พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1353-1358

 บทที่ 1353 ลงมือแล้วจริงๆ

Ink Stone_Fantasy

พวกเขามีความมั่นใจนี้จริงๆ บอกว่าทัพกลางจะเกิดเรื่องก็จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน พวกเขาแค่บอกนิดเดียวก็เพียงพอจะทำให้เกิดเรื่องได้แล้ว


เหยาหย่วนชูพูดต่อว่า “ที่พี่คังพูดก็มีเหตุผล คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการทัพกลางที่สุดก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการสามคนที่มีอยู่ในทัพกลางอยู่แล้ว ข้าน้อยคิดว่าควรจะเลือกจาก เผยไหลหมิง อู๋เฟิงและเหิงก่วงหลิง สวีถังหรานไม่เหมาะสมเลย!” ประโยคสุดท้ายเท่ากับปฏิเสธชื่อที่เหมียวอี้เสนอมาแบบตรงๆ


สิ่งที่เรียกว่าความแข็งกร้าวคืออะไร  นี่ก็คือความแข็งกร้าว ปฏิเสธการแต่งตั้งและปลดออกจากตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาโดยตรง!


เหมียวอี้มองเบื้องล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูกับมองกลับอย่างมั่นใจว่าตัวเองมีเหตุผล สายตาทั้งสองกดดันเหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ท่าทางเหมือนไร้ความหวาดกลัวและไม่มีความเป็นไปได้ที่จะประนีประนอมเลยสักนิด บรรยากาศตรงนั้นตกอยู่ในความอึดอัดทันที


สวีถังหรานแอบมองข้างล่างและข้างบนไม่หยุด กังวลว่าทั้งสองคนจะฉีกหน้ากันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วสถานการณ์จะแย่


ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่นานมา สุดท้ายก็ยังเป็นเหมียวอี้ที่พูดก่อน น้ำเสียงอ่อนลงนิดหน่อย “สวีถังหรานมียศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง”


“ในทัพกลางนี้มีคนที่มีคุณสมบัติมากกว่าเขาทั้งนั้น” คังจือลวี่กล่าว


เหมียวอี้เปลี่ยนจากเสียงอ่อนเป็นเสียงแข็ง “แล้วถ้าข้าดึงดันจะแต่งตั้งให้สวีถังหรานเป็นผู้บัญชาการทัพกลางล่ะ?”


เหยาหย่วนชูยืนกรานว่า “เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่พี่คังบอก ทัพกลางจะต้องเกิดเรื่องแน่! ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้ากำลังพลทัพกลางร่วมมือกันใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี ค่ายกลใหญ่นี้ก็ต้านทานไม่ไหวนะ!” นี่เป็นการขู่กันซึ้งๆ หน้า!


ในฝ่ามือสวีถังหรานกำเหงื่อเอาไว้ ส่วนหยางชิ่งก็สีหน้าหวั่นวิตก ส่วนไห่ผิงซินที่อยู่นอกประตูตำหนักก็ยื่นหน้าเข้ามามอง เหยียนซิวยังคงยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่าง


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ หลังจากรับตำแหน่ง แค่การแต่งตั้งครั้งแรกก็โดนกลั่นแกล้งแล้ว ทั้งสองทำเกินไปหน่อยรึเปล่า?”


เหยาหย่วนชูเถียงว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรากลั่นแกล้งผู้บัญชาการใหญ่ แต่ผู้บัญชาการใหญ่กำลังกลั่นแกล้งเหล่าพี่น้องในทัพกลาง นี่แปลว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่เชื่อมั่นในตัวของพี่น้องในทัพกลาง แล้วในภายหลังจะให้เหล่าพี่น้องทุ่มเททำงานได้ยังไง? เอาอย่างนี้ดีมั้ย ตอนบ่ายผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพก็จะมาถึงแล้ว พวกเราจะไม่พูดอะไร ผู้บัญชาการใหญ่ถามความเห็นของพวกเขาได้เลย ดูว่าบรรดาพี่น้องทั้งข้างล่างข้างบนจะตอบตกลงหรือเปล่า”


คังจือลวี่พยักหน้า “ใช่! ถ้าผู้บัญชาการใหญ่รู้สึกว่าพวกเราสองคนจงใจกลั่นแกล้ง ก็ลองถามความเห็นของพวกพี่น้องได้เลย”


นี่ยังคงเป็นการขู่เข็ญซึ่งๆ หน้า ชัดเจนว่าจะให้เหมียวอี้ได้เห็นว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจตัดสินใจที่ธงพยัคฆ์ดำ


“ข้าไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของพวกเขา ข้าเพียงถามพวกเจ้าสองคนว่าตอบตกลงหรือไม่ ข้าเชื่อว่าขอเพียงพวกเจ้าสองคนตอบตกลง พวกลูกน้องก็จะไม่มีความเห็นแย้ง” เหมียวอี้กล่าวอย่างสงบนิ่วเยือกเย็น


นับว่าเจ้ารู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง! เหยาหย่วนชูตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวเกินความจริงไปแล้ว พวกเราสองคนตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้บัญชาการใหญ่ไปถามพวกพี่น้องเองแล้วกัน”


“ตอนนี้ข้าถามพวกเจ้าสองคนว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง!” เหมียวอี้เน้นย้ำอีกครั้ง


คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบพร้อมกันว่า “หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะคิดทบทวน!”


เหมียวอี้หลับตาลงอย่างช้าๆ “ทั้งสองดึงดันจะต่อต้านข้าให้ถึงที่สุดนี่นา!”


“ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวแบบนี้ก็ไม่ถูก พวกเราก็คำนึงถึงนายท่านด้วยเหมือนกัน และคำนึงถึงธงพยัคฆ์ดำด้วย ไม่ได้มีเจตนาจะต่อต้านนายท่านเด็ดขาด” เหยาหย่วนชูกล่าวด้วยความเคารพอย่างสูง


“ในเมื่อพวกเจ้าสองคนไม่ตอบตกลง งั้นก็รบกวนให้เขียนเหตุผลที่ไม่ตอบตกลงมาหน่อย ข้าจะได้ส่งให้เบื้องบนตัดสินได้สะดวก” เหมียวอี้กล่าวทั้งๆ ที่หลับตา


ทั้งสองจะเขียนอะไรแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าเหมียวอี้ไปให้เบื้องบนตัดสินโดยไม่กลัวเสียหน้า ไม่กลัวเบื้องบนจะสงสัยว่าอาศัยความสามารถของเหมียวอี้แล้วไม่สามารถคุมลูกน้องได้ แต่พวกเขายังกลัวจะทิ้งจุดอ่อนเอาไว้ ย่อมไม่ยอมเขียนแน่นอน จึงวิธีการชักจูงต่อไป คังจือลวี่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ตอบตกลง ประเด็นคือพวกเราตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านไปถามความเห็นของพวกพี่น้องดีกว่า”


“สองคนนี้สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์!” เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ จ้องมองทั้งสองคน ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “เหยียนซิว!”


บรรยากาศตึงเครียดพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว เหยียนซิวที่อยู่ข้างหลังเขาพลันหายไปราวกับผี โผไปหาสองคนข้างล่าง


ไห่ผิงซินที่อยู่นอกตำหนัก หยางชิ่งกับสวีถังหรานที่อยู่ในตำหนัก พอเห็นเหยียนซิวลงมือกะทันหัน ทุกคนก็ทำสีหน้าตกใจมาก


และตอนที่เหมียวอี้กล่าวคำว่า ‘สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์’ ออกมา คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว จู่ๆ เห็นเหยียนซิวลงมือ พวกเขาก็ทั้งตกใจทั้งโมโห ถึงไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีความกล้าในการลงมือกับพวกเขาสองคนจริงๆ


“บังอาจ!” คังจือลวี่ตะโกนอย่างเดือดดาล พลิกฝ่ามือหยิบทวนออกมา จากนั้นแทงทวนใส่เหยียนซิวที่กระโจนเข้ามา ลงมืออย่างรวดเร็วมาก


เหยาหย่วนชูที่กำลังโกรธขึงขังถือทวนอยู่ในมือ ถ้าจับโจรก็ให้จับหัวหน้าโจรก่อน เขาถลันตัวขึ้นไปหาเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนทันที ฉีกหน้ากันอย่างถึงที่สุดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเกรงใจอีก ความเร็วนั้นทำให้หยางชิ่งกับสวีถังหรานตอบสนองไม่ทัน อาศัยกำลังของทั้งสอง ถ้าอยากจะหยุดยั้งก็ไม่มีความสามารถนั้น


เหยียนซิวที่ลงมือคนแรกไม่หลบไม่หลีก และไม่สนใจความปลอดภัยของเหมียวอี้ด้วย จะเอาชีวิตคังจือลวี่โดยตรง


ในดวงตาคังจือลวี่ฉายแววตกตะลึงไม่น้อย ตกตะลึงการรุกโจมตีที่รวดเร็วของเหยียนซิว ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา โดนปิดบังวรยุทธ์แล้ว!


เขาคิดไม่ตกว่าเหยียนซิวปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองได้อย่างไร ตอนที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายรับสมาชิก ก็จะต้องตรวจสอบสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้ว


ขณะที่กำลังตกใจ ดวงตาก็ฉายแววดีใจ เหยียนซิวหลบทวนที่ดุร้ายของเขาไม่ทัน ทวนแทงโดนหน้าอกของเหยียนซิว จมเข้าไปแล้ว!


ฉากนี้ทำให้หยางชิ่งกับสวีถังหรานตะลึงค้าง ในใจร่ำร้องอย่างบ้าคลั่งว่าซวยแล้ว ท่าไม่ดีแล้ว!


ทว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เห็นรอยเลือดใดๆ จากตัวเหยียนซิวที่โดนแทงหน้าอก กลับเห็นเหยียนซิวที่โดนทวนพุ่งไปข้างหน้าต่อ ในแขนเสื้อสองข้างยิ่งกรบเล็บแหลมออกมา เล็บสีเขียวดำที่แหลมคมราวกับเป็นแสงเย็นสิบสาย


คังจือลวี่รีบใช้ฝ่ามือฟันเหยียนซิวที่โจมตีเข้ามา ความเร็วในการโจมตีเหนือกว่าเหยียนซิว


เหยียนซิวตาขวางดุร้าย ใช้กรงเล้บข้างหนึ่งรับไว้ แทบจะเกิดเป็นสี่เงาในชั่วพริบตาเดียว ‘กรงเล็บภูตอเวจี’ ผงาดขึ้นมาเป็นครั้งแรก


ปั้ง! วินาทีนั้นเลือดสดสาดกระจายทั่วทิศ ทำลายฝ่ามือของคังจือลวี่ที่ฟันเข้ามาแล้ว


“เอื้อ…” คังจือลวี่ส่งเรียงร้องเจ็บปวด ที่เสียดายไม่ใช่ฝ่ามือที่ขาดไป แต่เขาพลันก้มมองหัวใจของตัวเอง เกราะม่วงยศแม่ทัพบนร่างกาย ไม่น่าเชื่อว่าเกราะรบหนาที่คลุมบนหน้าอกตรงหัวใจจะมีเสียงดัง ‘แคว่ก’ โดนกรงเล็บของเหยียนซิวทำลายขาดแล้ว กรงเล็บแหลมทั้งห้าจมลงในหน้าอกของเขาแล้ว เลือดสดระเบิดกระเด็นออกมา


หัวใจที่เต็นอยู่ในหน้าอกของเขาโดนเหยียนซิวกุมไว้แล้ว ถ้ากล้าขัดขืนละก็ เหยียนซิวก็สามารถบีบขย่ำเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ


คังจือลวี่ที่ดวงตาฉายแววตกตะลึงรีบมองไปที่เหยียนซิว มองดูเหยียนซิวที่โดนทวนแทงทะลุหน้าอกแต่กลับเหมือนคนไม่เป็นอะไร เป็นไปได้อย่างไร?


ปั้ง!


เหยาหย่วนชูที่อยู่อีกด้านแทงทวนไปทางเหมียวอี้ เขาลงมือได้รวดเร็วมากพอแล้ว เหมียวอี้ก็ผลักลูกกลมสีแดงสีแดงขนาดใหญ่ลูกหนึ่งออกมาต้านไว้ด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน ทวนแทงโดนลูกกลมสีแดงแล้ว ทว่ายิ่งพลังโจมตีของเขามีมากเท่าไร การโต้ตอบของลูกกลมสีแดงก็ยิ่งเร็วเท่านั้น ราวกับชามที่พลิกกลับด้าน ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบเขาเอาไว้ในนั้นแล้ว


พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดทำให้เก้าอี้ในตำหนักปลิวว่อนกระจัดกระจาย


เหมียวอี้ที่ถลันตัวขึ้นเหยียดเท้าไปข้างหลัง เตะบัลลังก์จนกระเด็น พร้อมใช้นิ้วร่ายวิชา รีบปิดครอบ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ เอาไว้


ปั้งๆๆ! ในลูกกลมตีไม่พังมีเสียงโจมตีอย่างบ้าคลั่งดุเดือดดังขึ้น ทว่าของวิเศษที่ทำจากผลึกแดงจะโดนโจมตีพังง่ายๆ ได้อย่างไร


แต่เหมียวอี้ก็ไม่สามารถควบคุมเหยาหย่วนชูที่อยู่ในลูกกลมตีไม่พังได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทำอะไรลูกกลมตีไม่พังไมได้ ไม่น่าเชื่อว่าเหยาหย่วนชูดันลูกกลมตีไม่พังพุ่งชนใส่เหมียวอี้เสียเลย


ตรงหน้าเหมียวอี้กลับมีเงาร่างขนาดใหญ่โผออกมาอย่างเหี้ยมหาญ เป็นเฮยทั่นที่สวมเกราะรบดุร้ายทั้งตัว ปั้ง! ใช้สองเล็บสองข้างยันลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่เอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกำลังอันป่าเถื่อนต้านทานเหยาหย่วนชูที่มีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองได้ ทำให้เหยาหย่วนชูไม่มีทางขยับไปข้างหน้าได้เลย ไม่เสียแรงที่กินยาเจี๋ยตันมาหลายปี


ส่วนเหยียนซิวที่กุมหัวใจของคังจือลวี่เอาไว้ก็ลงมืออีกครั้ง รีบผนึกวรยุทธ์บนร่างกายคังจือลวี่เอาไว้ ยังไม่ฆ่าในทันที ชักกรงเล็บที่ขยุ้มหัวใจคังจือลวี่ออกมา แล้วจับคังจือลวี่ไปโยนให้หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ บนหน้าอกยังมีทวนด้ามหนึ่งเสียบอยู่ จู่ๆ ก็หันตัวมองไปทางลูกกลมสีแดงใหญ่ที่กำลังคุมเชิงอยู่กับเฮยทั่น


ระหว่างลูกกลมตีไม่พังยังมีซอกร่อง เหยาหย่วนชูเห็นคังจื่อลวี่แพ้และโดนจับผ่านซอกร่องนั้น จึงหวั่นวิตกทันที มีหรือที่จะกล้าเสียเวลาต่อไป รีบหยุดสู้กับเฮยทั่น และดันลูกกลมสีแดงพุ่งไปอีกด้านหนึ่งแทน


เฮยทั่นกระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่าทันที เหยียนซิวถลันตัวเข้าไปดักไว้แล้ว ใช้ฝ่ามือตบอย่างบ้าคลั่ง


โครม! พลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมซัดสาดที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลังโจมตี ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักใหญ่หลังนี้จะรับไหว ตำหนักใหญ่ที่เดิมทีก็โดนพลังอิทธิฤทธิ์พัดม้วนจนต้องดันทุรังประคองตัวไว้ ตอนนี้ได้พังทลายลงแล้ว ฝุ่นควันตลบอบอวล


การโมตีที่ใช้กำลังปะทะครั้งเดียวนี้ทำให้เหยียนซิวกระเด็นออกไปทันที ที่มุมปากก็มีรอยเลือดเช่นกัน


ถ้าพูดถึงวรยุทธ์ เหยียนซิวยังห่างไกลจากเหยาหย่วนชู เสียเปรียบแล้ว แต่กลับทำถ่วงเวลาการตีฝ่าวงล้อมของเหยาหย่วนชูให้ข้าลงชั่วคราวได้ เฮยทั่นฉวยโอกาสนี้โผเข้ามา บึ้ม! ขยุ้มลูกกลมสีแดงตบลงกับพื้น


เหยียนซิวพลิกตัวกระโจนเข้ามาอีกครั้ง พอกางแขนสองข้าง ทั้งร่างกายก็สลายตัว กลายเป็นไอหมอกสีดำแดงในชั่วพริบตาเดียว โผไปที่ลูกกลมตีไม่พัง แทรกซึมเข้าไปตามซอกร่องของลูกกลมตีไม่พังแล้ว ส่วนทวนที่เสียบอยู่บนร่างกายเหยียนซิวก็ตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง


ท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล คนนอกอาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น แต่ภายใต้การต่อสู้ข้างใน พลังอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าฝุ่นควันออกไป หยางชิ่งกับสวีถังหรานเห็นฮากที่แปลกพิลึกของเหยียนซิวอย่างชัดเจนแล้ว เรียกได้ว่าตกใจมาก ทำไมทำเหมือนเป็นนักพรตผีเลยล่ะ แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนนักพรตผี หลักฐานสำคัญก็คือไม่เม็ดยาหยิน!


