนจะไม่ยากนัก” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“นั่นมันพูดยาก ยากหรือไม่ต้องดูดวงของพวกเรา หากทุกอย่างราบรื่น บางทีก็อาจจะง่ายกว่าภารกิจอื่นมากนัก แต่ถ้าหากพบกับความยุ่งยากเข้า ก็อาจจะถูกเผ่าพฤกษาในระดับเงินขึ้นไปพบเข้า พวกเราอาจจะต้องเพลี่ยงพล้ำทั้งหมดก็เป็นเรื่องปกติ แต่ภารกิจครั้งนี้มีความสำคัญต่อเผ่าทั้งสองของพวกเราจริงๆ อันตรายครั้งนี้จำเป็นต้องลองเสี่ยงดู” ชายหนุ่มไฝแดงกลับถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยพึมพำ
“ในเมื่อสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเบื้องบนถึงส่งระดับเทพแปลงอย่างพวกเรามา เรียกระดับหลอมสุญตาสักคนไป จะไม่เหมาะสมกว่าหรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หึๆ นายท่านถามเช่นนี้ ดูแล้วผู้ที่รับภารกิจของเผ่าของท่านคงเป็นเซียนเสี่ยวสินะ” ชายหนุ่มแซ่หล่งไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับใช้สีหน้าอมยิ้มมองไปยังหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีดำ
“ในเมื่อพี่หล่งรู้เรื่องนี้แล้ว ดูแล้วเผ่ามนุษย์คงจะให้นายท่านเป็นผู้นำสินะ” หญิงสาวไม่ได้ตกตะลึงแม้แต่น้อย กลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ใช่แล้ว ข้าน้อยรู้มานิดหน่อย” ไฝแดงที่มุมปากของหล่งตงกระตุก และไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้
หญิงสาวแซ่เยี่ยได้ฟังพลันแบะปาก แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วหันหน้าไปมองหานลี่แวบหนึ่ง
หานลี่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ดูเหมือนจะไม่ได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มไฝแดงและหญิงสาวอย่างไรอย่างนั้น นี่จึงทำให้หญิงสาวเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ครั้งนี้แค่ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงอย่างพวกเรามา ก็เป็นเพราะป่าหินดำถูกเผ่าพฤกษาวิญญาณใช้ตาข่ายนิทราพฤกษาสวรรค์ห่อหุ้มเอาไว้ หากระดับเทพแปลงขึ้นไปเข้ามา จะถูกพบร่องรอยในทันที” เสี่ยวหงกลับหันหน้ามาอธิบายให้ชายหนุ่มคิ้วขาวฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าสหายหล่งนั้นก็ช่างเถิด สองคนนี้มีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับเทพแปลงขั้นกลาง พลังยุทธ์ไม่น้อยไปหน่อยหรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวพยักหน้า กลับหรี่ตาทั้งสองข้างลงมองไปยังหานลี่และเยี่ยอิ่ง พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“พี่หลี่วางใจเถิด ที่เหล่าอาวุโสส่งสหายหานและแม่หญิงเยี่ยมาด้วยกัน แน่นอนว่าต้องมั่นใจในตัวเขาทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ไม่มีทางทำให้ทั้งสองผิดหวังแน่ จุดนี้ข้าน้อยรับประกันได้” หล่งตงหัวเราะ
“ในเมื่อสหายรับประกันเช่นนี้ งั้นก็ช่างเถิด แต่หากพวกเขาเป็นตัวถ่วงระหว่างทาง ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ช่วยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มคิ้วขาวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“หึ นายท่านก็ระดับสูงกว่าข้าแค่ขั้นเดียวเท่านั้น พูดเหมือนตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็ไม่ปาน” ชายหนุ่มคิ้วขาวมีท่าทีดูแคลนหลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้หญิงสาวชุดขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม
“พลังยุทธ์มาถึงระดับอย่างพวกเรา ระดับขั้นห่างกันแค่ขั้นเดียว ความสามารถก็ต่างกันมากกว่าครึ่งแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวหัวเราะอย่างเย็นชา ตอบกลับอย่างเย่อหยิ่ง
สตรีสวมชุดขาวรู้สึกโมโหเล็กๆ และตอนที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น หานลี่กลับสอดขึ้นมาว่า
“ในเมื่อพี่หล่งและเซียนเสี่ยวรู้ว่าภารกิจนี้สูงกว่าระดับของพวกเรา ก็แนะนำสถานการณ์อย่างละเอียดให้พวกเราฟังก็แล้วกัน ตอนที่รับภารกิจ ผู้แซ่หานรู้สถานการณ์มาแค่คร่าวๆ เท่านั้น และคิดไม่ถึงว่าจะต้องการผู้ร่วมภารกิจจำนวนมากขนาดนี้ หากรู้เช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่รับภารกิจนี้” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ตอนที่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์และรู้ว่าภารกิจนี้ต้องการคนจำนวนมาก เขาก็รู้สึกผิดปกติแล้ว ตอนนั้นยังคิดจะถอย แต่กลับถูกเบื้องบนบอกว่าภารกิจครั้งนี้สำคัญมาก ในเมื่อรับภารกิจนี้ไปแล้ว ก็ต้องรู้สถานการณ์คร่าวๆ ของภารกิจ หากถอยหลังก็จะถูกริบคุณสมบัติในการรับภารกิจอื่นๆ และห้ามออกจากเมืองเทวะสวรรค์เป็นเวลาสิบปี
เช่นนั้นในขณะที่ในใจมีเรื่องสำคัญ ต้องออกจากเมืองเทวะสวรรค์ในระยะเวลาสองสามปีนี้ จึงจำใจต้องมาที่นี่อย่างทำใจดีสู้เสือ
ผลคือ เขาเสียเวลาสองสามเดือนไปกับการมาถึงจุดรวมตัว ผู้ที่พบนั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นและเผ่าปีศาจ จึงทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ในใจเท่านั้น
ดูแล้วระดับความอันตรายและซับซ้อนของภารกิจนี้ คงจะเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก
จ้าวอู๋กุยและพวกไม่ได้พูดหรือว่า ภารกิจเหล่านี้ปกติแล้วจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาอย่างพวกเรารับภารกิจ หรือว่ารับภารกิจผิดเข้าแล้ว?
แต่ก่อนออกเดินทาง เขาได้รับยาชำระสิ่งโสมมาอย่างเพียงพอแล้วอย่างแน่นอน และได้รับอนุญาตว่าหากทำภารกิจเสร็จสิ้น ก็สามารถออกจากเมืองเทวะสวรรค์ได้ จุดนี้เหมือนกับที่จ้าวอู๋กุยและพวกพูดเอาไว้ทั้งหมด
หานลี่จึงรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยในจุดนี้เล็กน้อย
“รายละเอียดของภารกิจนี้ ระหว่างทางข้าน้อยจะอธิบายให้พี่หานและแม่หญิงเยี่ยฟังอย่างละเอียด ระยะเวลาของภารกิจนี้ไม่ได้นานขนาดนั้น พวกเรารีบออกเดินทางก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” หล่งตงหัวเราะน้อยๆ ออกมา กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“พี่หล่งพูดมีเหตุผล เวลาของพวกเรากระชั้นเข้ามาแล้ว รีบลงมือเถิด ข้าเองก็จะรายงานข้อมูลไประหว่างทาง” เสี่ยวหงเองก็เอ่ยอย่างเห็นด้วย
ชายหนุ่มคิ้วขาวและเยี่ยอิ่งได้ยิน กลับไม่ได้มีเจตนาคัดค้าน
หานลี่ขบคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
“เอาล่ะ ระหว่างทางมีเวลาให้ซักถามอย่างละเอียดอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อความปลอดภัย เหล่าสหายมานั่งสำเภาเมฆาวิญญาณเถิด ประการแรกทุกคนจะได้ไม่ต้องสูญเสียพลังลมปราณ แค่เสียศิลาวิญญาณนิดหน่อยเท่านั้น ประการที่สองสำเภาลำนี้เชี่ยวชาญในการอำพรางตัว ข้าเองก็ลดความยุ่งยากในการเดินทางลงเป็นอย่างมาก” ชายหนุ่มไฝแดงเอ่ยแนะนำด้วยสีหน้าเบิกบาน ดูเหมือนว่าจะกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 1358 คลื่นใต้น้ำ
ลำแสงสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากป่า ด้านในมีสำเภายาวยี่สิบจั้งเศษรางๆ อยู่ลำหนึ่ง
สำเภาลำนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น ตัวสำเภาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหลอมขึ้นจากหยกงาม ผิวของสำเภาสลักลวดลายโบราณที่ดูเหมือนเมฆหมอกเอาไว้ ตัวอักษรสีทองและเงินสองสีเปล่งแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าน่าเกรงขามไม่ธรรมดา
สำเภาหยกสั่นคลอนฉับพลันนั้นตัวอักษรสีทองและเงินพลันระเบิดออก ชัวร์คู่ก็กลายเป็นเมฆสีขาวผืนหนึ่งห่อหุ้มสำเภาลำนั้นเอาไว้ข้างใน กลายเป็นเมฆก้อนยักษ์ที่ดูธรรมดาสามัญก้อนหนึ่ง
จากนั้นเมฆก้อนยักษ์พลันหมุนโคจรรอบหนึ่ง แล้วพุ่งออกไปอย่างเงียบเชียบ
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
เมฆก้อนนั้นดูบางเบา ดูเหมือนจะบินอย่างเชื่องช้า แต่ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง เหมือนว่าความเร็วจะไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเท่าใดนัก
“ไม่เลว คู่ควรกับตระกูลหล่งที่เป็นผู้ควบคุมงานประมูล แม้แต่สำเภาวิญญาณที่เหมาะสมกับการเดินทางระยะไกลก็ยังมี ถึงแม้ว่าสำเภาเมฆาวิญญาณจะไม่นับว่าหายากอะไรนัก แต่ความเร็วขนาดนี้ เกรงว่าคงเป็นของระดับสุดยอดสินะ” เสี่ยวหงยืนอยู่บนหัวเรือ กวาดตามองทุกอย่าง แล้วเอ่ยชื่นชมออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“หึๆ เซียนเสี่ยวชมเกินไปแล้ว เผ่าของข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดเผ่ามหาปีศาจ สมบัติอะไรบ้างที่ไม่เคยพบเห็น สำเภาวิญญาณลำนี้แค่มีความเร็วพอได้เท่านั้น ทว่าที่ว่างของสำเภาลำนี้นับว่ากว้างใหญ่จริงๆ มีห้องทำสมาธิอยู่สิบกว่าห้อง นอกจากต้องให้คนคนหนึ่งมาคอยตรวจตราภายนอกแล้ว คนที่เหลือก็สามารถพักผ่อนในห้องทำสมาธิได้ หากทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ เวลาครึ่งปีก็ไม่ถือว่านานนักสำหรับพวกเรา บางทุกฝึกฝนเพียงครั้งหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว” หล่งตงเอ่ยอย่างมีมารยาท
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราเข้าเวรคนละสิบวัน ส่วนที่เหลือก็ตามอัธยาศัย ก่อนอื่นเลือกห้องทำสมาธิของตนเองก่อนเถิด” สตรีพยักหน้า
เมื่อได้ฟังคำพูดของทั้งสองคน แน่นอนว่าหานลี่และพวกไม่ได้มีท่าทีคัดค้าน ฉับพลันนั้นทุกคนก็เลือกห้องที่ตนเองพอใจมาหนึ่งห้อง แน่นอนว่าในเมื่อเป็นที่พักผ่อนของตนเอง จึงพากันวางเขตอาคมลงในห้อง เพื่อมิให้ถูกผู้อื่นแอบดูอะไร
จากนั้นทั้งห้าคนก็ปรึกษากันอีกเล็กน้อย แล้วเริ่มจัดลำดับการเข้าเวร
จะว่าไปแล้วก็บังเอิญมาก หานลี่ถูกจัดอยู่ในลำดับสุดท้ายพอดี และกว่าจะถึงเวรเขา ก็ยังเหลือเวลาอีกสี่สิบวัน
รอจนจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หานลี่ก็ไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นอีก ตรงเข้าไปในห้องทำสมาธิของตนเอง แล้วเปิดเขตอาคม
สตรีชุดดำและพวกเองก็ไม่ต่างกันมากนัก
นอกจากหล่งตงที่เข้าเวรแล้ว ผู้ที่เหลือก็เข้ามาในห้องของตนเองในทันใด
หล่งตงเห็นสถานการณ์เช่นนั้น มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย แล้วมาอยู่ที่หัวเรืออีกครั้ง พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ฟูกสีเขียวมรกตปรากฏขึ้น
วางลงบนพื้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น
“หึ ครึ่งปี…อยากให้ถึงไวๆ จัง” ชายหนุ่มไฝแดงริมฝีปากขยับสองสามครั้ง ใช้เสียงที่แผ่วเบาเอ่ยพึมพำกับตนเอง แล้วหลับตาลงอย่างช้าๆ แต่รอยยิ้มประหลาดๆ บนใบหน้ากลับประดับอยู่นานไม่คลายไป
ห้องทำสมาธิในสำเภาหยกห้องหนึ่งมีขนาดสองสามจั้ง เสี่ยวหงและชายหนุ่มคิ้วขาวนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง
“อันใด เจ้าหมายถึงแม่หนูที่ชื่อเยี่ยอิ่งคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเผ่าหงส์สวรรค์ และเป็นศิษย์ของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้หรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวดูเหมือนว่าได้ยินสตรีเอ่ยเรื่องที่น่าตกใจออกมา สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
“เหตุใดสหายหลี่ต้องตกใจขนาดนั้น? เผ่าอินทรีทมิฬของพวกเราก็นับว่าเป็นเผ่าวิหคสวรรค์ที่หายาก ข้าไม่เชื่อว่าจะสัมผัสโลหิตเผ่าหงส์สวรรค์บนตัวแม่หนูนั่นไม่ได้ ส่วนเผ่าหงส์ทมิฬของพวกเรานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นเผ่าปลีกย่อยของเผ่าหงส์ แต่เลือดบริสุทธิ์ของเผ่าหงส์สวรรค์นั้น ยังไม่อาจเทียบเทียมกับแม่หนูนั่นได้ ทว่าโลหิตหงส์สวรรค์ที่สัมผัสได้บนตัวของสตรีผู้นั้น กลับไม่ต้องสงสัยเลย ไม่มีทางผิดพลาดแน่” เสี่ยวหงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“เช่นนี้นี่เอง! ข้าก็ว่าเหตุใดที่พบสตรีผู้นี้ ถึงรู้สึกจิตใจกระสับกระส่าย รู้สึกหวาดกลัวอยู่หลายส่วน ตอนที่อยู่ในป่า ข้าก็นึกว่ารู้สึกไปเองเสียอีก แต่เซียนเสี่ยวกล่าวเช่นนี้กับผู้แซ่หลี่ หรือว่ามีแผนอะไรงั้นหรือ?” ชายหนุ่มคิ้วขาวพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้ากลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“ไม่มีอะไร หากสตรีผู้นั้นมีโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้เผ่าอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ดันเป็นโลหิตของหงส์สวรรค์ที่เลื่องชื่อว่าเป็นราชันย์หมื่นวิหค นั่นหมายถึงอะไร พี่หลี่คงเข้าใจสินะ” สตรีฉีกยิ้มเบิกบาน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเย็นชา
“หึ ข้าต้องเข้าใจความหมายของเจ้าอยู่แล้ว แต่อย่าลืมภารกิจที่อาวุโสในเผ่ามอบให้และความสำคัญของภารกิจครั้งนี้ที่มีต่อเผ่าปีศาจของพวกเราล่ะ หากล้มเหลวด้วยเรื่องส่วนตัว ต่อให้พวกเราสองคนได้โลหิตของหงส์สวรรค์ ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้” ชายหนุ่มคิ้วขาวขบคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้ฉีกยิ้มเย็นชาออกมา
“จุ๊ๆ! น้องหญิงพูดตอนไหนว่าจะลงมือก่อนถึงที่หมาย แน่นอนว่าต้องทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จก่อน แต่หลังจากสำเร็จแล้ว พวกเราค่อยลงมือก็ไม่สาย” เสี่ยวหงเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มบางๆ
“ลงมือหลังเสร็จภารกิจ? อืม หากไม่กระทบต่อภารกิจ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่สองคนที่เหลือจะลงมือช่วยนางหรือไม่ ต่อให้ได้โลหิตของเผ่าหงส์สวรรค์มาจริงๆ เราสองคนจะแบ่งกันอย่างไร โลหิตนี้ไม่อาจแบ่งออกเป็นสองส่วนได้” ชายหนุ่มคิ้วขาวดวงตาเปล่งประกาย ขบคิดเล็กน้อยแล้วสั่นศีรษะ
“ถึงแม้ว่าโลหิตของเผ่าหงส์สวรรค์จะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าเช่นกัน แต่จะมีประโยชน์ต่อเผ่าหงส์ทมิฬของพวกเรามากกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอแค่พี่หลี่ช่วยข้านำโลหิตวิญญาณมา ข้ายอมใช้ยาลูกกลอนไฟกัลป์สามเม็ดเป็นการตอบแทน ส่วนคนที่เหลือทั้งสอง ข้าจะหาวิธีสลัดพวกเขาออก และยิ่งไปกว่านั้นป่าหินดำอันตรายขนาดไหน พวกเราจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก” สตรีกัดฟันเล็กน้อย และเอ่ยเงื่อนไขที่น่าตกตะลึงออกมา
“ยาลูกกลอนไฟกัลป์สามเม็ด พูดจริงหรือ?” ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันชะงักงัน ทันใดนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา
“น้องหญิงนับว่ามีหน้ามีตาในเผ่าหงส์ทมิฬ ถึงแม้ว่ายาลูกกลอนไฟกัลป์สามเม็ดจะมีมูลค่าสูงมากในโลกภายนอก แต่ภายใต้การสะสมมาหลายปีของน้องหญิง ก็หลอมขึ้นมาได้สามเม็ด แต่เดิมคิดจะนำมาใช้กับการทะลวงระดับหลอมสุญตา” สตรีผู้นั้นหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ตกลงตามนั้น ขอแค่ภารกิจสำเร็จ ระหว่างทางกลับข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง ทว่า โลหิตวิญญาณเที่ยงแท้นั้นไม่ได้เอามาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะโลหิตของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ที่สืบทอดกันมาตั้งไม่รู้กี่รุ่น มันแทบจะผสมเข้ากับร่างของคนเผ่านั้นแล้ว ยิ่งยากเข้าไปใหญ่” ชายหนุ่มคิ้วขาวนึกอะไรขึ้นมาได้ พลางขมวดคิ้วขณะเอ่ย
“วางใจ บางทีเผ่าหงส์ทมิฬของพวกเราอาจจะจนปัญญากับโลหิตเที่ยงแท้ชนิดอื่น แต่การแยกโลหิตของเผ่าหงส์สวรรค์นั้น ข้าศึกษามาเนิ่นนานแล้ว อย่างน้อยที่สุดข้าก็มั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วน” สตรีผู้นั้นเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“เซียนมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นก็ดี” ชายหนุ่มคิ้วขาวได้ยินคำนี้ ถึงได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
……
อีกห้องหนึ่ง หญิงสาวสวมชุดสีขาวเยี่ยอิ่งกำลังใช้สองมือร่ายอาคม ดวงตาทั้งสองปิดสนิทขณะนั่งสมาธิอยู่บนเตียงหยก ด้านหลังศีรษะมีลำแสงสีเขียวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสอสงามฉื่อลอยอ้อยอิ่งอยู่
หากพิจารณาอย่างละเอียด ลำแสงนี้ไม่เพียงจะเป็นทรงกลมที่แปลกประหลาด ตรงขอบยังมีเปลวเพลิงสีขาวความสูงสองสามฉื่อกะพริบระยิบระยับอยู่ และตรงกลางลำแสงคาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างคนลวงตาสายหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ในนั้น
เงาลวงตานี้รูปร่างคล้ายคลึงกับหญิงสาวผู้นี้ แต่แค่ตัวเล็กกว่าสองสามเท่า แต่ก็หลับตาทั้งสองข้างลงเช่นกัน ฝ่ามือกำลังร่ายอาคม
ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉับพลันนั้นสตรีผู้นั้นพลันมุมปากกระตุก เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมารางๆ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ใบหน้าของเงาลวงตาในลำแสงก็เผยสีหน้าที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วออกมา ราวกับว่าทั้งสองคือคนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
สถานการณ์เช่นนี้ ช่างแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
……
หานลี่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำสมาธิของตนเอง สีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตาพลันเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้
ที่มุมห้องทำสมาธิ บนโต๊ะหยกตัวหนึ่งกลับมีของสองสิ่งวางอยู่
อันหนึ่งคือเสือดาวขนาดเท่าแมวป่า มีขาสี่ขา กำลังหมอบอยู่ตรงนั้น ท่าทางเกียจคร้าน
บนหัวที่มีขนปุกปุยของเสือดาว มีวานรขนาดจิ๋วสูงสองสามชุ่นนั่งอยู่ ขนสีดำเปล่งประกายมันวาว ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งมายังหานลี่ ท่าทางกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม
ฉับพลันนั้นหานลี่พลันชะงักฝีเท้า พลิกฝ่ามือ ขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งและคัมภีร์สีขาวนวลพลันปรากฏขึ้น
บนขวดมีลวดลายโบราณ สลักตัวอักษรโบราณเอาไว้ เมื่อพิจารณาอย่างงละเอียดนั่นก็คือคำว่า ‘ยาลูกกลอนชำระสิ่งโสม’
หานลี่ใช้นิ้วลูบไปบนขวดนั้นชั่วครู่ หลังจากถอนหายใจออกมาเบาๆ ลำแสงพลันเปล่งประกาย ขวดยาหายวับไป เหลือเพียงคัมภีร์ม้วนนั้น
คัมภีร์นั่นก็คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับที่มาเยี่ยมเยียนทิ้งเอาไว้ ก่อนที่เขาจะออกจากเมืองเทวะสวรรค์
หานลี่ควงคัมภีร์เล่นอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันเอาคัมภีร์แตะไปที่หน้าผาก แผ่จิตสัมผัสเข้าไป
คาดไม่ถึงว่าในคัมภีร์จะมีแผนที่อันกว้างใหญ่อยู่ แต่แผนที่แผ่นนี้กลับดูเหมือนขาดไปครึ่งหนึ่ง ฝั่งที่ขาดไปของแผนที่ มีลำแสงสีทองจางๆ กะพริบวาบอยู่
ถึงแม้จะอ่านไปมากกว่าหนึ่งรอบ หานลี่ก็ยังทนไม่ไหวต้องพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะหาอะไรพบอย่างไรอย่างนั้น
……
ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไปกี่หมื่นลี้ ภายในห้องลับใต้ดินที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งและนักพรตรูปหนึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้ากันล้อมโต๊ะหินสีเขียวที่ดูธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเอาไว้
นักพรตอายุประมาณสี่ยสิบกว่าปี คิ้วหนาตาโต ใบหน้าสีทองอ่อน
ภิกษุกลับเป็นภิกษุชราที่มีหนวดยาวครึ่งฉื่อสีขาว ผิวมีรอยย่นเป็นชั้นๆ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเป็นเส้นบางๆ ดูเหมือนว่าแก่ชราจนไม่อาจแม้แต่จะเบิกตาให้กว้างได้
“นับเวลาดูแล้ว คนของเผ่าต่างๆ ที่ส่งไปก็น่าจะไปรวมตัวกันและอยู่ระหว่างทางแล้วกระมัง” ภิกษุชราเอ่ยอย่างอ่อนแรง
“อืม พอสมควรแล้ว ข้าไม่ค่อยเข้าใจเลย เหตุใดหลังจากที่พี่จินเย่ว์ออกจากการกักตน กลับเปลี่ยนแผนอย่างฉับพลัน ต้องให้ชนรุ่นหลังเหล่านั้นไปยังดินแดนของเผ่าประหลาดให้ได้ คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งบินขึ้นมา และมีชื่อเสียงโดดเด่น ผู้อื่นไม่รู้ เจ้าก็น่าจะรู้ การไปนำข่าวกลับมาจากเผ่าประหลาดดูเหมือนจะง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วอันตรายมาก ส่วนเผ่าปีศาจนั้นก็ทำเป็นส่งคนมาร่วมมือกับเรา แต่ความจริงแล้วอาจจะมีแผนการอื่นก็ได้” หลังจากที่นักพรตตอบกลับหนึ่งประโยค กลับเผยสีหน้าสงสัยออกมา
“ครั้งนี้เหตุใดเผ่าต่างๆ จึงเคลื่อนไหว เจ้าก็น่าจะรู้ดีสินะ” ภิกษุชราไม่ได้ตอบคำถามของนักพรตตรงๆ แต่กลับย้อนถามขึ้นมา
“จุดนี้อาตมาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็เพราะสมบัติในคัมภีร์หมื่นวิญญาณโกลาหลอย่างทมิฬสวรรค์ชิ้นนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ไม่ใช่หรือ และยิ่งไปกว่านั้นยังจัดอยู่ในหนึ่งในสามของสมบัติทมิฬสวรรค์ ว่ากันว่าเรียกว่า ‘กระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณ’!” นักพรตได้ฟังคำถามของภิกษุชรา พลันใจหายวาบ สีหน้าอดที่จะเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนมิได้
1359 เงาสีม่วงกับฮ่องเต้เซิ่ง
“ใช่แล้ว เดิมทีสองสามหมื่นปีให้หลังถึงจะมีการโจมตีเมืองเกิดขึ้น แม้กระทั่งอาจจะมีสงครามร้อยเผ่าในตำนานปะทุขึ้น ล้วนเป็นเพราะเหตุนี้” ภิกษุชราเอ่ยพึมพำ
“เหตุใดพี่จินเย่ว์ต้องอ้อมค้อมด้วย เรื่องเหล่านี้ข้านั้นรู้อยู่แล้ว แต่เกี่ยวอันใดกับเรื่องที่เราปรึกษากันเมื่อครู่ ตอนนี้ที่เผ่าต่างๆ กำลังหวาดกลัว ก็เพราะกลัวถูกโยงเข้าไปในเรื่องนี้มิใช่หรือ?” นักพรตยังคงมีท่าทีไม่เข้าใจ
“กลัวถูกโยงเข้าไป? หึๆ ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว มีเผ่าใดบ้างที่หลบเลี่ยงได้ ว่ากันว่าตามธรรมเนียมในอดีตหากสมบัติทมิฬสวรรค์ปรากฏขึ้น จะก่อให้เกิดฝนโลหิตและพายุโหมกระหน่ำที่แท้จริงขึ้น และเผ่าสุดท้ายที่ได้สมบัติชิ้นนี้ไป ก็ต้องอาศัยการเซ่นไหว้บูชาให้สมบัติชนิดนี้ หาผู้ที่อยู่ในระดับวิญญาณเที่ยงแท้มาปกป้องเป็นผู้พิทักษ์ประจำเผ่าของตนเอง ดังนั้นจึงกลายเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งในแดนวิญญาณ ระดับวิญญาณเที่ยงแท้เหล่านี้ อาจจะต้องแข่งขันกับเซียนในแดนเทพเซียน แน่นอนว่าก่อนที่วิญญาณเที่ยงแท้อันแข็งแกร่งจะปรากฏตัว เผ่าที่ได้สมบัติชนิดนี้ไปก็ต้องมีพลังที่จะรักษาสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ หากเผ่าที่ได้สมบัติชิ้นนี้ไปก่อนค่อนข้างอ่อนแอ บางครั้งก็จะรีบส่งมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เผ่าอื่นที่แข็งแกร่งรักษาเอาไว้ด้วยความลนลาน บ้างก็โยนทิ้งไว้ในแดนป่าเถื่อนอันแสนไกล เพื่อไม่ให้ถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์” ภิกษุชราเอ่ยอย่างสนใจแต่เรื่องของตนเอง
นักพรตยังคงไม่เข้าใจ แต่ครานี้กลับไม่ได้เอ่ยปากตัดบทภิกษุชรา
หลังจากที่ภิกษุหยุดชะงักเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกว่า
“ตามหลักการแล้วสมบัติทมิฬสวรรค์ถือกำเนิดในเผ่าใด เดิมทีก็เป็นสิ่งที่สองเผ่าอย่างพวกเรายากจะคาดเดาแล้ว แต่ครั้งนี้ในเผ่าปีศาจมีผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ซึ่งมีความสามารถในการทำนาย รู้ตัวว่าไม่มีหวังที่จะข้ามผ่านด่านเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้ จึงยอมกระตุ้นศักยภาพ ใช้ลมปราณทั้งชีวิตทำนายเบาะแสของสมบัติชิ้นนี้ ผลคือในตำราสำแดงว่ากระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณอยู่ที่ปลายสุดทิศตะวันตกเฉียงเหรือของแผ่นดินเฟิงหยวน ถึงแม้ว่าแผ่นดินเฟิงหยวนจะเป็นแผ่นดินที่เล็กที่สุดในสามแผ่นดิน แต่เป็นที่ที่มีเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่มากกว่าแผ่นดินอื่น ที่ปลายสุดของทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเผ่าอย่างเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ เผ่าวิญญาณ เผ่าพฤกษา เผ่ายักษา เผ่าเงาต่างๆ อยู่หกถึงเจ็ดเผ่า นั่นหมายความว่าสมบัติทมิฬสวรรค์ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ อาจจะถือกำเนิดในเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ครานี้ข่าวนี้มีแค่เผ่ามนุษย์และปีศาจเท่านั้นที่รู้ แต่คิดดูแล้วคงปิดได้อีกไม่นาน ถึงอย่างไรเสียในบรรดาคนของสองเผ่าอย่างพวกเราก็ต้องมีสายลับของเผ่าอื่นแฝงตัวอยู่แล้ว ในยุทธภพนี้มีกำแพงใดบ้างที่ไม่มีช่องลม หากเผ่าประหลาดอื่นๆ รู้เข้า ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เจ้าก็น่าจะรู้ดีสินะ”
ครั้นเมื่อภิกษุชราเอ่ยจนมาถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“อะไรนะ คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย เช่นนั้นก็หมายความว่า หากเผ่ามนุษย์ของเราไม่ระวังก็อาจจะถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ได้” นักพรตมีสีหน้าเขียวคล้ำ
“ตามตำนานภายในระยะเวลาหนึ่งหากที่ใดมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งถูกสังหารจำนวนมาก ก็จะสามารถเรียกสมบัติทมิฬสวรรค์มาที่นั่นได้ ด้วยวิธีการบวงสรวงที่ลึกลับ จากกำลังของเผ่าต่างๆ อย่างเรา เผ่าที่แข็งแกร่งเหล่านั้นก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารพวกเราทิ้งเพื่อบวงสรวงหรอก สงครามร้อยเผ่าครั้งที่แล้ว ไม่ได้มี ‘โล่แปลงสวรรค์’ ที่ติดหนึ่งในสี่ของทุกวันนี้ปรากฏขึ้น และถูกเจ้าของเดิมของมันสังหารเผ่าต่างๆ ที่หนีเตลิดเปิดเปิงมานับหมื่นปีในสามแผ่นดินใหญ่ไปเจ็ดแปดส่วน และเผ่าเล็กอันอ่อนแอที่ถูกสังหารเหล่านั้น ก็แทบจะกลายเป็นผู้ถูกบวงสรวงโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าสมบัตินี้จะอยู่ในมือของเผ่าใด ขอแค่เผ่าต่างๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือรู้ตำแหน่งของสมบัติชิ้นนี้ เพื่อหนีจากการบวงสรวงโลหิต ก็จะระเบิดสงครามขึ้นในทันที เพื่อให้เผ่าอื่นๆ ถูกบวงสรวงโลหิต” ภิกษุถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…พวกเจ้าให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งบินขึ้นมาสองสามคนออกจากเมืองเทวะสวรรค์ ไปยังแดนของเผ่าประหลาด หรือว่าสงสัยว่า…” ฉับพลันนั้นนักพรตพลันถึงบางอ้อ
“ใช่! สมบัติทมิฬสวรรค์เป็นสมบัติระดับใด เป็นสมบัติเหนือชั้นที่มีพลังในการพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของของเผ่าวิญญาณของพวกเรา แต่อาจจะเป็นสมบัติทมิฬสวรรค์ที่เอาขึ้นมาจากแดนล่าง ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะน้อย แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีจุดน่าสงสัยซึ่งบินขึ้นมาในรอบร้อยปีนี้ ล้วนถูกข้าต้อนออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์ ไปรับภารกิจที่อันตรายที่สุดที่เผ่าประหลาดแล้ว ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพบว่าตนเองไม่มีทางกลับมาในเมืองเทวะสวรรค์ได้ในระยะเวลาอันสั้น แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นที่น่าสงสัยก็ถูกสลัดออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์เช่นกัน ถูกส่งออกไปยังแดนป่าเถื่อนด้วยเหตุผลต่างๆ นอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือชั้น มีพลังที่น่าตกตะลึงกลุ่มหนึ่งก็จะถูกโยกย้ายไปในแดนป่าเถื่อน ผลดีของการกระทำเช่นนี้ หากพวกเขาคนหนึ่งมีกระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณอยู่ ก็จะทำให้ภัยพิบัติเคลื่อนย้ายไปได้ หากข้าน้อยอยู่ในสงคราม แล้วทั้งสองเผ่าเกิดเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ คนกลุ่มนี้ก็อาจจะเป็นความหวังในการสืบทอดเผ่าทั้งสองของพวกเราอีกครั้ง” ภิกษุเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนั้น หากอยากตรวจสอบว่าสมบัติทมิฬสวรรค์อยู่ในมือคนเหล่านั้นหรือไม่ พวกเราก็…”
“ใช้เคล็ดวิชาลับกระชากจิตวิญญาณ แล้วตรวจสอบสินะ แต่การหาว่ากระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณอยู่ในมือของผู้ใดแล้วจะมีอะไรดีขึ้นมา? ของสิ่งนั้นมันคือเผือกร้อน! เจ้ารับประกันได้หรือว่าในผู้พิทักษ์หรือแม้กระทั่งอาวุโสจะไม่มีเผ่าประหลาดแฝงตัวอยู่ หากข่าวแพร่งพรายออกไป ไม่เพียงเผ่ามนุษย์ของพวกเราจะตกเป็นเป้าภายในระยะเวลาอันสั้น แม้กระทั่งเผ่าปีศาจก็อาจจะยกเลิกการเป็นพันธมิตรกับเราเพื่อปกป้องตนเอง ถึงครานั้นเผ่ามนุษย์ของพวกเราก็ต้องสูญพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย”
