ข้ามกาลบันดาลรัก 139.2-145.3

 ตอนที่ 139.2

 

 เปิดอก

 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำชาอีกคำแล้วพูดว่า “เรื่องของหลานชายท่านพวกเราคุยเสร็จแล้ว ตอนนี้พวกเรามาคุยเรื่องกระเป๋านักเรียนเถอะ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดอย่างไม่สนใจ “เรื่องกระเป๋านักเรียนไม่ต้องคุยแล้ว ขอเพียงพวกเจ้าเย็บออกมาได้ ทำได้เท่าไหร่ข้าก็รับไว้เท่านั้น เรื่องราคาก็ไม่ต้องเป็นห่วง หากพวกเจ้าไม่รู้ว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ ข้าจะตั้งราคาที่เหมาะสมให้กับพวกเจ้าเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านเข้าใจความหมายข้าผิด ข้ามิได้กังวลเรื่องกระเป๋า และไม่ได้กังวลเรื่องการตลาด ข้าแค่อยากบอกท่านว่า เรื่องการค้ากระเป๋านักเรียนนี้ข้าเตรียมจะให้อี้เซวียนและหลานชายของท่านมาทำ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินตะลึงค้าง ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าบอกว่าจะให้น้องชายเจ้าและหลานชายข้าทำการค้ากระเป๋านักเรียน?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าคิดเอาไว้เช่นนี้” 


 


 


ซุนซ่านเหรินมองเมิ่งเอ้ออิ๋นที่มีสีหน้าคงเดิม พูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ทำไมจะไม่ได้ พวกเขาไม่ใช่เด็กแล้ว ควรจะทดลองทำการค้าด้วยตัวเองได้แล้ว” 


 


 


ซุนซ่านเหรินกลืนน้ำลาย พูดติดๆ ขัดๆ “แต่ว่า แต่ว่าหลานชายข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย จะมอบให้พวกเขาทำได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “น้องชายข้าก็ไม่รู้ แต่ยังมีพวกเราอย่างไรเล่า พวกเราให้พวกเขาทำตามความคิดของตัวเอง หากมีตรงไหนไม่ถูกต้องพวกเราก็ให้คำแนะนำห่างๆ ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็จะจับหลักได้” 


 


 


ซุนซ่านเหรินยังคงไม่เห็นด้วย พูดว่า “แต่พวกเขายังต้องศึกษาเล่าเรียน!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ท่านคิดจะให้หลานชายเข้าสอบเคอจวี่หรือ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินส่ายหน้า พูดว่า “ภายหน้าไฉเอ๋อร์ต้องสืบทอดกิจการของข้า ข้าจะให้เขาสอบเคอจวี่ได้อย่างไร” 


 


 


“ดังนั้น ให้พวกเขาเริ่มเรียนรู้การทำการค้าตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา 


 


 


ซุนซ่านเหรินอ้าปากพูดไม่ออก ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ขอข้าคิดดูก่อน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะให้ไฉเอ๋อร์เริ่มทำการค้าตั้งแต่ตอนนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “หลานชายท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว ท่านคิดจะให้เขาเริ่มเรียนตอนไหนเล่า อีกสักห้าปี หรือว่าสิบปี?” 


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่ได้พูดอะไรอีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “เมื่อในภายหน้าท่านอยากให้หลานชายมารับช่วงกิจการของท่าน การให้เขาสัมผัสกับการค้ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี ท่านเอาแต่ยื้อเวลาออกไปเช่นนี้ รอถึงตอนที่เขาเริ่มทำการค้าได้จริงๆ จะต้องทำอะไรไม่ถูก สู้ฉวยโอกาสเริ่มฝึกพวกเขาตอนนี้ เช่นนี้ผ่านไปไม่กี่ปีเขาก็จะรับช่วงการค้าของท่านได้ตลอดเวลา” 


 


 


ซุนซ่านเหรินเริ่มหวั่นไหว ถามขึ้น “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะให้พวกเขาค้าขายกระเป๋านักเรียนได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “นี่เป็นปัญหาที่พวกเขาต้องขบคิด พวกเราจะทำสินค้าสำเร็จให้พวกเขา ที่เหลือก็อยู่ที่พวกเขาเองแล้ว” 


 


 


ซุนซ่านเหรินเริ่มร้อนรนพูด “เช่นนั้นจะเปิดเส้นทางการค้ากระเป๋านักเรียนได้เมื่อใด” 


 


 


“ท่านขาดเงินหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นทันควัน 


 


 


ซุนซ่านเหรินตะลึงแล้วส่ายหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เมื่อท่านไม่ขาดเงิน ท่านจะใจร้อนเรื่องเส้นทางการค้ากระเป๋านักเรียนเพื่ออะไร” 


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ที่ข้าอยากมอบการค้ากระเป๋านักเรียนให้อี้เซวียนและหลานชายท่านทำ ก็เพื่อฝึกฝนความสามารถพวกเขา ไม่ใช่คาดหวังว่าพวกเขาจะทำกำไรกลับมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะเปิดเส้นทางการค้าได้หรือไม่ จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป เพราะอย่างไรในท้องตลาดก็ไม่มีขาย จะช้าลงหนึ่งวันหรือเร็วขึ้นหนึ่งวันก็ไม่มีอะไรแตกต่าง” 


 


 


ซุนซ่านเหรินได้สติกลับมาแล้ว ร้อนใจถามไถ่ “ความหมายของแม่นางคือพวกเราไม่ต้องสนใจว่ากระเป๋านักเรียนจะทำเงินให้พวกเราได้มากแค่ไหน แต่คิดจะใช้การค้านี้ให้พวกเขาได้ฝึกฝนตนเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


ซุนซ่านเหรินลุกขึ้นยืนอารมณ์พลุ่งพล่าน เดินวนรอบห้องน้ำชาสองรอบ แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ถึงหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางคิดไกลเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะนำการค้าสักชิ้นมาให้หลานชายข้าลองลงมือทำเอง ข้าเลื่อมใสในการตัดสินใจและความกล้าหาญของแม่นางเมิ่งนัก เอาเช่นนี้เถอะ วัตถุดิบและต้นทุนในการผลิตกระเป๋านักเรียนข้าจะออกเองทั้งหมด พวกเจ้าเพียงรับผิดชอบหาคนมาเย็บก็พอ หากน้องชายเจ้าและหลานชายข้าทำได้สำเร็จจริงๆ เงินที่หามาได้ทั้งหมดข้าจะไม่เอาแม้แต่อีแปะเดียว จะให้พวกเจ้าทั้งหมด หากพวกเขาทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นค่าใช้จ่ายในการผลิตกระเป๋านักเรียนข้าก็จะออกให้เองทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะโต้แย้ง ซุนซ่านเหรินยับยั้งนาง “แม่นางเมิ่งไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ขอเพียงหลานชายข้าเรียนรู้การทำการค้าได้จริงๆ อย่าว่าแต่เงินเล็กน้อยพวกนี้ ต่อให้ต้องนำการค้าของครอบครัวออกมาสักชิ้น ข้าก็ยินดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าพูดปฏิเสธอีก พูดได้เพียงว่า  “เช่นนั้นขอบคุณท่านมาก” 


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือพูดว่า “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว ควรเป็นข้ากล่าวขอบใจเจ้าถึงจะถูก” 


 


 


ตกลงเรื่องได้แล้ว ซุนซ่านเหรินยังรู้สึกไม่หายอยาก หารือเรื่องการค้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวต่ออีกรอบ ยิ่งได้ยินนางพูดก็ยิ่งตกตะลึงกับวิธีคิดพิลึกพิลั่นของนาง เอาแต่รู้สึกเสียใจที่มาเจอสายไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าแล้วพูดกับซุนซ่านเหริน “ตกลงเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว วันนี้พวกเรายังมีธุระสำคัญต้องไปทำ วันหน้ามีเวลาพวกเราจะต้องหาเวลามาพูดคุยกันอีก” 


 


 


ได้ยินนางบอกว่ายังมีธุระสำคัญ ซุนซ่านเหรินจึงไม่ฉุดรั้ง พยักหน้าพูดว่า “ได้ รอวันไหนว่าง ข้าจะต้องไปเยี่ยมเยียนแม่นางเมิ่งถึงบ้านด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยหารือเชิงลึกกันอีกรอบ” 


 


 


พูดจบ ตะโกนออกไปด้านนอก “เด็กๆ!” 


 


 


หลงจู๊ขานรับคำเดินเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่าน” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดกับเขา “เจ้าจงไปเอาชาผู่เอ๋อร์ชั้นดีมาสองกล่อง ให้พวกแม่นางเมิ่งนำกลับไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบห้ามเขา “ไม่ต้องแล้ว ซุนซ่านเหริน พวกเราคนบ้านนอกไหนเลยจะเข้าใจสุนทรีย์ของสิ่งเหล่านี้ ให้พวกเราก็เสียค่าไปเปล่า ท่านเก็บเอาไว้เถอะ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มพูด “แม่นางพูดขบขันแล้ว ดูเจ้าไม่เหมือนคนไม่รู้เรื่องชาสักนิด คงมิได้รังเกียจที่ข้าให้น้อยเกินไปหรอกนะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบ “ข้าไม่มีทางเกรงใจกับท่านเป็นแน่ พวกเราไม่รู้จักชื่นชมชาชั้นเลิศจริงๆ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินส่งสายตาให้หลงจู๊ หลงจู๊พยักหน้าจากไป ไม่นานก็นำชาผู่เอ๋อร์ชั้นดีสองกล่องเข้ามา วางไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อม 


 


 


ซุนซ่านเหรินดันใบชาทั้งสองกล่องไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า แม่นางเมิ่งอย่าปฏิเสธอีกเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาอยากมอบใบชาให้ตนเองด้วยใจจริง จึงไม่ปฏิเสธอีก พูดว่า “ขอบคุณท่านมาก” 


 


 


ได้ใบชาแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืนกล่าวอำลา ซุนซ่านเหรินส่งคนทั้งสองมาถึงด้านนอกหอน้ำชาอย่างหน้าชื่นตาบาน เห็นสองพ่อลูกไปไกลแล้ว ถึงขึ้นรถม้าตัวเอง ไปจากหอน้ำชาเช่นกัน 


 


 


หลังจากเมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้าออกจากหอน้ำชา ก็มุ่งหน้าไปร้านยาเต๋อเหรินตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการ 


 


 


เพราะเป็นช่วงเวลาครึ่งวันเช้า คนค่อนข้างมาก เมิ่งเอ้ออิ๋นกลัวจะทำคนเดินถนนได้รับบาดเจ็บ จึงบังคับรถม้าอย่างช้าๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้าเขา นั่งอยู่ในรถม้าคิดเรื่องคุณหนูบ้านอวี้ รถม้าผ่านหน้าภัตรตาคารแห่งหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งทะยานออกมาจากข้างใน ขวางหน้ารถม้าไว้ 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจสะดุ้ง รีบหยุดรถม้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ว่ารถม้าหยุดกะทันหัน รีบร้อนเบิกม่านบังรถถามขึ้น “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอันใดขึ้น” 


 


 


เด็กสาวที่ขวางหน้ารถม้าเห็นข้างในรถม้าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถอนหายใจ ไม่รอเมิ่งเอ้ออิ๋นตอบก็เอ่ยปากพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ใกล้เที่ยงแล้ว คุณหนูของพวกเราเชิญท่านและคุณชายเมิ่งรับประทานอาหารในภัตตาคารนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมอง เด็กสาวที่ขวางหน้ารถม้าก็คือสาวใช้เซี่ยเหอ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เกรงว่าต้องทำให้คุณหนูของพวกเจ้าผิดหวังแล้ว วันนี้พี่ใหญ่ข้าไม่ได้เข้าเมืองมาด้วย” 


 


 


เซี่ยเหอไม่คิดว่าเมิ่งเสียนจะไม่ได้อยู่บนรถม้า นิ่งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นพูดอย่างมีมารยาท “คุณหนูของพวกเราเชิญแม่นางเมิ่งก็ได้เช่นกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีสองบุคลิกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงของนาง หรี่ตาลงเล็กน้อย ถามขึ้น “ไร้ที่มาที่ไป เหตุใดคุณหนูของพวกเจ้าถึงต้องเชิญข้ากินข้าว” 


 


 


เซี่ยเหอมองซ้ายมองขวา กดน้ำเสียงต่ำแล้วพูด “คุณหนูของพวกเราอยากปรึกษาแม่นางเรื่องการแต่งงานกับพี่ใหญ่ของท่าน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูดว่า “ครอบครัวพวกเรายังมิได้มาทาบทามสู่ขอ จะมีการแต่งงานได้อย่างไร” 


 


 


เซี่ยเหอตอบเสียงทุ้ม “ก็เพราะพวกท่านยังมิได้มาทาบทามสู่ขอ คุณหนูของพวกเราถึงต้องการปรึกษากับพวกท่าน หากพวกท่านมาทาบทามสู่ขอจริงๆ ทุกอย่างจะสายไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ถามกลับ “หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


เซี่ยเหอตอบ “เชิญแม่นางลงจากรถแล้วตามข้าเข้าไปในภัตรตาคารเถอะ คุณหนูของพวกเราจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่ท่านเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึหึ พูดว่า “หากข้าไม่ยินยอมเข้าไปเล่า” 


 


 


ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เซี่ยเหอกัดริมฝีปากพูดว่า “สิ่งที่แม่นางพูดกับนายท่านและฮูหยินของพวกเราเมื่อวาน ข้าและคุณหนูได้ยินจากนอกประตูหมดแล้ว คิดว่าแม่นางคงไม่คิดยินดีให้พี่ใหญ่ของท่านแต่งกับคุณหนูของพวกเรา และดูจากการเข้าหากันของแม่นางและพี่ชาย พวกท่านดูเป็นพี่สองที่รักใคร่สนิทสนมกันมาก อาหารมื้อนี้เกี่ยวพันถึงพี่ชายท่านและคุณหนูของพวกเราว่าภายหน้าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ แม่นางตามพวกเราเข้าไปข้างในเถอะ” 


 


 


ฟังเซี่ยเหอพูดเช่นนี้จบ เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินนางอย่างลุ่มลึก 


 


 


เซี่ยเหอก็ไม่หลบเลี่ยง ยืนอยู่ตรงนั้นให้นางมองประเมินตามอำเภอใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีโอหังอวดดีเหมือนที่เจอสองครั้งก่อน จึงหรี่ตาลงอีกครั้ง หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ท่านบังคับรถม้าไปรอด้านหน้า ข้าจะไปพบคุณหนูอวี้ข้างบนหน่อย” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นฟังการสนทนาของพวกเขาพอจะรู้คร่าวๆ ว่าเด็กสาวตรงหน้าคือสาวใช้ของคุณหนูที่เมิ่เงสียนจะสู่ขอนางนั้น ก็พยักหน้าตกลง พูดกำชับ “มีอะไรค่อยพูดค่อยจา ถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามปะทะกับคุณหนูนางนั้นเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลงจากรถม้า พูดกับเซี่ยเหอ “ไปเถอะ” 


 


 


เซี่ยเหอเห็นนางลงจากรถม้า ก้มคำนับให้นางอย่างดีใจ พูดว่า “แม่นางเมิ่งเชิญ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าเดินเข้าไป 


 


 


เซี่ยเหอตามติดอยู่ด้านหลัง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นบุตรสาวเข้าไปแล้ว ก็บังคับรถม้าไปจากหน้าประตูภัตตาคาร ไปรอที่ด้านหน้าไม่ไกลออกไป 


 


 


ภายใต้การชี้นำทางของเซี่ยเหอ เมิ่งเชี่ยนโยวก็มาถึงหน้าห้องรับรองชั้นสอง  


 


 


เซี่ยเหอผลักประตูออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางเมิ่งเชิญ คุณหนูของพวกเรารออยู่ด้านในแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเข้าไป เซี่ยเหอปิดประตูลง ยืนรอด้านนอกประตู 

 

 

 


ตอนที่ 139.3

 

 เปิดอก

 


 


 


 


อวี้อวี่กำลังนั่งขบคิดอยู่บนเก้าอี้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พรวดพราดยืนขึ้น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีมารยาท “แม่นางเมิ่งมาแล้ว เชิญนั่งก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจ ถามขึ้น “ที่วันนี้คุณหนูอวี้ต้องการเชิญข้ามายังภัตตาคารให้ได้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องสำคัญอันใดต้องการพูดกับข้า” 


 


 


อวี้อวี่นิ่งเงียบครู่ใหญ่ อยู่ๆ ก็คุกเข่าที่เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตัวลอย รีบลุกขึ้นหลบลี้ กล่าววาจาถากถาง “คุณหนูอวี้คุกเข่าให้ข้าอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ถ้าคนอื่นเห็นเข้า จะคิดว่าข้ารังแกเจ้า เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ข้ารับการคำนับนี้ของเจ้าไม่ไหว” 


 


 


อวี้อวี่ยังคงคุกเข่ากับพื้นไม่ลุกขึ้น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เดิมข้าต้องการจะคุกเข่าให้คุณชายเมิ่ง เมื่อเขาไม่มา คุกเข่าให้แม่นางก็ไม่ต่างกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดด้วยวาจาไม่น่าฟัง “ไม่ทราบว่าคุณหนูอวี้กระทำเรื่องอันใด ถึงต้องคุกเข่าให้พวกเราสองพี่น้องถึงจะแก้ปัญหาได้” 


 


 


อวี้อวี่ไม่อ้อมค้อมเลี้ยวลดอีก พูดไปตามตรง “ที่ข้าคุกเข่าให้แม่นาง เพราะข้าหลอกใช้และโป้ปดพวกเจ้าสองพี่น้อง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถามอย่างตกใจ “หลอกใช้และโป้ปดพวกเราสองพี่น้อง เรื่องเป็นมาอย่างไร” 


 


 


อวี้อวี่ตอบกลับ “ความจริงข้ามีคนรักในใจแล้ว แต่ให้ตายอย่างไรบิดามารดาข้าก็ไม่เห็นด้วย เมื่อทำอะไรไม่ได้ พวกเราถึงคิดวิธีเช่นนั้นขึ้น หลอกใช้วิธีที่ม้าของพี่ใหญ่เจ้าตกใจทำให้ข้าล้มไปกองกับพื้นโยนความผิดให้พวกเจ้า จากนั้นค่อยหาวิธีให้ข้าและพี่ใหญ่เจ้าแต่งงานกัน จากนั้นค่อย ค่อย…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทนนาง “จากนั้นค่อยหาวิธียกเลิกการแต่งงานนี้ ให้บิดามารดาของเจ้าต้องยอมจำนนรับปากให้พวกเจ้าแต่งงานกัน เจ้าและคนรักของเจ้าจะได้ครองรักกันสมปรารถนา” 


 


 


อวี้อวี่เงยหน้าฉับพลัน ถามอย่างพรึงเพริด “เจ้ารู้ได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา พูดว่า “คุณหนูอวี้ไม่รู้ว่าร่างกายของตัวเองมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือ” 


 


 


อวี้อวี่สีหน้าสีเผือก กุมหน้าท้องตัวเองอย่างลืมตัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียดแทง “คุณหนูอวี้วางแผนกับพวกเราเช่นนี้ ไม่กลัวเด็กในท้องจะได้รับผลกรรมหรือ” 


 


 


สีหน้าอวี้อวี่ซีดขาวขึ้น ริมฝีปากสั่นระริกเป็นนานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างขุ่นเคือง “พี่ใหญ่ข้าเป็นคนจิตใจดี หลังจากได้ยินว่าเป็นเพราะเขาทำลายชื่อเสียงเจ้าจนไม่มีคนมาทาบทามสู่ขอ พอกลับถึงบ้านก็วิงวอนบิดามารดาข้าให้มาสู่ขอแต่วันนี้ หากไม่เพราะข้าและบิดาใช้เหตุผลมาส่งน้องชายเข้ามาเรียนหนังสือ บังคับรถม้าออกมา เกรงว่ามารดาข้าคงให้แม่สื่อไปสู่ขอที่บ้านพวกเจ้านานแล้ว เจ้าบอกข้าหน่อย หากไปถึงขั้นนั้นแล้ว เจ้าถึงกลับคำพูด พี่ใหญ่ข้าจะทำอย่างไร โดยเฉพาะที่เจ้ายังพูดต่อหน้าเขาอย่างหน้าไม่อายว่า ครั้งแรกที่เห็นเขาก็แอบพึงพอใจแล้ว ทำให้พี่ชายข้าเข้าใจผิดว่าเจ้าชอบเขาแล้วจริงๆ ดีอกดีใจตั้งแต่ออกมาจากบ้านพวกเจ้าก็ยิ้มปากไม่หุบ” 


 


 


อวี้อวี่พูดอย่างเสียใจสุดซึ้ง “ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คนรักข้าเป็นบัณฑิตจนๆ คนหนึ่ง ครอบครัวยากจนข้นแค้น แม้แต่เงินค่าเล่าเรียนยังไม่มี ข้าเองที่ต้องคอยแอบให้เขาทุกเดือน ให้เขาได้ร่ำเรียนอย่างสบายใจ เขาก็เคยให้แม่สื่อมาทาบทามสู่ขอที่บ้านข้า แต่พอบิดามารดาข้าได้ยินว่าเขามีแต่ตัว หลังจากพูดถากถางเหยียดหยันก็ให้คนไล่แม่สื่อออกไป พอเขารู้เรื่องก็อับอายแทบแทรกแผ่นดิน เอาแต่พูดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับข้า จะตัดขาดกับข้าให้ได้ ข้าโตมากับเขาแต่เด็ก เห็นเขาเป็นสามีของตัวเองมานานแล้ว ข้ากลัวเขาจะไปจากข้าจริงๆ ถึงได้…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเย้ยหยัน “จึงคิดใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง[1]” 


 


 


อวี้อวี่หลับตาลงอย่างเจ็บปวดพูดว่า “หลังจากที่ข้ารู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ข้าตกใจมาก ไปปรึกษากับเขา เขาจะพาข้าหนีตามกันไปทันที แต่เขาไม่มีสถานะเงินทอง ข้าก็มีเพียงเครื่องประดับมีค่าไม่กี่ชิ้น ด้วยความจนใจ พวกเราจึงคิดวิธีนี้ออกมา เริ่มจากให้แม่สื่อมาพูดทาบทามสู่ขอ บอกว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายเศรษฐีทั้งรูปงามความสามารถเด่น บิดามารดาข้าได้ยินก็รับปากทันใด บอกว่าต้องการพบหน้าคุณชายเศรษฐีท่านนี้ เขาจึงให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาปลอมตัวเป็นคุณชายเศรษฐี ปรากฏตัวต่อหน้าบิดามารดาข้า บิดามารดาข้าเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเขากิริยามารยาทเรียบร้อย ท่วงท่าสง่างาม ก็ปิติยินดี กำหนดวันแต่งงานกับแม่สื่อในทันที พวกเราตั้งใจให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาแสร้งมีเจตนาจะหมั้นหมายกับข้า รอให้หมั้นหมายแล้วค่อยหาเหตุผลถอนหมั้น ไม่คิดว่าตอนพวกเราไปตลาดเดินผ่านรถม้าของบ้านพวกเจ้า พอดีกับที่ม้าของพวกเจ้าตกใจ ส่งเสียงร้องดังลั่น ตอนนั้นข้าตกใจจนล้มนั่งไปกับพื้นจริงๆ สาวใช้ของข้าเห็นบ้านพวกเจ้ามีรถม้า บวกกับที่พี่ใหญ่เจ้าก็แต่งกายใช้ได้ รู้ว่าบ้านพวกเจ้าจักต้องเป็นครอบครัวเศรษฐีในบ้านนอก จึงตัดสินใจพลการ เจตนาร้องป่าวประกาศเรื่องที่ข้ากำลังจะหมั้นหมายกับคุณชายเศรษฐี สาวใช้รับใช้ข้ามาแต่เด็ก ข้าไหนเลยจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ในตอนนั้นข้าพยายามพูดเอ็ดนางแล้ว แต่ไม่คิดว่าภายหลังพวกเจ้าจะปรากฏตัว เรื่องจึงดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจควบคุมได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเย็นเยียบ “ดังนั้นพวกเจ้าจึงเปลี่ยนแผนเดิมที่วางไว้ ดึงพี่ใหญ่ข้าเข้ามาร่วมด้วย” 


 


 


อวี้อวี่ส่ายหน้าไม่หยุด พูดว่า “พอข้ากลับไป ก็ดุด่าสาวใช้อย่างรุนแรง เตือนนางให้ยุติเรื่องไว้เท่านี้ อย่าดึงคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่นางบอกว่ามีเพียงคนอย่างพวกเจ้าถึงจะหมั้นหมายได้เร็วขึ้น และสามารถถอนหมั้นได้อย่างง่ายดาย เพราะถ้ามัวชักช้า ร่างกายของข้าก็จะปิดบังไม่อยู่แล้ว ข้าสติเลอะเลือนชั่วขณะ จึงรับปากไป” 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดวันนี้ถึงมาพูดความจริงทั้งหมดกับข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “หลังจากพวกเจ้ามาบ้านข้า ข้าและสาวใช้ก็แอบย่องมาหลบอยู่หลังประตูแอบฟังเจ้าและบิดามารดาข้าพูดคุยกัน รู้ว่าเจ้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ ทั้งยังฟังออกว่าบิดามารดาข้าได้ล้มเลิกความคิดจะให้ข้าแต่งกับพี่ชายเจ้าแล้ว ข้าพลันว้าวุ่นใจเดินออกมา โกหกบิดามารดาข้าว่าแอบพึงใจพี่ชายของเจ้า ปฏิกิริยาของพี่ชายเจ้าในตอนนั้นข้าก็เห็นเต็มสองตา รู้ว่าเขายินดีกับการแต่งงานนี้ และรู้ว่าพวกเขาจะต้องรีบมาทาบทามสู่ขอ ข้ายังลอบถอนใจโล่งอก คิดว่าเรื่องนี้ไม่นานก็จะสำเร็จ ข้าและคนรักของข้าไม่นานก็จะได้อยู่ด้วยกัน แต่พอพวกเจ้าไปแล้ว ข้าก็กลับมาคิดทบทวนอย่างละเอียด พบว่าหากข้าหมั้นหมายกับพี่ใหญ่เจ้าแล้วจริงๆ ค่อยหาวิธีถอนหมั้น จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพี่ใหญ่เจ้า และภายหน้าหากเขารู้ว่าข้าใช้กลอุบายกับเขา มิได้ชอบเขาด้วยใจจริง เขาจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัส ข้าทำใจทำร้ายพี่ใหญ่เจ้าไม่ได้ ต่อให้ภายหน้าข้าได้ครองคู่กับคนที่ข้ารักจริงๆ ใจข้าก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขไปทั้งชีวิต ดังนั้นวันนี้ข้าและสาวใช้จึงมาที่ภัตตาคารนี้แต่เช้า จองห้องที่อยู่ใกล้ถนนที่สุดไว้ คอยเฝ้ามองกลุ่มคนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนข้างหน้าต่าง พอเห็นพวกเจ้า ก็ให้สาวใช้ไปเชิญพวกเจ้าเข้ามา พูดเรื่องทั้งหมดกับพวกเจ้า ข้าไม่ได้ร้องขอให้พวกเจ้าให้อภัย เพียงแค่ไม่อยากดึงคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดอย่างเคืองขุ่น “แต่เจ้าได้ดึงพวกเราทั้งครอบครัวเข้ามาแล้ว มารดาข้าหลังจากเห็นเจ้าครั้งก่อน ก็เอาแต่ชื่นชมเจ้าออกนอกหน้า บอกว่าเจ้ามีการศึกษารู้ขนบ อ่อนโยนเป็นกุลสตรี หากไม่เพราะรู้ว่าเจ้ากำลังจะหมั้นหมายกับคุณชายเศรษฐี คงส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอนานแล้ว เมื่อวานพอได้ยินพี่ใหญ่ข้ากลับไปพูดเช่นนั้น ได้รู้ว่าเจ้าก็พอใจพี่ใหญ่ข้า ดีใจจนแทบอยากจะมาสู่ขอเจ้าในทันที วันนี้แม้ข้าและบิดาจะบังคับรถม้าออกมา พวกเขาเข้าเมืองมาไม่ได้ คาดว่าคงจะหาแม่สื่อเตรียมไว้ที่บ้านพร้อมแล้ว รอแค่พวกเรากลับไปก็จะมาสู่ขอเจ้า จนถึงตอนนี้ เจ้าเพิ่งจะมาพูดว่าเจ้าสำนึกได้แล้ว ไม่อยากดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้อง เจ้าไม่คิดว่าสายเกินไปหรือ” 


 


 


คิมฟังคำพูดนางจบ พูดด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง แม่นางเมิ่งจะด่าว่าทุบตีอย่างไรก็ได้ ข้าจะไม่ปริปากโอดครวญเด็ดขาด หากยังรู้สึกไม่หายแค้น ข้าจะตามเจ้ากลับบ้าน พูดความจริงกับพี่ใหญ่และมารดาเจ้าว่าเรื่องที่ข้าวางแผนต่อพี่ใหญ่เจ้า ให้พวกเขาทุบตีข้าระบายความคับแค้นในใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างเหยียดหยัน “อย่าดีกว่า ด้วยสภาพของเจ้าตอนนี้ หากมาเป็นอะไรที่บ้านข้าขึ้นมา ต่อให้พวกเรามีปากทั่วตัวก็อธิบายได้ไม่กระจ่าง” 


 


 


สีหน้าของอวี้อวี่ซีดขาวหนักกว่าเดิม พูดว่า “วันนี้ข้าบอกเรื่องทั้งหมดกับเจ้าแล้ว การแต่งงานของข้ากับพี่ใหญ่เจ้าจะไม่เกิดขึ้นอีก กับบิดามารดาข้ายิ่งไม่มีคำตอบให้พวกเขา ข้าคิดไว้แล้ว รอพูดกับแม่นางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้สาวใช้ไปซื้อยาขับเลือดมา กลับถึงบ้านแล้วค่อยแอบกิน ไม่แน่ว่าไม่ถึงวันพรุ่ง เด็กคนนี้ก็จะไปจากข้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ คิดจะให้ข้าเกิดความรู้สึกเห็นใจ ให้อภัยเจ้าหรือ” 