หินกระเพื่อมปลิวว่อนมั่วไปหมด ฝุ่นควันที่ตลบอบอวลพัดม้วนเข้ามา กลุ่มผู้หญิงที่รวมตัวกันอยู่ในลานบ้านด้านหลัง เดิมทีก็ตกใจกับเสียงต่อสู้ในตำหนักข้างหน้าอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นฉากนี้อีกครั้ง จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเกิดเรื่องแล้ว!


เฟยหงรวมทั้งสาวใช้สองคน เสวี่ยหลิงหลงและสาวใช้ทั้งสอง หลินผิงผิง ชิงจวี๋จำต้องรีบเหาะถอยไปข้างหลัง พวกนางมองฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตระหนกตกใจ เป็นห่วงกังวลผู้ชายของตัวเองสุดขีด แต่ก็รู้ว่าการต่อสู้ประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะไปเข้าร่วม ถ้าเข้าไปร่วมด้วยก็มีแต่จะเพิ่มความยุ่งยาก


ในโลกของผู้ชาย ในสายตาของผู้หญิงแล้ว บางครั้งก็ยากแก่การเข้าใจจริงๆ ทำไมถึงเอาแต่ต่อสู้เข่นฆ่ากันอยู่ตลอด ทำไมถึงต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เสมอ!


“ตำหนักใหญ่ของสำนักถล่ม ศิษย์ทั้งสำนักหกนิ้วโผล่ออกมา มองดูฝุ่นดินที่พัดม้วนภายใต้พลังอิทธิฤทธิ์บนยอดเขาที่สูงที่สุดของสำนักอย่างประหลาดใจสงสัย”


หยางเจาชิงที่เฝ้าอยูหน้าประตูใหญ่ พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็ไม่สนใจว่านักพรตบงกชทองหลายคนของสำนักหกนิ้วที่อยู่ข้างๆ จะตกใจ รีบสวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงแล้ว เรียกสัตว์พาหนะที่เป็นสัตว์เทพออกมาแล้วกระโดดขึ้นขี่  ถือทวนมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย


“ที่สองฝั่งแม่น้ำนอกประตูใหญ่ กำลังพลของทัพกลางรีบเหาะขึ้นฟ้าเพื่อมองสำรวจ และมีคนจำนวนหนึ่งที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


เผยไหลหมิง อู๋เฟิง เหิงก่วงหลิงเหาะขึ้นจากฝั่งแม่น้ำทิศตะวันออก พอเห็นเหตุการณ์บนยอดเขา ทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก เผยไหลหมิงหลุดอุทานว่า “โชคไม่ดีเป็นจริงตามที่ข้าพูดแล้ว เจ้าแซ่หนิวใจกล้านัก ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือแล้วจริงๆ!”


บทที่ 1354 เคลื่อนไหวก่อกบฎ

Ink Stone_Fantasy

บึ้ม! ตรงจุดที่ตำหนักใหญ่ถล่ม จู่ๆ ก็มีฝุ่นควันกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา ในลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่ที่มีเสียงต่อสู้ดังไม่หยุดพุ่งขึ้นฟ้า เสียงที่ตื่นตระหนกของเหยาหย่วนชูดังออกมา “รีบมาช่วยข้า!”


วูบ! จากนั้นก็เห็นสัตว์ประหลาดดุร้ายที่สวมเกราะรบพุ่งตามหลังมาอีก ไล่แซงหน้าไป แล้วกระโจนกลับหลังกลางอากาศ โผเข้าโจมตีลูกกลมสีแดงอย่างฉับพลัน


แกร๊ง! เกิดเสียงดังมาก สัตว์ประหลาดดุร้ายกอดลูกกลมสีแดงแล้วสั่นหัวส่ายหาง กดลูกกลมสีแดงกลับไปบนยอดเขาที่มีฝุ่นตลบอบอวล


“เร็วเข้า! เรียกรวมนักพรตบงกชรุ้งทุกคนของทัพกลาง!”


เผยไหลหมิงพลันหันกลับมาตะโกน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะบอกคังจือลวี่และเหยาหย่วนชูไว้อย่างดี แต่ที่จริงก็ไม่ได้คิดเลยว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือจริงๆ เขาแค่พูดให้ฟังดูดีเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำตามที่พูดเลย สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ถ้าจะให้กำลังพลทัพกลางเร่งรีบเป็นกังวลเพื่อหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว พวกลูกน้องก็จะต้องคิดว่าเขากลัวหนิวโหย่วเต๋อแน่


แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเหยาหย่วนชูก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ลงมือจริงๆ


“เรียกรวมกำลังพลทัพกลาง!” อู๋เฟิงกับเหิงก่วงหลิงตะโกนเสียงสูงอย่างร้อนใจ


พอถ่ายทอดคำสั่งลงไป กำลังพลทัพกลางก็ตอบสนองเร็วมาก กำลังพลนับหมื่นรีบเหาะขึ้นฟ้าอยู่นอกค่ายกลป้องกัน


พรึ่บ! หยางเจาชิงขี่สัตว์เทพพุ่งออกมา ถือทวนบุกเดี่ยวคุมเชิงกับทัพใหญ่กลางอากาศ โบกทวนพร้อมตะโกนถาม “บังอาจ! อยากจะก่อกบฏรึไง?”


เผยไหลหมิงตะโกน “รีบเปิดค่ายกลใหญ่เดี๋ยวนี้ แล้วจะละเว้นชีวิตเจ้า!”


“หยางเจาชิง ที่ปรึกษาของผู้บัญชาการใหญ่อยู่นี่แล้ว คนของทัพกลางมีใครกล้าเร่งรัด!” หยางเจาชิงตะคอกอย่างโมโห


เผยไหลหมิง อู๋เฟิง เหิงก่วงหลิงไม่เปลืองคำพูดอีกต่อไป และสิ้นเปลืองเวลาต่อไปไม่ได้ด้วย ชี้อาวุธไปที่จุดจุดเดียวทันที พร้อมถ่ายทอดคำสั่ง “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”


กำลังพลนับหมื่นที่อยู่บนฟ้าช้อนธนูขึ้นมาทันที วางลูกธนูไว้บนสาย บนธนูมีลำแสงหมุนวน ทุกคนเล็งไปเป้าหมายไปยังจุดจุดเดียว


“โจมตีพังค่ายกล ยิง!” ทั้งสามโบกมือออกคำสั่งพร้อมกัน


ซวบๆๆๆ! ธนูดาวตกนับร้อบพลันยิงออกมา พอโจมตีโดนแล้วก็ค้างอยู่กลางอากาศ ตาข่ายครอบโปรงแสงสีขาวเงินขนาดใหญ่โดนโจมตีจนปรากฏรูปร่าง ด้านบนมีกระแสคลื่นลำแสงซัดสาด กำลังลดพลังโจมตีจำนวนมากให้น้อยลง


ซวบๆๆ! ลูกธนูยิงออกไปหนึ่งระลอก ลูกธนูระลอกที่สองก็ตามออกไป ตามติดด้วยระลอกที่สาม แต่ละครั้งยิงออกไปร้อยกว่าดอก แต่ยังคงรุกโจมตีต่อเนื่องไม่หยุด


พวกเขารู้ดีถึงจุดอ่อนของค่ายกลป้องกันนี้ ถ้าหากร่วมกันยิงให้โดน ค่ายกลใหญ่มีความสามารถในการลดพลังโจมตีเยอะมาก ขอเพียงรักษาอานุภาพการโจมตีไว้ประมาณหนึ่ง โจมตีไปที่จุดจุดเดียว ทำให้ความสามารถในการลดพลังโจมตีของค่ายกลใหญ่ตามจังหวะการโจมตีไม่ทัน เมื่อความสามารถในการโคจรภายนอกทำลายตัวเองและโคจรไม่ได้อีก ค่ายกลใหญ่ก็ย่อมพังทลายอยู่แล้ว


นักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคนตั้งธนูรอยิง ภายใต้การยิงอย่างต่อเนื่อง สีของค่ายกลใหญ่ป้องกันเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ตอนที่พวกเขายิงออกไป ก็ทำลายค่ายกลใหญ่ได้ภายในทีเดียว


ในเวลานี้ ตาข่ายโปร่งแสงสีขาวเงินที่ครอบอยู่เหนือท้องฟ้าของสำนักหกนิ้ว มีคลื่นแสงกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด สถานการณ์อันตรายมาก


ศิษย์สำนักหกนิ้ว โดยเฉพาะเจ้าสำนักไป๋หลัน เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็เรียกได้ว่าหน้าซีดเผือด เมื่อถูกทัพกลางโจมตีค่ายกลป้องกัน คนที่ดวงซวยก็ไม่ได้มีแค่พวกหนิวโหย่วเต๋อแล้ว สำนักหกนิ้วจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่นอน ใครใช้ให้พวกเขายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อล่ะ เกรงว่าต่อให้ยอมจำนนก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าถูกกดดันจนหมดหนทาง ก็เกรงว่าคงทำได้เพียงสั่งให้ลูกศิษย์นับหมื่นในสำนักร่วมสู้ตายไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว บางทีอาจจะยังมีทางรอดชีวิตอยู่บ้าง


โชคดีที่ในตอนนี้บนยอดเขาสูงสุดมีเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของเหมียวอี้ดังมา “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”


ศิษย์ทุกคนของสำนักหกนิ้วหันไปมอง เห็นเพียงเงาคนหลายคนพุ่งออกมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวลบนยอดเขา


เหมียวอี้สวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงทั้งตัว ในมือถือทวนเกล็ดย้อน ขี่สัตว์เทพหน้าตาดุร้าย นำพุ่งขึ้นมาเป็นคนแรก ทุกคนที่อยุ่ข้างหลังล้วนสวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง


ไห่ผิงซินตามอยู่ข้างหลัง บนบ่าแบกธงพยัคฆ์ดำที่เสาหักแล้ว ธงใหญ่ปลิวสะบัดรับลม เพียงแต่ธงใหญ่ยาวถึงสามจั้ง กว้างสองจั้ง นางที่แบกเสาธงหักต้นใหญ่หยาบอยู่ข้างล่างดูตัวเล็กจิ๋วไปเลย แต่นางหนูคนนี้ก็แบกธงอย่างฮึกเหิมมาก ดูมีความหวังมาก เพื่อปกป้องคนที่นางบูชานับถือที่สุดในใจ


เหยาหย่วนชูที่สะบักสะบอมเกินทนถูกหิ้วอยู่ในมือสวีถังหราน คังจือลวี่ที่ก้มหน้าห่อเหี่ยวใจถูกหิ้วอยู่ในมือหยางชิ่ง เหยียนซิวที่สองมือว่างเปล่ามีรอยเลือดบนมุมปาก บนเสื้อผ้าตรงหน้าอกยังมีรอยขาดเป้นช่องโหว่


เหยาหย่วนชูกับคังจือลวี่มีวรยุทธ์สูงกว่าเหยียนซิวนั้นไม่ผิด ทว่าสุงกว่าแค่หนึ่งขั้น ยามลงมือสู้กันขึ้นมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหยียนซิวเลย เหยียนซิวฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคคนกับภาคดินแล้ว ความแตกต่างของวรยุทธ์ขั้นเดียวไม่อยู่ในสายตาเหยียนซิวเลย และนี่ก็เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้เหมียวอี้กล้าลงมือ คนอื่นไม่รู้ถึงศักยภาพของเหยียนซิว แต่เหมียวอี้กลับรู้ดี


แต่ประเด็นสำคัญก็คือเหมียวอี้ต้องการความเร็ว ต้องการเอาชีวิตสองคนนั้นให้ได้ก่อนที่ทัพใหญ่จะโจมตีพังค่ายกลป้องกัน ไม่อย่างนั้นถ้าทัพใหญ่เข้ามาร่วมด้วย นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว กำลังพลที่สวมเกราะรบอย่างดีพวกนี้ ต่อให้สู้กับนักพรตบงกชกลาย ต่อให้จะเอาชนะไม่ได้ แต่ถ้าร่วมมือกันสู้ขึ้นมาก็ยังพอต้านทานได้ เมื่อดอกธนูนับหมื่นยิงออกมาพร้อมกัน แม้แต่นักพรตบงกชกลายก็ยังต้องหลบคมของมัน แล้วพวกเหมียวอี้ที่มีกำลังน้อยจะต้านไหวได้อย่างไร


เพื่อไม่ให้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูหนีไปได้ตอนเสียเวลาสู้กัน เหยียนซิวจึงจำเป็นต้องเสี่ยงไปโดนคังจือลวี่โจมตีก่อนครั้งหนึ่ง ตอนหลังเพื่อที่จะหยุดยั้งเหยาหย่วนชู ก็ยิ่งอาศัยวรยุทธ์ที่ต่ำกว่าไปปะทะโดยตรง สิ่งนี้ถึงได้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นคังจือลวี่ดับเหยาหย่วนชูร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหยียนซิวอยู่ดี


ขณะเดียวกัน เหมียวอี้ก็เสี่ยงอันตรายเช่นเดียวกัน สู้กับเหยาหย่วนชูซึ่งๆ หน้าแล้ว ถ้า ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะมีออกมา แบบนั้นเหมียวอี้ก็จะอยู่ในอันตรายแล้ว แต่เขากล้าเสี่ยงอันตรายนี้ จึงกล้าทำแบบนี้ ดังนั้นจึงทำสำเร็จแล้ว!