“พวกเราไม่ใช่เผ่าที่แข็งแกร่งอะไร ไม่มีทางถือสมบัติระดับนั้นเอาไว้จนถึงคราที่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้มาหาเรื่องได้ แม้กระทั่งคิดจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เผ่าที่แข็งแกร่งปกป้อง เดาว่าเผ่าเงาก็คงไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปเช่นกัน กลับแสร้งทำเป็นเลอะเลือน ต่อกรกับสงครามที่กำลังจะปะทุก่อนจะดีกว่า ในขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าสมบัติทมิฬสวรรค์อยู่ในมือของผู้ใด การโจมตีพวกเรา ก็อาจจะเกิดขึ้นแค่จากเผ่าพฤกษาและเผ่าเงาร่วมมือกันเท่านั้น จากเผ่ามนุษย์และปีศาจที่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเรา ล้วนสามารถต้านทานได้ เผ่าวิญญาณและเผ่ายักษาก็กำลังคึกคัก หลังจากรู้ข่าวนี้ คงจะต่อสู้อย่างหนักหน่วงขึ้น ร้ายแรงสุด เผ่าต่างๆ ของพวกเราก็จะสูญเสียคนไปจำนวนมาก และอาจจะเข้าเงื่อนไขการบวงสรวงสมบัติทมิฬสวรรค์ ไม่ว่าสมบัติชิ้นนี้จะอยู่ในมือของเผ่าใด ขอแค่สมบัติชิ้นนี้ถูกเรียก ถึงครานั้นพวกเราก็ต้องรับมือกับหายนะครั้งนี้ แต่ก่อนที่เผ่าที่แข็งแกร่งเหล่านั้นจะมาสืบหากับพวกเรา ก็ตัดสินแพ้ชนะก่อนจะดีกว่า เดาว่าสงครามครั้งนี้น่าจะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ดำเนินต่อไปเป็นร้อยปี หากเปิดสงครามไม่มีทางรู้ผลได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีแน่ ระดับความอนาถคงมากกว่าในอดีต”
“หึๆ ผู้ควบคุมของเผ่าอื่น กว่าครึ่งก็คิดไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินว่า คนของเผ่าไหนตั้งใจหากระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณหรือไม่ล่ะ ล้วนแต่เตรียมพร้อมรับสงครามเท่านั้น” ภิกษุชราเอ่ยออกมาอย่างไม่ร้อนรน
“ข่าวนี้เจ้ารู้มาได้อย่างไร เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เคยได้ข่าวเลย หรือว่าท่านอาวุโสเจตนาปิดบังข้า” ฟังจบ นักพรตก็แววตาเปล่งประกายตะลึงงันอยู่นาน แล้วถึงได้เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้น
“ง่ายมาก หลังจากที่รู้ว่าฐานะของนายท่านมีปัญหา ถึงได้ทำเช่นนี้ ไม่ทราบว่าควรจะเรียกเจ้าว่าอรหันต์เหลยหลัวต่อ หรือว่าควรจะเรียกเจ้าว่าอรหันต์เงาสีม่วง” ภิกษุชราแววตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นน้ำเสียงก็เย็นเยียบอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
“เงาสีม่วงอะไรกัน ปรมาจารย์จินเย่ว์หมายถึงอะไร?” นักพรตไม่ประหลาดใจเลยสักนิด กลับขมวดคิ้ว
“หึๆ ดูเหมือนจะถึงเวลาอันสมควรแล้ว น่าจะกำเริบแล้วสินะ” ภิกษุชราไม่สนใจนักพรต กลับกวาดสายตาไป ตกไปบนเชิงเทียนแข็งๆ ที่อยู่มุมห้อง ด้านบนมีธูปหอมถูกจุดอยู่ และเผาไหม้ไปกว่าครึ่งแล้ว
“ถึงเวลาอะไร? ไม่สิ กลิ่นนี้…” นักพรตแววตาเปล่งประกายสีม่วง สีหน้าเปลี่ยนไป แทบจะในเวลาเดียวกัน บนร่างของนักพรตพลันมีเงาสีม่วงสายหนึ่งบินออกไป กระโจนไปหาภิกษุชราที่อยู่ตรงข้าม
ภิกษุชราที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่เคลื่อนไหว สะบัดแขนเสื้อไปฝั่งตรงข้าม
เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ภาษาสันสกฤตปรากฏขึ้น
เงาสีม่วงดูเหมือนจะถูกสิ่งมหึมาโจมตีจนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับกำแพงของห้องลับ ทันใดนั้นก็สั่นคลอนแล้วหดเล็กลง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
ในครานั้นกำแพงพลันเปล่งแสงสีเขียวออกมา บาตรหยกสีเขียวปรากฏขึ้น คว่ำลง แล้วพ่นลำแสงสีเขียวออกมา ชั่วพริบตาก็ดูดเงาสีม่วงเข้าไปข้างใน
“ใช่แล้ว ธูปสี่จิตมีผลในการควบคุมเผ่าเงาสมคำร่ำลือ แม้แต่เงาสีม่วงผู้นี้ยังไม่อาจต้านทานได้” บนกำแพงมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ นักปราชญ์วัยกลางคนผู้สง่างามคนหนึ่งปรากฏขึ้น สวมชุดสีขาว เคลื่อนไหวอย่างใจเย็น
“พี่เทียนหยวน! ต้องขอบคุณเจ้าที่ให้ยืมธูปจิตวิญญาณ มิเช่นนั้นคงกำจัดมารผจญได้ยากจริงๆ” ภิกษุชราเห็นนักปราชญ์ ก็หยัดกายลุกขึ้น สองมือประสานกันคารวะในทันที
“ปรมาจารย์จินเย่ว์ไม่ต้องมีมารยาทขนาดนั้น ข้าเองโชคดีที่ฝึกเพิ่งฝึกวรยุทธ์ใหม่สำเร็จ ถึงได้พบว่าอรหันต์เหลยหลัวถูกเงาสีม่วงสิงอยู่ น่าเสียดายอรหันต์เหลยหลัวเป็นนักพรตที่ชาญฉลาดในยุทธภพ คาดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้” นักปราชญ์กลับเลื่อนสายตาไปทางนักพรตที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจออกมา
ชั่วพริบตาที่เงาสีม่วงออกจากร่างของนักพรตผู้นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะถูกกระชากจิตวิญญาณออกไปหมด กายเนื้อเปลี่ยนเป็นผอมแห้ง ไร้ซึ่งไอชีวิต
ภิกษุเองก็ท่องคาถาเบาๆ ใบหน้าเผยสีหน้าโศกเศร้าเสียใจออกมา ทันใดนั้นนิ้วพลันร่ายรำ เปลวเพลิงสีทองพุ่งออกมา
ชั่วขณะนั้นกายเนื้อของนักพรตพลันหายไปท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง
“ตามหลักการแล้ว ถึงแม้ว่าเงาสีม่วงจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา แต่จากความสามารถของสหายเฒ่าเหลยหลัวแล้ว ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจสิงอยู่ในร่างที่เพลี่ยงพล้ำไปแล้วอย่างเงียบๆ ได้ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ร้อยปีก่อนที่สหายเฒ่าวิ่งไปที่แดนป่าเถื่อน จึงถูกจัดการอย่างเงียบๆ เงาสีม่วงนี้ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก กลับมาถึงเมืองแล้วยังไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมาเป็นเวลาหลายปี หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้เซิ่งมองออก เกรงว่าพวกเราก็ยังคงงมโข่งกันอยู่ ช่วงที่ผ่านมาเจ้ามารผจญนี่กำลังรวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา บอกว่าเป็นการปกป้องคุ้มครอง แต่เกรงว่าคงมีเจตนาไม่ดี” ภิกษุชราพลันถอนหายใจ
ชายวัยกลางคนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าของเขตแดนเทียนหยวนที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘ฮ่องเต้เทียนหยวนเซิ่ง’
“ทว่าช่วงที่ผ่านมาเหล่าสหายเก่าแก่ก็ถือหางผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นจริงๆ มิน่าล่ะเจ้าพวกที่บินขึ้นมาถึงได้โกรธแค้น” ฮ่องเต้เทียนหยวนเซิ่งกลับฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ
“นั่นก็เพราะตาเฒ่าเอาแต่กักตนบำเพ็ญเพียร จนละเลยเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้ศัตรูมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว คงไม่อาจสนใจเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ได้ชั่วคราว เงาสีม่วงยึดครองร่างของสหายเหลยหลัวมาหลายปี และไม่รู้ว่าส่งข่าวกลับไปเท่าไหร่แล้ว จะต้องเปลี่ยนแปลงการป้องกันของเมืองเทวะสวรรค์และเขตอาคมมากกว่าครึ่งถึงจะได้” ภิกษุมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
1360 พิณวิญญาณประหลาด
“เรื่องนี้สำคัญมาก จำต้องให้ท่านอาวุโสปรึกษากันอย่างละเอียด เงาสีม่วงตนนี้รู้เรื่องราวไปไม่น้อย ปรมาจารย์จินเย่ว์ต้องสอบปากคำให้ละเอียดสักหน่อย” นักปราชญ์วัยกลางคนพยักหน้า ขยับฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่าจะโยนบาตรหยกในมือออกไป
“ขอบพระคุณฮ่องเต้เซิ่ง! แค่น่าเสียดายที่คนที่เผ่าต่างๆ ส่งมา เกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี” ภิกษุชรารับบาตรหยกเอาไว้ แล้วเผยสีหน้าเสียดายออกมา
“เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนแรกก็คงไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้ จึงทำได้เพียงโยกย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เดาว่าเผ่าสีม่วงก็คงจะลงมือกับลูกน้องของพวกเรากลางทาง จึงทำได้เพียงหวังว่าพวกเขาจะโชคดี หนีออกมาได้ แต่สิ่งที่ปรมาจารย์กล่าวเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาช่วงร้อยปีที่ผ่านมา อาจจะมีกระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณจริงหรือ?” ฮ่องเต้เทียนหยวนเซิ่งพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา
“จะเป็นไปได้ได้อย่างไร คำพูดเมื่อครู่เป็นความจริงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น หากของทมิฬสวรรค์กำเนิดขึ้นในแดน ก่อนจะมีการกระตุ้น ก็อาจจะถูกพาไปแดนอื่นจริงๆ แต่จุดนี้ หากสมบัติชิ้นนี้ออกจากแดนไป ก็จะสูญเสียสติปัญญา และไม่มีทางเป็นของทมิฬสวรรค์ที่มีสติปัญญาได้ ไม่มีประโยชน์มากนัก และยิ่งไม่อาจจัดอยู่ในคัมภีร์หมื่นวิญญาณโกลาหลได้ ที่ก่อนหน้ากล่าวเช่นนี้ ก็แค่อยากยื้อเวลาเท่านั้น” ภิกษุฉีกยิ้มจางๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ปรมาจารย์คู่ควรกับที่เป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องสมบัติทมิฬสวรรค์มามากที่สุดจริงๆ” นักปราชญ์วัยกลางคนหัวเราะน้อยๆ ออกมา มองไม่ออกว่าเชื่อคำพูดของภิกษุชราจริงๆ หรือไม่
……
แน่นอนว่าหานลี่นั้นไม่รู้ว่า ภารกิจของตนเองจะเปลี่ยนแปลงไปมามากขนาดนี้ ครานี้เขาและคนที่เหลืออีกสี่คนกำลังเปิดฉากสังหารอสูรโบราณวิหคประหลาดอยู่ท่ามกลางเมฆสีขาว
วิหคประหลาดเหล่านี้มีขนาดตัวประมาณสองสามจั้ง แต่บนแผ่นหลังมีปีกสี่ปีก ร่างกายดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าค้างคาวสองถึงสามเท่า แต่หัวของมันนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับแพะภูเขา เขาที่หงิกงอทั้งสองชี้ไปทางด้านหลัง ขณะที่อ้าปาก พลันมีเขี้ยวแหลมคมโผล่ออกมาเต็มปาก ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
วิหคประหลาดประมาณสองสามร้อยตัว กระพือปีกทั้งสี่ วายุประหลาดสีเทาเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และยังมีประจุไฟฟ้าขนาดหนาเท่าปากชามพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง อานุภาพไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมเลย และยิ่งไปกว่านั้นใต้ร่างของวิหคประหลาดเหล่านั้นยังมีกรงเล็บเหล็กสีดำงอกออกมาคู่หนึ่ง น่าครั่นคร้ามมากหากเข้าไปประชิด
หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ คนหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับอสูรโบราณวิหคประหลาดเพียงลำพัง เกรงว่าคงปวดหัวไปเล็กน้อย เพื่อลดความยุ่งยาก ไม่แน่ว่าอาจจะหลบไปก่อนก็เป็นได้
ส่วนและหานลี่และพวกทั้งห้านั้นทั้งมีลูกศิษย์สายตรงของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ และยังมีปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรระดับแปลงกายของเจ็ดมหาเผ่าปีศาจ ประกอบตัวประหลาดอย่างหานลี่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่บ้าคลั่งของวิหคประหลาด และในเวลาเดียวกันยังมีสำเภายักษ์เมฆาวิญญาณปกป้องอยู่ จึงเกิดการสังหารหมู่ด้านเดียวได้อย่างสบายๆ
สองมือของชายหนุ่มไฝแดงพลันร่ายอาคม ควบคุมสายรุ้งสีขาวยาวสิบจั้งเศษสองสาย ห่อหุ้มอาณาบริเวณเบื้องหน้าเอวไว้ในระยะร้อยจั้งเศษ ไม่รู้ว่าสายรุ้งสีขาวนี้เป็นอาวุธที่น่ากลัวชนิดใด ทุกแห่งที่ลำแสงวิญญาณกวาดผ่านไป ไม่ว่าวายุที่บ้าคลั่งหรือว่าสายฟ้าต่างถูกเขาสับออก ทุกครั้งที่กะพริบ จะต้องมีวิหคประหลาดตัวหรือสองตัวถูกสับออก
สตรีชุดดำกลับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำที่แผดเผา ไม่เห็นว่าสตรีผู้สำแดงความสามารถใดๆ ออกมา แค่ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ แต่ไม่ว่าพายุเฮอร์ริเคนหรือว่าสายฟ้าโจมตีไปบนร่างของเขา ก็จะจมหายไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทรไม่มีผลเลยสักนิด ส่วนวิหคประหลาดนั้นเมื่อกระโจนเข้ามา ถูกเปลวเพลิงสีดำย้อมร่างแม้เพียงนิด ก็จะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
ถึงแม้ว่าวิหคเหล่านี้จะดุร้ายมาก แต่เมื่อถูกสังหารไปสิบกว่าตัวอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่กล้าเข้ามาประชิดอีก
ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับมีท่าทีแตกต่าง คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้อาศัยสมบัติใดๆ กระโจนเข้าไปหาฝูงวิหคประหลาด แผ่นหลังของเขามีปีกสีดำมันมะเมื่อมคู่หนึ่งปรากฏขึ้น แขนทั้งสองข้างหนาขึ้น กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ
ร่างกายของเขากะพริบวาบ เห็นเพียงเงาสีดำก้อนหนึ่งพุ่งตัดผ่านฝูงวิหคไป ทุกแห่งที่มันพุ่งไป ร่างของวิหคประหลาดจะแยกออกเป็นชิ้นๆ ฝนโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นลงมา กลิ่นคาวคละคลุ้งไปหมด
ส่วนหานลี่กลับแสดงสีหน้าราบเรียบ แค่ปล่อยกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาทั้งหมดออกมา เห็นเพียงลำแสงสีทองยาวสองสามฉื่อบินล้อมรอบร่างของเขาเอาไว้ ไม่เพียงจะต้านทานการโจมตีของวิหคประหลาดเอาไว้ แต่ยิ่งทำให้วิหคประหลาดที่อยู่ใกล้ร่างถูกสับออกเป็นสองส่วน
ทว่าผู้ที่มีสีหน้าผ่อนคลายที่สุด กลับเป็นหญิงสาวชุดขาวเยี่ยอิ่ง
สตรีผู้นี้กอดพิณหยกสีเขียวมรกตคันนั้นเอาไว้ นิ้วที่อ่อนนุ่มราวกับก้านต้นหอมทั้งสิบดีดสายพิณเบาๆ วงแหวนลำแสงสีเหลืองเข้มปรากฏออกเป็นชั้นๆ วิหคประหลาดที่อยู่รอบ ถูกวงแหวนลำแสงเหล่านั้นกวาดเข้าไป ผิวก็จะถูกลำแสงสีเทาขาวห่อหุ้มเอาไว้เป็นชั้นๆ จากนั้นก็จะร่วงลงสู่พื้นโดยไม่อาจขยับตัวได้ ทยอยกันกลายเป็นเพียงผงธุลีร่วงลงสู่พื้น
คาดไม่ถึงว่าพิณคันนี้จะมีความสามารถในการแปลงหินที่หายากอย่างสุดๆ
ถึงแม้ว่าทั้งห้าคนจะไม่ได้สำแดงความสามารถที่ร้ายกาจที่สุดของตนเองออกมา แต่การลงมือครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา วิหคประหลาดสองสามร้อยตัวก็ถูกสังหารจนเกลี้ยง
จากนั้นคนเหล่านี้จึงเก็บวรยุทธ์กลับไป กลายเป็นสายรุ้งเป็นสายๆ จมหายเข้าไปในสำเภาวิญญาณที่กลายเป็นเมฆก้อนยักษ์แล้วหม่นแสงลง ทั้งห้าคนร่อนลงบนหัวของสำเภาหยก
“วิหคประหลาดเหล่านี้มีที่มาอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะมองทะลุผ่านสำเภาเมฆาวิญญาณของข้าได้ ช่างน่าแปลกใจนัก” หล่งตงกวาดสายตาไปทางคนอื่นๆ แล้วถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย
“วิหคประหลาดชนิดนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าแดนป่าเถื่อนกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ อสูรโบราณที่ไม่เคยเห็นก็มีเยอะแยะ พวกเราไม่เคยเห็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด จนถึงตอนนี้สำเภาเมฆาวิญญาณเพิ่งจะถูกมองออกเป็นครั้งแรก ข้าก็รู้สึกแปลกใจแล้ว” เสี่ยวหงกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
“นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้พวกเราเข้ามาในส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนแล้ว ระยะทางต่อจากนี้ คงต้องพบความยุ่งยากไม่น้อยแน่ ถึงแม้ว่าวิหคประหลาดเหล่านี้จะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็นับว่าต่อกรได้ง่ายมาก หากพบกับอสูรโบราณที่แข็งแกร่งกว่านี้ เกรงว่าพวกเราคงต้องละทิ้งสำเภาวิญญาณลำนี้แล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับเลิกคิ้วทั้งสองขึ้นขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากพบกับพวกป่าเถื่อนในตำนานอย่างมนุษย์ยักษ์ร้อยตา พวกเราก็ไม่อาจต่อกรได้ แน่นอนว่าต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน พี่หานจากนี้ถึงตาสหายเข้าเวรพอดี เกรงว่าคงต้องลำบากเจ้าแล้ว” หล่งตงหันหน้าไปเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มจางๆ
หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลังจากที่หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเบิกบานแล้ว ฉับพลันนั้นสตรีชุดดำก็เอ่ยถามขึ้น
“พี่หญิงเสี่ยว ก่อนหน้านี้ที่เจ้าสำแดงพรสวรรค์ของเผ่าหงส์ดำออกมา คงเป็นไฟกัลป์ในตำนานสินะ! เปลวเพลิงนี้มีอานุภาพน่าตกใจดังคาด สมคำร่ำลือจริงๆ!”
เสี่ยวหงได้ยินหญิงสาวถามเช่นนี้ พลันตกตะลึง หลังจากที่คิ้วดำขลับขมวดมุ่นแล้ว ถึงได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะตอบกลับว่า
“ใช่แล้ว เพลิงชนิดนี้คือไฟกัลป์ที่ข้าฝึกฝน ไม่มีค่าพอให้พูดถึงหรอก แต่พิณในมือของสหายเยี่ยกลับทำให้ข้านึกถึงสมบัติในตำนานชิ้นหนึ่ง ว่ากันว่าสองสามหมื่นปีก่อน ในแดนเทียนหลิงมีอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ท่านหนึ่งหลอมสมบัติสะท้านฟ้านามว่า ‘พิณวิญญาณประหลาด’ ขึ้นมาได้ จัดอยู่ในคัมภีร์หมื่นวิญญาณโกลาหล สามารถแปลงหิน หลอมทองคำ แช่แข็งได้สามอย่างพร้อมกัน สมบัติที่สหายเยี่ยใช้ก่อนหน้านี้ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับสมบัติวิญญาณชิ้นนั้นหรือไม่?”
“ฮิๆ คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงเสี่ยวจะรู้จักสมบัติของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราอย่างถ่องแท้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าพิณที่อยู่ในมือข้าจะไม่ใช่พิณวิญญาณประหลาดในตำนานคันนั้น แต่ก็เป็นสมบัติโบราณที่ลอกเลียนแบบขึ้น มีความสามารถแค่แปลงหินเท่านั้น อานุภาพไม่อาจเทียบกับของแท้ได้” หญิงสาวตอบกลับพร้อมหัวเราะคิกคัก
“เช่นนี้นี่เอง! ต่อให้เป็นเช่นนี้ สมบัติชิ้นนี้ก็เพียงพอจะเทียบกับสมบัติวิญญาณแล้ว ถึงอย่างไรเสียความสามารถที่หายากอย่างการแปลงหิน ก็เหนือชั้นนัก” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
เมื่อได้ยินสตรีทั้งสองเหมือนจะพูดคุยกันอย่างมีลับลมคมใน หล่งตงก็เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา แต่ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามหานลี่ว่า
“สหายหาน กระบี่บินของเจ้าช่างมีเอกลักษณ์นัก และยังมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองเล่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนเป็นชุดเดียวกัน อานุภาพไม่ธรรมดา นี่ทำให้ข้านึกถึงอาวุโสผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาในอดีต ถึงแม้ว่าตอนนั้นคนผู้นั้นจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย แต่อาศัยเขตอาคมกระบี่บินเจ็ดสิบเล่ม ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้อย่างไม่ตกเป็นรอง ตอนนั้นถือว่าสร้างความฮือฮามาก ทว่ากระบี่ลำแสงของอาวุโสผู้นี้เป็นสีเขียว ไม่เหมือนกับกระบี่บินของพี่หาน ไม่ทราบว่ากระบี่บินของสหายหานคือเขตอาคมกระบี่หรือไม่”
หล่งตงดูเหมือนว่าจะสนใจกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่หานลี่เพิ่งสำแดงออกมาเมื่อครู่เป็นอย่างมาก
“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสผู้นี้มีแซ่ว่าอะไร สำแดงเขตอาคมกระบี่ประเภทใดหรือ ข้าน้อยฝึกฝนกระบี่บินมาจำนวนมาก แต่ก็รู้แค่การนำจำนวนเข้าต่อกรกับศัตรูเท่านั้น ไหนเลยจะเข้าใจเขตอาคมกระบี่” หานลี่ได้ยินแล้วพลันใจเต้น แต่กลับตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อ่อ คนที่สหายหล่งพูดถึง ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าอาวุโสที่มีนามว่า ‘ชิงหยวนจื่อ’ คือผู้วิเศษคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาสำแดงเขตอาคมกระบี่ชนิดใด แต่ว่ากันว่าเคล็ดวิชาที่เขาฝึกฝนเป็นสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ว่ากันว่าอาวุโสผู้นี้เข้าไปในแดนป่าเถื่อนและหายตัวไปเมื่อนานมากแล้ว มิเช่นนั้นจากความชาญฉลาดของท่านอาวุโส เกรงว่าคงบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้” สตรีที่สวมชุดขาวกลับหัวเราะออกมาแล้วชิงเอ่ยต่อ
หล่งตงเองก็ไม่มีได้น้ำโห แค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
หานลี่ได้ยินคำนี้กลับเงียบไปชั่วครู่ ไม่ว่าจากชื่อและสมบัติ หรือเคล็ดวิชาที่สร้างเอง ชิงหยวนจื่อผู้นี้ ดูแล้วคงจะเป็นอาวุโสจากแดนล่างที่สร้างคาถากระบี่ไผ่เขียวมรกตผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าจะรู้เบาะแสของคนผู้นี้จากปากของทั้งสอง และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาเลือกหนทางผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรไปแล้ว มิเช่นนั้นจากคาถากระบี่ไผ่เขียวมรกตดังเดิมที่เขาฝึกฝน การคิดหาวิธีให้เคล็ดวิชาที่ชิงหยวนจื่อผู้นั้นถ่ายทอดเอาไว้ ถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง
เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่กลับคารวะคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบเล็กน้อย แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสายหนึ่ง บินขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดของสำเภาหยก จากนั้นก็นั่งสมาธิลงอย่างไม่สนใจสิ่งอื่น
เมื่อเห้นหานลี่มีท่าทีไม่อยากพูดคุยต่อ หลังจากที่เสี่ยวหงและชายหนุ่มไฝแดงมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วแยกย้ายกันออกไป บ้างก็กลับไปนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียรต่อในห้องทำสมาธิของตนเอง บ้างก็ไปคุยเรื่องอื่นกันตรงที่อื่น
1361 เต่าอสนี
ถึงแม้ว่าดวงตาของหานลี่จะปิดสนิทอยู่ แต่แน่นอนว่าไม่มีเข้าสู่สมาธิอะไรได้จริงๆ แต่กำลังขบคิดเรื่องเคล็ดวิชาที่ยังไม่เข้าใจในหัวซ้ำไปซ้ำมาไปพลาง แผ่จิตสัมผัสของตัวเองส่วนหนึ่งไปพลาง ครานี้กำลังสังเกตการณ์รอบๆ สำเภาวิญญาณ เพื่อไม่ให้อสูรโบราณอะไรมาลงมือทำการโจมตีสำเภาวิญญาณอีก
เจ็ดแปดวันต่อมา ภายใต้การอำพรางตัวของสำเภาวิญญาณ ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะพบอสูรวิหคประเภทอื่นๆ อยู่กลางอากาศ แต่กลับผ่านมาได้อย่างไม่มีอันตราย เห็นได้ชัดว่าฝูงอสูรเหล่านี้ไม่เหมือนกันวิหคประหลาดสี่ปีกที่พบฝูงแรก ที่มีพลังในการมองทะลุผ่านเขตอาคมของสำเภาเมฆาวิญญาณ
เช่นนั้น ชั่วครู่ก็ถึงวันเข้าเวรวันที่เก้าของหานลี่ เป็นเวลาเที่ยงวัน เมื่อเขาหยัดกายลุกขึ้นนำศิลาวิญญาณไปเปลี่ยนบนสำเภาวิญญาณ และกำลังคิดจะกลับไปนั่งสมาธิตรงที่เดิมนั้น กลับชะงักฝีเท้า ฉับพลันนั้นพลันหันศีรษะ เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมาขณะมองไปทางเบื้องหน้าของสำเภาวิญญาณ
“จะเป็นไปได้ได้อย่างไร ที่นี่จะมีของสิ่งนี้ได้อย่างไร” หานลี่ดูเหมือนจะสัมผัสอะไรได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ฉับพลันนั้นปากก็เปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา
ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็เพียงพอจะทำให้คนที่เหลือทั้งสี่ที่อยู่ในห้องทำสมาธิได้สติ
ชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีสองสามสายก็พุ่งออกมาจากสำเภา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏตัวข้างกายหานลี่
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพี่หานถึงเรียกพวกเราออกมา หรือว่ามีอันตรายเกิดขึ้น?”
“นี่คืออะไร หรือว่าคือ…”
เมื่อสตรีและหล่งตงปรากฏตัวขึ้น ก็เอ่ยปากตามลำดับ แต่แค่คำพูดของเสี่ยวหงนั้นเต็มไปด้วยข้อสงสัย ส่วนหล่งตงกลับพบอะไรในทันที ชั่วครู่พลันตะลึงงัน
ชายหนุ่มคิ้วขาวและสตรีเองก็แผ่จิตสัมผัสของตนเองออกไปเช่นกัน
“นั่นคืออะไร หรือว่าคือจิตวิญญาณเที่ยงแท้” ชายหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
ถึงแม้ว่าสตรีชุดขาวจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ก็เผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดออกมา
หานลี่ในครานี้กลับสงบเยือกเย็นลงแล้ว กลางอากาศห่างออกไปสองสามร้อยลี้ เขาสัมผัสได้ถึงเงาสีดำขนาดใหญ่กำลังอำพรางตัวลอยอยู่กลางอากาศ
รอบๆ ของเงาสีดำมีเมฆสีดำหมุนวน มีสายฟ้ากะพริบวาบและร้องคำราม ภายใต้เมฆสีดำ พายุเฮอร์ริเคนสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพัดวนอยู่บนพื้นดิน ราวกลับเสายักษ์ค้ำฟ้าต้นหนึ่ง เชื่อมโยงท้องฟ้าและพื้นดินเข้าด้วยกัน บางครั้งในเมฆก็มีร่างที่มีเกล็ดสีเทาอยู่ทั่วร่างปรากออกมา จึงทำได้เพียงทำให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริด กลับไม่อาจคาดเดาฐานะที่แท้จริงของเงาสีดำเงานั้นได้
ทว่าหากมองไกลๆ จะมองเห็นเป็นเงาสีดำกลมๆ ขนาดใหญ่โตและน่าเกรงขามเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่มีร่างกายใหญ่โตดุจภูเขาในตำนาน
มิน่าล่ะทุกคนในสำเภาหยกเห็นเข้า จึงทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี
ในตอนที่ทุกคนกำลังตะลึงอยู่นั้น ขอบฟ้าตรงจุดที่ไกลออกไปก็มีเสียงคำรามเหมือนกับเสียงกระทิงคำรามดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงตึงตังก็ดังขึ้น ราวกับว่าอสนียักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังระเบิดอยู่ไกลออกไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันขนาดนี้ เสียงอสนีเหล่านี้ก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และชัดเจน
“นี่ไม่ใช่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่เป็นอสูรโบราณ ‘เต่าอสนี’ เต่าตัวนี้คือหนึ่งในเผ่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอสูรโบราณป่าเถื่อน แต่ปกติแล้วร่างกายจะแค่ดูดซับพลังอัสนี ไม่มีทางโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่นก่อน แน่นอนว่าหากไปยั่วโมโหมัน มันก็จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ถึงจะต่อกรกับมันได้” หญิงสาวสวมชุดสีขาวได้ยินเสียงคำรามประหลาดๆ กลับมีสีหน้าผ่อนคลายลง ถอนหายใจยาวๆ ออกมาขณะเอ่ย
“เต่าอสนี? คืออสูรโบราณที่กำเนิดในอสนีสวรรค์ในตำนาน ข้าเคยได้ยินพวกที่ตัวใหญ่แต่ไร้พิษภัยนี้ขอแค่มีพลังอสนี ร่างกายก็จะขยายใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ เป็นอสูรฟ้าดินที่อัศจรรย์ที่สุด ว่ากันว่าเผ่ามนุษย์ในเขตแดนเสวียนอู่มี ‘ชานหลิง’ คือเต่ายักษ์ที่มีพลังทานเมืองอยู่ อาจจะเป็นเต่าอสนีตัวหนึ่ง ถึงแม้ว่าตัวที่อยู่เบื้องหน้าจะตัวไม่เล็ก แต่เทียบกันแล้วกลับเล็กมาก” สตรีชุดดำได้ยินว่าไม่ใช่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ ก็รู้สึกผ่อนคลายลง ส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยชื่นชม
“ชานหลิงใช่เต่าอสนีหรือไม่ พวกเราก็ไม่แน่ใจนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าเต่าอสนีที่อยู่เบื้องหน้าคงไม่อาจใหญ่เท่าหนึ่งในหมื่นส่วนของเต่ายักษ์ชานหลิงได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น หากพวกเราทำให้อสูรตนนี้โมโห ก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้เช่นกัน รีบหลบอสูรตนนี้ไปจะดีกว่า!” ฉับพลันนั้นหล่งตงพลันฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ ความจริงแล้วถือว่าพวกเรามีวาสนาไม่น้อย ปกติแล้วเต่าอสนีจะมุดอยู่ใต้ดิน ไม่ค่อยออกมาปรากฏตัวบนพื้น คนทั่วไปไม่มีทางพบเห็นได้ง่ายๆ ปกติแล้วหากมันขึ้นมาบนพื้นดิน ล้วนเป็นเพราะ…แย่แล้ว ในเมื่อเต่าตัวนี้มาปรากฏขึ้นบนพื้น ที่นี่จะต้องมีระเบิดอสนีที่น่ากลัวเกิดขึ้นแน่ พี่หล่งรีบขับสำเภาวิญญาณออกจากที่นี่เร็วเข้า” เสี่ยวหงพลันพยักหน้า แต่ฉับพลันนั้นก็นึกถึงอะไรที่น่ากลัวสักอย่าง หน้าพลันขาวซีด แล้วร้องอุทานออกมาด้วยความลนลาน
“ระเบิดอสนี?” เมื่อได้ยินทุกคน ณ ที่นั่นรวมทั้งหานลี่ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
หล่งตงร่างกายพลิ้วไหวพร้อมสีหน้าที่เขียวคล้ำ พลางหายวับไปจากที่เดิม ชั่วครู่กลับมาปรากฏตัวบนหัวเรือที่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมียุทธภัณฑ์เหมือนแผ่นป้ายปรากฏขึ้น
เห็นเพียงสองมือของนางลูบไปบนแผ่นป้าย พริบตานั้นเมฆสีขาวรอบๆ หายวับไป จากนั้นสำเภาวิญญาณก็หยุดชะงัก เปลี่ยนทิศทางพุ่งออกไป ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง กลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้า
แต่สำเภาวิญญาณยังออกไปได้แค่ยี่สิบสามสิบลี้ เงาสีดำกลางอากาศไกลออกไป ก็มีลำแสงสีฟ้าเรืองรองชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นลำแสงผืนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะถูกอะไรกระตุ้นเข้าสักอย่าง มันแผ่ออกมารอบๆ ความเร็วของมันทำให้ผู้คนตกใจจนพูดไม่ออก
แค่ชั่วอึดใจทุกคนที่อยู่บนสำเภา ก็มองเห็นเส้นสีฟ้าสายหนึ่งที่ขอบฟ้าด้วยตาเนื้อและได้ยินเสียงตูมตามดังมา ลำแสงอสนีจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับว่ากรงเล็บของมารปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกระโจนออกมา
“ได้ยินว่าหากเต่าอสนีปรากฏตัว ระเบิดอสนีก็ไล่ตามมา เรื่องนี้เป็นความจริงดังคาด เหล่าสหายรีบมาช่วยข้าอีกแรงเร็วเข้า” ชายหนุ่มไฝแดงเห็นความลำแสงของลำแสงสีฟ้า กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง ตะโกนด้วยเสียงอันดัง
ความจริงแล้วไม่ต้องให้เขาพูดเหล่าชายหนุ่มคิ้วขาวและสตรีก็มองเห็นลำแสงสีฟ้าที่เข้ามาประชิดอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว สีหน้าจึงไม่ได้ดีเท่าใดนัก
แทบจะไม่ต้องคิด สองมือของทั้งสองพลันร่ายอาคม ร่างกายพลันมีลำแสงวิญญาณสีต่างๆ ทะลักออกมา หมุนวนโคจรอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน แล้วใส่ไปที่สำเภาหยกซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า
การเคลื่อนไหวของหานลี่และสตรีชุดขาวก็ไม่ได้เชื่องช้านัก แต่ทันใดนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะนั้นก็บรรจุพลังลมปราณห้ากลุ่มเข้าไปในสำเภาเมฆาวิญญาณ!