 


 


อวี้อวี่รีบร้อนโบกมือ พูดว่า “เปล่าๆๆ ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น ข้าอยากทำเช่นนี้จริงๆ มิได้ต้องการความเห็นใจจากแม่นาง อีกอย่างข้ากระทำเรื่องวางแผนต่อพวกเจ้า เจ้าไม่ได้ด่าว่าทุบตีข้า นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว ข้าจะเอาเรื่องนี้มาขอความเห็นใจจากพวกเจ้าอีกได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายสีหน้าลง พูดว่า “เมื่อเจ้ารักมั่นต่อคนรักของเจ้าเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ลองสู้กับบิดามารดาของเจ้าสักครั้ง” 


 


 


อวี้อวี่ส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่คนรักข้ามาทาบทามสู่ขอแล้วถูกปฏิเสธ ข้าได้ร้องไห้อาละวาดกับบิดามารดาแล้ว กระทั่งใช้การฆ่าตัวตายมาข่มขู่พวกเขา พวกเขาก็ยังไม่รับปาก ทั้งบอกข้าว่า หากข้ายังอาละวาดไม่เลิก พวกเขาจะให้คนตัดอนาคตคนรักของข้า ให้เขาเป็นเพียงคนรู้หนังสือยากแค้นไปทั้งชีวิต ข้ารู้ว่าบิดามารดาข้าพูดจริงทำจริง ข้าตกใจมาก ยอมประนีประนอม บอกพวกเขาว่าต่อไปข้าจะไม่ติดต่อกับเขาอีก หากพวกเขารู้ว่าข้าตั้งท้อง ไม่เพียงจะทำลายอนาคตเขา ทั้งยังจะแอบส่งคนไปเอาชีวิตเขา หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงทุกข์ทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “ดังนั้นเจ้าจะแบกรับผลกรรมนี้ไว้คนเดียว ให้คนรักของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอิสระมีความสุขของเขาต่อไป” 


 


 


อวี้อวี่โบกมือพูด “แม่นางเข้าใจเขาผิดแล้ว หลังจากเขารู้ว่าข้าตั้งท้อง เขาเองก็ร้อนใจกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ จนซูบผอมลงไปไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้ง เขายังไม่สนสถานะของบัณฑิต เที่ยวยืมเงินไปทั่ว คิดจะรวบรวมเงิน พาข้าหนีตามกันไป จนใจที่รอบข้างเขาก็มีแต่บัณฑิต ไม่มีเงินให้ยืมมาก วันไหนที่พวกเราลับลอบพบกัน เขาคอยแต่จะเอาหัวชนกำแพง บอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ช่วยแก้ปัญหาแทนข้าไม่ได้สักอย่าง เขาเป็นเช่นนี้ ข้าทำทุกสิ่งเพื่อเขาก็คุ้มค่าแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อเจ้าพูดถึงเขาดีเช่นนี้ ก็ให้เขามาที่นี่เถอะ ข้าก็อยากเห็นว่า เขาเป็นคนอย่างไร ถึงทำให้คุณหนูรู้ขนบเยี่ยงเจ้ากระทำเรื่องเหลวไหลได้ถึงเพียงนี้” 


 


 


อวี้อวี่ตกใจ ได้สติกลับมา รีบพูดวิงวอน “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เรื่องที่วางแผนต่อพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา หากแม่นางอยากระบายแค้น ก็มาทุบตีข้าเถอะ ข้าจะไม่ป้องกันเด็ดขาด ขอร้องเจ้าอย่าลงมือกับเขาเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “เจ้ารักมั่นต่อเขายิ่งนัก ไม่รู้ว่าหากเขาเห็นเจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าเช่นนี้ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร” 


 


 


อวี้อวี่ไม่ได้พูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง พูดว่า “หากเจ้าไม่อยากให้ข้านำเรื่องโสมมของพวกเจ้าประกาศออกไป เจ้าก็จงให้สาวใช้รีบไปเรียกตัวเขามาเถอะ ความอดทนข้ามีขีดจำกัด หากภายในหนึ่งเค่อเขายังมาไม่ถึง ข้าอาจจะทำเหมือนบิดามารดาเจ้า ให้ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตา” 


 


 


อวี้อวี่แหงนหน้าอย่างตื่นตกใจ ริมฝีปากสั่นระริก “เหตุใดแม่นางต้องบีบบังคับพวกเราเช่นนี้ พวกเราเพียงเลอะเลือนชั่วขณะ ถึงคิดวางแผนกับพวกเจ้า แต่ก็หาได้สร้างความเสียหายหนักหนาให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่ได้สร้างความเสียหายหนักหนา ข้าถามหน่อย หากข้ากลับไป มารดาข้าหาแม่สื่อได้แล้ว เจ้าจะให้ข้าพูดกับนางอย่างไร บอกว่านางมองคนผิด แยกแยะคนไม่เป็น เห็นตาปลาเป็นไข่มุก หรือบอกพี่ใหญ่ข้าว่า ความจริงแล้วคุณหนูอวี้ไม่ได้พึงพอใจเขา แต่เพื่อวางแผนให้เขาติดกับถึงต้องพูดเช่นนี้” 


 


 


อวี้อวี่พูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเ**้ยมเกรียม “เร็วเข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะลงมือตอบโต้พวกเจ้าแล้ว” 


 


 


อวี้อวี่ขวัญหนีดีฝ่อกับน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมของนาง จำต้องร้องตะโกน “เซี่ยเหอ!” 


 


 


เซี่ยเหอรับคำเดินเข้ามา เห็นอวี้อวี่คุกเข่ากับพื้น ปวดใจสุดแสน จึงคุกเข่าขอร้องด้วย “แม่นางเมิ่ง คุณหนูของเรากำลังตั้งท้อง ขอร้องท่านให้นางลุกขึ้นเถอะ หากท่านต้องการระบายแค้น ก็ให้ข้าคุกเข่าแทนเถอะ จะนานแค่ไหนก็ได้ จนกว่าท่านจะหายแค้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเยาะหยัน “เจ้าช่างเป็นทาสผู้ภักดี ข้าอยากถามเจ้า คุณหนูพวกเจ้าตั้งท้องเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” 


 


 


เซี่ยเหอชะงักงัน 


 


 


อวี้อวี่รีบพูด “เซี่ยเหอไม่ต้องพูดแล้ว ข้าที่สมัครใจคุกเขาให้แม่นางเมิ่งเอง พวกเราทำเรื่องผิดร้ายแรงเช่นนั้น แม่นางเมิ่งไม่ได้ลงมือตีพวกเรา ถือว่ามีจิตใจโอบอ้อมอารีย์มากแล้ว” 


 


 


เซี่ยเหอตาแดงก่ำ พูดว่า “คุณหนู เป็นความผิดข้าเอง หากไม่ใช่เพราะข้าทำโดยพลการ เห็นท่านถูกรถม้าของบ้านพวกเขาทำให้ตกใจล้มไปบนพื้นในตลาด จนเกิดความคิดแผลงนั้นขึ้น ท่านคงไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องคุกเข่าให้ใคร” 


 


 


อวี้อวี่โน้มน้าวนาง “เจ้าไม่ต้องตำหนิตัวเองแล้ว ข้ารู้ว่าที่เจ้าทำก็เพราะหวังดีกับข้า เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ไปเรียกคุณชายจางมาก บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญกับเขา ให้เขารีบมาที่ภัตตาคาร” 


 


 


เซี่ยเหอยังคงพูดอย่างเป็นกังวล “คุณหนู แต่ว่าสุขภาพท่าน…” 


 


 


อวี้อวี่เร่งเร้านาง “ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบไปเถอะ ให้เขาจงรีบมา” 


 


 


เซี่ยเหอพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไป 


 


 


อวี้อวี่ยังคงคุกเข่าบนพื้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจนาง นั่งบนเก้าอี้ มุ่นหัวคิ้วขบคิดว่ากลับไปจะพูดเรื่องนี้กับเมิ่งชื่ออย่างไร 


 


 


ไม่นานเสียงฝีเท้ารีบร้อนหนึ่งก็ดังขึ้นบนชั้นสองของภัตตาคาร ชายหนุ่มคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา เห็นอวี้อวี่คุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องอุทานเสียงต่ำ “อวี่เอ๋อร์ เจ้าทำอะไร เจ้าตั้งท้องอยู่นะ รีบลุกขึ้น” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก หมายถึงการหลอกล่อศัตรูแสร้งทำเป็นนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีทางด้านหน้า แต่ลอบนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีในพื้นที่เขตแดนที่ฝ่ายศัตรูไม่ทันคาดคิดและสนใจวางแนวกำลังป้องกัน 

 

 

 


ตอนที่ 140.1

 

ช่วยซึ่งกันและกัน

 


 


 


อวี้อวี่คว้ามือเขาไว้ ชี้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วหันไปพูดกับเขา “พี่เจ๋อหวย นี่คือแม่นางเมิ่ง น้องสาวคุณชายเมิ่งคนที่ข้าและเซี่ยเหอวางแผนจะให้มาหมั้นหมายกับข้า”


 


 


จางเจ๋อหวยถึงเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังนั่งบนเก้าอี้มองพวกเขาอย่างเยือกเย็น พลันตกตะลึง ครู่หนึ่งถึงก้มเอวโค้งคำนับ พูดวิงวอน “อวี่เอ๋อร์กำลังตั้งท้อง ร่างกายเปราะบาง ขอแม่นางให้เขาลุกขึ้นก่อนเถอะ มีอะไรผิดพลาดต่อกัน เจ๋อหวยขอรับผิดเพียงผู้เดียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


จางเจ๋อหวยเอาแต่โค้งคำนับ ไม่ยอมยืดตัวขึ้น


 


 


ครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “หากข้าจะให้เจ้าก็คุกเข่าให้ข้าเล่า”


 


 


จางเจ๋อหวยเงยหน้าขึ้นพลัน มองนางอย่างไม่เชื่อ


 


 


อวี้อวี่ร้องพูดเสียงหลง “คุณหนูเมิ่ง ทั้งหมดเป็นความผิดข้า ขอท่านอย่ากลั่นแกล้งพี่เจ๋อหวยเลย เขาเป็นบัณฑิต จะให้คุกเข่าให้คนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงมองไปที่จางเจ๋อหวยอย่างเย็นชา


 


 


จางเจ๋อหวยจ้องมองนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเหยียดหยันเขา


 


 


จางเจ๋อหวยหันมองอวี้อวี่ที่อ่อนระโหยโรยแรงแวบหนึ่ง ถกชุดฉางเผา[1]ขึ้น คุกเข่าเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูด “หวังว่าแม่นางจะพูดจริงทำจริง ให้อวี่เอ๋อร์ลุกขึ้นก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง


 


 


อวี้อวี่คร่ำครวญโผไปข้างกายเขา พูดว่า “พี่เจ๋อหวย ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ท่านคุกเข่าให้คนอื่นได้อย่างไร รีบลุกขึ้น”


 


 


จางเจ๋อหวยไม่ขยับ พูดวิงวอนอีกครั้ง “หวังว่าแม่นางจะพูดจริงทำจริง ให้อวี่เอ๋อร์ลุกขึ้นก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันหัวเราะลั่น


 


 


จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่มองนางอย่างประหลาดใจ


 


 


จางเจ๋อหวยไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมหรือเลื่อมใส พยักหน้าพูดคำหนึ่ง “นับว่าเป็นคนยึดมั่นในรัก”


 


 


ทั้งสองมองนางอย่างไม่เข้าใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับอวี้อวี่ “เมื่อคุณชายจางคุกเข่าแทนเจ้า คุณหนูอวี้ก็ลุกขึ้นเถอะ”


 


 


อวี้อวี่ส่ายหน้า “พี่เจ๋อหวยเป็นบัณฑิต ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ ขอร้องแม่นางให้เขาลุกขึ้นเถอะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถากถาง “เมื่อเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ เหตุใดถึงกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้ ไม่เพียงให้คู่หมายเช่นเจ้าท้องก่อนแต่ง ยังร่วมมือกับเจ้าวางแผนต่อผู้อื่น”


 


 


อวี้อวี่แก้ต่างแทนเขา “หลังจากพี่เจ๋อหวยได้ยินแผนการของข้าและเซี่ยเหอ ก็คัดค้านอย่างที่สุด ข้าเองที่เลอะเลือนชั่วขณะ วิงวอนขอร้องเขา เขารักข้ามาก ถึงได้รับปาก แต่เขามิได้วางแผนต่อพวกเจ้า เรื่องทั้งหมดข้าและเซี่ยเหอเป็นผู้ทำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เมื่อรู้ว่าพวกเจ้าวางแผนการต่อพี่ชายข้า เขากลับไม่ยับยั้ง เช่นนั้นเขาก็ยิ่งไม่เหมาะสมจะเป็นบัณฑิต”


 


 


อวี้อวี่ยังจะแก้ต่างแทนเขา จางเจ๋อหวยห้ามปราบนาง หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางพูดถูกต้อง ไม่ว่าข้าทำเรื่องอะไร ก็ผิดต่อการเป็นบัณฑิตของข้า ข้าตัดสินใจแล้ว รอให้ร่างกายของอวี่เอ๋อร์แข็งแรงกว่านี้ ข้าจะยอมทิ้งสถานะแห่งบัณฑิต พาอวี่เอ๋อร์หนีตามกันไป ต่อให้ต้องเป็นขอทานข้างถนน ข้าก็จะเลี้ยงดูนางเอง”


 


 


อวี้อวี่ร่ำไห้พูด “พี่เจ๋อหวย ท่านจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านลำบากพากเพียรมาสิบปี กำลังจะได้เข้าสอบเคอจวี่แล้ว ท่านจะยอมละทิ้งความลำบากมานานหลายปีเพื่อข้าได้อย่างไร”


 


 


จางเจ๋อหวยเช็ดน้ำตาให้นางอย่างปวดใจ พูดปลอบประโลม “การสอบเคอจวี่ปีนี้จะจัดขึ้นหลังฤดูใบไม้ร่วง ร่างกายของเจ้ารอนานเช่นนั้นไม่ได้ หากให้บิดามารดาเจ้ารู้เรื่อง ไม่แน่ว่าพวกเราจะไม่มีวันได้เจอหน้ากันอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ข้ายอมละทิ้งการสอบเคอจวี่ พาเจ้าหนีไป รอให้เจ้าคลอดบุตรออกมา มีชีวิตที่มั่นคง ข้าค่อยเข้าสอบเคอจวี่ก็ยังไม่สาย”


 


 


อวี้อวี่ส่ายหน้าร่ำไห้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะเยาะหยัน “ฟังดูแล้วนับว่าเจ้าก็มีใจมั่นรักดี แต่เจ้ารู้บ้างหรือไม่ การแต่งงานคือภรรยา ลักลอบหนีตามเป็นอนุ เจ้าคิดแต่จะพาคุณหนูอวี้หนีตามกันไป แต่คิดบ้างหรือไม่ว่าภายหน้าจะให้นางเผชิญหน้ากับคนในครอบครัวนางอย่างไร”


 


 


จางเจ๋อหวยพูดอย่างเจ็บปวด “ข้ารู้ แต่ด้วยเงื่อนไขของข้าตอนนี้ ไม่อาจขอร้องให้บิดามารดานางยอมยกนางให้ข้า ข้าก็ไม่อยากสูญเสียอวี่เอ๋อร์ ใช้ชีวิตที่อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็นเช่นนี้ ข้าทำได้เพียงออกอุบายนี้ รอให้ภายหน้าข้าเชิดหน้าชูตาได้ ข้าจะต้องพาอวี่เอ๋อร์กลับมาบ้านแม่อย่างสง่าผ่าเผยสมศักดิ์ศรี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “ความคิดไม่เลว แต่ข้าอยากถามเจ้า หากภายหน้าเจ้าไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้ วันๆ ได้แต่เร่ร่อนเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เจ้าจะยังจำคำพูดของตัวเองในวันนี้ได้หรือไม่”


 


 


อวี้อวี่รีบร้อนพูด “พี่เจ๋อหวยเป็นคนที่เขียนบทความดีที่สุดในบรรดานักเรียนด้วยกัน ภายหน้าเขาจะต้องสอบได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “เมื่อเขามีการศึกษาดีเช่นนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้น กลับไม่รอให้เขาสอบได้แล้วมาสู่ขอเจ้าเล่า”


 


 


อวี้อวี่พูดสะอึกสะอื้น “แม่นางยังไม่รู้ หลังจากพี่เจ๋อหวยให้คนมาทาบทามสู่ขอ บิดามารดาข้าราวกับจะจับสังเกตได้ ช่วงเวลานั้นไม่เพียงส่งคนมาคอยเฝ้าตามติดข้า ยังฝากฝังแม่สื่อให้หาคู่ให้ข้าไปทั่ว หากไม่เพราะพวกเราคิดวิธีให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเขาปลอมเป็นคุณชายเศรษฐี ไม่แน่ว่าตอนนี้ข้าถูกพวกเขาบังคับให้หมั้นหมายไปนานแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเย้ยหยัน “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เก่งกาจยิ่งนัก มีผู้ติดตามอย่างใกล้ชิด ยังใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชังได้”


 


 


จางเจ๋อหวยหน้าแดงก่ำ พูดเว้าวอนอีกครั้ง “ไม่ว่าอวี่เอ๋อร์ทำอะไรลงไป ความผิดทั้งหมดข้าขอน้อมรับไว้ผู้เดียว แม่นางอยากด่าทอทุบตีอย่างไรก็ได้ ขออย่างกลั่นแกล้งอวี่เอ๋อร์อีกเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวไปด้านหลัง พูดอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่ได้กลั่นแกล้งนาง นางเองที่ให้สาวใช้มาขวางหน้ารถม้าของพวกเรา แล้วเชิญข้าขึ้นมา และนางที่สมัครใจคุกเข่าเอง เจ้าก็เห็นว่าเมื่อครู่ข้าบอกให้นางลุกขึ้นแล้ว แต่นางเองที่รั้นจะคุกเข่าเคียงข้างเจ้า”


 


 


จางเจ๋อหวยได้ฟังหันไปพูดโอ้โลมอวี้อวี่ “อวี่เอ๋อร์ ต่อให้เจ้าไม่นึกถึงร่างกายตัวเอง เจ้าก็ควรคิดถึงลูกในท้องบ้าง รีบลุกขึ้น”


 


 


อวี้อวี่ส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขา แสร้งพูดอย่างตกใจ “เมื่อครู่คุณหนูอวี้กล่าวว่า อีกประเดี๋ยวจะให้สาวใช้ออกไปซื้อยาขับเลือด มาขับเด็กในท้องออก ว่าอย่างไร เรื่องนี้คุณหนูอวี้ไม่ได้บอกเจ้าหรือ”


 


 


จางเจ๋อหวยตื่นตกใจ ถามอย่างไม่เชื่อ “อวี่เอ๋อร์ แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริงหรือไม่”


 


 


อวี้อวี่พยักหน้าร่ำไห้


 


 


จางเจ๋อหวยกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงร้อนรน “อวี่เอ๋อร์ เจ้าเลอะเลือนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”


 


 


อวี้อวี่ยิ่งน้ำตาไหลทะลักล้น


 


 


จางเจ๋อหวยเจ็บปวดใจอย่างหาใดเปรียบ ผ่อนคลายน้ำเสียงพูดว่า “อวี่เอ๋อร์ ข้ารวบรวมเงินได้สิบตำลึงแล้ว รอแม่นางเมิ่งอภัยให้พวกเรา ข้าจะรีบกลับไปเก็บของ จัดแจงความเป็นไปในครอบครัว พรุ่งนี้ก็จะพาเจ้าเข้าเมืองฟู่ เจ้าห้ามมีความคิดจะขับเด็กออกอีกเด็ดขาด”


 


 


อวี้อวี่ร้องไห้รุนแรงหนักขึ้น ส่ายหน้าไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหน็บแนมพวกเขาอีก “พวกเจ้าวางแผนกับพี่ใหญ่ข้าเช่นนี้ ข้าบอกว่าจะให้อภัยพวกเจ้าแล้ว”


 


 


จางเจ๋อหวยตะลึงค้าง


 


 


อวี้อวี่ก็เงยหน้าขึ้น มองนางน้ำตาอาบสองแก้ม


 


 


จางเจ๋อหวยถามขึ้น “ต้องทำเช่นไรแม่นางถึงจะยอมให้อภัยพวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเ**้ยมอำมหิต “พวกเจ้าวางแผนกับพี่ใหญ่ข้า ข้าให้อภัยพวกเจ้าก็ไร้ประโยชน์ เอาอย่างนี้ ข้าจะกลับไปตามท่านแม่และพี่ใหญ่ข้ามา หากพวกเจ้าขอร้องให้พวกเขาให้อภัยได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป เรื่องทุกอย่างจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น หากพวกเขาไม่ให้อภัยเจ้า ข้าจะให้คนป่าวประกาศเรื่องของพวกเจ้าออกไป ให้ต่อไปพวกเจ้าต้องเป็นเหมือนหนูข้างถนน มีแต่คนก่นด่า ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในเมืองได้อีกต่อไป”


 


 


จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ตระหนกตกใจกับวาจาเ**้ยมอำมหิตของนาง ในเวลาเดียวกันก็ตัวสั่นวาบ


 


 


อวี้อวี่มองจางเจ๋อหวยอย่างหวาดกลัว


 


 


จางเจ๋อหวยหลับตาลง พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ได้ ข้ารับปากแม่นาง”


 


 


อวี้อวี่ร้องเรียกเสียงสั่น “พี่เจ๋อหวย”


 


 


จางเจ๋อหวยปลอบใจนาง “อวี่เอ๋อร์ พวกเรากระทำสิ่งผิด ต้องยอมรับผลกรรม วางใจเถอะ หากพี่ใหญ่ของแม่นางเมิ่งไม่ให้อภัยพวกเรา ต่อให้ไปไหนต้องถูกคนว่าร้ายหยามเหยียดทุกวัน ข้าก็จะครองรักกับเจ้า”


 


 


อวี้อวี่พูดอย่างเป็นห่วง “แต่เช่นนั้นท่านก็จะเข้าสอบเคอจวี่ไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น พูดกับคนทั้งสอง “ตอนนี้ข้าจะกลับไปรับท่านแม่และพี่ใหญ่ของข้ามา พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ พวกเราต้องใช้เวลาสองชั่วยามถึงจะกลับมา”


 


 


ทั้งสองพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกไปจากห้องรับรอง


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปจากห้องรับรอง จางเจ๋อหวยรีบประคองอวี้อวี่ขึ้นอย่างระวัง ให้นางนั่งบนเก้าอี้ พูดปลอบขวัญเสียงต่ำ อวี้อวี่ไม่พูดอะไร เพียงร้องไห้สะอื้นเสียงแผ่ว


 


 


เซี่ยเหอคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา นึกว่าจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว จึงเคาะประตู


 


 


อวี้อวี่เอาแต่ร้องไห้ ไม่พูดไม่จา


 


 


จางเจ๋อหวยเอ่ยปากพูด “เข้ามา”


 


 


เซี่ยเหอผลักประตูเดินเข้ามาในห้องรับรอง ก้มหน้าถาม “คุณหนู แม่นางเมิ่งไปแล้ว พวกเราจะกลับบ้านเมื่อใด”


 


 


อวี้อวี่ยังคงเอาแต่ร่ำไห้


 


 


จางเจ๋อหวยตอบแทนนาง “น่าจะยังต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามชั่วยาม”


 


 


เซี่ยเหอถามอย่างลำบากใจ “พวกเราออกมานานมาแล้ว หากยังไม่กลับไป เกรงว่านายท่านและฮูหยินจะสงสัยได้”


 


 


จางเจ๋อหวยถอนใจพูด “ไม่ใช่คุณหนูของเจ้าไม่ยินยอมกลับบ้าน แต่เรื่องนี้ยังจัดการไม่เสร็จสิ้น แม่นางเมิ่งกลับไปรับมารดาและพี่ใหญ่นางมา บอกว่าหากมารดาและพี่ใหญ่นางให้อภัยพวกเรา นางจะถือว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่หากพวกเขาไม่ให้อภัยพวกเรา นางจะป่าวประกาศเรื่องของพวกเราออกไป ให้ภายหน้าพวกเราไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในเมืองได้อีก”


 


 


เซี่ยเหอได้ฟังงุ่นง่านใจกระทืบเท้า พูดว่า “ข้าบอกว่าอย่าพูดความจริงกับแม่นางเมิ่ง ท่านก็ไม่ฟังข้า ดึงดันจะทำเช่นนี้ให้ได้ ตอนนี้ดีแล้ว หากพวกเขาไม่ให้อภัยพวกเรา ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป นายท่านและฮูหยินล่วงรู้เข้า คุณหนูถูกเฆี่ยนจนตายเป็นแน่”


 


 


อวี้อวี่น้ำตาไหลพราก


 


 


จางเจ๋อหวยเช็ดน้ำตาให้นางพลางพูดเตือนอย่างเป็นห่วง “อวี่เอ๋อร์ ร่างกายของเจ้ายังเปราะบางมาก เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย”


 


 


เซี่ยเหอก็รีบพูดโน้มน้าว “ใช้ คุณหนู ท่านไม่ต้องร้องไห้แล้ว ถ้าท่านร้องไห้จนตาบวม พวกเรากลับไปจะตอบนายท่านและฮูหยินอย่างไร”


 


 


อวี่เอ๋อร์สะอื้นเสียงแผ่ว


 


 


เซี่ยเหอกระทืบเท้ารัวอีกครั้ง พูดอย่างเสียใจ “ข้าไม่ควรเชื่อคุณหนู เชิญแม่นางเมิ่งมาที่ภัตตาคาร”


 


 


จางเจ๋อหวยพูดขึ้น “เซี่ยเหอ เจ้าไม่ต้องพูดเช่นนี้แล้ว อวี่เอ๋อร์ทำถูกต้องแล้ว พวกเราพูดเรื่องนี้ออกมา ไม่ว่าแม่นางเมิ่งจะให้อภัยพวกเราหรือไม่ ต่อไปพวกเราจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดอีก”


 


 


เซี่ยเหอกระทืบเท้าอย่างจนใจอีกครั้ง เดินออกไปนอกห้องรับรอง ปิดงับบานประตู


 


 


 


 


 


 


[1] ฉางเผา(长袍) ชุดแต่งกายของชาวแมนจู เสื้อคอจาน แขนแคบ ด้านหน้าเป็นผ้าผืนเดียว

 

 

 


ตอนที่ 140.2

 

ช่วยซึ่งกันและกัน

 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมานอกภัตตาคารด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เดินมาถึงรถม้าบ้านตัวเอง แล้วพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ พวกเรากลับบ้าน ไปรับท่านแม่และพี่ใหญ่มา คุณหนูอวี้มีเรื่องจะพูดกับพวกเขา”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นนางสีหน้าผิดปกติ รอจนนางขึ้นนั่งบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ก็รีบบังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับ กระทั่งออกมาจากตัวเมือง ถึงหยั่งเชิงซักถามอย่างระวัง “โยวเอ๋อร์ คุณหนูอวี้พูดสิ่งใดกับเจ้าหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ ออกมานั่งด้านหน้า พิจารณาการใช้ถ้อยคำเล่าเรื่องที่อวี้อวี่วางแผนต่อเมิ่งเสียนออกมา


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังแล้วก็ตกใจ เกือบจะบังคับรถตกคูข้างทาง ผลุนผลันจอดรถม้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ “แม่เจ้าบอกว่าคุณหนูสกุลอวี้เป็นคนมีการศึกษาอยู่ในขนบ เหตุใดถึงกระทำเรื่องเช่นนี้ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “คงไม่มีหนทางอื่นแล้ว ถึงคิดแผนนี้ออกมา”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อเจ้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว กลับไปบอกแม่เจ้าและเสียนเอ๋อร์ก็ได้แล้ว เหตุใดยังต้องรับพวกเขามาอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่เห็นท่าทางดีใจเมื่อวานของท่านแม่หรือ หากข้ากลับไปบอกนางเรื่องที่คุณหนูอวี้วางแผนกับพี่ใหญ่ คาดว่านางจะคิดว่าเป็นพวกเราที่ไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงานของพี่ใหญ่และคุณหนูอวี้จึงกุเรื่องขึ้น ไม่แน่ว่าจะตำหนิพวกเราด้วยเหตุนี้ก็ได้ ยังมีพี่ใหญ่ เมื่อวานได้ยินคุณหนูอวี้พูดเต็มสองรูหนูว่าแอบพึงพอใจเขา หากวันนี้พวกเรากลับไปบอกเขา ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเท็จ เป็นคุณหนูอวี้ที่เจตนาพูดออกมาเพื่อให้เขาหมั้นหมายกับตนเอง ท่านคิดว่าพี่ใหญ่จะเชื่อหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือพาพวกเขามา ให้คุณหนูอวี้พูดต่อหน้าพวกเขาให้ชัดเจน ไม่ว่าจะด่าทอหรือทุบตี แล้วแต่พวกเขาจะยินดีเถอะ”


 


 


