ลำนำบุปผาพิษ 1357-1360

 บทที่ 1357 เจ้าคนผู้นี้ พูดไปพูดมาก็หนีไม่พ้นเรื่องกินเนื้อ! (3)


“ต้นไม้ต้นหนึ่งมีความสามารถถึงเพียงนี้เลย?!” กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนมุมมองทั้งสามใหม่เสียแล้ว


ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ต้นไม้นี้เป็นแค่ข้ออ้างข้อหนึ่งเท่านั้น มันคือตาค่ายที่ถือกำเนิดจากฟ้าดิน จะอยู่ยั้งยืนยงได้ก็ต้องอาศัยพลังชีวิตของมนุษย์ คนที่นี่อาศัยต้นไม้นี้เพื่อการอยู่รอด และต้นไม้นี้ก็มีปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้คนที่นี่อยู่รอดได้ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน…”


กู้ซีจิ่วพลันแน่นิ่ง “ต้นไม้ประหลาด! หากต้นไม้นี้อาศัยพลังชีวิตมนุษย์เพื่อการอยู่รอด เช่นนั้นหากพวกเราทุกคนหนีออกไปได้ ค่ายนี้ไม่แตกสลายหรอกหรือ?!”


ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเรียบเฉย “ภายใต้สถานการณ์ปกติ คนที่เข้ามาที่นี่ล้วนจบชีวิตลงที่นี่ ไม่อาจออกไปได้อีก”


กู้ซีจิ่วมองเขา “ที่แท้ท่านโยนคนที่ไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์เข้ามาเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตต้นไม้ยักษ์นี้…”


ตี้ฝูอียกมือขึ้นลูบเส้นผมนาง “เสี่ยวจิ่ว นี่คือวิถีแห่งสวรรค์ เดิมทีคนเหล่านี้เป็นคนที่ต้องตายอยู่แล้ว ถูกต้นถันภังคีช่วยชีวิตไว้ก็เท่ากับมอบเส้นทางการมีชีวิตรอดให้กับพวกเขา นับว่าเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน และไม่นับว่าติดค้างอะไรพวกเขา นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้นถันภังคีจึงเลือกช่วยชีวิตคนที่ใกล้ตายเท่านั้น วิถีแห่งสวรรค์ลึกลับซับซ้อน ดังนั้นผู้คุมวิถีแห่งสวรรค์จึงไม่อาจใจอ่อนเยี่ยงอิสตรีได้”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


เธอเพิ่งเคยได้ยินตี้ฝูอีพูดเรื่องวิถีแห่งสวรรค์เป็นครั้งแรก จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามหนึ่งประโยค “แล้วใจกลางนี้มีมานานเท่าไรแล้ว?”


ตี้ฝูอีถอนใจ “ตอนที่ข้ามามันก็มีอยู่แล้ว ข้าก็ไม่รู่ว่ามันอยู่มานานกี่ปี การสนับสนุนค่ายกลทำให้ต้นไม้ยักษ์นี้มีพลังชีวิตเป็นหน้าที่ของผู้คุ้มครองวิถีแห่งสวรรค์ทุกคน ต่อไปเจ้า…”


พูดถึงตรงนี้เขาหยุดชะงัก “ต่อไปเจ้าก็จะเข้าใจ”


“แล้วมีคนเข้ามาที่นี่กี่คนแล้ว? ข้าไม่เคยเห็นศพของผู้อื่นเลย?” ในเมื่อที่แห่งนี้อยู่มานับหลายพันปี และต้องการ ‘พลังชีวิตมนุษย์’ มาตลอด เช่นนั้นก่อนหน้านี้ต้องมีผู้คนเข้ามามากมายและจบชีวิตลงที่นี่ หากคนเหล่านั้นดับสูญก็ต้องมีหลุมศพ เหตุใดเธอจึงไม่เห็นแม้สักหลุมหนึ่ง?


“ไม่มีศพของผู้ใดทั้งนั้น…คนที่นี่หากสิ้นชีพจะกลายเป็นผุยผง อีกทั้งสถานที่แห่งนี้จะชำระล้างทุกห้าร้อยปี เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ร่องรอยทุกอย่างของทุกคนที่นี่จะถูกลบล้างทันที ทำให้มองไม่เห็นร่องรอยใดๆ อีก” ตี้ฝูอีเพิ่มความรู้ให้นางต่อ


กู้ซีจิ่วรับฟังอย่างตื่นตกใจ “หากคนที่นี่ฝึกฝนถึงขั้นเก้าจะมีอายุขัยหนึ่งพันปี หากชำระล้างทุกห้าร้อยปี คนเหล่านั้นเล่า?”


ตี้ฝูอีกล่าว “การทะลวงผ่านขั้นแปดไปขั้นเก้าจำเป็นต้องมียาลูกกลอนชนิดพิเศษ หากไม่มี หลับหูหลับตาเลื่อนขั้นอย่างไรก็ไม่มีทางสำเร็จ ดังนั้นคนที่นี่ส่วนมากฝึกฝนได้ถึงขั้นแปดตอนปลายก็นับว่าสูงสุดแล้ว มีอายุขัยได้ไม่กี่ร้อยปี หากบางคนพกยาลูกกลอนเลื่อนขั้นติดตัวมาแล้วถูกชำระล้าง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับในความอับโชค…”


กู้ซีจิ่วบอก “พวกเรา…จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่? ท่านเป็นถึงเทพ ยามนี้ตกลงมาที่นี่คงไม่ได้ไม่มีทางออกไปอีกตลอดชีวิตกระมัง?”


ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างสบายๆ “ซีจิ่ว ข้าก็เข้ามาตามกฎเกณฑ์”


กล่าวอีกนัยคือ เขาเข้ามาที่นี่ก็ไม่ได้มีเอกสิทธิ์อันใด


กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้ จึงตะลึงไปชั่วขณะ “เช่นนั้น พวกเราก็ออกไปไม่ได้แล้วหรือ?”


ตี้ฝูอีเอ่ย “วางใจเถิด ออกไปได้ อย่างไรเสีย เทพถูกขังอยู่ที่นี่ ก็ไม่อาจถูกขังได้ตลอดไป”


นั่นก็จริง!


————————————————————————————-


บทที่ 1357 เจ้าคนผู้นี้ พูดไปพูดมาก็หนีไม่พ้นเรื่องกินเนื้อ! (4)


กู้ซีจิ่วถอนหายใจโล่งอก เธอรู้สึกประทับใจ ทั้งที่ตี้ฝูอีรู้ดีอยู่แล้วว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายเหนือธรรมดา เขายังเข้ามาตามหาเธออย่างไม่ลังเล ความรู้สึกเช่นนี้เธอยังต้องมีอะไรให้แคลงใจอีก?


ต่อไปเธอจะไม่สงสัยเขาอีกแล้ว เธอจะทำตัวดีกับเขา!


ทว่าความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของตี้ฝูอีก็คือ ยามนี้เขายังไม่มีวิธีออกไป ดูเหมือนว่าต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกหลายปี ขอให้ไม่ถึงคราชำระล้างด้วยเถิด…


อยู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ พวกท่านล้วนเสี่ยงตายถึงเข้ามาได้ ข้า…เหตุใดข้าจึงเข้ามาได้โดยไม่เป็นอะไรเลยเล่า?” มีเพียงเธอที่ถูกเจ้าหอยยักษ์พาดำดินเข้ามา…


ตี้ฝูอีปอกผลไม้ลูกหนึ่งยื่นให้นาง เอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “เจ้าไม่เหมือนผู้ใดอย่างไรเล่า สมกับที่เป็นภรรยาของข้า”


กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขา ไม่พูดจาอันใด


หลอกลวง ท่านยังจะหลอกลวง!


ตี้ฝูอียอมแพ้แล้ว “ก็ได้ ข้าเคยถามเจ้าหอยยักษ์ถึงรายละเอียดการเข้ามาของเจ้า อากาศ ผืนดิน ถูกเจ้าข้ามผ่านมา บางทีนี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ก็ได้ การส่งเจ้าเข้ามาที่นี่ ทำให้พลังวิญญาณของเจ้าก้าวหน้าเร็วขึ้น”


กู้ซีจิ่วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านหลอกลวงข้าอีกแล้ว! ข้าไม่ใช่เป็นบุคคลพิเศษอะไร เหตุใดลิขิตสวรรค์จึงเข้าข้างข้าเช่นนี้?”


ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “เจ้าเป็นภรรยาของข้า ย่อมได้รับการดูแลจากสวรรค์เป็นอย่างดี บ่มเพาะเจ้าให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”


แววตากู้ซีจิ่วพลันวาบไหว “ต่อไปข้าจะแข็งแกร่งให้เหมือนท่าน!” เธออยากมองดูใต้หล้าเคียงข้างเขา มีความสุขในทุกหนแห่ง และปกป้องทวีปแห่งนี้ไปกับเขา


ตี้ฝูอีโอบนางไว้ในอ้อมกอด พูดเพียงแค่สองคำ “ย่อมได้”


นัยน์ตากู้ซีจิ่วเป็นประกาย “จริงสิ ท่านบอกว่าท่านก็ฝึกฝนจนกลายเป็นเทพ? ไม่แน่ต่อไปข้าก็อาจทำได้ นี่ ข้าไม่ได้อยากแย่งชามข้าวของท่าน แล้วฝึกฝนเป็นเทพกลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมใต้หล้านะ แต่ข้าอยากมีชีวิตที่ยืนยาวและยืนยาวไปอีก พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ”


สายตาตี้ฝูอีฉายแววเศร้าหมอง ยิ้มบางๆ ใช้ปลายคางคลึงกลางกระหม่อมนาง “เจ้าทำได้”


กู้ซีจิ่วดีใจมากที่ได้รับการยืนยันจากเขา ถึงแม้การยืนยันเช่นนี้เหมือนปลอบโยนเธอ หลอกให้เธอดีใจก็ตาม


ทว่ากู้ซีจิ่วถูกปลุกพลังต่อสู้ในตัว เธออยากถือโอกาสที่ได้อยู่ที่นี่รีบฝึกฝนให้แข็งแกร่ง!


สามารถยืนเคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาได้โดยแท้จริง ไม่ใช่เป็นผู้ช่วยเขาตลอดไป


เธอเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ “จริงสิ เหตุใดหลายวันก่อนหน้านี้จึงมีสัตว์ร้ายขั้นแปดมารุกรานได้? นั่นคือการชำระล้างใช่หรือไม่?” หลายวันก่อนหากไม่ใช่เพราะตี้ฝูอีมาช่วยได้ทันเวลา เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดรอดตายกันสักคน


คืนนั้นช่างอันตรายจริงๆ! เมื่อคิดถึงยามนี้ ในใจกู้ซีจิ่วยังหวาดกลัวไม่หาย


ตี้ฝูอีส่ายหน้า “การชำระล้างไม่ได้ทำเช่นนี้…คืนนั้นเป็นอุบัติเหตุ”


“หืม?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา


“อุบัติเหตุนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า”


กู้ซีจิ่งนิ่งอึ้ง


“ความหมายของท่านคือสัตว์ร้ายขั้นแปดเหล่านี้มาเพื่อทำร้ายข้า?” พูดอย่างกับเธอเป็นตัวซวยอย่างนั้น!


ตี้ฝูอีใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ “ไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเจ้า แต่มาเพราะเจ้าหอยยักษ์ทำเรื่องดีงามเอาไว้! ตอนที่เจ้าหอยยักษ์ดำดินเข้ามาเคยทำลายรากของต้นถันภังคี ทำให้พลังวิญญาณของมันรั่วไหลและดูดซึมไอพิฆาตที่ทะลักล้นมาหลายปี จนไปกระตุ้นเหยี่ยวสามตัวนั้นและความผิดปกติอื่นๆ จึงนำมาซึ่งภัยพิบัติใหญ่ครานี้”


กู้ซีจิ่วเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นเพราะการดำดินของเจ้าหอยยักษ์ครั้งนั้นนำมาซึ่งผลลัพธ์อันร้ายแรง!


————————————————————————————-


บทที่ 1358 มันบ่งบอกว่าเจ้าจะกลับมาหาข้า…


เธอชะงักงัน ยังคงฉงนสงสัย “ท่านบอกว่าเจ้าหอยยักษ์ทำลายรากสองราก ทำให้การรั่วไหลของพลังวิญญาณและไอพิฆาตรุนแรงเช่นนี้ ท่านไม่ได้ไปฝึกฝนที่บริเวณรากหรอกหรือ? ข้าได้ยินเจ้าหอยยักษ์บอกว่าเห็นท่านตัดทำลายรากไปหลายราก…”


“รากที่เจ้าหอยยักษ์ตัดเป็นรากชีพจรของต้นไม้เทพ ที่ข้าตัดเป็นเพียงรากแขนงไม่จำเป็น ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน”


ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้!


“เช่นนั้นรากชีพจรที่เจ้าหอยยักษ์ทำลายไปต้องฟื้นฟูหรือไม่? ข้ากลัวว่าต่อไปสัตว์ขั้นแปดจะปรากฏกายออกมาไม่จบสิ้น…”


แค่เหยี่ยวนิลกาฬสามตัวก็แทบทำให้คนที่นี่พ่ายแพ้ยับเยิน หากต่อไปยังออกมาอีกหลายตัว…เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีการชำระล้างในภายภาคหน้าแล้ว!


“วางใจเถิด ข้าฟื้นฟูตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว หลายวันก่อนที่ข้าลงไป หนึ่งก็เพื่อฝึกฝน สองก็เพื่อฟื้นฟูสองจุดนั้น ไม่เช่นนั้นสัตว์ร้ายที่มาทำร้ายพวกเจ้าในวันนั้นคงไม่ได้มีเพียงแค่เหยี่ยวนิลกาฬสามตัว”


ที่แท้ที่เขาหายตัวไปก็เพื่อไปจัดการความยุ่งเหยิงเหล่านี้ให้เธอ


เธอค่อนข้างเสียใจภายหลัง “หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าไม่ควรหนีมาที่ป่าทมิฬเลย”


“ลิขิตสวรรค์” ตี้ฝูอีดึงนางเข้ามาโอบกอดไว้ “ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เรื่องอื่นที่ไม่สำคัญไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ”


เรื่องบางเรื่องเป็นเขาเองที่เลือกฝืนกฎสวรรค์ จะกล่าวโทษนางไม่ได้


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งได้ “จริงสิ พวกเราเห็นคำทำนายแถวหนึ่งบนต้นไม้ยักษ์…” แล้วจึงเล่าเรื่องที่เห็น ‘เก้าเก้าเป็นหนึ่ง’ ออกมา


ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง พลันโอบเอวนาง “พาข้าไปดูหน่อย!”


……


ตัวอักษรใหญ่บนต้นถันภังคีแถวนั้นยังคงอยู่ อักษรนั้นเปลี่ยนสีไปมา ดูแล้วสะดุดตาเป็นพิเศษ


ลิงบนต้นไม้เหล่านั้นเดินวนตามตัวอักษรใหญ่นี้ แต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้


ตี้ฝูอีวิเคราะห์อักษรสี่ตัวนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ภายในฝ่ามือปรากฏลำแสงเจ็ดสีอ่อนๆ ปกคลุมอักษรสี่ตัวนั้น จากนั้นเขาเคลื่อนย้ายฝ่ามือ อักษรสี่ตัวพลันหายไป


เขามองดูฝ่ามือตัวเอง ราวกับกำลังมองลายเส้นด้านบน กู้ซีจิ่วก็มองกับเขาด้วย พบว่าอักษรสี่ตัวปรากฏบนฝ่ามือเขา ที่แปลกยิ่งไปกว่านั้นคือ อักษรสี่ตัวนั้นประกอบขึ้นมาจากตัวหนังสือเล็กๆ นับไม่ถ้วน หมุนวนสลับซับซ้อนอย่างบ้าคลั่งบนฝ่ามือเขา กู้ซีจิ่วมองครู่หนึ่งก็รู้สึกมึนหัว ละลานตาไปหมด…


ตี้ฝูอียกมือขึ้นโอบกอดนาง นำชายเสื้อข้างหนึ่งปิดตานางไว้ “ยามนี้พลังวิญญาณของเจ้ายังไม่ถึงขั้น ยังไม่อาจดูสิ่งนี้ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อเจ้า ต่อไปข้าค่อยให้เจ้าดู”