เมื่อทุกคนร่วมมือกันแน่นอนว่าก่อนหน้าจึงไม่อาจเทียบได้ หลังจากที่สำเภาใต้ฝ่าเท้าเป็นเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันสั่นคลอน ลำแสงด้านนอกสำเภาเริ่มรางเลือน
ภายใต้ความเร็วถึงขีดสุด สำเภาวิญญาณกลายเป็นสายรุ้งสีขาวแล้วกลายเป็นเงาลวงราวกับดาวตกสายหนึ่ง แค่พลิ้วไหวเล็กน้อย ก็พุ่งไปสุดขอบฟ้า
ทว่าความเร็วเช่นนี้ เส้นไหมสีฟ้าที่อยู่ด้านหลังสำเภาวิญญาณก็ดูเหมือนว่าความเร็วจะไม่ต่างอะไรกับสำเภาวิญญาณนัก จึงไล่ตามมาอยู่ด้านหลังติดๆ
นี่จึงทำให้เหล่าหล่งตงและพวกตะลึงงัน แล้วถึงได้รู้ความน่ากลัวของระเบิดอสนีในตำนาน ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ
แต่โชคดีที่ทุกคนร่วมมือกัน จึงกระตุ้นความเร็วของสำเภาวิญญาณให้อยู่ในจุดสูงสุด หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านความเร็ว เกรงว่าคงไม่อาจหลบหนีได้
แน่นอนว่าหานลี่และพวกล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ทุกคนต่างมีเคล็ดวิชาลับในการรักษาชีวิตตนเอง อาศัยแค่การกระตุ้นเคล็ดวิชาหลีกหนีลับ ก็ไม่แน่ว่าจะช้ากว่าสำเภาวิญญาณเบื้องหน้านี้เท่าใดนัก แต่ผลของการกระทำเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนต่างได้รับผลที่ตามมา ไม่สูญเสียปราณแท้ไป โลหิตบริสุทธิ์ก็ได้รับความเสียหายหนัก
ในสถานที่ที่อันตรายทุกย่างก้าวอย่างแดนป่าเถื่อนนี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายทำเช่นนี้ ดังนั้นครั้งนี้หานลี่และพวกจึงควบคุมสำเภาวิญญาณอย่างร่วมแรงร่วมใจกัน ทำให้สำเภาวิญญาณบินหนีออกมาในระยะสองสามหมื่นลี้ในอึดใจเดียว
ในที่สุดลำแสงสีฟ้าด้านหลังก็หายวับไป ไม่ได้ยินเสียงอัสนีฟ้าฟาดเลยสักนิด
ทุกคนถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง หลังจากที่ลำแสงวิญญาณหม่นแสงลงแล้ว ก็ทยอยกันเก็บพลังลมปราณ
สำเภาวิญญาณถึงได้ลดความเร็วลง
“อันตรายจริงๆ ครั้งนี้โชคดีที่เซียนเสี่ยวมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว มิเช่นนั้นหากช้าไปเพียงนิด พวกเราคงถูกม้วนเข้าไปในระเบิดอสนี ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เพลี่ยงพล้ำในนั้น แต่ก็ยากที่หนีออกมาได้อย่างครบสามสิบสอง” ในที่สุดสีหน้าของหล่งตงก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ พลางเอ่ยกับสตรีด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ข้าเองก็โชคดี ถึงแม้ว่าเต่าอสนีจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ก็รู้เรื่องของโลกภายนอกไม่มากจริงๆ เผ่าของน้องหญิงน้อยเคยมีอาวุโสผู้หนึ่ง สังหารเต่าอสนีตัวหนึ่งได้โดยลำพัง ดังนั้นจึงรู้อะไรมานิดหน่อย ปกติแล้วเต่าอสนีจะซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน มักจะไม่ยอมขึ้นมาบนดินง่ายๆ มีเพียงรู้สึกถึงแรงระเบิดอสนีจากที่ใดสักแห่ง ถึงจะปรากฏตัวออกมาดูดซับพลังอสนี แต่จะว่าไปแล้วเต่าอสนีโตเต็มวัยจะมีให้กำเนิดไข่มุกมหัศจรรย์สองเม็ดในร่าง เม็ดหนึ่งดึงดูดอสนี เม็ดหนึ่งป้องกันอสนี มีอานุภาพมาก ว่ากันว่าลึกลับมาก ถึงแม้ว่าผู้ที่มีไม่มีรากวิญญาณอสนีได้ไข่มุกเม็ดนี้ไป ก็สามารถควบคุมพลังอสนีได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นที่อาวุโสผู้นี้สังหารเต่าอสนีตัวนั้น เป็นแค่ลูกเต่า ดังนั้นจึงยังไม่มีไข่มุกอัศจรรย์สองเม็ด ทว่ากระดองของเต่าอสนีนั้นแฝงไปด้วยพลังอสนีที่น่าตกใจ คือวัตถุดิบระดับสุดยอดที่ใช้หลอมสมบัติธาตุอสนี หากผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถเกรียงไกรพบกับเต่าชนิดนี้ เกรงว่าคงดีใจจนบ้าคลั่ง” เสี่ยวหงกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาสองสามครั้ง
“อาวุโสของเผ่าท่านสังหารอสูรอัศจรรย์ฟ้าดินได้เพียงลำพัง จะต้องเป็นหนึ่งในเหล่าอาวุโสของเผ่าท่านแน่ แต่สำหรับระดับเทพแปลงอย่างพวกเรา กลับเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน ครั้งนี้ฟาดเคราะห์มาได้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับเบะปาก ดูเหมือนว่าจะยังคงหวาดกลัวกับเรื่องที่พบเต่าอสนีและเรื่องระเบิดอสนีอยู่
“ใช่แล้ว! ถึงแม้ว่าเต่าอสนีจะมีร่างกายเป็นสมบัติ หากพลังยุทธ์ไม่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ก็อย่าคิดเรื่องบ้าๆ เลย และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากระเบิดอสนีจบลง อสูรตัวนี้ก็จะมุดลงไปใต้ดินอีกครั้ง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไปกันเถิด หวังว่าระยะทางต่อจากนี้จะราบรื่นสักหน่อยนะ” หล่งตงพยักหน้า แต่น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อเข้าสู่ส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวันก็พบกับอสูรประหลาดที่สามารถสังหารพวกเขาได้ ทำให้พวกเขาอดที่จะรู้สึกจิตใจหนักอึ้งไม่ได้
หลังจากที่คนอื่นๆ หันซ้ายหันขวาไปรอบหนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอยู่คุยกันที่นี่ต่อ หลังจากเอ่ยอย่างสบายๆ อีกสองประโยค ก็ทยอยกันกลับไปยังห้องทำสมาธิของตนเอง
หานลี่กลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเอาแต่เงียบขรึมไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
แต่หลังจากที่ทุกคนออกไปจากหัวเรือแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่เกิดระเบิดอสนี สายตาเปล่งประกายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างเสียดาย กลับไปยังจุดที่สูงที่สุดของสำเภาหยก แล้วนั่งสมาธิลงอีกครั้ง
1362 สองฮ่องเต้ปรากฏตัว
หานลี่และพวกคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่สำเภาวิญญาณที่พวกเขาขับเคลื่อนออกไปห่างจากระเบิดอสนีได้ไม่ไกลนัก กลุ่มเมฆสีดำที่พันรอบร่างเต่าอสนีก็หายไป เผยหน้าตาที่แท้จริงออกมา
ไม่ต้องพูดถึงว่าเต่าตัวนี้มีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร กระดองเต่าขนาดยักษ์สีเทาเข้ม แต่เปล่งแสงเจิดจ้าสีทองออกมา ดูเหมือนเกลี้ยงเกลาอย่างหาที่เปรียบมิได้
สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ นอกจากแขนข้าทั้งสี่ของเต่าตัวนี้แล้ว กลับมองไม่เห็นหัวหรือหาง ดูแล้วคงกำลังหดอยู่ในกระดอง ไม่ได้โผล่ออกมา
ครานี้ระเบิดอสนีระเบิดจนหมดแล้ว ท้องฟ้าทั้งหมดถูกลำแสงสีฟ้าอาบย้อมเอาไว้ จากท้องฟ้าที่สดใสมีประจุไฟฟ้าสีฟ้าขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับห่าฝน เล็กน้อยก็มีขนาดแค่สองสามฉื่อ ใหญ่หน่อยก็มีความยาวถึงสิบจั้งเศษ ล้วนตกลงมาบนพื้นอย่างน่าครั่นคร้าม เสียงอสนีฟ้าฟาดกลืนกินท้องฟ้าไปทั้งหมด
จากร่างกายที่ใหญ่โตของเต่าอสนี แน่นอนว่าจึงรับประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ แต่เมื่อประจุไฟฟ้าทั้งหมดสัมผัสกับร่างของเต่าตัวนั้น กลับจมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับโคลนที่จมลงไปในมหาสมุทร
สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ผิวของเต่าตัวนี้มีลำแสงสีขาวแผ่ออกเป็นระลอกๆ ประจุไฟฟ้าที่ตกลงรอบๆ กลับถูกดูดเข้าไปข้างในราวกับถูกพลังแม่เหล็กดูดเข้าไป ล้วนเปลี่ยนทิศพุ่งไปยังแผ่นหลังของเต่าตัวนั้น เช่นนี้ ประจุไฟฟ้ากว่าครึ่งที่ปรากฏขึ้นในระเบิดอสนี จึงถูกเต่าตัวนี้ดูเข้าไปในร่างกายจนหมดเต่าตัวนี้วาดแขนขาทั้งสี่ไปมาอย่างช้าๆ กลับดูเหมือนว่าพอใจมากที่อยู่ในระเบิดอสนี
ฉับพลันนั้นแขนข้าทั้งสี่ของเต่ายักษ์ก็หยุดชะงัก ชั่วครู่ก็หดเข้าไปในกระดองเต่าอย่างไม่รู้สาเหตุ
แทบจะในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้ารอบๆพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้น ลำแสงหลากสีสันพุ่งออกมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า หลังจากที่ลำแสงหม่นแสงลง วิหคกระดูกขนาดยักษ์แผ่สีสันหลากสีพลันปรากฏขึ้น
ถึงแม้ว่าวิหคกระดูกตัวนี้จะมีขนาดแค่สิบจั้งเศษ แต่ความน่าเกรงขามที่แผ่มาจากเรือนร่างของมัน ก็ไม่ด้อยไปกว่าเต่ายักษ์ที่ดูดซับอัสนีท่ามกลางระเบิดอสนีเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ ส่วนหัวของวิหคกระดูกนี้มีเงาร่างคนสองสายยืนอยู่
คนหนึ่งสูงสองจั้งแผ่ลำแสงสีดำออกมาจากเรือนกาย อีกคนหนึ่งร่างกายธรรมดา กลับถูกเมฆสีเขียวอ่อนกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
“ไม่เลว ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะถูกส่งตัวมาที่นี่ และยังมาเจอกับเหยื่อที่โอชะขนาดนี้ มารยักษ์สิบหัวที่ข้าอยากหลอม ยังขาดวัตถุดิบอยู่นิดหน่อยพอดี เต่าอสนีตัวนี้ก็พอจะใช้ได้” เงาร่างคนหนึ่งในนั้นมองไปยังเต่ายักษ์ แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองขึ้นมา
“พี่เทียนเมี่ยว ของระดับนี้เป็นวาสนาของผู้พบเห็น มารสิบหัวของเจ้าใช้แค่โครงกระดูกของมัน ข้าช่วยเจ้าสังหารเต่าตัวนี้ แต่ไข่มุกอสนีสองเม็ดในร่างเต่าอสนี ข้าน้อยจะรับไว้” เงาร่างคนอีกคนหนึ่งได้ยินกลับเอ่ยพร้อมฉีกยิ้ม
“หึ พี่เสวียนอู่ช่างเจ้าแผนการนัก สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในร่างของเต่าตัวนี้ก็คือไข่มุกอสนีทั้งสองเม็ด สหายเอ่ยปากก็จะเอาทั้งสองเม็ด ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ?” เงาร่างคนในไอสีเขียวแค่นเสียงออกมา ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจนัก
“หึๆ ถึงแม้ว่าไข่มุกอสนีจะยอดเยี่ยม แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเจ้าและข้ามากนัก ที่ข้าต้องการมันเพราะมีเป้าหมายอื่น ไม่เช่นนั้น ข้าเอาแขนของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลน แลกกับไข่มุกอสนีสองเม็ดเป็นอย่างไร?” มนุษย์ร่างสูงใหญ่ดูเหมือนว่าจะไม่อยากโต้เถียงกับอีกฝ่ายนัก จึงเสนอเงื่อนไขออกมา
“มีเป้าหมายอื่น? อ๋อ ข้าเกือบลืมไป ชานหลิงตัวนั้นของพี่เสวียนอู่ ก็คือเต่าอสนี พี่เสวียนอู่อยากนำไข่มุกอัสนีสองเม็ดไปเพิ่มอายุขัยให้อสูรตัวนั้นสินะ” เงาร่างคนในไอสีเขียวเอ่ยอย่างถึงบางอ้อ
“สหายรู้แล้วก็ดี! อายุขัยของชานหลิงยืนยาวมาก มีประโยชน์ต่อเผ่ามนุษย์เป็นอย่างมาก มันสามารถนำมาใช้ต้านทานกับครึ่งจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ หากเกิดสงครามทำลายล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นตัวช่วยอีกแรงของข้าได้ พี่เทียนเมี่ยวคงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอกกระมัง” เงาร่างสูงใหญ่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อมีประโยชน์ต่อพี่เสวียนอู่จริงๆ น้องก็จะทำตัวเป็นคนเลว ตกลงตามนี้ ทว่าพวกเราต้องรีบลงมือหน่อย อย่าพลาดเรื่องใหญ่ไป การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ไม่ใช่การรวบรวมสมบัติฟ้าดิน แต่เพราะมีเรื่องสำคัญอื่นอยู่ จะต้องไปฐานที่มั่นของเผ่าประหลาดที่เข้าใกล้เมืองเทวะสวรรค์เหล่านั้นให้ได้” หลังจากเงาร่างคนในไอสีเขียวขบคิดอยู่นาน ถึงได้ตอบกลับอย่างเห็นด้วย
“ฮ่าๆ ห้ามพลาดเรื่องใหญ่เด็ดขาด เจ้ากับข้าร่วมมือกัน บวกกับหุ่นเชิดที่หลอมขึ้นจากโครงกระดูกหงส์โบราณ สังหารเต่าอสนีโตเต็มวัยตัวหนึ่ง คงใช้เวลาไม่เท่าไหร่” เงาร่างคนสูงใหญ่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กำมือทั้งสองทะลวงเข้าไปในระเบิดอสนี
ชั่วครู่เสียงตึงตังพลันดังขึ้นจากในระเบิดอสนี เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาก ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรนคำรามของอสูรดังมาเช่นกัน
เงาร่างคนในไอสีเขียวที่เหยียบอยู่บนหงส์กระดูก พลันสั่นศีรษะและถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าจะจนปัญญากับอารมณ์ขี้โมโหของสหายร่วมวิถีเช่นกัน แต่ทันใดนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ร่างของหงส์กระดูกใต้ฝ่าเท้าขยายใหญ่ขึ้นทันที ชั่วพริบตาก็กลายเป็นขนาดยักษ์ประมาณร้อยจั้งเศษ ภายใต้การเร่งเร้าของเงาร่างมนุษย์ที่อยู่บนศีรษะ หงส์กระดูกพลันกระโจนเข้าไปในระเบิดอสนี
ชั่วขณะนั้นเสียงคำรามของอสูรในประจุไฟฟ้าสีฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งมีเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวอยู่สองสามส่วน
……
อีกด้าน หานลี่และพวกกำลังขับเคลื่อนสำเภาวิญญาณ เร่งรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพักเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าถูกชายหนุ่มไฝแดงพูดจี้จุดจริงๆ หรือไม่ สองสามเดือนต่อจากนั้น ถึงแม้ว่าความเร็วของสำเภาเมฆาวิญญาณจะไม่เชื่องช้า และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาลวงตายังจัดอยู่ในชั้นสูง แต่ก็ยังคงพบกับอันตรายบ่อยๆ อยู่สองสามครั้ง
ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งถูกวายุประหลาดสีแดงสดม้วนเข้าไป และที่เรียกว่าวายุประหลาด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงตัวเล็กสีแดงสดขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารจำนวนนับไม่ถ้วน
หากไม่ใช่เพราะทุกคนร่วมมือกันด้วยอารามตกใจ หลบหนีออกมาจากวายุประหลาดได้ในทันใด เกรงว่าสำเภานี้คงถูกแมลงประหลาดกลืนกินไปจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา
เรื่องนี้ผ่านไปได้ไม่นานนัก สำเภาที่กำลังบินอยู่ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นเบื้องหน้า วิหคประหลาดสองหัวความยาวร้อยจั้งบินแหวกผ่านอากาศมา
วิหคตัวนี้มีสีเหลืองทอง รอบกายแผ่ไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงออกมา แค่มองก็รู้ว่าน่ากลัวไม่ต่างอะไรกับเต่าอสนี นี่จึงทำให้จิตใจของทุกคนแล่นมาจุกที่ลำคอ
ไม่รู้ว่าวิหคตัวนี้ไม่พบสำเภาวิญญาณจริงๆ หรือว่าเทียบกับขนาดร่างกายตนเองแล้วก็ไม่สนใจราวกับมดแมลงตัวหนึ่ง หลังจากที่มันกระพือปึกมหึมาสองสามครั้ง ก็บินออกไปเอง
หลังจากที่พวกของหานลี่ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้ว ก็มองสบตากันแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
หลังจากที่ทุกคนบนสำเภาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของแดนป่าเถื่อนแล้ว แน่นอนว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไรอีก ถึงแม้ว่าตัวจะอยู่ในห้องทำสมาธิ ทุกคนก็ยังรักษาระดับความตื่นตัวเอาไว้
การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดพลาดดังคาด อันตรายที่พบต่อจากนี้ ล้วนอาศัยความใส่ใจของทุกคน ถึงได้ผ่านมาได้
แต่สุดท้ายวันที่ความโชคดีหมดลงก็มาถึง
วันนี้ครั้นเมื่อชายหนุ่มคิ้วขาวเข้าเวรอยู่ด้านนอก หานลี่ก็กำลังเรียนรู้วิชายันต์อยู่ภายในห้องทำสมาธิ ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงกู่ร้องเตือนดังออกมาจากด้านนอก ทันใดนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นด้วยหน้าที่เปลี่ยนสิ แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใดๆ สำเภายักษ์ทั้งลำก็สั่นคลอน ร่างกายเซถลา จนเกือบจะไม่อาจยืนให้มั่นอยู่บนพื้นได้
หานลี่รู้สึกตะลึงงัน จากนั้นก็สั่นเทาอย่างหนักไม่หยุด ทันใดนั้นลำแสงสีขาวก็กะพริบวาบอยู่ที่กำแพงทั้งสี่ด้าน คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เขามีสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดแขนเสื้อไปทางเพดานของห้องทำสมาธิ ชั่วขณะนั้นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพลันพุ่งแหวกอากาศขึ้นไป ชั่วครู่ก็ทะลุผ่านเพดานของห้องทำสมาธิออกไปจนเป็นรูขนาดใหญ่
ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมา กะพริบวาบสองสามแล้วก็ปรากฏตัวห่างจากสำเภาหยกไปยี่สิบจั้งเศษ แล้วถึงหันกลับมามองอย่างละเอียด
เห็นเพียงในครานี้ ยังมีลำแสงหลีกหนีอื่นๆ บินออกมาจากสำเภาอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือหล่งตงและพวกที่เห็นท่าไม่ดีแล้วจึงละทิ้งสำเภาวิญญาณหนีออกมา
ชั่วพริบตาที่ทุกคนหนีออกมาหมดแล้ว ก็ได้ยินเสียงตูมดังขึ้น ฉากสำเภาวิญญาณระเบิดท่ามกลางลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาวายุอันบ้าระห่ำก็พัดมาหาทุกคน
ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง แน่นอนว่าจึงไม่หวาดกลัววายุวิญญาณเหล่านี้ ต่างล่องหนลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แค่จ้องเขม็งไปยังจุดที่สำเภาวิญญาณระเบิดออก
นอกจากชายหนุ่มคิ้วขาวที่เข้าเวรอยู่แล้ว คนอื่นๆ ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คาดไม่ถึงว่าสำเภาเมฆาวิญญาณจะถูกทำลาย
แต่เมื่อทุกคนกวาดจิตสัมผัสไปอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบอะไรเลย
เช่นนี้ทุกคนจึงรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย
“พี่หลี่ ผู้ใดโจมตีพวกเรา!” เสี่ยวหงเอ่ยปากถามอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้ามองไปด้านล่างเถิด!” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยตอบอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำนี้ หลังจากที่หานลี่และพวกตกตะลึงแล้ว จิตสัมผัสก็กวาดลงไปด้านล่างทันที
ผลคือหลังจากที่มองเห็นสถานการณ์ด้านล่างอย่างชัดเจนแล้ว สตรีและพวกก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ หานลี่กลับย่นหัวคิ้ว
เห็นเพียงชีพจรภูเขาที่ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาด้านล่าง พวกเขาอยู่ระหว่างกลางภูเขายักษ์สองลูกอย่างพอดิบพอดี
และในสถานที่ที่ดูลึกลับเป็นพิเศษนี้ กลางต้นไม้ขนาดยักษ์หลากสีสัน มีที่ว่างแปลกประหลาดปรากฏขึ้น และตรงใจกลางของพื้นที่นี้ก็มีต้นหญ้ายักษ์สีม่วงเข้มสูงสามสิบถึงสี่สิบจั้งอยู่ต้นหนึ่ง ใบหญ้าแต่ละใบตั้งตรงราวกับกระบี่ยักษ์ รอบด้านมีหนามที่ดูแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน
สองฝั่งของต้นหญ้ายักษ์เหล่านี้ มีสิ่งมหึมายืนเผชิญหน้ากันอยู่
กิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่งยาวห้าสิบหกสิบจั้ง เรือนกายเป็นสีเขียวมรกต แผ่นหลังมีจุดกระดำกระด่างขนาดเท่าเหรียญจำนวนนับไม่ถ้วน บนศีรษะขนาดใหญ่มีเขาประหลาดสีแดงโลหิตสองเขาที่ดูเหมือนปะการังงอกออกมา
อีกตัวหนึ่งกลับเป็นมนุษย์ยักษ์แดนป่าเถื่อนสูงสามสิบจั้ง หน้าตาโหดเ**้ยม เรือนผมสีเหลือง แถมยังแบกกระบองไม้สีดำเอาไว้บนบ่า แต่ครั้นมองไปยังบนร่างของมนุษย์ยักษ์ ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง
ผิวบนร่างกายและแขนขาทั้งสี่ของมนุษย์ยักษ์นั้นมีลูกตาสีเงินขาวน้อยใหญ่แตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ ทุกดวงฉายแววเย็นชาออกมา
ทว่าไม่ว่ามนุษย์ยักษ์หรือว่ากิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นต่างก็มองกันด้วยความเป็นปฏิปักษ์ สายตามองไปยังต้นหญ้ายักษ์ที่อยู่ตรงกลาง
เช่นนั้น หานลี่จึงใจเต้นขณะแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบต้นหญ้ายักษ์เหล่านั้นอย่างละเอียด
ผลคือครู่ต่อมา หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี
ภายในใบหญ้าที่เหมือนกับคมกระบี่นั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีผลเจียงกั่ว (เบอร์รี) สีม่วงที่ดูเหมือนองุ่นอยู่พวงหนึ่ง
ผลเจียงกั่วเหล่านี้มีขนาดเท่ากำปั้น รูปทรงกลมมน ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยใสวาว แผ่กลิ่นหอมประหลาดๆ ที่เย้ายวนออกมา เมื่อจิตสัมผัสกวาดไปด้านในผลเจียงกั่ว ทุกผลต่างมีแกนที่เหมือนกับมังกรน้อยของจริงอยู่ในนั้น ทุกตัวล้วนโปร่งใสแวววาว แนบเนียนเสมือนจริงสุดๆ
มังกรน้อยเหล่านี้ไม่มีสัญญาณชีพใดๆ แต่ไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมา ถึงแม้ว่าหานลี่จะแค่กวาดจิตสัมผัสไป ก็ยังสัมผัสถึงความเย็นสบายเป็นอย่างยิ่งได้
1363 ผลเห็ดมังกร
“ผลเห็ดมังกร!” ในเวลาเดียวกันที่ในหัวของหานลี่มีคำนี้ผุดขึ้นมา หญิงสาวชุดขาวก็ชิงร้องตะโกนขึ้นมาก่อน
พวกของหล่งตงและสตรีเองก็มีสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ เห็นได้ชัดว่ารู้จักสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้
“นี่คือวัตถุดิบหลักที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาถึงจะใช้ปรุง ‘ยาลูกกลอนมังกรทะยาน’ ได้ สามหมื่นปีถึงจะออกผลครั้งหนึ่ง ต่อให้กินดิบๆ ก็สามารถเพิ่มพลังการฝึกวรยุทธ์ไปได้หกสิบปี ที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะมีอยู่ต้นหนึ่ง ดูจากท่าทางแล้วเพิ่งจะโตเต็มวัยได้ไม่นาน หากพวกเราได้มาคงโชคดีมาก” สตรีพึมพำกับตัวเองด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
สตรีชุดขาวและหล่งตงแววตาเปล่งประกายวิบวับ เห็นได้ชัดว่าสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
วัตถุดิบหลักในการปรุงยาลูกกลอนระดับหลอมสุญตามีความหมายอย่างไร เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั่วๆ ไปคงไม่มีโอกาสได้พบ ปกติแล้วในงานประมูลยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีคนนำสมุนไพรวิญญาณถ้าดินมาประมูลแน่ มากสุดก็คงแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเท่านั้น มิเช่นนั้นโลหิตคางคกวิญญาณที่ใช้ปรุงยาของระดับเทพแปลงขั้นปลายในวันนั้น คงไม่มีคนแย่งประมูลกันอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้น
ประสิทธิภาพของยาสมุนไพรระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตานั้น ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนว่าแตกต่างกันเพียงขั้นหนึ่ง แต่ทั้งสองกลับแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
หากมีผู้บำเพ็ญเพียรเอาผลเห็ดมังกรว่าไว้ตรงหน้าและไปตามหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา อีกฝ่ายคงเอายาลูกกลอนระดับเทพแปลงกองโตมาแลกกับสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้ด้วยความยินดีแน่
ถึงอย่างไรเสียแม้นว่าในแดนป่าเถื่อนจะมีสมุนไพรฟ้าดินจำนวนมาก แต่สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อระดับเทพแปลงก็ยังคงมีอยู่น้อยมาก ทุกต้นที่พบจำเป็นต้องมีวาสนาเท่านั้น
และหากสมุนไพรเหล่านี้ปรากฏตัวหรือโตเต็มวัยเข้า ก็จะดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจำนวนมาก ไม่อาจคงอยู่ในระยะยาวได้
หานลี่และพวกไม่ได้เข้ามาในส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนเพื่อตามหาวัตถุดิบล้ำค่า แต่อยู่แค่ไม่กี่เดือน ก็พบกับเต่าอสนีถือกำเนิด จากนั้นก็พบกับผลเห็ดมังกร โอกาสเช่นนี้นับว่าเป็นโชคหนาชั้นแล้ว มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากมายที่อาศัยอยู่ในแดนป่าเถื่อนหลายสิบปี ก็ยังไม่ได้ได้อะไรเลย
“ลงไปดูสถานการณ์ด้านล่างให้ชัดแจ้งก่อนเถิด!” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมาขณะเอ่ย
“มนุษย์ยักษ์คือมนุษย์ยักษ์เผ่าพันตาของมนุษย์ยักษ์แดนป่าเถื่อน ทว่าดวงตาบนร่างของเขาล้วนเป็นสีเงินขาว เห็นได้ชัดว่ายังไม่โตเต็มวัย ส่วนกิ้งก่าตัวนั้นแม้ว่าจะดูไม่สะดุดตา แต่ในเมื่อทำให้มนุษย์ยักษ์พันตาหวาดกลัวได้ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา สัตว์ประหลาดทั้งสองตัวไม่ว่าตัวไหนก็เกรงว่าจะมีพละกำลังอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้น” หานลี่พิจารณาตัวประหลาดสองตัวที่อยู่ด้านล่างชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าออกมา
ครั้นเมื่อเขาอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ก็ได้ซื้อตำราที่เกี่ยวกับแดนป่าเถื่อนมาจากย่านร้านค้า เพื่อเตรียมใช้เข้าไปในแดนป่าเถื่อนในวันข้างหน้า ดังนั้นมองปราดเดียวก็รู้จักเผ่ามนุษย์ยักษ์ที่อยู่ด้านล่าง และทำการตัดสินอย่างเยือกเย็น
ได้ฟังคำพูดของหานลี่ จากต้นกำเนิดของสตรีและหล่งตงที่ลึกล้ำไม่ธรรมดา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่พันปีจะพบสักครั้ง ทุกคนจะไปละทิ้งง่ายๆ ได้อย่างไร หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ก็อดที่จะเผยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไม่ได้
ในตอนนั้นเอง เสียงหึ่งๆ ก็ดังมาจากจุดที่ไกลออกไป หานลี่และพวกจึงมองไปด้วยความตกตะลึง
เห็นเพียงตรงขอบฟ้าที่มีเสียงดังนั้น มีแมลงยักษ์รูปร่างเหมือนรังไหมยักษ์ยาวสองสามจั้งอยู่เจ็ดแปดรัง รอบกายแผ่ลำแสงหลากสีสันออกมา กำลังบินพุ่งมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ดูแล้วไม่ได้มีท่าทีเป็นมิตร
หานลี่ขมวดคิ้ว แต่หลังจากที่แผ่จิตสัมผัสไป ก็มีสีหน้าปกติในทันใด
แมลงยักษ์เหล่านี้ดูแล้วน่ากลัว กลิ่นอายบนเรือนร่างไม่ได้แข็งแกร่งนัก ไม่ได้สร้างความน่ายำเกรงให้พวกเขามากนัก หล่งตงและพวกที่อยู่ด้านข้างก็เห็นแมลงเหล่านี้เช่นกัน ต่างเตรียมตัวรอให้แมลงเหล่านั้นเข้ามาใกล้ แล้วจะจัดการสังหารแมลงยักษ์เหล่านั้นทิ้งทั้งหมด
แต่ฉากที่ทำให้พวกเขาตกใจจนสะดุ้งโหยงก็ปรากฏขึ้น
แมลงยักษ์เหล่านี้อยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณร้อยจั้ง ก็ผ่านตรงจุดที่กิ้งก่ายักษ์อยู่พอดี ฉับพลันนั้นกิ้งก่าพลันอ้าปากออก ดูเหมือนว่าจะพ่นอะไรสว่างวาบออกมา
แมลงยักษ์ตัวหนึ่งที่ดูน่าเกรงขามเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นฝูงแมลงเหล่านี้ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ตัวที่เหลือต่างหมุนวนโคจรอยู่ที่เดิม ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ด้วยความโมโหออกมา
แต่การเคลื่อนไหวนี้กลับไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ครู่ต่อมา แมลงยักษ์ตัวหนึ่งก็หายไปอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
เมื่อเห็นฉากนี้ พวกของหล่งตงและสตรีก็ใจหายวาบ
หานลี่หรี่ตาลง รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ
ชั่วพริบตาที่แมลงยักษ์สลายหายไป อาศัยความสามารถของเนตรวิญญาณ ในที่สุดเขาก็มองเห็นทุกอย่างอย่างชัดแจ้ง
สิ่งที่เรียกว่าหายไป คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลิ้นยาวๆ ที่เกือบโปร่งใสของกิ้งก่า ทะลวงผ่านท้องของแมลงยักษ์ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ จากนั้นก็ม้วนมันลงไปในปากของกิ้งก่ายักษ์ที่ด้านล่าง แต่แค่ลิ้นยาวๆ ดีดออกมาด้วยความเร็วที่ยากจะเหลือเชื่อ นี่จึงทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกว่าแมลงยักษ์หายไปจากกลางอากาศ
ชั่วพริบตาแมลงยักษ์ที่เหลือก็ถูกกิ้งก่ากลืนลงไปในท้อง จากนั้นอสูรตัวนี้ก็หมอบนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
แต่เมื่อสายตาของหานลี่เหลือบไปมองอสูรตัวนั้น แน่นอนว่าก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย
“อาจจะเป็นอสูรโบราณกลายพันธุ์ มิเช่นนั้นการโจมตีของมันคงไม่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ดูแล้ววิหคเมฆาวิญญาณคงถูกอสูรตัวนี้ใช้ลิ้นโจมตีจนสลายไป” ไม่รู้ว่าหล่งตงใช้เคล็ดวิชาอะไร คาดไม่ถึงว่าจะมองเห็นการโจมตีด้วยลิ้นยืดยาวของกิ้งก่ายักษ์ หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา
“ทว่าพวกเราอยู่ที่นี่ เหตุใดกิ้งก่านั่นถึงไม่โจมตีพวกเรา แต่กลับกลืนแมลงเหล่านั้นลงไป” หญิงสาวชุดขาวเอียงศีรษะ ราวกับว่าไม่เข้าใจ
“ใครจะไปรู้ล่ะ? บางทีอสูรตนนี้อาจจะคิดว่าพวกเราตัวเล็กเกินไป จึงไม่สนใจก็ได้ หรือแมลงยักษ์เหล่านั้นอาจจะเป็นของชอบของมันก็ได้” สตรีตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ
หญิงสาวสวมชุดสีขาวหน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้หลายส่วน
“อย่าไร้สาระนัก เกรงว่าทุกคนคงไม่อยากละทิ้งผลเห็ดมังกรสินะ ในเมื่อมีโชคขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้า ต่อให้ข้าน้อยตัวคนเดียวก็ไม่มีทางละทิ้งแน่” ชายหนุ่มคิ้วขาวจ้องเขม็งไปยังพวงเจียงกั่วในกอหญ้าพวงนั้น แววตาฉายแวบละโมบขณะเอ่ย
“ทั้งสองที่อยู่ด้านล่างต่างมีพละกำลังระดับหลอมสุญตา พี่หลี่ช่างอาจหาญไม่น้อย” หญิงสาวชุดขาวกลับหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย
“หึ หากอยู่แค่ระดับหลอมสุญตาตนหนึ่ง ข้าก็อาจจะหนี ในเมื่อมีสองตัวอยู่ที่นี่ ก็พูดยากแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวไม่โกรธขึ้ง แต่กลับเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
“อ๋อ ความหมายของพี่หลี่คือ…” หญิงสาวมีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที
“ใช่แล้ว! ถึงแม้อสูรโบราณกลายพันธุ์ตัวนี้จะรับมือยากก็ตาม เจ้ามนุษย์ยักษ์พันตาที่ยังไม่โตเต็มวัยก็ไม่ธรรมดา เมื่อทั้งสองสู้กัน กว่าครึ่งคงบาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็อาจจะตายกันไปข้าง ครานั้นหากค่อยลงมือ แน่นอนว่าก็มีความหวังแล้ว” หล่งตงกลับหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“รอจนพวกมันลงมือ เช่นนั้นต้องรอนานเท่าไหร่ บางทีสิบวันหรือครึ่งเดือนพวกมันก็ยังไม่ลงมือนะ!” สตรีกลับสั่นศีรษะ
“นั่นมันยุ่งยากไปหน่อยแล้ว! พวกเราเองก็มีภารกิจอยู่กับตัว ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก” หล่งตงกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของสตรี แล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ต่อให้ภารกิจจะรีบร้อนขนาดไหน เวลาแค่นี้พวกเราก็พอเสียได้ ต้องเอาผลเห็ดมังกรมาให้ได้! เสียเวลาแค่นี้จะเป็นอะไรกัน” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับมีท่าทางเหมือนต้องเอาผลวิญญาณด้านล่างมาให้ได้“พูดอย่างนั้นไม่ได้! ต่อให้ระดับหลอมสุญตาทั้งสองได้รับบาดเจ็บหนักจริงๆ แต่หากพวกมันสู้สุดชีวิต พวกเราก็ไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีสหายต้องเพลี่ยงพล้ำด้วยเหตุนี้ จากความเห็นของข้า อย่าต่อความยาวสาวความยืดเลย รีบไปกันเถิด”
ถึงแม้ว่าหล่งตงจะอยากได้ผลเห็ดมังกรมาก แต่เทียบกับอีกเรื่องที่อยู่ในใจนั้นก็ไม่นับว่ามีค่าอะไร แน่นอนว่าจึงไม่ยอมเสี่ยงอันตราย ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก ดังนั้นถึงได้ระงับความละโมบในใจ แล้วเอ่ยปากเช่นนี้ออกมา
“ก็มีเหตุผล ข้าคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าหากพวกเราชิงสมบัติมานั่นไม่ใช่เรื่องที่ชาญฉลาดอะไร อย่าลืมล่ะ เผ่ามนุษย์ยักษ์ชอบอยู่กันเป็นฝูง ผลวิญญาณที่สุกงอม มนุษย์ยักษ์และกิ้งก่าตัวนี้ยืนกรานใส่กัน ไม่แน่ว่าจะกำลังรอทัพเสริมของมนุษย์ยักษ์ก็ได้ กิ้งก่าตัวนั้นก็ไม่ได้ลงมือก่อน น่าจะมีแผนอื่น หากพวกเราต่อไปแล้วไม่ทันระวัง ก็อาจจะต้องดึงตนเองเข้าไปด้วยได้” สตรีคิ้วดำขลับขมวดคิ้วพลางวิเคราะห์เล็กน้อย แล้วคัดค้านการลงมือ
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดอะไร ข้าจะต้องได้ผลวิญญาณด้านล่างนี้มาให้ได้” หญิงสาวชุดขาวฟังคำพูดของหล่งตงและสตรี คาดไม่ถึงว่าริมฝีปากสีแดงจะขยับยืนอยู่ฝั่งเดียวกับชายหนุ่มคิ้วขาว
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา ไม่เพียงหญิงสาวและหล่งตงที่ตกตะลึง ชายหนุ่มคิ้วขาวก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน
ทว่าเช่นนี้ สองคนเห็นด้วย อีกสองคนไม่เห็นด้วย ภายใต้การยืนกรานใส่กัน
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาในใจ ไม่สนใจสายตาของทั้งสี่ มือหนึ่งลูบไปที่ใต้คาง จมสู่ภวังค์แห่งความครุ่นคิด
“เพื่อผลวิญญาณเหล่านี้ เสี่ยงอันตรายหน่อยก็ถือว่าคุ้ม แต่เหมือนกับที่เซียนเสี่ยวพูด พวกเราไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก ต่อให้พวกมันไม่มีผู้ช่วย ผลวิญญาณก็อาจจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งตนอื่นมา จำเป็นต้องลงมือภายในสามวันถึงจะค่อนข้างปลอดภัย” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
คนที่เหลืออีกสี่คนจึงอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
“ต้องลงมือภายในสามวัน มันเป็นไปไม่ได้กระมัง” เสี่ยวหงมองลึกเข้าไปในแววตาของหานลี่แวบหนึ่ง แล้วสั่นศีรษะอย่างเชื่องช้า
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มคิ้วขาวและหญิงสาวจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้
“ให้พวกเขาต่อสู้กันเอง ภายในระยะเวลาสั้นๆ นั้นเป็นไปไม่ค่อยได้ แต่หากพวกเราคอยหาหนทางอื่นอยู่ด้านข้าง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จ ตัวอย่างเช่นดึงความสนใจของพวกมัน หรือว่าทำให้พวกมันโกรธ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ความหมายของพี่หานคือ…” หล่งตงชักสีหน้า ไม่เข้าใจความหายของหานลี่
“แน่นอน หากทำเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องรอนานนัก” ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันรู้สึกยินดี
“ดึงความสนใจไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่หากทำให้พวกมันโกรธเกรี้ยว และให้พวกมันฆ่ากันเอง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเบิกบานออกมา
“หากไม่มีอันตรายอะไร ข้าก็ตกลง” สตรีกวาดดวงตาคู่นั้นไปบนใบหน้าของหานลี่ เปลี่ยนความคิดอย่างมีแผนการ
หล่งตงกลับขบคิดไปชั่วครู่ แล้วถึงได้ฝืนพยักหน้า
“เอาล่ะ ในเมื่อเหล่าสหายตัดสินใจว่าจะลงมือแล้ว ผู้แซ่หล่งก็ไม่อาจวางตัวออกห่างได้ แต่แผนการต้องใช้ได้จริง!”