“แต่หากแม่เจ้าได้ยินคำพูดคุณหนูอวี้ แล้วลงไม้ลงมือกับนางจริงๆ จะทำอย่างไร เพราะอย่างไรนางก็ชื่นชอบคุณหนูอวี้เป็นอย่างมากตั้งแต่แรกเห็นแล้ว” เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างเป็นกังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลว่าท่านแม่จะลงมือกับคุณหนูอวี้หรือไม่แล้ว เป็นกังวลก่อนเถิดว่าตอนนี้ท่านแม่ป่าวประกาศเรื่องที่พี่ใหญ่จะหมั้นหมายกับคุณหนูอวี้ไปแล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงนึกได้ว่าตอนเช้าที่ตัวเองออกจากบ้านมา เมิ่งชื่อกำลังจะไปหาแม่สื่อ รีบร้อนพูดขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าเข้าไปนั่งในรถม้าให้ดี พ่อต้องรีบหน่อยแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถอยเข้าไปนั่งในรถให้ดี


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้าพุ่งทะยานไป ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตู


 


 


ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดลงจากรถม้า กระวีกระวาดเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


ฟ้าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง ในลานบ้านมีแต่คนงานนั่งยองกินข้าว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็กล่าวทักทายนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปรอบลานบ้าน ไม่เห็นเมิ่งชื่อและเมิ่งเสียน ลุกลนเดินเข้าไปในบ้าน เห็นเมิ่งชื่อกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านพร้อมเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งชิงและเมิ่งเจี๋ย ก็ถอนใจโล่งอก


 


 


เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา พูดอย่างกระวนกระวายใจ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดพวกเจ้าเพิ่งกลับมา แม่ร้อนใจจะแย่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงแผ่ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”


 


 


เมิ่งชื่อตอบกลับ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว แม่ขบคิดตลอดทั้งเช้า ก็คิดไม่ออกว่าหมู่บ้านละแวกนี้มีแม่สื่อคนไหนที่เหมาะสม แม่ใคร่ครวญดูแล้ว คิดว่าพ่อเจ้าพูดถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแม่ไปด้วยตัวเองก็ได้ เพราะอย่างไรพ่อแม่เขาก็ได้พบพวกเจ้าแล้ว จะต้องไม่หาเรื่องเอาความแม่แน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก โพล่งหัวเราะแล้วพูดว่า “ย่อมได้ อีกประเดี๋ยวท่านแม่กินข้าวอิ่มแล้ว ข้าจะตามท่านกับพี่ใหญ่เข้าเมืองไปด้วยกันอีกครั้ง”


 


 


เมิ่งชื่อถามอย่างยินดี “เจ้าก็เห็นชอบที่แม่ทำเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เห็นชอบแน่นอน”


 


 


เมิ่งชื่อลุกขึ้นยืน พูดอย่างยินดี “เช่นนั้นยังจะรออะไร พวกเราไปกันตอนนี้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมเห็นด้วย


 


 


เมิ่งชื่อพูดกับเมิ่งเสียนที่วางตะเกียบแล้วว่า “เสียนเอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีๆ ในห้อง จัดการให้ว่องไว แม่ก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสวย หยิบเงินจำนวนหนึ่ง พอไปถึงตัวเมือง พวกเราไปซื้อของจำนวนหนึ่งก่อน ค่อยไปบ้านของคุณหนูนางนั้น ไปบ้านพวกเขาครั้งแรก พวกเราจะเสียมารยาทไม่ได้”


 


 


เมิ่งเสียนรับคำ วิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างชื่นบาน


 


 


เมิ่งชื่อก็ดีอกดีใจกลับไปที่ห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในตำแหน่งที่เมิ่งเสียนเพิ่งนั่งไป


 


 


เมิ่งเจี๋ยถามอย่างดีใจ “ท่านพี่ พี่ใหญ่จะแต่งภรรยาแล้วหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา แย้มยิ้มถาม “เจี๋ยเอ๋อร์รู้ได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่จะแต่งภรรยา”


 


 


เมิ่งเจี๋ยตอบอย่างไร้เดียงสา “ท่านแม่บอกอย่างไรเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ถาม “ท่านแม่พูดตอนไหน พูดกับใคร”


 


 


เมิ่งเจี๋ยตอบนาง “วันนี้ท่านแม่อยู่ในบ้านเอาแต่พูดไม่หยุดว่าจะหาแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอให้พี่ใหญ่ ข้าถึงได้ยิน”


 


 


“ในบ้านยังมีคนอื่นหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ


 


 


เมิ่งเจี๋ยส่ายหน้า “ไม่มี มีแต่ท่านแม่ที่เอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจ ลูบหัวเมิ่งเจี๋ยพูดว่า “เจี๋ยเอ๋อร์ เด็กดี เรื่องนี้ห้ามพูดกับคนอื่นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเจี๋ยไม่เข้าใจ ย่นหัวคิ้วถามขึ้น “พี่ใหญ่จะแต่งภรรยาเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงพูดกับคนอื่นไม่ได้ ตอนพี่ใหญ่ของโก่วจื่อจะแต่งภรรยา เขาดีใจมาพูดโอ้อวดกับพวกเราตั้งหลายวัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอย่างจริงจัง “เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ต้องอิจฉาพวกเขา รอให้พี่ใหญ่แต่งภรรยามาจริงๆ เจ้าค่อยไปโอ้อวดกับพวกเขา แต่ตอนนี้ไม่ได้ พี่ใหญ่ยังไม่ได้หมั้นหมาย หากเจ้าไปบอกคนอื่นตอนนี้ พวกเขาจะหัวเราะเจ้าได้”


 


 


เมิ่งเจี๋ยรับคำอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจ “ข้ารู้แล้วท่านพี่ ข้าจะยังไม่พูดกับคนอื่นตอนนี้”


 


 


เมิ่งฉีมองสีหน้าอาการเมิ่งเชี่ยนโยวผิดปกติ ถามอย่างห่วงใย “น้องสาว เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “พี่รอง ฝั่งคุณหนูอวี้เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวข้าท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ จะเข้าเมืองไปอีกรอบ ท่านต้องดูแลบ้านเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ให้ดี”


 


 


เมิ่งฉีถามอย่างเป็นห่วง “เป็นเรื่องที่จัดการยากหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ รอให้ถึงตัวเมืองก็จะรู้เอง”


 


 


เมิ่งฉีไม่ได้ถามอีก พูดรับประกัน “เจ้าวางใจเข้าเมืองไปพร้อมท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่เถอะ ในบ้านยังมีข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกำชับเขา “ตอนบ่ายท่านไม่ต้องผลิตน้ำมันพริกแล้ว คอยเฝ้าดูอยู่ในลานบ้าน หากเจอเรื่องที่จัดการแก้ไขไม่ได้ ก็ให้ลุงใหญ่และอาสามมาช่วย”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า รับคำ “ข้ารู้แล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ใส่เครื่องประดับที่ซื้อมาตอนปีใหม่ เดินหน้าบานออกมาจากในห้อง ถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ แม่แต่งตัวเช่นนี้พอใช้ได้หรือไม่ จะไม่ถูกบิดามารดาคุณหนูอวี้ดูถูกเอาได้ใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยิ้มพูดว่า “ท่านแม่แต่งตัวได้ดีมาก บิดามารดาคุณหนูอวี้เห็นจะต้องไม่คิดว่าท่านเป็นคนบ้านนอก”


 


 


เมิ่งชื่อมองดูเสื้อผ้าตัวเองอีกครั้ง พูดอย่างดีใจ “เจ้าพูดเช่นนี้ แม่ก็วางใจ แม่เอาแต่หวาดกลัวว่าพอบิดามารดาคุณหนูอวี้เห็นการแต่งกายเช่นนี้ของแม่ จะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมยกคุณหนูอวี้ให้แต่งกับเสียนเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเสียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เดินออกมาจากในห้อง เมิ่งชื่อมองหน้ามองหลังเขา พูดอย่างพึงพอใจ “เสียนเอ๋อร์แต่งตัวได้หล่อเหลาภูมิฐานนัก คุณหนูอวี้เห็นแล้วจะต้องมองไม่กะพริบตา”


 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดง


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างอดใจรอไม่ไหว “ไปเถอะ พวกเราเข้าไปในเมืองแล้วยังต้องไปเลือกซื้อของติดไม้ติดมืออีก ไปหาพวกเขาครั้งแรก จะให้บิดามารดานางคิดว่าพวกเราข้นแค้นไม่ได้” พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก เมิ่งเสียนรีบเดินตามไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืน เดินตามออกไป


 


 


คนงานจับกลุ่มกันกินข้าวอิ่มแล้ว กำลังจะไปพักผ่อนในโรงงาน เห็นพวกเขาทั้งหมดเดินออกมา ทยอยกันส่งเสียงทักทาย


 


 


สะใภ้จางจู้ตาแหลมเห็นเมิ่งชื่อแต่งกายชุดใหม่ ร้องถามเสียงดังลั่น “น้องสะใภ้ เจ้าแต่งตัวสวยเช่นนี้ออกจากบ้าน มีเรื่องมงคงอันใดหรือ”


 


 


เมิ่งชื่อกำลังจะตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแย่งพูดก่อน “ป้าสะใภ้ใหญ่ จะมีเรื่องมงคลอันได้ได้ พอดีวันนี้อากาศดี ข้าอยากให้ท่านแม่ช่วยเข้าเมืองไปเลือกเครื่องประดับสองสามชิ้นให้ข้า”


 


 


สะใภ้จางจู้พูดอย่างผิดหวัง “อ่อ ที่แท้ก็จะไปซื้อเครื่องประดับ ข้านึกว่าจะไปทาบทามสู่ขอให้เสียนเอ๋อร์เสียเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันคล้องแขนเมิ่งชื่อแน่น หัวเราะแหะๆ พูดกับสะใภ้จางจู้ “ป้าใหญ่คิดไปไหนแล้ว หากไปทาบทามสู่ขอให้พี่ใหญ่จริงๆ จะไม่บอกท่านกับลุงใหญ่ก่อนได้อย่างไร”


 


 


สะใภ้จางจู้ตบหน้าผาก หัวเราะพูด “ข้าเลอะเลือนนัก โยวเอ๋อร์พูดถูกต้อง หากเสียนเอ๋อร์จะไปสู่ขอ จักต้องบอกข้าก่อน”


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะร่วน ต่างพูดแหย่เย้านาง


 


 


สะใภ้จางจู้หัวเราะแล้วด่าทอกลับไป


 


 


เมิ่งชื่อเดินมาถึงนอกประตู ถามอย่างประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่ให้แม่บอกว่าไปทาบทามสู่ขอให้พี่ใหญ่เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านแม่ เรื่องนี้ยังไม่มีความคืบหน้า รอให้พี่ใหญ่ได้หมั้นหมายจริงๆ ค่อยพูดก็ยังไม่สาย”


 


 


เมิ่งชื่อตรึกตรองดู ยิ้มแล้วสบถว่า “เจ้าช่างเล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่าใคร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างซุกซน


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะเดินขึ้นรถม้า กำชับเมิ่งเสียน “เสียนเอ๋อร์ เจ้าไปบังคับรถม้า ให้พ่อเจ้าอยู่ดูแลบ้าน พวกเราแม่ลูกสามคนไปก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าห้ามปราม “ท่านแม่ ให้ท่านพ่อบังคับรถม้าเถอะ วันนี้พี่ใหญ่ไปดูตัว หากต้องบังคับรถม้า เสื้อผ้าชุดใหม่จะสกปรกได้”


 


 


เมิ่งชื่อคิดว่าหากพวกเขาทั้งหมดเข้าเมือง ในบ้านจะเหลือเพียงเมิ่งฉี เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงสามคน พูดอย่างไม่ว่างใจ “พวกเราเข้าเมืองไปกันหมด บ้านจะทำอย่างไร หากเกิดเรื่องขึ้น พี่รองเจ้ารับมือไม่ไหว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบประโลม “พวกเราใช้เวลาไม่นานก็กลับมาแล้ว ในบ้านคงไม่เกิดเรื่องอะไร ข้าก็กำชับพี่รองแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่เขาจัดการไม่ได้ ก็ให้ไปตามลุงใหญ่มาช่วย ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็วางใจลง พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ เช่นนั้นก็ให้พ่อเจ้าบังคับรถม้า พวกเราทั้งหมดเข้าเมืองด้วยกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนก็เข้ามานั่งในห้องโดยสาร เมิ่งเอ้ออิ๋นตวัดบังเ**ยน บังคับรถม้ามุ่งหน้าเข้าเมือง


 


 


ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากไป จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ก็รออยู่ในห้องรับรอง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่า ทั้งสองก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย จางเจ๋อหวยเอาแต่เดินวนไปมาอยู่ในห้องรับรอง อวี้อวี่ก็เอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุด มองเขาอย่างเป็นห่วง


 


 


เซี่ยเหออยู่นอกประตูก็งุ่นง่านใจเอาแต่กระทืบเท้า มีหลายครั้งที่คิดจะพุ่งเข้าไปลากตัวอวี้อวี่กลับบ้าน


 


 


เสี่ยวเอ้อภัตตาคารเข้ามารบเร้าหลายครั้ง ถามพวกเขาว่าต้องการสั่งอาหารหรือไม่ ก็ถูกเซี่ยเหออ้างเหตุผลยังมีแขกที่ยังมาไม่ถึง ขวางอยู่หน้าประตู


 


 


เวลาที่รอคอยนานขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเซี่ยเหอก็ทนต่อไปไม่ไหว เดินเข้าไปในห้องรับรองโดยไม่เคาะประตู พูดอย่างว้าวุ่นใจ “คุณหนู พวกเรากลับจวนเถอะ คุณหนูเมิ่งไปนานขนาดนี้ยังไม่กลับมา จะต้องปรึกษากับคนในครอบครัวว่าจะลงโทษพวกเราอย่างไรอยู่”


 


 


อวี้อวี่ไม่มีความคิดเห็น ร้องเรียกเสียงแผ่ว “พี่เจ๋อหวย” หวังว่าเขาจะเป็นผู้ตัดสินใจ


 


 


จางเจ๋อหวยมองอวี้อวี่ที่มองตัวเองอย่างน่าเศร้าสังเวช หยุดชะงักฝ่าเท้า พูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด “อวี่เอ๋อร์ เมื่อเรารับปากแม่นางเมิ่งว่าจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้ามารดาและพี่ใหญ่นาง พวกเราก็ไม่ควรผิดคำพูด ไม่ว่าจะนานแค่ไหน พวกเราก็ต้องรอ”


 


 


เซี่ยเหอพูดอย่างกระวนกระวายใจ “แต่ถ้าข้าและคุณหนูยังไม่กลับจวน นายท่านก็จะส่งคนออกตามหา หากมาพบพวกท่านอยู่ด้วยกันเข้า เขาได้สั่งคนตัดอนาคตของท่านเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคุณหนูของเราคงสูญสิ้นความหวังจริงๆ”


 


 


จางเจ๋อหวยพยักหน้าพูด “ข้ารู้ แต่ถ้าวันนี้พวกเราไม่พูดต่อหน้าคนในครอบครัวแม่นางเมิ่งให้ชัดเจน จุดจบของข้าและอวี่เอ๋อร์ก็จะยิ่งน่าสังเวช ข้าไม่เพียงจะถูกตัดอนาคต ภายหน้าแม้แต่อวี่เอ๋อร์ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกคนนินทาวิพากวิจารณ์ ข้าไม่ต้องการเห็นอวี่เอ๋อร์ตกอยู่ในสภาพนั้น ข้าคิดดีแล้ว อีกประเดี๋ยวหากคนในครอบครัวแม่นางเมิ่งไม่ให้อภัยพวกเรา ข้าจะขอร้องพวกเขาไม่ให้ถือโทษอวี่เอ๋อร์ จะขอรับผิดทุกประการด้วยตัวเอง”


 


 


อวี้อวี่น้ำตาหยดเผาะอีกครั้ง ส่ายหน้าพูดว่า “ข้าไม่ต้องการ ข้าจะรับผิดกับท่าน”


 


 


จางเจ๋อหวยพูดปลอบประโลมนาง “อย่าโง่เลย ข้าเป็นผู้ชาย การลงโทษสูงสุดก็คือเข้าสอบเคอจวี่ไม่ได้ เรื่องอื่นไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อข้า เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ผู้รู้ขนบ หากให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าท้องก่อนแต่ง เจ้าคงสำลักตายเพราะน้ำลายจากปากผู้อื่น เจ้าจงเชื่อฟังข้า อีกประเดี๋ยวคนในครอบครัวแม่นางเมิ่งมาถึง เจ้าจงพยายามวิงวอนให้พวกเขาให้อภัย”


 


 


อวี้อวี่ร้องไห้พยักหน้า


 


 


เซี่ยเหอมองดูอวี้อวี่ถูกพูดกล่อมจนเชื่อ กระทืบเท้างุ่นง่านใจ เดินออกไปรอนอกประตู


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนใจ ตะบึงฮ่อรถม้ามาด้วยความเร็ว เมิ่งชื่อและลูกๆ โคลงเคลงส่ายไปมาอยู่ในห้องโดยสาร


 


 


เมิ่งชื่อพยายามทรงตัวให้มั่นคง ยิ้มพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเจ้าดูพ่อเจ้าสิ เมื่อวานแม่บอกจะหาแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูบ้านอวี้ เขายังไม่วางใจให้แม่ไปสืบถามความก่อน ค่อยตัดสินใจ ตอนนี้เป็นอย่างไร พอได้ยินว่าแม่จะไปสู่ขอให้เสียนเอ๋อร์ด้วยตัวเอง ก็ดีใจยกใหญ่ รีบร้อนจนรถม้าแทบจะบินได้อยู่แล้ว”


 


 


ฟังนางพูดจบ เมิ่งเสียนตื่นเต้นดีใจจนใบหน้าเปล่งแสง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งชื่อรู้สึกว่านางผิดปกติ ถามด้วยน้ำเสียงสั่น “โยวเอ๋อร์ แม่รู้สึกว่าเจ้าเหมือนจะมีเรื่องในใจ เพราะไม่เห็นด้วยกันการแต่งงานของพี่ใหญ่กับคุณหนูสกุลอวี้หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยิ้ม พูดว่า “ท่านแม่ ข้าหาได้มีเรื่องในใจ เพราะท่านพ่อบังคับรถเร็วเกินไป ข้าโคลงเคลงจนไม่สบายตัว”


 


 


เมิ่งชื่อมองนางอย่างพินิจ พบว่าสีหน้าของนางไม่ค่อยดีจริงๆ ลนลานหันไปตะโกนบอกเมิ่งเอ้ออิ๋น “พ่อเอ๊ย เจ้าช้าหน่อย โยวเอ๋อร์ไม่ค่อยสบายตัว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นแม้จะรับคำ ความเร็วของรถม้ากลับไม่ได้ช้าลง

 

 

 


ตอนที่ 140.3

 

ช่วยซึ่งกันและกัน

 


 


 


ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตูเมือง คนเดินเท้าค่อนข้างพลุกพล่าน เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงลดความเร็วของม้าลง ค่อยๆ เข้าเมืองช้าๆ


 


 


เมิ่งชื่อก็โคลงเคลงจนเกือบทนไม่ไหว พอรับรู้ว่ารถม้าช้าลงแล้ว ก็ถอนหายใจยาว พูดว่า “ในที่สุดก็ถึงตัวเมือง แม่เองก็โคลงเคลงจนตัวจะหลุดเป็นชิ้นแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนส่งยิ้มให้นาง


 


 


เมิ่งชื่อมองนางอย่างข้องใจอีกครั้ง ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เหตุใดแม่ถึงรู้สึกว่าเจ้ามีเรื่องในใจ”


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งชื่อยิ่งขับข้องใจ พูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังแม่อยู่กันแน่ เจ้ารีบบอกแม่มา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก คิดทบทวนแล้วพูดว่า “ตอนเช้าข้าและท่านพ่อเจอคุณหนูอวี้แล้ว นางบอกว่ารอท่านและพี่ใหญ่อยู่ในภัตตาคาร มีเรื่องสำคัญอยากพูดกับท่านและพี่ใหญ่ ข้าและท่านพ่อถึงได้รับกลับไปรับพวกท่านมา”


 


 


เมิ่งชื่อตกตะลึง ถามอย่างไม่เข้าใจ “นางจะมีเรื่องสำคัญอันใดพูดกับพวกเรา หรือไม่ยินดีหมั้นหมายกับเสียนเอ๋อร์แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแววตาลอกแลก พูดอย่างร้อนตัว “นางไม่ได้พูดกับข้า ข้าก็ไม่รู้”


 


 


เมิ่งชื่อย่นหัวคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเอง “แม้แต่เจ้าก็ไม่รู้ หรือจะเป็นอย่างที่แม่คิดจริงๆ”


 


 


ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนั้น ใบหน้าเบิกบานของเมิ่งเสียนก็ห่อหดลง


 


 


ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องโดยสาร ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าที่ดังชัดเจนนอกตัวรถ


 


 


เมิ่งชื่อพลันคว้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น ถามอย่างว้าวุ่นใจ “โยวเอ๋อร์ คงไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิดจริงๆ คุณหนูอวี้เปลี่ยนใจเสียแล้ว”


 


 


ยังไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ เมิ่งเสียนก็พูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ท่านแม่ เมื่อวานคุณหนูอวี้พูดต่อหน้าบิดามารดาของนางเองว่า ครั้งแรกที่เจอข้าก็พึงใจข้าแล้ว ไม่น่าจะเป็นการเปลี่ยนใจ น่าจะมีเรื่องอะไรลำบากใจ ต้องการให้พวกเราช่วย”


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินก็วางใจ พูดอย่างดีใจ “เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงไม่ใช่ไม่อยากหมั้นหมาย วันนี้ไม่ว่าคุณหนูอวี้ยื่นเงื่อนไขอะไร แม่ก็รับปาก”


 


 


มาถึงหน้าประตูภัตตาคาร เมิ่งเอ้ออิ๋นหยุดจอดรถม้า เมิ่งเสียนลงจากรถม้าก่อน ถึงประคองเมิ่งชื่อตามลงมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอให้เขาช่วย ลงจากรถม้าด้วยตัวเอง พูดกับคนทั้งสองว่า “คุณหนูอวี้รออยู่ที่ชั้นสอง พวกเราเข้าไปเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปชั้นสอง


 


 


เซี่ยเหอกำลังรออย่างกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าประตู เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนขึ้นมา ก็ให้ร้อนรนขึ้นมาทันใด ด้านหนึ่งเคาะประตูร้องบอกด้านในอย่างนอบน้อม “คุณหนู พวกคุณชายเมิ่งมาถึงแล้ว” อีกด้านแสดงความเคารพเมิ่งชื่อและลูกๆ พูดว่า “พวกท่านมาถึงแล้ว คุณหนูของเราและคุณชายจางรออยู่ด้านในมาตลอด”


 


 


ได้ยินคำพูดนาง เมิ่งชื่อเกิดความกังขา เมิ่งเสียนกลับมุ่นหัวคิ้ว


 


 


เซี่ยเหอเปิดประตูห้องรับรองพูดกับทั้งสามคนอย่างนอบน้อม “เชิญพวกท่านด้านใน”


 


 


เมิ่งชื่อกำลังจะเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวกลับชะงักฝีเท้า หันไปพูดกับนาง “ท่านแม่ พี่ใหญ่ เรื่องนี้คุณหนูอวี้บอกว่าจะคุยกับพวกท่านตามลำพัง ข้าจึงไม่เข้าไปแล้ว จะรอพวกท่านที่หน้าประตู มีเรื่องอะไรพวกท่านก็ตะโกนเรียกข้า”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องรับรองกับเมิ่งเสียน


 


 


เซี่ยเหอปิดประตู มีน้ำเสียงยินดีของเมิ่งชื่อเล็ดลอดออกมา “คุณหนูอวี้ ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีก เจ้าคงไม่รู้ ตั้งแต่ตอนก่อนปีใหม่ที่ข้าได้เจอเจ้าครั้งแรก…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ เสียงตื่นตกใจของเมิ่งชื่อก็ดังขึ้น “คุณหนูอวี้ เจ้าจะทำอะไร เหตุใดต้องคุกเข่าให้พวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาปริบ


 


 


เซี่ยเหอเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างกระสับกระส่าย


 


 


เสี่ยวเอ้อของภัตตาคารเห็นเมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนเข้าไปในห้องรับรอง เข้ามาสอบถามเซี่ยเหอ “แม่นาง พวกเจ้าจะสั่งอาหารได้แล้วหรือไม่”


 


 


เซี่ยเหอกำลังเป็นกังวลกับสถานการณ์ด้านใน ได้ยินคำถามของเสี่ยวเอ้อกำลังจะโบกมือให้อย่างรำคาญ เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากอกเสื้อยื่นให้เสี่ยวเอ้อ พูดว่า “ขออภัยด้วย คนด้านในมีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย รอพวกเขาพูดคุยเสร็จ พวกเราจะสั่งอาหาร เงินหนึ่งตำลึงนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี ถือเป็นเงินมัดจำค่าอาหารของพวกเรา”


 


 


เสี่ยวเอ้อไม่เคยเจอใครยังไม่กินข้าวก็ให้เงินก่อน นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รับเงินมาอย่างยินดี พูดอย่างมีไมตรีจิต “ได้ ข้าจะรออยู่ด้านข้าง หากต้องการสั่งอาหารก็ตะโกนเรียกข้าได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เสี่ยวเอ้อถอยหลังออกไป


 


 


ในห้องรับรองไม่มีเสียงดังลอยออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเซี่ยเหอยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู


 


 


ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อได้ ก็มีเสียงไม่อยากเชื่อของเมิ่งชื่อดังแว่วมา “คุณหนูอวี้ เจ้าพูดว่าอะไร”


 


 


ไม่ได้ยินคำตอบของอวี้อวี่


 


 


น้ำเสียงเคืองขุ่นของเมิ่งชื่อดังแว่วออกมาต่อเนื่อง “ข้านึกว่าเจ้าเป็นหญิงสาวอยู่ในขนบ อ่อนโยนเป็นกุลสตรีมาตลอด เจ้ากระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


เสียงจางเจ๋อหวยดังขึ้น “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ขอท่านอย่าได้ตำหนิโทษอวี่เอ๋อร์”


 


 


เมิ่งชื่อยิ่งทวีความแค้นเคือง “เสียแรงที่เจ้าเป็นบัณฑิต กลับกระทำเรื่องโสมมได้เช่นนี้ ตำรับตำราที่เจ้าศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลย”


 


 


จางเจ๋อหวยไม่ได้โต้แย้ง


 


 


เมิ่งชื่อยังคงโกรธแค้นไม่หาย ชี้หน้าก่นด่าทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า “พวกเจ้าไม่สนใจขนบประเพณี กระทำเรื่องไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้ ยังคิดจะวางแผนให้เสียนเอ๋อร์ของข้าหมั้นหมายกับเจ้า พวกเจ้ารอก่อน ข้าต้องออกไปป่าวประกาศ ให้คนทั้งเมืองได้รู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนอย่างไร”


 


 


เสียงวิงวอนขอร้องของอวี้อวี่ดังลอยออกมา “ทั้งหมดเป็นความผิดข้า ข้าที่เลอะเลือนชั่วขณะ ถึงได้คิดวางแผนกับคุณชายเมิ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่เจ๋อหวย ขอท่านอย่าพาลใส่เขา จะทุบตีลงโทษข้าขอน้อมรับเอง”


 


 


เมิ่งชื่อสบถหนึ่งคำ พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าท้องก่อนแต่ง ไร้ยางอาย ตีเจ้าข้าก็กลัวจะติดเสนียดมือข้า”


 


 


เสียงสะอื้นไห้ของอวี้อวี่ดังแว่วออกมา


 


 


เมิ่งชื่อยังคงรู้สึกไม่หายแค้น กำลังจะก่นด่าพวกนางอีก น้ำเสียงถูกกระทำของเมิ่งเสียนก็ดังลอยออกมา “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องด่าทอแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างปวดใจ “เสียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ภายหน้าแม่จะคู่แต่งงานที่ดีกว่านี้ให้เจ้า ให้หญิงไร้ยางอายคนนี้ต้องเสียใจไปทั้งชีวิต”


 


 


เสียงทุกข์ระทมของเมิ่งเสียนดังลอยมา “ท่านแม่ พวกเราไปเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อคัดค้านอย่างดุดัน “ได้อย่างไรกัน หากวันนี้ไม่ลงโทษชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้ให้สาสม แม่ไม่มีวันหายแค้น ยังโชคดีที่วันนี้แม่ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเสียนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ้อนวอน “ท่านแม่ ข้าขอร้อง พวกเรากลับไปเถอะ ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาอีก”


 


 


น้ำเสียงลนลานวิงวอนของอวี้อวี่ดังลอยมา “คุณชายเมิ่ง ขอร้องพวกท่าน ปล่อยพี่เจ๋อหวยไปเถอะ ชาติหน้าต่อให้ต้องเป็นวัวเป็นม้าข้าก็จะขอตอบแทนท่าน”


 


 


เมิ่งเสียนไม่ได้พูดอะไร เปิดประตูห้องรับรองออก เดินออกมาอย่างวิญญาณหลุดลอย


 


 


เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเสียนเดินออกไปจากห้องรับรองแล้ว กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา รีบร้อนเดินตามออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกอย่างเป็นห่วง “พี่ใหญ่”


 


 


เมิ่งเสียนเผยรอยยิ้มที่เหยเกไม่น่าดูยิ่งกว่าการร้องไห้ พูดว่า “น้องสาว พวกเรากลับไปเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่คิดเอาความ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเข้าไปในห้องอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง หันไปพยักหน้าให้เมิ่งเสียน


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างงุ่นง่านใจ “เสียนเอ๋อร์ เจ้าจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเสียนหัวเราะอย่างทุกขเวทนา พูดประโยคเดิมนั้นอีกครั้ง “ท่านแม่ พวกเรากลับเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อตื่นตกใจกับอาการของเขา ลนลานรับคำ “ได้ๆๆ พวกเรากลับ”


 


 


เมิ่งเสียนเดินลงไปชั้นล่างอย่างเสียศูนย์ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบก้าวขึ้นหน้าสองก้าว ประคองตัวเขาไว้ ทั้งสองเดินลงบันไดไปพร้อมกัน


 