กู้ซีจิ่วเอ่ย “นี่คงเป็นสวรรค์บอกใบ้กระมัง? มิน่าพวกเราถึงวิเคราะห์ไม่ออก ที่แท้ต้องให้เทพอย่างท่านมาดู หากท่านไม่ได้เข้ามา ดูเหมือนอักษรสี่ตัวนี้ก็คงปรากฏอยู่ตรงนี้เสียเปล่า”


“ไม่ใช่ รอจนพลังวิญญาณเจ้าถึงขั้นเก้าก็จะดูมันได้” การปรากฏตัวของเขาอาจเป็นเหตุบังเอิญสำหรับวิถีสวรรค์ ย่อมไม่ได้ทำเพื่อให้เขามาถอดความ


“ขั้นเก้าก็ได้หรือ? เช่นนั้นพี่ชายข้าบรรลุขั้นเก้าแล้ว เขาวิเคราะห์มาหลายวันก็ไม่เห็นจะดูอะไรออก”


ตี้ฝูอีกล่าว “นั่นเป็นเพราะเขาโง่งม เจ้าฉลาด เจ้าไม่เหมือนผู้ใด”


ก็ได้ ในสายตาของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่มีผู้ใดในสายตา ในสายตาเขามีเพียงเธอคนเดียว


กู้ซีจิ่วยอมรับคำชมของเขา แล้วเอ่ยถาม “ตัวอักษรเล็กๆ เหล่านั้นเขียนไว้ว่าอะไรกันแน่? มีบอกว่าทำอย่างไรถึงจะออกจากที่นี่ได้หรือไม่?”


ตี้ฝูอีกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง “ตัวอักษรชุดนี้เข้าใจยากยิ่งนัก ข้าต้องค่อยๆ ลองวิเคราะห์ดู แต่ว่าข้ากลับรู้สึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เก้าเก้าเป็นหนึ่ง มันบ่งบอกว่าเจ้าจะกลับมาหาข้า…นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้ากับข้าเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสร้างจริงๆ”


————————————————————————————-


บทที่ 1359 นั่นเป็นเพราะข้าหนีงานแต่ง…


กู้ซีจิ่วกุมขมับ “มันไม่ใช่ต้นเฒ่าจันทราเสียหน่อย จะได้รับผิดชอบจัดการบุพเพสันนิวาสของมนุษย์ หากว่าข้าคืนดีกับท่านก็สามารถออกไปได้แล้ว เช่นนั้นเหตุใดยามนี้จึงไม่มีวี่แววสักนิดเลยล่ะ?”


ตี้ฝูอีจุมพิตแก้มนางคราหนึ่ง “บางทีอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นด้วย ไปเถอะ พวกเราลงไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


กู้ซีจิ่วยังอยากสำรวจต่ออีก “ใช่แล้ว ต้นไม่ยักษ์ใหญ่โตถึงเพียงนี้ บางทีจุดอื่นบนต้นไม้ยักษ์อาจยังมีสิ่งที่คล้ายลิขิตสวรรค์เช่นนี้อยู่อีกก็เป็นได้ มิสู้พวกเราไปลองหาดู?”


ตี้ฝูอีขำอย่างออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าลิขิตสวรรค์เช่นนี้ล้วนมีอยู่ทั่วไปเหมือนผักกาดขาวหรือ? มีอักษรแถวนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว มาเถอะ พาข้าลงไป”


กู้ซีจิ่วมองเขาที่เอนกายซบร่างตนอยู่ครึ่งตัว “มิใช่ว่าควรเป็นท่านพาข้าลงไปหรอกหรือ?”


ตี้ฝูอีซบหัวบนไหล่เธอ หลับตาลงนิดๆ แพขนตายาวแทบจะปัดถูกแก้มเธอ ทำตัวน่าหยิกนัก “เด็กน้อย ข้าอ่อนแอ ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย


หรือว่าการตีความลิขิตสวรรค์นี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก? จึงทำให้เขาอ่อนแอ?


ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงพาตี้ฝูอีผู้อ่อนแอเคลื่อนย้ายลงมาโดยตรง และพบกับหลัวจั่วอวี่ที่อยู่หน้าประตูเรือนของตน


เมื่อครู่ตอนที่เธอออกไปลืมลงกลอนประตู หลัวจั่นอวี่กำลังมองภายในน้องด้วยสีหน้าราวกับถูกฟ้าผ่า


เห็นกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีปรากฏตัวขึ้นในสภาพจับมือถือแขนกัน หนำซ้ำตี้ฝูอีที่สูงใหญ่ยังซบร่างน้องสาวของบ้านตนอยู่ด้วย!


หลัวจั่นอวี่ข่มโทสะไว้ไม่อยู่แล้ว “เสี่ยวจิ่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


ถึงแม้เขาจะไม่เห็นดีกับความรักระหว่างตี้ฝูอีและกู้ซีจิ่ว  แต่ถ้าหากน้องสาวอยากออกเรือนด้วยจริงๆ เขาก็จะอวยพรให้ ถึงขั้นที่ในสมองร่างภาพพิธีสมรสอันงดงามไว้ให้น้องสาวแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าไม่เห็นกันแค่คืนเดียว น้องสาวร่วมหอกับผู้อื่นไปแล้วงั้นหรือ?! การตกแต่งในเรือนนี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นการตกแต่งห้องหอ!


กู้ซีจิ่วอับจนวาจา


หลัวจั่นอวี่มองไปทางตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งใช้เล่ห์กลเพื่อครอบครองสตรี ออกจะไม่สมเหตุสมผลเกินไปกระมัง?!”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว ไอ้เด็กนี้ขวัญกล้าเหลือเกิน! ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าติเตียนเขา!


หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางเห็นคนระดับหลัวจั่นอวี่ผู้นี้อยู่ในสายตา คนระดับนี้ไม่มีผู้ใดที่กล้าชี้หน้าด่าทอเขาซึ่งๆ หน้าเลย คนที่กล้าขึ้นเสียงกับเขาส่วนใหญ่ล้วนถูกเขาส่งกลับบ้านเก่าไปหมดแล้ว


แต่ยามนี้คนผู้นี้เป็นพี่ชายของกู้ซีจิ่ว…


แถมเขายังไม่รู้จักมักจี่กับไอ้สารเลวน้อยผู้นี้เท่าไหร่ด้วย!


เพียงแต่ที่ควรแย้งก็ยังคงต้องแย้ง ด้วยเหตุนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สู่งส่งเหนือปวงชนเสมอมาจึงโต้แย้งเพื่อตัวเองด้วยความจริงจังอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก “ข้าชอบนาง และตามเกี่ยวพานางอย่างเปิดเผยซื่อตรง เล่นเล่ห์อันใดกัน?”


“ท่านกับนางยังไม่ได้เข้าพิธีแล้วร่วมหอกันได้อย่างไร?!” หลัวจั่นอวี่ตะเบ็งเสียงข่มคน “เท่าที่ข้าทราบ ตอนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ด้านนอกก็ล้มเลิกพิธีมงคลกับน้องสาวมิใช่หรือ?!”


กู้ซีจิ่วกระแอมคราหนึ่ง เอ่ยแทรก “นั่นเป็นเพราะข้าหนีงานแต่ง…”


หลัวจั่นอวี่ชะงัก มองน้องสาวด้วยสายตาชิงชังที่มิอาจเปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “เสี่ยวจิ่ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร พวกเจ้ายังไม่ได้เข้าพิธีกันจริงๆ ไม่ได้เข้าพิธีก็ครองคู่กันช่างเสื่อมเกียรติเสียชื่อ…”


อันที่จริงกู้ซีจิ่วยังคงไม่ใส่ใจพิธีรีตองเหล่านั้นจริงๆ เข้าพิธีแล้วอย่างไร? เป็นเพียงพิธีการที่คล้ายกับการเดินแบบเท่านั้น ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยเสียมากกว่า อีกอย่างความจริงแล้วตี้ฝูอีก็อยากมอบพิธีวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่ให้เธอเหมือนกัน แต่ถูกล้มเลิกไปเพราะการหลบหนีของเธอ ไม่อาจนับว่าเขาไม่เตรียมการกระมัง?