เฟยหงและผู้หญิงคนอื่นๆ กำลังมองฉากนี้จากบนฟ้า พอเห็นพวกเหมียวอี้ทำสำเร็จแล้ว ก็เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่พวกเหมียวอี้สามารถทำสำเร็จได้อย่างปลอดภัย แต่ตกใจว่าจะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร ต่อให้สามารถเรียกคนของสำนักหกนิ้วมาลงมือด้วยกันได้ แต่จะต้องต้านทานการโจมตีของกำลังพลทัพกลางไม่ไหวแน่นอน แค่นักพรตบงกชรุ้งอย่างเดียวก็มีห้าสิบกว่าคนแล้ว!


พอสวีถังหรานที่แข็งใจตามออกมาเห็นทัพใหญ่จัดกระบวนทัพล้อมโจมตี เหงื่อก็ท่วมหลังก็ด้วยความหวาดกลัว ขาสองข้างอ่อนแรงเล็กน้อย แต่หยางชิ่งเตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะกังวลว่าเหมียวอี้จะทำอะไรบุ่มบ่าม แต่สวีถังหรานมองไม่ออกสักนิดเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะทำแบบนี้ มารดาเจ้าเถอะ นี่เป็นการเอาชีวิตมาล้อเล่นชัดๆ!


ตอนนี้ต่อให้สวีถังหรานจะโง่แค่ไหนแต่ก็ดูออก ตั้งแต่วางแผนกันคนของทัพกลางออกไปจากค่ายกลใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ก็เตรียมจะลงมือกับคังจือลวี่และเหยาหย่วนชูแล้ว ที่แยกกำลังพลของทัพกลางออกไปก็เพื่อแยกกองกำลังหนุนของสองคนนั้นออกไป ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่บอกตนสักคำ ตกใจแทบแย่แล้ว


แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว! ขึ้นเรือโจรมากแล้ว ถ้าไม่ทำตามเหมียวอี้ก็ไม่ปล่อยเขาไปแน่ ฝั่งธงพยัคฆ์ดำก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปเหมือนกัน ทำได้เพียงเดินตามเส้นทางตายของเหมียวอี้ไปจนถึงที่สุด


ที่พึ่งเดียวของเขาก็คือท่านนั้นแล้ว สวีถังหรานมองเหยียนซิวที่มีเลือดตรงมุมปากในทันที รู้สึกตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว เขานึกไม่ถึงว่าเจ้าคนที่ทำตัวเหมือนผีจะห้าวหาญขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้กรงเล็บนั่นฉีกเกราะรบผลึกม่วงให้ขาดได้ด้วยมือเปล่า แบบนี้คงแหลมคมถึงขนาดไหนกัน?


แต่เมื่อครู่นี้เหมียวอี้ก็เตือนไว้แล้ว ว่าเรื่องของเหยียนซิวในวันนี้ห้ามเปิดเผยต่อภายนอก


เมื่อเผยธงพยัคฆ์ดำใหญ่ออกมา ก็ดึงดูดสายตาของทุกคนแล้ว พวกเขารู้สึกหวาดเกรงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรทุกคนก็ทำงานรับใช้อยู่ภายใต้ธงผืนนี้มาหลายปี ภายใต้อานุภาพที่สะสมมา ธงใหญ่ตัวแทนตัวแทนผืนนี้ก็คืออำนาจบารมีสูงสุดของธงพยัคฆ์ดำ! ด้วยเหตุนี้เอง ลำแสงที่เป็นลูกคลื่นอยู่บนค่ายกลจึงไม่กระเพื่อมอีกต่อไป กำลังพลของทัพกลางทยอยกันหยุดโจมตี คนคนเดียวคนหยุดก็สามารถส่งผลให้คนอื่นหยุดกันเป็นแถบ พอหยุดไปแถบหนึ่งก็แทบจะทำให้หยุดกันทั้งหมด


นี่ไม่ใช่ความหวาดกลัวเพราะการปรากฏขึ้นของธงพยัคฆ์ดำใหญ่เท่านั้น สาเหตุสำคัญก็คือคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแพ้แล้ว ถูกผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อจับตัวไว้แล้ว!


เผย อู๋ เหิง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามที่ลอยควบคุมการต่อสู้อยู่บนฟ้าเห็นเหตุการณ์นี้แล้วตกใจ เห็นว่ากำลังจะพังค่ายกลได้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงหยุดแล้วล่ะ เผยไหลหมิงมองด้านล่างพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทำไมถึงหยุด! รุกโจมตี! รีบช่วยชีวิตรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง!”


“ใครกันที่กล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่รู้จักเผย อู๋ เหิง แต่เดาออกถึงสถานะตัวตนของสามคนนี้แล้ว จึงประกาศฐานะของตัวเองด้วยเสียงดัง “ข้าคือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ วันนี้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเคลื่อนไหวก่อกบฏ จะแย่งชิงอำนาจของธงพยัคฆ์ จึงจับไปลงโทษประหาร ไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี! เดิมทีทัพกลางก็ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการใหญ่อยู่แล้ว ฟังแค่คำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ก็พอ สามคนที่ที่กำลังพูดจาอวดดีคงจะไม่ใช่กำลังพลทัพกลางของข้าแน่นอน เป็นใครกันที่มาทำกำเริบเสิบสานอยู่ที่นี่?” เขาโบกทวนชี้ทั้งสามคนอยู่ไกลๆ


ความหมายที่แฝงในคำพูดก็คือ ทัพกลางเป็นกำลังพลของข้า บังอาจจะมาแย่งตัวนักโทษไปจากมือข้า นี่ไม่ใช่การล้อเล่นหรอกเหรอ!


ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวก่อกบฏแล้ว สีหน้าของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเต็มไปด้วยความขื่นขม สัมผัสได้ถึงความรู้สึก ‘ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร[1]’ ตัวเองโดนจับไปแล้ว เหมียวอี้พูดอะไรก็ต้องว่าตามนั้น ตอนนี้นึกเสียใจทีหลังแทบตาย นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะใจกล้าขนาดนี้ ลงมือกับพวกเขาแล้วจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกก็น่าจะฟังคำเกลี้ยกล่อมของเผยไหลหมิง ถ้าเก็บคนไว้ข้างกายเยอะๆ ก็คงไม่ตกต่ำย่ำแย่จนมีจุดจบแบบนี้


ในบรรดากำลังพลของทัพกลางมีคนไม่น้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ในแววตาดูแปลกใจนิดหน่อย ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวแบบนี้ก็เท่ากับเตะผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามออกจากทัพกลางแล้ว มีตำแหน่งว่าแล้วสามตำแหน่ง!


เป็นปากที่ร้ายกาจจริงๆ !เผย อู๋ เหิง ทั้งสามเดือดร้อนใจแล้ว อู๋เฟิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าลำเอียงเข้าข้างคนนอก เตะพี่น้องของทัพกลางออกจากสถานที่สุขสบาย เอามาโยนไว้ที่รกร้าง สนใจแต่การเสพสุขของตัวเอง ไม่มองเห็นว่าคนของทัพกลางเป็นคนของตัวเองเลย ตอนนี้ก็ต้องการจะยัดข้อหาความผิดให้รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองอีก ธงพยัคฆ์ดำไม่เคยมีผู้บัญชาการใหญ่อย่างเจ้า หนิวโหย่วเต๋อ ปล่อยรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเดี๋ยวนี้ คำเตือนที่หวังดีมักขัดหู  อย่าโทษว่าพวกเราใช้กำลังทหารข่มขู่!”


เผยกับเหิงตะโกนเสียงสนับสนุนเสียงดัง “ปล่อยรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเดี๋ยวนี้!”


ทั้งสามร้อนใจแล้วจริงๆ คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญของของพวกเขาสามคน ถ้าสองคนนั้นตายแล้ว ต่อให้ตอนหลังธงอินทรีสิบกองทัพโค่นล้มหนิวโหย่วเต๋อได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำก็มาไม่ถึงพวกเขาอยู่ดี ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมาเป็น ก็ไม่มีใครอยากเห็นคนอย่างพวกเขาสามคนอยู่ในทัพกลางทั้งนั้น คนทรยศของทัพกลาง แบบนี้ไม่แย่หรอกเหรอ? ไม่ว่าใครจะมาก็ต้องเตะสามคนนี้ออกไปทั้งนั้น ทีสำคัญก็คือ พอคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูตายไป ไม่มีกำลังหลักที่พึ่งพาได้แล้ว ถ้าเหมียวอี้หาทางผูกมัดจิตใจด้วยเล่ห์เพทุบาย ธงอินทรีสิบกองทัพจะสู้ต่อไปหรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย ถ้าทำให้หนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจกองทัพขึ้นมา ทั้งสามก็มีแต่จะตายสถานเดียว!


ตอนนี้ความปรารถนาสูงสุดของทั้งสามก็คือ ช่วยคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูออกมา ขอเพียงช่วยสองคนนี้ออกมาได้ อำนาจทางทหารก็จะยังอยู่ฝ่ายพวกเขา พวกเขาจะยังมีอำนาจตัดสินใจ


…………………………


[1] ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร 成王败寇 อุปมาว่าคนชนะจะพูดอะไรก็ได้ ไม่ว่าตัวเองจะดีหรือเลว


บทที่ 1355 แว้งกัด

Ink Stone_Fantasy

ทว่าการที่เหมียวอี้เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้ ก็เพื่อที่จะกุมสิ่งสำคัญเอาไว้ เมื่อจับมาไว้ในมือได้แล้ว มีหรือที่จะวางมือให้พวกเขาสมปรารถนาง่ายๆ จึงหันซ้ายหันขวาแล้วตะโกนว่า “คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู โจรกบฏสองคนที่ก่อความวุ่นวายน่ะ ประหารซะ!”


ที่ไว้ชีวิตสองคนนั้นไว้ ก็เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ประหารต่อหน้าฝูงชน


“เจ้ากล้าเหรอ!” เผย เหิง อู๋ ทั้งสามที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูดิ้นรนเล็กน้อย แต่จนใจที่ไม่มีกำลังที่จะดิ้นรนให้หลุดได้เลย สีหน้าของพวกเขาหวั่นวิตก หวาดกลัวแล้ว


สวีถังหรานตกใจจนหวาดผวาแล้ว ถ้ากลุ่มคนข้างนอกโจมตีฝ่าเข้ามาได้จะทำอย่างไรดีล่ะ เขาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหยางชิ่ง


“นายท่าน!” หยางชิ่งก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน รีบถ่ายทอดเสียงเกลี้ยกล่อม “ตอนนี้ยังฆ่าสองคนนี้ไม่ได้ คนที่ควบคุมธงอินทรีสิบกองทัพล้วนเป็นคนของพวกเขา ตอนนี้ต้องเก็บพวกเขาเอาไว้บีบผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพ ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้ทหารก่อกบฏ ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงเกินจินตนาการ!”


“หยางชิ่ง!” เหมียวอี้ตะโกนเสียงดัง โบกทวนชี้ไปที่หยางชิ่ง คนที่สมองซับซ้อนวกวนแบบนี้ บางครั้งก็น่ารังเกียจมากจริงๆ เอาแต่คิดว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ทำอย่างนี้ไม่ได้ เอาแต่จะคิดวางแผนแก้ปัญหา ถ้าต้องการจะควบคุมทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกรกลุ่มนี้ จะไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวสักนิดเลยได้อย่างไร ตนแสดงพลังอำนาจถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขากล้าชักช้าไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งต่อหน้าฝูงชน ทำให้พลังอำนาจของตนรั่วไหล ทำให้คนสงสัยเรื่องภายในของตนก็ถือว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน จะบอกว่าก่อกวนขวัญกำลังใจทหารก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป เหมียวอี้อยากจะพุ่งเข้าไปประหารเขาจริงๆ จึงตะโกนอีกครั้งว่า “ประหาร!”


หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ เมื่อเห็นเหมียวอี้โกรธจนตาแดงแล้ว ก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่คือคำขาดสุดท้ายแล้ว


เหยียนซิวก็พลันมองหยางชิ่งตาขวางเช่นกัน หยางเจาชิงที่ขี่สัตว์เทพแฉลบเข้ามากวาดสายตาเย็นเยียบมองสวีถังหราน


ฉึก! สวีถังหรานเห็นท่าไม่ดี จึงพลิกมือถือดาบเอาไว้ พอยกดาบขึ้นแล้วฟันลง เลือดสดก็พุ่งกระจายขึ้นมา ศีรษะใบใหญ่ปลิวขึ้นมาแล้ว ศีรษะของเหยาหย่วนชูโดนเขาตัดทิ้งอย่างรวดเร็วฉับไวภายในดาบเดียว


เพียงแต่หลังจากประหารไปแล้ว พอสวีถังหรานมองกำลังพลทัพใหญ่ที่แน่นขนัดดำเป็นพืด ขาก็รู้สึกชาเล็กน้อย รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว ถ้าคนพวกนี้โจมตีฝ่าเข้ามาได้ ตนก็ไม่มีหาทางรอดชีวิตอะไรแล้ว


“หนิวโหย่วเต๋อ…” เผย อู๋และเหิง ทั้งสามตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ


พอโดนเหมียวอี้ทำสายตาเดือดดาลกระตุ้น หยางชิ่งที่ตระหนักได้ถึงปัญหาของตัวเองก็ไม่ชักช้าอีก พลิกมือคว้าดาบมาฟันลงไปหนึ่งครั้ง ศีรษะของคังจือลวี่กลิ้งลงบนพื้นพร้อมเลือดสดที่พุ่งกระจายขึ้นมา


ตอนนี้รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่กุมอำนาจทางทหารของธงพยัคฆ์ดำถูกประหารต่อหน้าฝูงชนแล้ว ทำให้กลุ่มทหารสะเทือนขวัญมาก รองผู้บัญชาการใหญ่ที่ยามปกติสูงส่งอยู่เบื้องบนโดนประหารไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้แล้วเหรอ?ทั้งกองทัพส่งเสียงดังอื้ออึง


เมื่อได้แห็นภาพนี้ ทุกคนของสำนักหกนิ้วก็ตะลึงค้างเช่นกัน


ขณะที่เผย อู๋และเหิงกำลังตกใจ จู่ๆ ก็พบว่าสายตาที่เย็นเยียบดุร้ายของเหมียวอี้จ้องมาที่พวกเขาสามคน พวกเขารู้สึกใจสั่น ตระหนักได้ทันทีว่าต่อไปเหมียวอี้จะลงดาบกับพวกเขาสามคนแล้ว ทั้งสามแน่ใจได้ได้ ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่เสียดายที่จะใช้วิธีรุนแรงแบบนี้ แม้แต่ทางถอยก็ไม่เหลือไว้ให้ตัวเอง มีหรือที่จะเหลือทางถอยไว้ให้พวกเขาสามคน ต่อให้พวกเขาจะนำกำลังทหารมายอมจำนนตอนนี้ แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ปล่อยพวกเขาไปอยู่ดี


ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ไม่สนใจแล้วเช่นกันว่าตอนหลังจะเปลี่ยนให้ใครมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ มาถึงขั้นนี้แล้ว ผ่านด่านตรงหน้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ทั้งสามส่งสายตาให้กัน ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เหมียวอี้ก็โบกทวนชี้พร้อมตะโกนแล้วว่า “พวกเจ้าสามคนเป็นใคร ทำไมถึงมาเสี้ยมยุยงขวัญกำลังใจทหารที่นี่?”