1364 ยุยง
“เรื่องนี้สหายหล่งโปรดวางใจ ชีวิตน้อยๆ ของข้านั้นล้ำค่ามาก ไม่มีทางทำอะไรที่เสี่ยงแน่” ชายหนุ่มคิ้วขาวหัวเราะหึๆ
“เหล่าสหายตัดสินใจอย่างไร” หล่งตงเอ่ยถาม
“พวกเราก็ล่องหนแยกกันเป็นสองฝั่งลอบโจมตีกิ้งก่าและมนุษย์ยักษ์ที่อยู่ด้านล่าง ให้พวกมันเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายโจมตี ก็ได้แล้วมิใช่หรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวดูเหมือนว่าจะเคยครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ด้านล่างมาแล้ว จึงเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องคิด
“พูดง่าย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าสองตัวด้านล่างมีจิตสัมผัสแข็งแกร่งขนาดไหน หากการล่องหนถูกมองออก สหายที่ลงมือจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ มันเสี่ยงไปหน่อยกระมัง!” สตรีครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วสั่นศีรษะ
“หากพูดถึงเคล็ดวิชาล่องหน น้องหญิงมี ‘ยันต์ว่างเปล่า’ อยู่สองแผ่น ขอแค่กระตุ้นมันเต็มอัตรา โดยปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับหลอมสุญตาไม่มีทางมองออกได้ง่ายๆ น้องหญิงเอาออกมาช่วยสนับสนุนได้” หญิงสาวชุดขาวเม้มริมฝีปากขณะเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ยันต์ว่างเปล่า นั่นคือยันต์ลูกอ๊อดสีเงินชนิดหนึ่ง มีประโยชน์ในการต่อกรกับเจ้าสองตัวนี้อย่างแน่นอน เริ่มแรกพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้ร่างจริงลงมือ ข้าน้อยมี ‘หุ่นเชิดมังกรเงินวารี’ อยู่สองตัว ทุกตัวล้วนเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เอายันต์แปะไว้บนร่างของหุ่นเชิด ให้พวกมันลงมือก็ได้แล้ว เช่นนั้นจะยิ่งปลอดภัยขึ้นหน่อย” หล่งตงหน้าเปลี่ยนสีขณะเอ่ยด้วยรอยยิ้มยินดี
“วิธีนี้เยี่ยมมาก ต่อให้หุ่นเชิดนั้นไม่ได้ผล พวกเราก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สี่คนตัวล่อพวกมันเอาไว้ จากนั้นก็ให้สหายคนหนึ่งที่เคล็ดวิชาหลีกหนีว่องไวแอบอยู่ข้างๆ คอยลงมือเด็ดผลวิญญาณไปในเวลาที่เหมาะสม ขอแค่ได้ผลวิญญาณมา ทุกคนก็จะสำแดงเคล็ดวิชาลับหนีไปในทันที บางทีเจ้าสองตัวนี้อาจจะมีกำลังเท่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แต่หากพวกเราจะหนีละก็ พวกมันคงไม่อาจขวางกั้นได้ แค่สหายที่ลงมือหยิบผลวิญญาณ จำต้องมีความรวดเร็ว มิเช่นนั้นจากความเร็วในการแลบลิ้นของกิ้งก่ากลายพันธุ์ ก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง” เสี่ยวหงกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เซียนเสี่ยวกล่าวมีเหตุผล แต่แค่ผู้ที่ลงมือชิงผลวิญญาณจะเสี่ยงมาก และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่เอาผลวิญญาณหนีไป มิเช่นนั้นวิธีนี้ก็ไม่มีทางใช้ได้” ชายหนุ่มคิ้วขาวแววตาเปล่งประกายเย็นชา
“จัดการยากจริงๆ ไม่ทราบว่าสหายท่านใดยอมเป็นคนลงมือคนสุดท้ายบ้าง หลังจากเอาสมบัติไปแล้ว พวกเราจะต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แน่นอนว่าสหายผู้นี้ก็ต้องหาวิธีทำให้พวกเราวางใจด้วยเช่นกัน” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาว คนที่เหลืออีกสี่คนก็เผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา
เหมือนกับที่หญิงสาวกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้หยิบผลเห็ดมังกรพวงนั้นไป เกรงว่าก็ต้องต้านทานกับความโกรธเกรี้ยวและขัดขวางของตัวประหลาดทั้งสอง อันตรายนั้นมากมายขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง ผู้ใดจะไว้ใจให้คนอื่นเอาผลวิญญาณล้ำค่าไปคนเดียว
นี่เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่างทำให้ผู้คนตัดสินใจยากจริงๆ
“หากเหล่าสหายไม่รังเกียจละก็ ข้าน้อยยอมเป็นคนลงมือคนสุดท้าย” ฉับพลันนั้นหานลี่พลันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“สหายหาน เจ้าเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลาง ไม่รู้ว่าอันตรายเกินไปหรือ?” หล่งตงหางตากระตุกพลันเอ่ยแย้ง
“ใช่ พลังยุทธ์ของพี่หานน้อยไปนิด” ชายหนุ่มคิ้วขาวพิจารณาหานลี่สองระลอก แล้วสั่นศีรษะระรัว
“ถึงแม้ว่าผู้แซ่หานจะมีพลังยุทธ์ไม่พอ แต่ในตัวยังมีสมบัติเคลื่อนย้ายระดับสุดยอดที่ใกล้เคียงกับสมบัติวิญญาณอยู่ชิ้นหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาที่ข้าน้อยฝึกฝนยังค่อนข้างพิเศษ มั่นใจว่าจะรักษาชีวิตได้แน่” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ ท่าทางไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“อ๋อ ในเมื่อพี่หานมั่นใจเช่นนี้ ก็ไม่มอบให้เจ้าทำไม่ได้แล้วล่ะ แต่พี่หานจะทำให้พวกเรามั่นใจได้อย่างไรว่าหลังจากที่ได้ผลวิญญาณไปแล้วจะไม่หนีเตลิดไป” หล่งตงมีน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ข้าน้อยคิดไม่ออกจริงๆ แต่หากเหล่าสหายคิดว่าข้าน้อยไม่เหมาะสมละก็เสนอตัวออกมาเองได้ ถึงอย่างไรเสียหน้าที่นี้ก็เป็นภาระที่หนักมาก ข้าน้อยเองก็อย่างไรก็ได้” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ ออกมา เอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
เมื่อได้ฟังหานลี่ถามเช่นนี้ คนที่เหลือก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ถึงแม้ว่าทุกคนจะอยากได้สมบัติ แต่ไม่มีผู้ใดอยากรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อให้กับสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาสองตน หากไม่ระวังก็อาจจะได้รับบาดเจ็บหนัก หรือแม้กระทั่งถึงฆาต
“หากพี่หานยอมให้ข้าลงอาคมไว้ น้องหญิงก็ไม่มีข้อคัดค้าน” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้น!” เสี่ยวหงจ้องเขม็งไปที่หานลี่ชั่วครู่แล้วเอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วย
หล่งตงและชายหนุ่มคิ้วขาวมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ลงอาคมในร่างของข้าน้อย แน่นอนว่าได้! แต่เหล่สหายจำต้องให้ข้าน้อยลงอาคมเอาไว้เช่นกัน” เมื่อได้ยินคำว่าลงอาคม หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นชา
“หึ หากเจ้าเอาสมบัติมาไม่ได้ เกิดอันตรายอะไรขึ้น พวกเราไม่ซวยไปพร้อมกับเจ้าหรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวได้ยินพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา
“หึๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้แซ่หานกำลังกังวล” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
ความจริงแล้วต่อให้คนเหล่านี้ยอมรับเงื่อนไขจริงๆ แปดในสิบส่วนเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้ว
อาคมที่ลงเอาไว้กับหงส์น้ำแข็งก่อนหน้า ทำให้เกิดผลที่น่ากลัวอย่างลมปราณหายไปและทารกวิญญาณถูกทำลาย เขาจึงยังรู้สึกหวาดกลัว จะยอมทำพลาดซ้ำง่ายๆ ได้อย่างไร
ฟังจากคำพูดของหานลี่ หล่งตงและพวกก็มองสบตากันด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากนายท่านเอาอะไรมาเป็นของประกัน พวกเราก็จะเชื่อเจ้า อย่างเช่น เอาสมบัติประจำกายของนายท่านมาไว้ที่พวกเราชั่วคราว แล้วถูกลงอาคมติดตามเอาไว้ เช่นนั้นละก็ พวกเราก็ไม่กลัวว่าสหายจะเอาสมบัติหนีไปแล้ว” หญิงสาวชุดขาวกะพริบดวงตาปริบๆ แล้วเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาขณะเอ่ย
“สมบัติประจำกาย ลงอาคมติดตาม วิธีเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็พอรับได้ ทว่าพวกเราต้องลงตำแหน่งเอาไว้ให้กันและกัน อีกเดี๋ยวตอนที่ล่องหน ข้าน้อยจะได้รู้ตำแหน่งของสหายทุกคน หึๆ หากหุ่นเชิดมังกรเงินวารีของพี่หล่งได้ผล ไม่แน่ว่าก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย” หานลี่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ถึงได้พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
ทำเครื่องหมายเอาไว้ซึ่งกันและกัน!
พวกของหล่งตงและสตรีพลันใจเต้น มองสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
ดูแล้วคงมีแต่วิธีนี้ที่ใช้การได้สุดแล้ว แน่นอนว่านั่นก็เป็นเพราะหานลี่มีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับเทพแปลงขั้นกลาง ดูแล้วเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด จึงไม่กลัวว่าเขาจะชิงสมบัติหนีไปจริงๆ
ทันใดนั้นคนเหล่านั้นก็ปรึกษากันอย่างละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้แผนการที่เป็นรูปธรรม
หานลี่อ้าปากออกพ่นกระบี่สีทองยาวสองสามชุ่นออกมาสี่ด้าม วนรอบร่างของตนเองเอาไว้ แล้วกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กสีทองสี่เล่ม ทยอยกันร่อนลงมาในมือของเขาทั้งสี่คน
หล่งตงและพวกเองก็ไม่เกรงใจ ทันใดนั้นบ้างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับ บ้างก็แปะยันต์วิเศษบนตัว เพื่อลงอาคมบนกระบี่ด้ามเล็ก ลำแสงสว่างวาบแล้วเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของของตนเอง
จากนั้นทั้งสี่คนก็ทยอยกันมีลำแสงหลากสีสันพ่นออกมาจากหว่างนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่
หานลี่ชิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบลำแสงเหล่านี้อย่างละเอียด เมื่อมั่นใจว่าเป็นแค่ลมปราณที่บริสุทธิ์ไม่มีอาคมอื่นผสมแล้ว ก็ถึงได้ปล่อยให้พวกมันเข้าไปในร่างกายอย่างวางใจ
จากนั้นหานลี่ก็ทำเช่นเดียวกัน ปล่อยลำแสงสีเขียวสี่ลูกออกมาจมหายเข้าไปในร่างของพวกของหล่งตงทั้งสี่คน
เช่นนั้นทุกคนจึงรู้สึกผ่อนคลายลง
หลังจากที่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว พวกเขาก็สลายตัวออก กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
หานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวบินออกมารวดเร็วสองสามพันลี้ แล้วถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เขาลอยอยู่กลางอากาศ กวาดตามองไปรอบๆ แล้วหลับตาทั้งสองข้างลงเบาๆ แผ่จิตสัมผัสออกไปอย่างช้าๆ
รอบ ไม่มีสิ่งผิดปกติ หลังจากที่ตนเองไม่ถูกจับจ้อง เขาก็ลืมตาทั้งสองข้าง สองมือพลันร่ายอาคม
ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกขนนกสีขาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือ ‘ยันต์หายตัว’
ชิงสมบัติใต้จมูกของสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา เขาจึงไม่กล้าประมาท แน่นอนว่าจึงเอายันต์วิเศษแผ่นนี้ออกมา
แปะยันต์บนร่าง อักขระสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบในลำแสงสีม่วง หานลี่หายตัวไปตามสายลม
เขาที่ล่องหนอยู่ลอยวนไปมาอยู่ที่เดิม
ถึงแม้ว่าความเร็วจะไม่ได้เร็วเท่าตอนมา แต่ก็ไม่อาจพูดว่าช้าได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิมอีกครั้ง
กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นและมนุษย์ยักษ์พันตายังคงยืนกรานต่อกันไม่ยอมขยับเขยื้อน
อาศัยแค่ตาเนื้อ แน่นอนว่าไม่อาจสัมผัสการดำรงอยู่ของคนอื่นได้
ดังนั้นหานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมา ในใจพลันร่ายคาถา ชั่วขณะนั้นจิตสัมผัสพลันสัมผัสตำแหน่งที่อยู่ของตนเองได้
คนอื่นๆ ก็กลับมายังบริเวณใกล้ๆ ดังคาด และค่อยๆ ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหมือนกับเขา
ทั้งสองคนลอยอยู่เหนือกิ้งก่ายักษ์ อีกสองคนอยู่ด้านหลังมนุษย์ยักษ์พันตา
เคล็ดวิชาอำพรางตัวของคนเหล่านั้นก็ไม่ธรรมดา ไม่อาจสัมผัสล่องลอยได้ จากจิตสัมผัสของหานลี่ก็ไม่อาจพบเห็นอะไรได้เช่นกัน
นอกจากนี้หุ่นเชิดมังกรเงินวารีทั้งสองของหล่งตง เขาก็ยังไม่พบร่องรอยเลยสักนิด
ไม่รู้ว่ายันต์ว่างเปล่านั้นมีความมหัศจรรย์ถึงขั้นนี้ หรือว่ายังไม่ถูกสำแดงออกมา
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตาทั้งสองก็ยังจ้องไปด้านล่างตาไม่กะพริบ
ทุกอย่างรอบๆ ล้วนเงียบสงัด ความรู้สึกประหลาดเหมือนพายุกำลังเข้ามาปะทุขึ้น
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับรู้สึกทนไม่ไหว เหมือนว่าเวลาที่นัดกันไว้ ใกล้จะถึงแล้ว
ในตอนนั้นเองกิ้งก่ายักษ์ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกไม่สบายกรงเล็บยักษ์ จึงเงยหน้าขึ้นไปตามความรู้สึก แต่ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาข้างล่างอีกครั้ง
แต่ชั่วพริบตาที่กรงเล็บนี้ตะปบลงมา ฉับพลันนั้นกรงเล็บด้านล่างก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ทันใดนั้นเส้นไหมสีเงินก็พุ่งออกมา โจมตีไปทางมนุษย์ยักษ์พันตา
ดูแล้วเหมือนว่ากิ้งก่าจะใช้กรงเล็บของตนเองโจมตีออกมา
มนุษย์ยักษ์ใช้กระบองยักษ์ที่อยู่ในมือต้านเอาไว้ด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้นก็ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เงาสีดำเบื้องหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ พายุพัดเข้ามา คาดไม่ถึงว่าทำให้เส้นไหมสีเงินที่อยู่เบื้องหน้าหายไปในหอบเดียว
แต่แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ด้านล่างมนุษย์ยักษ์พันตาก็มีของรางๆ เปล่งแสงสว่างวาบ ทันใดนั้นเสาลำแสงสีเงินหนาๆ สายหนึ่งก็พ่นออกมาจากกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าหัวกิ้งก่ายักษ์
กิ้งก่ากลอกดวงตาสีเขียวเข้มทั้งสองข้าง เขาคู่สีแดงสดบนหัวเปล่งแสงสว่างวาบ พ่นเสาลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมาเช่นกัน
หลังจากเสียงระเบิด “ตูม” ดังขึ้น เมื่อเสาลำแสงทั้งสองสายสัมผัสกัน คาดไม่ถึงว่าจะสลายหายไปราวกับเดินไปสู่ความตายพร้อมกัน
แต่จากนั้นกิ้งก่าก็ชูคอเปล่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นออกมา แขนขาทั้งสี่ออกแรง ร่างกายที่แต่เดิมหมอบอยู่กับพื้นยืนขึ้น
มันอ้าปากออก เผยเขี้ยวเต็มปากออกมา
1365 ชิงผลวิญญาณ
มนุษย์ยักษ์ที่อยู่ตรงข้ามมีสีหน้าเ**้ยมโหดฉายแวบผ่าน มือหนึ่งเคลื่อนไหว ชั่วขณะนั้นพลันกำกระบองสีดำบนบ่าเอาไว้ ลูกตาบนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกะพริบตาปริบๆ
เมื่อดวงตาจำนวนมากบนร่างเคลื่อนไหวพร้อมกัน ไม่ว่าผู้ใดก็อดที่จะขนพองสยองเกล้าไม่ได้
หานลี่ที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนั้น กลับรู้สึกยินดี กั้นลมหายใจ
ขอแค่เจ้าสองตัวที่อยู่ด้านล่างลงมือสู้กัน แผนของพวกเราก็จะง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น กิ้งก่าอ้าปากออก เงาสีแดงสดสายหนึ่งพุ่งออกมา จากนั้นโคลนใต้กรงเล็บยักษ์ก็ระเบิดลำแสงสีเงินออกมา
เงาสีแดงสดหายไป ถูกของประหลาดๆ ทะลุผ่านออกมาจากดิน แล้วร่อนลงบนพื้น
หานลี่ใจหายวาบ จ้องเขม็งไป ถึงพบหุ่นเชิดสีเงินร่างมนุษย์หัวเป็นมังกรวารี
แต่แค่หุ่นเชิดตัวนี้ถูกลิ้นยาวๆ ที่น่ากลัวของกิ้งก่ายักษ์ทะลวงผ่านกึ่งกลางลำตัว ทันใดนั้นร่างกายก็ระเบิดออก กลายเป็นกองเศษเหล็กกองหนึ่ง
ดูแล้วชั่วพริบตาที่หุ่นเชิดนี้ลงมือก็คงจะเผยร่องรอยออกมา จึงถูกกิ้งก่ายักษ์พบเข้าแล้วจึงถูกทำลายทิ้ง
ถึงแม้ว่ามนุษย์ยักษ์พันตาที่อยู่ตรงข้ามจะมีสติปัญญาไม่สูงนัก แต่เมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้นก็ตกตะลึง ทันใดนั้นพลันกลอกลูกตาบนร่างไปมา เปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพ่นออกมาจากดวงตา
เสียงครืนดังขึ้น หุ่นเชิดอีกตัวที่อำพรางตัวอยู่ใต้ร่างยักษ์ถูกเส้นไหมสีดำเจ็ดแปดสายทะลวงผ่านเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเส้นไหมเหล่านี้คืออะไร หลังจากนั้นแยกตัวออกเป็นทั้งสี่ด้านแล้ว ก็สับหุ่นเชิดสูงสองสามจั้งออกเป็นชิ้นๆ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งจนไม่มีสิ่งใดต้านทานได้
เมื่อเห็นฉากนี้ หานลี่พลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง สายตาเปล่งประกายไม่หยุด
ดูแล้วความอันตรายในภารกิจนี้คงจะเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก ทว่าผลเห็ดมังกรเกี่ยวข้องกับสมุนไพรระดับหลอมสุญตาในวันข้างหน้า ต่อให้อันตรายมากกว่านี้ เขาก็มีเพียงต้องทำใจดีสู้เสือเสี่ยงดูอีกครั้งแล้ว
ถึงอย่างไรเสียขอแค่มีเมล็ดของสมุนไพรชนิดนี้ เขาก็สามารถเร่งการเจริญเติบโตของมันอย่างไร้ขีดจำกัดได้
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็เยือกเย็นขึ้นอีกครั้ง
หลังจากมนุษย์ยักษ์แค่นเสียงข่มออกมาจากปาก ก็วางกระบองยักษ์ลงไปบนบ่าอีกครั้ง
กิ้งก่ายักษ์จ้องเขม็งไปยังมนุษย์ยักษ์แวบหนึ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว หมอบลงไปบนพื้นดินอีกครั้ง สัตว์ประหลาดยักษ์ทั้งสองตัวกลับมายืนกรานใส่กันเหมือนก่อนหน้าอีกครั้ง
ทว่าหานลี่กลับจ้องไปด้านล่างเขม็ง ไม่กล้าแบ่งจิตไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อหุ่นเชิดไม่มีผล ตามแผนเดิมแล้วพวกของหล่งตงก็น่าจะร่วมมือกันดึงดูดความสนใจของกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์อยู่ใกล้ๆ จะได้หาโอกาสให้เขาชิงผลวิญญาณไป
เพียงแค่สองสามชั่วลมหายใจ หัวของกิ้งก่ายักษ์ก็มีเสียงพิณอันไพเราะดังขึ้น จากนั้นวงแหวนสีเหลืองเป็นวงๆ ก็ปรากฏขึ้น พุ่งไปหากิ้งก่ายักษ์ที่อยู่ด้านล่าง ในเวลาเดียวกันลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบ ขวานสั้นสีขาวทองสองด้ามปรากฏขึ้น หลังจากพลิ้วไหวเล็กน้อย มังกรวารีสายรุ้งสีขาวยักษ์สองสายพลันสับลงมาจากกลางอากาศราวกับออกมาจากน้ำ
แทบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างคนสองสายปรากฏขึ้นสูงขึ้นไปยี่สิบสามสิบจั้ง นั่นก็คือหญิงสาวและหล่งตง
ทว่าหญิงสาวกำลังใช้มือหนึ่งดีดไปบนสมบัติวิญญาณลอกเลียนแบบพิณวิญญาณ ส่วนหล่งตงกลับควบคุมสมบัติสองชิ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อย่ามองว่ากิ้งก่ายักษ์ตัวใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วอย่างหาที่เปรียบ ชั่วพริบตาที่การโจมตีปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมาแล้วยืนขึ้นทันที เขาประหลาดสีแดงบนหัวเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นสายรุ้งสีแดงพลันพุ่งออกมา หมุนวนติ้วๆ คาดไม่ถึงว่าจะรองวงแหวนสีเหลืองและสายรุ้งสีขาวสองสายเอาไว้
จากนั้นแผ่นหลังของกิ้งก่ายักษ์พลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เสียง “ฟิ้ว” แหวกผ่านอากาศดังขึ้น ขนยาวสองสามฉื่อกลายเป็นลำแสงสีเขียวมรกตพุ่งแหวกผ่านอากาศไป ในเวลาเดียวกันหางยักษ์พลันกวัดแกว่งอยู่ที่เดิม จึงเหลือเพียงเงารางๆ ที่หายวับไป
ครู่ต่อมาหางกิ้งก่ายักษ์ยาวยี่สิบจั้งเศษพลันมาปรากฏตัวด้านข้างหญิงสาวและหล่งตงได้อย่างไรก็ไม่รู้ กวาดไปอย่างรุนแรง ยังไม่ทันได้กวาดไปจริงๆ พายุโหมกระหน่ำก็ก่อตัวขึ้น ชั่วครู่ก็ม้วนทั้งสองเข้าไปด้านใน
กิ้งก่ายักษ์คู่ควรกับที่เป็นอสูรโบราณกลายพันธุ์จริงๆ เมื่อถูกโจมตี ก็โจมตีกลับอย่างเฉียบแหลมราวกับห่าฝน
ถึงแม้จะรู้ว่ากิ้งก่ายักษ์นั้นต่อกรยาก หญิงสาวชุดขาวและหล่งตงเองก็ใจจนสะดุ้งโหยง
โชคดีที่ทั้งสองเองก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้อย่างหนักอะไรอยู่แล้ว
ทันใดนั้นหญิงสาวพลันชูมือขึ้น ยันต์สีทองแผ่นหนึ่งพุ่งออกไป กลายเป็นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ จากนั้นก็พลิ้วไหวแล้วหายไปราวกับภูตผี ปรากฏขึ้นอีกแห่งห่างออกไปสามสิบจั้งเศษ
หล่งตงกลับเปล่งเสียงกู่ร้องยาวๆ ออกมา ชั่วครู่บนร่างพลันมีเกราะสงครามสีเหลืองปรากฏขึ้น เกราะสงครามเกราะนี้มีเกล็ดสีทอง ปกคลุมทั้งศีรษะและแขนขาทั้งสี่ แผ่นหลังมีปีกสัมฤทธิ์ขนาดยักษ์คู่หนึ่ง
ปีกทั้งสองกระพือ ชั่วขณะนั้นเงาเป็นสายพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ มองไกลๆ แล้วดูเหมือนเงาร่างคนหลายสายทอตัวเรียงอยู่เต็มท้องฟ้า ท่าทางน่าตกตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นลำแสงสีเขียวหรือว่าหางของกิ้งก่ายักษ์ ภายใต้เคล็ดวิชาหลีกหนีของทั้งสองคน จึงถูกกวาดออกไปจนเกลี้ยง
ทว่าทั้งสองคนที่อยู่กลางอากาศกลับไม่กล้าหยุดพักแม้ชั่วครู่ เพราะว่าการหมุนโคจรรอบหนึ่งของลำแสงเหล่านี้นั้นคาดไม่ถึงว่าจะดูอัศจรรย์มาก ไล่ตามหลังทั้งสองมาติดๆ อย่างไม่ลดละ หลังจากที่หางยักษ์มีลำแสงประหลาดเปล่งประกายสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกะพริบวาบเรืองๆ พายุเฮอร์ริเคนไล่ตามทั้งสองมาติดๆ อย่างไม่ลดละ
ครานี้กิ้งก่ายักษ์และทั้งสองพลันไล่ตามกันมาอย่างไม่ลดละ
ถึงแม้ว่าความสนใจกว่าครึ่งของกิ้งก่ายักษ์จะถูกทั้งสองดึงดูดไป แต่ก็ยังคงให้ความสนใจทางมนุษย์ยักษ์พันตาที่เป็นปฏิปักษ์อยู่เล็กน้อย กลัวว่าอีกฝ่ายจะถือโอกาสนี้แย่งผลวิญญาณไป แต่เมื่อมองไปก็วางใจได้สองสามส่วน
ที่แท้มนุษย์ยักษ์ที่อยู่ตรงข้าม ชั่วพริบตาที่กิ้งก่าและคนสองคนที่อยู่กลางอากาศลงมือนั้น ก็มีคนอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศด้านหลัง
คนหนึ่งร่ายอาคมชูมือขึ้นอีกครั้ง ชั่วขณะนั้นลูกเพลิงสีดำพลันทะลักออกมา อีกมือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศอีกด้าน กรงเล็บยักษ์เปล่งประกายสีดำข้างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือหัว แล้วตะปบลงมาอย่างรุนแรง
เสียงอึกทึกดังขึ้น ดูเหมือนว่ามนุษย์ยักษ์จะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ถูกลูกเพลิงทั้งหมดโจมตีไปบนร่าง ในเวลาเดียวกันกรงเล็บยักษ์สีดำก็ตะปบไปที่หน้าผากของมนุษย์ยักษ์
สตรีและชายหนุ่มคิ้วขาวพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็รู้สึกยินดี
แต่ฉากต่อจากนั้น ก็ทำให้รอยยิ้มของทั้งสองคนแข็งค้าง
ฉับพลันนั้นกลางเปลวเพลิงสีดำพลันมีเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นของมนุษย์ยักษ์ดังขึ้น ทันใดนั้นลูกตาสีเงินขาวบนร่างพลันกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นพลังที่ไร้รูปร่างพลันปรากฏขึ้น เปลวเพลิงสีดำที่เกาะติดร่างทยอยกันถูกลูกตาเหล่านั้นดูดเข้าไป ชั่วพริบตาก็หายไปจนเกลี้ยง
ส่วนชายหนุ่มคิ้วขาวนั้นที่ใช้ความสามารถสร้างกรงเล็บยักษ์ลวงตานั้นกลับไม่อาจทำร้ายมนุษย์ได้เลยแม้แต่ปลายก้อย มนุษย์ยักษ์พันตานั้นดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด แค่ใช้มือหนึ่งพลิกฝ่ามือตบไปเหนือศีรษะ ตบกรงเล็บยักษ์จนกลายเป็นกลุ่มควัน
ความสามารถเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้สตรีและชายหนุ่มคิ้วขาวมีจิตใจหนักอึ้ง
ทว่า การโจมตีของพวกเราเห็นได้ชัดว่าทำให้สัตว์ประหลาดยักษ์โกรธเกรี้ยวแล้ว
ใบหน้าของมนุษย์ยักษ์เผยสีหน้าโหดเ**้ยมออกมา ท่ามกลางเสียงคำราม ลูกตาสีเงินบนร่างดูดซับเปลวเพลิงสีดำเข้าไป ทันใดนั้นก็กลอกตาไปมาระหว่างทั้งสองคน แล้วจ้องเขม็งไป
ท่ามกลางลำแสงสีดำสว่างวาบ พ่นลำแสงสีดำออกมา ห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้
หญิงสาวและชายหนุ่มคิ้วขาวล้วนเคยเห็นความร้ายกาจของเส้นไหมสีดำมาเมื่อครู่ เมื่อเห็นสถานการณ์นี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้พวกมันสัมผัสกับตัวเอง
ทันใดนั้นคนหนึ่งก็ควักของสิ่งหนึ่งออกมาโยนไปใต้ร่าง ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นกระสวยลำแสงสีเขียว ร่างกายพลิ้วไหวเข้าไปอยู่ด้านใน ทันใดนั้นก็เปล่งแสงสว่างจ้าและพุ่งออกไป
อีกคนหนึ่งพลันพลิกตัวในทันใด กลายเป็นอินทรียักษ์ขนาดสองสามจั้งเรือนกายสีม่วงดำ สองปีกสยายออก เคลื่อนย้ายหนีไปเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าปีศาจทั้งสองตัวนี้คิดจะหลบหลีกและยื้อเวลาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่คิดจะปะทะกับมนุษย์ยักษ์ตรงๆ
ครานี้พวกของหล่งตงและฮูหยินทั้งสี่พลันใส่ลมปราณเต็มกำลัง ทะลวงมาเหนือกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์จากทั้งสี่ด้าน หลบการโจมตีที่อันตรายของทั้งสองได้อย่างน่าทึ่ง และบางครั้งก็ถือโอกาสโจมตีกลับ ทำให้อสูรยักษ์ทั้งสองร้องคำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ถึงแม้ว่ากิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์จะโจมตีมาไม่หยุดราวกับแมลงวัน แต่กลับนิ่งงันอยู่ที่เดิม ตนใดก็ไม่มีท่าทีจะไล่ตามทั้งสี่คนไป
มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าทั้งสี่คนจะมีเคล็ดวิชาหลีกหนีที่น่าตกตะลึง แต่ก็ไม่มีทางยื้อเวลากับสัตว์ประหลาดระดับหลอมสุญตาได้นานนัก ครานี้ทั้งสี่คนแค่ประสบกับอันตราย ก็เคลื่อนย้ายหนีออกไปไกลภายในหอบเดียว
เช่นนั้นพวกเขาจึงพอล้อมโจมตีกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์ไม่หยุดเท่านั้น
แต่ผลของการกระทำเช่นนี้ แน่นอนวว่าก็ทำให้สัตว์ประหลาดทั้งสองเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธแค้น
แต่เมื่อทั้งสี่คนโจมตีออกมาอย่างไม่ยั้งมือ พวกมันกลับไม่ยอมออกห่างจากผลวิญญาณเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อทั้งสี่คนหนีพ้น สายตาของกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์ที่ค่อยๆ ตกอยู่บนร่างของทั้งสี่คน ความสนใจที่มีต่อวิญญาณจึงเหลือไม่ถึงสองส่วน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างกายของหานลี่กลับร่อนลงไปข้างล่างอย่างเงียบเชียบ จากร่างที่กำลังล่องหนของเขา ถึงแม้ว่าสัตว์ประหลาดระดับหลอมสูงสองตัวจะไม่อาจมองเห็นได้ นั่นก็เพราะมีที่พึ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้หานลี่ถึงได้กล้ารับภารกิจนี้
ถึงแม้จะเช่นนั้นหานลี่ก็ยังระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่กล้าร่อนลงมาในพรวดเดียว
มองเห็นว่าร่างกายอยู่ห่างจากผลเห็ดมังกรพวกนั้นไปแค่ร้อยจั้งแปดสิบจั้ง สี่สิบจั้ง สิบจั้งเศษอย่างช้าๆ ในใจจึงยิ่งบีบรัดมากขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลย ชั่วพริบตาที่เขาเด็ดผลวิญญาณมา ร่างกายก็ไม่อาจรักษาการล่องหนได้อีก ในเวลาเดียวกันนั้นกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์ก็พบตนเองในทันใด การกระทำต่อจากนี้ ก็คือเขาจะปกป้องชีวิตตนเองอย่างไรแล้ว
ร่างกายล่องหนหยุดลงใกล้กับผลวิญญาณแค่คืบ ไม่เพียงจะได้กลิ่นสมุนไพรที่โชยมาอ่อนๆ แม้กระทั่งมองเห็นมังกรวารีน้อยใต้ผิวของผลวิญญาณอย่างชัดเจน
หานลี่ไม่ได้รีบร้อนลงมือเด็ดผลวิญญาณมา แต่ใช้มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีของสองสามอย่างปรากฏขึ้น
หานลี่เม้มริมฝีปาก ฉับพลันนั้นพลันถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน แล้วชูขึ้นอีกครั้ง ลูกกลมๆ เปล่งแสงสีเงินระยิบระยับสองสามลูกพุ่งออกไปหาสัตว์ยักษ์ทั้งสองพร้อมกัน
จากนั้นมือหนึ่งก็ตะปบไปที่เบื้องหน้าด้วยความรวดเร็วดั่งสายฟ้า ผลวิญญาณสดๆ พวงนั้นหายไปภายในพริบตา
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็เผยออกมา ปีกคู่นั้นที่แผ่นหลังสยายออก คนก็พลิ้วไหวท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง
เสียงคำรามดังสนั่นสองเสียงดังขึ้น เงาสีแดงสายหนึ่งและเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อแทบจะในเวลาเดียวกัน ชั่วครู่ก็ทะลุผ่านร่างของหานลี่ไป
แต่ทันใดนั้น ‘หานลี่’ ก็หายตัวไปในพริบตา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่เงารางๆ เท่านั้น
ร่างเดิมของเขาเคลื่อนย้ายออกไปก่อนแล้ว
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ลูกไฟฟ้าขนาดสองสามหมู่ปรากฏขึ้นทั้งสองด้าน ประจุไฟฟ้าหนาๆ เท่าปากชามสองสามสายเปล่งแสงกะพริบระยิบระยับไม่หยุด แม้กระทั่งทำให้รอบๆ เกิดพายุโหมกระหน่ำขึ้น เสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่หยุด ราวกับว่ากลืนกินทุกอย่างเข้าไปข้างใน
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ปาน!