สิ่งที่เธอต้องการคือหัวใจของเขา อย่างอื่นอันที่จริงแล้วอย่างไรก็ได้ ขณะที่เธอกำลังจะชี้แจ้งอีกสามสี่ประโยค ตี้ฝูอีก็ห้ามเธอไว้ มองไปทางหลัวจั่นอวี่ “เรื่องนี้ข้าผิดเอง หลังจากออกไปได้ข้าจะจัดงานสมรสที่ยิ่งใหญ่ให้นาง ทำให้คนทั้งแผ่นดินทราบกันโดยทั่วว่าซีจิ่วคือภรรยาของข้า”


บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (1)


หลัวจั่นอวี่เลิกคิ้ว “กล่าวเช่นนี้ท่านมีวิธีออกไปแล้วหรือ?”


“ตอนนี้ยังไม่มี”


ที่แท้เขาก็ยังไม่มีวิธีในตอนนี้ ในใจของหลัวจั่นอวี่ไม่ทราบเช่นกันว่ายินดีหรือวิตก “ในเมื่อท่านยังไม่มีวิธีชั่วคราว เช่นนั้นจะรับประกันได้อย่างไรว่าท่านจะจัดงานวิวาห์ที่อลังการให้นางได้? หากว่าออกไปไม่ได้ตลอดกาล ท่านก็จะอยู่อย่างคลุมเครือเช่นนี้ไปเรื่อยๆ งั้นหรือ?”


“ถ้างั้นความหมายของเจ้าคืออะไร?”


“ที่นี่ก็มีกฎเกณฑ์ของที่นี่ ในเมื่อท่านเข้ามาที่นี่ เช่นนั้นทุกสิ่งก็สมควรยึดตามกฎเกณฑ์ของที่นี่ ท่านต้องเตรียมงานวิวาห์ที่ทุกคนล้วนยอมรับให้นางที่นี่”


….


สถานที่แห่งนี้บุรุษมากสตรีน้อย ซ้ำยังมีกฎผัวเดียวเมียเดียว ดังนั้นเมื่อบุรุษที่นี่คิดจะแต่งศรีภรรยาจึงเป็นเรื่องยากเย็นเหลือแสน กับภรรยาจะต้องถูกตาต้องใจกันทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง ซ้ำยังต้องอดทนต่อการทดสอบสารพัดอย่าง มีเพียงผ่านการทดสอบแล้วถึงจะได้รับการยอมรับจากทุกคน ทุกคนถึงจะจัดงานวิวาห์ที่สมเกียรติให้ ให้เขาแต่งศรีภรรยาเข้าเรือนได้


เนื่องจากต้องประสบความยากลำบากเหลือคณะถึงจะรู้จักคุณค่าอย่างยิ่ง ดังนั้นการทดสอบเหล่านั้นล้วนพิสดารพันลึกยิ่ง ยากจะฝ่าด่านได้ บางคนต้องเตรียมการถึงเจ็ดแปดปีเพื่อแต่งศรีภรรยา


ยกตัวอย่างเช่นเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากบุรุษทุกคนก็ต้องตอบรับความต้องการที่แตกต่างกันไป


ถึงอย่างไรก็สุนัขมากเนื้อน้อย สตรีนางหนึ่งมักจะมีบุรุษหมายปองอยู่เจ็ดแปดคน ถ้าสตรีนางนี้ออกเรือนก็เท่ากับคนที่เหลือไม่มีหวังแล้ว คนเหล่านี้ย่อมไม่พอใจแน่นอน อยากได้ความเห็นชอบในการแต่งงานจากพวกเขาจึงยากเย็นนัก…


ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ทว่าไม่ทราบเลยว่าได้รับความนิยมจากบุรุษมากน้อยเพียงใด ชายโสดของที่นี่ล้วนชมชอบเธอกันแทบทุกคน กระตือรือร้นอยากพิชิตใจเธอ พวกเขาไม่ใช้วาจาเหมือนไป๋หลี่เช่อ แต่แสดงเจตนาไล่ตามออกมาอย่างชัดเจน


มีบางคนที่ค่อนข้างรอบคอบ เนื่องจากระยะเวลายังไม่นาน อีกทั้งเธอยังเลิศล้ำปานนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าห่างชั้นกันอยู่บ้าง ทุกคนจึงพยายามยกระดับการบำเพ็ญของตนกันอย่างลับๆ หล่อหลอมฝีมือตน ให้บรรลุเงื่อนไขที่สามารทัดเทียมกับเธอได้ จากนั้นค่อยหาทางเกี้ยวพาเธอ


ก่อนตี้ฝูอีมาถึง บุรุษที่รายล้อมรอบกายกู้ซีจิ่วเหล่านี้เริ่มประชันขันแข่งเพื่อเอาชนะใจโฉมงามกันอย่างลับๆ แล้ว ใช้มากมายหลายกลยุทธ์ ล้วนหมายจะพิชิตใจสาวงาม


ยามนี้ตี้ฝูอีมาแล้ว ซ้ำยังพกพาฐานะคู่หมั้นเข้ามาด้วย


อีกทั้งเขาก็มีความหลังกับทุกคนทั้งสิ้น บ้างก็มากบ้างก็น้อย ถึงแม้คืนนั้นเขาจะพลิกสถานการณ์ช่วยชีวิตทุกคนไว้ทันกาล แต่ก็แค่ทำให้ปมในใจของทุกคนเล็กลงนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้สูญสิ้นไปอย่างสมบูรณ์ ทุกคนยังคงระแวดระแวงเขาอยู่ยิ่งนัก


ตอนนี้ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเขาคือการเคารพอยู่ห่างๆ รักษาระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล พวกเขาถึงขั้นที่ยังไม่ยอมรับเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาอยากได้รับความเห็นชอบจากคนเหล่านี้นั่นย่อมยากยิ่งกว่ายากเสียอีก


ได้รับความเห็นชอบจากทุกคนเป็นเพียงเงื่อนไขข้อหนึ่งเท่านั้น ยังมีเงื่อนไขอีกข้อคือเต้องใช้ความสามารถในด้านที่ตนไม่ถนัดที่สุดสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน…


ยกตัวอย่างเช่นคนที่เชี่ยวชาญการเก็บเกี่ยวจะต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพียงลำพังหนึ่งครั้ง สัตว์ที่ล่ากลับมาจะต้องเลิศรสที่สุดเพียงพอให้ทุกคนได้กินกันมื้อใหญ่ และสัตว์ที่ตรงตามเงื่อนไขข้อนี้แต่ละตัวล้วนเป็นสัตว์ที่ดุร้ายอย่างยิ่ง หากไม่ระวังเพียงนิดก็จะเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง


คนที่เชี่ยวชาญการล่าสัตว์จะต้องขึ้นต้นไม้ไปเก็บเกี่ยวผลไม้กับใบไม้ให้เพียงพอสำหรับคนทั้งกลุ่มใช้หนึ่งวัน และต้องขึ้นไปเพียงลำพังเช่นกัน ถูกฝูงลิงทุบตีจนบวมปูดทั้งศีรษะก็เป็นเรื่องตามสมควร


เนื่องด้วยเงื่อนไขที่โหดร้ายทารุณเหล่านี้บุรุษทุกคนที่อยากแต่งภรรยาจึงต้องมุ่งมั่นแน่วแน่อย่างยิ่ง เมื่อผ่านความยากลำบากสารพัดสารพันถึงเพียงนี้ภรรยาที่แต่งเข้าเรือนมาย่อมได้รับความรักใคร่เอ็นดูประหนึ่งสมบัติล้ำค่า


ยามนี้หลัวจั่นอวี่นำเงื่อนไขเหล่านี้มาแถลงเบื้องหน้าตี้ฝูอี ถามว่าเขากล้าเผชิญบททดสอบเหล่านี้หรือไม่?