ทั้งสามไม่ตอบอะไร เอาแต่ตะโกนพร้อมกันว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”


ทว่ากำลังพลทัพกลางเหลียวซ้ายแลขวา ธนูที่อยู่ในมือเหมือนจะยกก็ไม่ยก ทุกคนดูค่อนข้างลังเล มีเพียงลูกน้องคนสนิทสามคนที่ยกธนูขึ้นมาแล้ว ภาพนี้ทำให้ทั้งสามทั้งตกใจทั้งโมโห จึงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้งว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”


เหมียวอี้พลันพูดตัดบทว่า “ไม่มีใครรู้เหรอว่าพวกเขาสามคนเป็นใคร?”


หยางเจาชิงถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ ไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้จะมองไม่ออกว่าพวกเขาสามคนเป็นใคร หยางชิ่งที่มองตาเหมียวอี้แล้วเข้าใจตะโกนเสียงดังว่า “สามคนนี้ก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการของทัพกลาง อู๋เฟิง เผยไหลหมิง เหิงก่วงหลิง!”


เหมียวอี้เดือดดาลทันที โบกทวนชี้ไปที่สามคนนั้น “ผู้ช่วยผู้บัญชาการใต้บังคับบัญชาของข้า ไม่น่าเชื่อว่าจะยุยงให้ทัพกลางของข้าก่อกบฏ ยังกล้ากล่าวอย่างน่าไม่อายว่า ‘ ใครขัดคำสั่ง ประหาร’ หน้าด้านหน้าทนนัก ใครกันแน่ที่ขัดคำสั่ง!”


พอคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูตาย พวกลูกน้องก็จิตใจปั่นป่วน เมื่อเห็นเผย อู๋และเหิงออกคำสั่งแล้วไม่ได้ผล ในใจก็ร้อนรน เดิมทีควรจะพุ่งไปกำจัดเหมียวอี้โดยตรงเลยถึงจะดี ทว่ามีค่ายกลป้องกันเป็นอุปสรรคจึงไม่สามารถทำสำเร็จได้ ตอนนี้ถึงได้พบว่าไม่น่าถอนทัพออกมาจากค่ายกลใหญ่เลย ตอนนี้จึงต้องพยายามทำให้ขวัญกำลังใจทหารสงบมั่นคง เผยไหลหมิงจึงโบกทวนชี้ไปทางเหมียวอี้แล้วเถียงว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไล่พี่น้องของทัพกลาง ใส่ร้ายรองผู้บัญชาการใหญ่สองคน ฆ่าพี่น้องตัวเอง ไม่ให้อภัยธงพยัคฆ์ดำแน่นอน!” จากนั้นก็ตะโกนบอกลูกน้องว่า “พี่น้องทั้งหลาย เขามองพวกเราเป็นเหมือนตะปูในดวงตาแล้ว ถ้าให้เจ้าเวรนี่เรืองอำนาจ รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองก็มีให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว เขาจะต้องไม่ปล่อยพวกเราไปแน่นอน ควรจะเด็ดหัวเขาไปขอความเมตตาจากเบื้องบน คืนความสงบสุขให้ธงพยัคฆ์ดำ!”


“กรร!” เฮยทั่นเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า สั่นหัวส่ายหางลอยอยู่กลางอากาศ


เหมียวอี้ที่ยืนอยู่เบื้องบนเผยแผ่นหยกสองแผ่น พร้อมตะโกนเสียงดังว่า “คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูมีเจตนาจะชิงอำนาจของธงพยัคฆ์ดำ ยุยงให้ธงพยัคฆ์ดำก่อกบฏ คำลงนามยอมรับเป็นของจริง โจรกบฏสองคนนี้เขียนยอมรับความผิดด้วยตัวเอง ข้างในมีบอกว่าเผยไหลหมิง เหิงก่วงหลิง อู๋เฟิงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ข้อกล่าวหานี้ อีกไม่กี่วันก็จะถูกรายงานขึ้นไปที่กองมังกรดำแล้ว คำให้การพร้อมตราลงนามที่คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเขียนด้วยมือตัวเองอยู่ตรงนี้แล้ว หรือว่าทัพกลางอยากจะลงหลุมศพไปพร้อมสามโจรกบฏเผย เหิงและอู๋?”


พวกหยางชิ่งมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเขียนหนังสือยอมรับผิดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอม


แต่ประสิทธิภาพของการปล่อยข่าวลวงนั้นไม่เลวเลย หัวใจของทหารทัพกลางเดิมทีก็สั่นคลอนอยู่แล้ว เมื่อมีข่าวลวงทำลายเพิ่มอีก ก็ยิ่งต้องสั่นคลอนมากกว่าเดิมอยู่แล้ว มีคนไม่น้อยแอบสุมหัวกระซิบกระซาบกัน


ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วนมาก เผย อู๋และเหิงแอบร้องว่าแย่แล้ว อู๋เฟิงตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “พี่น้องทั้งหลายอย่าไปเชื่อคำพูดเหลวไหล รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะเขียนคำสารภาพผิดอะไรนั่นได้ยังไง!”


เหมียวอี้ตะโกนตามมาติดๆ ว่า “ทัพกลางฟังคำสั่ง เผยไหลหมิง อู๋เฟิง เหิงก่วงหลิงก่อกวนให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน เคลื่อนไหวก่อกบฏ เผยธาตุแท้ต่อหน้าฝูงชน คำลงนามยอมรับเป็นของจริง อย่ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ กำจัดผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามเดี๋ยวนี้ ประหารตรงนี้เลย! ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดที่โดนโจรกบฏสามคนนี้ยุยงบีบบังคับ ผู้ที่ยินดีจะออกจากความมืดมิดไปสู่แสงสว่าง ข้าจะไม่ตำหนิเรื่องความผิดในอดีต คนที่ฆ่าโจรกบฏสามคนได้จะมีผลงาน จะพิจารณาผลงานนี้ในการเลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการกับผู้ช่วยผู้บัญชาการของทัพกลาง! ข้าลั่นวาจาต่อหน้าทุกคน คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา ไม่กลืนคำพูดแน่นอน มีใครกล้าสร้างผลงานชั้นยอดนี้ให้ข้า เด็ดหัวโจรสุนัขสามคนนั้นมาบ้าง?”


เดิมทีขวัญกำลังใจทหารก็ปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อมีคำพูดนี้บวกเพิ่มมาอีก บรรยากาศของทัพกลางก็เปลี่ยนไปทันที มีคนไม่น้อยที่เริ่มมองไปทางเผย อู๋และเหิงด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งสามรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น แววตาเตรียมก่อเรื่องของทุกคนนั้นทำให้ทั้งสามอกสั่นขวัญแขวน


ตอนนี้ทั้งสามทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เรียกได้ว่าคับแค้นเศร้าโศก หนิวโหย่วเต๋อคนนี้หลังจากมาที่ธงพยัคฆ์ดำก็ไม่มีอิทธิพลอำนาจ สิ่งเดียวที่มีก็คือความชอบธรรม เป็นความชอบธรรมที่เบื้องบนแต่งตั้งให้บัญชาการธงพยัคฆ์ดำ แต่อาศัยเพียงแค่ความชอบธรรมนี้ หนิวโหย่วเต๋อมาถึงที่นี่แค่หนึ่งวันเท่านั้น ยังไม่ทันยืนมั่นคงก็กดดันพวกเขาถึงขั้นนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทั้งสามคนคาดคิดไม่ถึง ต่างก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดุดันขนาดนี้ จู่ๆ ก็ลงมือโดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดด้วยซ้ำ ทำให้พวกเขารับมือไม่ทันโดยสิ้นเชิง


เหิงก่วงหลิงตะโกนเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อฆ่ารองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไป กำลังพลธงอินทรีสิบกองทัพของรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองได้ยินแล้วจะต้องรีบตามมาแน่นอน จะต้องไม่เก็บเขาเอาไว้แน่!”


เหมียวอี้ตำหนิเสียงดังว่า “น่าขำ! ธงอินทรีสิบกองทัพเป็นกำลังพลใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ จะกลายเป็นกำลังพลของโจรกบฏสองคนนั้นได้ยังไง? โจรกบฏทั้งสองตายไปแล้ว อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพจะไม่ฟังคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ แต่กลับไปฟังคำสั่งผู้ช่วยผู้บัญชาการกระจอกๆ อย่างพวกเจ้าสามคน มิหนำซ้ำตอนนี้พวกเจ้าก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลยด้วย โดนปลดออกจากตำแหน่งแล้ว!” จากนั้นก็โบกทวนชี้กำลังพลทัพกลางที่อยู่รอบๆ “พวกเจ้ายังลังเลอะไรอยู่อีก? หรืออยากจะรอให้พี่น้องของธงอินทรีสิบกองทัพมาก่อน แล้วให้ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ทำให้ตำแหน่งในทัพกลางว่าง เลือกสมาชิกของธงอินทรีสิบกองทัพใหม่? พวกเจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ ถ้าไม่กลับตัวตอนนี้ ในภายหลังก็ไม่มีโอกาสกลับตัวแล้ว ต่อให้เปลี่ยนคนอื่นมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่  ก็ไม่มีใครกล้าให้คนทรยศได้มีที่ยืนในทัพกลางหรอก!”


ประโยคสุดท้ายกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายสมดุลในใจทุกคนแล้ว


“โจรกบฏรับความตายซะ!” จู่ๆ ด้านหลังอู๋เฟิงก็มีเสียงตะโกน ลูกน้องคนสนิทของเขาแทงทวนเข้ามาอย่างกะทันหัน


มีเสียงสะเทือนดังติดกันหลายครั้ง โชคดีที่ลูกน้องคนสนิทที่เหลือออกอาวุธได้ทันเวลา รีบช่วยให้อู๋เฟิงถลันตัวหลบได้ทัน ภายใต้การล้อมโจมตีของลูกน้องหลายคน พวกเขาประหารคนที่ลอบโจมตีทันที


แต่การที่มีคนเริ่มลงมือก่อน ก็ไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟให้กับทัพกลาง พวกผู้บังคับการกองร้อยกับผู้บังคับการกองห้าพลันทยอยกันตะโกนว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” พร้อมโบกมือชี้ไปที่เผย อู๋และเหิง


สถานการณ์หลุดจากการควบคุมแทบจะในชั่วพริบตาเดียว ทั้งสามตกใจมาก กล่าวอย่างร้อนใจว่า “หนี!”


ทว่าถึงแม้กำลังพลใต้บังคับบัญชาของทั้งสามจะมีเยอะ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รีบหนีตามพวกเขาไป พุ่งขึ้นท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


“ยิง! ยิง! ยิง…” ธนูนับร้อยดอกยิงออกมาแทบจะพร้อมกันภายใต้คำสั่ง


ซวบๆๆ…


ลูกธนูนับหมื่นยิงออกมาพร้อมกัน ลำแสงหลายสายพุ่งตรงขึ้นท้องฟ้า มีพลังอำนาจน่าตกตะลึง ไล่ตามหลังคนหลายสิบคนที่กำลังหลบหนี


ทุกคนที่หลบหนีอยู่บนท้องฟ้าตกใจจนแทบจะขวัญกระเจิง เผย อู๋และเหิงก็ยิ่งนึกไม่ถึงว่ากำลังพลนับหมื่นที่ก่อนหน้านี้ยังฟังคำสั่งพวกเขา แต่ในตอนนี้กลับไม่เหลือทางรอดให้พวกเขาสักนิดเลย เดิมทีนึกว่าไปแล้วจะจบเรื่องได้ แต่กลับยังแว้งกัดเหมือนเดิม


พวกเขารีบเลี้ยวหนีเปลี่ยนทิศทาง ลำแสงนับไม่ถ้วนก็ยิงเลี้ยวตามด้วยเช่นกัน ไม่นานก็ตามทันแล้ว


ฉึกๆๆ…


“อา…” เสียงร้องโอดครวญดังติดๆ กันบนท้องฟ้า


ขนาดเกราะม่วงยังต้านทานการโจมตีของธนูดาวตกที่ทำจากผลึกแดงไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกราะทองเลย คนหนึ่งเพิ่งจะโดนลูกธนูยิงหนึ่งดอก ชั่วพริบตาเดียวก็โดนปลายธนูแทงทะลุจนเป็นรูเลือดทั่วร่างกาย ส่วนเกราะม่วงที่สวมบนร่างกายก็ถูกยิงจนยิงจนกลายเป็นตัวเม่นแล้ว


เผย อู๋และเหิง ทั้งสามไม่มีใครรอดไปได้สักคน มีคนไม่น้อยรีบหยิบโล่ผลึกแดงออกมาป้องกันธนูดาวตกได้ทันเวลา แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี เมื่อลูกธนูมากมายขนาดนี้ยิงเข้ามา ภายใต้แรงโจมตีมหาศาล โล่ในมือก็ยังสะเทือนจนหลุดมือไป ส่วนคนก็สะเทือนจนกระอักเลือดออกมา พอโล่ตกลง ทั้งตัวก็ดิ้นรนอยู่กลางอากาศพักหนึ่ง โดนยิงจนตัวกลายเป็นเม่น ตายแบบตาไม่หลับ


ถึงแม้ว่าจะเป็นนักพรตบงกชรุ้ง แต่เมื่อเผชิญกับการโจมตีหมู่จากทัพใหญ่ ก็ยากที่จะรอดพ้นภัยไปได้อยู่ดี โดนโจมตีจนแทบไม่เหลือกำลังตอบโต้ หลังจากฝนลูกธนูหนึ่งระลอกผ่านไป ศพหลายสิบร่างก็ร่วงลงจากท้องฟ้าแล้ว


บทที่ 1356 ทัพกลางยอมศิโรราบ

Ink Stone_Fantasy

ฉากยิงแบบนี้ทำให้พวกเหมียวอี้สะเทือนใจไม่หาย นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นอานุภาพการโจมตีหมู่ของทัพใหญ่ที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ นักพรตบงกชรุ้งสิบกว่าคนจากหลายสิบคนที่หลบหนีก็ตายภายใต้การโจมตีระลอกเดียวเช่นกัน ตายอย่างไม่ได้แสดงความยอดเยี่ยม ไม่มีกำลังจะต่อต้านอะไรทั้งนั้น


หยางชิ่งเงียบขรึม เหยียนซิวจ้องมอง หยางเจาชิงกลับสูดหายใจอย่างตกตะลึง ไห่ผิงซินที่แบกเสาธงไม่รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้า โดยพื้นฐานนางไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้เข่นฆ่าใดๆ มาก่อน ไม่มีความสะท้อนใจนั้น ยังคงหันกลับไปมองคนที่นางเคารพบูชาที่สุดไม่หยุด


สวีถังหรานกลับตกใจกับฉากนี้จนเหงื่อแตกท่วมตัว เมื่อครู่นี้ถ้าถูกทัพกบฏโจมตีฝ่าเข้ามาได้ เกรงว่าคนที่อยู่ตรงนี้คงไม่มีใครรอดไปได้สักคน พอมองไปหาเหมียวอี้ที่กำลังยืนตระหง่านอีกครั้ง ในดวงตาก็มีเพียงคำว่า ‘นับถือ’ ขนาดเป็นแบบนี้ยังพลิกสถานการณ์ได้ เขาไม่กล้าจะจินตนาการถึงเลยจริงๆ


แต่สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น ก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าเสียงสั่ง ‘ประหาร’ ของผู้บัญชาการใหญ่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญขนาดไหน แต่สวีถังหรานกลับเข้าใจดี ตอนที่เขาเห็นทัพใหญ่ด้านนอกประชิดแดนเข้ามา จาก็ตกใจจนเข่าอ่อนแล้ว แต่ผู้บัญชาการใหญ่ดันสั่งประหารด้วยความมีพลังอำนาจเหมือนอย่างที่เคยเป็น แบบนี้เท่ากับอีกฝ่ายเอามีดจ่อคอผู้บัญชาการใหญ่ แต่ผู้บัญชาการใหญ่กลับฉีกยันต์ป้องกันตัวแผ่นสุดท้ายทิ้งไปแล้ว


นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ทุกคนของสำนักหกนิ้วได้เห็นอานุภาพการโจมตีของทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ ทั้งสำนักล้วนตัวสั่นหวาดกลัวกับสิ่งนี้


พวกผู้หญิงในครอบครัวที่มองจากบนฟ้าไกลๆ ด้านหลังโล่งใจมาก ภายใต้สถานการณ์ที่วิกฤตแบบนั้น พวกนางก็ตกใจจนเหงื่อท่วมตัวเช่นกัน ยังนึกกลัวย้อนหลังไม่หยุด


ทว่ากำลังพลทัพกลางที่ยิงโจมตีไปหนึ่งระลอกกลับเหมือนม้าป่าที่หลุดจากเชือกบังเหียน รีบพุ่งไปด้านล่างตรงที่ศพร่วงลงมา แย่งศพกัน!