1366 แบ่งผลวิญญาณ
นั่นก็คือไข่มุกอสนีที่หานลี่หลอมขึ้น และโยนออกไปทีเดียวสี่เม็ด
หลังจากที่ไข่มุกเหล่านี้ผ่านการหลอมขึ้นด้วยเคล็ดวิชาลายอสนี ทุกเม็ดก็มีพลังการโจมตีเทียบเท่ากับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาเต็มกำลัง ประกอบกับพลังอสนีที่มีอยู่เดิม ดังนั้นถึงได้มีอานุภาพที่น่าสะพรึงเช่นนี้
ตอนนี้ดูแล้วการกระทำนี้คงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
หากไม่ได้ใช้สมบัติเหล่านี้ขวางกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์พันตาเอาไว้ เกรงว่าถึงแม้จะเคลื่อนย้ายหนีออกมา ครู่ต่อมาก็คงไม่อาจสลัดตัวให้หลุดได้
เมื่อกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์พันตาเห็นผลวิญญาณถูกคนแย่งไป ก็เผยความโกรธเกรี้ยวดุจฟ้าฟาดออกมา แต่กลับถูกพลังของไข่มุกอสนีขวางเอาไว้อยู่ที่เดิม
เมื่อเห็นอานุภาพที่น่ากลัวของไข่มุกอสนี พวกของหล่งตงและสตรีพลันสะดุ้งโหยง แต่ทันใดนั้นก็ทยอยกันสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีพุ่งหนีไปด้วยความดีใจ
ระหว่างทางก็สำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกายระหว่างทาง ทำให้ลำแสงหลีกหนีหายวับไป
ที่เดิมนอกจากไข่มุกอสนีและเสียงคำรามดังกึกก้องด้านในแล้ว ชั่วพริบตาก็ไร้ซึ่งผู้คน
หานลี่กระตุ้นปีกวายุอสนีที่แผ่นหลังจนถึงขีดสุด หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาปรากฏตัวที่ขอบฟ้า
เพื่อความปลอดภัย หานลี่แม้กระทั่งพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากหยดหนึ่ง สำแดงเคล็ดวิชาเงาอสนีหลีกหนี ชั่วพริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เช่นนั้นกิ้งก่ายักษ์และมนุษย์ยักษ์ที่ใช้พลังช้างศาลหนีออกมาจากการขัดขวางได้แล้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ถึงแม้ว่าปากจะกู่ร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น แต่กลับไม่อาจไล่ตามหานลี่ได้ทัน
สองสามชั่วยามต่อมาห่างออกไปสองสามหมื่นลี้บนยอดเขาแห่งหนึ่ง หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น หานลี่ที่มีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวล้อมรอบอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
เขาหันหน้าไปกวาดสายตาไปด้านหลังแวบหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเสี่ยงไปหน่อย และยังต้องเสียปราณแท้ไปเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ได้ผลวิญญาณมาอยู่ในมือ
แต่เพื่อความปลอดภัย หานลี่จึงแผ่จิตสัมผัสไปรอบๆ ภูเขาหิน หลังจากไม่พบความผิดปกติแล้ว ถึงได้ร่อนลงมาบนเนินเขา
เขาพลิกฝ่ามือมือหนึ่งหยิบขวดหยกออกมาหนึ่งขวด เทยาลูกกลอนสีแดงสดออกมาสองเม็ด แล้วกรอกใส่ปาก
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้เงาโลหิตหลีกหนีไปเพียงเล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ในสถานที่ที่อันตราย ก็กินยาลูกกลอนชดเชยปราณแท้ที่เสียไปไว้จะดีกว่า
เมื่อยาลูกกลอนเข้าปากไปแล้ว พลังเย็นที่บริสุทธิ์ก็ไหลเวียนไปตามแนวชีพจรทันที
หานลี่มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วถึงได้ขยับมือข้างหนึ่งอีกครั้ง กล่องหยกที่แวววาวดุจน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือ
เปิดฝากล่องออกเล็กน้อย เผยผลสีม่วงพวงหนึ่งออกมา ทุกลูกมีขนาดเท่ากำปั้น ดูสดใหม่เป็นอย่างมาก
เขาพิจารณาผลวิญญาณนั้นด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ ฉับพลันนั้นพลันใช้นิ้วสองนิ้วคีบผลวิญญาณขึ้นมาเบาๆ พลางพิเคราะห์อย่างละเอียด
ชั่วครู่เขาถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ไม่เลว นี่คือผลเห็ดมังกรของจริง! ผลวิญญาณชนิดนี้ผลที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่ชนิดของสมุนไพรวิญญาณระดับหลอมสุญตา ประกอบกับการเร่งการเจริญเติบโตซ้ำไปซ้ำมา คือหนึ่งในสมุนไพรวิญญาณที่เขาสนใจมาเนิ่นนานแล้ว
มิเช่นนั้นเขาจะเสี่ยงอันตรายขนาดนี้เพราะอันใด
ครานี้ได้สมุนไพรวิญญาณมาอยู่ในมือ หานลี่พลันหยักยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อย
ขอแค่หาวัตถุดิบอีกอย่างที่มีชื่อเรียกว่า ‘ยางขี่เมฆ’ เมื่อนำทั้งสองมาผสมกับบวกกับสมุนไพรอื่นๆ ก็สามารถหลอมยาลูกกลอนมังกรกระโจนที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาน้ำลายไหลได้แล้ว
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น สายตาพลันอดที่จะฉายแววตื่นเต้นดีใจขึ้นมาไม่ได้
แต่ในตอนนั้นเองเขาพลันขมวดคิ้ว ฉับพลันนั้นพลันหันไปหน้าไปมองขอบฟ้าอีกด้านแวบหนึ่ง พริบตานั้นสีหน้าก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นราบเรียบ
ครู่ต่อมาสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งทะยานแหวกอากาศเข้ามา
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง สายรุ้งสีขาวก็มาอยู่เหนือศีรษะของหานลี่ หลังจากหม่นแสงลง ก็เผยร่างบุรุษหนุ่มคนหนึ่งออกมา
นั่นก็คือหล่งตง
ครานี้เกราะเกล็ดสีเหลืองบนร่างของเขาหายไปแล้ว แต่หลังจากที่สายตากวาดมายังผลวิญญาณ ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
“ฮ่าๆ เคล็ดวิชาหลีกหนีของสหายหานน่าทึ่งดังคาด คิดไม่ถึงว่าจะนำมันมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ให้ข้าน้อยดูหน่อยซิว่าผลชนิดนี้คือผลเห็ดมังกรจริงหรือไม่”
ปากของชายหนุ่มไฝแดงเอ่ยขึ้นร่างกายพลันพลิ้วไหว แล้วร่อนลงบนยอดเขา คิดจะเข้ามาประชิด
“พี่หล่งไม่ต้องรีบร้อน รอให้สหายคนอื่นมาแล้ว ค่อยดูก็ไม่สาย” หานลี่ยิ้มบางๆ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบในมือ กล่องหยกหายวับไป
“อ๋อ…สหายหานพูดถูก ผู้แซ่หล่งใจร้อนไปหน่อย” หล่งตงได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาโหดเ**้ยมที่สัมผัสได้ยากฉายแวบผ่านไป แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
ดังนั้นเขาจึงสาวเท้าก้าวออกไปสองสามก้าว อยู่บนก้อนหินห่างจากหานลี่ไปสิบจั้งเศษแล้วนั่งสมาธิลงด้วยสีหน้าราบเรียบ
หานลี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สองมือไพล่หลังขณะรอคนอื่นๆ
หลังจากรออีกเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ชายหนุ่มคิ้วขาวและหญิงสาวก็มาพร้อมกัน เมื่อได้ยินว่าหานลี่ได้ผลวิญญาณมาแล้วจริงๆ ก็ดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
ทว่าก่อนที่ทุกคนจะมาครบ พวกเขาก็ทำได้เพียงระงับความตื่นเต้นเอาไว้ นั่งสมาธิรอคนสุดท้ายอยู่ด้านข้างเงียบๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อเต็มๆ ทุกคนก็เริ่มเอ่ยพึมพำ ใบหน้าของหล่งตงเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเล็กน้อย แล้วถึงได้เห็นว่าบนขอบฟ้ามีลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็หยุดอยู่กลางอากาศเหนือทุกคน
“ขออภัยที่ปล่อยให้เหล่าสหายรอนาน ครั้นเมื่อน้องหญิงผ่านป่าทึบแห่งหนึ่ง ได้บังเอิญพบไม้วิญญาณมรกตหมื่นปีโดยบังเอิญ จึงเสียเวลานิดหน่อยถึงได้เด็ดมันมาพร้อมรากได้” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย ทันใดนั้นลำแสงหลีกหนีก็เปล่งประกาย ร่อนลงมาด้านล่าง
“ไม้วิญญาณมรกตหมื่นปี? นั่นคือวัตถุดิบในการหลอมยุทธภัณฑ์ธาตุไม้ระดับสุดยอด สหายช่างมีบุญวาสนาไม่น้อย” เสี่ยวหงตะลึงงันไปเล็กน้อย
“จุ๊ๆ พี่หญิงเสี่ยวล้อเล่นแล้ว เทียบกับผลเห็ดมังกรแล้ว ไม้วิญญาณมรกตท่อนหนึ่งจะมีค่าอะไร พี่หานคงได้ผลวิญญาณมาแล้วสินะ” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะอย่างแผ่วเบา กลอกตาไปมาตกลงบนร่างของหานลี่
“ได้มาแล้ว เหล่าสหายลองตรวจสอบก่อนก็แล้วกัน” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ กล่องหยกปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเปิดฝากล่องออก ใช้มือถือเอาไว้
กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาปะทะจมูก สายตาของทุกคนหดเล็กลง ต่างจ้องเขม็งไปยังผลวิญญาณในนั้น จิตสัมผัสสองสามสายล้อมรอบผลวิญญาณเอาไว้พลางแยกแยะอย่างละเอียด
“น่าจะไม่ผิด สมุนไพรวิญญาณนี่เป็นของจริง” เสี่ยวหงมีสีหน้าดีอกดีใจฉายแวบผ่าน แล้วเอ่ยตัดสินเป็นคนแรก
ชั่วครู่คนที่เหลือก็เก็บจิตสัมผัสกลับไป ทยอยกันพยักหน้าเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นของจริง พวกเราก็แบ่งกันเถิด ทว่าผลเห็ดมังกรพวงนี้มีหกลูก ต่อให้พวกเราแบ่งกันคนล่ะลูก ก็ยังเหลืออีกลูกที่ไม่รู้ว่าจะแบ่งอย่างไร” หานลี่กวาดสายตาไปบนกล่องหยกแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ฟังคำพูดของหานลี่ คนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้ว
“ผลวิญญาณหกลูกนั้นแบ่งยากจริงๆ ทว่าพักเรื่องนี้ไว้ก่อน แบ่งให้ทุกคนคนล่ะลูกก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับทนไม่ไหวแล้ว
“พี่หลี่พูดถูก! สหายหาน แบ่งให้พวกเราก่อนเถิด” เสี่ยวหงเองก็หัวเราะคิกคักขณะเอ่ยสนับสนุน
หล่งตงและหญิงสาวชุดขาวเองก็ไม่มีเจตนาคัดค้าน
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันฉีกยิ้มจางๆ ออกมา
เขาใช้มือหนึ่งถือกล่องหยกเอาไว้ ร่างกายพลิ้วไหวแล้วมาอยู่เบื้องหน้าปีศาจสตรีเสี่ยวหง ชูสองนิ้วขึ้น เด็ดผลเห็ดมังกรออกมาลูกหนึ่ง คีบเอาไว้เบื้องหน้าสตรี
สตรีรู้สึกดีอกดีใจหยิบกล่องไม้ออกมา คิดจะรับผลนั้นเอาไว้
แต่หานลี่กลับคีบผลวิญญาณเอาไว้แน่นไม่ปล่อย แค่ฉีกยิ้มให้สตรีโดยไม่พูดอะไรอย่างมีเลศนัย
สตรีตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถึงบางอ้อ
ทันใดนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล่มเล็กสีทองที่มียันต์สองแผ่นแปะอยู่ปรากฏขึ้นในมือ ฉีกยันต์ออกแล้วโยนกลับมา
นั่นก็คือกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาของหานลี่!
หานลี่อ้าปากออกดูดเข้าไป กระบี่เล่มเล็กกลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในปาก
ในเวลาเดียวกันนิ้วพลันคลายลง ผลวิญญาณเม็ดนั้นค่อยๆ ร่อนลงบนกล่องไม้ของสตรี
เสี่ยวหงตรวจสอบผลวิญญาณด้วยสีหน้าดีใจ หานลี่เองก็พลิ้วกายไปอีกด้าน ส่งผลวิญญาณอีกเม็ดให้ชายหนุ่มคิ้วขาว
ปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้เห็นฉากเมื่อครู่ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร ไม่รอให้หานลี่เอ่ยปาก ก็กำจัดอาคมบนกระบี่เล่มเล็กอีกเล่มเช่นกัน แล้วโยนให้หานลี่
เช่นนั้นชั่วพริบตาผลวิญญาณในมือของหานลี่ก็เหลือเพียงสองลูก
หลังจากที่หานลี่เก็บของตัวเองไปลูกหนึ่งแล้ว ก็วางกล่องหยกเอาไว้บนพื้นตรงของทุกคน ส่วนตัวเองก็ยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา
สำหรับเขาแล้ว สมุนไพรวิญญาณชนิดนี้มีลูกหนึ่งก็เพียงพอแล้ว มีมากไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อเขามากนัก
แต่การกระทำอย่างรู้จักวางตัวของเขานั้นทำให้เหล่าสตรีตะลึงงัน สายตาที่มองไปยังเขาอดที่จะอ่อนโยนขึ้นเป็นอย่างมากไม่ได้
“ตอนนี้เหลือผลวิญญาณหนึ่งลูก เช่นนั้นพวกเรามาประมูลกันเป็นอย่างไร? ผู้ใดให้ศิลาวิญญาณมากที่สุด ผลวิญญาณก็เป็นของผู้นั้น ส่วนศิลาวิญญาณนั้นพวกเราก็นำมาแบ่งกันอย่าเท่าเทียม” หล่งตงกระแอมไอออกมาเบาๆ แล้วเสนอขึ้น
“หึ แผนนี้ของสหายหล่งจะดีไปหน่อยกระมัง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่า ตระกูลหล่งของพวกเจ้าร่ำรวยขนาดไหน พวกเราสี่คนรวมกัน เกรงว่าศิลาวิญญาณที่พกมาคงยังไม่มากเท่านายท่านคนเดียวกระมัง” ชายหนุ่มคิ้วขาวแค่นเสียงหึออกมา ปฏิเสธด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อ๋อ เช่นนั้นมีความคิดเช่นไร?” ชายหนุ่มไฝแดงเองก็ไม่ได้โมโห แต่กลับเอ่ยถามยิ้มๆ
“ผู้ที่อยากได้ผลวิญญาณนี้ ต้องเอาของมาแลก ไม่ว่าจะเป็นยาลูกกลอน หรือวัตถุดิบ ขอแค่เอาของที่เพียงพอให้ทุกคนแบ่งกันออกมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นราคายังไม่ต่างกันมาก ถึงจะเอาผลวิญญาณลูกสุดท้ายไปได้ เหล่าสหายคิดว่าแบบนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?” เสี่ยวหงม้วนปอยผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก แล้วฉีกยิ้มอ่อนหวานขณะเอ่ย
ชายหนุ่มคิ้วขาวได้ยินก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวชุดขาวเอียงหัวขบคิด สายตากลอกไปมาแสดงออกว่าเห็นด้วย
หานลี่จึงยิ่งไม่ปฏิเสธ
“คำพูดของเซียนเสี่ยวมีเหตุผล เช่นนั้นก็ทำตามคำพูดของเซียนก็แล้วกัน” ถึงแม้ว่าหล่งตงจะไม่ยินยอม แต่เมื่อเห็นที่เหลืออีกสี่คนต่างเห็นด้วยกับวิธีนี้ ก็ทำได้เพียงตอบตกตะลึงด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป รถเหาะสีเขียวความยาวสิบจั้งเศษคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็สั่นไหวกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป
สองสามชั่วอึดใจ รถเหาะคันนี้ก็ปรากฏห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง กะพริบวาบอีกสองสามครั้งแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่นั่งอยู่ค่อนไปทางท้ายของรถเหาะ มือหนึ่งควงไม้กลมๆ สีเขียวมรกตท่อนเล็กๆ เล่นอยู่
ไม้ท่อนนี้มีความยาวแค่สองสามฉื่อ แต่ผิวกลับเนียนใส เปล่งแสงจางๆ ออกมา เมื่อพินิจอย่างละเอียด ด้านในก็มีเส้นไหมวิญญาณสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับอยู่
“ไม้วิญญาณมรกต เจ้าสิ่งนี้หากถูกกระตุ้นเป็นเวลานานสักหน่อย ก็อาจจะมีประโยชน์มากจริงๆ” หานลี่ขบคิดอย่างสงบ
1367 เมืองเล็กๆ
ผลวิญญาณลูกสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในมือของหญิงสาวชุดขาว
หญิงสาวผู้นี้ควักวัตถุดิบล้ำค่าที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงออกมา และแบ่งออกเป็นสี่ส่วนตามมูลค่า ให้ทุกคนเลือกตามอำเภอใจ
หญิงสาวลงมืออย่างใจกว้างเช่นนี้ ถึงแม้ว่าหล่งตงและสตรีจากเผ่าหงส์ดำจะรู้ตัวว่าไม่มีทางเอาวัตถุดิบระดับเดียวกันออกมาได้ จึงทำได้เพียงยอมมอบผลวิญญาณให้หญิงสาวผู้นี้อย่างไม่เต็มใจ
ไม้วิญญาณมรกตหมื่นปีท่อนเล็กๆ นี้ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่หานลี่เลือก
ไม้ชนิดนี้เบาหวิวดุจปุยนุ่น กันน้ำกันไฟ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เหมาะสมกับการการหลอมเขตอาคมตราประทับ และยิ่งไปกว่านั้นหากเพิ่มอายุให้มัน ก็จะมีพลังป้องกันทั้งห้าธาตุแน่นอน
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วไม้ชนิดนี้จะใช้หลอมยุทธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการหลอมสำเภาวิญญาณ กระสวยเหาะ รถอสูรเป็นต้น
หานลี่ควงไม้วิญญาณเล่นในมือชั่วครู่ แล้วเก็บเข้าไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง
รถเหาะคันนี้ยังคงเป็นสิ่งที่หล่งตงเอาออกมา ถึงแม้ว่าจะสะดวกสบายและอำพรางตัวได้ไม่เท่าสำเภาเมฆาวิญญาณก่อนหน้า แต่ความเร็วในการเหาะกลับเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่พบกับอสูรโบราณที่แข็งแกร่ง ต่อให้เขตอาคมอำพรางของสำเภาเมฆาวิญญาณก็เกรงว่าจะไม่ได้มีประโยชน์มากนัก เช่นนั้นไม่สู้ใช้รถเหาะที่ค่อนข้างว่องไวจะเหมาะสมกว่า
หากพบกับความยุ่งยากล่ะก็ อาศัยความเร็วของรถคันนี้สลัดออกก็ได้แล้ว
ครานี้รถเหาะที่อยู่กลางอากาศคันนี้พลันกลายเป็นเงาสีเขียวจางๆ สายหนึ่ง พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าสะพรึง
ส่วนคนที่เหลือนั้น นอกจากหล่งตงที่เป็นผู้ควบคุมรถเหาะแล้ว ต่างก็อยู่เงียบๆ ตามมุมต่างๆ ของรถเหาะ
หานลี่ชักสายตากลับมา ฉับพลันนั้นพลันตกอยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวชุดขาวที่อยู่ใกล้ๆ สองตาอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
หากกล่าวในบรรดากลุ่มคนกลุ่มนี้ คนที่เขารู้สึกหวาดกลัวและดูไม่ออกที่สุดก็คือหญิงสาวที่ดูแล้วมีพลังยุทธ์ธรรมดาๆ เหมือนกับตัวเอง
สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะอายุยังน้อย และยิ่งไปกว่านั้นการพูดจายังดูเหมือนเป็นคงง่ายๆ แต่หานลี่ที่ฝึกฝนคาถาขับเคลื่อนมาจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ประสาทสัมผัสจึงไวจนอยู่ในขั้นที่น่าเหลือเชื่อ และมักจะรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เป็นผู้ที่มีพลังแรงกดดันต่อเขามากที่สุดในบรรดาทั้งสี่คน แม้กระทั่งมีท่าทีลึกลับมากกว่าชายหนุ่มไฝแดงที่เรียกตัวเองว่ามาจากตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้
ขณะที่หานลี่กำลังขบคิดอยู่นั้น หญิงสาวที่กำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่มุมหนึ่ง พลันเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ประสานสายตาเข้ากับหานลี่อย่างพอดิบพอดี
หานลี่ใจหายวาบ ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง สตรีกลับเม้มปากฉีกยิ้มบางๆ ออกมา
หานลี่หัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างขัดเขิน แล้วเบือนหน้าหนีทันที
เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นแววตาขี้เล่นที่ฉายแวบผ่านแววตาของหญิงสาว
ครึ่งเดือนต่อมา การเดินทางของพวกเขาก็นับว่าราบรื่นอย่างน่าแปลกใจ ไม่พบความยุ่งยากเลยสักนิด
นี่จึงทำให้หล่งตงและหญิงสาวต่างผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเงียบๆ เฮือกหนึ่ง ในใจต่างคาดหวังว่าหนทางต่อจากนี้จะราบรื่นเหมือนที่ผ่านมา
สองสามวันต่อมาทัศนียภาพรอบด้านพลันเปลี่ยนไป เบื้องหน้ามีทะเลทรายสีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้น วายุร้อนระอุพัดโชยมาปะทะใบหน้า
“ทะเลทราย หรือว่าพวกเรามาถึงเส้นทางสวรรค์หนานเกิ่นแล้ว” แววตาของชายหนุ่มคิ้วขาวฉายแววตื่นตะลึง
“ใช่แล้ว ที่นี่คือทะเลทรายหนานเกิ่น เป็นเส้นทางที่เชื่อมไปยังเผ่าพฤกษาได้ง่ายที่สุด” หล่งตงน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ได้ยินคนพูดถึงที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว หรือว่าเหมือนกับในตำนานที่ว่าไม่อาจอ้อมผ่านทะเลทรายผืนนี้ได้? ที่นี่มักจะมีเผ่าพฤกษาและเผ่าเงาเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ มันอันตรายไปหน่อยกระมัง” สตรีเหลือบตามองไปรอบๆ คิ้วดำขลับขมวดมุ่น
“เซียนเสี่ยว ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายไปหน่อย แต่ก็ปลอดภัยว่าอีกสองเส้นที่เหลือมาก ส่วนการอ้อมไปนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สองฝั่งของทะเลทรายผืนนี้ ฝั่งหนึ่งคือภูเขาชีพจรอสูรที่มีชื่อเสียง ด้านในมีอสูรโบราณระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาเข้าไป ก็ยังไปแล้วไปลับไปกว่าครึ่ง อีกด้านกลับเป็นหุบเขาต้นกำเนิดของมังกรวารี ด้านในมีมังกรวารีที่ดุร้ายระดับหลอมสุญตาขึ้นไปอาศัยอยู่นับร้อยตัว ราชันย์มังกรระดับหลอมร่างก็ดูเหมือนว่าจะมีถึงยี่สิบสามสิบตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมังกรวารีที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าหน่อยได้ ไม่ว่าสองเผ่าอย่างพวกเราหรือว่าเผ่าประหลาด ล้วนไม่อยากไปยั่วโมโหมังกรวารีที่ดุร้ายเหล่านั้นง่ายๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสองสามคนอย่างพวกเรา จะกล้าเข้าไปได้อย่างไร สามเขตนี้กว้างใหญ่มาก จุดที่อยู่ห่างไปหน่อยพวกเราต้องใช้เวลาสองสามปี ถึงจะอ้อมผ่านไปได้ ตอนนี้สงครามใหญ่ใกล้จะปะทุแล้ว เมืองเทวะสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปได้” หล่งตงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าข้าก็ได้ยินมาว่า ทะเลทรายผืนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ทดสอบของทั้งสองเผ่า” หญิงสาวชุดขาวแทรกขึ้น
“ก่อนออกเดินทาง อาวุโสในเผ่าเคยกำชับเอาไว้แล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันรู้สึกระมัดระวังขึ้นเช่นกัน
“หากเป็นเช่นนั้น จากนี้ก็อย่านั่งรถเหาะเลย มันเป็นเป้าที่ใหญ่ไปหน่อย สะดุดตาเกินไป พวกเราอำพรางตัวกันดีกว่า เดาว่าถึงแม้ว่าทุกอย่างราบรื่น ก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือนถึงจะข้ามผ่านทะเลทรายไปได้” หล่งตงขบคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ตามที่สหายกล่าว” สตรีขบคิดหลังจากสบสายตากับชายหนุ่มคิ้วขาวแวบหนึ่งแล้ว ก็ตอบตกลง
“ข้าน้อยก็ไม่มีความเห็นใดๆ ทว่านั่งรถเหาะมันค่อนข้างสะดุดตาเกินไปจริงๆ” หานลี่เองก็เอ่ยออกมายิ้มๆ
มีเพียงหญิงสาวชุดขาวที่เผยท่าทีไม่ยี่หระออกมา
ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนตกลงกันแล้ว ก็ทยอยกันบินออกจากรถเหาะ ทำให้ชายหนุ่มไฝโลหิตเก็บยุทธภัณฑ์ กลุ่มคนสำแดงการอำพรางกาย แล้วเข้าไปในทะเลทรายอย่างระมัดระวัง
เข้าไปในทะเลทรายได้ไม่นาน หานลี่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของทะเลทราย
อุณหภูมิมันสูงเกินไปหน่อยจริงๆ มากกว่าทะเลทรายอื่นๆ ที่หานลี่เคยพบมาก่อน
ถึงแม้ว่าเขาจะบินอยู่ต่ำๆ แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนฉ่าที่แผ่ออกมาเป็นระลอกๆ ราวกับว่าตัวไม่ได้อยู่ในทะเลทราย แต่อยู่บนปากปล่องภูเขาไฟขนาดยักษ์
หานลี่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดที่สาดแสงลงมอง แล้วก้มหน้าลงมองพื้นดิน ยื่นมือหนึ่งออกไป ชั่วขณะนั้นกรวยน้ำแข็งพลันพุ่งลงไป
ผลคือกรวยน้ำแข็งยังไม่ทันสัมผัสกับพื้นทราย ก็กลายเป็นไอสีขาวกลุ่มหนึ่งท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุแล้วหายวับไป
เมื่อเห็นฉากนี้หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
“สหายหานยังไม่รู้สินะ ใต้ทะเลทรายหนานเกิ่นเดิมทีเป็นปล่องภูเขาไฟยักษ์!” ด้านข้างมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ หญิงสาวชุดขาวปรากฏกายขึ้นด้านข้างพลางเอ่ยและหัวเราะคิกคัก
“งั้นหรือ? ข้าน้อยไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้จริงๆ” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ว่ากันว่าตอนนั้นหงส์สวรรค์ธาตุคู่วายุดินตัวหนึ่งได้ต่อสู้กับวิญญาณเที่ยงแท้จระเข้เพลิงที่อาศัยอยู่ใต้ภูเขาไฟตนหนึ่งอยู่เดือนกว่า และได้อาศัยความสามารถในการเรียกลมพายุทรายที่ไม่จำกัดกลบภูเขาไฟไปจนหมด จึงได้เกิดเป็นทะเลทรายขึ้น” หญิงสาวดูเหมือนว่าจะรู้ประวัติที่นี่เป็นอย่างดี จึงเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“ข้าก็ว่าเหตุใดทะเลทรายแห่งนี้ถึงแปลกๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่ามีความสามารถระดับวิญญาณเที่ยงแท้ ช่างยากที่จะเชื่อจริงๆ” หานลี่เอ่ยพึมพำ ทั้งเหมือนกับตอบคำถามของหญิงสาว และเหมือนกับรำพันกับตัวเอง
“ใช่แล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราฝึกฝนจนอยู่ในระดับเทพเซียน ก็อาจจะต่อสู้ถึงขั้นนี้ได้ แต่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งระดับวิญญาณเที่ยงแท้อย่างมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์นั้น ก็ทำได้เพียงแหงนหน้ามอง ไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งหากมีความสามารถเท่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมีความรู้สึกอย่างไร!” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา จากนั้นก็ไม่สนใจหานลี่อีก ลำแสงหลีกหนีกะพริบวาบแล้วพุ่งไปอยู่ด้านหน้า
หานลี่มองเงาแผ่นหลังของหญิงสาว ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แค่เร่งรุดเดินทางเท่านั้น
สิบกว่าวันต่อมา หานลี่และพวกกำลังบินต่ำๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของพวกเขาจะอยู่ในระดับเทพแปลง แต่การเดินทางอย่างต่อเนื่องภายใต้อุณหภูมิที่ร้อนฉ่าเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“เดินทางอีกครั้งวัน ค่อยหาที่พักผ่อนสักหน่อย” หล่งตงที่บินอยู่หน้าสุด หันหน้ามาเอ่ยกับทุกคนหนึ่งประโยค
“อืม ต้องพักฟื้นฟูพลังสักหน่อยแล้ว” สตรีพยักหน้า ท่าทางอ่อนเพลียเช่นกัน
“เอ๋ นั่นคืออะไร?” ฉับพลันนั้นด้านข้างพลันมีเสียงร้องอุทานเบาๆ ที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงดังขึ้น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มคิ้วขาว
หานลี่ได้ยิน ก็มองไปตามความรู้สึก
ผลคือจุดที่ไกลออกไปนั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยสักชิ้น
ภายใต้การขมวดคิ้ว แผ่จิตสัมผัสขนานใหญ่ออกไป ผลคือใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาในทันที
ครานี้หล่งตงและพวกก็แผ่จิตสัมผัสออกไป สีหน้าของทุกคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหานลี่นัก ต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาเช่นกัน
“ที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะมีเมืองตั้งอยู่ แล้วยังเป็นเมืองเผ่ามนุษย์ของพวกเราอีก หรือว่าพวกเราตาฝาดไป” น้ำเสียงของหานลี่ประหลาดๆ ไปเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกคนแผ่จิตสัมผัสไป ห่างจากพวกเขาไปแค่ยี่สิบสามสิบลี้ มีทวีปสีเขียวขนาดไม่เล็กอยู่แห่งหนึ่ง ในทวีปสีเขียวมีเมืองเล็กๆ กึ่งเมืองกึ่งชนบทอยู่เมืองหนึ่ง ด้านในมีมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย
“ที่นี่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ และยังใกล้กับเผ่าประหลาดเช่นนี้ จะไปมีเผ่ามนุษย์ของพวกเราได้อย่างไร ไม่ใช่ว่ามีอะไรผิดปกติหรอกนะ” สตรีกลอกตาไปมาด้วยความฉงน
หล่งตงได้ยินคำนี้พลันขมวดคิ้ว สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
“ให้ข้าใช้ร่างแปลงแอบเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน” ชายหนุ่มคิ้วขาวมองไปยังทวีปสีเขียว ฉับพลันนั้นก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
จากนั้นชายหนุ่มก็ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ท้ายทอย เงาลวงตาสายหนึ่งสว่างวาบ นกอินทรีตัวเล็กขนาดสองสามฉื่อพุ่งแหวกอากาศไป เรือนกายเปล่งแสงสีดำมะเมื่อม หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็บินตรงไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป
ชายหนุ่มคิ้วขาวหลับตาทั้งสองข้างลง เชื่อมโยงจิตสัมผัสกับนกอินทรีตัวเล็ก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น
หลังจากที่สตรีและหล่งตงมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่าควรจะตรวจสอบก่อนจะดีกว่า จึงไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามการกระทำของชายหนุ่มคิ้วขาว
หานลี่ชะเง้อมองไปทางเมืองเล็กๆ ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นกัน
หญิงสาวชุดขาวเองก็มองไปด้วยความสนใจโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
อินทรีน้อยรวดเร็วมาก ไปและกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งกาน้ำชาเท่านั้น
เมื่ออินทรีตัวนี้พลิ้วกายก็จมหายไปที่ศีรษะของชายหนุ่มคิ้วขาวอีกครั้ง ชายหนุ่มเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น
“ไม่ผิด ในเมืองเล็กมีเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าอยู่ ด้านในมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่น้อย ระดับเทพแปลงมีอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน ระดับหลอมสุญตานั้นมองไม่เห็นจากภายนอก” ชายหนุ่มคิ้วขาวเอ่ยอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ฟังคนอื่นๆ ก็พลันมีสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่ต้องสนใจเมือง พวกเราทำตามแผนเดิมก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก” หานลี่เอ่ยปากอย่างราบเรียบ
“เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เรื่องนี้ช่างแปลกประหลาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในทะเลทราย พวกเราไปสอบถามอย่างละเอียดแล้วค่อยเดินทางต่อจะดีกว่า จะได้ไม่บุกเข้าไปในอันตรายอะไร” หล่งตงกลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
1368 เงามารปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำพูดของหล่งตง แววตาของหานลี่พลันฉายแววสดใส แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา สตรีและชายหนุ่มคิ้วขาวมองสบตากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่ามีเหตุผลจึงไม่ได้เอ่ยคัดค้านออกมา