 


เมิ่งชื่อเห็นสภาพเมิ่งเสียน ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ เดินตามหลังไป


 


 


ทั้งสามออกมาจากภัตตาคารมาถึงข้างรถม้า เมิ่งเอ้ออิ๋นสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวของเมิ่งเสียน ร้อนรนถาม “เสียนเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”


 


 


เมิ่งเสียนส่ายหน้า ขึ้นไปนั่งบนรถม้าช้าๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตรงหน้าเขา มองเขาเงียบๆ


 


 


เมิ่งเสียนเงยหน้าขึ้น ถามอย่างเลื่อนลอย “น้องสาว พี่ใหญ่โง่มากใช่ไหม เจ้ามองออกแต่แรกแล้วว่าคุณหนูอวี้ไม่ได้ต้องการหมั้นหมายกับพี่ใหญ่จริงๆ แต่พี่ใหญ่กลับยังโง่เขลาดีใจตั้งแต่เมื่อวานมาถึงตอนนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ถ้าพี่ใหญ่รู้สึกเคืองแค้น ข้าจะออกหน้าลงมือกับพวกเขาเอง”


 


 


เมิ่งเสียนส่ายหน้า “ข้าที่ตาบอดเอง ไม่เกี่ยวกับพวกเขา”


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างงุ่นง่านใจ “เสียนเอ๋อร์ เรื่องนี้จะโทษเจ้าได้อย่างไร เพราะหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นที่วางแผนต่ำช้า พวกเราจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเสียนหันไปร้องขอเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ขอร้องท่านอย่าพูดเสียงดังอีกเลย หากคนอื่นได้ยินเข้า ชื่อเสียงของคุณหนูอวี้ได้หมดสิ้นแล้วจริงๆ”


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “คนหน้าไม่อายอย่างนาง ยังจะมีชื่อเสียงอะไรอีก พวกเราไม่เอาเรื่องโสมมที่พวกเขาทำไปป่าวประกาศกลางถนน ก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบพูดกับเมิ่งชื่อ “เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อยเถอะ เรื่องนี้พวกเราแล้วแต่เสียนเอ๋อร์ เสียนเอ๋อร์ว่าอย่างไรพวกเราก็ทำอย่างนั้น”


 


 


เมิ่งชื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของเมิ่งเสียน ไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด “เมื่อเสียนเอ๋อร์ให้อภัยพวกเขา พวกเราก็กลับเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า


 


 


เมิ่งเสียนนั่งนิ่งบนรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวคอยยืนอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ


 


 


ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมิ่งเสียนถึงถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ออกมา แหงยหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว พี่ใหญ่ขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านพูด” เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ


 


 


เมิ่เงสียนมองไปทางสองสามีภรรยาเมิ่ง ลุกขึ้นเดินไปอีกที่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังเขาไป เมิ่งชื่อคิดจะตามไป ถูกเมิ่งเอ้ออิ๋นรั้งไว้แล้วส่ายหน้าให้นาง


 


 


เมิ่งชื่อถอนหายใจ พูดว่า “เรื่องนี้เป็นเพราะข้า หากไม่ใช่เพราะข้าลุ่มหลงพึงพอใจคุณหนูสกุลอวี้จนไม่ได้สติ ไม่เชื่อคำพูดพวกเจ้าสืบความให้แน่ชัดก่อน วันนี้เสียนเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเช่นนี้”


 


 


เมิ่เงสียนเดินมาหยุดในบริเวณคนบางตา หันหลังกลับไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว พี่ใหญ่อยากช่วยคุณชายจางและคุณหนูอวี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง


 


 


เมิ่งเสียนพูดต่อ “แม้คุณหนูอวี้จะวางแผนพี่ วาจาก็ล้วนเป็นคำโป้ปด แต่อย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่พูดคำพวกนั้นกับพี่ใหญ่ต่อหน้าคนมากมาย พี่ใหญ่รู้สึกหวั่นไหว ไม่อยากให้นางต้องมีจุดจบที่น่าเวทนา พี่ใหญ่ขอร้องเจ้า ช่วยพวกเขาด้วยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างงงงัน “พี่ใหญ่ ไม่เกลียดพวกเขาหรือ”


 


 


เมิ่งเสียนส่ายหน้า “คุณหนูอวี้มิได้จะวางแผนกับพี่อย่างแท้จริง ทั้งยังคุกเข่าให้พวกเราอย่างไม่สนใจสถานะ แม้ใจของพี่จะเจ็บปวด แต่ใจของข้าก็ไม่เคยคิดจะตำหนิโทษพวกเขา”


 


 


“เช่นนั้นพี่ใหญ่อยากให้ข้าช่วยพวกเขาอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


เมิ่งเสียนขบคิด ตอบว่า “เจ้าช่วยพวกเขาเรื่องเงินทองเถอะ ให้คนรักของนางได้สอบเคอจวี่อย่างราบรื่น ส่วนที่ว่าต่อไปพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ ทุกอย่างแล้วแต่พี่ใหญ่”

 

 

 


ตอนที่ 141.1

 

ยุ่งเหยิงอลหม่าน

 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับเข้ามาในภัตตาคาร มาถึงห้องรับรองชั้นสอง


 


 


เซี่ยเหอกลับไม่ได้ยืนเฝ้าหน้าประตู แต่เข้าไปในห้องรับรอง กำลังพูดกับอวี้อวี่ “คุณหนู ตั้งแต่เมื่อวานข้าก็เตือนท่านแล้วอย่าไปพูดกับพวกคุณชายเมิ่ง ท่านกลับไม่ฟัง ครานี้ดีแล้ว หากมารดาคุณชายเมิ่งนำเรื่องของพวกท่านไปป่าวประกาศจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงยามค่ำ ทั้งตำบลจะต้องรู้เรื่องของพวกท่านกันหมด”


 


 


เรื่องมาถึงตอนนี้ อวี้อวี่ตกใจจนสติกระเจิง ได้แต่ร้องไห้ไม่หยุด


 


 


เซี่ยเหอร้อนใจกระทืบเท้าพูดว่า “คุณหนู ท่านไม่ต้องร้องไห้แล้ว คิดหาวิธีก่อนเถอะ หากนายท่านรู้เรื่องที่ท่านท้องก่อนแต่ง ท่านกับคุณชายจางได้จบสิ้นชีวิตแน่”


 


 


คำพูดเซี่ยเหอเรียกสติจางเจ๋อหวย เขาหันไปพูดกับอวี้อวี่ “อวี่เอ๋อร์ เซี่ยเหอพูดถูกต้อง หากพวกเขาป่าวประกาศออกไปจริงๆ พวกเราคงมีจุดจบไม่ดี ข้าจะกลับไปเก็บข้าวของที่บ้าน พกเงินติดตัว พาพวกเจ้าไปจากตำบลชิงซีทันที ไปยิ่งไกลก็ยิ่งดี”


 


 


อวี้อวี่พูดอย่างขวัญเสีย “แต่ว่า ข้าและเหอเอ๋อร์ยังไม่ได้เก็บข้าวของ เครื่องประดับข้าก็ไม่ได้พกติดตัวมา พวกเราจะไปอย่างไร?”


 


 


จางเจ๋อหวยพูด “สิ่งเหล่านั้นไม่เอาแล้ว รอให้พวกเราปักหลักได้ ข้าจะซื้อให้พวกเจ้าใหม่” พูดจบ ลุกขึ้นเตรียมจะกลับบ้านไปเก็บข้าวของ


 


 


อวี้อวี่รั้งเขา ส่ายหน้าพูด “ไม่ได้ เครื่องประดับพวกนั้นพวกเราจักต้องนำไป ยามที่พวกเราเอาตัวไม่รอด สามารถนำไปแลกเป็นเงินได้”


 


 


จางเจ๋อหวยเริ่มร้อนรน “ข้ายืมเงินมาแล้ว เพียงพอให้ประทังชีวิตไปได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้พวกเราควรไปให้ยิ่งไกลยิ่งดี”


 


 


อวี้อวี่ยังไม่ปล่อยมือ พูดว่า “ไม่ได้ พวกเราจักต้องนำเครื่องประดับเหล่านั้นไป ต่อให้ยามปกติไม่ได้ใช้ เมื่อลูกคลอดออกมาก็ต้องได้ใช้”


 


 


เซี่ยเหอพูดสนับสนุน “คุณหนูพูดถูกต้อง ท่านมีเพียงสิบตำลึง พอคุณหนูคลอดบุตรออกมาไม่มีทางใช้พอ เอาอย่างนี้ ท่านกับคุณหนูจะรออยู่ที่นี่ ข้าจะกลับจวนแอบขโมยเครื่องประดับของคุณหนูออกมา แล้วพวกเราก็ไปทันที”


 


 


จางเจ๋อหวยยิ่งทวีความร้อนรนพูดว่า “รอเจ้าไปเอาเครื่องประดับ พวกเราหนีไม่ทันจะทำอย่างไร?”


 


 


“ไม่มีทาง ข้าจะกลับจวนไปเอาเดี๋ยวนี้ สองเค่อก็กลับมาแล้ว” พูดจบหมุนตัวเตรียมจะวิ่งออกไป กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่หน้าประตูร้องอุทานเรียก “แม่นางเมิ่ง!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้องรับรองอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ก็มองนางอย่างตกตะลึง


 


 


เซี่ยเหอลนลานปิดประตูห้องรับรอง เดินกลับเข้ามาในห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองพวกเขาด้วยสีหน้าเมินเฉย ถามขึ้น “คิดจะหนี?”


 


 


จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ตื่นตกใจ หันหน้าสบตากัน อวี้อวี่คิดจะขอร้องให้เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยพวกเขาไปอีกครั้ง จางเจ๋อหวยยับยั้งนางไว้ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย “แม่นางเมิ่ง แม้พวกเราจะกระทำเรื่องผิด ข้าและอวี่เอ๋อร์ก็ได้คุกเข่าขอขมาแล้ว คำโบราณว่าไว้ดี มีหนึ่งมีสองไม่มีสาม พวกเราคุกเข่าให้พวกเจ้าสองครั้งแล้ว ครั้งที่สามนี้พวกเราไม่มีทางขอร้องพวกเจ้าอีก คิดจะป่าวประกาศเรื่องนี้หรือจะตัดอนาคตของข้า ก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”


 


 


อวี้อวี่ร้องเรียกอย่างร้อนใจ “พี่เจ๋อหวย”


 


 


จางเจ๋อหวยพูดกับนางอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจุดจบจะลงเอยอย่างไร ข้าจะเผชิญหน้ากับเจ้าเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “ยังมีความทรนง ไม่รู้ว่าพอเรื่องกลยุทธ์ลอบตีเฉินชังของพวกเจ้าป่าวประกาศออกไป ต้องถูกผู้คนชี้นิ้วนินทา เจ้ายังมีความกล้าพูดเช่นนี้กับคุณหนูอวี้อีกหรือไม่”


 


 


จางเจ๋อหวยตอบนางด้วยวาจาเหมาะสม “สิ่งนี้ไม่รบกวนแม่นางเมิ่งต้องเป็นกังวล หากเรื่องราวถูกป่าวประกาศออกไป คนทั้งโลกไม่ให้อภัยพวกเรา แม้ตายข้าก็จะอยู่เคียงข้างอวี่เอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างราบเรียบ “ดูท่าไม่ว่าอย่างไรคุณชายจางก็จะครองคู่กับคุณหนูอวี้”


 


 


จางเจ๋อหวยพยักหน้า “ร่วมทุกข์สุขจนวันตาย ไม่มีวันทอดทิ้ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินเขาอย่างลุ่มลึก จางเจ๋อหวยยืดตัวตรงเคียงข้างอวี้อวี่ ไม่หลบไม่เลี่ยง ให้นางมองประเมินตามอำเภอใจ


 


 


อึดใจหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วแลกเงินสามใบจากอกวางลงบนโต๊ะ พูดว่า “พี่ใหญ่ข้าให้ข้านำตั๋วแลกเงินสามร้อยตำลึงนี้มอบให้พวกเจ้า บอกว่าเห็นแก่ความรักมั่นคงของพวกเจ้า ช่วยพวกเจ้าสักครั้ง แต่หลังจากนี้พวกเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่พวกเจ้าเองแล้ว”


 


 


จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ทั้งสองไม่คิดว่าเมิ่งเสียนไม่เพียงไม่ตำหนิโทษพวกเขา ยังมอบตั๋วแลกเงินมาช่วยเหลือพวกเขา พลันตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรอีก ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป


 


 


จางเจ๋อหวยรีบร้องตะโกนไล่หลัง “แม่นางเมิ่ง!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์


 


 


จางเจ๋อหวยพูดอย่างตื้นตันใจ “บุญคุณใหญ่หลวงของคุณชายเมิ่ง เจ๋อหวยจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต ฝากบอกคุณชายเมิ่งว่า ภายหน้าหากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ ขอให้รีบบอก ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ไม่ปฏิเสธ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร หันหลังเดินออกไปจากภัตตาคาร


 


 


น้ำเสียงดีใจระคนประหลาดใจของอวี้อวี่ดังแว่วมา “ท่านพี่เจ๋อหวย ครานี้พวกเรามีทางรอดแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากภัตตาคาร ตรงมาที่ข้างรถม้า หันไปพยักหน้าให้เมิ่งเสียน


 


 


เมิ่งชื่อถามอย่างกระวนกระวาย “โยวเอ๋อร์ เจ้าเข้าไปในภัตตาคารทำสิ่งใด? เข้าไปสั่งสอนหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นอย่างสาสมใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมองนาง แล้วมองไปทางภัตตาคารด้วยสีหน้าวิตกกังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเมิ่งชื่อ แต่พูดกับคนทั้งสองว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องนี้ต่อไปไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีก ไม่ว่าภายหน้าคุณหนูอวี้จะเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราอีก”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อหันหน้ามองกัน แล้วมองเมิ่งเสียนที่ซึมเศร้าหดหู่ พยักหน้าพร้อมกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ อีกหนึ่งชั่วยาม อี้เซวียนก็จะเลิกเรียนแล้ว พวกเราไปกินข้าวที่เหลาจวี้เสียนพักผ่อนเสียหน่อย รอรับอี้เซวียนค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรับคำ จับจูงรถม้าให้ดี ส่งสัญญาณให้ทุกคนขึ้นไปนั่งในห้องโดยสาร


 


 


เมิ่งชื่อถอนหายใจ ก้าวขึ้นไปนั่ง


 


 


เมิ่งเสียนขึ้นไปนั่งอย่างไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


รอจนทุกคนนั่งดีแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงบังคับรถม้า มาถึงเหลาจวี้เสียนอย่างเชื่องช้า


 


 


เลยเวลากินข้าวมาแล้ว เหลาจวี้เสียนแทบจะไม่มีลูกค้า เสี่ยวเอ้อที่เฝ้าหน้าประตูเห็นรถม้าคันหนึ่งมุ่งตรงเข้ามา รู้สึกประหลาดใจ คิดว่าเวลาใดแล้วยังจะมีคนเข้ามากินข้าว กระทั่งเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า ถึงรีบร้อนเข้าไปต้อนรับ ถามอย่างนบนอบ “แม่นางมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว “ขอโทษด้วย พวกเราเพิ่งจะมากินข้าวยามนี้”


 


 


เสี่ยวเอ้อรีบร้อนโบกมือ ตอบว่า “หลงจู๊ของพวกเราพูดแล้ว แม่นางจะมาเวลาไหนก็ได้ ข้าจะพาท่านไปห้องรับรอง แล้วสั่งการให้คนนำอาหารมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เสี่ยวเอ้อเฝ้าประตูเรียกเสี่ยวเอ้ออีกคนมานำรถม้าไปดูแลหลังร้านให้ดี ตนเองนำคนทั้งสี่มายังห้องรับรอง


 


 


กระทั่งทั้งสี่คนนั่งเรียบร้อย รินน้ำชาให้คนละถ้วย ถึงถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าแม่นางอยากกินอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขออาหารแนะนำสองอย่าง อาหารจืดอีกสองอย่างก็ได้แล้ว”


 


 


เสี่ยวเอ้อรับคำ ออกไปจากห้องรับรอง ปิดประตูห้องรับรอง หลังจากตะโกนสั่งอาหารเสร็จ ก็ไปบอกหลงจู๊ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมา


 


 


คงเพราะไม่มีคนกินข้าว ไม่นานเท่าใด อาหารร้อนกรุ่นสี่อย่างก็ถูกยกขึ้นมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบขึ้น แสร้งพูดอย่างสบายใจ “ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ไม่ได้กินข้าวเลย หิวจะตายแล้ว พวกเราลงมือเถอะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็หิวมาก หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารวางในถ้วยตัวเอง เคี้ยวงุบงับคำโต


 


 


เมิ่งชื่อก็หยิบตะเกียบขึ้น คีบอาหารจำนวนหนึ่ง มีเพียงเมิ่งเสียนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอันใด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “พี่ใหญ่?”


 


 


เมิ่งเสียนได้สติกลับมา ฝืนยิ้มแข็งให้นาง พูดว่า “พวกเจ้ากินเถอะ พี่ใหญ่ไม่หิว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อหยุดค้างตะเกียบ มองเขาอย่างเป็นกังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบคู่หนึ่งใส่มือเมิ่งเสียน พูดโน้วน้าว “พี่ใหญ่ ท่านไม่หิวก็กินเป็นเพื่อนพวกเราหน่อย ข้าและท่านพ่อท่านแม่หิวจะแย่แล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนเห็นสองสามีภรรยาเมิ่งต่างมองพวกเขาอย่างเป็นห่วง จึงคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เคี้ยวอย่างไม่รู้รสชาติ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวหิวมากจริงๆ กินกันไปไม่น้อย เมิ่งชื่อเพียงแค่กินไม่กี่คำพอเป็นพิธี ก็วางตะเกียบลง นั่งทอดถอนใจอยู่บนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเสียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อาหารหนึ่งคำในปากเคี้ยวเป็นนานสองนานก็ยังไม่ได้กลืนลงไป


 


 


เมิ่งชื่อเห็นอาการย่ำแย่ของบุตรชาย พูดขึ้นอย่างควบคุมโทสะไม่ได้ “แม่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห คุณหนูอวี้ก็เป็นหญิงมีการศึกษาอยู่ในขนบ เหตุใดถึงกระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นด้านหนึ่งกินข้าวด้านหนึ่งมองเมิ่งเสียนแวบหนึ่ง พูดกับเมิ่งชื่อ “เจ้าเลิกพูดได้แล้ว พวกเราพูดกันแล้วว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นอีกไม่ใช่หรือ?”


 


 


เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง นั่งลงบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเสียนเขี่ยอาหารในชามข้าวอย่างไม่รู้ตัว ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขา


 


 


กินข้าวอิ่ม เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเสี่ยวเอ้อให้มายกสำรับอาหารออกไป แล้วให้เขาชงชาขึ้นมาใหม่หนึ่งกา


 


 


คนทั้งหมดดื่มชาเงียบๆ ไม่มีใครปริปากพูด บรรยากาศในห้องตึงเครียดลง


 


 


เสียงเคาะประตูหนึ่งดังขึ้น เสียงปรอทแตกของพ่อครัวดังขึ้น “แม่นางเมิ่ง ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ ลุกขึ้นเปิดประตูห้องรับรองออก พูดด้วยรอยยิ้ม “เข้ามาเถอะ”


 


 


พ่อครัวเดินเข้ามาในห้องรับรองอย่างปรีดา แทบจะไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศตึงเครียดภายในห้อง หลังจากทักทายสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างเป็นกันเองแล้ว ก็พูดตามตรง “แม่นางไม่ได้มาทำอาหารที่ภัตตาคารนานแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้มีเวลาหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าด้านนอก พูดอย่างรู้สึกผิด “วันนี้เกรงว่าจะไม่ได้ น้องชายข้าเข้ามาเรียนโรงเรียนในเมือง อีกครึ่งชั่วยามก็เลิกเรียนแล้ว ข้าต้องไปรับเขา”


 


 


พ่อครัวรู้สึกผิดหวัง กลับไม่ได้ฝืนใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด พูดว่า “อีกไม่นาน พวกคุณชายเปาจะมาเป็นแขกบ้านข้า ข้ารับปากจะทำพระกระโดดกำแพงที่ข้าถนัดที่สุดให้พวกเขากิน ถึงตอนนั้นข้าจะให้คนมาแจ้งท่าน หากท่านมีเวลา สามารถมาเรียนทำพร้อมกับข้าที่บ้านได้”


 


 


พอได้ยินว่าเป็นอาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวถนัดที่สุด พ่อครัวก็ดีใจลิงโลด รับปากทันควัน “มีเวลา ถึงตอนนั้นแม่นางจะต้องให้คนมาแจ้งข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีก “พระกระโดดกำแพงต้องใช้วัตถุดิบมาก ถึงตอนนั้นต้องให้ท่านนำบางส่วนติดมือมาด้วย”


 


 


พ่อครัวรับประกัน “แม่นางวางใจ ต้องการวัตถุดิบอะไรให้เขียนใส่กระดาษ แล้วให้คนนำมา ข้าจะนำไปให้เจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ แล้วข้าจะให้คนมาแจ้งท่านก่อน”


 


 


พ่อครัวกล่าวขอบคุณอย่างมีความสุข


 


 


พ่อครัวยังถามถึงปัญหาปลีกย่อยในรายการอาหารสองอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนให้ครั้งก่อน ถึงบอกลาคนทั้งหมดอย่างอิ่มเอม ออกไปจากห้องรับรอง

 

 

 


ตอนที่ 141.2

 

ยุ่งเหยิงอลหม่าน

 


หลังจากพ่อครัวจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าได้เวลาแล้ว หันไปพูดกับคนทั้งสาม “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พวกเราไปรับอี้เซวียนเถอะ”


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นยืน เมิ่งเสียนยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว พูดขึ้นอีกครั้ง “พี่ใหญ่ พวกเราควรไปรับอี้เซวียนแล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนตื่นจากภวังค์ราวกับอยู่ในความฝัน มองคนทั้งหมดอย่างงุนงง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ พูดซ้ำอีกครั้ง “พี่ใหญ่ พวกเราไปรับอี้เซวียนได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนส่งเสียง “อ่อ” พรวดพราดเดินออกไป


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง


 


 


คนทั้งหมดมาถึงหน้าประตูโรงเรียน โรงเรียนยังไม่เลิกเรียน เมิ่งเอ้ออิ๋นหาสถานที่หนึ่งจอดรถม้า


 


 


ซุนซ่านเหรินมารอรับซุนเหลียงไฉที่หน้าประตูนานแล้ว เห็นรถม้าของเมิ่งเอ้ออิ๋นเข้ามา ก็ลงจากรถม้า เดินตรงไปทักทายอย่างชื่นบาน “น้องเอ้ออิ๋น”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบร้อนรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงเขาจึงเปิดม่านบังรถ ลงจากรถม้า


 


 


ซุนซ่านเหรินส่งเสียงหัวเราะพูดกับนาง “แม่นางเมิ่ง วันนี้ค่ำพอกลับถึงบ้าน ข้าจะไปปรึกษากับคนในครอบครัวเรื่องให้ไฉเอ๋อร์ไปกินนอนบ้านพวกเจ้า พรุ่งนี้เย็นพวกเราจะไม่มาแล้ว เจ้ารับกลับไปได้เลย หากเจ้ามีเรื่องอันใดกับข้า จงไปหอน้ำชาให้พวกเขาไปส่งข่าว ข้าจะมาในทันที”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ ข้าทราบแล้ว”


 


 


ประตูโรงเรียนเปิดออก นักเรียนจับกลุ่มกันเดินออกมา


 


 


เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนลงจากรถม้า มายืนรอข้างรถม้า


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นพวกเขา ดีใจวิ่งปรี่เข้าหา ถามอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่พวกท่านต่างมารับข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทิ่มแทง “อย่าคิดดีเกินไป ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ได้มีเวลามากเช่นนั้น เพียงแค่มีธุระในเมือง เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ถึงมารับเจ้าไปพร้อมกัน”


 


 


รอยยิ้มของเมิ่งอี้เซวียนคว่ำลงทันที


 


 


เมิ่งชื่อตีนางเบาๆ พูดตำหนิ “เจ้าลูกคนนี้เป็นอย่างไร วันไหนไม่ได้รังแกอี้เซวียนจะนอนไม่หลับหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำปากทู่ บ่นงึมงำอย่างไม่พอใจ “ตีข้าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกแท้ๆ”


 


 


เมิ่งชื่อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถามเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่วางใจ “วันนี้อาจารย์ลงโทษเจ้าเรื่องทะเลาะวิวาทหรือไม่?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่แล้ว วันนี้พอถึงห้องเรียน อาจารย์ก็ไม่ได้พูดอะไร สอนหนังสือทันที”


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินก็วางใจ “ไม่ได้ลงโทษก็ดีแล้ว”


 


 


ทั้งสี่คนขึ้นรถม้า ในใจเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่มีเรื่องใดแล้ว ทั้งไม่รีบร้อน บังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับอย่างเรื่อยเฉื่อย


 


 


ตอนถึงบ้าน คนงานต่างเลิกงานหมดแล้ว เมิ่งฉีกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่กับเมิ่งเจียและเมิ่งชิงในลานบ้าน


 


 


เห็นพวกเขากลับมา เมิ่งเจียและเมิ่งชิงดีใจวิ่งเข้าหา มองคนทั้งหมดอย่างรอคอย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าไม่ได้ซื้อของอร่อยกลับมาให้เด็กทั้งสอง พูดอย่างรู้สึกผิด “เจียเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ วันนี้พี่ลืมซื้อของอร่อยมาให้พวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเจียและเมิ่งชิงไม่ร้องโวยวาย ดึงเมิ่งอี้เซวียนไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างครื้นเครง


 


 


เมิ่งชื่อเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง ถอดเครื่องประดับออก กุลีกุจอไปทำอาหารค่ำ เมิ่งเสียนเดินกลับเข้าห้องโดยไม่ปริปากสักคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองอาการของเขาไว้ทั้งหมด ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


เมิ่งฉีก็มองออกว่าเมิ่งเสียนผิดปกติ เดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเบา “พี่ใหญ่เป็นอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง บอกเขาว่าคุณหนูอวี้หมั้นหมายกับพี่ใหญ่ไม่ได้แล้ว


 


 


ตอนเที่ยงเมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งฉีว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่ายอวี้อวี่ เขานึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวคุณหนูอวี้ ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องที่คุณหนูอวี้หมั้นหมายกับเมิ่งเสียนไม่ได้ ถามอย่างไม่เข้าใจ “ตอนเที่ยงท่านแม่และพี่ใหญ่ยังพูดอย่างยินดีว่าจะไปสู่ขอคุณหนูอวี้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงหมั้นหมายไม่ได้แล้ว? คุณหนูอวี้กลับคำหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพูดว่า “พี่รองไม่ต้องถามแล้ว ท่านจำไว้ว่าต่อไปไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องคุณหนูอวี้ในบ้านอีกก็พอ”


 


 


เมิ่งฉีแม้จะแคลงใจ กลับพยักหน้ารับคำ “ข้ารู้แล้ว น้องสาว ต่อไปข้าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก”


 


 


ทำอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งชื่อร้องเรียกทุกคนมากินข้าว เมิ่งเสียนอยู่ในห้องไม่ได้ออกมา เมิ่งชื่อคิดจะเข้าบ้านไปร้องเรียกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวดึงรั้งนางไว้ ส่ายหน้าให้นางพูดว่า “ท่านแม่ ให้พี่ใหญ่อยู่เงียบๆ เถอะ พรุ่งนี้ตื่นมาก็จะดีเอง”


 


 


เมิ่งชื่อเหลียวมองไปในบ้านแวบหนึ่งอย่างเป็นห่วง ถอนหายใจ นั่งลงกินข้าวลวกๆ ไม่กี่คำ แล้วกลับเข้าไปเอนตัวในห้อง


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงน่าจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศผิดปกติภายในครอบครัว ไม่กล้าเล่นซุกซนเหมือนที่เคย ก้มหน้ากินข้าวอย่างสงบเงียบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเสร็จ เก็บล้างอย่างรวดเร็วกับเมิ่งฉีเรียบร้อย สอนจิตคณิตให้พวกเขาอีกหนึ่งชั่วยาม ถึงกลับไปเอนตัวนอนบนเตียงเตาในห้อง ครุ่นคิดว่าพอซุนเหลียงไฉมาแล้วจะสั่งสอนเขาอย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอย่างเงียบสงบ กลับไม่รู้ว่าที่บ้านซุนซ่านเหรินเพราะเรื่องที่ซุนเหลียงไฉต้องมาอยู่บ้านพวกเขา เกิดเรื่องวุ่นวายจนยุ่งเหยิงอลหม่าน


 


 


หลังจากที่ซุนซ่านเหรินพาซุนเหลียงไฉกลับถึงบ้าน เข้ามานั่งในห้องรับแขก สั่งการคนรับใช้ “ไปเรียกคุณชายใหญ่มา บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย”


 


 


คนรับใช้รับคำแล้ววิ่งแจ้นออกไป ไม่นานซุนวั่งบุตรชายซุนซ่านเหรินก็เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามา ไม่ได้ทำความเคารพ นั่งแหมะลงบนเก้าอี้ข้างๆ เอนตัวพิงพนักพิง ถามอย่างไม่แยแส “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใด?”


 


 


ซุนซ่านเหรินขมวดคิ้วตวาดเขา “ยืนไม่เหมือนยืน นั่งไม่เหมือนนั่ง เจ้าดูสภาพตัวเองตอนนี้เหมือนตัวอะไร?”