ทำไมถึงแย่งศพกันน่ะเหรอ? ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้ว ว่าคนที่สร้างผลงานฆ่าโจรกบฏสามคนนั้นได้ จะได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการกับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ทว่าภายใต้ธนูนับหมื่นที่ยิงออกไปพร้อมกัน ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าใครฆ่าได้ คนที่ได้เปรียบก็คือที่คนแย่งศพได้อยู่แล้ว


ผ่านไปไม่นาน ศพสามร้อยกว่าศพที่สภาพเละเทะจนไม่เหมือนเดิมก็ถูกแย่งลับมา กำลังพลนับหมื่นของทัพกลางยืนจัดแถวอยู่กลางอากาศอย่างเรียบร้อย ตร’หน้าคือศพที่ตัวเองแย่งชิงมาได้ หลังจากเตรียมพร้อมเสร็๗แล้ว ก็กล่าวเสียงดังพร้อมกันว่า “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”


“กรร!” เฮยทั่นคำรามขานรับอย่างเกรี้ยวกราด


“ดี!” เหมียวอี้โบกทวนชี้พร้อมชมเสียงดัง แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังว่า “เปิดประตูค่ายกล ต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางคนนี้กลับมา!”


“หา…” หยางเจาชิงหันหน้ากลับมาอย่างตกใจ


สวีถังหรานมองเขาด้วยสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน ครั้งนี้แม้แต่ไห่ผิงซินที่แบกเสาธงก็ตกใจแล้วเช่นกัน ถ้าปล่อยคนเข้ามาแล้วยิงธนูใส่พวกเรามั่วๆ จะทำอย่างไรล่ะ?


เฟยหงและผู้หญิงที่เหลือก็ตกใจเช่นกัน สถานการณ์พลิกไปพลิกมาอย่างไม่ปกติแบบนี้ ตอนนี้ถ้าเจ้าปล่อยคนเข้ามา จะไม่น่าตกใจมากได้อย่างไร


อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่กำลังพลทัพกลางนับหมื่นที่อยู่ด้านนอกก็มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกไม่กล้าเชื่อที่เหมียวอี้จะปล่อยพวกเขาเข้าไปตอนนี้


หยางชิ่งรู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองเพิ่งจะยั่วโมโหเหมียวอี้ไป แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม จำเป็นต้องแข็งใจถ่ายทอดเสียงโน้มน้าวอีกครั้ง “นายท่าน เมื่อครู่เพิ่งยอมศิโรราบ ใจคนยังไม่มั่นคง ถ้าปล่อยเข้ามาตอนนี้ ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ถ้ามีคนแฝงเจตนาไม่ดี พวกเราก็ไม่มีทางให้ถอยแล้ว ตอนนี้ให้พวกเขาอยู่ข้างนอกก็ไม่ผิดเช่นกัน รอให้จัดระเบียบเรียบร้อยแล้วปล่อยเข้ามาก็ยังไม่สาย!”


เหมียวอี้ไม่สนใจ ตอนนี้พลังของอำนาจเผด็จการก็ยิ่งแสดงออกมาจนหมด เสียงมังกรคำรามดังอย่างต่อนเอง เขาโบกทวนเกล็ดย้อน แล้วตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เปิดประตู!”


หยางเจาชิงไม่กังวลอีกต่อไป หยิบเครื่องมือมาเปิดประตูค่ายกลป้องกันของประตูใหญ่


หยางชิ่งและคนอื่นๆ ที่พูดไม่ออกก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวนเข้าไปใหญ่


“เปิดแล้วจริงๆ”


“รีบดูสิ เปิดแล้วจริงๆ”


“เจ้าแซ่หนิวนี่ช่างใจกล้า ไม่กลัวพวกเราจะย้อนกลับมาโจมตีเหรอ?”


“สมกับเป็นชายชาตรีที่บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าทัพใหญ่หนึ่งล้าน ใจกล้ามากทีเดียว กล้าหาญ สมคำร่ำรือ!”


“สามารถจับรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไว้ได้ ก็ย่อมมีความมั่นใจอยู่แล้ว”


เปิดค่ายกลออกแล้วจริงๆ ได้เรียกว่าก่อความวุ่นวายไม่น้อยท่ามกลางกำลังพลทัพกลางนับหมื่น เรียกได้ว่าสุมหัวกระซิบกระซาบกัน


กลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกกลับลังเลไปชั่วขณะว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี กลุ่มผู้บังคับการกองร้อยเรียกหากัน สุมหัวปรึกษากันแล้ว


“ทำไม อาศัยศักยภาพของพวกเจ้าก็ยังไม่กล้าเข้ามาอีกเหรอ ขนาดข้ายังไม่กลัวแล้วพวกเจ้าจะกลัวอะไร?” เหมียวอี้ตะโกนถาม แล้วถือทวนชี้ออกไปอีกครั้ง ถามยืนยันว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น บอกแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องความผิดในอดีตก็จะไม่เอาเรื่อง ทำไมต้องลังเล?”


กลุ่มผู้บังคับการกองร้อยสบตากันแล้วพยักหน้า ก่อนจะกุมหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้พร้อมกัน “ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ที่เมตตา!”


จากนั้นก็ต่างคนต่างเรียกกำลังพลของตัวเอง รวมตัวกันเป็นกลุ่ม กำลังพลนับหมื่นเข้ามาในค่ายกลป้องกันของประตูใหญ่อีกครั้ง


หยางชิ่งปิดประตูค่ายกล เหมียวอี้ก็นำคนเหาะลงมาแล้วเช่นกัน มาเหยียบลงตรงหน้ากำลังพลทัพกลาง กำลังพลนับหมื่นคารวะอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”


เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ต้องเปลืองคำพูดแล้ว ไม่เอาเรื่องความผิดในอดีตก็ส่วนไม่เอาเรื่อง เรื่องที่ต้องทำก็ยังคงต้องทำ คังจือลวี่ เหยาหย่วนชู เผยไหลหมิง เหิงก่วงหลิง อู๋เฟิงและคนอื่นๆ ฝ่าฝืนคำสั่งทหาร ปลุกปั่นขวัญกำลังใจทหาร วางแผนร้ายยึดตำแหน่ง ทุกคนได้เห็นเองกับตาแล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการคนนี้ยังต้องให้พวกเจ้าเขียนรายงานความผิดของพวกเขา พวกเจ้าเขียนสิ่งที่รู้ลงมา มีปัญหาอะไรมั้ย?”


เหยียนซิวที่ตามติดคุ้มกันอยู่ข้างหลังแววตาวูบไหวเล็กน้อย เขาเหมือนจะคุ้ยเคยกับสถานการณ์นี้แล้ว ในปีนั้นก็เหมือนว่าเหมียวอี้จะเคยเล่นแบบนี้มาก่อน


กลุ่มทหารเอียงซ้ายเอียงขวา มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็มีความเห็นแบบเดียวกัน ทยอยกันกุมหมัดคารวะ “ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่”


“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร งั้นก็เขียนเถอะ เขียนตอนนี้เลย เขียนเสร็จแล้วก็ถือมาคุยเรื่องเลื่อนตำแหน่ง” เหมียวอี้กล่าว


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งตำแหน่ง ทุกคนย่อมไม่กล้าเขียนซี้ซั้ว โดยเฉพาะพวกผู้บังคับการกองร้อยที่มีหวังอยากจะได้เลื่อนขั้น รีบหยิบแผ่นหยกออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขียน เรียกได้ว่าตำหนิว่ากล่าวพวกคังจือลวี่ต่างๆ นาๆ


เหมียวอี้สั่งให้หยางเจาชิงจัดโต๊ะแล้ว กำลังนั่งรออยู่ตรงนั้น


ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แผ่นหยกฟ้องร้องก็ถูกส่งขึ้นมาทั้งหมด


เหมียวอี้นั่งตรวจอ่านไปจำนวนหนึ่ง พบว่ามีเขียนไปต่างๆ นาๆ ประมาณว่ากุมอำนาจทางทหารไว้แล้วทำตามใจตัวเอง ปลุกปั่นขวัญกำลังใจทหาร วางแผนร้ายแย่งชิงตำแหน่ง นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องเขียน ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นก็คือมีคนไม่น้อยที่ได้เห็นและได้ยินเองกับหูว่าคังจือลวี่ เหยาหย่วนชู เผย อู๋และเหิงบอกว่าเหมียวอี้ไม่มีอิทธิพลอำนาจ แค่มานั่งประดับตำหน่งไว้เฉยๆ เท่านั้น บอกว่าฝ่ายตัวเองมีกำลังทหารเยอะกว่า คุยกันว่าจะกดดันให้เหมียวอี้ออกไปอย่างไร ปรึกษากันว่าจะโค่นล้มเหมียวอี้อย่างไร ปรึกษากันว่าถ้าเหมียวอี้ไม่เชื่อฟังก็จะใช้กำลังทหารคุกคาม


คำฟ้องร้องนับหมื่นฉบับ เหมียวอี้ไม่สามารถอ่านหมดได้ภายในรวดเดียว กะว่าเดี๋ยวกลับไปแล้วค่อยๆ อ่าน ที่สำคัญคือเขาไม่ได้อ่านเอง เขาเพียงตรวจสอบนิดหน่อยเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องนำไปให้กองมังกรดำดู เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ให้คำอธิบายกับเบื้องบนสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าจะทำอะไรพวกคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแล้วก็จะทำได้ ตอนนี้มีคนมากมายชี้ข้อบกพร่อง นี่ก็คือคำอธิบายแล้ว


เมื่อเก็บแผ่นหยกจำนวนนับหมื่นแล้ว เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นยืน กวาดสายตาเย็นเยียบมองกำลังพลทัพกลาง แล้วกล่าวถามด้วยเสียงดังมีพลังว่า “ข้าต้องการแต่งตั้งสวีถังหรานเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของทัพกลาง ทุกคนมีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”


กลุ่มคนเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง เป็นเพราะเคยได้ยินคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูปลุกปั่นมาก่อน ต่อให้ไม่ได้ฟังคำปลุกปั่นจากทั้งสอง ทุกคนก็ยังรู้สึกว่าสวีถังหรานต่ำกว่ามาตรฐานเกินไป พอได้ยินว่าพวกเหมียวอี้จะมารับตำแหน่งที่นี่ รวมทั้งคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ฝั่งนี้ย่อมสืบข่าวมาบ้างแล้วนิดหน่อย คนขี้ประจบที่ไม่ค่อยจะมีความสามารถสักเท่าไร ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเป็นผู้บัญชาการของทัพกลาง ถ้าวรยุทธ์ผ่านก็ยังพอไปได้ แต่ดันเป็นนักพรตบงกชทอง จุดเดียวที่พอจะรับได้ก็เกรงว่าจะเป็นยศแม่ทัพหนึ่งแถบ


แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าไม่ว่าผู้บัญชาการใหญ่คนไหนจะมารับตำแหน่ง แต่ก็จะต้องจัดตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางให้กับคนของตัวเองแน่นอน มิหนำซ้ำเจ้าตัวก็ประจบสอพลอได้ดี ผู้บัญชาการใหญ่ก็แค่ชอบ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ?


ขนาดสวีถังหรานเองก็ยังรู้สึกขาดความมั่นใจไม่หาย ขนาดเขายังรู้เลยว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นผู้บัญชาการของทัพกลาง แต่ผู้บัญชาการใหญ่ดึงดันจะยัดตนเข้าไปให้ได้ คงไม่ดีหากตนจะปฏิเสธ ถ้าปฏิเสธก็จะกลายเป็นว่าตนไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว


เพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งอื่นๆ ที่เหลือ จึงไม่มีใครคัดค้าน สุดท้ายพวกผู้บังคับการกองร้อยก็เป็นตัวแทนตอบแทนทุกคนว่า “ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่”


เรื่องต่อมาก็จัดการง่ายแล้ว แย่งศพมาได้ก็นับว่าได้ผลงานแล้วเหรอ? ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก เหมียวอี้ปฏิเสธตรงๆ อย่างแข็งกร้าวเสียเลย ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมีความเห็นแย้งหรือเปล่า ในเมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครฆ่า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้เขาเป็นคนจัดการให้แล้ว


ถ้าส่งต่อให้ผู้บัญชาการทัพกลางอย่างสวีถังหรานไปจัดการ เหมียวอี้ก็รู้เช่นกันว่าจัดการไม่ไหว ถ้าให้สวีถังหรานไปจัดการจริงๆ ก็ไม่สามารถคุมสถานการณ์ให้สงบได้เลย ดีไม่ดีอาจจะเกิดเรื่องขึ้นก็ได้


ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เหมียวอี้นั่งสงบอยู่ตรงหน้าของทุกคน หยิบบัญชีรายชื่อของทัพกลางมาพลิกอ่านแล้ว


กำลังพลนับหมื่นกลั้นหายใจอย่างใจจดใจจ่อ จ้องมองเขาโดยไม่กะพริบตา รู้ว่าโครงสร้างกำลังหลักใหม่ของทัพกลางกำลังจะออกมาแล้ว


หลังจากอ่านบัญชีรายชื่อคร่าวๆ เหมียวอี้ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “หูอันซง เซวียผิงกง สองคนนี้เป็นรองผู้บัญชาการของทัพกลางแล้วกัน”


ชั่วพริบตานั้น ตรงนั้นก็เงียบงันจนทำให้คนตกใจ ตามติดด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนจำนวนมาก ถึงขั้นมีคนไม่น้อยอดกลั้นขำไม่ได้ เป็นการคลี่คลายบรรยากาศตึงเครียดหลังจากทหารก่อกบฏ ผู้บังคับการกองร้อยบางคนชี้ไปที่ศพบนพื้นพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ สองคนนี้ตายอยู่ภายใต้ลูกธนูที่ยิงมั่วไปทั่วแล้ว”


“…” ผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่เมื่อครู่ยังองอาจผึ่งผาย แต่ตอนนี้ทำสีหน้าไม่ถูกแล้ว พบว่าปล่อยไก่จนเกิดเสียงหัวเราะ จึงถามด้วยสีหน้าเครียดขรึมว่า “ในเมื่อรู้แล้ว งั้นเจ้ายังไม่รีบทำรายชื่อทุกคนที่ตายออกมาอีกเหรอ?”