————————————————————–


บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (2)


หลัวจั่นอวี่เกรงว่าเขาจะเล่นแง่ไม่ตกลง จึงกล่าวเสริมอีกประโยค “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าทราบว่าฝีมือท่านสูงส่ง หากท่านยืนกรานจะอาศัยเสี่ยวจิ่วเพื่อบิดพลิ้ว ข้าก็ทำอะไรท่านไม่ได้ แต่หากว่าแม้แต่เงื่อนไขเหล่านี้ท่านก็ยังไม่กล้าตอบรับ แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าท่านจริงใจต่อเสี่ยวจิ่ว? คราก่อนเสี่ยวจิ่วหนีงานแต่งก็เป็นเพราะไม่พอใจท่าน เพราะนางรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยถึงได้ทำเช่นนี้…ดังนั้นถ้าหากท่านไม่ยอมรับเรื่องนี้ ข้าจะสงสัยในความจริงใจของท่านยิ่งนัก และไม่ยอมรับท่านเป็นน้องเขยของข้าไปชั่วชีวิต!”


วาจานี้กล่าวอย่างฉาดฉานทรงพลัง เปี่ยมด้วยความกดดัน


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ เรื่องของเธอกับตี้ฝูอีเป็นเรื่องส่วนตัว ความจริงแล้วเธอไม่อยากให้ผู้ใดมาก้าวก่าย ต่อให้เป็นญาติก็ไม่ได้


ความจริงใจที่ตี้ฝูอีมีต่อเธอเธอทราบกระจ่างยิ่งกว่าผู้ใด ไม่จำเป็นต้องจงใจสร้างอุปสรรคเช่นนี้เลย ขณะที่เธอกำลังจะเปิดปาก ตี้ฝูอีที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นแล้ว “หลัวจั่นอวี่ เดิมทีเรื่องของข้ากับนางไม่มีที่ให้เจ้าสอดปากหรอกนะ เจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ สำหรับข้าแล้วไม่มีค่าเลย แต่ในเมื่อข้ามาที่นี่เพื่อแต่งนาง ก็ไม่อยากให้นางต้องโดนผู้อื่นติฉินนินทา ดังนั้นข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ทำไปตามกฎเดิมของเจ้าเถอะ”


ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตอบรับอย่างสบายๆ ถึงเพียงนี้!


หัวใจกู้ซีจิ่วอุ่นวาบ อดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงหาเขา ‘ท่านไม่ต้องตอบรับก็ได้ ข้าไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้’


ตี้ฝูอีรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด กระซิบริมหูนางแบบยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ด้วยฝีมือของข้าผ่านด่านได้สบายๆ อยู่แล้ว ทำใจให้สบายเถอะ” พวกเขายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ เขาไม่อยากให้คนอื่นติฉินนินทากู้ซีจิ่ว อย่างไรเสียการอยู่ที่นี่หากไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนก็เหมือนอยู่ร่วมกันอย่างผิดกฎหมาย ไม่แน่อาจจะถูกสตรีคนอื่นเยาะหยันเอาได้…


เรื่องนี้จึงตัดสินกันเช่นนี้แล


จวบจนตี้ฝูอีพยักหน้ายอมรับ หลัวจั่นอวี่จึงบอกกฎที่เหลืออีกข้อหนึ่งออกมา ‘ชายหญิงที่ยังไม่ได้วิวาห์ไม่สามารถพักอาศัยร่วมกันได้ ก่อนที่เงื่อนไขเหล่านี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ฝ่ายชายจะพบหน้าฝ่ายหญิงไม่ได้…’


ตี้ฝูอีตะลึง


กู้ซีจิ่วก็พูดไม่ออกเช่นกัน


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกัดฟันกล่าวอยู่บ้าง “ได้รับความเห็นชอบจากทุกคนข้อนี้ข้ามีวิธี เจ้าต้องการให้ข้าใช้ความสามารถในด้านที่ไม่ถนัดเรื่องใด? รีบพูดมา ข้าทำให้สำเร็จได้!” ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะปรับความเข้าใจกับกู้ซีจิ่ว ได้คืนดีกันอีกครั้ง เพิ่งอยู่ด้วยกันได้วันเดียว ไม่อยากแยกจากเลยจริงๆ


หลัวจั่นอวี่กระแอมคราหนึ่ง “เรื่องนี้…ท่านไปทำอีกข้อให้สำเร็จก่อน ข้อนี้ข้าต้องใคร่ครวญดูสักหน่อย”


ตี้ฝูอีนิ่งไป เขาเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมายิ่งนักประโยคหนึ่ง “ให้เวลาเจ้าใคร่ครวญครึ่งชั่วยาม ห้ามเกินเวลา!”


“ได้!” หลัวจั่นอวี่ก็ตกลงเช่นกัน ลากกู้ซีจิ่วออกเดิน “เสี่ยวจิ่ว เจ้าตามข้ามาก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”


ลากกู้ซีจิ่วจากไป ทิ้งตี้ฝูอีไว้ตรงนั้น


ยามนี้มีฝูงชนมุงดูอยู่ไม่น้อยเลย อย่างไรเสียวันนี้ทุกคนก็ยังคงก่อสร้างบ้านเรือนอยู่ มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ไปล่าสัตว์และเก็บเกี่ยว


ทุกคนมองตี้ฝูอีที่ยืนอยู่ตรงนั้น เหล่าบุรุษต่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ในใจตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ง่ายๆ ยากนักที่จะพบโอกาสสร้างความลำบากให้แก่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ จะไม่ปั่นหัวเล่นให้สาสมได้อย่างไรเล่า? ฉวยโอกาสแก้แค้นนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เลว!


เหล่าสตรีกลับตอบสนองด้วยความเห็นใจ รู้สึกว่าครานี้เกรงว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งจะเตะถูกแผ่นเหล็กเข้าแล้ว คิดจะแต่งศรีภรรยาอย่างสงบๆ เกรงว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียแล้ว


บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (3)


“เสี่ยวจิ่ว เรื่องที่เขาไม่ถนัดที่สุดคืออะไร?” หลัวจั่นอวี่ถามกู้ซีจิ่ว


กู้ซีจิ่วเม้มปากเล็กน้อย ตอบอย่างแข็งกร้าว “ไม่รู้!”


“เสี่ยวจิ่ว เจ้าโกรธพี่หรือ?” หลัวจั่นอวี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม


กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ ตอบอย่างเฉยเมย “เรื่องของข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่ง” เธอเป็นผู้หญิงยุคใหม่ รู้สึกต่อต้านการที่คนในครอบครัวสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องคู่ครองของบุตรธิดายิ่งนัก นับประสาอะไรกับพี่ชายของที่ตอนนี้ยื่นไม้คานเข้ามาตีขัดคู่ยวนยางเล่า?


หลัวจั่นอวี่เงียบไป สักพักถึงได้กล่าวขึ้น “เสี่ยวจิ่ว เจ้าจะคิดว่าพี่ชายเรื่องมากก็ได้ แต่เจ้าลองนึกถึงท่านแม่ของพวกเราสิ ตอนนั้นไม่สนใจไยดีคำทัดทานขัดขวางของครอบครัวรั้นจะแต่งกับแม่ทัพกู้ผู้นั้นท่าเดียว พกสินเดิมของตนไป ถึงขั้นที่ไม่มีพิธีวิวาห์เลยเช่นกัน ไม่รู้ว่าได้รับสายตาดูแคลนและคำนินทาลับหลังมากน้อยเพียงใด บอกว่าท่านแม่ของพวกเราเป็นพวกนอกคอก ปีนั้นยามที่พวกเขาสามีภรรยาทะเลาะกัน แม่ทัพกู้ผู้นั้นยังพูดอะไรทำนองว่า ‘สมรสคือภรรยา วิ่งตามมาเป็นอนุ’ ทำให้นางได้เป็นฮูหยินแม่ทัพก็มีน้ำใจยิ่งนักแล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้วนางควรจะเป็นอนุด้วยซ้ำ ถึงแม้ภายหลังเขาจะขออภัยท่านแม่เพราะประโยคนี้อยู่มากมายหลายครั้ง บอกว่าปากบอนไปชั่วขณะ แต่จากตรงนี้สามารถมองออกได้ว่า ในใจเขารู้สึกว่าเด็กสาวที่มอบกายให้เขาโดยไม่เข้าวิวาห์ก็ไม่สำรวมเช่นกัน เขาจึงไม่ได้รักใคร่ทะนุถนอมท่านแม่ของพวกเราดุจสมบัติล้ำค่าจริงๆ บุรุษส่วนใหญ่จะไม่ถนอมไยดีสตรีที่ได้มาง่ายๆ…จิ่วเอ๋อร์ พี่ไม่อยากให้เจ้าต้องซ้ำรอยเดิมของท่านแม่ พี่หวังให้เจ้าถูกสามีประคองไว้กลางฝ่ามือ ปฏิบัติด้วยอย่างทะนุถนอมให้เกียรติไปชั่วชีวิต”