 


 


ซุนวั่งแคะขี้หู พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านให้คนไปเรียนข้ามา อย่าบอกว่าเพื่อมาตำหนิว่าข้าดอกนะ?”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ่งเพิ่มโทสะ พูดเกรี้ยวกราด “เหตุใดข้าถึงเลี้ยงคนไม่เอาถ่านเยี่ยงเจ้ามาได้”


 


 


ซุนวั่งไม่ทนแล้ว พูดโต้ตอบ “ข้าไม่เอาถ่านอย่างไร หอน้ำชามิใช่ข้าเป็นคนดูแลหรือ?”


 


 


ได้ยินเขาเอ่ยถึงหอน้ำชา ซุนซ่านเหรินยิ่งทวีความโมโห “เมื่อก่อนหอน้ำชามีการทำบัญชีเดือนละหลายพันตำลึง หลังจากที่เจ้ารับช่วงต่อ ไม่เพียงแต่ละเดือนไม่มีเงินเข้า กลับต้องเอาเงินไปโปะแทน”


 


 


ซุนวั่งโก่งคอเถียงเป็นเอ็น “โทษข้าได้อย่างไร? ตอนที่ข้ารับช่วงต่อ เป็นช่วงขาลงของหอน้ำชาพอดี หากไม่ใช่เพราะข้าเรียกเพื่อนมาอุดหนุน ไม่แน่ว่าตอนนี้ร้านปิดไปนานแล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดอย่างฉุนเฉียว “เหลวไหล เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรอะ เจ้าอยากโอ้อวดที่ตอนนี้ตัวเองมีกิจการหอน้ำชา วันๆ เอาแต่เชิญเพื่อนเสเพลเกเรมาที่หอน้ำชา ไม่เพียงเท่านั้น ขอเพียงมีเพื่อนพูดว่าใบชาชนิดไหนอร่อย เจ้าจะรีบมอบให้เขาทันทีหนึ่งกล่อง ใบชาดีในหอน้ำชาถูกเจ้ามอบให้คนอื่นไปเกือบจะหมดแล้ว”


 


 


ซุนวั่งพูดอย่างไม่แยแส “ข้าเชิญเพื่อนเหล่านั้นมาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ร้าน ไม่มอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้อย่างไร? ใบชาให้หมดแล้ว ซื้อมาใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ใช้เงินไม่เท่าไหร่”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหเต้นเร่าๆ ก่นด่า “ใบชาชั้นดีหนึ่งจินต้องใช้เงินหลายพันตำลึงถึงซื้อได้ เจ้าอ้าปากพูดว่าให้ซื้อมาใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ต้องใช้เงินมากเพียงใด?”


 


 


ซุนวั่งพูดอย่างไม่ไยดี “เงินของบ้านพวกเราใช้ไปอีกหลายชาติก็ไม่หมด เงินเพียงไม่กี่พันตำลึงแค่เล็กน้อย”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหหยิบถ้วยชาในมือขว้างไปที่เขา ปากร้องก่นด่า “คนเกียจคร้านเช่นเจ้า ต่อให้ครอบครัวมีเงินกองเท่าภูเขาสักวันก็ต้องหมดสิ้น”


 


 


ซุนวั่งผุดลุกขึ้นยืน ถ้วยชาตกบนเก้าอี้ “เพล้ง” ร่วงแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหนั่งหายใจหอบบนเก้าอี้


 


 


ซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินบันดาลโทสะแล้วจริงๆ เบ้ปากไม่พูดอะไร ยืนข้างเก้าอี้อย่างสงบเสงี่ยม


 


 


คนรับใช้ผลุนผลันเข้ามา เก็บกวาดเศษถ้วยชาแล้วออกไป จากนั้นยกถ้วยชาใบใหม่วางบนโต๊ะข้างกายซุนซ่านเหริน


 


 


ซุนวั่งไม่พอใจแล้ว ตวาดด่าคนรับใช้ “ไม่มีตาหรือไง ไม่เห็นว่าข้าก็กระหายน้ำเรอะ? ยังไม่รีบไปชงชามาให้ข้าอีก”


 


 


คนรับใช้ไม่กล้ารอช้า ลนลานรีบจะออกไปยกน้ำชามาให้เขา กลับถูกซุนซ่านเหรินร้องทัก “ห้ามยกน้ำชามาให้เขา ปล่อยให้เขากระหายตาย”


 


 


คนรับใช้รับคำอย่างพินอบพิเทาจากไป


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่เคยเห็นซุนซ่านเหรินบันดาลโทสะเช่นนี้มาก่อน ตกใจยืนอยู่อีกด้านไม่กล้าปริปาก


 


 


ซุนวั่งอยู่ไม่สุขแล้ว กระทืบเท้าออกไปข้างนอก ปากพูดโวยวาย “ทุกครั้งเรียกข้ามาก็เพื่อด่าว่าข้า ข้า…”


 


 


ซุนซ่านเหรินแผดเสียงตะคอก “หยุดเดี๋ยวนี้!”


 


 


ซุนวั่งไม่สนใจ ยังคงเดินออกไป


 


 


ซุนซ่านเหรินตวาดเสียงลั่น “หากวันนี้เจ้ากล้าก้าวออกไปจากประตูบานนี้ ข้าจะให้คนตีขาเจ้าให้หัก”


 


 


ปกติซุนซ่านเหรินเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส แม้บางครั้งจะว่ากล่าวสั่งสอนเขา กลับไม่เคยพูดจารุนแรงเช่นนี้มาก่อน ซุนวั่งได้ฟัง ตกใจเท้าหยุดชะงัก หันกลับมาพูดอย่างว้าวุ่นใจ “ท่านพ่อ ท่านต้องการอะไรกันแน่?”


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นสภาพไม่เอาถ่านทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันของเขา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามสะกดกลั้นโทสะของตัวเอง พูดกับเขาว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว นับแต่พรุ่งนี้ไป นอกจากเรียนหนังสือ จะให้ไฉเอ๋อร์ไปกินนอนที่บ้านแม่นางเมิ่ง ให้นางช่วยสั่งสอนไฉเอ๋อร์ ภายหน้าจะได้ไม่ต้องเหมือนเจ้า วันๆ เอาแต่กินเที่ยวเกียจคร้าน มือเติบไม่ทำงานทำการ”


 


 


ซุนวั่งได้ฟังตกตะลึง สาวเท้าเดินกลับไปตรงหน้าซุนซ่านเหริน ถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านพ่อ ท่านพูดความจริง?”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหอีกครั้ง ร้องด่า “เจ้าคนไม่ได้ความ ข้าดูเหมือนกำลังพูดล้อเล่นอยู่เรอะ?”


 


 


ซุนวั่งโต้กลับรุนแรง “ข้าไม่เห็นด้วย บุตรชายข้ามีสิทธิ์อะไรให้นังตัวดีนั่นมาสั่งสอน?”


 


 


“สิทธิ์อะไร? ก็สิทธิ์ที่เขาเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปีก็รับผิดชอบครอบครัวได้ แค่นี้ก็เก่งกว่าเจ้าแล้ว” ซุนซ่านเหรินตอบ


 


 


ซุนวั่งพูดอย่างดูแคลน “เก่งกว่าข้าแล้วอย่างไร ภายหน้าแต่งงานไปไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องเชื่อฟังสามีอยู่ดี”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหเกือบจะขว้างถ้วยชาในมือออกไป


 


 


ซุนวั่งยังคงพูดต่อ “ท่านดูท่าทีเ**้ยมโหดของนาง ไร้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ แม้แต่ข้ายังกล้าตี หากไฉเอ๋อร์ไปอยู่กับพวกเขา ไม่รู้ว่าจะถูกทรมานจนมีสภาพอย่างไร ให้ตายข้าก็ไม่เห็นด้วยให้นางมาสั่งสอนบุตรชายข้า”


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดอย่างเดือดดาล “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ได้ขอความเห็นชอบจากเจ้า เจ้าเพียงรู้เรื่องนี้ก็พอ พรุ่งนี้เย็น ไฉเอ๋อร์ก็จะไปอยู่บ้านแม่นางเมิ่ง ช่วงเวลานี้เจ้าไม่เพียงห้ามไปหาเขาหน้าประตูโรงเรียน ยิ่งห้ามไปบ้านแม่นางเมิ่งรับเขากลับมา รอจนกว่าแม่นางเมิ่งส่งข่าวถึงข้า พวกเราค่อยไปหาเขาตอนนั้น”


 


 


ซุนวั่งหุนหันส่ายหน้า “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ข้าไม่เห็นเขาวันเดียวใจก็สั่นแล้ว ให้ตายข้าก็ไม่ยอมให้เขาไปอยู่บ้านนังตัวดีนั่น”


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดเกรี้ยวกราด “หากข้าได้ยินเจ้าเรียกแม่นางเมิ่งว่านังตัวดีอีก ข้าจะใช้กฎบ้านกับเจ้า”


 


 


ซุนวั่งถลึงตาโต ถามอย่างข้องใจ “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงเข้าข้างนังตัวดีนั่นนัก อย่าบอกว่าท่านพึงพอใจนาง”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหจนขว้างถ้วยชาในมือออกไปอีกครั้ง ร้องก่นด่า “ข้าจะตีลูกสารเลวอย่างเจ้าให้ตาย”


 


 


ครั้งนี้ซุนวั่งอยู่ใกล้ หลบไม่ทัน น้ำชาทั้งถ้วยสาดรดตัวเขา ร้อนลวกจนเขากระโดดร้องลั่น “ลวกหมดแล้ว แสบจะตายแล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินยังบันดาลโทสะแผดเสียงก่นด่า “หากยังกล้าพูดเหลวไหล ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”


 


 


ซุนวั่งได้แต่กระทืบเท้า ร้องคำรามใส่คนรับใช้ “ไม่มีตาหรือไง ยังไม่รีบเข้ามาเช็ดให้ข้า”


 


 


คนรับใช้รีบเดินหน้าเช็ดให้เขาเป็นพัลวัน กลับแตะถูกแผลน้ำร้อนลวกโดยไม่ตั้งใจ ซุนวั่งเจ็บจนถีบเขากระเด็นออกไป ปากร้องตะคอกด่า “ซุ่มซ่ามไม่ได้ความ ทำข้าเจ็บแล้ว”


 


 


คนรับใช้ไม่กล้าปริปาก ตะลีตะลานลุกขึ้น ยืนตัวสั่นอยู่อีกด้าน ไม่กล้าช่วยเขาเช็ดอีก


 


 


ซุนวั่งยังคิดจะก่นด่า ซุนซ่านเหรินโบกมือสั่งคนรับใช้ “ไม่ต้องสนใจเขา พวกเจ้าออกไปเถอะ”


 


 


คนรับใช้รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที


 


 


ซุนเหลียงไฉที่ได้ยินว่าจะถูกส่งไปอยู่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ตกใจตะลึงค้าง ตอนนี้เห็นซุนวั่งถูกน้ำร้อนลวก ถึงได้สติกลับมา แผดเสียงร้องไห้ฟูมฟายกับซุนซ่านเหริน “ข้าไม่ไปบ้านพวกเขา! ข้าไม่ไปบ้านพวกเขา!”


 


 


เห็นบุตรชายร่ำไห้ ซุนวั่งเจ็บปวดหัวใจ ไม่สนบาดแผลบนร่างกายตัวเอง กอดซุนเหลียงไฉไว้แนบอกพูดปลอบประโลม “ลูกรัก เจ้าไม่ต้องกลัว พ่อไม่มีทางส่งเจ้าไปอยู่บ้านนังตัวดีนั่น”


 


 


ซุนเหลียงไฉยังคงตะเบ็งเสียงร้องไห้ฟูมฟาย คร่ำครวญไม่อยากไปอยู่บ้านเมิ่งอี้เซวียนไม่หยุด


 


 


เห็นหลานชายที่อายุไล่เลี่ยกับเมิ่งเชี่ยนโยวร้องไห้อาละวาด ซุนซ่านเหรินยิ่งอารมณ์ขึ้น ตบมือฉาดไปบนโต๊ะ ตวาดเสียงลั่น “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ วันพรุ่งเจ้าจักต้องไปอยู่บ้านแม่นางเมิ่ง”


 


 


ซุนเหลียงไฉทวีความหวาดผวา ดึงเสื้อซุนวั่งร้องพูดไม่หยุด “ท่านพ่อ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป!”


 


 


ซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะส่งบุตรชายตนเองไปอยู่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว รีบร้องตะโกนบอกคนรับใช้ที่ตนเองพามาด้านนอก “ตงจื่อ รีบไปเรียกท่านแม่ข้ามา บอกว่าถ้านางมาช้า จะไม่ได้เห็นหน้าหลานรักของเขาอีก”


 


 


ด้านนอกมีเสียงขานรับ แล้ววิ่งจากไป

 

 

 


ตอนที่ 141.3

 

 ยุ่งเหยิงอลหม่าน

 


ตงจื่อวิ่งมาเบื้องหน้าฮูหยินชราซุน นำคำกล่าวของซุนวั่งบอกเขาไม่ตกหล่นสักคำ ฮูหยินชราซุนตกอกตกใจ พาสาวใช้อีกสองสามคนผลุนผลันตามมาทันที ยังเดินไม่ถึงหน้าประตูห้องรับแขก ได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของซุนเหลียงไฉ ยิ่งตกใจหนัก สาวเท้าจากสามเก้าเป็นสองเก้าเดินเข้ามาห้องรับแขก ร้อนรนถามขึ้น “ไฉเอ๋อร์เป็นอะไรไป?”


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นท่านย่าซุน กระโจนเข้าสู่อ้อมอกนางราวกับเห็นดาวผู้พิทักษ์ พูดขาดหายเป็นห้วงๆ “ท่านย่า ข้าไปไม่บ้านเมิ่งอี้เซวียน”


 


 


ท่านย่าซุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขาอย่างปวดใจพลางพูดโอ้โลม “ได้ๆๆ พวกเราไม่ไป พวกเราไม่ไปไหนทั้งนั้น”


 


 


ซุนเหลียงไฉแผดเสียงร้องดังขึ้น


 


 


ฮูหยินชราซุนไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยังนึกว่าซุนซ่านเหรินคิดจะพาซุนเหลียงไฉไปบ้านเพื่อนคนไหน ซุนเหลียงไฉไม่อยากไปก็เลยร้องไห้อาละวาด จึงกล่าวตำหนิซุนซ่านเหริน “ไฉเอ๋อร์ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เหตุใดต้องฝืนใจเขา? ก็แค่เพื่อนคนหนึ่ง รอให้ไฉเอ๋อร์อยากไปค่อยไปก็ได้แล้ว”


 


 


ไม่รอให้ซุนซ่านเหรินเอ่ยปาก ซุนวั่งก็แย่งพูดก่อน “ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านพ่อคิดจะส่งไฉเอ๋อร์ไปให้คนอื่น!”


 


 


ฮูหยินชราซุนตื่นตกใจ ถามกลับอย่างไม่เชื่อ “เจ้าว่ากระไร?”


 


 


ซุนวั่งกระวีกระวาดพูดอีกครั้ง “ท่านพ่อมิได้จะพาไฉเอ๋อร์ไปหาเพื่อน แต่จะส่งเขาให้คนอื่น”


 


 


ครั้งนี้ฮูหยินชราซุนฟังอย่างชัดแจ้ง ถามซุนซ่านเหริน “ที่วั่งเอ๋อร์พูดเป็นความจริง? ท่านคิดจะมอบหลานชายคนเดียวของเราให้คนอื่น?”


 


 


ซุนซ่านเหรินตอบนาง “เจ้าอย่าไปฟังเจ้าลูกสารเลวนี่พูดเหลวไหล พวกเรามีหลานชายคนเดียว ข้าจะตัดใจมอบเขาให้คนอื่นได้อย่างไร?”


 


 


“เช่นนั้นเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่?” ฮูหยินชราซุนถามต่อ


 


 


ซุนซ่านเหรินค่อยๆ เล่าเรื่องที่ตนเองคิดจะส่งซุนเหลียงไฉไปอยู่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางช่วยอบรมสั่งสอนแก่ฮูหยินชราซุน


 


 


ฮูหยินชราซุนยังฟังไม่จบก็คัดค้านเสียงแข็ง “ข้าไม่เห็นด้วย หากท่านกล้าส่งหลานข้าไป ข้าจะสู้ตายกับท่าน”


 


 


ฮูหยินชราซุนเป็นภรรยาตบแต่งของตนเองมาหลายสิบปี ซุนซ่านเหรินย่อมไม่มีทางตะเบ็งเสียงดังใส่เหมือนที่ทำกับซุนวั่ง เห็นนางคัดค้านเสียงแข็ง จึงพูดเสียงอ่อนหมายจะหว่านล้อมให้นางเห็นด้วย “เจ้ายังไม่รู้ แม่นางน้อยที่ข้าขอให้มาช่วยสอนสั่งไฉเอ๋อร์คนนี้ มีอายุไล่เลี่ยกับหลานชายของเรา กลับรับผิดชอบเป็นเสาหลักของครอบครัวได้แล้ว ทั้งยังเข้าใจเรื่องการค้าได้อย่างเหลือเชื่อ หากเราให้นางช่วยสอนสั่งไฉเอ๋อร์ ไม่ถึงสองปี ไฉเอ๋อร์ก็จะรับช่วงกิจการของครอบครัวเราได้แล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินเพิ่งจะพูดจบ ซุนวั่งก็พูดขึ้นอย่างทนต่อไปไม่ไหว “ท่านแม่ อย่าไปฟังคำท่านพ่อ นังเด็กแสบนั่นเป็นปีศาจร้าย โหดเ**้ยมผิดมนุษย์มนา นางผู้นี้ที่วันก่อนตบหน้าข้าต่อหน้าคนมากมาย น้องชายของยิ่งร้ายกาจ บาดแผลบนร่างกายไฉเอ๋อร์ล้วนถูกเขากระทำ”


 


 


ฮูหยินชราซุนได้ฟัง ยิ่งไม่ยินยอม หันไปพูดกับซุนซ่านเหรินเสียงแข็ง “คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมจะสอนสั่งชี้แนะหลานของเรา เจ้าเลิกมีความคิดเช่นนี้ได้แล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินถอนหายใจ พูดกับฮูหยินชราซุนอย่างเปิดเผยจริงใจ “ฮูหยิน ไฉเอ๋อร์ไม่เด็กแล้ว ตอนอายุเท่าเขาข้าเริ่มเรียนรู้ทำการค้าแล้ว แต่เจ้าดูเถิด ตอนนี้พวกเจ้าตามใจเขาจนกลายเป็นอะไรไป หากไม่รีบชี้แนะสั่งสอน เขาก็จะกลายเป็นคนไม่เอาถ่าน ขี้เกียจตัวเป็นขนเหมือนบุตรชายของเรา ถึงตอนนั้นกิจการที่พวกเราลำบากสร้างมาจะต้องย่อยยับด้วยน้ำมือพวกเขา”


 


 


ฮูหยินชราซุนโต้แย้งเขา “ไฉเอ๋อร์ของเรายังเด็ก อีกไม่กี่ปีพอเติบใหญ่ ก็จะเรียนรู้ทำการค้าได้เอง ไฉนเลยต้องให้คนอื่นมาชี้แนะสอนสั่ง?”


 


 


ซุนซ่านเหรินชี้ซุนวั่งแล้วพูดกับฮูหยินชราซุน “ในตอนนั้นเจ้าก็พูดถึงเจ้าลูกไม่เอาถ่านคนนี้เช่นนี้ แต่เจ้าดูสิว่าตอนนี้เขากลายเป็นอะไร วันๆ นอกจากสังสรรค์เฮฮากับเพื่อน เอ้อระเหยลอยชาย หรือเจ้าก็อยากให้หลานชายของเราต้องเป็นเหมือนเขาอีกคน?”


 


 


ฮูหยินชราซุนมองบุตรชายไม่เอาถ่านแวบหนึ่ง พูดอย่างรู้สึกผิด “ตอนที่บุตรชายของเราโตเท่านี้ เจ้าวุ่นแต่เรื่องทำการค้า ข้าวุ่นกับการดูแลครอบครัว ไฉนเลยจะมีเวลาไปสอนสั่งเขา แต่ไฉเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ท่านและข้าต่างก็มีเวลาว่างแล้ว สามารถสั่งสอนเขาให้ดีได้ ไม่กี่ปีไฉเอ๋อร์จะต้องรับผิดชอบกิจการของครอบครัวได้”


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นว่าพูดเอาชนะนางไม่ได้ ตัดสินใจไม่หารือกับนางอีก พูดเสียงแข็งขึ้นทันควัน “ข้าตกลงกับแม่นางเมิ่งแล้ว วันพรุ่งจะให้ไฉเอ๋อร์ตามไปอยู่บ้านนาง พวกเจ้ารีบไปจัดเก็บข้าวเครื่องใช้ติดตัว พรุ่งนี้จะได้ให้เขานำไป”


 


 


ฮูหยินชราซุนกรีดร้อง “ท่านพี่ ท่านอยากเห็นข้าตายต่อหน้าท่านใช่หรือไม่?”


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่สนใจ พูดกับนางและซุนซ่านเหรินด้วยน้ำเสียงดุดัน “นับแต่พรุ่งนี้ไป พวกเจ้าห้ามไปดูไฉเอ๋อร์ที่หน้าประตูโรงเรียน และห้ามไปร้องอาละวาดที่บ้านแม่นางเมิ่ง หากพวกเจ้าขัดคำสั่ง ข้าจะจับพวกเจ้าขัง ไม่ให้พวกเจ้าได้เจอไฉเอ๋อร์อีก”


 


 


ปกติซุนซ่านเหรินเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอโมโหเดือดดาล ฮูหยินชราซุนก็เกรงกลัวเขา หากเป็นเรื่องอื่น พอซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้ ฮูหยินชราซุนก็คงยอมโอนอ่อนแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนกัน ซุนเหลียงไฉเติบโตขึ้นด้วยการฟูมฟักทะนุถนอมของฮูหยินชราซุน สักวันเดียวก็ไม่เคยให้คลาดสายตา แม้แต่ครั้งนั้นที่ซุนซ่านเหรินตัดสินใจให้เขาไปเข้าเรียน ฮูหยินชราซุนยังปวดใจร้องอาละวาดอยู่หลายวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่จะส่งซุนเหลียงไฉไปอยู่บ้านแม่นางน้อยจิตใจอำมหิตเ**้ยมโหด อีกทั้งหากไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา ห้ามพวกเขาไปหา นี่เท่ากับต้องการชีวิตของฮูหยินชราซุนทั้งเป็น


 


 


สิ้นเสียงซุนซ่านเหริน ฮูหยินชราซุนก็ทิ้งตัวนั่งกองไปบนพื้น ร้องไห้คร่ำครวญ “ทำไมชีวิตข้ารันทดเช่นนี้ หลานชายที่ลำบากเลี้ยงดูมากำลังจะถูกส่งไปอยู่กับคนอื่น ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไร ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า”


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นนางเป็นเช่นนี้ ตวาดเสียงเข้ม “ยังไม่รีบลุกขึ้น ร้องเอ็ดตะโรเหมือนตัวอะไรแล้ว? หากใครรู้เข้า เจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”


 


 


ฮูหยินชราซุนนั่งบนพื้นร้องโหวกเหวกใส่ซุนซ่านเหริน “หลานชายข้าจะถูกส่งไปให้คนอื่น ข้าจะเอาหน้าไปทำอะไรอีก ข้าจะบอกให้นะ หากท่านกล้าส่งไฉเอ๋อร์ไปอยู่บ้านแม่นางคนนั้น ข้าจะตายต่อหน้าท่านเดี๋ยวนี้”


 


 


เรื่องการอบรมสั่งสอนซุนเหลียงไฉ ฮูหยินชราซุนเล่นละครหนึ่งร้องไห้ สองอาละวาด สามแขวนคอไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งซุนซ่านเหรินจะโอนอ่อนให้นาง ฮูหยินชราซุนนึกว่าครั้งนี้จะเหมือนทุกครั้ง ซุนซ่านเหรินจะยอมรับปากนางไม่ส่งซุนเหลียงไฉไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่คิดว่าครั้งนี้ซุนซ่านเหรินจะใจแข็ง ได้ยินนางข่มขู่เช่นนี้ เขาไม่เพียงไม่โอนอ่อน ทั้งยังพูดเตือนเสียงเข้ม “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าร้องอาละวาดไปก็เปล่าประโยชน์ หากไม่อยากให้ข้าจับเจ้าขัง ก็รีบไปเก็บเสื้อผ้าของใช้ติดตัวให้ไฉเอ๋อร์ พรุ่งนี้ข้าพาเขาไปส่งที่โรงเรียนจะได้มอบให้แม่นางเมิ่ง”


 


 


พอได้ยินเขาบอกจะขังตัวเอง ฮูหยินชราซุนก็นิ่งอึ้งตาค้าง ครู่หนึ่งถึงถามตัวสั่นเทิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ?”


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า


 


 


ฮูหยินชราซุนไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ผุดลุกขึ้นจากพื้นทันควัน ยื่นมือออกไปตะปบซุนซ่านเหริน ร้องตะโกนลั่น “ถ้าท่านกล้าส่งหลานข้าไป ข้าขอสู้ตาย”


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่ทันระวังตัว ถูกฮูหยินชราซุนตะปบใบหน้า เกิดรอยแผลเลือดไหลซิบฉับพลัน เจ็บแสบจนต้องกุมใบหน้าทันใด


 


 


ฮูหยินชราซุนยังไม่หายเคืองขุ่น มืออีกข้างก็ตะปบเข้ามา


 


 


ครั้งนี้ซุนซ่านเหรินเตรียมป้องกันแล้ว หลับได้ทันท่วงที หันไปตะคอกใส่สาวใช้ของฮูหยินชราซุน “ยังไม่รีบลากตัวฮูหยินออกไปอีก”


 


 


สาวใช้ไม่คิดว่าฮูหยินชราซุนจะกล้าลงมือข่วนใบหน้าซุนซ่านเหริน นิ่งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น พอได้ยินซุนซ่านเหรินแผดเสียงร้อง ถึงได้สติกลับมา รีบเดินขึ้นหน้า เข้าห้ามปราบฮูหยินชราซุน


 


 


ฮูหยินชราซุนดิ้นรนไม่หยุด แสดงท่าทีหากซุนซ่านเหรินไม่รับปากให้ซุนเหลียงไฉอยู่ต่อ จะไม่ยอมเลิกรากับเขาเด็ดขาด


 


 


ซุนซ่านเหรินปวดแสบปวดร้อนที่ใบหน้า พอคิดว่าหลายวันนี้ตนเองจะต้องแบกใบหน้านี้ออกนอกบ้าน ไม่รู้จะต้องถูกคนหัวร่ออย่างไร ก็ให้เดือดดาล ตะคอกใส่สาวใช้สองสามคนนั้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ลากตัวฮูหยินของพวกเจ้ากลับไป ช่วงเวลานี้หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามให้นางออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว หากพวกเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะส่งพวกเจ้าทุกคนไปขาย”


 


 


สาวใช้รับคำตัวสั่นเทิ้มพร้อมกัน ร่วมแรงลากตัวฮูหยินออกไปจากห้องรับแขก


 


 


ซุนวั่งเห็นมารดาตนเองถูกกักบริเวณแล้ว ตกใจยืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่เดิม ไม่กล้าปริปาก ซุนเหลียงไฉยิ่งตกใจจนลืมร้องไห้ มองซุนซ่านเหรินอย่างเลื่อนลอย


 


 


ซุนซ่านเหรินตวาดใส่ซุนวั่ง “ยังมัวนิ่งอึ้งอะไร? ยังไม่รีบไปเก็บข้าวของให้ไฉเอ๋อร์”


 


 


ซุนวั่งตกใจหันหัวขวับแล้ววิ่งออกไป ตอนที่วิ่งมาถึงประตูยังเกือบล้มใส่ธรณีประตู


 


 


ซุนซ่านเหรินถอนหายใจ กวักมือเรียกซุนเหลียงไฉ


 


 


ซุนเหลียงไฉเดินมาตรงหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง


 


 


ซุนซ่านเหรินสั่งสอนเขาด้วยใจจริงอีกรอบ ไม่รู้ว่าซุนเหลียงไฉฟังเข้าใจหรือไม่ เอาแต่พยักหน้าเซื่องๆ


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นเมิ่งเสียนไม่ลุกจากที่นอน ยังคงเป็นเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งเมิ่งอี้เซวียนไปโรงเรียนด้วยกัน


 


 


ตอนที่มาถึงหน้าประตูโรงเรียน เวลายังเช้าเกินไป ประตูโรงเรียนยังไม่เปิด เมิ่งเอ้ออิ๋นหาที่จอดรถม้า ทั้งสามนั่งรอประตูโรงเรียนเปิดในรถม้าเงียบๆ


 


 


รถม้าของซุนซ่านเหรินเดินอ้อมรถม้าสองสามคันหน้าประตูโรงเรียนมาจอดข้างรถม้าของพวกเขา คนรับใช้เปิดม่านบังรถ ใบหน้าพร้อมรอยแผลของซุนซ่านเหรินปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเมิ่งเอ้ออิ๋น


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจตัวโยน รีบร้อนถามเขา “ซุนซ่านเหริน เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าท่าน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงตื่นตระหนกของเมิ่งเอ้ออิ๋น เปิดม่านบังรถออก เห็นรอยขีดข่วนบนใบหน้าซุนซ่านเหริน ดวงตาสะท้อนแสง ยิ้มพูด “ดูท่าซุนซ่านเหรินจะต้องลงแรงไปไม่น้อย” เพื่อพูดเอาชนะ “คนในครอบครัว”


 


 


ซุนซ่านเหรินฟังความหมายแฝงของนางออก ใบหน้าชราแดงเรื่อ พูดแก้เก้อ “ให้แม่นางขบขันแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้ามิได้จะขบขันท่าน ข้าเพียงต้องการจะบอกท่าน ท่านจักต้องจำคำพูดข้าให้ดี นับแต่วันนี้ไป หากข้าไม่ได้แจ้งบอกท่าน ท่านห้ามให้คนในครอบครัวท่านมาแลดูเขา หากให้ข้ารู้เข้า ต่อให้ท่านมีเงื่อนไขล้นฟ้า ข้าก็ไม่มีทางรับสั่งสอนหลานท่านให้อีก”


 


 


ซุนซ่านเหรินรีบร้อนรับประกัน “แม่นางวางใจ ข้าสั่งเตือนคนในครอบครัวแล้ว หากข้าไม่อนุญาต พวกเขาใครก็ห้ามปรากฏตัวต่อหน้าไฉเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ซุนซ่านเหรินหันไปตะโกนใส่รถ “ไฉเอ๋อร์ ยังไม่ลงมาพบหน้าแม่นางเมิ่ง”


 


 


คนรับใช้เปิดม่านบังรถออก ซุนเหลียงไฉค่อยๆ เยื้องย่างลงมาจากรถม้า เดินตัวสั่นเทามาเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน ข้ารับปากซุนซ่านเหรินจะช่วยสอนสั่งซุนเหลียงไฉแทนเขา ต่อไปนอกจากมาโรงเรียน จะต้องมากินนอนที่บ้านพวกเรา วันนี้พอเลิกเรียนเจ้าจะต้องออกมาพร้อมเขา หากเขาไม่ยินยอม เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่พอได้ยินว่าต่อไปซุนเหลียงไฉจะมาอยู่บ้านตัวเอง เกิดความรู้สึกไม่ยินดี ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ดวงตากลิ้งกลอก แหงนใบหน้าน้อยขึ้น จงใจพูดว่า “ข้ารู้ หากเขาไม่ตามข้าออกมาโดยดี ข้าจะอัดเขาให้ตามข้าออกมาโดยดี”


 

 

 


ตอนที่ 142.1

 

การซื้อที่ดินติดขัด

 


 


 


ได้ยินวาจาของเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักงัน แล้วถลึงตาดุดันใส่เขา เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้าอย่างน้อยใจ


 


 


ซุนซ่านเหรินมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หรี่ตาหัวเราะร่วน


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินคำพูดของเมิ่งอี้เซวียน ร่างกายหดห่อ มองซุนซ่านเหรินอย่างวิงวอน หวังว่าเขาจะเปลี่ยนความคิด ไม่ให้ตัวเองไปบ้านเมิ่งอี้เซวียน


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่ได้สนใจเขา โบกมือให้คนรับใช้นำสิ่งของติดตัวซุนเหลียงไฉออกมา ยิ้มตาหยีพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง นี่คือข้าวของติดตัวไฉเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา วางไว้บนรถม้า


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นซุนซ่านเหรินไม่สนใจเขา รู้สึกผิดหวัง หันไปถลึงตาเคียดแค้นใส่เมิ่งอี้เซวียน


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นแววตาเขา เจตนาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ต่อไปฝากไฉเอ๋อร์ให้เจ้าสั่งสอนชี้แนะแล้ว หากเขาไม่เชื่อฟัง ด่าตีได้ตามใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพยักหน้า


 


 


ประตูโรงเรียนเปิดออก เหล่านักเรียนทยอยกันเดินเข้าไป


 


 


เมิ่งอี้เซวียนบอกลาเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จ เดินเข้าไปอย่างว่านอนสอนง่าย


 


 


รอจนนักเรียนที่หน้าประตูเข้าไปหมดแล้ว ซุนเหลียงไฉถึงเดินหนึ่งกลัวหันหลังสามก้าวเข้าไปอย่างอ้อยอิ่ง


 


 


รอจนเขาเข้าไป อาจารย์เวรถึงปิดประตูใหญ่


 


 


ซุนซ่านเหรินเอาแต่มองแผ่นหลังซุนเหลียงไฉอย่างอาวรณ์ รู้ว่ามองไม่เห็นแล้วถึงเก็บคืนสายตา ส่งยิ้มตาหยีบอกลาเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยว กลับไปนั่งบนรถม้าของตัวเองจากไป


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นให้เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปนั่งบนรถม้าให้ดี จึงบังคับม้ากลับบ้าน


 


 


คนในบ้านกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เมิ่งชื่อกำลังเย็บกระเป๋านักเรียนให้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงบนเตียงเตา เมิ่งฉีพาเด็กน้อยทั้งสองไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่ในลานบ้านอย่างสนุกสนาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองแวบหนึ่ง ไม่เห็นเมิ่งเสียน ขมวดคิ้วมุ่น ถามเมิ่งฉี “พี่รอง พี่ใหญ่เล่า?”