นี่ก็คือความยุ่งยากของการไม่รู้จักสถานการณ์ของลูกน้อง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีเวลามาค่อยๆ ทำความเข้าใจแล้ว การทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคงคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง จะต้องวาดส่วนได้ส่วนเสียของส่วนรวมออกมาก่อน แล้วคนพวกนี้จะรีบช่วยเขาคุมทัพกลางเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิจารณาตอนนี้ ในภายหลังถ้าเข้าใจสถานการณ์แล้ว ตราบใดที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือได้ เดี๋ยวค่อยปรับปรุงจัดระเบียบทีหลังก็จะไม่เกิดปัญหา ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำตามสัญญาให้ได้ก่อน


ผู้บังคับการกองร้อยคนนั้นรีบทำรายชื่อคนตายหลายสิบคนออกมา แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อให้


หลังจากเหมียวอี้นำมาตรวจสอบแล้ว ก็มองข้ามยศทหาร แต่อิงตามความสูงค่ำของวรยุทธ์ แต่งตั้งคนที่วรยุทธ์สูงสุดสองคนให้เป็นรองผู้บัญชาการของทัพกลาง จากนั้นก็เลือกผู้ช่วยผู้บัญชาการของธงหมาป่าสิบคน ยังเหลือผู้ช่วยผู้บัญชาการของธงหมาป่าหนึ่งคนที่คอยติดตามผู้บัญชาการทัพกลาง  เหมียวอี้ก็ยกให้สวีถังหรานเลือกเอง


สวีถังหรานก็ตั้งใจทำอย่างจริงจังและระมัดระวัง หลังจากหยิบบัญชีรายชื่อออกมาเลือกคนที่ถูกใจแล้ว ก็เริ่มปรึกษาหารือกับคนคนนั้น เขามีวิธีการมองคนในแบบของตัวเอง คนที่วรยุทธ์เหมาะสม มีความเห็นพ้องกับเขา สามารถให้ความร่วมมือกับารทำงานของเขาได้คงจะถูกเขาเลือกไปแล้ว


การแต่งตั้งตำแหน่งที่อยู่ระดับล่างกว่านั้น เหมียวอี้ก็ไม่เข้าไปแทรกแซงแล้ว ปล่อยอำนาจให้อย่างไม่ลังเล ให้คนที่ตัวเองเลือกเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการไปเลือกเอาเอง เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าต้องการอาศัยให้คนพวกนี้คุมทัพกลาง ก็จะต้องให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการพวกนี้ดึงคนที่ตัวเองต้องการมา ถ้าเหมียวอี้แทรกแซงต่อไปโดยที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรเลยก็จะทำให้วุ่นวาย ถ้าดันทุรังยัดคู่อริไปให้พวกเขา ถ้าทำให้พวกลูกน้องจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในได้ไม่ราบรื่น แบบนั้นจะต้องเกิดปัญหาแน่นอน


ขณะมองดูกำลังพลระดับล่างเสียงดังวุ่นวาย คนในตำแหน่งสำคัญกำลังต่างคนต่างเลือกกำลังพลของตัวเอง เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพน่าจะมาถึงแล้วใช่มั้ย?”


เขาสยบทัพกลางได้แล้ว พอผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพมาถึง ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้รอดตัวไปอย่างปลอดภัย ในเมื่อฆ่าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแล้ว จะยอมให้คนของเขากุมอำนาจทางทหารต่อไปได้อย่างไร


เหนียนซู่ รองผู้บัญชาการทัพกลางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ ตอนนี้ยังไม่มีงานอะไรทำ พอได้ยินก็หยิบระฆังดาราออกมาทันที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร หลังจากติดต่อแล้วก็สีหน้าเปลี่ยน อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นคนมากมายที่อยู่ตรงนั้น ก็รีบเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ คาดว่าก่อนหน้านี้คนของเผย อู๋และเหิงจะปล่อยข่าวไปแล้ว ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพที่มาที่นี่เลี้ยวกลับไปแล้ว ทางนั้นรู้เรื่องที่คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูโดนประหารแล้ว ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพกำลังเรียกรวมกำลังพลทัพใหญ่นับแสนและเร่งมาที่นี่ บอกว่าในธงพยัคฆ์ดำมีคนก่อกบฏ ต้องการจะมาปราบกบฏ!”


บทที่ 1357 ข่าวลือ

Ink Stone_Fantasy

“ปราบกบฎ?” เหมียวอี้หรี่ตาเล็กน้อย แล้วแสยะยิ้มถามว่า “จะปราบกบฎฝั่งไหนล่ะ?”


ที่เรียกรวมผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพมาตั้งแต่แรก ก็เพราะเตรียมจะกำจัดทิ้ง จัดการทัพกลางให้ได้ก่อน แล้ววค่อยอาศัยทัพกลางกำจัดผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพทิ้ง นึกไม่ถึงว่ายังมีข่าวหลุดไป แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่การคาดคะเนของเขา เขาเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว คนเยอะหลายปากในขณะที่กำลังฉุกละหุก ไม่มีปัจจัยให้เขาเตรียมพร้อมป้องกันเช่นกัน การที่ข่าวหลุดไปก็พอเข้าใจได้ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลามากังวลมากขนาดนั้น และไม่ได้กังวลเยอะเหมือนหยางชิ่งด้วย ตอนที่ควรจะเสี่ยงอันตรายเขาก็ไม่เคยลังเล เขาเพียงต้องลงมืออย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่าจนทุกคนรับมือไม่ทันในตอนที่ทุกคนล้วนกำลังคิดว่าเขาเพิ่งมาได้วันเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือ จัดการทัพกลางให้ได้ก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด


และเมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพก็สังหรณ์ใจถึงอันตรายของตัวเองเช่นกัน เดาออกแล้วว่าใครบางคนต้องการจะกำจัดพวกเขา ดังนั้นจึงรีบเลี้ยวกลับไปเรียกกำลังพลเพื่อมาปกป้องตัวเอง


จะปราบกบฎฝั่งไหนล่ะ? เหนียนซู่ใช้วิธีการเงียบเพื่อแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว พูดในใจว่า ก็ย่อมต้องมองเจ้าเป็นเป้าหมายในการปราบกบฎอยู่แล้ว


แต่ในใจเขากระสับกระส่ายร้อนรนมาก ก่อนหน้านี้เป็นเพียงผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่ง ตอนนี้ได้โอกาสข้าม ‘ธรรมเนียมปฏิบัติ’ กระโดดข้ามตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการไปเป็นรองผู้บัญชาการของทัพกลางแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ข้ามสองขั้น โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้าปล่อยให้ธงอินทรีสิบกองทัพพลิกกระดาน เช่นนั้นทุกสิ่งที่เขาเพิ่งได้ไปเมื่อครู่นี้ก็จะต้องสูญสิ้นไปเหมือนไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก แต่ทัพกลางมีคนประมาณหนึ่งหมื่นกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงอินทรีสิบกองทัพ


เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากอีก มองดูทุกคนกะรตือรือร้นดึงตัวกำลังพลอย่างไม่รีบร้อนหวาดกลัว


เลื่อนขั้นรองผู้บัญชาการสองคนกับผู้ช่วยผู้บัญชาการสิบเอ็ดคนจากข้างล่างขึ้นมาในรวดเดียว แบบนี้หมายความว่าเบื้องล่างมีการเลื่อนขั้นแบบต่อเนื่องกัน เติมตำแหน่งแบบขั้นบันได คนหลายสิบคนได้เลื่อนขั้นร่ำรวย บรรยากาศไม่เลวเลย


ผู้บัญชาการใหญ่คือสวีถังหราน รองผู้บัญชาการคือเหนียนซู่ เหมาอวี่จวิน(หญิง) ผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าสิบเอ็ดกองทัพได้แก่ ไช่หลินเซียน(หญิง) หยวนอันเล่อ หลิวอีป๋อ อินลี่จี(หญิง) จัวหาน ซ่างหยว่นถิง กงฮ่าวเทียน ซงเยียนอวี่ จ้งเซิน เหวยซิน(หญิง) จ้าวมู่กุย


ในจำนวนนั้น ไช่หลินเซียนที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งขั้นสองถูกสวีถังหรานเลือกให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าที่อยู่ใกล้ชิดข้างกายตน เป็นสาวงามที่หน้าตาไม่เลวเลย ถึงแม้จะสวยสู้เสวี่ยหลิงหลงไม่ได้ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนสงสัยถึงเจตนาของสวีถังหราน แต่นางเป็นเพียงแม่หม้ายคนหนึ่ง เดิมทีสามีของนางก็เป็นคนของธงพยัคฆ์ดำเช่นกัน ตอนหลังตายในสนามรบ นางจึงได้ครองตัวเป็นหม้าย


หลังจากแบ่งกำลังพลเสร็จแล้ว โครงสร้างของทั้งทัพกลางก็เท่ากับถูกล้างใหม่แล้ว หลังจากแต่ละฝ่ายรายงานเสร็จ ผู้บัญชาการสวีถังหรานก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างของลูกน้อง แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อของทัพกลางที่เขียนขึ้นมาใหม่ให้เหมียวอี้ จากนั้นก็กุมหมัดรายงานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จัดระเบียบทัพกลางเรียบร้อยแล้ว ยังขาดคนอีกหลายสิบคน”


ตอนนี้เขาสงบใจลงไม่น้อย ล้างคนของทัพกลางใหม่อีกครั้ง มีพลังอำนาจของผู้บัญชาการใหญ่ข่มอยู่ ใช่ว่าเขาจะควบคุมคนไม่ได้ ในใจแอบรู้สึกดีใจอยู่บ้าง


หลังจากเหมียวอี้อ่านรายชื่อแล้ว ก็บอกว่า “ปรับอีกหน่อย หยางชิ่ง หยางเจาชิง เหยียนซิว ไห่ผิงซิน ใส่ชื่อพวกเขาให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ตอนนี้ยังไม่ต้องให้รับภาระหน้าที่อะไร ให้เป็นที่ปรึกษาฟังคำสั่งอยู่ข้างกายข้า ส่วยรายชื่อที่ขาดไป เดี๋ยวข้าค่อยขอจากเบื้องบนมาเติม”


ทางด้านหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา กำลังพลเบื้องล่างไม่มีอำนาจเติมกำลังพล กองมังกรดำก็ไม่มีอำนาจในการดึงคนเข้ามาตามอำเภอใจเช่นกัน มีเพียงคนที่มียศเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เลือกกำลังพลเพื่อรายงานขึ้นไปให้เบื้องบนตรวจรอบแล้วใส่ชื่อเข้ากองทัพองครักษ์ ไม่อาจให้ใครเข้ามาซี้ซั้วได้ และการร่างรายชื่อสมาชิกก็ควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ไม่เลี้ยงตำแหน่งที่ไม่สำคัญ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงจัดให้พวกหยางชิ่งไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของสวีถังหรานชั่วคราว สาเหตุที่ตอนนี้ยังไม่มอบตำแหน่งให้ ก็เพราะต้องการจะทำให้จิตใจของทหารในทัพกลางสงบก่อน ไม่ใช่เรื่องดีที่จะยึดครองตำแหน่งอื่นอีก รอให้แก้ปัญหาเรื่องธงอินทรีสิบกองทัพได้ก่อน เดี๋ยวก็ย่อมมีตำแหน่งจำนวนมากให้ปรับเอง


“รับทราบ!” สวีถังหรานเอ่ยรับ


เหมียวอี้บอกอีกว่าว่า “สั่งให้ทัพกลางตั้งธงพยัคฆ์ดำก่อน หยางชิ่ง พวกเราทำลายตำหนักใหญ่ของคนอื่นไปแล้ว เจ้าไปเรียกเจ้าสำนักไป๋มาปรึกษาเพื่อสร้างใหม่ นี่คือพื้นที่ส่วนตัวที่ตำหนักสวรรค์มอบเป็นรางวัลให้พวกเขา ส่วนที่พวกเราควรจะชดเชยก็ต้องชดเชย แล้วก็ขอยืมที่สถานที่ที่เหมาะกับการพักอาศัยจากเจ้าสำนักไป๋ด้วย แล้วค่อยแบ่งที่ให้กำลังพลทัพกลางอยู่ คนระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางขึ้นไปตามข้าไปที่ห้องประชุม”


ตำหนกใหญ่บนยอดเขาพังทลาย ไม่อาจฟื้นฟูได้ภายในเวลาอันสั้น กลุ่มคนสิบกว่าคนไปประชุมแยกที่ลานบ้านอีกแห่ง


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวีถังหรานก็นำรองผู้บัญชาการรวมทั้งกลุ่มผู้ช่วยผู้บัญชาการเร่งเดินออกมา รีบเข้าไปรวมกับกำลังพลทัพกลางเพื่อมอบงาน


ผ่านไปไม่นาน กำลังพลทุกคนของทัพกลางก็ทยอยกันหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก ต่างคนต่างติดต่อคนในธงอินทรีสิบกองทัพที่ตัวเองรู้จัก บอกสถานการณ์ภายในให้รับรู้ ไม่ได้บอกเพียงเรื่องที่คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูกับพวกเผยไหลหมิงโดนประหารเท่านั้น ยังเน้นบอกเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทัพกลางได้เลื่อนตำแหน่งด้วย บอกว่าผู้บัญชาการใหญ่ออกคำสั่งถอดผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพออกจากตำแหน่งแล้ว เกลี้ยกล่อมให้กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพจับตัวผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพรวมทั้งลูกน้องคนสนิท แล้วผู้บัญชาการใหญ่ก็สัญญาว่าจะเลื่อนขั้นให้ผู้ที่สร้างผลงานเหมือนกับที่ให้รางวัลทัพกลาง…


ในดาราจักร ทัพใหญ่หนึ่งแสนกว่าของธงอินทรีสิบกองทัพกำลังเร่งเดินทาง


ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพรวมกลุ่มกันอยู่ข้างหน้า แต่ละคนสีหน้าจริงจังหนักแน่น กำลังถ่ายทอดเสียงปรึกษากัน


“รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองตายไปแล้ว พวกเราต้องใช้กำลังทหารข่มขู่จริงๆ เหรอ?” ผู้บัญชาการหลี่จื้อหย่วนถาม


ผู้บัญชาการหวังลี่คุนกล่าวเสียงต่ำว่า “จุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? ที่เรียกพวกเราไปประชุมวันนี้ เห็นได้ชัดว่าจะอาศัยโอกาสกำจัดพวกเรา ไม่อย่างนั้นจะลงมือกับรองผู้บัญชาการใหญ่สองท่านนั้นได้ยังไง โชคดีที่พวกเราได้ข่าวก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าพุ่งชนเข้าไป ก็ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องเป็นยังไง”


“พวกเราเป็นลูกน้องเก่าแก่ของรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง ทั้งยังกุมอำนาจทางทหารของธงอินทรีสิบกองทัพ ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะควบคุมธงอินทรีสิบกองทัพให้ได้ มีหรือที่จะวางใจหากพวกเรากุมอำนาจทางทหารต่อไป ตอนนี้พวกเรามีเพียงสองทางให้เดินเท่านั้น ถ้าไม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ทิ้งอำนาจทางทหาร บางทีอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ใช้กำลังทหารข่มขู่ ถอดอำนาจของเขาให้หมดโดยสิ้นเชิง แล้วพวกเราก็ควบคุมธงพยัคฆ์ดำ” ผู้บัญชาการเมิ่งหวนกล่าว


พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบเพราะกุมอำนาจทางทหารไว้ ถ้าเป็นฝ่ายทิ้งอำนาจทางทหารเอง ก็จะทำได้แค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ เกรงว่าจะไม่มีใครยอม หลี่จื้อหย่วนมองดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้วถอนหายใจ “ดูท่าแล้ว ตอนนี้พวกเราคงจะทำได้เพียงใช้กำลังทหารข่มขู่”


พวกเขาพยักหน้าพร้อมกัน ผู้บัญชาการสวินชิวเย่บอกว่า “ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ทางทัพกลางเป็นยังไง”


ผู้บัญชาการเซี่ยอวิ๋นเกาบอกว่า “ติดต่อเผย อู๋ เหิงไม่ได้ คงจะตายไปแล้ว ลูกน้องเยอะขนาดนั้นแต่ยังตายได้ ไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไง พอติดต่อคนอื่นซ้ำๆ ก็ไม่มีใครตอบกลับ ถ้าข้าเดาไม่ผิด กำลังพลทัพกลางคงจะหันอาวุธโจมตีฝ่ายตัวเองไปแล้ว”


“ไอ้พวกที่ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ต่อให้หันอาวุธทำร้ายพวกเดียวกันแล้วยังไงล่ะ กำลังพลทัพกลางหมื่นกว่าคนจะต้านทานทัพใหญ่หนึ่งแสนของพวกเราได้เหรอ?” หวังลี่คุนแสยะยิ้ม


“ตอนหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?” เมิ่งหวนหันกลับมาถามเสียงต่ำ


ผู้บัญชาการที่เหลือหันไปมอง เห็นเพียงมีคนไม่น้อยท่ามกลางกำลังพลเบื้องหลังหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร


“นี่มันเรื่องอะไรกัน? กำลังอยู่ระหว่างทางเดินทัพ ใครใช้ให้พวกเจ้าติดต่อกับภายนอก?” หวังลี่คุนตะคอกถาม


ลูกน้องคนหนึ่งถลันตัวเหาะเข้ามาใกล้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างย่ำแย่  “นายท่าน ทางทัพกลางส่งข่าวมา ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะได้รายงานขึ้นไปได้สะดวก แต่ใครจะคิดว่าทางทัพกลางกำลังชักจูงให้ยอมจำนน!”