ประโยคนี้ที่เขากล่าวออกมา ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างตื้นตันเช่นกัน เธอถอนหายใจแล้วเอ่ย “พี่ จริงๆ แล้วสิ่งที่ท่านพูดมาข้าเข้าใจทุกอย่าง อันที่จริงเขาจ่ายค่าตอบแทนเพื่อค่าไปมากมายมหาศาลยิ่งนักแล้ว เรื่องพวกนั้นท่านไม่มีทางรู้ ตอนที่อยู่ด้านนอกพวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายครั้งแล้ว เส้นทางของข้ากับมิได้ง่ายดายเลย เปรียบเทียบกับสามีภรรยาทั่วไปไม่ได้…”


หลัวจั่นอวี่ถอนหายใจ “เอาเถอะ เสี่ยวจิ่ว ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ พี่ก็จะไม่จงใจสร้างความลำบากให้เขา จะจัดการไปตามขั้นตอนปกติของที่นี่ก็พอ ในเมื่อพวกเจ้าจะครองคู่เป็นสามีภรรยากันที่นี่ เพื่อเลี่ยงมิให้ผู้อื่นติฉินนิทา เขาก็ยังต้องก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปอยู่ดี”


พูดมาถึงตรงนี้กู้ซีจิ่วก็หมดหนทางโต้แย้งแล้ว


เอาเถอะ เข้าเมืองตาหลิ่วเช่นนั้นก็หลิ่วตาตามแล้วกัน! อันที่จริงเธอก็อยากเห็นมากเหมือนกันว่าจะได้รับความเห็นชอบจากทุกคนได้อย่างไร จะสยบพวกเขาได้ยังไง


เธอพำนักอยู่ที่นี่มากว่าสิบวันแล้ว เข้าใจนิสัยใจคอของหลายสิบคนที่นี่พอสมควร บางทีอาจมีสาเหตุจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายนี้ ทำให้บุรุษแต่ละคนล้วนเดียวดายดุจหมาป่า ดื้อด้านปานหมี ถึงแม้พวกเขาจะเคารพผู้แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่หวาดหวั่นต่ออำนาจ ไม่กริ่งเกรงความตาย


ตามที่ไป๋หลี่เช่อว่าไว้ ข้าไหนเลยจะใจเสาะ? ก็แค่แผลเป็นขนาดใหญ่จากการแขนขาด! ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเสียหน่อย! ศีรษะขาดโลหิตหลั่งได้ทว่าศักดิ์ศรีไม่อาจสูญหายได้!


ดังนั้นการที่ตี้ฝูอีจะใช้ฐานะกดดันเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพวกเขานั้นไม่สำเร็จแน่นอน เขาจะใช่วิธีไหนกันนะ?


“ใช่แล้ว น้องเล็ก สรุปแล้วเขาไม่ถนัดอะไร?” หลัวจั่นอวี่ยังไม่ลืมเรื่องนี้


ขึ้นต้นไม้ไปเก็บเกี่ยวขึ้นเขาไปล่าสัตว์สำหรับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้แล้ว ล้วนเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ดังนั้นไม่อาจออกหัวข้อเช่นนี้ได้


แน่นอนว่าไม่อาจออกหัวข้อประเภททำครัวซักผ้าเย็บเสื้อจำพวกนี้ได้ ที่นี่เป็นโลกของบุรุษ สิ่งที่หลัวจั่นอวี่จะต้องการทดสอบยังคงเป็นการทดสอบความสามารถในความเป็นบุรุษของเขา


กู้ซีจิ่วถอนหายใจ ของที่ตี้ฝูอีถนัดมีมากมายเกินไป เรื่องที่เขาไม่ถนัดมีน้อยจริงๆ…


ทันใดนั้นเธอก็นึกออกอย่างหนึ่ง “เขาไม่ถนัดการตกปลา!”


หลัวจั่นอวี่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ?”


หลังจากกู้ซีจิ่วพูดออกไปก็เสียใจภายหลังอยู่บ้าง ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรันทดมากพอแล้ว แล้วเธอจะซ้ำเติมเขาอีกได้อย่างไร


ดังนั้นเธอจึงกระแอมคราหนึ่ง “โกหกน่ะ…เขาไม่ถนัด…ไม่ถนัดล่าสัตว์…”


หลัวจั่นอวี่มองนางแวบหนึ่ง มองทะลุลูกคิดรางแก้วในใจนางแล้ว ยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “เช่นนั้นก็ทดสอบเขาด้วยการตกปลาเถิด ให้เขาจับปลาให้เพียงพอสำหรับคนทั้งหมู่บ้านกินในหนึ่งวัน”


กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปแล้ว


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าไม่ได้อยากขายท่านนะ ท่านขอโชคให้ตัวเองมากๆ แล้วกัน…


————————————————————–


บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (4)


คนทั้งหมู่บ้านล้วนรอคอยให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาขอร้องพวกถึงประตู ในหัวของพวกเขาคิดอุบายกลั่นแกล้งท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไว้นับไม่ถ้วนแล้ว ผลคือ…ผลคือสามวันผ่านไปแล้ว ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ยังไม่ไปเคาะประตูเรือนผู้ใดเลย


เขาก็รักษาคำพูดเช่นกัน สามวันมานี้ไม่ไปหากู้ซีจิ่วเลย แน่นอนว่าตอนนอนเขาก็นอนในเรือนของเขาเอง


สามวันมานี้ทุกคนสร้างบ้านเรือนได้พอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่ก็กลับไปใช้ชีวิตเช่นที่ผ่านมาแล้ว ที่ควรเก็บเกี่ยวก็ไปเก็บเกี่ยว ที่ควรล่าสัตว์ก็ไปล่าสัตว์ เดิมทีกู้ซีจิ่วอยากเห็นฝีมือของตี้ฝูอี ผลคือเจ้าคนผู้นี้ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ราวกับลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงไม่สนใจเขาชั่วคราวเช่นกัน ใส่ใจการฝึกฝนวิชาหลอมโอสถของตน


กลับเป็นหลัวจั่นอวี่ที่ค่อนข้างไม่เป็นสุขแล้ว ยามที่พบตี้ฝูอีก็เอ่ยกระแหนะกระแหนอยู่ด้านข้างบ้าง ทว่าตี้ฝูอีกลับไม่สนใจเลย เขายังคงไปมาไร้ร่องรอย ไม่มีใครสามารถจับลู่ทางของเขาได้จริงๆ เลย


นี่ทำให้หลัวจั่นอวี่โมโหยิ่งนัก มาเป่าหูกู้ซีจิ่วที่นี่บ้างเป็นคครั้งคราว


“เสี่ยวจิ่ว ความจริงแล้วในกระดูกของบุรุษล้วนแฝงนิสัยต่ำทรามเอาไว้เล็กน้อย พอพิชิตได้สำเร็จก็จะไม่สนใจไยดีอีก เจ้าทำให้เขาได้ครอบครองเจ้าแล้ว เขารู้ว่าเจ้าไปจากเขาไม่ได้ก็เลยใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลย”


“คนผู้นี้ใจเย็นเช่นนี้ เป็นเพราะเขาอยู่สูงส่งจนเคยชินแล้ว เคยชินที่มีผู้อื่นไปขอร้องเขากระมัง? เขาคงจะรู้สึกว่าเจ้ารักเขาถึงเพียงงนี้ อีกทั้งกลายเป็นคนของเขาแล้ว ย่อมร้อนใจที่ไม่ได้พบเขาเป็นแน่ เช่นนี้เขาก็สามารถเปลี่ยนฝ่ายกระทำและผู้ถูกกระทำได้”


“เสี่ยวจิ่ว เจ้าดูสิคนผู้นี้ไม่สนใจไยดีเจ้าเลย! มิเช่นนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก”


ทุกๆ วันเขาจะมาเป่าหูกู้ซีจิ่วที่นี่ ทำให้บางครั้งกู้ซีจิ่วเผลอใจลอย หวิดจะหลอมโอสถพลาดไปหมดหนึ่งแล้ว!