กลับเป็นหญิงสาวชุดขาวที่กะพริบดวงตาคู่งามปริบๆ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากขึ้นว่า
“ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ปรากฏตัว มันแปลกไปสักหน่อย พวกเราเองยังเร่งเดินทาง อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”
“ก็เพราะแปลก ถึงได้ต้องไปหาสาเหตุที่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวที่นี่นะสิ อย่างมากพวกเราก็ไม่ต้องเข้าไปในเมือง แค่สอบถามอยู่ด้านนอกก็พอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไร เมื่อครู่พี่หลี่ไม่ได้พูดหรือว่าในเมืองไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา เดินทางอีกสองสามวันพวกเราก็จะต้องเข้าไปในเส้นทางสวรรค์แล้ว สภาพแวดล้อมที่นั่นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากมีอะไรที่เราไม่รู้เกิดอยู่แถวๆ นี้ พวกเราคงจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ในนั้นจริงๆ ต้องระวังไว้ก่อน!” หล่งตงหน้าเปลี่ยนสี แต่เมื่อขบคิดชั่วครู่ ก็ยังคงสั่นศีรษะ
“จากคำพูดของพี่หล่ง ก็เป็นไปได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราไปดูอยู่ห่างๆ ดูสักรอบ อย่าทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรด้านในรู้ตัว หลังจากไม่มีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ ค่อยปรากฏตัวก็ไม่สาย” เสี่ยวหงเอ่ยข้อเสนอขึ้น
“เช่นนั้นก็ดี จะยิ่งปลอดภัยหน่อย” หล่งตงดูเหมือนจะคิดว่าความคิดของสตรีผู้นี้ไม่เลว จึงพยักหน้าหงึกหงัก
หานลี่ลูบใต้คาง ส่วนหญิงสาวชุดขาวพลันฉีกยิ้มเบิกบาน ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยปากอะไรอีก
เช่นนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนทิศทาง อำพรางลำแสงหลีกหนีอีกครั้ง แล้วพุ่งตรงไปยังเมืองเล็กๆ อย่างเงียบเชียบ
จากพลังยุทธ์ของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะลดความเร็วในการเคลื่อนที่ลงไม่น้อย แต่ระยะห่างสองสามร้อยลี้ ก็ยังคงมาถึงในชั่วพริบตา
ไกลออกไปบนพื้นมีจุดสีเขียวปรากฏขึ้น หลังจากเข้าใกล้อีกนิด ก็มองเห็นอย่างชัดแจ้ง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นทวีปสีเขียวที่ขนาดไม่เล็กเลย รอบด้านไม่เพียงจะมีพุ่มไม้เตี้ยๆ ปลูกอยู่ ตรงใจกลางยักษ์มีบึงน้ำรัศมีความกว้างสองสามลี้อยู่บึงหนึ่ง
ริมบึงน้ำ มีเมืองเล็กๆ ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่นักอยู่แห่งหนึ่ง รอบด้านถูกกำแพงหินสีขาวสูงสองสามจั้งล้อมเอาไว้ มีเพียงฝั่งที่พวกของหานลี่อยู่ถึงจะมีประตูเมืองขนาดยักษ์ความกว้างสิบจั้งเศษอยู่บานหนึ่ง ตรงประตูเมืองมีคนสวมชุดสีเหลืองสิบกว่าคนยืนรักษาการณ์อยู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ
ด้านนอกเมืองใกล้ๆ กับบึงน้ำ มีคนธรรมดาที่ไม่มีพลังลมปราณเลยสักนิดเคลื่อนไหวอยู่ ดูเหมือนกำลังค้อมตัวลงปลูกอะไรสักอย่างหนึ่ง
ลําแสงหลีกหนีของหานลี่หยุดชะงัก แล้วหยุดลงจากนั้น พลันกวาดจิตสัมผัสไปที่เมืองเล็กๆ แห่งนั้นอย่างเงียบเชียบ
หล่งตงและพวกที่อยู่ด้านข้างเห็นทุกอย่างนี้ ต่างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับของตัวเองออกไปตรวจสอบเช่นกัน
“ไม่ผิด คนเหล่านี้คือคนของเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าคนธรรมดาหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่มีความผิดปกติอะไร ในเมืองยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย ระดับเทพแปลงมีมากกว่าเจ็ดแปดคน ระดับหลอมสุญตานั้นไม่ใช่ว่าไม่มี แต่เก็บกลิ่นอายอำพรางตนเอาไว้ ครานี้จึงยังไม่พบ” หลังจากที่เสี่ยวหงสำแดงเคล็ดวิชาลับตรวจสอบไปแล้ว ถึงได้ถลึงตาเอ่ยด้วยความรอบคอบ
“ดูแล้วปกติจริง! สหายผู้อื่นพบอะไรหรือไม่?” แววตาของหล่งตงมองไปยังเมืองเล็กๆ ด้วยความฉงนชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยซักถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
“รอบด้านของเมืองแห่งนี้ไม่มีเขตอาคมเคลื่อนไหวอยู่ ใกล้ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเขตอาคม และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสหายพบหรือไม่ว่า อุณหภูมิของที่นี่ดูเหมือนว่าจะเย็นสบายเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนที่อื่นที่ร้อนฉ่า” ชายหนุ่มคิ้วขาวเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จ
“แปลกจริงๆ! แต่ในเมื่อด้านในมีทวีปสีเขียว ก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว มันหมายถึงอะไร” สตรีเอ่ยอย่างขบคิด
“เหตุใดต้องยุ่งยากขนาดนั้น! เหล่าสหายเข้าไปคุยกันในเมืองก็ได้แล้ว
เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัวของทุกคน
หานลี่และพวกพลันตกตะลึง เงาร่างคนเปล่งแสงสว่างวาบอย่างไม่ต้องขบคิด ชั่วพริบตาทุกคนก็แตกฮือออก ทยอยกันปรากฏตัวห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง จากนั้นถึงได้มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างระมัดระวัง
เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีนักพรตชราสวมชุดสีม่วงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร กำลังมองมาทางพวกเขาอย่างใจดี
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าสตรีใจหายวาบก็คือ นักพรตผู้นี้คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ มิเช่นนั้นเกรงว่าทุกคนคงแตกกระเจิงในทันที
สายตาของหล่งตงที่มองไปยังนักพรตเต็มไปด้วยความตะลึงงัน ส่วนลึกในนัยน์ตาฉายแววผิดหวังออกมาเล็กน้อย
“คารวะท่านอาวุโส! ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสคือผู้ใด เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่?” เสี่ยวหงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
“ที่แท้ก็สหายเผ่าหงส์ทมิฬ ตาเฒ่าอรหันต์เมฆาม่วง เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่เผ่าตาเฒ่าสร้างขึ้น เหล่าสหายอาจจะมีข้อสงสัย แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาพูดคุยกัน ตามข้าเข้าไปในเมืองเป็นอย่างไร” นักพรตวัยชราฉีกยิ้มน้อยๆ มือหนึ่งผายมือออกไปเป็นการเชื้อเชิญ
“อรหันต์เมฆาม่วง?”
สตรีเห็นอีกฝ่ายมองปราดเดียวก็รู้ภูมิหลังของตนเอง ก็อดที่จะใจหายวาบไม่ได้ ทันใดนั้นก็มองสบตากับหล่งตงแวบหนึ่ง
ทั้งสองคนรู้สึกว่าชื่อของคนผู้นี้ไม่คุ้นเคยเลย ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่ออีกฝ่ายเชื้อเชิญ แน่นอนว่าจึงเผยสีหน้าลังเลออกมา
“เหล่าสหายไม่จำเป็นต้องกังวล ตาเฒ่ารักสันโดษ จึงไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับผู้ใดนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อเสียงของตาเฒ่า เหล่าสหายอยากข้ามเส้นทางสวรรค์สินะ! เช่นนั้นละก็ ยิ่งต้องไปฟังตาเฒ่าดูสักหน่อย ช่วงนี้เส้นทางสวรรค์เกิดเหตุเภทภัยขึ้น หากเหล่าสหายเข้าไป จะอันตรายมาก” นักพรตชราดูเหมือนจะมองความกังวลของเหล่าสตรีออก จึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
เมื่อได้ยินอรหันต์เมฆาม่วงกล่าวเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่อาจกำจัดความกังวลของพวกของหล่งตงได้หมด แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินว่าเส้นทางสวรรค์มีปัญหา สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ในเมื่อท่านอาวุโสมีเมตตาเช่นนี้ เหล่าชนรุ่นหลังก็ไม่กล้าเสียมารยาทได้” ถึงแม้ว่าหล่งตงจะเปลี่ยนใจ ไม่อยากเข้าไปในเมือง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำเชิญประเภทนี้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงตอบตกลงอย่างใจดีสู้เสือ
เห็นหล่งตงกล่าวเช่นนี้ หานลี่และพวกก็ยิ่งไม่มีข้อโต้แย้ง จึงทำได้เพียงทำความเคารพนักพรตชราแล้วต่างตกลง
รอยยิ้มบนใบหน้าของอรหันต์เมฆาม่วงยิ่งดูสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆ ร่อนลำแสงหลีกหนีลงพร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วพาทุกคนตรงไปยังประตูเมือง
ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีตามไปได้ จึงทำได้เพียงสำแดงเคล็ดวิชาตัวเบาออกมา แล้วตามนักพรตชราไป
ระยะทางที่ดูเหมือนไกล แต่ภายใต้การเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่ความจริงแล้วรวดเร็วมากของพวกเขา ก็ทำให้เข้ามาใกล้ทวีปสีเขียวได้ภายในชั่วครู่ แม้กระทั่งเด็กน้อยที่เล่นกันอยู่ริมบึง ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เหล่าสหายเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว เผ่าของตาเฒ่าเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน จึงต้องพาลูกเด็กเล็กแดงคนธรรมดาเหล่านี้มาด้วย ที่นี่ไม่มีสิ่งอื่น จะมีก็แต่ผลวิญญาณที่หายากอยู่สองสามชนิด เหล่าสหายต้องลองชิมสักหน่อย” ตาเฒ่าอธิบายด้วยรอยยิ้ม
หล่งตงและสตรีถึงได้รู้สึกคลายข้อสงสัยลง
ชั่วพริบตานั้นพวกเขาก็เข้ามาประชิดประตูเมือง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณที่รักษาการณ์อยู่ คารวะให้ทุกคน แล้วแยกออกเป็นสองแถว เปิดทางเดินให้
นักพรตสะบัดแขนเสื้อ เดินนำไปก่อน
สายตาของพวกของหล่งตงกวาดไปบนร่างของผู้รักษาการณ์ เห็นพวกเขามีเพียงสีหน้านอบน้อม ไม่มีสีหน้าผิดแผกใดๆ ก็เดินตามไปเช่นกัน
หานลี่เองก็เดินผ่านตรงกลางของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณสองคนไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ
ทุกอย่างดูปกติมาก!
แต่ในตอนนั้นเอง ฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีเสียงไพเราะดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา เสียงอึกทึกดังขึ้น โจมตีไปยังผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้าง
ชั่วพริบตาที่เปลวเพลิงสีเงินขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มคนผู้นั้นเอาไว้
สตรีและพวกเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“นายท่านมีเจตนาใด ตาเฒ่าต้อนรับพวกเจ้าด้วยความยินดี คาดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับชนรุ่นหลังของอาตมา” นักพรตชราที่เดินอยู่หน้าสุดตะโกนออกมาด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหวสาวเท้ายาวๆ มา คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวตรงหน้าของหานลี่ในชั่วครู่ ชูมือหนึ่งขึ้น มือยักษ์ย้อมไปด้วยลำแสงสีแดงตะปบไปทางศีรษะของหานลี่
หานลี่ที่เดิมทีมีสีหน้าแปลกประหลาด แต่หลังจากที่เปลวเพลิงสีเงินห่อหุ้มผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณผู้นั้นแล้ว ชั่วพริบตาก็นั้นก็เผยสีหน้าถึงบางอ้อขึ้นมา แต่ในครานั้น มือยักษ์ลำแสงสีแดงก็ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้แล้ว พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างรัดร่างกายของเขาแน่น ราวกับว่าแรงกดพันจวินอย่างไรอย่างนั้น
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงการหลบหนี เกรงว่าแม้แต่ปากก็ไม่อาจอ้าออกได้ แต่หานลี่กลับเป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ประกอบกับผลเกล็ดมังกร ไข่มุกซากสวรรค์ คาถาชุบกระดูก ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาพราหมณ์มารเที่ยงแท้ ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เหนือกว่าชายหนุ่มคิ้วขาวและเสี่ยวหงหลายเท่า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พลังมหาศาลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ แล้ว เขากลับแค่ไหล่สะท้าน ร่างกายบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย แล้วหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมา คนก็มาปรากฏตัวห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ
นั่นก็คือวิชาเก้าวายุแปรปรวน
จากสถานการณ์ร่างกายและพลังยุทธ์ของเขาในครานี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องใช้ปีกวายุอสนี ก็สำแดงวิชานี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย
“รีบหนีเร็ว พวกเขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกเผ่าเงาสิง” หานลี่หนีออกมาได้ ปากก็ร้องตะโกนออกมา ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่ก็เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดออกมา ฉับพลันนั้นเงาสีเทาสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากร่าง แต่เมื่อเงาสัมผัสกับเปลวเพลิงสีเงิน ชั่วพริบตาก็ถูกเผาไหม้ ถูกกลืนกินไปจนเกลี้ยง
จากหานลี่ที่พุ่งออกมาจากเปลวเพลิงสีเงิน จนถึงตอนที่ชายชราลงมือโจมตีกลับและถูกเขาหนีออกมาได้นั้นเป็นแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
สตรีและพวกของหล่งตงพลันรู้สึกงุนงง ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงร้องเตือนของหานลี่ เมื่อมองเห็นในเปลวเพลิงสีเงินมีหุ่นเชิดเงาปรากฏขึ้น ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าพลันซีดเผือด
“ไป!”
แทบจะไม่ต้องให้ผู้ใดออกคำสั่ง ทั้งสี่คนมีลำแสงวิญญาณเปล่งประกาย กลายเป็นสายรุ้งพุ่งแหวกผ่านอากาศไป
นักพรตชราเห็นหานลี่หนีไปจากเงื้อมมือของตนเองได้ พลันตะลึงงัน เมื่อเห็นคนอื่นๆ คิดจะหนี ทันใดนั้นก็แค่นเสียงด้วยความเย็นชาขึ้นจมูก สะบัดแขนเสื้อลำแสงหลีกหนีสายหนึ่งพุ่งออกมา
ฉับพลันนั้นเส้นไหมสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ พลันรัดลำแสงหลีกหนีเอาไว้แน่น จากนั้นพลันดึงกลับมา คาดไม่ถึงว่าจะลากลำแสงหลีกหนีกลับมาจากกลางอากาศ
ลำแสงวิญญาณสลายออก ในเส้นไหมสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนมีเจ้าของลำแสงหลีกหนีที่มีสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้น
1369 อสูรเซิ่น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มคิ้วขาวของเผ่าปีศาจผู้นั้น
เขาในครานี้รอบกายเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ พยายามต้านทานการบีบรัดของเส้นไหมสีแดง แต่ไม่รู้ว่าเส้นไหมสีแดงเหล่านี้ทำมาจากสิ่งใด มันเอาแต่กะพริบลำแสงสีดำวิบวับไม่หยุด แต่ไม่อาจหนีออกได้เลยสักนิด
นักพรตชราเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยสีหน้าเ**้ยมโหดออกมาขณะเดินไปยังชายหนุ่มคิ้วขาว
ในตอนนั้นเองพลันมีเสียงกรีดร้องแหลมๆ สองสามสายดังมาจากในเมือง ลำแสงหลีกหนีหลากสีสันสองสามสายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วพุ่งมาทางนี้
เมื่อเห็นฉากนี้ชายหนุ่มคิ้วขาวมีหรือจะไม่รู้ว่าคนของเผ่าเงามาถึงแล้ว ใบหน้าตกตะลึงระคนหวาดผวาฉายแวบผ่านไป ปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นออกมา ลำแสงสีดำบนร่างหมุนวนโคจรอย่างสุดแรง ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ในเวลาเดียวกันปีกเหล็กสีดำสนิทคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง สองมือพลิ้วไหวกลายเป็นกรงเล็บเหล็กเปล่งแสงสีดำมะเมื่อม
เขาเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงกลายร่างเป็นครึ่งปีศาจในทันที ท่าทางพร้อมสู้สุดชีวิต
สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดก็คือร่างกายที่แข็งแกร่งของตนเอง ในเมื่อเผ่าอินทรีทมิฬเป็นหนึ่งในเจ็ดเผ่าปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าจึงไม่ปล่อยไปตามสบาย สะบัดกรงเล็บที่แหลมคม ฉับพลันนั้นลำแสงสีดำความยาวสองสามฉื่อพลันพุ่งออกมาจากปลายเล็บ ตะปบออกทั้งซ้ายและขวา เคล็ดวิชาที่ลำแสงสีดำกรีดผ่านไป เส้นไหมสีแดงรอบกายพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
คาดไม่ถึงว่าลำแสงสีดำเหล่านี้จะแหลมคมเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มคิ้วขาวเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าจึงรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง
เขาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ขอแค่สับเส้นไหมสีแดงรอบกายทั้งหมดออกได้ ก็สามารถสำแดงเคล็ดวิชาจำเพาะของเผ่าอินทรีทมิฬหนีไปได้
แต่ไม่รอให้กรงเล็บคู่นั้นของเขาโบกสะบัดต่อ ฉากต่อมากลับทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี จนซีดเผือด
เส้นไหมสีแดงที่ถูกสับออกเหล่านั้นทยอยกันเชื่อมต่อกัน แล้วกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง
นักพรตชราเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา ร่างกายเลือนราง ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าชายหนุ่มคิ้วขาว
จากนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งลูบไปที่ท้ายทอย เงาสีแดงสดสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
“เงาชาด เจ้าคือคนของเผ่าเงาจริงๆ ด้วย!” เมื่อเห็นเงาชาด ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันรู้สึกสิ้นหวัง
เงาชาดคือเผ่าเงาที่เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาในเผ่ามนุษย์ ปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรแปลงกายตัวเล็กๆ ตนหนึ่งจะต้านทานได้อย่างไร
“เจ้ารู้แล้วก็ดี กายเนื้อของเจ้าไม่เลว ข้าจะขอรับไว้ วางใจ สหายร่วมทางของเจ้าไม่มีทางหนีไปได้แม้แต่คนเดียวแน่ หลังจากนั้นไม่นานก็จะตามเจ้าลงนรกไป” แววตาของนักพรตชราเปล่งแสงสีแดง เปล่งเสียงเล็กๆ บาดหูออกมา ทันใดนั้นเหนือศีรษะก็มีเงาสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ กระโจนเข้าหาชายหนุ่มอย่างโหดเ**้ยม
ในเวลาเดียวกันเส้นไหมสีแดงที่รัดชายหนุ่มคิ้วขาวอยู่ก็ทะลุผ่านเกราะป้องกันลำแสงสีดำของชายหนุ่ม แล้วรัดชายหนุ่มเอาไว้อย่างแน่นหนา
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะมีพลังที่ไร้ขีดจำกัด ครานี้ก็ไม่อาจขยับตัวได้ จึงทำได้เพียงมองเงาชาดกระโจนเข้ามาตาถลน
“เพ้อเจ้อ!”
จิตใจของชายหนุ่มคิ้วขาวหนักอึ้งไปจนตาตุ่ม หลังจากรู้ว่าไม่มีทางหลบหลีกได้ ชั่วขณะนั้นความบ้าคลั่งก็ทะลักออกมา ฉับพลันนั้นพลันกัดฟัน กัดลิ้นออกไปครึ่งหนึ่ง แล้วอ้าปากออกพ่นไข่มุกสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือที่ย้อมไปด้วยโลหิตสีดำออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกันที่ไข่มุกเม็ดนี้ออกห่างจากร่าง ดวงตาของชายหนุ่มก็ไร้แสง ผิวรอบกายซูบผอมหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นชายชราผมขาวเต็มหัว
ไข่มุกเม็ดนี้คือแก่นอสูรที่ชายหนุ่มคิ้วขาวฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี
ไข่มุกกลมๆ แผ่กลิ่นอายบ้าคลั่งออกมาขณะอยู่ท่ามกลางโลหิตสีดำ หลังจากหดตัวเล็กลงและขยายตัวออกแล้วก็ระเบิดออก
นักพรตชรามีสีหน้าตะลึงงัน ไม่เพียงเอาชาดเหนือศีรษะจะดีดตัวกลับไปราวกับพบงูพิษ ขยับขาทั้งสองร่างกายพลิ้วไหวพุ่งกลับไป
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีดำขนาดเท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ขยายอาณาเขตจนกว้างถึงสิบจั้งเศษ แล้วยังแผ่ออกไปทั้งสี่ด้านอย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นวายุโหมกระหน่ำก็ซัดเข้ามา ฝุ่นทรายสีเหลืองที่รวมตัวกันจนเป็นหมอกทรายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นมังกรวายุสีเหลืองสองสามตัว
เงาลวงตาพลิ้วไหว ร่างของนักพรตชราหยุดอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย
ลำแสงสีกำไล่ตามมาติดๆ ราวกับชนักติดหลัง
นักพรตชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ปากก็เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ที่ยากจะเข้าใจออกมา
เสียง “ฟิ้ว” ดังแหวกอากาศมา เงาสีแดงขนาดใหญ่สายหนึ่งดีดออกมาจากในบริเวณนั้นโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน ชั่วครู่ก็พุ่งเข้าไปในหมอกลำแสงสีดำ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลง
ฉากที่น่าตกตะลึงปรากฏขึ้น!
มังกรวายุสีเหลืองสลายหายไป ลำแสงสีดำแล้วชายหนุ่มคิ้วขาวหายไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน
นักพรตชราถึงได้พ่นลมหายใจออกมา แต่ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
ชายหนุ่มคิ้วขาวที่อยู่ภายใต้เขตอาคม คาดไม่ถึงว่าจะยังสามารถระเบิดแก่นอสูรออกมาได้ ช่างเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
แต่ในตอนนั้นหลังจากที่ลำแสงหลีกหนีหมุนวนรอบหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เผยร่างของผู้บำเพ็ญเพียรชายหญิงแปดคนออกมา
“เกินความคาดหมาย พวกเขาไม่ติดกับ ดูแล้วคงยุ่งยากหน่อย ทว่ากลิ่นเงาของข้าที่แผ่ออกไป น่าจะย้อมไปบนร่างของพวกเขา เพียงพอจะอยู่ได้หนึ่งชั่วยาม ข้าจะพาอสูรเซิ่นไปสังหารเจ้าผู้ที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้าด้วยตนเอง พวกเจ้าออกเดินทาง สังหารที่เหลืออีกสามคนทิ้งซะ” นักพรตออกคำสั่งอย่างจริงจัง
“ขอรับ ท่านอาวุโส!” ผู้บำเพ็ญเพียรแปดคนที่อยู่กลางอากาศค้อมตัวลง ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสามคลื่น พุ่งแหวกอากาศออกไปสามทาง
ส่วนนักพรตชรานั้นก็ไม่ได้รีบร้อนบินออกไปในทันที แต่อ้าปากออก เปล่งเสียงคำรามประหลาดๆ ออกมาไม่หยุด สั่นสะเทือนบรรยากาศบริเวณรอบจนทะลุขึ้นไปในชั้นเมฆ
ทันใดนั้นมือหนึ่งของเขาก็กวักไปทางประตูเมืองอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณที่รักษาการณ์ที่ประตูเมืองเหล่านั้นพลันบินออกมาเป็นเงาสีเทาสิบกว่าสาย ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่าง ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็ล้มลงกับพื้น
จากนั้นฉากที่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น
ลูกเด็กเล็กแดงและคนธรรมดาที่เล่นหยอกล้อกันที่บึงน้ำพลันสลายหายไปราวกับฟองน้ำท่ามกลางเสียงคำราม จากนั้นเมืองทั้งเมืองก็สั่นคลอนราวกับเงาสะท้อนในน้ำ ไอสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นไป ไม่ว่าพื้นดินหรือว่ากำแพงเมือง ชั่วพริบตาก็ถูกห่อหุ้มด้วยไอสีดำ
เสียงกบร้องบาดหูดังออกมาจากไอสีดำ
นักพรตชราหยุดส่งเสียงคำรามประหลาดๆ สะบัดชุดคลุมยาวไปทางไอสีดำด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พายุลูกใหญ่ปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็ม้วนไอสีดำเข้าไปกลางอากาศ
เบื้องหน้ามีอสูรประหลาดสองเขาลำตัวยาวสิบจั้งเศษปรากฏขึ้น หัวอสรพิษสีทองเงินสองหัว ตัวกบสีเขียวมรกต ลูกตาสีแดงโลหิตสี่ดวงกลอกไปมา ให้ความรู้สึกที่น่าขนพองสยองเกล้า
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น หัวอสรพิษสีทองอ้าปากออก พ่นโครงกระดูกโครงหนึ่งออกมาจากด้านใน
ชายหนุ่มคิ้วขาวที่เพิ่งระเบิดแก่นอสูรออกมาเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอสูรตนนี้กลืนลงไป
เมืองเล็กๆ และผู้บำเพ็ญเพียร คนธรรมดาในเมืองล้วนเป็นภาพลวงตาที่อสูรประหลาดสร้างขึ้น
นักพรตชราร่างกายพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็สลายหายไป แต่ครู่ต่อมา ก็ปรากฏขึ้นบนหัวอสรพิษหัวหนึ่ง
“ไป” นักพรตชราออกคำสั่งด้วยความเย็นชา
อสูรยักษ์สองหัวเปล่งเสียงร้องของกบออกมาพร้อมกัน สองเท้ากระโจนขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นไอสีดำกลุ่มหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งแหวกอากาศไป
ทิศทางที่เขาไล่ตามไปนั่นก็คือจุดที่หานลี่หนีไป
……
สายรุ้งสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกไปกลางอากาศ ท่ามกลางลำแสงสีแดง สตรีผู้งดงามคนหนึ่งกำลังขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร
ฉับพลันนั้นสตรีพลันหน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีแผ่นหยกสีเขียวปรากฏขึ้น บนแผ่นหยักสลักไข่มุกกลมๆ สีขาวนวลเอาไว้ แต่ตอนนี้กลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท่าทางเหมือนถูกทำลาย
สตรีสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง นิ้วเรียวยาวนิ้วหนึ่งดีดไปบนไข่มุก ชั่วขณะนั้นหลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ไข่มุกเม็ดนี้ก็กลายเป็นผงสีขาวกลุ่มหนึ่ง แล้วหายวับไป
ทันใดนั้นนางพลันเก็บแผ่นหยก แผ่ลำแสงสีแดงออกมาทั่วเรือนร่าง ความเร็วเพิ่มขึ้นสามส่วน
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันหันหน้าไปทางด้านหลัง
เห็นเพียงตรงขอบฟ้าด้านหลังมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เผยให้เห็นลำแสงหลีกหนีที่พุ่งไล่ตามกันมาติดๆ
ทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งความเร็วของมันมากกว่าสตรีผู้นี้กว่าครึ่ง
ฮูหยินมีสีหน้าเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ด้านหลังยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาเปล่งประกายเย็นชา คาดไม่ถึงว่าจะหยุดลำแสงหลีกหนีลง แล้วลอยตัวอยู่กลางอากาศที่เดิม
เช่นนั้นหลังจากที่ลำแสงหลีกหนีสองสามด้านหลังเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากสตรีไปยี่สิบสามสิบจั้ง ลำแสงเปล่งประกาย กลับเผยร่างของบุรุษและสตรีออกมา
ทั้งสองคนอายุไม่มากนัก บุรุษรูปร่างหล่อเหลาสูงสง่า หญิงสาวมีหน้าตางดงามดุจบุปผา และยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าก็ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองต่างมีสีหน้าแข็งทื่อ
ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือหุ่นเชิดที่ถูกเผ่าเงาสิงร่าง สตรีก็ไม่สนใจหน้าตาของทั้งสองเลยสักนิด แค่กวาดมองไปแวบหนึ่งด้วยความเย็นชา สองมือพลันร่ายอาคมอย่างไม่ลังเล ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงสีดำสองกลุ่มพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเปลี่ยนรูปร่างเล็กน้อย กลายเป็นวิหคเพลิงสองตัว พุ่งกระโจนไปหาทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้าม
บุรุษและสตรีที่อยู่ตรงข้ามเห็นเช่นกัน ก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาขึ้นจมูกออกมา ไหล่ทั้งสองสั่นไหว ชั่วขณะนั้นตรงแผ่นหลังพลันมีลำแสงสีเทาสองสามสายพุ่งออกมา กระโจนเข้าไปหาเปลวเพลิงสีดำอย่างไม่ยอมแสดงท่าทีอ่อนแอ
เสียงอึกทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาและเปลวเพลิงสีดำพลันตัดสลับกัน
สตรีเลิกคิ้วดำขลับ ร่างกายพุ่งไปลงบนพื้นดิน ชั่วขณะนั้นพลันแผ่ลำแสงสีดำออกมาจากร่างกาย มันเจิดจ้าจนแสบตา ทำให้ไม่อาจสบสายตาได้
จากนั้นเสียงวิหคร้องพลันดังขึ้น วิหคเพลิงขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากลำแสงสีดำ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ปีกทั้งสองก็สยายออกกระโจนไปหาทั้งสองที่อยู่ตรงข้าม
วิหคนี้มีลำตัวสีดำเป็นมันวาว บนหัวมีรัดเกล้าสีน้ำตาล ดวงตาทั้งสองเป็นสีเขียวมรกต เผยร่างหงส์สีดำความยาวสามสี่จั้งออกมา
บุรุษและสตรีที่อยู่ตรงข้ามเห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าตกตะลึง แต่หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว พลันลูบไปที่เหนือศีรษะ ชั่วขณะนั้นเงาสีเขียวสองสายก็พุ่งออกมา กระโจนเข้าหาหงส์สีดำ
ครานี้ไอวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้า เสียงร้องดังระงมไม่หยุด
แทบจะในเวลาเดียวกัน อีกแห่งหนึ่ง หล่งตงถูกผู้บำเพ็ญเพียรสองคนไล่ตามมาเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่สลัดกายเนื้อไปแล้ว จึงเผยเงาร่างสีเขียวสองสายออกมา เขากลับเผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา ลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ เกราะสัมฤทธิ์สีเหลืองที่เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นแผ่นหลังก็มีปีกสัมฤทธิ์ขนาดสองสามจั้งสว่างวาบ สองมือถูเข้าด้วยกัน กระบี่ยาวประหลาดสีแดงสดดุจโลหิตปรากฏขึ้นในมือของเขา
กระบี่ยาวสามฉื่อ ตัวเป็นมังกรร่างเป็นหงส์ เรือนกายมีลำแสงโลหิตไหลเวียน คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับก่อตัวขึ้นมาจากโลหิตสดๆ
ครานี้ไฝโลหิตตรงมุมปากของหล่งตงนั้นแดงสด สีหน้าเคร่งขรึม กระบี่ยาวโบกสะบัดไปทางเงาสีเขียวสองสายที่กระโจนเข้ามาเบาๆ
เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง!