“หยุด!” พวกผู้บัญชาการรีบหันตัวไปตะโกนหยุดทัพใหญ่ที่กำลังเดินทาง


“พวกเขาบอกอะไรมาบ้าง?” หวังลี่คุนถามเสียงเข้ม


“รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่โดนประหารทิ้งไว้เพียงโทษฐานความผิด สารภาพว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามของทัพกลางกับผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพวางแผนร้ายแย่งชิงตำแหน่ง เผย อู๋ เหิง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามที่คุมทัพกลางก็โดนกำลังพลทัพกลางยิงสังหาร ทัพกลางมีการปรับใหม่ มีคนไม่น้อยได้เลื่อนตำแหน่ง ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่สั่งให้ทัพกลางส่งข่าวให้กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพ ต้องการ…ต้องการ…”


“อึกอักทำไม ต้องการอะไร?”


“ต้องการให้กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพจับตัวผู้บัญชาการสิบคนพร้อมลูกน้องคนสนิท แล้วผู้บัญชาการใหญ่สัญญาว่าจะเลื่อนขั้นให้ผู้ที่สร้างผลงานเหมือนกับที่ให้รางวัลทัพกลาง…”


ผู้บัญชาการสิบคนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หวังลี่คุนถลันตัวไปอยู่ตรงกลางกองกำลังที่กำลังเดินทัพ คว้าแขนคนที่ถือระฆังดารา แล้วตะคอกถามว่า “บอกมา เรื่องอะไรกันแน่?”


คนคนนั้นบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก พูดคล้ายๆ กับคนก่อนหน้านี้


ผู้บัญชาการสิบคนทยอยกันไปถามลูกน้อง ผลลัพธ์ที่ได้ล้วนเหมือนกัน แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือในดวงตาของคนพวกนั้นฉายแววกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมจะก่อเรื่อง


ผู้บัญชาการสิบคนหันกลับมาประชุมกัน หวังลี่คุนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ลวงโลก! ตอนนี้พวกเรายังไม่ทันทำอะไรเลย ขนาดตรวจสอบยังไม่ตรวจสอบ เขามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าพวกเราวางแผนร้ายชิงตำแหน่ง มีสิทธิ์อะไรมาถอดตำแหน่งพวกเรา ใครให้เขาใช้อำนาจทำซี้ซั้วโดยไม่อิงตามกฎระเบียบแบบนี้? ถ้าทุกคนทำซี้ซั้วเหมือนเขาหมด ทั้งหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะไม่วุ่นวายใหญ่โตหรอกเหรอ พวกเราควรรวบรวมรายชื่อฟ้องขึ้นไป!”


เย่สวินชิวหน้าดำคร่ำเครียด “ฟ้องร้องเหรอ? เจ้าจะฟ้องร้องอะไร? แม้แต่หน้าเขา พวกเราก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาไม่อิงตามกฎระเบียบ? เขาสามารถยืนกรานปฏิเสธได้เลย เป็นกำลังพลเบื้องล่างที่ปล่อยข่าว เขาไม่ได้ออกคำสั่งจริงๆ เสียหน่อย มิหนำซ้ำ เจ้าจะนำสิ่งที่อีกฝ่ายพูดผ่านระฆังดารามาทำเป็นหลักฐานเหรอ? คนของทัพกลางสามารถปฏิเสธได้อย่างใสสะอาดเลย กุญแจสำคัญของปัญหาก็คือ ลูกน้องของพวกเราที่ได้ยินข่าวนี้ ถ้าแค่คนสองคนก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้มีคนมากมายได้รับข่าวจากทัพกลาง พวกลูกน้องพากันคิดว่าพวกเราโดนถอดออกจากตำแหน่งแล้ว ถ้ารอให้พวกเรานำกำลังพลไปถึงจุดหมาย ก็ยังไม่รู้เลยว่าหัวใจของลูกน้องจะปั่นป่วนจนกลายเป็นยังไงบ้าง ชัดเจนว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังวางยาลดขวัญกำลังใจทหารของพวกเราล่วงหน้า ถ้าไปถึงที่เกิดเหตุแล้วเห็นคนมากมายของทัพกลางได้เลื่อนตำแหน่งจริงๆ แล้วหทารที่พวกเราพาไปใช้กำลังทหารข่มขู่จริง ถึงตอนนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะออกคำสั่งปลดพวกเราต่อหน้าฝูงชน เผย อู๋ เหิง จุดจบของสามคนนั้นก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว เจ้าคิดว่าพวกลูกน้องจะไม่กล้าลงมือกับพวกเราเหรอ?”


สีหน้าของพวกผู้บัญชาการเปลี่ยนเป็นย่ำแย่มากทันที เซี่ยอวิ๋นเกากัดฟันบอกว่า “โจรสุนัข! ต่ำช้าไร้ยางอาย บังอาจมาปลุกปั่นหัวใจทหารของข้า สมควรตาย!”


หลี่จื้อหย่วนถอนหายใจ “ประเมินเขาต่ำไปแล้ว! หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างสมกับคำร่ำลือ มิน่าล่ะถึงคว่ำเมฆพลิกฝนที่ตลาดสวรรค์ได้”


“เขาก็แค่ได้เปรียบเพราะมี ‘ฐานะ’ ผู้บัญชาการใหญ่!” เมิ่งหวนกล่าวอย่างเคียดแค้น


เพียงแต่ข่าวลือนี้ กดดันจนผู้บัญชาการทั้งสิบคนลำบากใจว่าจะรุกหรือจะถอยดี…


ท้องฟ้าใกล้จะเป็นสีแดงส้ม ในค่ายกลป้องกัน ในกำลังพลทัพกลางมีคนหยิบระฆังดาราออกมาเป็นระยะ คนฝั่งธงอินทรีสิบกองทัพแอบติดต่อกับคนฝั่งนี้ไม่หยุด คอยรายงานทิศทางความเคลื่อนไหวของธงอินทรีสิบกองทัพ เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์


“ผู้บัญชาการใหญ่ อีกสักพักกำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพก็จะมาถึงแล้ว!” เหนียนซู่ รองผู้บัญชาการทัพกลางรายงานอีกครั้ง


ตามที่ทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงอินทรีสิบกองทัพกำลังประชิดเข้ามา บรรยากาศของที่นี่ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ


“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เปิดประตูค่ายกล กำลังพลทัพกลางทั้งหมดติดตามข้าออกไปจัดกระบวนทัพ เตรียมรับศึก!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ


“หา!” ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกใจมาก รีบเกลี้ยกล่อมอย่างหวั่นวิตก “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ได้เด็ดขาด ฝ่ายศัตรูมีคนเยอะกว่า ควรจะขอความเมตตาจากกองมังกรดำเดี๋ยวนี้ เพื่อให้หยุดการกระทำบุ่มบ่ามของธงอินทรีสิบกองทัพได้ทันเวลา…”


พอพูดไปได้ครึ่งเดียว ก็โดนเหมียวอี้ตะคอกตัดบทด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแล้วว่า “เปิดประตูค่ายกล กำลังพลทั้งหมดตามข้าไปรับศึก!”


บทที่ 1358 ถอดอำนาจทางทหารของตัวเอง

Ink Stone_Fantasy

ล้อเล่นอะไรกัน ดีไม่ดีกำลังพลเบื้องล่างของตัวเองอาจจขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชาของตัวเอง มิหนำซ้ำตอนนี้ตัวคนก็ยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ อีกประเดี๋ยวจะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอกเหรอ!


เมื่อเห็นเขาโมโหแล้ว หยางเจาชิงก็หวาดกลัวเล็กน้อย พบว่าวันนี้ความเด็ดขาดในการรบมารวมอยู่ที่ตัวนายท่านแล้วจริงๆ ดุร้ายถึงขีดสุด เด็ดเดี่ยวกล้าหาญน่าตกตะลึง มีหรือที่จะกล้าชักช้า รีบเปิดค่ายกลป้องกันอีกครั้งทันที


สวีถังหรานก็กลัวแล้วเช่นกัน ไม่กล้าขัดใจ รีบตะโกนออกคำสั่งให้กำลังพลทัพกลางรวมตัวกันจัดทัพ กำลังพลกลุ่มใหญ่แยกตัวออกไปอีกครั้ง ลอยอยู่บนฟ้าและจัดกระบวนทัพอีกครั้ง


สุดท้ายถึงได้เห็นเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบผลึกแดงทั้งตัวขี่เฮยทั่นที่สวมเกราะรบหน้าตาดุร้ายน่ากลัว ชี้ทวนเกล็ดย้อนนำเหยียนซิวและคนอื่นๆ เหาะออกมา


ตรงหน้ากระบวนทัพที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง แบกเหมียวอี้ลอยกลับไปกลับมา รอการมาถึงของทัพใหญ่หนึ่งแสนอย่างเงียบๆ


กำลังจะสู้แบบหนึ่งต่อสิบแล้ว กำลังทัพกลางมีสีหน้าตึงเครียด มีคนไม่น้อยแอบด่าว่าเขาบ้า สวีถังหรานที่บัญชาการทัพกลางก็ยิ่งแอบวิตกกังวลไม่หาย อีกประเดี๋ยวจะได้บัญชาการกำลังพลจำนวนมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเตรียมบุกตะลุยโจมตีข้าศึกอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ และยิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญกับฉากใหญ่ขนาดนี้ ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อแห่งความตื่นเต้น


ไห่ผิงซินเหลียวซ้ายแลขวา นางยังไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้เข่นฆ่ามาก่อน จู่ๆ ก็จะต้องเผชิญกับฉากแบบบนี้ ขาทั้งคู่จึงสั่นเล็กน้อย


แม้แต่หยางเจาชิงเองก็ยังวิตกกังวลอยู่บ้าง


กลับเป็นหยางชิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น เขาเชื่อมโยงการกระทำที่ต่อเนื่องของเหมียวอี้ จึงพอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว ดูค่อนข้างสงบเงียบใจเย็น


ในค่ายกลป้องกัน เสวี่ยหลิงหลงที่ยืนสังเกตการณ์ด้านนอกอยู่แถวเดียวกับเฟยหงถอนหายใจเบาๆ “ไม่หวาดกลัวยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ ต้องการจะสู้แบบหนึ่งต่อสิบ พลังอาจของผู้บัญชาการใหญ่ ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ!”


เฟยหงพยักหน้าเบาๆ วันนี้นางก็ถูกความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของเหมียวอี้ทำให้ตะลึงค้างแล้วเช่นกัน มองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาที่สื่อความรู้สึกซับซ้อน!


ทุกคนของสำนักหกนิ้วมองไปยังทัพใหญ่ที่จัดกระบวนทัพรออยู่เงียบๆ ด้านนอก กำลังรออย่างกังวลเช่นกัน


“ได้ยินชื่อเสียงบารมีที่หนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่มานานแล้ว ยังนึกว่าคนในใต้หล้ากล่าวเกินไป วันนี้พอได้เห็นพลังอำนาจของเขา ถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ!” เจ้าสำนักไป๋หลันอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมกับผู้อาวุโสที่อยู่ทางซ้ายและขวา


ทว่าศิษย์ทุกคนของสำนักหกนิ้วสีหน้าเปลี่ยนทันที มีบางคนอุทานเสียงต่ำว่า “มาแล้ว!”