ท้ายที่สุดกู้ซีจิ่วก็จนปัญญากับการถูกเขาบ่นจ้ำจี้จ้ำไชแล้ว ตอบไปอย่างทนไม่ไหว “พี่ ท่านขี้บ่นกว่ายายแก่เสียอีก หรือเป็นวัยทองก่อนกำหนด? เอ้า ให้โอสถชะลออารมณ์ท่านเม็ดหนึ่งแล้วกัน”


กู้ซีจิ่วยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งใส่มือหลัวจั่นอวี่


มุมปากหลัวจั่นอวี่กระตุกคราหนึ่ง “เสี่ยวจิ่ว เขาเป็นเช่นนี้เจ้าไม่เสียใจหรือ?”


กู้ซีจิ่วยักไหล่ “มีอะไรน่าเสียใจกัน? ข้าเชื่อใจเขา”


หลัวจั่นอวี่พูดไม่ออกแล้ว


เอาเถอะ นับว่าเขาพูดไปอย่างเสียเปล่าแล้ว!


“เสี่ยวจิ่ว ทำไมสองสามวันมานี้ไม่เห็นเจ้ามากินข้าวที่โรงอาหารเลย? เอาอาหารมาให้เจ้าเจ้าก็กินเข้าไปไม่เท่าไหร่ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” จู่ๆ หลัวจั่นอวี่คล้ายว่าจะนึกถึกอะไรขึ้นมา “คงไม่ใช่ว่าเจ้า…”


กู้ซีจิ่วใช้นิ้วทาบระหว่างปาก ยับยั้งจิตนาการอันกว้างไกลของเขา “ท่านคิดมากไปแล้วจริง!”


ต่อให้เธอท้องก็ต้องรอหลังประจำเดือนผ่านไปว่าสี่สิบวันก่อนถึงจะมีปฏิกิริยา และประจำเดือนของเธอก็เพิ่งผ่านไปกว่าสิบวันเท่านั้น


อีกอย่างเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอแจ็คพอตด้วย…


เพียงแต่เธอตั้งตารอคอยที่จะอุ้มท้องลูกของเขามากจริงๆ เธอกับเขาหน้าตาล้ำเลิศกันถึงเพียงนี้ เชื่อได้เลยว่าทั้งหน้าตาและสติปัญญาของลูกต้องโดดเด่นแน่


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ไปกินข้าว?” หลัวจั่นอวี่ไม่ยอมเลิกรา


กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวออกไปตามจริง “ความจริงแล้วเขาตระเตรียมอาหารไว้ให้ข้าทุกวัน”


หลัวจั่นอวี่โมโหแล้ว “ดูท่าเขาว่ายังคงไม่รักษาสัญญาสินะ บอกไปแล้วชัดๆ ว่าก่อนเข้าวิวาห์ไม่อนุญาตให้มาพบเจ้า!”


กู้ซีจิ่วหันกลับไปหลอมโอสถต่อ น้ำเสียงก็ราบเรียบ “เขาไม่ได้มาหาข้า เพียงแต่ทุกครั้งที่ข้ากลับไปล้วนมีอาหารร้อนกรุ่นโต๊ะหนึ่งรอข้าอยู่เท่านั้น” อาหารที่เขาจัดเตรียมให้เธอล้วนพรั่งพร้อมนัก กะปริมาณได้แม่นยำ สำหรับเธอกินคนเดียวพอดี


บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (5)


หลัวจั่นอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำอาหารเป็นด้วย…”


กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม ตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “นั่นเป็นสิ่งที่พกมาจากด้านนอก อืม อาหารเลิศรสจากทั่วแผ่นดินนี้ เขาล้วนพกมาด้วยส่วนหนึ่ง”


เนื่องจากอาหารที่ตี้ฝูอีเตรียมมาให้เธอเป็นของที่นำมาจากด้านนอก สีสันและรสชาติหลากหลาย ย่อมแตกต่างจากอาหารจืดชืดไร้รสของที่นี่ เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่อยากกินอาหารของที่นี่แล้ว


หลัวจั่นอวี่ทึ่มทื่อไปแล้ว


เขาโมโหขุ่นเคือง “เสี่ยวจิ่ว นี่เขากำลังทำให้เจ้าโหยหาอาหารเลิศรสของเขา ทำให้เจ้าไปจากเขาไม่ได้! คนผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ!”


กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก


ความหมายของหลัวจั่นอวี่คือตี้ฝูอีใช้อาหารเลิศรสเป็นกระสุนปืนใหญ่เคลือบน้ำตาลให้เธอรักใคร่ปักใจกับเขา เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? เธอชอบนี่นา!


เธอชอบกระสุนปืนใหญ่เคลือบน้ำตาลของเขาที่สุด


เพียงแต่กู้ซีจิ่วก็ฉงนเล็กน้อยเช่นกันที่ตี้ฝูอีไม่มีความเคลื่อนไหวเลย สรุปแล้วตี้ฝูอีกำลังวางอุบายใดอยู่กันแน่?


….


พฤติกรรมของตี้ฝูอีทำให้ผู้อื่นค่อนข้างสับสนงงงวยจริงๆ


ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ทุกคนเก็บเกี่ยวอยู่บนต้นไม้ พบพานการล้อมโจมตีจากฝูงลิง ยามที่ทุกคนต่อสู้กับฝูงลิงอย่างกระวนกระวาย ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดไม้ที่อยู่ไม่ไกล เหยียบอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่งที่ไหวโอนเอน สำราญปานเทพเซียนเยือนแดนมนุษย์ ทำให้ผู้คนที่ค่อนข้างมอมแมมเลอะเทอะชิงชังจนกัดฟันกรอดๆ


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ปกติชอบนั่งบนภูดูเสือกัดกัน ต่อให้ทั้งสองฝ่ายทุบตีกันจนหัวคนบวมเป็นหัวหมู เขาก็สามารถมองดูคนตายโดยไม่ช่วยเหลือได้ นิสัยข้อนี้ของเขาฝูงชนได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คาดหวังว่าเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ


หัวหน้ากลุ่มเก็บเกี่ยวคิดว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้คงคิดจะฉวยโอกาสนี้เสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะลงมือทันที เขาจรวดปลายนิ้วบรรเลงเพลงขลุ่ยสายหนึ่ง จากนั้นลิงเหล่านั้นก็กระโดดโลดเต้น ไม่สนใจไล่ตามคนอีกต่อไป


ทุกคนถูกเขาช่วยไว้ กำลังรอให้เขายื่นข้อเสนอใดๆ ออกมาอย่างระแวดระวัง นึกไม่ถึงว่าเขาจะหันหลังเหินทะยานไปเลย สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างมินำพา ไม่พูดกับพวกเขาเลยสักประโยค


ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา รู้สึกราวกับหลับฝันไปมิใช่ความจริง


ไม่ต่างกันเลย กลุ่มล่าสัตว์ก็ประสบสถานการณ์ทำนองเดียวกันด้วย ในยามคับขันท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ได้หล่นลงมากฟ้า เมื่อคลี่คลายวิกฤตให้พวกเขาแล้ว เขาก็เหินจากไปอีกครั้ง


ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นชายชาตรีเลือดร้อนที่มีคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ กินของเขาต้องปากหวาน รับของเขาต้องมือไม้อ่อน พวกเขาอยากชดใช้หนี้น้ำใจของคนผู้นี้ ทว่าจนปัญญาที่ยังหาโอกาสไม่ได้


เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ความระแวงที่ฝูงชนมีต่อเขาสลายไปไม่น้อยแล้ว บางครั้งยามที่พบพานอันตราย ก็จะตั้งตารอเขามาจนติดเป็นนิสัยแล้ว…


ดำเนินไปเช่นนี้อยู่ห้าวัน เมื่อตี้ฝูอีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็เริ่มชี้แนะพวกเขาสองสามประโยค อย่างเช่นข้อผิดพลาดบางอย่างในเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนเอย ลูกเล่นยังไม่เพียงพอเอย…


คำชี้แนะของเขาแทบจะจี้ได้ถูกจุดทั้งสิ้น ทำให้พวกเขาประหนึ่งพบหนทางตรัสรู้ ได้รับประโยชน์มหาศาล


คนเหล่านี้ล้วนเชี่ยวชาญการศิลปะวิทยายุทธ์ ลุ่มหลงการเรียนรู้วิชายุทธ์ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ต่อมาจึงเริ่มมีคนเป็นฝ่ายมาขอร้องให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสั่งสอน มาทันตอนที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอารมณ์ดี ชี้แนะพวกเขามากขึ้นไม่กี่ประโยคก็เพียงพอให้พวกเขาต้องขบคิดอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองไปกว่าสิบปีแล้ว!


ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเช่นนี้ นอกเหนือจากผู้ที่ต้องการประชันขันแข่งกับตี้ฝูอีอย่างแท้จริงหรือแม้กระทั่งบางคนค่อนข้างมีความแค้นเล็กๆ น้อยๆ กับเขาแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนศิโรราบต่อตี้ฝูอีแล้ว เป็นฝ่ายกล่าวออกมาด้วยตัวเองอย่างชัดเจนว่าเห็นชอบเรื่องวิวาห์ของตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่ว


ตี้ฝูอีก็มิได้วางตัวสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นตลอดเวลาแล้ว เขาเข้าถึงประชาชนยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบสุราออกมาแบ่งปันสังสรรค์กับพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว


บนโต๊ะสุราเป็นแหล่งที่บุรุษคบหากันเป็นสหายได้ง่ายดายที่สุด ร่ำสุราด้วยกันไปหนหนึ่ง คนเหล่านี้ก็เห็นตี้ฝูอีเป็นเหล่าพี่น้องแล้ว


พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นชอบกับเรื่องวิวาห์นี้ด้วยตัวเองเท่านั้น หลายคนถึงขั้นที่เริ่มเกลี้ยกล่อมคนที่ไม่เห็นชอบพวกนั้นแล้วด้วย


————————————————————–


บทที่ 1360 การกลั่นแกล้งจากพี่ใหญ่ (6)


กล่าวคือกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเดิมทีก็เป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้างอยู่แล้ว ผู้อื่นยอมเสี่ยงภัยตามเก้ารอดหนึ่งไล่ตามมาถึงที่นี่เพื่อตามหาภรรยา ความรักนี้สั่นสะเทือนฟ้าดินได้เลย ประกอบกับแม่นางกู้ซีจิ่วก็ปักใจในตัวเขาเช่นกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นไม้คานตีขัดคู่ยวนยางเลย หากคัดค้านต่อไปก็ไม่สมเป็นชายเลยสักนิด!


ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน ในหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากไป๋หลี่เช่อแล้ว แทบทั้งหมดล้วนกลายเป็นผู้ให้การสนับสนุนงานวิวาห์ครั้งนี้แล้ว ทุกคนพากันมาหาหลัวจั่นอวี่ แสดงความคิดเห็นเช่นนี้ของตนออกมา


หลัวจั่นอวี่ไม่คาดคิดเลยว่าในระยะเวลาสิบวันตี้ฝูอีก็สามารถสยบชายฉกรรจ์ที่ดื้อด้านหัวรั้นเหล่านี้ได้แล้ว ในใจยังคงเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย เพียงรอให้เขาโค่นไป๋หลี่เช่อที่กระดูกแข็งเคี้ยวยากลงให้ได้เท่านั้น


ไป๋หลี่เช่อชอบพอกู้ซีจิ่วเป็นเรื่องที่คนทราบกันทั่ว เขามีนิสัยหัวรั้นดื้อแพ่งยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดกำลัง วัวเก้าตัวก็อย่าหมายว่าจะลากกลับมาได้!


ปัญหาเรื่องกู้ซีจิ่วนี้จะไม้อ่อนหรือไม่แข็งก็ใช้กับเขาไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าใครพูดมากไปเขาก็ตัดสัมพันธ์กับผู้นั้นทันที!


ท่าทีของเขาแข็งกร้าวปานนี้ บรรดาสหายเหล่านั้นของเขาจึงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมเขา เลี่ยงไม่ให้ถูกเขาฟาดงวงฟาดงาใส่


เป็นเช่นนี้จนผ่านพ้นไปเกือบครึ่งเดือน เขายังคงไม่ปริปากออกมา


จวบจนเวียนมาถึงวันชุมนุมทุกครึ่งเดือนอีกครั้ง


ฝูงชนมารวมตัวกัน กู้ซีจิ่วก็ออกจากเรือนหลอมโอสถมารวมตัวกับคนอื่นอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก


เกือบครึ่งเดือนมานี้เธอไม่ได้พบหน้าตี้ฝูอีเลยสักครั้งจริงๆ มากสุดก็แค่มองดูอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็ต่างคนต่างยุ่งเรื่องของตน


กองไฟ เนื้อย่าง อาหารเลิศรสหลากหลายชนิด…


เพียงแต่ผู้คนไม่มีกะจิตกะใจจะลุกขึ้นมาร้องรำหยอกเอินกันเลยสักนิด


ณ ที่แห่งนี้ถึงแม้ส่วนใหญ่แล้วความเป็นความตายจะเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างไรก็สูญเสียพวกพ้องถึงสี่ห้าคนไปในงานชุมนุมรอบกองไฟครั้งก่อน สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนไม่น้อย ในงานชุมนุมรอบกองไฟครั้งนี้จึงมีคนเอ่ยถึงพวกเขาอย่างอดไว้ไม่อยู่ บรรยากาศจึงหดหู่ลงกว่าเดิมมาก


เพื่อจะปลุกปลอบขวัญกำลังใจของทุกคน หลัวจั่นอวี่จึงให้ผู้คนนั่งล้อมวงแล้วเล่นเดิมพันสุรากัน


การเล่นเดิมพันสุราของทุกคนย่อมมีข้อจำกัดยิ่ง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากการละเล่นจำพวกตีกลองเวียนช่อบุปผา ทุกคนเล่นกันอย่างไม่มีกะจิตกะใจสักเท่าไหร่ ยังคงอึมครึมไร้ชีวิตจิตใจ ทำให้หลัวจั่นอวี่กังวลอย่างยิ่ง


จู่ๆ กู้ซีจิ่วที่นั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันไปเรื่อยอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดก็เสนอการละเล่นอย่างหนึ่งขึ้นมา…ถามหรือท้า[1]


การละเล่นนี้สำหรับคนยุคปัจจุบันเล่นจนหน่ายแล้ว แต่สำหรับคนเหล่านี้แล้วยังคงสดใหม่ยิ่งนัก ทำให้ทุกคนคึกคักขึ้นไม่น้อยจริงๆ


เธออธิบายกฎอย่างคร่าวๆ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเริ่มเล่นกัน


ยามที่แพ้คนส่วนใหญ่ยังคงเลือกการถามอยู่ดี ถึงอย่างไรการท้าทายก็ไร้ขอบเขตเกินไป ทุกคนยังคงพะวงอยู่บ้าง


กู้ซีจิ่วก็แพ้ไปหนึ่งตาเช่นกัน ส่วนผู้ชนะก็บังเอิญเป็นไป๋หลี่เช่อพอดี


ไป๋หลี่เช่อดื่มสุราไปไม่น้อยแล้ว ยามนี้ดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยของเขามองดูเธอ “ซีจิ่ว เจ้าจะเลือกถามหรือท้า?”


กู้ซีจิ่วควงตะเกียบในมือเอ่ยถามเขา “คำท้าคืออะไร? แล้วคำถามล่ะคืออะไร?”


ไป๋หลี่เช่อสูดลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “คำท้าคือเจ้าต้องจุมพิตข้าต่อหน้าฝูงชนคราหนึ่ง คำถามนั้นย่อมเป็นต้องตอบคำถามข้ามาตามจริง โป้ปดไม่ได้แม้สักครึ่งประโยค!”


เมื่อกล่าวออกมา รอบข้างก็เงียบสงัดลง


————————————————————————————-


[1] ถามหรือท้า (Truth or Dare) เป็นเกมที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ผู้จะมาล้อมวง แล้วพลัดกันเล่นเกมทีละคน เมื่อถึงตาที่จะต้องเล่น ผู้เล่นต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างตอบคำถามหรือรับคำท้าทาย ถ้าไม่ตอบตามความเป็นจริงหรือปฏิบัติตามคำท้าไม่ได้จะถูกลงโทษด้วยการให้ดื่มเหล้า


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)