แต่เงาสีเขียวที่อยู่ตรงข้ามกลับเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ผิวมีเส้นไหมสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เงาสีเขียวสองสายแตกออกในชั่วพริบตา
ชายหนุ่มไฝโลหิตโบกสะบัดกระบี่ยาวในมืออีกครั้ง
เส้นไหมสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง เจ้าพวกที่แตกออกท่ามกลางเส้นไหมลำแสงสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
1370 การต่อสู้ในทะเลทรายที่ดุเดือด
หล่งตงที่สังหารเงาสีเขียวสองตัวไปได้อย่างดูไม่ค่อยเปลืองแรงนั้น สะบัดกระบี่โลหิตในมือเงียบๆ
ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มนั้นพลันละลายกลายเป็นโลหิตบริสุทธิ์สีแดงเข้มในชั่วพริบตา ย้อมฝ่ามือที่กุมกระบี่เอาไว้แล้วหายวับไป
เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ทันใดนั้นก็ซีดขาวอย่างหาที่เปรียบ ราวกับว่าสูญเสียโลหิตไปจำนวนมาก
หยิบขวดสีแดงสดออกมาจากกำไลเก็บของอย่างรวดเร็ว หลังจากเทยาลูกกลอนสีแดงเข้มเม็ดหนึ่งออกมาแล้วกินลงไปแล้ว หล่งตงก็ไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่นานนัก ควบคุมลำแสงหลีกหนีพุ่งแหวกอากาศออกไปในทันที
อีกด้านของทะเลทราย หญิงสาวชุดขาวยืนนิ่งอยู่บนเนินทราย รอบๆ ห่างออกไปสองสามจั้ง มีซากศพที่เย็นเยียบนอนอยู่สี่ร่าง
บนซากศพเหล่านี้ไม่มีบาดแผลเลยสักนิด กลับนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ล้วนไร้ซึ่งพลังชีวิต
หญิงสาวใช้มือหนึ่งลูบไปบนขวดหยกสีขาวนวล ใบหน้าเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยออกมา ฉับพลันนั้นร่างกายพลันเคลื่อนไหว กลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็หายจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
ห่างออกไปแสนลี้ ฉับพลันนั้นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพลันกะพริบวาบพุ่งออกมาจากกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ด้านหลังเขาห่างออกไปสองสามลี้ ไอสีดำกลุ่มหนึ่งลอยตามมา ดูเหมือนเชื่องช้า แต่หลังจากที่สำแดงความสามารถอะไรสักอย่างก็ไล่ตามเขามาติดๆ ได้ ไม่มีท่าทีจะถูกสลัดทิ้งได้เลยสักนิด
ทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าหนึ่งและด้านหลังหนึ่งพุ่งออกไปเป็นระยะสองสามร้อยลี้ได้ภายในพริบตา ฉับพลันนั้นไอสีดำด้านหลังก็สั่นคลอน ฉับพลันนั้นก็หายวับไปจากด้านหลัง ครู่ต่อมาไอสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบกลางอากาศห่างออกไปสองสามลี้ แล้วไล่ตามไปติดๆ
ทันใดนั้นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวด้านหน้าก็ดีดออกไปเช่นกัน กลายเป็นเส้นไหมสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปสองสามลี้ แล้วดึงระยะห่างออกไปอีกครั้ง
ทั้งสองไล่ตามกันเช่นนี้ไปอย่างไม่ลดละ
ในประจุไฟฟ้าสีเขียวขาว มีเงาร่างคนติดปีกกะพริบวาบอยู่รางๆ นั่นก็คือหานลี่
เขาในครานี้กำลังขมวดคิ้วมุ่น แววตาเคร่งขรึมมาก
ก่อนหน้านี้ไม่นาน หลังจากที่เขาพบว่าไอสีดำของนักพรตชราไล่ตามมา ทันใดนั้นกระตุ้นพลังของปีกวายุอสนีและวิชาเก้าวายุแปรปรวนจนถึงขีดสุด
แต่ไม่รู้ว่าไอสีดำกลุ่มนั้นคือสิ่งใด ไม่เพียงจะรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสามารถเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตาเช่นกัน
ทั้งสองไล่ตามกันมาไกลขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะยังไม่อาจดึงระยะห่างออกมาได้เลยสักนิด
ถึงแม้ว่าทะเลทรายจะยิ่งใหญ่ แต่ก็มีเผ่าประหลาดเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ ภายใต้การไล่ตามเช่นนี้ หากไปรบกวนเผ่าประหลาดเผ่าอื่นเข้า คงจะยุ่งยากเข้าไปใหญ่
ส่วนการใช้เงาโลหิตหลีกหนีที่ต้องสูญเสียปราณแท้ไปจำนวนมากนัก ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง หากไม่ถึงตาจน เขาก็ไม่ยอมสำแดงออกมาง่ายๆ ถึงอย่างไรเสียทะเลทรายผืนนี้ก็มีอันตรายอยู่รอบด้าน หลังจากนี้เข้ายังต้องเข้าไปในเส้นทางสวรรค์อีก จึงไม่ยอมเสียปราณแท้ของตัวเองมากเกินไปแน่
ดูแล้วมีเพียงต้องสู้รบกับคนของเผ่าเงาที่อยู่ด้านหลังดูสักตั้งแล้ว
อีกฝ่ายสิงอยู่ในร่างของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นกลางได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งไม่น้อยในเผ่าเงา กว่าครึ่งคงเป็นเงาชาดที่ทัดเทียมกับระดับหลอมสุญตา
ระดับสูงขนาดนี้ ถ้าหากเป็นเผ่าประหลาดคนอื่น หานลี่ก็อาจจะกลัว แต่หากเป็นเผ่าเงา เขาซึ่งเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาที่สามารถกักเผ่านี้ได้ จึงมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้อยู่บ้าง
และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เขาเข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ สมบัติต่างๆ และเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนขึ้นใหม่นั้น ก็ยังไม่เผยสำแดงออกมาให้ใครเห็น มันก็อานุภาพขนาดไหนนั้นตนเองก็ยังไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าอานุภาพน่าจะยิ่งใหญ่มาก นำมาทดสอบกับเงาชาดก็น่าจะดี
ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่หานลี่สำแดงการเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ปีกที่แผ่นหลังพลันกระพือ คนหยุดอยู่ที่เดิม
เช่นนั้นไอสีดำกลุ่มนี้ไล่ตามหานลี่มาอยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้งภายในพริบตา ดูแล้วน่าจะไม่มีเจตนาจะหยุดพัก คิดจะกระโจนเข้ามาทันที
นั่นก็ไม่แปลกเลยสักนิด!
สิ่งที่เผ่าเงาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการกลืนกินจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของผู้อื่น และควบคุมกายเนื้อของเผ่าอื่น ในเวลาเดียวกันก็เอาพลังของกายเนื้อมาได้ครึ่งหนึ่งด้วย
แต่หานลี่จะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าประชิดตัวได้อย่างไร ทันใดนั้นก็ไม่พูดไม่จา ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน แล้วชูขึ้น
เสียง “เปรี้ยงๆ” ดังอสนีฟ้าฟาดดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองขนาดความหนาเท่าปากชามสายหนึ่งระเบิดออกมาระหว่างฝ่ามือ สับลงมาที่ไอสีดำอย่างไม่ตั้งตัว
เสียงร้องอุทานดังขึ้น ไอสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปกลางอากาศ
หานลี่แค่นเสียงด้วยความเย็นชา หว่างคิ้วมีรอยโลหิตสายหนึ่งปรากฏขึ้น เนตรทำลายล้างปรากฏขึ้นในทันใด และเส้นไหมสีดำสายหนึ่งที่พุ่งออกมา ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปเช่นกัน
หลังจากที่เสียงระเบิดอันเสียดแก้วหูดังขึ้น กลางอากาศห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง พลันมีเสียงปริแตกดังออกมา นักพรตชราที่อยู่ท่ามกลางไอสีดำ ร่างกายพลิ้วไหวและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ปากร้องตะโกนต่ำๆ ออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เนตรทำลายล้าง คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนความสามารถชนิดนี้ด้วย!”
หานลี่หยักมุมปากไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่กลับร่ายอาคมอย่างเงียบๆ ประจุไฟฟ้าสีทองบิดพลิ้ว ปรากฏขึ้นด้านหลังนักพรตชราอย่างคาดไม่ถึง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาอย่างรุนแรง
นักพรตชราร้องว่าแย่แล้ว ตอนที่คิดจะหลบหลีกในทันใดนั้น หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปกลับมีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบที่ดวงตา พลันสบถปากออกมา
เสียงไม่ดังนัก แต่เมื่อกระทบโสตประสาทหูกลับเหมือนกับตีระฆังยักษ์ นักพรตชรารู้สึกเพียงว่าสองหูอื้ออึง ชั่วขณะนั้นในหัวพลันเกิดความเจ็บปวดจากการถูกฉีกทึ้ง ร่างกายอดที่จะหยุดชะงักไม่ได้
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองก็โจมตีไปบนไอสีดำ ลำแสงสีทองบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดีดตัวสลับกัน ไอสีดำพวยพุ่งขึ้นมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงกบร้องดังสนั่นที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดพลันส่งออกมาจากไอสีดำ
ไอสีดำหมุนวนอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็รวมตัวกันอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของนักพรตชรา สร้างภาพลวงตาเป็นรูปร่างกบที่มีหัวเป็นอสรพิษสองเขาประหลาดๆ ออกมา ดวงตาสีแดงสดสี่ข้างจ้องเขม็งมายังหานลี่ เต็มไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
หานลี่เห็นฉากนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ไอสีดำที่ปกป้องร่างกายของอีกฝ่ายอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะสร้างขึ้นจากอสูรประหลาดตัวนี้ ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายจริงๆ
“เยี่ยม เยี่ยมมาก! ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งสามารถเขย่าจิตสัมผัสของข้าได้ ความสามารถเมื่อครู่ของเจ้าน่าสนใจจริงๆ ไหนลองสำแดงออกมาอีกครั้งซิ!” นักพรตชราต้านการโจมตีอสนีได้ ชั่วพริบตาที่ร่างกายกลับมามั่นคงอีกครั้ง ก็จ้องเขม็งไปยังหานลี่ด้วยความเคร่งขรึม
หานลี่ขมวดคิ้ว ดูแล้วการโจมตีด้วยอสนีเมื่อครู่คงถูกอสูรประหลาดใต้ฝ่าเท้าของเขารับเอาไว้ มิเช่นนั้นจากพลังอสนีที่มีผลต่อเผ่าเงา ต้านทานการโจมตีของอสนีหลีกหนีจำนวนมากขนาดนี้ ก็ไม่มีทางไม่เป็นอันตรายใดๆ ได้
ส่วนการโจมตีด้วยการทิ่มแทงจิตสัมผัสอีกครั้ง เขานั้นไม่มีทางโง่เขลาทำลงไปแน่ การโจมตีชนิดนี้มีผลแค่ตอนที่โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น มิเช่นนั้นจากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง ก็คงไม่อาจมีผลอะไรได้
หานลี่เองก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง ยกมือหนึ่งขึ้น เผยฝ่ามือสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกออกมา กดไปกลางอากาศทางนักพรต
ชั่วขณะนั้นเหนือศีรษะของนักพรตชราพลันมีคลื่นพายุปรากฏขึ้น ภูเขาน้อยๆ สีดำปรากฏขึ้น
ภูเขาลูกนี้แค่หมุนติ้วๆ ชั่วพริบตาก็ขยายใหญ่ขึ้นร้อยจั้ง ยอดเขาและตีนเขาเปล่งลำแสงสีเทาออกมา วงแหวนสีเทาเป็นชั้นๆ พุ่งลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว
นักพรตมีสีหน้าโหดเ**้ยม โบกสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ เผยมีดความยาวครึ่งฉื่อที่โปร่งแสงออกมา
มีดเล่มนี้แค่โบกสะบัดไปกลางอากาศ มีดลำแสงแวววาวสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับออกมา
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีดเล่มเล็กคือสิ่งใด เมื่อมีดลำแสงและวงแหวนสีเทาสัมผัสกัน ลำแสงสีเทาก็ถูกโจมตีจนกระจายออก สับลงมาที่ตีนเขายักษ์อย่างแรง
เสียง “เคร๊ง” ราวกับเสียงระฆังดังสนั่นขึ้น
ยอดเขาไม่ขยับเขยื้อน มีดลำแสงกลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป
นักพรตหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันได้ทำอย่างอื่น หานลี่ก็ใช้มือที่ขาวบริสุทธิ์ดุจหยกยื่นออกไปเช่นกัน กางนิ้วทั้งห้าออก ปรากฏหัวกะโหลกห้าหัวออกมา
ชั่วขณะนั้นรอบด้านของนักพรตชราก็มีหัวกะโหลกยักษ์ห้าหัวปรากฏขึ้น อ้าปากออกพร้อมกัน พ่นเปลวเพลิงเย็นเยียบห้ากลุ่ม ชั่วครู่ก็รวมตัวกันกลายเป็นเปลวเพลิงห้าสี ห่อหุ้มร่างของนักพรตชราไปในชั่วพริบตา
เดิมทีนักพรตชรายังคงฉีกยิ้มเย็นชา แต่ในเวลาเดียวกันที่เปลวเพลิงลำแสงห้าสีมาประชิดตัว ก็หน้าเปลี่ยนสี ข้างหายมีลำแสงสีแดงระเบิดออกไปหมื่นจั้ง กระบี่ลำแสงสีแดงสดจำนวนนับไม่ถ้วนสับออกมาจากรอบด้าน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นดอกบัวยักษ์สีแดงดอกหนึ่ง
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
ดอกบัวหมุนติ้วๆ เปลวเพลิงห้าสีทยอยกันถูกม้วนเข้าไป ไม่อาจออกห่างได้เลยสักนิด
หานลี่เห็นเช่นนั้น พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือพลันร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นหัวกะโหลกทั้งห้าก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมา ฉับพลันนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กระโจนเข้าไปหาดอกบัวสีแดง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดัง “วี๊ดๆ” ดังขึ้น หัวกะโหลกห้าหัวกระโจนไปที่ด้านข้างดอกบัวสีแดง มีดลำแสงที่เปล่งประกายห้าสายพุ่งออกมาจากกลางดอกบัว หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็สับหัวกะโหลกทั้งห้าออกเป็นสองส่วนด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า
ทุกแห่งที่ลำแสงสีแดงกวาดผ่านไป เปลวเพลิงห้าสีก็จะแตกสลายออก เงาร่างของนักพรตชราปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ
เสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น หัวกะโหลกทั้งห้าผนึกตัวรวมกันอีกครั้ง
แต่ปากก็ยังคงเปล่งเสียงร้องครวญออกมาไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะหวาดกลัวนักพรตชราเป็นอย่างมาก
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มือหนึ่งชี้ไปที่ภูเขายักษ์ที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง
ภูเขายักษ์สั่นเทาแล้วลดระดับลงมา
เมื่อถูกสิ่งของมหึมาทับลงมาเช่นนี้ นักพรตชรากลับหน้าไม่เปลี่ยนสี แค่ใช้ปลายเท้าแตะที่อสูรยักษ์ใต้ร่าง
หัวอสรพิษทั้งสองของอสูรยักษ์อ้าปากออกพร้อมกัน พ่นเงาสีแดงหนาๆ สองสายออกมา โจมตีไปยังฐานของภูเขายักษ์อย่างรุนแรง
เสียงปริแตกดังสนั่นขึ้น ภูเขายักษ์พลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะถูกเงาสีแดงโจมตีจนกระเด็นลอยออกไป
เมื่อเห็นฉากนี้ รูม่านตาของหานลี่พลันหดเล็กลง ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้
สิ่งที่เรียกว่าเงาสีแดงคือแกนอสรพิษที่พ่นออกมาจากปากของอสรพิษทั้งสอง คาดไม่ถึงว่าจะพลังมหาศาลเช่นนี้ โจมตีลำแสงเทวะดูดปราณที่กลายเป็นยอดเขาจนกระเด็นไป
หานลี่ตะปบมือทั้งสองลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ภูเขาน้อยสีดำและหัวกะโหลกทั้งห้าพลิ้วไหว แล้วหายวับไป
ฝ่ามือทั้งสองแยกสีดำขาวอย่างชัดเจน ชั่วพริบตาผิวก็ฟื้นฟูกลับมาปกติ ไม่มีความผิดปกติใดๆ
“หึๆ เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ามีสมบัติไม่น้อยจริงๆ แต่จากลมปราณเพียงเล็กน้อยของเจ้าต่อกรกับข้า ก็เป็นเรื่องที่โง่เขลา ดูแล้วเจ้าก็ไม่ได้มีอะไรนัก เรียกร่างของเจ้าออกมาเถิด” นักพรตชราดูเหมือนว่าจะทนไม่ไหว ไม่สนใจการกระทำอื่นของเขา แต่หัวอสรพิษทั้งสองของอสูรยักษ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าพลันเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา
คลื่นไร้รูปร่างแผ่ออกไปทั้งสี่ทิศ ชั่วพริบตาก็แผ่ออกไปเป็นระยะสองสามลี้
ลำแสงวิญญาณหลากสีสันเชื่อมต่อกันในบริเวณรอบ จากนั้นอสูรประหลาดขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศราวกับฟองสบู่ ตัวใหญ่ก็มีขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ ตัวเล็กหน่อยก็มีขนาดสองสามจั้ง หน้าตาโหดเ**้ยม กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวล ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มร่างกายของหานลี่เอาไว้ และจ้องเขม็งมาด้วยแววตาอาฆาต
1371 อานุภาพแมลง
“เคล็ดวิชาลวงตา?” หานลี่เห็นฉากนี้พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มเล็กสีทองยี่สิบสามสิบเล่มพลันบินออกมาราวกับมัจฉาที่แหวกว่ายในสายธาร พลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วทยอยกันกลายเป็นกระบี่สีทองความยาวสองสามฉี่อ
เขาร่ายอาคมกระตุ้นกระบี่อยู่ในใจ กระบี่บินทุกเล่มรางเลือนไปเล็กน้อย แบ่งตัวออกเป็นกระบี่ลำแสงสองสามสายที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว จากนั้นก็ทยอยกันหมุนวนเริงระบำ
ครานี้ลำแสงสีทองปกคลุมเต็มท้องฟ้า ไอกระบี่ตัดสลับกัน อสูรประหลาดที่อยู่ในระยะยี่สิบสามสิบจั้งล้วนถูกสับออกเป็นชิ้นๆ
ซากโลหิตอสูร เสียงคำรามของอสูร ปรากฏขึ้นทั้งซ้ายและขวาของหานลี่
แต่หานลี่กลับขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย!
ไม่ว่ารสสัมผัสที่กระบี่บินสับลงไป หรือว่าทุกอย่างที่ตัวเองเห็น ล้วนเสมือนจริง อสูรประหลาดเหล่านี้ไม่เหมือนกับภาพลวงตาเลยสักนิด ทำให้ผู้คนไม่อาจแยกแยะได้ว่าจอมปลอมอย่างไร
เขารู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยอยู่หลายส่วน ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก กระบี่บินทั้งหมดที่กลายเป็นกระบี่ลำแสงไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย ปกป้องร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
นักพรตชราที่ยืนอยู่บนตัวอสูรเซิ่นห่างออกไปเห็นเช่นนี้ ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา
อสูรที่ปรากฏขึ้นรอบด้านดูเหมือนจะมีอย่างไม่สิ้นสุด และกระบี่ลำแสงของหานลี่ก็แหลมคมอย่างหาที่เปรียบ ชั่วพริบตาก็สับอสูรประหลาดไปได้สองสามร้อยตัว
ทว่าซากอสูรที่จบชีวิตไปเหล่านี้ กลับทยอยกันลอยขึ้นกลางอากาศ และไม่ยอมตกลงมา เช่นนั้นกลอื่นคาวเลือดจึงยิ่งคละคลุ้งขึ้นเรื่อยๆ แสบจมูกเป็นอย่างมาก
ชั่วครู่เมื่อหานลี่พบความผิดปกติ อสูรเซิ่นใต้เท้าของนักพรตชรากลับเปล่งเสียงร้องออกมา ชั่วพริบตาซากอสูรทั้งหมดพลันกลายเป็นหมอกหนาๆ สีดำหมุนวนพุ่งมาหาหานลี่
กระบี่ลำแสงสองสามร้อยสายเริงระบำไปทั้งสี่ด้าน บางครั้งก็แหวกหมอกสีดำออก แต่กลับมีหมอกสีดำพันรัดเอาไว้ กระบี่บินทั้งหมดชะงักค้าง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างขนาดใหญ่ของอสูรเซิ่นพลันพลิ้วไหว กลายเป็นไอสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไป จมหายเข้าไปในหมอกสีดำแล้วอำพรางกายไป
ครู่ต่อมาเงาสีแดงยาวๆ สองสามดีดออกมาจากหมอกสีดำโดยไม่มีสัญญาณมาก่อน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาปรากฏเบื้องหน้าของหานลี่ สายหนึ่งพุ่งไปหาศีรษะของหานลี่ เส้นหนึ่งทะลวงไปทางทรวงอก การเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้า
หากไม่ใช่เพราะหานลี่โคจรพลังยุทธ์อยู่ทั่วร่าง ดวงตาสองข้างเปล่งแสงสีฟ้า ใช้ความสามารถของเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง อาศัยเพียงจิตสัมผัสก็ไม่อาจจับการโจมตีที่รวดเร็วเช่นนี้ได้จริงๆ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ต้องใช้สมบัติใดๆ ลำแสงสีทองพลันฉายวาบบนใบหน้า สองมือดูเหมือนช้าแต่ตะปบออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันสองมือพลันเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง ราวกับสร้างขึ้นจากทองคำอย่างไรอย่างนั้น
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น มือสีทองสองข้างตะปบลิ้นสีแดงสดที่มีก้อนเนื้ออยู่ตรงปลายเอาไว้ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งถูกส่งมายังท่อนแขน
แต่หัวไหล่ของหานลี่แค่สั่นไหว ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเห็นฉากนี้ นักพรตชราพลันตะลึงงัน แววตาฉายแววตื่นตะลึง
ต้องเข้าใจว่าอสูรเซิ่นตัวนี้ไม่เพียงจะเชี่ยวชาญในการสร้างภาพลวงตา เป็นผู้ที่เชื่อเสียงว่ามีพลังมหาศาลในเผ่าเงา ยอดเขาร้อยจั้งที่ถูกลิ้นทั้งสองดีดไปเมื่อครู่ ก็แสดงให้เห็นถึงพลังมหาศาลของมันแล้ว
ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะใช้แค่สองมือจับลิ้นคู่ของอสูรเซิ่นเอาไว้ แล้วยังมีท่าทีสบายๆ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
ทว่านักพรตชรากลับไม่ได้กังวลใจอะไร อสูรเซิ่นไม่ได้มีแค่พละกำลังมหาศาล
ลิ้นทั้งสองตกลงในมือของหานลี่ดังคาด หลังจากที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด ลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบ ชั่วครู่ก็สร้างภาพลวงตาเป็นงูเหลือมยักษ์สีแดงสดสองตัว อ้าปากออกอย่างดุดัน ฉับพลันนั้นพลันกระโจนเข้ามากัดศีรษะของหานลี่
หานลี่แค่รู้สึกว่านิ้วทั้งสิบสั่นเทา จุดที่ตะปบลงไปเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบและเรียบลื่นอย่างหาที่เปรียบ คาดไม่ถึงว่างูเหลือมตัวนี้จะมีท่าทีดิ้นรนขัดขืน
ลำแสงสีฟ้าในแววตาฉายวาบ สองมือสีทองของหานลี่พลิ้วไหว กลายเป็นสีดำขาวสองสี จากนั้นฝ่ามือยักษ์สีดำสนิทพลันมีเงาลวงตารูปภูเขาสีเงินปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันนิ้วทั้งห้าพลันหนาขึ้นสองสามเท่า
เสียง “แควก” ดังขึ้น โลหิตสดๆ กระเซ็นออกมา ฉีกงูเหลือมออกเป็นสองส่วน
มือหยกยักษ์ที่แวววาวและนิ้วทั้งห้าสร้างหัวกะโหลกสีขาวขึ้นห้าหัว ดีดออกไปกักไปตรงหัวของงูเหลือม
หัวกะโหลกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกัดออกไปสองสามครั้ง ตัวของงูเหลือมเปลี่ยนเป็นซูบผอมถูกดูดโลหิตบริสุทธิ์ไปจนหมด
นี่คือผลที่หานลี่นำภูเขาเทวะดูดปราณ ห้ามารใจเดียวและสองมือของตนเองหลอมเข้าเป็นหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้กลับเป็นวรยุทธ์เฉพาะที่บันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ร้อยชีพจรหลอมสมบัติทำให้แขนกลายเป็นสมบัตินั้นต้องใช้เวลานานมาก แต่หากใช้สมบัติที่มีทำอีกชนิดหนึ่ง กลับเป็นเรื่องที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ
ส่วนผลที่เขาฝึกฝนวิชานี้ ไม่เพียงจะอาศัยพลังของสมบัติสองชิ้นหลอมความสามารถให้แขนทั้งสอง และยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ต่อกรกับศัตรู เมื่อนำแขนทั้งสองและพลังของสมบัติทั้งสองผนึกรวมกัน แน่นอนว่าจึงใช้ได้อย่างชำนาญ อานุภาพสูงกว่าอาศัยพลังต่อกรกับศัตรูเพียงอย่างเดียว
หานลี่สังหารลิ้นทั้งสองที่อสูรเซิ่นสร้างขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง
นักพรตชราเองก็ไม่คิดว่าจะได้ผลเช่นนี้ ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ยังไม่ทันได้ทำอะไร ท่ามกลางไอสีดำก็มีเสียงร้องคำรามอันเจ็บปวดของอสูรดังขึ้น ทันใดนั้นไอสีดำพลันแยกออก อสูรเซิ่นพลิ้วกายกระโจนออกมา แต่ร่างกายกลับรางเลือนแล้วหายวับไปกลางทาง
อสูรตัวนี้มีความสามารถในการอำพรางกาย
หลังจากนั้นชั่วครู่รอบด้านของหานลี่ก็มีเสียงคำรามของอสูรดังขึ้น ทำให้ผู้คนไม่อาจแยกแยะตำแหน่งที่แม่นยำได้
ครั้งนี้ถึงแม้ว่าสองตาของเขาจะมีลำแสงสีฟ้าไหลเวียนอยู่ แต่ก็ยังคงไม่อาจมองทะลุได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หานลี่กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
สะบัดแขนเสื้อทั้งสองไปรอบๆ ด้าน ชั่วขณะนั้นตรงแขนเสื้อพลันมีเสียงหึ่งๆ ขึ้น จากนั้นลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลักออกมา
เมื่อลำแสงสีทองเหล่านี้พุ่งออกมา ร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้นทันที แล้วทยอยกันกลายเป็นแมลงเกราะยักษ์ขนาดครึ่งฉื่อ
นั่นก็คือสิ่งที่หานลี่เลี้ยงดูมาอย่างหนัก ในที่สุดก็โตเต็มวัยอย่างแมลงกลืนทอง
แมลงกลืนทองยักษ์เหล่านี้มีมากกว่าพันตัว บินอยู่รอบๆ เต็มไปหมด
เช่นนั้นแค่ชั่วพริบตา อสูรประหลาดก็ถูกแมลงยักษ์เต็มท้องฟ้าชนเข้าหลายตัว และปรากฏกายขึ้น
ไม่ต้องให้หานลี่กระตุ้นแมลงวิญญาณ แมลงกลืนทองทั้งหมดพลันเปล่งเสียงร้องออกมาแล้วกระโจนเข้าไป ชั่วพริบตาเมฆสีทองพลันกลืนหายเข้าไปในฝูงอสูรประหลาด
อสูรเซิ่นเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงสวบดังขึ้น ร่างกายอันใหญ่โตกลายเป็นไอสีดำดำกลุ่มหนึ่งหมุนวนแล้วหนีไป
แมลงธรรมดาเจอกับร่างกายที่ไร้รูปร่าง แน่นอนว่าจึงไม่รู้จะทำอย่างไร
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
หมอกสีดำเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมาจากซอกของแมลงกลืนทอง แต่แมลงเกราะที่น่ากลัวเหล่านี้ กรงเล็บสองสามกรงเล็บเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะติดอยู่กับหมอกสีดำ จากนั้นก็ก้มหน้าลงแทะอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
แมลงยักษ์นับพันตัวรุมกันกัดแทะ ถึงแม้ว่าอสูรยักษ์จะแปลงเป็นหมอกสีดำอันกว้างใหญ่ แต่ก็ถูกกักไปหนึ่งในสิบส่วนในชั่วพริบตา
ชั่วขณะนั้นเสียงร้องอันน่าอเนจอนาถพลันดังออกมาจากหมอกสีดำ ไอสีดำหมุนวน อสรพิษยาวสีทองเงินสิบตัวพุ่งออกมา ทุกตัวมีความยาวสองสามจั้ง ทุกตัวต่างกลืนกินแมลงยักษ์สิบตัวลงไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
หัวอสรพิษสะบัดออกและเลือนรางอีกครั้ง แมลงสีทองสิบตัวทยอยกันหายวับไปในปากของอสรพิษ
แต่ทันใดนั้นปากของอสรพิษทองเงินสิบตัวพลันเปล่งเสียงซือๆ ออกมา แล้วทยอยกันล้มตึงไปกับพื้น ชั่วพริบตาพลันกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำ
แมลงยักษ์สีทองบินออกมาจากหมอกสีดำตัวแล้วตัวเล่า หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็สิงไปบนร่างของมันอีกครั้งแล้วกัดกินต่อ
แมลงวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
จากนั้นหมอกสีดำพลันกลายเป็นอสูรประเภทที่ต่อกรกับอสูรแมลงได้ แต่ไม่ว่าจะกลายเป็นชนิดไหนก็ไม่อาจทำลายแมลงกลืนทองได้เลยสักนิด กลับล่าช้าไปเพียงชั่วครู่ หมอกสีดำเหล่านี้ถูกฉีกทึ้งไปกว่าครึ่ง ความเร็วในการแปลงกายของอสูรจึงเชื่องช้าลงเรื่อยๆ
จากตอนที่หานลี่ปล่อยฝูงแมลงออกมา ไปจนถึงตอนที่หมอกสีดำถูกกำจัดไป เกิดขึ้นแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น นักพรตชราที่อยู่ไกลออกไปตาค้าง จ้องเขม็งไปยังแมลงยักษ์สีทองเหล่านั้น ใบหน้าค่อยๆ เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“แมลงกลืนทอง แมลงกลืนทองโตเต็มวัย!” นักพรตชราเอ่ยพึมพำ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่เหนือศีรษะอย่างไม่ลังเล
ลำแสงสีแดงสว่างวาบ เงาสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากเหนือศีรษะ หมุนวนรอบหนึ่ง กลายเป็นสายรุ้งที่เจิดจ้าจนแสบตา
หนีไปด้านล่างร้อยจั้งเศษ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หายไปที่ปลายฟ้า
ส่วนร่างของนักพรตชราที่อยู่ที่เดิม พลันกลายเป็นซากแห้งๆ ซากหนึ่ง ลมพายุบริสุทธิ์พัดมา ซากปลิวไปตามลมแล้วกลายเป็นเถ้าถ่านกองหนึ่ง
“เอ๋” หานลี่ที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เปล่งเสียงร้องอุทานออกมาเบาๆ จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่สายรุ้งหายไป ใบหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
“คาดไม่ถึงว่าแม้แต่อสูรประหลาดตัวนี้ยังไม่สน หรือว่าแมลงกลืนทองโตเต็มวัยมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่จริงๆ?”