 


 


เมิ่งฉีพยักพเยิดหน้าไปทางห้องนอนพวกเขา ตอบเสียงเบา “พี่ใหญ่ยังไม่ตื่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ใคร่ครวญครู่หนึ่ง เดินมาที่ห้องฝั่งตะวันออก เคาะประตูร้องถามเสียงดัง “พี่ใหญ่ ท่านตื่นหรือยัง?”


 


 


ด้านในไม่มีเสียงตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตะเบ็งเสียงพูดอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”


 


 


เสียงลุกลนของเมิ่งเสียนถึงดังลอยออกมา “น้องสาว อย่าเข้ามา ข้ายังไม่ลุกจากเตียง”


 


 


สิ้นเสียงเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ผลักประตูเข้าไปแล้ว


 


 


เมิ่งเสียนรีบร้อนห่มผ้าห่มปกปิดร่างกาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าเขา ถามอย่างเป็นห่วง “พี่ใหญ่มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนส่ายหน้า


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดพี่ใหญ่ถึงไม่ลุกจากเตียงเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก


 


 


เมิ่งเสียนสะท้อนแววตา พูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เพราะคุณหนูอวี้ใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนรีบร้อนส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นถามต่อ “เช่นนั้นเพราะเหตุใด?”


 


 


เมิ่งเสียนยังคงปิดปากเงียบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอย่างจริงจัง “ในใจข้า พี่ใหญ่เป็นคนมีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตัวเองมาตลอด ไม่ว่าเวลาใด เรื่องสิ่งใด ท่านคือแบบอย่างในใจพวกเราทุกคน แต่ข้าไม่รู้ว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่เป็นอะไร ก็แค่หญิงสาวที่วางแผนต่อท่าน เหตุใดท่านถึงปล่อยวางไม่ลง?”


 


 


เมิ่งเสียนร้อนรนพูด “น้องสาว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พี่ใหญ่มิได้เป็นเพราะคุณหนูอวี้ พี่ใหญ่เพียงคิดว่าตัวเองโง่เขลาเกินไป ไม่มีหน้าสู้หน้าพวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “ดังนั้น ท่านจึงใช้การไม่กินไม่ดื่มมาลงโทษตัวเอง?”


 


 


เมิ่งเสียนไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างลุ่มลึก “แต่ท่านคิดบ้างหรือไม่ ท่านทำเช่นนี้ พวกเราจะเป็นห่วงท่าน โดยเฉพาะท่านแม่ เดิมท่านก็ตำหนิโทษตัวเองแล้ว ท่านทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้นางยิ่งเสียใจ ข้าจำได้ท่านเคยพูดกับข้าว่า ท่านเป็นพี่ใหญ่ ต้องช่วยท่านพ่อท่านแม่แบ่งเบาภาระในครอบครัว แต่ท่านดูเถอะ ตอนนี้ท่านทำอย่างไร? อีกทั้งเรื่องเพียงเท่านี้ท่านยังแบกรับไม่ไหว ภายหน้าหากเกิดเรื่องใหญ่กว่านี้ ท่านจะเผชิญหน้าอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเสียนเผยอปาก คิดจะพูดบางอย่าง กลับไม่ได้พูดออกมา


 


 


สุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พี่ใหญ่คิดให้ดีๆ เถอะ ท่านจะหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ต่อไป ทำให้คนทั้งครอบครัวเป็นห่วง หรือทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ทำโรงงานน้ำมันพริกของพวกท่านอย่างมีความสุขต่อไป?”


 


 


พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเสียนพูด ก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องฝั่งตะวันออก


 


 


เมิ่งฉีที่คอยสนใจทางนี้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ถามนางอย่างเป็นห่วง “พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างแน่วแน่ “ไม่เป็นไร คาดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงออกมาได้”


 


 


เป็นดังคาด ไม่นานเท่าไหร่ เมิ่งเสียนก็แต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากในห้อง แล้วเดินเข้าไปในห้องเมิ่งชื่อ


 


 


เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเสียนลุกจากเตียงแล้ว ถามอย่างยินดี “เสียนเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว หิวแล้วใช่ไหม แม่จะไปทำอาหารให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเสียนพูดอย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่ ขอโทษ ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อตาร้อนชื้น ส่งยิ้มพูด “เด็กโง่ กับแม่ต้องเกรงใจอะไร เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” พูดจบ ก็ผลุนผลันเดินเข้าครัวไปทำอาหารให้เขา


 


 


เมิ่งเสียนเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี พูดกับพวกเขา “น้องรอง น้องสาว พวกเจ้าวางใจเถอะ พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไร พี่ใหญ่รับประกันกับพวกเจ้า ต่อไปหากพบเจอเรื่องใด จะคิดให้มากกว่านี้ เรื่องเช่นนี้ต่อไปจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก”


 


 


เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพร้อมเพรียง พูดเป็นเสียงเดียวกัน “พวกเราเชื่อพี่ใหญ่”


 


 


เมิ่งชื่อทำอาหารจำนวนหนึ่งให้เมิ่งเสียนอย่างมีความสุข พอเมิ่งเสียนกินเสร็จ ก็ไปผลิตน้ำมันพริกกับเมิ่งฉี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวว่างไม่มีงานทำ จึงไปเดินวนดูโรงงานกุนเชียงและโรงงานรมควันเนื้อหนึ่งรอบ ตอนที่เห็นบ้านซุน ก็นึกเรื่องที่จะสร้างบ้านใหม่ขึ้นได้ จึงกลับไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋น พูดกับเขาว่า “ท่านพ่อ อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นแล้ว สามารถขุดดินทำงานได้แล้ว ท่านกับลุงใหญ่ลองไปเดินวนรอบหมู่บ้าน ดูว่ามีที่ไหนพื้นที่ค่อนข้างกว้าง พวกเราจะซื้อมาปลูกเรือน จะได้ปลูกเรือนให้ท่านปู่ท่านย่าแต่เนิ่นๆ


 


 


ซื้อที่ปลูกเรือนให้พ่อแม่ตัวเอง เมิ่งเอ้ออิ๋นย่อมยินดี เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง วางงานในมือทันที รีบไปหาเมิ่งต้าจินที่โรงงานรมควันเนื้อ บอกเขาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาไปหาซื้อที่ด้วยกัน


 


 


ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าจะปลูกเรือนใหญ่ให้เมิ่งจงจวี่และภรรยา ให้พวกเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ด้วย เมิ่งต้าจินและภรรยาก็ดีใจเป็นอย่างมาก เฝ้ารอให้เมิ่งเชี่ยนโยวปลูกเรือนให้เสร็จโดยไว เมิ่งเหรินจะได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านเร็วขึ้น ตอนนี้พอได้ยินเมิ่งเอ้ออิ๋นบอกว่าให้ไปดูที่ ก็วางงานในมือลงอย่างยินดี ออกไปเดินวนดูรอบหมู่บ้านพร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋น


 


 


หมู่บ้านหวงใหญ่มาก สองพี่น้องใช้เวลาอยู่นานถึงเดินมาถึงฝั่งตะวันออกของหัวหมู่บ้าน ถูกใจกับที่ดินผืนหนึ่งไม่ไกลจากบ้านใหญ่สกุลเมิ่ง จึงกลับไปบ้านใหญ่ปรึกษากับเมิ่งจงจวี่ทันที


 


 


เมิ่งจงจวี่ที่พอได้ยินว่าอยู่ไม่ห่างจากบ้านใหญ่ พื้นที่กว้างขวาง ก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับบ้านบอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเลือกที่ดินได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินออกมาจากในห้อง พูดกับเขา “ท่านพ่อ เมื่อเลือกที่ดินได้แล้ว ท่านกับลุงใหญ่รีบไปหาผู้ใหญ่บ้านซื้อเก็บไว้เถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี พวกเรารีบสร้างบ้านให้เสร็จ เมิ่งเหรินจะได้แต่งงานเร็ววัน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า รับเงินมาแล้วกลับไปบ้านใหญ่ พูดกับเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้พวกเขารีบซื้อที่ดินเก็บไว้ แล้วรีบลงมือปลูกสร้าง จะได้ให้เมิ่งเหรินแต่งงานเร็วๆ


 


 


เดิมเมิ่งเหรินอายุได้สิบแปดปีแล้ว ยังไม่มีคนมาทาบทามสู่ขอ เป็นโรคใจของหญิงชราเมิ่งมาตลอด ปีนี้อุตส่าห์ได้หมั้นหมายแล้ว เมิ่งเหรินกลับอ้างว่าในบ้านไม่มีห้องหอ ไม่ยอมแต่งงาน หญิงชราเมิ่งร้อนใจแทบทนไม่ไหว พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้สองพี่น้องไปซื้อที่ เพื่อเตรียมสร้างบ้าน ก็ดีใจยกใหญ่ เร่งเร้าให้พวกเขารีบไปทันที


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นเดินมาออกมา เมิ่งจงจวี่เรียกพวกเขาไว้ พูดกับพวกเขาว่า “ที่ดินที่พวกเราซื้อครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่ พวกเจ้าไปมือเปล่าเช่นนี้ไม่ค่อยดี ขนมชั้นดีที่โยวเอ๋อร์ซื้อให้ข้าและแม่เจ้ายังเหลืออีกกล่อง พวกเจ้าเอาไป มอบให้ผู้ใหญ่บ้าน ให้เขาทำรังวัดให้เสร็จโดยไว พวกเราจะได้ปลูกเรือนเสร็จในเร็ววัน”


 


 


หญิงชราเมิ่งได้ยินคำพูดเขา รีบนำขนมที่หัวเตียงออกมา


 


 


เมิ่งต้าจินเคยไปซื้อขนมพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่าขนมชั้นดีนี้ค่อนข้างแพง เริ่มไม่ยินยอมมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน พูดกับเมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งอย่างปวดใจ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ขนมชั้นดีกล่องนี้ราคาหลายตำลึง ปกติพวกท่านยังอดใจกินไม่ลง เหตุใดถึงเอาให้เขาเปล่าๆ?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ถอนใจพูดว่า “ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาเป็นคนมีอำนาจมาตลอด ครั้งก่อนที่เอ้ออิ๋นซื้อที่ปลูกบ้าน เขายังคิดเพิ่มพื้นที่ละหนึ่งตำลึงไม่ใช่หรือ? ตอนนี้พวกเราร่ำรวยกว่าเดิม คาดว่าพวกเขาจะคิดอกุศลมากขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ว่าจะทำให้พวกเจ้าต้องลำบากอย่างไร หากพวกเจ้าไม่นำของเล็กๆ น้อยๆ ไป เกรงว่าแม้แต่ประตูบ้านก็ยังไม่ได้เข้า”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า พูดหว่านล้อม “พี่ใหญ่ ท่านพ่อพูดถูกต้อง กินของผู้อื่นปากอ่อน รับของผู้อื่นมือสั้น ผู้ใหญ่บ้านกับภรรยารับของกำนัลจากพวกเราไป จะต้องไม่ทำให้พวกเราต้องลำบากเกินควร อีกอย่าง ก็เป็นเพียงขนมชั้นดีกล่องหนึ่งเท่านั้น พรุ่งนี้ตอนไปส่งอี้เซวียนเข้าเรียน ซื้อกลับมาให้ท่านพ่อท่านแม่อีกสองกล่องก็ได้ ตอนนี้บ้านเรามีเงินแล้ว ไม่ต้องสนใจเงินไม่กี่ตำลึง เรารีบซื้อที่ดินไว้แต่เนิ่นๆ พอสร้างบ้านเสร็จแล้ว จะได้ให้เมิ่งเหรินแต่งภรรยาเข้ามาสำคัญกว่า”


 


 


เมิ่งต้าจินแม้จะอาวรณ์ กลับไม่คัดค้านอีก ถือกล่องขนมชั้นดีเดินออกไปพร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋น


 


 


อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว คนที่ออกมาตากแดดบนถนนก็มากขึ้น เห็นเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นถือกล่องขนมเดินผ่านมา ต่างทักทายพวกเขาตามอัธยาศัย


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าตอบรับ


 


 


มีคนที่อายุมากถามพวกเขาอย่างหวังดี “พวกเจ้าสองคนถือกล่องขนมจะไปทำสิ่งใด?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบกลับตามมารยาท “พวกเราอยากปลูกเรือนใหญ่ให้ท่านพ่อ เพิ่งเห็นที่ผืนหนึ่ง อยากจะไปซื้อที่ผืนนั้นกับผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


เรื่องที่ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาชอบรับของกำนัลมีมานานแล้ว คนในหมู่บ้านต่างรู้ดี จึงไม่มีอะไรให้ต้องตกใจ แต่การที่ได้ยินพวกเขาบอกว่าจะปลูกเรือนให้เมิ่งจงจวี่ ต่างก็อิจฉากันยกใหญ่ เอาแต่ชื่นชมว่าเมิ่งจงจวี่วาสนาดี


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ้มแย้มไม่ได้พูดต่อ เดินมาจนถึงบ้านผู้ใหญ่บ้านพร้อมเมิ่งต้าจิน

 

 

 


ตอนที่ 142.2

 

การซื้อที่ดินติดขัด

 


 


 


ตั้งแต่ที่หลิวต้าเป่าทำสัญญาทาสขายตัวไปทำงานให้บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ภรรยาของหลิวต้าเป่าก็พาลูกน้อยสองคนมาอยู่ในบ้านด้วย ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกลัวคนในหมู่บ้านจะหมายตารูปร่างหน้าตาของภรรยาหลิวต้าเป่า เกรงจะเกิดเรื่องไม่ควรขึ้น วันๆ เอาแต่ปิดประตูใหญ่ พยายามไม่ให้คนในหมู่บ้านเห็นนาง


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นมาถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน เห็นประตูใหญ่ปิดสนิท หันหน้าสบตากัน เมิ่งเอ้ออิ๋นก้าวขึ้นหน้าเคาะประตู เมิ่งต้าจินยืนอยู่ด้านหลัง


 


 


ได้ยินเสียงเคาะประตู ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาจากบ้านร้องถาม “ใครกัน?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นร้องตะโกนบอก “ข้าเอง เมิ่งเอ้ออิ๋น ข้าและพี่ใหญ่มีเรื่องมาหาอาผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


ภรรยาหลิวต้าเป่ากำลังเล่นกับลูกทั้งสองในลานบ้าน ได้ยินเสียงเมิ่งเอ้ออิ๋น ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรีบเร่งให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน ภรรยาหลิวต้าเป่ารีบพาลูกทั้งสองกลับเข้าไปในห้องตัวเอง


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถึงรับคำ “มาแล้ว” พูดจบ เดินมาเปิดประตูใหญ่ให้ทั้งสองคน


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นภรรยาผู้ใหญ่บ้านเปิดประตู รีบยกยิ้มถามขึ้น “อาผู้ใหญ่บ้านอยู่หรือไม่? พวกเรามีธุระเล็กน้อยกับเขา”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตอบเขา กลับพูดอย่างมีลับลมคมใน “โย้ นี่เศรษฐีใหญ่ของหมู่บ้านเรานี่นา วันนี้ลมอะไรหอบพวกเจ้ามาบ้านพวกเราได้? ประตูบ้านพวกเราต่ำต้อย อย่าให้โดนหัวท่านได้”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นนิ่งอึ้ง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาจากในบ้าน พูดเอ็ดนาง “พูดเหลวไหลอะไร ยังไม่รีบให้พวกเขาเข้ามา”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านหลีกทางให้พวกเขาพลางพูดว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าไม่ให้พวกเขาเข้ามา หากเขาฉวยโอกาสนี้กลับไปหาเรื่องบุตรชายพวกเราอีก ต้าเป่าได้ถูกทรมานตาย”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเก้กัง เข้าไปก็ไม่ได้ ไม่เข้าไปก็ไม่ได้


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเอ็ดภรรยาตัวเอง “ทำไมถึงปากมากเช่นนี้ ยังไม่รีบไปรินน้ำมาอีก”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเบะปาก หันหลังเดินจากไป พูดจาค่อนขอด “คนเค้ากินชาชั้นดีทุกวัน เจ้าเอาน้ำเปล่าไร้รสชาติมาต้อนรับ ใครจะไปกินลง”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตวาดนาง “หุบปาก”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเขาโมโหจริงๆ แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นเดินเข้ามาในลานบ้าน


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถึงเห็นในมือเมิ่งเอ้ออิ๋นถือขนมชั้นดีมาด้วยหนึ่งกล่อง ดวงตาเปล่งประกาย แต่พอคิดถึงบุตรชายตนเองยังต้องรับกรรมที่บ้านพวกเขา ก็แค่นเสียงหึใส่


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นคนทั้งสองถือขนมเข้ามา รู้ว่ามีเรื่องจะขอร้อง ไม่ได้ให้คนทั้งสองเข้าบ้าน ถามขึ้นตามตรง “มีเรื่องอันใด? พูดเถอะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมองเมิ่งต้าจินแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่มีท่าทีจะเอ่ยปาก จึงพูดประจบเอาใจผู้ใหญ่บ้านเอง “อาผู้ใหญ่บ้าน พวกเราถูกใจที่ดินผืนหนึ่ง คิดจะปลูกบ้านให้ท่านพ่อข้า ตอนนี้ท่านช่วยไปทำรังวัดให้พวกเราได้หรือไม่ พรุ่งนี้จะได้ไปทำเรื่องที่ตำบล”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึงถาม “พวกเจ้ายังคิดจะซื้อที่ปลูกบ้าน?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบตามตรง “พื้นที่บ้านใหญ่เล็กเกินไป ไม่มีเรือนหอให้เหรินเอ๋อร์แต่งภรรยา ข้าคิดจะปลูกเรือนหลังใหญ่ให้ท่านพ่อข้า และให้พี่ใหญ่กับน้องสี่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ฟังดวงตาเบิกกว้าง ถามเขาอย่างตกใจ “ย้ายเข้าไปทั้งหมด จะต้องปลูกเรือนหลังใหญ่เพียงใด?”


 


 


เมิ่งต้าจินเอ่ยปากบ้าง “ดังนั้นพวกเราถึงต้องซื้อที่ดินใหม่ ข้าและน้องรองไปดูมาแล้ว ที่ดินฝั่งตะวันออกหัวหมู่บ้านผืนนั้นก็ได้แล้ว พื้นที่กว้างขวาง อยู่ไม่ห่างจากบ้านใหญ่ เวลาย้ายบ้านจะได้สะดวก”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตาลง พูดอย่างลำบากใจ “ที่ดินผืนนั้นขายให้พวกเจ้าไม่ได้”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นย้อนถาม “เพราะอะไร?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตอบ “ที่ผืนนั้นข้าเตรียมจะให้คนในหมู่บ้านหักร้างถางพง ทำเป็นแปลงนาแจกจ่ายให้ทุกคน ขายให้พวกเจ้าไปปลูกเรือนไม่ได้”


 


 


เมิ่งต้าจินย่นหัวคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เรื่องนี้เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินอาผู้ใหญ่บ้านพูดถึงมาก่อน”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกะพริบตาปริบ พูดอย่างร้อนตัว “เรื่องนี้ข้าเพิ่งคิดได้ก่อนปีใหม่ ยังไม่ทันได้บอกคนในหมู่บ้าน อีกอย่าง อากาศเย็นพื้นดินแข็ง ต่อให้ข้าบอกคนในหมู่บ้าน ก็หักร้างถางพงที่ไม่ได้ สองสามวันนี้ข้าเตรียมจะไปทำเรื่องที่ตำบลพอดี ไม่คิดว่าพวกเจ้าก็จะถูกใจที่ผืนนั้นเช่นกัน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นคิดวิธีหนึ่งได้ ลองหยั่งเชิงพูด “เช่นนั้นท่านไม่ต้องไปทำเรื่องกับทางการแล้ว ขายให้พวกเราในราคาที่นาก็ได้แล้ว”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า พูดอธิบาย “กฎหมายกำหนดว่า ที่นาจะปลูกสร้างเรือนไม่ได้ หากทางการรู้เข้า จะต้องถูกลงโทษหนัก”


 


 


ตามกฎหมายประเทศอู่ ที่นาที่เพิ่งบุกเบิกใหม่จะต้องไปทำเรื่องกับทางการ แต่ละปีจะได้เรียกเก็บอากรที่นา อีกทั้งเมื่อขึ้นทะเบียนเป็นที่นากับทางการแล้ว ที่ผืนนั้นจะมีไว้สำหรับเพาะปลูกเท่านั้น หากมีใครกล้าฝ่าฝืน โทษเบาคือถูกปรับ โทษหนักอาจจะถูกตัดสินให้ไปใช้แรงงาน กฎหมายนี้เมิ่งต้าจินรู้ดี ตอนนี้ได้ยินผู้ใหญ่บ้านพูดเช่นนี้ ก็อับจนหนทาง


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ยินเมิ่งเอ้ออิ๋นบอกว่าจะใช้ราคาที่นามาซื้อที่ดินผืนนั้น แอบกระชากเสื้อผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจเขา ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกระชากอีกครั้ง ผู้ใหญ่บ้านมองนางอย่างรำคาญ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านทำมือเป็นเลขสิบให้เขา ผู้ใหญ่บ้านมุ่นหัวคิ้ว ถลึงตาใส่นาง ตักเตือนไม่ให้นางพูดมาก


 


 


เมิ่งต้าจินมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลุบตาหรี่เล็ก


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจคำเตือนเขา ยกยิ้มหันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “เอ้ออิ๋น เจ้าบอกว่าจะซื้อที่ผืนนั้นในราคาที่นา ไม่ทราบว่าเจ้าพูดเชื่อถือได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “เชื่อถือได้ ขอเพียงอาผู้ใหญ่บ้านช่วยพวกเราไปทำรังวัด พวกเราจะให้เงินไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียว”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยินดีปรีดา “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ให้อาผู้ใหญ่บ้านเจ้ารีบไปทำรังวัดให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่อาผู้ใหญ่บ้านบอกว่าที่นาซื้อขายเป็นการส่วนตัวไม่ได้”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านนิ่งอึ้งแล้วพูดว่า “แต่นี่เป็นที่นาที่ยังไม่ได้บุกเบิกและขึ้นทะเบียนกับทางการ เอามาขายให้พวกเจ้าก่อนก็ได้”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกระแอมหนึ่งครั้งพูดว่า “พวกเจ้าอย่าไปฟังนาง ไปหาที่อื่นที่เหมาะสมเถอะ ที่ดินที่พวกเจ้าพอใจขายให้พวกเจ้าไม่ได้จริง”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเงินในมือกำลังหลุดลอยไป ร้อนใจโพล่งปากพูดว่า “ตาเฒ่าไร้สมอง เจ้าไม่คิดบ้างว่า ที่ดินนั้นใหญ่แค่ไหน หากขายให้พวกเขาในราคาที่นา พวกเราจะได้เงินมากโข”


 


 


สิ้นเสียงนาง ทั้งลานบ้านก็เงียบสงัด


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมองผู้ใหญ่บ้านอย่างไม่เชื่อ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหน้าแดงก่ำ


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกตัวแล้วว่าพูดอะไรออกไป ใบหน้าชราก็แดงเรื่อ แต่เรื่องแบบนี้นางทำมาเยอะแล้ว กู้สถานการณ์พูดกับคนทั้งสองได้ทันควัน “พวกเจ้าอย่าคิดว่าพวกเราหมายจะกินเงินพวกเจ้าจริงๆ เงินที่พวกเจ้าให้ส่วนใหญ่พวกเราก็ต้องมอบให้ท่านผู้ว่าการตำบล เงินที่เหลือเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพียงค่าเหนื่อยของอาผู้ใหญ่บ้าน อย่างไรเขาก็อายุมากขนาดนี้ ยังต้องทำรังวัดให้พวกเจ้า แล้วไปทางการทำเอกสารให้พวกเจ้า ร่างกายย่อมต้องเหนื่อยล้าอ่อนแรง ได้เงินค่าเหนื่อยบ้างก็สมควรแล้ว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยกขนมในมือขึ้น รีบเอ่ยปากพูดกับภรรยาผู้ใหญ่บ้าน “ข้าทราบ ข้าทราบ อาผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่ง่าย ท่านพ่อข้าถึงให้พวกเรานำขนมชั้นดีกล่องนี้มาให้อาผู้ใหญ่บ้านอย่างไร”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นส่งขนมมาเบื้องหน้าตัวเอง ด้านหนึ่งดีใจพูดว่า “โย้ ยังเป็นเมิ่งจงจวี่ที่จัดการเรื่องเป็น” ด้านหนึ่งก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกล่องขนม


 


 


ผู้ใหญ่บ้านดึงรั้งนางไว้ พูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างตรงไปตรงมา “พวกเจ้าอย่าไปฟังนาง ที่ผืนนั้นขายให้พวกเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ต้องคิดถึงลูกบ้านเป็นที่หนึ่ง ที่นาในหมู่บ้านเราน้อยเกินไป หากไม่บุกเบิกพื้นที่ คนในหมู่บ้านจะมีข้าวไม่พอกิน ข้าจะเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยแล้วไม่แยแสทุกข์สุขของคนในหมู่บ้านไม่ได้”


 


 


มือที่ยกขนมขึ้นของเมิ่งเอ้ออิ๋นหดกลับมา


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านบิดด้านหลังของเนื้อผู้ใหญ่บ้านที่มีเสื้อกั้นอยู่อีกชั้นเต็มแรง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคิดจะพูดบางอย่าง เมิ่งต้าจินเอ่ยปากพูดก่อน “น้องรอง เมื่อที่ผืนนั้นปลูกเรือนไม่ได้ พวกเราก็อย่าให้ผู้ใหญ่บ้านลำบากใจเลย พวกเราไปดูที่อื่นเถอะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดอย่างร้อนใจ “พี่ใหญ่ เมื่อครู่พวกเราดูรอบแล้ว มีเพียงที่ผืนนั้นที่เหมาะสมที่สุด”


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านสะท้อนแววตา


 


 


เมิ่งต้าจินมองผู้ใหญ่บ้านแวบหนึ่งอย่างไม่ทันสังเกตเห็น แล้วพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “พวกเรากลับไปปรึกษากับท่านพ่อ ถ้าไม่ได้ก็ขยายพื้นที่บ้านเก่าของพวกเราให้กว้างขึ้น”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคิดจะพูดอะไร เมิ่งต้าจินก็หันหลังเดินออกไปทันที เมิ่งเอ้ออิ๋นถือขนมรีบเดินตามไป


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นพวกเขาถือขนมเดินจากไป ร้อนรนร้องเรียก “เอ๊ะๆ พวกเจ้าทิ้งขนมไว้ก่อน แม้ครั้งนี้จะซื้อที่ไม่สำเร็จ ครั้งหน้าก็ต้องซื้อได้ พวกเจ้าถือขนมไปๆ กลับๆ เช่นนี้ลำบากแย่”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเอ็ดนาง “หุบปาก ยังขายหน้าไม่พออีกหรือไง?”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยิ่งโมโหหนัก ไม่สนแล้วว่าเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นยังเดินไปไม่ไกล แผดเสียงร้องโวยวายใส่ผู้ใหญ่บ้าน “เจ้าเฒ่าไร้สมอง วันนี้อะไรเข้าสิง เงินมากองตรงหน้ากลับไม่ต้องการ…”


 


 


เมิ่งต้าจินที่เดินออกไปข้างนอกแล้ว ได้ยินคำพูดของภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น เมิ่งเอ้ออิ๋นถือขนมเดินคอตกตามหลังมา พูดอย่างท้อแท้ใจ “พี่ใหญ่ ต่อให้ขยายบ้านเก่าให้กว้างขึ้น ก็ไม่พอให้ปลูกเรือนสองหลัง เหรินเอ๋อร์อย่างไรก็ยังไม่มีเรือนหอ”


 


 


เมิ่งต้าจินตอบกลับ “ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ พวกเรากลับบ้านไปปรึกษากับท่านพ่อก่อน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “มีเงื่อนงำอะไร? เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึก”


 


 


เมิ่งต้าจินส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ กลับไปให้ท่านพ่อวิเคราะห์เดี๋ยวก็รู้เอง”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า


 


 


ทั้งสองถือขนมเดินกลับบ้าน


 


 


กลุ่มคนที่ออกมาตากแดดเห็นสองพี่น้องถือขนมเดินกลับมา ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดพวกเจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้ ซื้อที่ดินไม่ได้หรือ?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกำลังจะรับคำ เมิ่งต้าจินกลับแย่งพูด “อาผู้ใหญ่บ้านมีธุระไม่อยู่บ้าน พวกเราก็เลยกลับมาก่อน”


 


 


กลุ่มคนที่ตากแดดพยักหน้าเข้าใจ


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาถึงบ้านใหญ่ เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งกำลังรอฟังข่าวอย่างชื่นบานในบ้าน เห็นทั้งสองคนกลับมา หญิงชราเมิ่งถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “กลับมาเร็วเช่นนี้เลย? ผู้ใหญ่บ้านพูดง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


 


เมิ่งจงจวี่เห็นทั้งสองยังถือขนมอยู่ในมือ มองพวกเขาอย่างกังขา


 


 


เมิ่งต้าจินนำคำพูดของผู้ใหญ่บ้านบอกกับเขา


 


 


เมิ่งจงจวี่ฟังจบ ลูบหนวด ทอดถอนใจพูด “ผู้ใหญ่บ้านต้องการสร้างความลำบากให้พวกเรา”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นประหลาดใจ โพล่งปากถาม “เพราะอะไรกัน?”