จู่ๆ บนท้องฟ้าก็ปรากฏเงาคนดำเป็นพืด รอจนกระทั่งเข้ามาใกล้ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ เกราะรบก็สะท้อนเป็นแสงสีทองระยิบระยับ ธงอินทรีฟ้า ธงอินทรีม่วง ธงอินทรีขาว ธงอินทรีทอง ธงอินทรีเขียวเงิน ธงอินทรีดิน ธงอินทรีดำ ธงอินทรีแดง ธงอินทรีเขียว ธงอินทรีน้ำเงิน ธงอินทรีสิบกองทัพโจมตีอยู่ข้างหน้า กำลังพลหนึ่งแสนประชิดเข้ามาที่เขตแดนแล้ว


หลังจากเข้ามาใกล้แล้ว ในท้องฟ้าใต้เท้าธงอินทรีสิบสีก็ปรากฏแม่ทัพเกราะม่วงสิบคน เป็นผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพนั่นเอง รองผู้บัญชาการที่ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาก็เป็นแม่ทัพเกราะม่วงเช่นกัน สายตาของทุกคนจ้องบนตัวเหมียวอี้ที่ยืนลำพังอยู่หน้ากระบวนทัพ นอกจากจะไม่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าหวาดกลัวสักนิด ยังเห็นกำลังพลของทัพกลางมารวมตัวกันอยู่นอกค่ายกลด้วย ชัดเจนว่าต้องการจะใช้กำลังปะทะกัน ทำให้รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง


“ช่างใจกล้าจริงๆ!” หวังลี่คุนแอบถ่ายทอดเสียงบอกพวกเขา


กำลังพลใต้บังคับบัญชาของธงอินทรีสิบกองทัพ มีจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่ก


เหมียวอี้ชูทวนเกล็ดย้อนในมือเล็กน้อย สวีถังหรานที่อยู่ด้านหลังชูธงแผนใหญ่ขึ้นมาอย่างด้วยความพยายามเต็มที่ทันที แผ่นธงยาวถึงสามจั้ง กว้างถึงสามจั้ง เป็นธงที่ใหญ่ที่สุดของทั้งธงพยัคฆ์ดำ สีดวงอาทิตย์ยามเย็นราวกับเลือด ธงพยัคฆ์ดำปลิวสะบัดรับลม พยัคฆ์ดำที่ดุร้ายแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่บนผืนธง


ถึงแม้ฝั่งนี้จะมีคนน้อย แต่พอตั้งธงพยัคฆ์ดำขึ้น ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำก็ไม่มีใครที่ไม่เหล่ตามอง เดิมทีธงผืนนี้ก็คือผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพอยู่แล้ว ใครเป็นคนนำใครเป็นตามแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ภายใต้ความน่าเกรงขามที่สะสมมาเป็นเวลานาน สามารถเสริมสร้างพลังอำนาจให้กับฝ่ายหนึ่ง และสามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกไม่มั่นใจได้เช่นกัน


ในธงอินทรีสิบกองทัพมีคนไม่น้อยแอบถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน ผู้บัญชาการทั้งสิบสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์จึงกันกลับมามองแวบหนึ่ง บนใบหน้าฉายแววขื่นขมเล็กน้อย แค่วางหมากผิดครั้งเดียว ก็แพ้ทั้งกระดานแล้ว ทั้งสิบคนแค้นมาก แค้นคังจือลวี่กับเหยาหย่วนช่าทำไมประมาทขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตายด้วยน้ำมือของหนิวโหย่วเต๋อง่ายๆ แบบนี้ ในการออกทัพโจมตีครั้งนี้ พวกเราไม่รู้เลยว่าหลังจากออกคำสั่งแล้วจะมีคนสักกี่คนที่เชื่อฟัง แล้วจะมีคนเท่าไรที่ย้อนหันอาวุธมาทำร้ายพวกเดียวกัน


หลี่จื้อหย่วนตะโกนนำว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ช่างใจกล้าจริงๆ กล้าอาศัยทัพกลางเล็กๆ จัดกระบวนทัพออกมาต่อต้านธงอินทรีสิบกองทัพ”


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ตลกน่า! ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ก็ปีนขึ้นมาจากภูเขากระดูกทะเลเลือดเหมือนกัน ตอนที่บุกเดี่ยวเข้าทัพใหญ่หนึ่งล้านไปตัดหัวคน ก็ไม่เคยขมวดคิ้วสักนิดเลย มิหนำซ้ำตอนนี้ก็มีกองทัพที่ห้าวหาญนับหมื่นด้วย” เขาโบกทวนชี้ “ธงพยัคฆ์ดำของข้าได้รับคำสั่งให้ควบคุมอาณาเขตดาวผืนนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งของข้ากำลังพลก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ใครให้พวกเจ้าบังอาจระดมทัพใหญ่ออกจากปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับอนุญาต?”


พอเห็นว่าทำให้อีกฝ่ายตกใจและสร้างชื่อเสียงอิทธิพลฝ่ายตัวเองไม่ได้ ผู้บัญชาการทั้งสิบก็สบตากันแวบหนึ่ง ในใจต่างก็แอบทอดถอนใจ


เดิมทีพวกเขาก็อยากจะสู้เป็นครั้งสุดท้าย ให้กำลังพลข้างหลังตัวเองได้เห็นว่าอำนาจอยู่ฝ่ายไหน ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะนำทัพใหญ่ออกรบ ทั้งยังโจมตีอยู่ข้างหน้ากระบวนทัพ ท่าทางเหมือนตกใจเสียที่ไหนกัน จึงไม่ต้องข่มขู่อีกต่อไปแล้ว ล้มเลิกแผนการสุดท้าย ลอยออกมาต่อสู้พร้อมกัน


“หลี่จื้อหย่วน หวังลี่คุน ลิ่งหูหลานจื่อ เย่สวินชิว เมิ่งหวน เซี่ยอวิ๋นเกา ถงเจิ้นชวน เถียนเยี่ยน ไก้ฉงเทียน ซูเลี่ย” ทั้งสิบคนเก็บอาวุธ แล้วกุมหมัดคารวะเสียงดังพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”


เมื่อเกิดฉากนี้ขึ้น ก็ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงงอ้าปากค้างจนคางแทบหล่น ขนาดฝั่งธงอินทรีสิบกองทัพยังมีคนมากมายที่รู้สึกเหลือเชื่อ


ที่จริงเหมียวอี้ก็แปลกใจเช่นกัน จากข่าวที่แอบส่งมาจากธงอินทรีสิบกองทัพไม่หยุด เขาก็ตัดสินได้แล้วว่าวิธีการใช้ข่าวลือของตัวเองได้ผล คาดว่าผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพต้องการจะเดินตามรอยเผย อู๋และเหิง อย่างไรเสีย เมื่ออยู่ที่นี่เขาก็เป็นฝ่ายครอง ‘ความชอบธรรม’ เป็นผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำที่เบื้องบนแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ มีอำนาจในการเลื่อนขั้นและแต่งตั้งตำแหน่ง ดังนั้นในเวลานี้เขาก็ยิ่งแสดงความอ่อนแอไม่ได้ กลัวว่าจะสั่นคลอนหัวใจทหารฝั่งธงอินทรีสิบกองทัพที่เอนเอียงมาทางตน ทำได้เพียงปลุกปั่นขวัญกำลังใจ จะทำให้ขวัญกำลังใจถอดถอยไม่ได้ ถึงได้เสี่ยงนำทัพอกมารับศึกด้วยตัวเอง เพียงรอให้อีกฝ่ายก่อกบฏ เขาก็จะบัญชาการกองทัพให้ตีขนาบทั้งด้านนอกด้านในทันที กำจัดผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพทิ้งในรวดเดียว ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้


แต่เหมียวอี้ยังไม่เมตตา โบกทวนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกว่า “ข้ากำลังถามเจ้า ใครใช้ให้เจ้าบังอาจเคลื่อนกำลังพลโดยพลการ?”


ลิ่งหูหลานจื่อกุมหมัดตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เรียกพบ ข้าน้อยมิบังอาจไม่มา”


ก่อนหน้านี้ยังพูดอยู่เลยว่าทัพกลางเล็กๆ จะมาต่อต้านธงอินทรีสิบกองทัพ เหมียวอี้เชื่อก็แปลกแล้ว “ผู้บัญชาการคนนี้เรียกพบ พาลูกน้องคนสนิทมาด้วยก็พอแล้ว มีใครเขาระดมทัพใหญ่อย่างพวกเจ้าบ้าง?”


พวกผู้บัญชาการพึมพำในใจว่า ถ้าพามาแค่ลูกน้องคนสนิทจริงๆ ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็แปลกแล้ว!


หวังลี่คุนกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “พวกข้าน้อยได้ยินข่าวว่าฝั่งนี้มีคนก่อกบฏ ถึงได้พาคนมาปราบกบฏ!”


“ปราบกบฏ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม “จะปราบกบฏฝั่งไหนล่ะ ทำไมข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามาเพื่อช่วยคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก่อกบฏ?”


หลี่จื้อหย่วนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าหากผู้บัญชาการใหญ่ไม่เชื่อ พวกเราสิบคนก็ยินดีจะถอดอำนาจทางทหารของตัวเอง รอฟังคำสั่งลงโทษของผู้บัญชาการใหญ่”


“ใช่แล้ว!” อีกเก้าคนตอบพร้อมกัน


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อไม่มีความมั่นใจว่าจะใช้กำลังทหารข่มขู่ได้สำเร็จ ก็ทำได้เพียงละทิ้งอำนาจทางทหารเพื่อรักษาชีวิตไว้ ตราบใดที่เป็นฝ่ายละทิ้งอำนาจทางทหารเอง นี่ก็จะเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนัก หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอาชีวิตของพวกเขาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางให้คำอธิบายกับเบื้องบนได้


เมื่อพวกเขากล่าวมาแบบนี้ พวกลูกน้องคนสนิทในธงอินทรีสิบกองทัพของพวกเขาบ้างก็ตกตะลึง บ้างก็ส่งเสียงดึงฮือฮา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ เป็นเพราะทั้งสิบไม่ได้บอกให้พวกลูกน้องรู้ถึงผลลัพธ์ที่ปรึกษากัน กับเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ถึงตอนท้ายสุด ทั้งสิบก็ไม่มีทางประกาศต่อภายนอก ถึงอย่างไรตอนที่มาก็เตรียมตัวจะสู้ครั้งสุท้ายไว้แล้ว


เหมียวอี้หรี่ตาถาม “ยินดีจะเป็นฝ่ายทิ้งอำนาจทางทหารจริงเหรอ?”


“ใช่!” ทั้งสิบขานรับพร้อมกัน เมิ่งหวนบอกอีกว่า “พี่น้องของธงอินทรีสิบกองทัพจงรักภักดีต่อผู้บัญชาการใหญ่แน่นอน พอพวกเราถอดอำนาจทางทหารของตัวเองแล้ว หวังว่าในภายหลังผู้บัญชาการใหญ่จะไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ”


“ข้าจะทำยังไงก็ไม่ต้องให้พวกเจ้าสอนหรอก!” เหมียวอี้ตะคอก แล้วถามเสียงต่ำอีกว่า “ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามระดมกำลังออกจากปฏิบัติหน้าที่โดยพลการ ควรทำตามกฎทหาร! ปรับค่าจ้างพวกเจ้ายี่สิบปี เฆี่ยนด้วยแส้สิบครั้ง พวกเจ้ามีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”


ลงโทษด้วยการตัดค่าจ้างก็ยังดีหน่อย แต่รสชาติของการลงโทษด้วยแส้นั้นทรมานจริงๆ เรียกได้ว่าตายดีกว่าอยู่ ขนาดพวกผู้ชายได้ยินแล้วยังตัวสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงอย่างลิ่งหูหลานจื่อกับเถียนเยี่ยนเลย


“ยินดีรับโทษ!” ทั้งสิบคนที่ไม่อยากเอาชีวิตมาเดิมพันทำได้เพียงแข็งใจเอ่ยรับ


เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย “ทหาร ลากไปลงโทษ!”


พอสวีถังหรานโบกมือ คนหลายสิบคนของทัพกลางก็พุ่งออกไปทันที คุมตัวทั้งสิบไปบนพื้นด้านล่าง


“ผู้บัญชาการ!” ลูกน้องคนสนิทของทั้งสิบร้องอย่างตกใจ ต้องทราบไว้ว่าการลงโทษด้วยแส้แบบนี้ ถ้าคนที่ลงมือออกแรงหนักกว่าเดิมนิดเดียว ก็สามารถคร่าชีวิตได้ง่ายๆ เลย


ทว่าผู้บัญชาการทั้งสิบกลับส่ายหน้าห้ามไม่ให้ลูกน้องทำอะไรบุ่มบ่าม ความเจ็บของผิวเนื้อ แค่อดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว พวกเขาถอดอำนาจทางทหารของตัวเองท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้ ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ยังต้องการชีวิตพวกเขาอีก ไม่ว่าจะกับเบื้องบนหรือเบื้องล่างก็แก้ตัวไม่ขึ้นทั้งนั้น


เดิมทีการลงโทษคือหน้าที่ของคนในทัพกลาง คนทำงานนี้ย่อมกระฉับกระเฉงมาก แท่นลงโทษทั้งสิบถูกวางไว้แล้ว


ผู้บัญชาการทั้งสิบถอดเกราะรบบนร่างกายตัวเอง เดินขึ้นไปที่แท่นลงโทษ แล้วใช้โซ่มัดมือมัดเท้าจนเป็นรูปตัวอักษร ‘大’


การลงโทษตรงนี้ยังไม่ทันได้เริ่มขึ้น เหมียวอี้ที่หันหลังให้ทัพกลางก็ถามเสียงเรียบอีกว่า “หยางชิ่ง สวีถังหราน พวกเจ้าสองคนยอมรับผิดมั้ย?”


ทั้งสองได้ยินแล้วงงในตอนแรก จากนั้นก็เข้าใจในทันที ผู้บัญชาการใหญ่กำลังหมายถึงเรื่องที่ทั้งสองลังเลไม่เด็ดขาดในตอนแรก


“ข้าน้อยยอมรับผิด!” ทั้งสองตอบด้วยสีหน้าขื่นขม


“บังอาจขัดคำสั่งข้าต่อหน้าฝูงชน! ทหาร ลากตัวไปลงโทษ ลงโทษเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น


ในทัพกลางมีคนพุ่งออกมาหลายคน แล้วกุมหมัดคารวะทั้งสองอย่างรู้สึกผิด หยางชิ่งมองดูทัพใหญ่หนึ่งแสนที่อยู่ตรงหน้า รู้ว่าการโดนลงโทษวันนี้เป็นการโดนตบหน้าท่ามกลางฝูงชน เหมียวอี้ต้องการอาศัยโอกาสของวันนี้ทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว ต้องการใช้พวกเขามาสร้างอำนาจบารมีที่ธงพยัคฆ์ดำ ส่วนสวีถังหรานก็พยักหน้าอย่างขื่นขม ดังนั้นทั้งสองจึงถูกลากไปด้วยเช่นกัน


ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบขึ้นบนแท่นลงโทษด้านล่างแล้ว พอเห็นว่ามีอีกสองคนเพิ่มมาให้ลงโทษ พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจรู้สึกมีสมดุลขึ้นไม่น้อย กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพเห็นลูกน้องคนสนิทข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ก็โดนลงโทษด้วยเหมือนกัน ในใจก็รู้สึกยุติธรรมขึ้นไม่น้อยเช่นกัน


เพียงแต่เสวี่ยหลิงหลงกับชิงจวี๋ที่อยู่ในค่ายกลป้องกัน พอได้เห็นฉากนี้แล้วก็เริ่มปวดใจ โดยเฉพาะชิงจวี๋ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะลงโทษหยางชิ่ง ไม่ไว้หน้าฉินเวยเวยสักนิดเลยเหรอ? หารู้ไม่ว่า ในตอนนั้นเหมียวอี้ถึงขั้นเกิดความคิดจะฆ่าหยางชิ่งแล้ว เพราะหยางชิ่งแทบจะทำลายงานใหญ่ของเขาพัง!


แส้สยบมังกร! เห็นแส้สยบมังกรอีกแล้ว เหมียวอี้เดาว่าแส้สยบมังกรของพิภพเล็กคงจะได้รับถ่ายทอดมาจากพิภพใหญ่ หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เขารู้ถึงรสชาติยามโดนแส้สยบมังกรเฆี่ยน ทุกวันนี้ยังตราตรึงอยู่ในใจ เรียกได้ว่าทรมานจนอยากตายมากกว่าอยู่!


เพื่อป้องกันไม่ให้ร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน  สิบสองคนนี้จึงถูกควบคุมวรยุทธ์ไว้ชั่วคราว พอแส้สยบมังกรสิบสองสายเฆี่ยนดัง ‘เพี้ยะ’ ที่แผ่นหลังของทั้งสองก็มีหนังพร้อมเลือดเนื้อหลุดเป็นชิ้นทันที “อา…” เสียงกรีดร้องสิบสองเสียงดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ อยากจะข่มไว้แต่ก็ข่มได้ยาก โซ่ที่มัดแต่ละคนไว้สั่นเทิ้ม เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาจดจำไปทั้งชีวิต


ตอนที่โดนเฆี่ยนไปเจ็ดแปดแส้ ทั้งสิบสองคนก็สลบกันหมดแล้ว ไม่มีข้อยกเว้นสักคน


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)