เมื่อเอ่ยความฉงนจบ หานลี่ก็หันหน้าไป มองหมอกสีดำที่ถูกกลืนกินไปเกือบหมดแล้ว
หานลี่ลูบใต้คาง ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้นกวักออกไป ชั่วขณะนั้นแมลงกลืนทองที่อยู่ไกลออกไปพลันบินขึ้น หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งถึงได้ทยอยกันหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าเมล็ดข้าว จากนั้นก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่ก็หันกายคิดจะบินจากไป แต่ครานั้นเขาพลันพลิ้วกายสองสามครั้งด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี หลังจากเซถลาไปก็เกือบจะตกลงสู่พื้น
“จะเป็นไปได้ได้อย่างไร ข้าจะสูญเสียจิตสัมผัสไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร จิตวิญญาณดั้งเดิมเกือบจะบาดเจ็บ” หานลี่โคจรลมปราณตรวจสอบภายในร่างอย่างรวดเร็ว สีหน้าตกตะลึงและซีดขาวกว่าเดิม
จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าระดับหลอมสุญตาในครานี้สูญเสียไปเจ็ดแปดส่วน จนเกือบจะหมด และขั้นตอนที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“หรือว่าคือ…”
หานลี่คือผู้ใด นึกถึงการควบคุมแมลงกลืนทองโตเต็มวัยได้ในทันที สีหน้านึกออกและดูไม่ได้อยู่หลายส่วน
เขาสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ลำแสงสีทองจุดหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็กลายเป็นแมลงเกราะยักษ์ สองปีกกระพือออกบินวนคลอเคลียอยู่กับเขา
หานลี่แผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบ ชั่วครู่ร่างทั้งร่างก็แข็งค้างอยู่ที่เดิม
ในเวลาเดียวกันที่ปล่อยแมลงเกราะยักษ์ออกมา จิตสัมผัสของเขาก็สูญเสียไปอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าจะดูแล้วไม่ได้น่ากลัว แต่นี่เป็นเพียงแมลงกลืนทองตัวเดียวเท่านั้น หากควบคุมแมลงกลืนทองนับร้อยนับพันตัวพร้อมกัน จะสูญเสียจิตสัมผัสไปมากขนาดไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
จากจิตสัมผัสระดับหลอมสุญตาของเขาในตอนนั้น ไม่มีทางควบคุมได้นานแน่ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ นอกเสียจากว่าตัวเองจะสำรวจจิตสัมผัสของตัวเอง มิเช่นนั้นการสูญเสียไอวิญญาณอย่างเงียบเชียบนี้ เขาก็ไม่อาจสัมผัสได้เลยสักนิด
1372 รวมตัว
หานลี่รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
เพราะว่าความรู้สึกชื่นชมหลังจากเห็นอานุภาพของแมลงกลืนทองโตเต็มวัยแล้วพลันลดลงไปกว่าครึ่ง
แม้ว่าเขาจะมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยแปดพันตัว แต่หากปล่อยออกมามากเกินไป เกรงว่ายังไม่ทันเห็นฝูงแมลงต่อกรกับศัตรู ตัวเองก็คงถูกดูดจิตสัมผัสไปจนเกลี้ยงก่อน
ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ตอนที่แมลงกลืนทองเหล่านี้ยังไม่โตเต็มวัย กลับไม่เคยมีท่าทีว่าจะต้องสูญเสียจิตสัมผัสไม่หยุด
นี่จึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขาไม่มีทางไม่สนใจสถานการณ์เช่นนี้แน่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาสาเหตุของจิตสัมผัสที่รั่วไหลออกไปก่อน
มิเช่นนั้นจะกล้าควบคุมแมลงวิญญาณออกมาต่อกรกับศัตรูได้อย่างไร!
หลังจากที่หานลี่ขบคิดเล็กน้อย ก็ชูมือขึ้นกวักเรียกแมลงกลืนทองที่อยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นแมลงตัวนั้นพลันหมุนวน แล้วร่อนลงตรงใจกลางฝ่ามือทันที
แผ่จิตสัมผัสส่วนเล็กๆ ออกไปล้อมรอบแมลงตัวนั้น แต่ทุกอย่างดูปกติ ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร
พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เขาหรี่ตาทั้งสองตาลงเล็กน้อยพลางขบคิด ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มือหนึ่งโบกสะบัด ชั่วขณะนั้นแมลงตัวนี้พลันบินขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง จิตสัมผัสพันรัดเอาไว้บนนั้นอีกครั้ง
ชั่วครู่ก็หน้าเปลี่ยนสี
จิตสัมผัสที่รัดอยู่บนร่างของแมลงตัวนี้ มันเริ่มอ่อนแรงลง ถูกแมลงยักษ์ดูดเข้าไปในร่างไม่หยุด
จนถึงตอนนี้หานลี่ก็เข้าใจในที่สุด
สาเหตุที่ต้องสูญเสียจิตสัมผัสไปจำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าการที่แมลงกลืนทองโตเต็มวัยบินไปมา ร่างกายจะสูญจิตสัมผัสของแมลงวิญญาณไปโดยอัตโนมัติ มิน่าล่ะหลังจากกระตุ้นแมลงวิญญาณ จิตสัมผัสจึงถูกดูดไปจำนวนมากอย่างไม่รู้ตัว หลังจากรู้สาเหตุที่น่ากลัวแล้ว หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่นขบคิดอยู่นาน รู้สึกว่าเรื่องนี้แก้ไขได้ยาก
ถึงแม้ว่าจะเสียจิตสัมผัสไปแค่ชั่วคราว ปกติแล้วนั่งสมาธิหนึ่งวัน หรือนานกว่านั้นหน่อย ก็ฟื้นฟูกลับมาได้หมด
แต่หากอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้ นั่นเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะสำแดงวรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาลับ หรือว่าควบคุมสมบัติอาคม ล้วนต้องใช้จิตสัมผัสจำนวนมากคอยประคับประคอง
ดูแล้วก่อนที่จะแก้ไขฝูงแมลงกลืนทองเหล่านี้ได้ คงทำได้เพียงเก็บไว้เป็นเครื่องมือสังหารชนิดหนึ่งแล้ว
อาศัยแค่แมลงตัวนี้ปรากฏตัว ก็ทำให้เงาชาดตนนั้นหนีไปด้วยความกลัว แมลงกลืนทองช่างโหดร้ายจริงๆ และมีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนวิญญาณ
การจัดอันดับแมลงมหัศจรรย์ของผู้บำเพ็ญเพียรสายมารแดนมนุษย์ในตอนนั้น ในสายตาของหานลี่ในครานี้กลับไม่มีค่าให้พูดถึง จากความรู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำผู้นั้น แน่นอนว่าจะเกิดความผิดพลาดไม่น้อย การจัดอันดับนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับแดนวิญญาณ
แต่อานุภาพของแมลงกลืนทองโตเต็มวัย ก็เหนือกว่าที่หานลี่คิดเอาไว้
เมื่อครุ่นคิดจบ หานลี่ก็ไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่นานอีก หลังจากที่แยกแยะทิศทางแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้า
หากคนอื่นๆ ไม่เพลี่ยงพล้ำล่ะก็ กว่าครึ่งคงจะไปรวมตัวกันที่ไหนสักแห่งอีกครั้ง ถึงแม้ว่าสัญลักษณ์ไอวิญญาณในตัวของพวกเขาจะสลายหายไปนานแล้ว แต่การเชื่อมโยงอีกแบบที่เชื่อมต่อกัน ขอแค่อยู่ห่างกันไม่มาก ก็สามารถเชื่อมโยงกันได้
สิบกว่าวันต่อมา สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกลางอากาศในทะเลทรายเพียงลำพัง
ถึงแม้ว่าเดิมทีสีของลำแสงหลีกหนีจะเป็นสีเขียว แต่ไม่รู้ว่าสำแดงเคล็ดวิชาลับอะไร ทำให้ลำแสงหลีกหนีของเขาหม่นแสงลง หากไม่พิเคราะห์อย่างละเอียดก็ไม่พบเห็นมันง่ายๆ
ในลำแสงหลีกหนีนั้นแน่นอนว่าเป็นหานลี่
ในสิบวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่เห็นว่าคนของเผ่าเงาจะตามมา
ดูเหมือนว่าเงาชาดผู้นั้นจะถูกแมลงกลืนทองเขย่าขวัญไปแล้ว
ภายใต้ความรู้สึกปลอดภัยของหานี่ จึงเร่งรุดเดินทางมาหน้าตั้ง
จิตสัมผัสที่สูญเสียไปแต่เดิมฟื้นฟูกลับมาโดยอัตโนมัติระหว่างที่บินมาสองสามวันนี้
ครานี้เขากำลังควงขวดหยกเกลี้ยงเกลาเล่นในมือ นั่นก็คือขวดยากำจัดสิ่งโสมที่สลักตัวอักษรโบราณเอาไว้ ด้านในมียาลูกกลอนกำจัดสิ่งโสมที่ได้มาจากเมืองเทวะสวรรค์บรรจุอยู่
นี่เป็นหนึ่งในรางวัลที่รับหน้าที่เสี่ยงอันตรายในครั้งนี้
นั่นหมายความว่าขอแค่ช่วยคนอื่นทำภารกิจให้สำเร็จ เขาก็จะเป็นอิสระได้อย่างเปิดเผยแล้ว
ไม่ใช่แค่เขา ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาที่รับหน้าที่เสี่ยงอันตรายทั้งหมดจะได้รับยาลูกกลอนกำจัดสิ่งโสมที่เพียงพอ
แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาแอบหนีไประหว่างทาง หรือว่าไม่ตั้งใจทำภารกิจ ขวดยาทั้งหมดจะถูกลงอาคมที่ซับซ้อนเอาไว้ นอกเสียจากว่าจะทำภารกิจสำเร็จ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเปิดขวดยาได้
หากพยายามทำลายมั้ง ขวดใบนี้จะระเบิดออก ทำลายยาลูกกลอนด้านในไปจนหมด
ขอแค่ทำภารกิจสำเร็จ และหลังจากที่พิสูจน์ด้วยวิธีต่างๆ แล้ว ทางนั้นก็จะทลายอาคมออกผ่านยันต์หมื่นลี้
หานลี่ลูบขวดหยกไปมา ชักสีหน้า ในมือมีลำแสงสว่างวาบ ขวดยาหายวับไป
เห็นเพียงเบื้องหน้ามีอะไรไม่รู้ปรากฏขึ้น วิหคประหลาดปากยาวร่างกายใหญ่ยักษ์ราวกับนกกระเรียนมงกุฎแดงฝูงหนึ่ง ปีกขนนกสีเหลืองอ่อน บนหัวมีเนื้องอกสีม่วง
เห็นได้ชัดว่าวิหคยักษ์เหล่านี้พบตำแหน่งของหานลี่แล้ว ปากของมันเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาสองสามครั้ง แล้วเปลี่ยนทิศทางกระโจนออกมา
เห็นฝูงวิหคนี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หานลี่กลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายหายวับไปจากกลางอากาศ ครู่ต่อมา เขากลับปรากฏตัวตรงกลางวิหคประหลาดสีเหลืองยี่สิบสามสิบตัว
ไม่เห็นหานลี่เคลื่อนไหวใดๆ ลำแสงปรากฏขึ้นบนชุด
ลำแสงนี้กะพริบวาบสองสามครั้ง ประจุไฟฟ้าสีทองและเงินสองสีดีดออกมาจากชุด ห่อหุ้มทุกอย่างในระยะร้อยจั้งเอาไว้
เสียงอึกทึกดังขึ้น หลังจากที่ลำแสงอสนีสองสีสีทองและเงินตัดสลับกัน วิหคประหลาดสีเหลืองที่อยู่รอบๆ ก็สลายหายไป
รอบด้านเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งแหวกอากาศออกไป
……
เสาหินสูงใหญ่ที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งซากกำแพงหินสูงสองสามจั้งที่ไม่ไหวติงท่ามกลางพายุที่บ้าคลั่ง ล้วนหมายความว่าที่แห่งนี้คือซากสิ่งปลูกสร้างนิรนามแห่งหนึ่ง แค่ดูจากการผุกร่อนของมันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอยู่มากี่หมื่นปีแล้ว
กำแพงหินที่อยู่ตรงใจกลางของสิ่งปลูกสร้าง สตรีชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ รอบๆ มีชายหนุ่มชุดสีม่วงเดินไปเดินมาอยู่คนหนึ่ง ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็ไม่ปริปากใดๆ
ทั้งสองนั่นก็คือเสี่ยวหงและหล่งตง
ชายหนุ่มสีหน้าราบเรียบ ดูแล้วโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมากที่สูญเสียไปเพราะควบคุมกระบี่โลหิตในวันนั้นจะฟื้นฟูกลับมาภายในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว โดยไม่รู้ว่าเขากินยาลูกกลอนอะไรเข้าไป หรือใช้เคล็ดวิชาลับอะไรกันแน่
มิเช่นนั้นดูจากสถานการณ์ในวันนั้น หากเขาต้องการฟื้นฟูปราณแท้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามปี
ชั่วครู่สตรีและหล่งตงก็สัมผัสอะไรได้พร้อมกัน หันหน้าไปมองทางขอบฟ้า
เห็นเพียงเงาสีทองจางๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ แล้วพุ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ
หลังจากเปล่งแสงสองสามครั้ง ลำแสงสีทองก็หม่นแสงลง หญิงสาวชุดขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“พี่หญิงเสี่ยว สหายหล่ง รอนานแล้วสินะ ดูแล้วทั้งสองท่านคงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก” หญิงสาวหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย ดูแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวสตรีก็ฝืนฉีกยิ้มออกมา ส่วนแววตาของหล่งตงกลับฉายแววดีใจ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าแม่หญิงเยี่ยมีปฏิภาณไหวพริบว่องไว ไม่มีทางเป็นอะไรแน่ สหายอีกสองคนยังไม่มา ตอนนั้นพี่หลี่ถูกเผ่าเงาจับเอาไว้ เกรงว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี ส่วนพี่หานในตอนนี้ยังไม่ได้ติดต่อกับพวกเรา เกรงว่าคงถูกคนของเผ่าเงาไล่ตามทัน และเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นกระมัง” ชายหนุ่มถอนหายใจขณะเอ่ย
สตรีเม้มริมฝีปาก แววตาเปล่งประกาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“พี่หลี่อาจจะถูกจับจริง แต่สหายหานน่าจะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ ลองรออีกสักสองสามวันเถิด” หญิงสาวร่อนลงมาจากกลางอากาศ ยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“รออีกสองสามวัน? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เส้นทางทะเลทรายสวรรค์อ่อนแอในรอบปี หากพลาดไป ก็ต้องรออีกหลายปี มากสุดก็รอได้แค่สองวัน” สตรีเอ่ยอย่างราบเรียบ
“วันเดียว อืม ก็พอแล้ว” หญิงสาวชุดขาวไม่ได้ขัดแย้งอะไร เอ่ยปากตอบตกลง ทันใดนั้นก็สาวเท้าไปสองสามก้าว คนก็เดินไปยังมุมหนึ่งที่ค่อนข้างสะอาด แล้วนั่งสมาธิลงเช่นกัน
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ครึ่งวันต่อมา เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นพร้อมกันในตัวของทั้งสามคน
ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนก็เผยสีหน้าต่างๆ ออกมา มองไปแวบหนึ่ง หล่งตงเอ่ยปากว่า
“ข้าจะกระตุ้นตำแหน่งของจานก็แล้วกัน คาดไม่ถึงว่าสหายหานจะไม่เป็นอะไร ช่างโชคดีจริงๆ!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มไฝแดงก็สะบัดแขนเสื้อ จานอาคมสีเขียวปรากฏขึ้นในมือ มือหนึ่งร่ายอาคม ปล่อยอาคมสีเขียวสายหนึ่งออกไป ชั่วครู่ก็จมหายไปในจานอาคมอย่างไร้ร่องรอย
จานอาคมเปล่งแสงสว่างจ้า ชายหนุ่มไฝแดงนำสองมือมาประกบกันอีกครั้ง ของสิ่งนั้นหายวับไป
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ชายหนุ่มก็เอามือไพล่หลังยืนอยู่ที่เดิม
ผลคือสองสามชั่วยามต่อมา อีกด้านหนึ่งก็มีสายรุ้งสีเขียวปรากฏขึ้น หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง สายรุ้งสีเขียวก็มาอยู่เบื้องหน้าของทั้งสามคน หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ลำแสงสีเขียวก็หม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้น
“พี่หาน เจ้าไม่เป็นไรก็ดี การติดกับเผ่าเงาในครั้งนี้ มีคนปลอดภัยกว่าครึ่ง นับว่าพวกเราโชคดีไม่น้อย” หล่งตงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เหล่าสหายล้วนปลอดภัย ช่างโชคดีจริงๆ!” แววตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของทุกคน แล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ในเมื่อพี่หานมาถึงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็พักผ่อนอีกสักครึ่งวัน จากนั้นค่อยออกเดินทางเถิด เพื่อไม่ให้ถูกคนของเผ่าเงามาพัวพันอีก” เสี่ยวหงเสนออย่างสุขุม
“เซียนเสี่ยวพูดมีเหตุผล ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนักจริงๆ” หล่งตงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
หานลี่และหญิงสาวชุดขาวเองก็ไม่ได้มีข้อขัดแย้งอะไร
ครึ่งวันต่อมา พวกเขาก็ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปจากที่นี่ บินตรงไปยังทิศใดทิศหนึ่ง
ครั้งนี้บินไปได้แค่หมื่นลี้เศษ เบื้องหน้าก็ค่อยๆ มีวายุบ้าคลั่งปรากฏขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็บินเข้าไปในโลกของทะเลทราย รอบด้านล้วนเป็นสีเหลือง และยิ่งไปกว่านั้นพายุต่างๆ ยังหมุนวนนำทรายสีเหลืองมาพลันรอบตัวพวกเขาไม่หยุด
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาปล่อยลำแสงวิญญาณออกมาปกป้องร่าง เกรงว่าวายุสีเหลืองคงพัดพวกเขาให้ร่วงลงไปจากกลางอากาศแน่
หลังจากมุ่งหน้าไปได้พันกว่าลี้ ฉับพลันนั้นลำแสงหลีกหนีที่อยู่หน้าสุดของหล่งตงก็หยุดชะงัก ทันใดนั้นผู้ที่อยู่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของเขาดังขึ้น
“ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือเส้นทางสวรรค์ หึๆ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเบื้องบนเตรียมไข่มุกกำจัดวายุให้พวกเราคนล่ะสองเม็ด เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็คงไม่กล้าบุกเข้ามาที่นี่ง่ายๆ มีไข่มุกเม็ดนี้ ก็เพียงพอให้พวกเราไปและกลับอย่างปลอดภัยแล้ว แต่ทุกคนต้องระวังอสรพิษวายุที่อาศัยอยู่ในนี้ ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลนัก เส้นทางสวรรค์กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเราคงไม่บังเอิญไปพบเข้า”
“เหล่าสหายหากไปถึงด้านในแล้วต้องระวังอีกอย่าง อาจจะมีอันตรายอย่างอื่นเกิดขึ้น ถึงอย่างไรเสียดูเหมือนว่าเผ่าเงาเหล่านั้นจะดักซุ่มรอพวกเราอยู่นานแล้ว ด้านในไม่แน่ว่าอาจจะมีกับดักอะไรเช่นเดียวกัน หากพบเรื่องอะไรเข้า ทุกคนก็ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” สตรีเองก็เคร่งขรึมขึ้น อธิบายอย่างเด็ดขาด
1373 พฤกษาตาข่ายนิทรา
หานลี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอบ แต่ลำแสงสีฟ้าพลันสว่างวาบขึ้นที่ดวงตา ชั่วขณะนั้นสายตาพลันมองทะลุผ่านวายุทรายหนาๆ ในบริเวณรอบไปจนมองเห็นจุดที่ไกลออกไป
ห่างออกไปร้อยลี้เศษ มีนิมิตสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้น
เห็นเพียงตรงขอบฟ้าที่สูงใหญ่ ด้านบนเป็นสีดำด้านล่างเป็นสีเหลือง ตรงกลางมีเส้นสีขาวอยู่สายหนึ่ง ยืดยาวออกไปทั้งสองฝั่ง ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ห่างออกไปค่อนข้างไกล ดังนั้นจึงมองเห็นแค่คร่าวๆ เท่านั้น
หานลี่ขมวดคิ้ว ลำแสงวิญญาณหายวับไปในแววตา
ครานี้พวกเขาพลันขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีอีกครั้ง ตรงไปยังนิมิตสวรรค์
ชั่วครู่พวกของหล่งตงและสตรีก็มองเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นกัน
ที่แท้บนท้องฟ้ามีหมอกสีดำหมุนวนอยู่ ด้านล่างมีพายุเฮอร์ริเคนสีเหลืองหมุนวน จุดที่ทั้งสองสัมผัส กลับมีทางเดินขนาดยักษ์เปล่งแสงสีขาวสูงร้อยจั้งปรากฏขึ้น แยกทั้งสองออกจากกัน ไม่ว่าหมอกสีดำหรือว่าพายุเฮอร์ริเคนต่างก็ไหลเข้าไปในทางเดินนั่น เหมือนกับบ่อลึกที่ไร้ก้นบ่อ
“นี่คือเส้นทางสวรรค์ ช่างน่าสนใจจริงๆ!” หญิงสาวชุดขาวมองทางเดินนี้ มุมปากเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“ไปกันเถิด ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ระเบิดทรายอ่อนแอที่สุด หากรออีกสองสามวัน แค่เข้าไปตรงทางเข้า ก็ต้องทุ่มเทหลายขั้นตอนแล้ว” หลังจากที่หล่งตงพิจารณาเสร็จ ปากก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา
ทันใดนั้นเขาพลันพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ไข่มุกกลมๆ สีเขียวขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้น
นิ้วเคลื่อนไหว ไข่มุกเม็ดนิ้วหมุนวน แล้วหดเล็กลงสองสามเท่า
หล่งตงอ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะดูดไข่มุกเม็ดนี้เข้าไปในปาก
หานลี่และพวกเห็นเช่นนั้น ก็ทยอยกันหยิบไข่มุกเหมือนกันออกมา แล้วกลืนลงท้องไปเช่นกัน
เรือนร่างของทุกคนมีลำแสงโปร่งใสปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง พายุกระหน่ำที่เดิมทีกรีดร้องอยู่ข้างกายสัมผัสกับลำแสงโปร่งใสนี้ ก็หายวับไปราวกับโคลนที่จมลงไปในมหาสมุทร
ไข่มุกเหล่านี้คือไข่มุกกันลมที่ชนชั้นสูงของเมืองเทวะสวรรค์เตรียมให้พวกเขาโดยเฉพาะก่อนออกเดินทาง
แทบจะไม่ต้องขบคิด ลำแสงหลีกหนีของพวกเขาก็อยู่ห่างจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าไปไม่ถึงพันจั้ง ไม่ต้องให้พวกเขากระตุ้นลำแสงหลีกหนี พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆ ลำแสงเรียบๆ สองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบถูกดูดเข้าไปในทางเดินยักษ์
เมื่อหานลี่เข้าไปด้านใน ก็รู้สึกว่าแรงดูดผ่อนกำลังลง คนฟื้นฟูกลับมาเป็นอิสระ แต่สิ่งที่ดาหน้าเข้ามากลับเป็นมีดวายุสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันหูทั้งสองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังระงม พายุในทางเดินนี้สูงกว่าภายนอกเป็นสิบเท่า
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าตนเองมีไข่มุกกันลมอยู่กับตัว เกรงว่าเขาคงจะปล่อยสมบัติอาคมออกมาปกป้องร่างในทันที
แต่เช่นนี้ลมปราณที่ต้องสูญเสียไป ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
และในตอนนั้นเอง เมื่อมีดวายุสัมผัสกับลำแสงโปร่งใสก็หายวับไป
หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ แต่กลับพบว่าไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกไปนอกร่างกายได้ เนตรวิญญาณวารีกระจ่างก็แผ่ออกไปได้แค่ในระยะร้อยจั้งเศษ ส่วนคนอื่นๆ กลับไม่อยู่ในบริเวณนี้ ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายใต้การขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ลังเลอะไร ลำแสงวิญญาณรอบกายระเบิดออก คนกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป เข้าไปในพายุเฮอร์ริเคนแล้วหายวับไป
สองสามวันต่อมา ทางเข้าทางเดินสวรรค์ก็มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ และมีลำแสงหลีกหนีสองสามพุ่งออกมา
เมื่อลำแสงหม่นแสงลง ก็เผยร่างของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมสองคนออกมา
ทั้งสองแต่งกายธรรมดาๆ บนหัวสวมผ้าโพกหัวสีม่วง แววตากวาดมองไปรอบๆ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าของทั้งสองละม้ายคล้ายคลึงกับหล่งตงอยู่สี่ห้าส่วน แต่คนหนึ่งกลับมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ อีกคนหนึ่งกลับเสื้อผ้าขาดวิ่นไปกว่าครึ่ง ดูเหมือนว่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา
ทั้งสองคนพิจารณาทางเดินยักษ์เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง มุมปากถ่ายทอดเสียงออกไป ลำแสงหลีกหนีผสมรวมกันแล้วพุ่งเข้าไปข้างใน
ไม่นานนัก เงาชาดสายหนึ่งก็บินออกมาจากระเบิดทราย แต่หลังจากที่อยู่ใกล้กับเส้นทางสวรรค์ก็หยุดชะงัก แล้วถึงได้ร้องคำรามด้วยความไม่พอใจ แล้วหมุนวนสองสามครั้งพลางบินกลับไป
ดังนั้นที่นี่นอกจากเสียงวายุกรีดร้องแล้ว ก็ไม่มีเงาร่างมนุษย์อยู่อีก
……
สองสามเดือนต่อมา บนยอดเขาสีเขียวมรกต หานลี่กำลังยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์อยู่ตามลำพัง สายตาเปล่งประกายขณะทอดมองไกลออกไป
ห่างจากภูเขาน้อยๆ ไปประมาณยี่สิบสามสิบลี้ มีป่าขนาดใหญ่ผืนหนึ่งตั้งอยู่
ป่าผืนนี้ช่างลึกลับเสียจริง ไม่ว่าต้นไม้ชนิดใด หรือใบไม้ต่างก็เป็นสีเขียวมรกตที่แต้มไปด้วยลายสีดำ มองไกลๆ ดูเหมือนป่าสีดำเขียวอย่างไรอย่างนั้น
ที่นี่คือเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ของหานลี่และพวก เขตแดนของกำลังเผ่าพฤกษา ‘ป่าใบดำ’
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียด หานลี่ถึงได้ชักสายตากลับมา ขมวดคิ้วพลางขบคิด
จะว่าไปแล้วเขาที่ข้ามผ่านเส้นทางสวรรค์มา ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่กลับราบรื่นมาก คาดไม่ถึงว่าจะข้ามผ่านเส้นทางนี้มาได้โดยไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขากลัดกลุ้มก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่เหลืออีกสามคนไปผิดทาง หรือว่าพบอันตรายอะไรเข้า เขารออยู่แถวๆ ทางเข้าอยู่สองสามวัน ก็ยังไม่อาจติดต่อกับผู้ใดได้
ขณะที่กำลังขบคิดอย่างละเอียด เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่รอแล้ว และจะเข้าไปที่นั่นตามลำพัง
ระหว่างทางเขาพบกับปัญหาเล็กๆ แม้กระทั่งต้องสังหารเผ่าพฤกษาระดับต่ำที่บังเอิญพบเข้าไปสองสามกลุ่ม ในที่สุดก็มาถึงที่นี่
ตอนที่ออกเดินทาง ชายหนุ่มไฝแดงและสตรีได้อธิบายรายละเอียดของภารกิจนี้ให้คนอื่นๆ ฟังอย่างซื่อตรงแล้ว
ดังนั้นหานลี่จึงรู้รายละเอียดของภารกิจนี้เป็นอย่างดี
จากที่พวกเขารู้ ทั้งสองเผ่าได้ส่งคนเข้ามาสอดแนมในเผ่าพฤกษา ดูเหมือนว่าตำแหน่งจะไม่น้อยด้วย เป้าหมายในภารกิจครั้งนี้ก็คือแอบเข้าไปในส่วนลึกของป่าใบดำ นำข่าวที่สายสืบรายงานมากลับมา จากนั้นก็ลองตรวจสอบสถานการณ์ของเผ่าพฤกษาดูสักหน่อย ดูว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือไม่
ภารกิจนี้ดูเหมือนจะง่ายมาก แต่อันตรายส่วนแรกคือจะข้ามแดนป่าเถื่อนที่ขวางทั้งสองเผ่าเอาไว้อย่างไร ส่วนหลังคือจะแอบเข้าไปในป่าใบดำอย่างเงียบเชียบได้อย่างไรโดยไม่ถูกคนของเผ่าพฤกษาพบเข้า
ในบรรดาเผ่าต่างๆ ที่อยู่รอบๆ นั้น เผ่ามนุษย์คบค้ากับเผ่าพฤกษาน้อยที่สุด จึงรู้สถานการณ์ของป่าใบดำเพียงคร่าวๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่เสี่ยงอันตรายส่งพวกเขาออกมานำข่าวของเผ่าพฤกษากลับไปในขณะที่สงครามกำลังจะปะทุเช่นนี้
หานลี่รออยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือน ก็ยังคงไม่เห็นคนอื่นมาที่นี่ และเวลาจำกัดในภารกิจครั้งนี้ ก็ใกล้เข้ามาทุกที
คำนวณเวลาที่ต้องแอบเข้าไป และอาจจะพบกับปัญหาแล้ว เขาก็ไม่อาจรอต่อไปได้จริงๆ
หานลี่ขบคิดอยู่นาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เห็นเพียงดวงอาทิตย์ส่องแสงรำไร ไม่นานนัก ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดดำ
จากข้อมูลที่ตนรู้มา คนของเผ่าพฤกษามีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่แย่มาก โดยปกติแล้วมักจะอาศัยจิตสัมผัสในการต่อกรกับศัตรู ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่มอบภารกิจนี้ให้พวกเขาจึงแนะนำว่า ให้แอบเข้าไปในป่าใบดำตอนกลางคืน และซ่อนตัวในกลางวัน จะปลอดภัยกว่าหน่อย
เมื่อมองไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป ในที่สุดหานลี่ก็ตัดสินใจ ไม่สนใจว่าคนอื่นว่าจะมาทันหรือไม่ จะต้องเอายากำจัดสิ่งโสมมาให้ได้ ต่อให้เหลือเขาคนเดียว ก็ต้องทำใจดีสู้เสือทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
เมื่อตัดสินใจแล้ว หานลี่ก็นั่งสมาธิลงบนก้อนหินยักษ์ หลับตาทั้งสองข้างลง
สองสามชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าก็มืดสนิท ป่าสีดำที่อยู่ไกลออกไปดูเหมือนอสูรยักษ์ที่หมอบคลานคอยหาโอกาสอยู่ยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น ช่างเงียบเชียบเสียนี่กระไร
หานลี่เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ลำแสงที่เกลี้ยงเกลาพุ่งออกไป แต่ทันใดนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สายตาหม่นแสงลง
สองมือของเขาพลันร่ายอาคม ร่างกายรางเลือนไปจากก้อนหินยักษ์ราวกับเงาลวงตา
ความจริงแล้วหานลี่สำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกายแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้ความมืดที่ปกปิด พลันลอยไปทางป่าผืนนั้นอย่างช้าๆ
ระยะทางยี่สิบสามสิบจั้ง ถึงแม้ว่าหานลี่จะพยายามบินอย่างช้าๆ ก็ยังคงใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยาม คนก็มาปรากฏตัวที่เขตแดนของป่า
จากพื้นที่ที่ไร้ขอบเขตของป่าผืนนี้ แน่นอนว่าจึงไม่อาจมีคนของเผ่าพฤกษาอยู่ทุกหนแห่งได้ แต่หานลี่ก็ไม่กล้าบินเข้าไปในอย่างเปิดเผย
เพราะว่าปกติแล้วคนของเผ่าพฤกษาจะปลูกต้นไม้ตาข่ายนิทราภายในอาณาเขตของตนเอง
ว่ากันว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นผู้พิทักษ์ของเผ่าพฤกษา มีความสามารถที่น่าเหลือเชื่ออย่างการ ควบคุมอาณาเขตและต้นไม้อื่นๆ ได้
แน่นอนว่าต้นตาข่ายนิทราทุกต้นจะมีอาณาเขตและจำนวนในการควบคุมที่แตกต่างกัน
ต้นตาข่ายนิทราของเผ่าใบดำ เมืองเทวะสวรรค์ได้ตรวจสอบพลังของมันอย่างละเอียดแล้ว
เป็นเพราะตอนนี้ถูกปลูกอยู่ที่เขตแดนของเผ่าพฤกษา ดังนั้นอาณาเขตที่ควบคุมจึงกว้างไกล แทบจะครอบคลุมผืนป่าทั่วทุกระเบียบนิ้ว สิ่งที่สอดคล้องกันก็คือ จำนวนของต้นไม้ที่ควบคุมได้จึงมีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสได้เพียงสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขึ้นไป
แน่นอนว่าหากมีเผ่าประหลาดบินเข้ามาอย่างเปิดเผย ต่อให้ต้นตาข่ายนิทราจะไม่อาจสัมผัสได้ ก็ไม่มีทางหนีจิตสัมผัสของคนเผ่าพฤกษาได้
ดังนั้นหานลี่จึงไม่เพียงเก็บกลิ่นอายอย่างมิดชิด หลังจากที่เขาร่อนสองเท้าลงบนพื้นแล้ว ก็กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่ง พุ่งตรงเข้าไปในผืนป่า พลิ้วไหวไปตามต้นไม้ใหญ่ๆ ต่างๆ แล้วหายวับไป
จากความแข็งแกร่งของร่างกายของหานลี่ ประกอบกับเก้าวายุแปรปรวนและย่างก้าวควันตาข่าย การเคลื่อนไหวที่ลึกลับภายในป่านี้จึงดูเหมือนว่าหายไปจากกลางอากาศ
เห็นเพียงเงาสีเขียวรางๆ สายหนึ่ง เดี๋ยวหายวับไปเดี๋ยวปรากฏตัวขึ้น ชั่วพริบตาก็หายเข้าไปในป่าลึกร้อยกว่าลี้
หานลี่ได้ยินเสียงวายุกรีดร้องข้างหูไปพลาง ขบคิดอย่างเงียบๆ ไปพลาง
ตามในภารกิจแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น ก็น่าจะไปถึงเป้าหมายได้ในอีกสามวัน ขอแค่ได้ข้อมูลมา ภารกิจครั้งนี้ก็นับว่าสำเร็จไปแปดเก้าส่วนแล้ว ส่วนการสืบเสาะสถานการณ์ของเผ่าพฤกษานั้นเป็นเพียงเรื่องรอง หากพบอะไรเข้าก็ดี แต่หากไม่ได้อะไรจริงๆ เดาว่าก็คงไม่เป็นไร
เงาสีเขียวหยุดชะงัก หลังจากพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ ก็หายไปจากด้านหลังต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน เบื้องหน้ามีเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าสิ่งมหึมาอะไรสักอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ครานี้หลังจากที่หานลี่อำพรางกายอยู่บนต้นไม้ยักษ์ที่มีใบหนาแน่นแล้ว ก็จ้องมองสถานการณ์ด้านล่างเขม็ง
ชั่วครู่อสูรยักษ์สีเขียวสูงสิบจั้งที่ดูเหมือนวานรยักษ์สองตัว ถือสามง่ามสัมฤทธิ์ยักษ์เอาไว้บนบ่าคนละอัน ก็เดินแฉลบผ่านต้นไม้ไปอย่างทระนงองอาจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น