 


 


หญิงชราเมิ่งได้ยินว่าพวกเขาซื้อที่ไม่สำเร็จ พูดอย่างเคืองขุ่น “จะเพราะอะไร ก็เพราะพวกเขาโกรธแค้นเรื่องขายบุตรชายให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไร”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ่งงุนงง พูดว่า “ตั้งแต่ที่หลิวต้าเป่ามาทำงานที่โรงงาน นอกจากไม่ให้เขากลับบ้านโดยพลการ อย่างอื่นเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิบัติกับเขาเหมือนกับพนักงานถาวรทุกอย่าง พวกเขามีอะไรต้องโกรธแค้นกัน”


 


 


เมิ่งจงจวี่พูด “ต่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิบัติต่อหลิวต้าเป่าดีอย่างไร ก็ยังเป็นปมในใจผู้ใหญ่บ้าน เพราะอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับการยกย่องประจบประแจงจากคนในหมู่บ้านมานานหลายปีจนเสียนิสัย ตอนที่หลิวต้าเป่าตกทุกข์ แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าช่วย กลับให้หลิวต้าเป่าทำสัญญาทาสกับพวกเรา เท่ากับเป็นการตบหน้าผู้ใหญ่บ้านอย่างแรง ตอนนี้พวกเรามีเรื่องขอร้องเขา เขาย่อมต้องทำให้พวกเราลำบาก”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร? พวกเราก็ซื้อที่ดินไม่สำเร็จแล้ว”


 


 


เมิ่งจงจวี่ตอบว่า “ที่ดินไม่ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้ ต้องดูว่าผู้ใหญ่บ้านจะยื่นเงื่อนไขอะไร?”


 


 


หญิงชราเมิ่งพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “หากรู้ว่าคนลืมคุณคนทั้งสองจะมาสร้างความลำบากให้พวกเรา ตอนนั้นไม่ควรให้โยวเอ๋อร์ซื้อหลิวต้าเป่าไว้ ควรปล่อยให้คนในบ่อนเอาลูกทั้งสองของเขาไปขาย ดูว่าพวกเขาจะยังกล้าเหิมเกริมเหมือนตอนนี้ไหม”


 


 


เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจพูดว่า “หากในตอนนั้นโยวเอ๋อร์ไม่ซื้อตัวหลิวต้าเป่าไว้ ผู้ใหญ่บ้านคงเห็นพวกเราเป็นศัตรูคู่แค้นไปนานแล้ว จะต้องคอยหาเรื่องให้พวกเราต้องลำบาก ไม่ใช่คอยระแวงระวังไม่กล้าลงมือเช่นนี้ มีเพียงเวลาที่พวกเรามีเรื่องต้องขอร้อง ถึงจะแกล้งให้พวกเราต้องลำบาก”


 


 


หญิงชราเมิ่งปิดปากแน่น


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนใจเต้นเร่าๆ พูดว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร? หากไม่มีบ้าน เหรินเอ๋อร์จะแต่งงานอย่างไร?”


 


 


ทั้งสามพูดไม่ออก ภายในบ้านจมดิ่งสู่ความเงียบ


 


 


ครู่ต่อมา เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจพูดว่า “ช่างเถอะ ข้าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปขอร้องเขาอีกครั้ง อย่างไรข้าก็เป็นซิ่วไฉมาหลายปี เขาน่าจะให้เกียรติข้าบ้าง”


 


 


เมิ่งต้าจินตกใจ “ท่านพ่อ ได้อย่างไรกัน ท่านเป็นบัณฑิต หลายปีมานี้ไม่ว่ามีเรื่องอะไร ก็ไม่เคยต้องลดเกียรติพูดขอร้องใคร จะไปก้มหัวให้ผู้ใหญ่บ้านเพราะเรื่องบ้านหลังเดียวได้อย่างไร อย่างมาก ก็หาที่ผืนเล็ก ปลูกเรือนสองห้องให้เหรินเอ๋อร์ก่อน ให้เขาแต่งงานก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่เห็นด้วยที่เมิ่งจงจวี่จะไปขอร้องผู้ใหญ่บ้าน พูดหว่านล้อม “ท่านพ่อ เรื่องนี้ท่านไม่ต้องยุ่ง ข้าจะกลับไปหาโยวเอ๋อร์ ดูว่านางจะมีวิธีอะไรดีๆ?”


 


 


ครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ทุกคนในสกุลเมิ่งต่างก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเสาหลักไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินเมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเช่นนี้ เมิ่งต้าจินก็พยักหน้าเห็นด้วย เมิ่งจงจวี่ขบคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าพูดว่า “ได้ เจ้ากลับไปปรึกษากับโยวเอ๋อร์ก่อน หากนางก็ไม่มีวิธีที่ดี ข้าจะยอมลดศักดิ์ศรีไปขอร้องผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตะลีตะลานกลับบ้านมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว เล่าเรื่องที่ไปหาผู้ใหญ่บ้านแต่ซื้อที่ไม่สำเร็จและเรื่องที่เมิ่งจงจวี่บอกว่าเพราะผู้ใหญ่บ้านจงใจสร้างความลำบากให้พวกเขาแก่นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยิ้มพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ท่านไปบอกท่านปู่ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องลดศักดิ์ศรีไปขอร้องเขา รออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ อีกไม่กี่วันพวกเราจะต้องซื้อที่ดินผืนนั้นได้”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างคาดหวัง “โยวเอ๋อร์คิดวิธีอะไรดีๆ ออกอย่างนั้นหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มี”


 


 


“เช่นนั้นเจ้ายืนยันได้อย่างไรว่าอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะซื้อที่ดินผืนนั้นได้?” เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนละโมบ ตอนนี้มีเงินมากมายมากองตรงหน้าไม่เอา จะต้องคิดฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไขบางอย่างกับพวกเรา”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนใจถามนาง “จะเป็นเรื่องอันใดกัน? หรือจะให้พวกเราบอกสูตรเนื้อรมควันกับเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดเกลี้ยกล่อมเขา “ท่านพ่อ เรื่องอะไรนั้นอีกสองวันพวกเราก็รู้แล้ว ท่านไม่ต้องร้อนรน บอกท่านปู่ท่านย่าและลุงใหญ่ เรื่องที่พวกเราไปซื้อที่ดินให้ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ให้พวกเขาควรทำอะไรก็ทำต่อไป”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคงคับข้องใจ เขารู้ว่าบุตรสาวพูดเช่นนี้แสดงว่าต้องมีสาเหตุ จึงพยักพเยิดหน้า แล้วกระวีกระวาดวิ่งกลับไปบ้านใหญ่ นำคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินอย่างไม่ตกหล่นสักคำ


 


 


เมิ่งจงจวี่ฟังเมิ่งเอ้ออิ๋นพูดจบ ลูบหนวดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วพูด “เมื่อโยวเอ๋อร์พูดเช่นนี้ น่าจะมีความคิดบางอย่างแล้ว พวกเราจงฟังนาง เรื่องนี้ให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ใครก็ห้ามเอ่ยขึ้น”


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า

 

 

 


ตอนที่ 142.3

 

การซื้อที่ดินติดขัด

 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ พอเมิ่งเอ้ออิ๋นไปบ้านใหญ่ ก็เตรียมจะไปเดินดูโรงงานกุนเชียงสักรอบ ในห้องของเมิ่งชื่อกลับมีเสียงโห่ร้องของเมิ่งเจียและเมิ่งชิงดังแว่วมา “พวกเรามีกระเป๋านักเรียนใหม่แล้ว! พวกเรามีกระเป๋านักเรียนใหม่แล้ว!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกขึ้นได้ เรื่องที่ซุนเหลียงไฉจะมากินนอนที่บ้านยังไม่ได้บอกเมิ่งชื่อ จึงสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องเมิ่งชื่อ 


 


 


เมิ่งเจียและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองกำลังสะพายกระเป๋านักเรียนใบใหม่เดินวนภายในห้อง ส่วนเมิ่งชื่อกำลังมองพวกเขาอย่างเอ็นดู 


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งไปตรงหน้า พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นถามนาง “ท่านพี่ กระเป๋านักเรียนใหม่ของพวกเรางามหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดกับเด็กน้อยทั้งสอง “งาม งามมากๆ” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองดีใจโห่ร้อง สะพายกระเป๋านักเรียนวิ่งออกไปอย่างชื่นบาน 


 


 


เมิ่งชื่อร้องกำชับไล่หลังพวกเขาให้วิ่งให้เต็มเท้า อย่าให้หกล้ม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูดว่า “ท่านแม่ เด็กผู้ชายหกล้มบ้างไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ยิ้มตาหยีพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะบอกท่าน” 


 


 


เมิ่งชื่อด้านหนึ่งเก็บเข็มด้ายบนเตียงเตา อีกด้านพูดว่า “พูดเถอะ แม่ฟังเจ้าอยู่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่รับปากซุนซ่านเหรินจะช่วยสั่งสอนซุนเหลียงไฉแทนเขา และจากนี้ไปนอกจากไปโรงเรียนซุนเหลียงไฉจะมากินนอนที่บ้านพวกเขาให้นางฟังอย่างละเอียด 


 


 


เมิ่งชื่อฟังแล้วไม่เห็นด้วย “หลานชายคนนั้นของซุนซ่านเหรินดูเหมือนอายุจะพอๆ กับเจ้า เจ้าจะช่วยสั่งสอนเขาได้อย่างไร คนในหมู่บ้านได้เอาไปพูดนินทา เจ้าปฏิเสธเขาไปดีกว่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะคัดค้าน นิ่งอึ้งเล็กน้อยแล้วยิ้มพูด “ท่านแม่ ข้ามิได้จะสอนเขาตามลำพังเสียหน่อย ยังมีพี่ใหญ่ พี่รอง อี้เซวียนและน้องเล็กอยู่ด้วยกันทั้งหมด คนในหมู่บ้านจะนินทาอะไรได้” 


 


 


เมิ่งชื่อยังคงคัดค้าน “เช่นนั้นก็ไม่ได้ อยู่ๆ ในบ้านก็มีเด็กผู้ชายเพิ่มมาอีกคน เจ้าจะให้แม่ไปพูดกับคนในหมู่บ้านอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบนาง “เรื่องนี้พูดง่ายมาก ท่านบอกคนในหมู่บ้านว่าซุนซ่านเหรินส่งเขามาเพื่อควบคุมการผลิตกระเป๋านักเรียนก็ได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อถูกเบี่ยงเบนประเด็น ถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำกระเป๋านักเรียนอะไร? กระเป๋านักเรียนของเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ แม่ไม่ได้ทำเสร็จแล้วหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะ “ท่านแม่ เขาไม่ได้มาดูท่านทำกระเป๋านักเรียนให้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง แต่มาควบคุมพวกเราผลิตกระเป๋านักเรียนจำนวนมาก” 


 


 


เมิ่งชื่อยิ่งไม่เข้าใจหนัก ถามอย่างข้องใจ “กระเป๋านักเรียนจำนวนมากอะไร เจ้ายิ่งพูดแม่ก็ยิ่งงุนงง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะบอกเรื่องที่นางตกลงกับซุนซ่านเหรินเรื่องจะหาคนมาตัดเย็บกระเป๋านักเรียนจำนวนมาก และจะมอบการค้านี้ให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉจัดการกับนาง 


 


 


เมิ่งชื่อร้องอุทาน “จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเขายังเป็นเด็ก จะทำการค้ากระเป๋านักเรียนได้อย่างไร พวกเจ้าขาดการยั้งคิดเกินไปแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าก็เป็นเด็กมิใช่หรือ? ก็ยังทำการค้าของครอบครัวได้เจริญรุ่งเรืองดี?” 


 


 


เมิ่งชื่อโต้แย้งนาง “เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้า…” พูดถึงตรงนี้ หันออกไปมองด้านนอก กดน้ำเสียงต่ำพูด “เจ้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายมาจากที่นั่น พวกเขาไม่เคยไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโพล่งหัวเราะ “ท่านแม่ แต่ตอนนี้พวกเขามีข้า ข้าไม่มีทางไม่สนใจพวกเขา ข้าปรึกษากับซุนซ่านเหรินดีแล้ว พวกเราสองคนจะคอยช่วยเหลือพวกเขาห่างๆ” 


 


 


เมิ่งชื่อยังลังเล เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นหน้าไปเบื้องหน้านาง พูดเสียงเบา “ข้าอยากมอบหน้าที่หาคนตัดเย็บกระเป๋านักเรียนให้ท่านแม่ทำ หากกระเป๋านักเรียนของพวกอี้เซวียนขายดี ไม่แน่ว่าพวกเราจะก่อตั้งโรงงานกระเป๋านักเรียนได้อีก ถึงตอนนั้นงานทั้งหมดท่านแม่จะเป็นคนรับผิดชอบ พวกเราเพียงแค่นำกระเป๋านักเรียนที่พวกท่านทำสำเร็จไปขายเท่านั้น” 


 


 


ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ เมิ่งชื่อถามกลับอย่างดีใจ “มอบให้แม่รับผิดชอบ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งชื่อพลันมือไม้อยู่ไม่สุข พูดเป็นพัลวัน “ได้อย่างไรกัน แม่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะ “แม่ทำอะไรไม่เป็นเลย กระเป๋านักเรียนของเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ใครเป็นคนทำกัน” 


 


 


เมิ่งชื่อตีนางหนึ่งที แสร้งพูดอย่างโมโห “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าก็รู้ว่าแม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดหัวเราะ พูดกับเมิ่งชื่ออย่างเป็นหลักเป็นการ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ง่ายมาก ท่านแค่คิดว่าผู้หญิงคนไหนในหมู่บ้านที่มีฝีมือเย็บปักดี ท่านให้คนไปถามว่านางยินดีจะมาทำงานหรือไม่ หากยินดี กำหนดค่าแรงให้นางก็ได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อถลึงตาโต ถามอย่างไม่เชื่อ “ง่ายๆ เท่านี้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบ “ง่ายๆ เพียงเท่านี้ และซุนซ่านเหรินยังพูดว่า ค่าใช้จ่ายการผลิตกระเป๋านักเรียนเขาจะเป็นออกเองทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งชื่อไม่เข้าใจถามกลับ “หมายความว่าอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ความหมายก็คือ ไม่ว่าท่านหาคนมาผลิตกระเป๋านักเรียนได้มากแค่ไหน จ่ายเงินซื้อวัตถุดิบไปมาเพียงใด หากกระเป๋านักเรียนขายไม่ดี ซุนซ่านเหรินจะจ่ายเงินชดเชยให้พวกเราเอง” 


 


 


ครั้งนี้เมิ่งชื่อฟังเข้าใจแล้ว พูดอย่างยินดี “มีเรื่องดีแบบนี้ด้วย แม่ตกลงแล้ว แม่จะไปหารือกับป้าหวังเดี๋ยวนี้” พูดจบ แม้แต่เข็มด้ายบนเตียงเตาก็ไม่เก็บแล้ว พรวดพราดลงจากเตียงเตา ใส่รองเท้าแล้ววิ่งออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนไล่หลังว่า “ท่านแม่ ป้าหวังทำงานอยู่ที่โรงงานรมควันเนื้อ” 


 


 


เสียงเมิ่งชื่อดังแว่วมา “แม่รู้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า ออกมาจากบ้านเดินไปโรงงานกุนเชียง 


 


 


อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น ประตูใหญ่โรงงานเปิดอ้า คนในโรงงานกุนเชียงต่างขะมักเขม้นทำงานเหงื่อออกท่วมตัว เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในโรงงาน เห็นท่าทางของทุกคน มุ่นหัวคิ้ว 


 


 


เมิ่งซานถงเห็นนางมุ่นหัวคิ้ว นึกว่านางตำหนิที่ตัวเองเปิดประตูโรงงานออก จึงเดินหน้าไปอธิบายอย่างระวัง “โยวเอ๋อร์เอ๊ย อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว คนงานในโรงงานร้อนจนทนไม่ไหว ข้าถึงต้องเปิดประตูออก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านอาสาม ท่านทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ในโรงงานร้อนมาก หากไม่เปิดประตู เกรงว่ากุนเชียงที่เราทำออกมาได้ส่งกลิ่นเสียเป็นแน่” 


 


 


เห็นนางไม่ตำหนิโทษตัวเอง เมิ่งซานถงโล่งอก จากนั้นหยั่งเชิงถามนาง “คนงานในโรงงานให้มาถามเจ้า พวกเขาไปทำงานในลานกว้างได้หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิด พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ แต่จะต้องเป็นวันที่อากาศดี หากมีลมห้ามออกไป” 


 


 


ได้ยินนางเห็นด้วย ซานต้าถงตอบกลับอย่างยินดี “เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี วันที่อากาศไม่ดีพวกเราไม่มีใครออกไปแน่นอน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เช่นนั้นก็ได้ พวกท่านใครอยากออกไปทำที่ลานกว้างก็ไปทำเถอะ” 


 


 


ทุกคนทยอยพูด “ขอบคุณนายหญิง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณ อย่างไรพอถึงสิ้นเดือนยี่โรงงานกุนเชียงก็ต้องปิดลง” 


 


 


คนทั้งหมดเงยหน้ามองนางอย่างตกใจพร้อมกัน 


 


 


เมิ่งซานถงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถามติดๆ ขัดๆ “เพราะ เพราะอะไร? เพราะพวกเราจะไปทำงานในลานกว้างหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกเขาเข้าใจผิด ยิ้มอธิบาย “พวกท่านก็ทราบดี เมื่อสอดไส้กุนเชียงเสร็จแล้ว จะต้องตากลมให้แห้ง ถึงจะถนอมไว้ได้นาน ช่วงเวลานี้อากาศจะค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ถึงตอนนั้นกุนเชียงของพวกเราจะตากลมแห้งไม่ได้ โรงงานจึงต้องปิดลงโดยปริยาย รอให้อากาศเย็นถึงจะเปิดอีกครั้ง” 


 


 


คนงานได้ฟังก็ถอนใจโล่งอก ขอเพียงไม่ใช่เพราะพวกเขาร้องขอจะไปทำงานในลานกว้าง ทำให้นายหญิงโมโหปิดโรงงานกุนเชียงก็พอแล้ว แต่พอคิดว่าอีกหนึ่งเดือนก็จะไม่ได้ค่าแรง ความรู้สึกของคนงานก็ตึงเครียดขึ้นมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากโรงงานปิดลง ข้ายังมีงานอื่นให้พวกท่านทำ ค่าแรงมีแต่จะเพิ่มไม่มีลด” 


 


 


สิ้นเสียงนาง บรรดาคนงานเผยสีหน้ายินดีปรีดา มีบางคนอดไม่ได้ถามขึ้น “นายหญิง เป็นงานอะไร พวกเราทำไหวหรือไม่?” 


 


 


พูดโยกโย้ “ตอนนี้ยังไม่บอกทุกคน ถึงตอนนั้นทุกคนก็รู้แล้ว แต่ข้าต้องพูดแย่ๆ ไว้ก่อน หากภายในหนึ่งเดือนนี้พวกท่านไม่ตั้งใจทำงาน แอบอู้มีลูกไม้ งานนั้นพวกท่านจะไม่มีส่วนร่วม” 


 


 


บรรดาคนงานต่างพูดรับประกัน “ไม่มีทาง นายหญิง ท่านวางใจเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก เดินไปอีกโรงงาน กล่าวคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง บรรดาคนงานได้ยินว่าหลังปิดโรงงานกุนเชียงยังจะมีงานอื่นให้ทำ ค่าแรงที่ได้ก็ไม่น้อยลง ต่างก็ยินดีปรีดา แต่ละคนแทบอยากจะตบหน้าอกรับประกันว่าตนเองจะต้องทำงานอย่างแข็งขัน 


 


 


เมิ่งชื่อรีบร้อนวิ่งมาโรงงานรมควันเนื้อ ตามหาป้าหวัง พูดกับนางอย่างรอต่อไปไม่ไหว “สะใภ้หวัง เจ้าช่วยข้าคิดหน่อย ผู้หญิงในหมู่บ้านคนไหนที่เย็บปักเก่ง” 


 


 


ป้าหวังกำลังทำความสะอาดไส้อ่อน ได้ยินคำพูดไร้หัวไร้หางของนางพลันปรับสติไม่ได้ 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางนิ่งอึ้ง ร้อนใจพูด “สะใภ้หวัง เจ้ารีบช่วยข้าคิดหน่อยเถิด” 


 


 


ป้าหวังถึงได้สติกลับมา ถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไม? มีงานให้ทำหรือ? หากว่าไม่มาก หลังเลิกงาน ข้าช่วยเจ้าก็ได้ ไยต้องหาคนด้วย?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นป้าหวังไม่เข้าใจความหมายตัวเอง ก็ยิ่งร้อนรน “ไม่ได้ต้องการมาช่วยงานในบ้านตัวเอง ข้าต้องการหาคนจำนวนหนึ่งมาผลิตกระเป๋านักเรียน” 


 


 


ป้าหวังไม่เคยเห็นเมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน ได้ฟังก็ยิ่งงงงวย ถามอย่างงงๆ “กระเป๋านักเรียนคืออะไร?” 


 


 


เมิ่งชื่ออธิบายไม่ชัดเจน จึงลากป้าหวังกลับมาบ้าน พูดว่า “ข้าอธิบายไม่ได้ว่ากระเป๋านักเรียนคืออะไร เจ้ากลับไปดูกับข้าก็จะรู้เอง” 


 


 


ป้าหวังร้องโวยวาย “ข้ายังไม่ได้ล้างมือ ระวังจะกระเด็นถูกตัวเจ้า” 

 

 

 


ตอนที่ 143.1

 

ซุนเหลียงไฉพังทลาย

 


 


 


 


เมิ่งชื่อรีบคลายมือจากป้าหวัง รอป้าหวังล้างมือเสร็จ ก็ลากป้าหวังไปบ้านตัวเองอย่างรอต่อไปไม่ไหว 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงออกไปโอ้อวดมาหนึ่งรอบ ทำเอาเด็กๆ ในหมู่บ้านพากันอิจฉาตาร้อน ต่างไล่ตามหลังพวกเขาไม่ยอมแยกย้าย 


 


 


ระหว่างทางกลับบ้านเมิ่งชื่อเห็นพวกเข้าพอดี ตะโกนร้องเรียกเด็กน้อยทั้งสอง “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเจ้ามานี่” 


 


 


ได้ยินเสียงร้องของนาง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งทะยานมาทันที 


 


 


ป้าหวังเห็นกระเป๋านักเรียนที่ตัวเด็กทั้งสองประหลาดใจไม่น้อย ถามขึ้น “เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์สะพายสิ่งใด งดงามน่าดูนัก” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะพูด “นี่ก็คือกระเป๋านักเรียนที่ข้าบอกเจ้า” 


 


 


ป้าหวังถลึงตาโต “นี่ก็คือกระเป๋านักเรียน?” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า ยิ้มพูด “โยวเอ๋อร์เป็นคนคิดค้นขึ้น บอกว่าเวลาเด็กๆ ไปโรงเรียน สามารถนำสิ่งของของพวกเขาใส่ไว้ภายในได้เป็นชั้นเป็นตอน ทั้งประหยัดเวลาและสะดวกสบาย” พูดจบหันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ย “เจี๋ยเอ๋อร์ เจ้าถอดกระเป๋านักเรียนออกมาให้ป้าหวังดูหน่อย” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยถอดกระเป๋านักเรียนออกมาอย่างระวัง มอบให้ป้าหวัง กำชับนางอย่างไม่วางใจ “ป้าหวัง ท่านดูอย่างเบามือด้วย อย่าทำกระเป๋านักเรียนข้าเสียหาย” 


 


 


เมิ่งชื่อหลุดขำ “เจี๋ยเอ๋อร์ กระเป๋านักเรียนนี้ทำมาจากผ้า ไม่เสียหายดอก” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ ยังคงมองกระเป๋านักเรียนในมือป้าหวังไม่กะพริบตา 


 


 


ป้าหวังรับกระเป๋านักเรียนมา ดูนอกดูในจนทั่วหนึ่งรอบ ร้องอุทาน “เจ้าหนูโยวเอ๋อร์ฉลาดเกินไปแล้ว กระเป๋านักเรียนที่ทั้งสวยทั้งน่าใช้นี้นางก็คิดออกมาได้” 


 


 


ไม่รอให้เมิ่งชื่อพูด เมิ่งเจี๋ยก็รีบยื่นมือน้อยๆ พูดกับป้าหวัง “ป้าหวัง ท่านดูเสร็จแล้วใช่ไหม? คืนกระเป๋านักเรียนให้ข้าได้หรือยัง?” 


 


 


ป้าหวังหัวเราะคืนกระเป๋านักเรียนให้เขา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยรีบนำมาสะพายหลัง 


 


 


ป้าหวังหันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “อย่าว่าแต่เด็กๆ เลย แม้แต่ข้าที่เห็นกระเป๋านักเรียนนี้ยังอยากสะพายบ้าง” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ก็เลยคิดจะเอากระเป๋านักเรียนมาทำการค้า ให้ข้าหาคนในหมู่บ้านที่เย็บปักเก่งมาทำงาน บอกว่าถ้าการค้าไปได้ดี ไม่แน่จะก่อตั้งโรงงานกระเป๋านักเรียนขึ้นอีกแห่งด้วย” 


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ป้าหวังดีใจมาก ยืนคิดกลางถนนทันทีว่าหญิงสาวคนไหนในหมู่บ้านที่เย็บปักเก่งๆ 


 


 


หลังจากที่คิดหาหญิงสาวได้จำนวนหนึ่ง ทั้งสองก็แยกย้ายไปหาคน ป้าหวังไปหาฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน เมิ่งชื่อไปหาฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ทั้งสองตกลงกันว่า หากคนเหล่านั้นตกลง ให้พาพวกเขามาบ้านเมิ่งชื่อ 


 


 


เมิ่งชื่อดีอกดีใจ ฝีเท้าคล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่นานก็มาถึงบ้านหญิงสาวนางหนึ่ง บอกถึงจุดประสงค์ที่มา 


 


 


ตอนนี้คนในหมู่บ้านเห็นคนในครอบครัวเมิ่งชื่อต่างก็ประจบเอาใจ เพื่อเวลาที่บ้านพวกเขารับสมัครงาน ตัวเองจะได้งานสักชิ้นมาทำ ตอนนี้เห็นเมิ่งชื่อมาหาตัวเองถึงบ้าน หญิงสาวตกใจที่ได้รับความเอ็นดู รับคำเป็นพัลวัน 


 


 


เมิ่งชื่อไปบ้านหลังที่สองที่สามต่อพร้อมนาง 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดต่างตอบรับทันที คนในครอบครัวล้วนดีใจยกใหญ่ กล่าวขอบคุณไม่หยุด 


 


 


ตอนที่เมิ่งชื่อพาหญิงสาวทั้งหมดกลับมาบ้าน ป้าหวังก็พาหญิงสาวอีกสองสามคนเดินเข้ามาพอดี 


 


 


เมิ่งชื่อพาคนทั้งหมดเข้าบ้าน แล้วนำกระเป๋านักเรียนของเมิ่งเจี๋ยที่กลับมาถึงบ้านแล้วให้ทุกคนดู หญิงสาวทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือเย็บปัก งานชนิดนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ต่างยิ้มพูดว่าวันเดียวก็เย็บออกมาได้แล้ว 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ย่อมยินดีปรีดา ตัดสินใจทันควันให้พวกเขาวันละสามสิบอีแปะต่อคน เวลาทำงานเหมือนกับคนงานทำงานโรงงาน 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดดีใจยกใหญ่ 


 


 


เมิ่งชื่อไม่คิดว่าเรื่องจะราบรื่นเช่นนี้ ก็ดีใจมากเช่นกัน กำชับทุกคนพรุ่งนี้ให้มาทำงานตรงเวลา 


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้าตอบรับ กลับบ้านไปบอกคนในครอบครัวอย่างชื่นบาน 


 


 


ป้าหวังเห็นว่าหมดเรื่องแล้ว จึงกลับไปทำงานที่โรงงานรมควันเนื้อ 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นทุกคนไปหมดแล้ว ขบคิดถึงสิ่งของที่ต้องใช้ทำกระเป๋านักเรียนภายในห้องลำพัง ตอนบ่ายเมิ่งเชี่ยนโยวไปรับเมิ่งอี้เซวียนจะได้ฝากนางซื้อกลับมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่มีความเห็นต่าง ตอนบ่ายที่ต้องออกไปรับเมิ่งอี้เซวียนจะให้เมิ่งเสียนออกไปเร็วขึ้น เมื่อถึงร้านขายอุปกรณ์ตัดเย็บในเมือง หลังจากซื้ออุปกรณ์เย็บปักจำนวนมากที่เมิ่งชื่อต้องการเสร็จถึงไปรับเมิ่งอี้เซวียนที่หน้าโรงเรียน 


 


 


หน้าประตูโรงเรียนมีรถม้าจอดหลายคันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวมองโดยรอบ รถม้าของซุนซ่านเหรินไม่ได้มาจริงๆ แอบยกย่องในใจ ไม่แปลกที่การค้าของซุนซ่านเหรินเจริญรุ่งเรือง เมื่อถึงคราวต้องเด็ดขาดก็ทำได้อย่างไม่ลังเลสักนิด 


 


 


ถึงเวลาเลิกเรียน อาจารย์เวรเปิดประตูใหญ่ออก เด็กนักเรียนทยอยกันเดินออกมา นั่งรถม้าของบ้านตัวเองกลับบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอครู่ใหญ่ กระทั่งรถม้าหน้าประตูไปหมดแล้ว ก็ยังไม่เห็นเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉออกมา เริ่มมุ่นหัวคิ้ว สาวเท้าเดินไปหน้าประตู ชะเง้อคอมอง 


 


 


อาจารย์เวรจำนางได้ เห็นนางชะเง้อมองเข้าไปด้านใน นึกว่านางเป็นห่วงที่เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ออกมา พูดปลอบใจ “แม่นางน้อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้ในโรงเรียนมิได้เกิดเรื่องอันใด อีกประเดี๋ยวน้องชายเจ้าก็ออกมา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้เขา ยืนรอพวกเขาหน้าประตูเงียบๆ 


 


 


ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ตอนที่อาจารย์เวรใกล้ทนไม่ไหวจะเดินเข้าไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรกับเมิ่งอี้เซวียนขึ้นหรือไม่ ถึงเห็นเขาถูลู่ถูกังซุนเหลียงไฉที่เอาแต่ดิ้นรนขัดขืนออกมาจากห้องเรียน 


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอพวกเขาที่หน้าประตู เมิ่งอี้เซวียนที่เหงื่อซึมทั่วตัวด้านหนึ่งฉุดลากซุนเหลียงไฉ อีกด้านร้องตะโกนพูด “พอเลิกเรียนเขาก็ไปแอบ ข้าต้องลงแรงไม่น้อยถึงตามหาพบ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมตามออกมา ข้าจำต้องลากเขาออกมา” 


 


 


อาจารย์เวรประหลาดใจมาก ไม่เข้าใจทำไมเมิ่งอี้เซวียนถึงพูดเช่นนี้ กำลังจะซักถาม ซุนเหลียงไฉก็ร้องพูดกับอาจารย์ “ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย เมิ่งอี้เซวียนจะฉุดลากข้าไปบ้านเขาให้ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


อาจารย์ตกใจหนัก รีบเข้าไปยับยั้งเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “เมิ่งอี้เซวียน เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เมื่อซุนเหลียงไฉไม่ยินดีไปบ้านพวกเจ้า เจ้าก็ไม่ควรฝืนฉุดลากเขาไป ไม่เช่นนั้น อาจารย์จะถือว่าเจ้ารังแกเพื่อนร่วมห้อง” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนพูด “อาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้จะฉุดลากเขาไปบ้านพวกเรา แต่ปู่ของเขาฝากฝังเขาไว้กับพวกเรา ต่อไปให้เขามากินนอนบ้านพวกเรา” 


 


 


อาจารย์ไม่รู้เรื่องนี้ ถามซุนเหลียงไฉ “เมิ่งอี้เซวียนพูดถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบ โก่งคอเป็นเอ็นพูด “หามีเรื่องเช่นนี้ไม่ พวกเขาเป็นคนบ้านนอก ท่านปู่จะยอมให้ข้าไปกินนอนบ้านพวกเขาได้อย่างไร” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเป็นหลายชายเพียงคนเดียวของซุนซ่านเหริน ถูกตามใจแต่เด็ก ทำใจเห็นเขาลำบากไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้เขาไปกินนอนบ้านคนอื่น อาจารย์ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ น้ำเสียงที่พูดแสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย “เมิ่งอี้เซวียน เจ้าพูดโกหกได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนว้าวุ่นใจจนเหงื่อซึมหนักกว่าเดิม กำลังจะอธิบาย เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปากว่า “อี้เซวียน ปล่อยเขา” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ยินก็ปล่อยมือ 


 


 


ซุนเหลียงไฉหันหลังเตรียมจะวิ่งกลับไปในห้องเรียน เสียงเ**้ยมเกรียมของเมิ่งเชี่ยนโยวดังไล่หลัง “หากเจ้ากล้าวิ่งกลับไป ข้าจะหักขาเจ้าหนึ่งข้าง” 


 


 


หลังจากวิวาทกันวันนั้น ซุนวั่งเอาเรื่องที่เขาถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าบอกฮูหยินชราซุนตอนกินข้าว ทั้งใส่สีตีไข่พูดว่านางโหดเ**้ยมอำมหิต ไม่ว่าเรื่องใดก็ทำได้ ซุนเหลียงไฉนั่งฟังเต็มสองรูหู เกิดความหวาดกลัวต่อเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นภายในใจ ตอนนี้ได้ยินคำพูดเ**้ยมเกรียมของเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจจนหยุดชะงักฝีเท้าทันที ยืนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดเหงื่อให้เมิ่งอี้เซวียนอย่างพิถีพิถัน ให้เขาขึ้นไปบนรถม้าก่อน อย่าให้เป็นไข้จับสั่น 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าดีใจ วิ่งไปข้างรถม้าอย่างชื่นบาน หลังจากทักทายเมิ่งเสียนก็เข้าไปนั่งในห้องโดยสาร 


 


 


อาจารย์ก็ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างไม่เห็นด้วย “ซุนเหลียงไฉเพียงแค่ไม่ยินดีไปบ้านพวกเจ้า เจ้าข่มขู่เขาได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาว่า “ท่านอาจารย์ ท่านดูเถิด รถม้าของซุนซ่านเหรินมารับเขาหรือไม่?” 


 


 


อาจารย์ถึงนึกได้ว่าไม่เห็นรถม้าบ้านซุนเข้ามา ให้รู้สึกแปลกใจ ถามซุนเหลียงไฉ “เหตุใดวันนี้ถึงไม่มีรถม้ามารับเจ้า?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบ อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบายกับเขาว่า “อี้เซวียนหาได้ต้องการให้ซุนเหลียงไฉมากินนอนบ้านพวกเรา แต่ครอบครัวพวกเราและซุนซ่านเหรินร่วมมือกันทำการค้าหนึ่ง ซุนซ่านเหรินกลัวพวกเราจะทำไม่ดี ให้ซุนเหลียงไฉไปบ้านพวกเรามีหน้าที่คอยตรวจตราพวกเรา” 


 


 


การค้าของซุนซ่านเหรินใหญ่โตรุ่งเรือง การจะร่วมมือกับบ้านเมิ่งอี้เซวียนมีความเป็นไปได้ อาจารย์ได้ฟังเริ่มเชื่อหลายส่วน แต่ยังถามขึ้น “เช่นนั้นทำไมซุนเหลียงไฉต้องพูดเช่นนั้น?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองซุนเหลียงไฉแวบหนึ่ง พูดกับอาจารย์ “คุณชายน้อยซุนเสวยสุขอยู่ในบ้านจนชิน ไม่ยินดีไปตรากตรำที่บ้านนอก ด้วยเหตุนี้ ถึงได้โกหกท่าน” 


 


 


อาจารย์ได้ยินถามซุนเหลียงไฉ “แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริงหรือไม่?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉอยากส่ายหน้า กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มมองมาที่เขา ให้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


อาจารย์เริ่มโมโห ตำหนิเขา “เจ้าโกหกอาจารย์ได้อย่างไร?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่กล้าพูด 


 


 


อาจารย์พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้ารีบกลับไปกับแม่นางเมิ่งเถอะ อาจารย์จะปิดประตูแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก “หากคุณชายน้อยซุนไม่ยินดีนั่งรถม้ากลับไปบ้านพวกเรา จะเดินไปก็ได้ ราวๆ สามชั่วยามก็ถึง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกตะลึง เห็นท่าทีจริงจังของนาง ฝีเท้าหันเปลี่ยนทิศทางอย่างไม่รู้ตัว ก้าวเท้าฉับไวออกไปจากประตูโรงเรียน มาถึงข้างรถม้า 


 


 


หลังจากกล่าวลาอาจารย์อย่างมีมารยาท เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินมาข้างรถม้า เห็นซุนเหลียงไฉยังลังเลว่าจะขึ้นไปหรือไม่ ก็พูดคำหนึ่ง “พี่ใหญ่ ระหว่างทางบังคับรถม้าช้าหน่อย คุณชายน้อยซุนเดินตามพวกเราไม่ทัน” 


 


 


ยังไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบ ซุนเหลียงไฉก็เข้าไปนั่งในรถม้าเรียบร้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากแอบอมยิ้ม และเข้าไปนั่งในรถม้า 


 

 

 


ตอนที่ 143.2

 

ซุนเหลียงไฉพังทลาย

 


 


 


 


เมิ่งเสียนบังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับ ซุนเหลียงไฉรู้สึกนั่งรถม้าโกโรโกโสนี้ ไม่สบายตัวสักนิด นั่งขยุกขยิกไม่หยุด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว หันไปมองเขาช้าๆ 


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกมองจนขนหัวลุก รีบร้อนพูด “รถม้าคันนี้โกโรโกโสเกินไป ข้านั่งแล้วไม่สบาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 


 


 


ซุนเหลียงไฉขยับตัวอีก กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะไล่ตัวเองลงจากรถ พูดอย่างทุกข์ระทม “ข้าไม่สบายตัวจริงๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนขำ ร้องบอกด้านนอก “พี่ใหญ่ หยุดรถ!” 


 


 


ซุนเหลียงไฉนึกว่านางจะไล่ตัวเองลงจากรถม้าจริงๆ รีบจับตัวรถแน่นร้องตะโกนด้วยอารามหวาดผวา “ข้าไม่เดินกลับไป ข้าไม่เดินกลับไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา ตัวเองลงจากรถม้า เมิ่งอี้เซวียนก็เดินตามลงไป 


 


 


ซุนเหลียงไฉนั่งในรถม้าอย่างขวัญผวา หายใจกระหืดกระหอบ 


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน นานจนซุนเหลียงไฉนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนทิ้งเขาและรถม้าจากไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้เซวียนถึงกลับมา 


 


 


เห็นพวกเขาเข้ามา ซุนเหลียงไฉจับตัวรถแน่นอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


ขึ้นมาบนรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวนำเบาะผ้าไหมอย่างดีส่งให้เขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉที่ยังไม่ได้สติกลับมา มองนางตะลึงค้าง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “วางเบาะรองไว้ด้านล่าง หากเจ้ายังขยุกขยิกอีก ข้าจะไล่เจ้าลงมารถม้าจริงๆ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงได้สติกลับมา รีบยื่นมือไปรับเบาะ วางไว้ใต้ก้นตัวเอง รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยพลัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกด้านนอก “พี่ใหญ่ ไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนตวัดบังเ**ยน รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง 


 


 


ซุนเหลียงไฉนั่งบนเบาะอย่างสงบเสงี่ยม ไม่กล้าขยับตัวอีก 


 


 


พ้นประตูเมืองออกมา คนข้างทางน้อยลงไปมาก เมิ่งเสียนจึงบังคับรถม้าเร็วขึ้น 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ระวัง ร่างกายโอนเอน รีบร้องตะโกนอย่างตกใจกลัว “โทษข้าไม่ได้นะ อยู่ๆ เขาก็บังคับรถม้าเร็วขึ้นเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเพื่อไม่ให้ร่างกายโคลงเคลง จับยึดตัวรถไว้นานแล้ว ได้ยินซุนเหลียงไฉร้องพูด เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างรำคาญคำหนึ่ง “จับให้ดี!” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงรีบทำเหมือนพวกเขา จับตัวรถไว้แน่น 


 


 


รถม้าใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามก็มาถึงบ้าน ซุนเหลียงไฉรู้สึกว่าร่างกายตัวเองด้านชาไปหมดแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า ซุนเหลียงไฉปรับสภาพครู่หนึ่ง ถึงค่อยๆ ลงจากรถม้า เห็นบ้านซอมซ่อตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูอากัปกิริยาเขา พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เจ้ารอเขาก่อน อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าเข้าไปพร้อมกัน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในลานบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางกลับมา ถามอย่างร้อนใจ “โยวเอ๋อร์ อุปกรณ์ตัดเย็บที่แม่ให้เจ้าซื้อ ซื้อกลับมาหรือยัง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมอบอุปกรณ์ตัดเย็บในมือให้นาง ยิ้มพูด “ซื้อมาหมดแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อรับอุปกรณ์ตัดเย็บมา หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง เห็นซุนเหลียงไฉยังยืนอยู่ด้านนอก ไม่เดินเข้ามา ก็หรี่ตาลง 


 


 


เมิ่งชื่อเดินออกมาจากในบ้านพูดว่า “ดูความจำแม่สิ เอาแต่คิดเรื่องเย็บกระเป๋านักเรียน ลืมเรื่องที่หลานชายของซุนซ่านเหรินจะตามพวกเจ้ามาบ้านพวกเรา” พูดจบมองดูลานบ้าน ไม่เห็นร่างของคนนอก ถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมไม่มีคน? ได้ได้รับกลับมาหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “อยู่ข้างนอก คงเพราะรังเกียจที่บ้านเราซอมซ่อ ไม่ยินดีเข้ามา” 


 


 


สิ้นเสียงนาง เมิ่งชื่อรีบเดินออกไปข้างนอก เห็นเด็กชายที่อายุไล่เลี่ยกับบุตรสาวตัวเองยืนอยู่ด้านนอก พูดขึ้นอย่างมีมิตรไมตรีทันที “คุณชายน้อยซุนใช่ไหม นั่งรถม้ามานานคงเหนื่อยแย่ รีบเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อน” 


 


 


ซุนซ่านเหรินเป็นครอบครัวมีเงิน คนในบ้านล้วนแต่งกายด้วยผ้าไหมแพรพรรณ แม้แต่สาวใช้ในบ้านก็ใส่เสื้อผ้าไหม ตอนนี้เห็นเมิ่งชื่อแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดมายืนตรงหน้าตัวเอง ซุนเหลียงไฉผงะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ออกห่างจากตัวเมิ่งชื่อ ถึงพูดว่า “บ้านพวกท่านซอมซ่อเกินไป ข้าไม่ยินดีเข้าไป” 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นท่าทีของเขา รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งหมดนี้ โทสะในใจเริ่มคุกรุ่น เปล่งเสียงพูด “ท่านแม่ เมื่อคุณชายน้อยซุนอยากจะอยู่ข้างนอกก็ให้เขาอยู่ข้างนอกเถอะ ท่านไปทำกับข้าวเถอะ” 


 


 


เมิ่งชื่อมองซุนเหลียงไฉแวบหนึ่ง หันหลังเดินไปที่ครัว เริ่มลงมือทำกับข้าว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งอี้เซวียนอีก “อี้เซวียน วันนี้อาจารย์ให้การบ้านหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “รีบไปทำการบ้าน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกำลังคิดจะพูดว่าการบ้านที่อาจารย์ให้ทำเสร็จแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังมองซุนเหลียงไฉอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งสติได้ รับคำแล้วเดินเข้าลานบ้านไปอย่างหน้าตาชื่นบาน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองซุนเหลียงไฉที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์แวบหนึ่ง หันหลังเดินเข้าบ้าน 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นพวกเขาไปหมดแล้ว ถอนใจยาวโล่งอก ผ่อนคลายลง ยืนอยู่ด้านนอกแสร้งทำเป็นชมนกชมไม้ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองสะพายกระเป๋านักเรียนออกไปโอ้อวดอีกครั้ง กลับมาเห็นเด็กชายไม่รู้จักยืนหน้าบ้านตัวเอง เอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นใคร?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นพวกเขาสะพายกระเป๋านักเรียน ดวงตาเปล่งประกาย ไม่ตอบกลับ จ้องมองกระเป๋านักเรียนของพวกเขาอยากได้จนน้ำลายหก 


 


 


เมิ่งเจี๋ยถอยหลังอย่างระแวดระวังหนึ่งก้าว พูดทันควัน “เมิ่งชิง เขาจะแย่งกระเป๋านักเรียนของพวกเรา รีบหนี!” พูดจบ สาวเท้าวิ่งกระจิริดวิ่งปรู๊ดเข้าบ้าน เมิ่งชิงวิ่งตามหลังไปติดๆ 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองวิ่งพ้นประตูเข้ามา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบพูด “ท่านพี่ คนข้างนอกคิดจะแย่งกระเป๋านักเรียนของพวกเรา!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกเขาพูดถึงซุนเหลียงไฉ ลูบหัวพวกเขา ยิ้มพูด “เขาไม่แย่งของของพวกเจ้าดอก เขาชื่อซุนเหลียงไฉ ต่อไปทุกเย็นเขาจะมาบ้านพวกเรา พวกเจ้าต้องเรียกเขาว่าพี่ซุน” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาต้องมาบ้านพวกเรา เขาไม่มีบ้านหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “พี่ซุนเป็นเด็กซุกซน คนในครอบครัวสั่งสอนไม่ไหว จึงมาให้พี่ช่วยอบรมสอนสั่ง” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ ไม่ถามต่ออีก เอากระเป๋านักเรียนเข้าไปเก็บในห้องพร้อมเมิ่งชิง แล้ววิ่งเริงร่ามาเล่นแมลงปอไม้ไผ่ที่ลานบ้าน 


 


 


ซุนเหลียงไฉมองจากด้านนอกเห็นพวกเขาเล่นของเล่นแปลกใหม่ชนิดหนึ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน อิจฉาตาร้อน เท้าเริ่มสั่นไหว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นทั้งหมด 


 


 


เมิ่งชื่อทำอาหารค่ำเสร็จ ร้องเรียกทุกคนมากินข้าว 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาจากโรงงาน ไม่เห็นซุนเหลียงไฉ ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “คุณชายน้อยซุนไม่ได้มาหรือ?” 


 


 


เมิ่งชื่อชี้ซุนเหลียงไฉที่นั่งยองอยู่ข้างนอกพูดว่า “ยังอยู่ข้างนอก พูดอย่างไรก็ไม่ยอมเข้ามา” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินไปตรงหน้าซุนเหลียงไฉ พูดอย่างสุภาพ “คุณชายน้อยซุน อาหารทำเสร็จแล้ว เข้าไปกินข้าวเถอะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉมองเขา เบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยืนเก้อกังอยู่ตรงนั้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวของขึ้นแล้ว เดินมาตรงหน้าซุนเหลียงไฉพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าจะให้ทางเลือกเจ้า หนึ่งเข้าไปกินข้าวแต่โดยดี สองยืนอยู่ตรงนี้ไปถึงพรุ่งนี้เช้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงมองท้องฟ้ามืดสนิท คิดว่าถ้าตัวเองอยู่ข้างนอกทั้งคืนได้ตกใจตาย ถึงยอมเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่เต็มใจ 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นเขาเข้ามา ตักโจ๊กถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเขาอย่างดีใจ พูดว่า “คุณชายน้อยซุนมาวันแรก ไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินอะไร ข้าผัดผักสี่อย่าง เจ้าอย่าได้รังเกียจ รีบกินตอนร้อนเถอะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉมองดูโจ๊กตรงหน้า แล้วมองอาหารทั้งหมดบนโต๊ะ ย่นหัวคิ้ว พูดอย่างไม่ไว้หน้า “อาหารเช่นนี้ ยังสู้อาหารของสาวใช้บ้านพวกเราไม่ได้ พวกเจ้ายังจะให้ข้ากิน ข้าไม่กิน” 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อแข็งค้าง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งเดือดดาล พูดเสียงแข็ง “ไม่กินก็ไสหัวไป” 


 


 


ซุนเหลียงไฉสะดุ้งตกใจ เบะปาก น้ำใสๆ ในตาจะไหลลงมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาด “ห้ามร้อง!” 


 


 


ซุนเหลียงไฉสูดกลับคืน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหมองเขาแวบหนึ่ง ถามขึ้น “จะกินไม่กิน?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่กล้าพูด ส่ายหน้าเต็มแรง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยกถ้วยโจ๊กตรงหน้าเขาออก พูดว่า “ไม่กินก็ถอยออกไป ครอบครัวพวกเรายังต้องกินข้าว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉลนลานลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาด “ใครให้เจ้าออกไป ไม่กินก็นั่งมองอยู่ในบ้าน” 


 


 


ซุนเหลียงไฉหันหลังกลับอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ยืนที่หน้าประตู 


 


 


เมิ่งชื่อรีบพูดเตือน “โยวเอ๋อร์ คุณชายน้อยซุนยังเด็ก เพิ่งมาบ้านพวกเรายังไม่คุ้นชิน เจ้าอย่าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เขาไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน พวกท่านใครก็ห้ามยุ่ง” 


 


 


ตอนนี้คนในครอบครัวต่างรู้นิสัยเมิ่งเชี่ยนโยวหมดแล้ว รู้ว่านางพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีใครกล้าโน้มน้าวอีก เริ่มลงมือกินเงียบๆ 


 


 


เพื่อต้อนรับซุนเหลียงไฉ เมิ่งชื่อตั้งใจทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกหนึ่งจาน คนในครอบครัวก็ไม่ได้กินนานแล้ว เห็นซุนเหลียงไฉไม่กิน ต่างคีบมาใส่ถ้วยตัวเองคนละนิดละหน่อย กินอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะเมิ่งชิง ตั้งแต่มาที่นี่ เพิ่งได้กินแค่ครั้งเดียว คิดถึงมาตลอด เห็นบนโต๊ะมีอาหารจานนี้ ตะเกียบคีบไม่ขาดมือ กินอย่างเอร็ดอร่อย 


 


 


เมื่อครู่ซุนเหลียงไฉมองผ่านๆ แวบเดียว ไม่ได้ดูถี่ถ้วนว่าบนโต๊ะมีอาหารอะไร เห็นพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย จึงตั้งใจเพ่งมอง ถึงพบว่าบนโต๊ะมีมันฝรั่งเส้นผัดพริกที่จะมีเฉพาะที่เหลาจวี้เสียนอยู่ด้วย อยากกินกลืนน้ำลายไปหลายอึก ดวงตาจ้องอาหารจานนั้นเขม็ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็น กินอาหารของตัวเองต่อ 


 


 


เมิ่งชื่อทำใจไม่ได้ พูดขึ้นเสียงเบา “โยวเอ๋อร์ ให้คุณชายน้อยซุนเข้ามากินข้าวเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน “ไม่ได้ เมื่อรังเกียจอาหารของพวกเราก็ไม่ต้องกิน” 


 


 


เมิ่งชื่อจนปัญญา นำถ้วยเล็กมา คิดจะแบ่งอาหารจำนวนหนึ่งออกมา เมื่อไหรที่ซุนเหลียงไฉอยากกินจะได้อุ่นร้อนให้เขา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง จงใจพูด “ข้าบอกพวกท่านว่าอย่างไร? ถึงเวลากินข้าวก็กิน ถ้าไม่กิน ก็ต้องหิวไปจนมื้อต่อไปถึงจะได้กิน ใครก็ห้ามแบ่งอาหารไว้” 


 


 


ได้ยินคำนี้ ซุนเหลียงไฉก็มีน้ำโหแล้ว แค่นเสียงหึ พูดว่า “ไม่กินก็ไม่กิน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไม่กินข้าวมื้อหนึ่งไม่ถึงตายหรอก” พูดจบ ปั้นปึ่งกลับไปด้วยความโมโห หันหลังให้พวกเขา 


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมาจากด้านหลัง “คุณชายน้อยซุนช่วยจำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดี หากตกกลางคืนข้าเห็นใครตื่นมาลักขโมยกิน ข้าจะจับไปแขวนใต้ต้นไม้แล้วตี” 


 


 


ร่างกายซุนเหลียงไฉเทิ้มสั่น กลับพูดงึมงำเสียงเบาอย่างไม่ยอม “ข้าไม่เคยกระทำเรื่องเช่นนั้น คิดจะจับจุดอ่อนข้า ฉวยโอกาสสั่งสอนข้า ฝันไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ มันฝรั่งเส้นผัดพริกที่ท่านแม่ทำวันนี้อร่อยจริงๆ พวกเจ้ากินเยอะๆ” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าดีใจ คีบเพิ่มมาใส่ถ้วยตัวเองเพิ่ม 

 

 

 


ตอนที่ 143.3

 

ซุนเหลียงไฉพังทลาย

 


 


 


 


วันนี้ไม่มีคนไปโรงเรียนส่งอาหารให้ซุนเหลียงไฉ เป็นเมิ่งอี้เซวียนที่ซื้ออาหารหนึ่งชุดวางตรงหน้าเขา ซุนเหลียงไฉที่รังเกียจอาหารโรงเรียนมาแต่ไหนแต่ไร ย่อมกินไม่ได้มาก ตอนนี้ได้ยินคนทั้งครอบครัวกินอย่างเอร็ดอร่อย พลันรู้สึกหิวขึ้นมา กลับไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีโอนอ่อน จำต้องแสร้งทระนงแข็งขืนไว้ 


 


 


ทั้งครอบครัวกินอย่างอิ่มหนำ เมิ่งชื่อไปเก็บล้าง เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งอี้เซวียน “ทำการบ้านเสร็จหรือยัง?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ไปดูคุณชายน้อยซุนทำเถอะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ยินดีแล้ว โก่งคอพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าไม่เคยทำการบ้านมาก่อน ท่านปู่ข้าบอกแล้ว ส่งข้าไปโรงเรียนเพื่อให้ข้ารู้ตัวหนังสือมากขึ้น ไม่ใช่ให้ข้าไปสอบซิ่วไฉ ข้าเพียงแค่จำอักษรที่อาจารย์สอนได้ก็พอแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา พูดอย่างเย็นเยียบ “นั่นเป็นวิธีการสอนของปู่เจ้า เมื่อปู่เจ้ามอบเจ้าให้ข้าสอนสั่ง ก็ต้องทำตามวิธีการสอนของข้า หากวันนี้เจ้าไม่ทำการบ้านที่อาจารย์ให้เสร็จ เจ้าอย่าหวังจะได้นอน” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ยอม พูดว่า “ข้าไม่ทำการบ้าน เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ถ้าเจ้ากล้าตีข้า พรุ่งนี้ข้าจะให้บิดาของเพื่อนร่วมห้องไปแจ้งข่าวท่านปู่ ว่าเจ้าทารุณข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ไปเอาท่อนไม้ที่ข้าเตรียมไว้แล้วมา” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินออกไป ไม่นานก็ถือท่อนไม้เดินเข้ามาอย่างเริงร่า ส่งให้นาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือท่อนไม้เคาะไปกับมือ 


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจพูดโพล่ง “นังตัวดี ถ้าเจ้ากล้าตีข้า ข้าจะ…” 


 


 


พูดไม่ทันจบ ท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟาดไปที่ก้นเขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉเอามือจับก้นเจ็บจนร้องลั่น “เจ็บจะตายแล้ว!” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าตีซุนเหลียงไฉตกใจตัวลอย คิดจะเข้าไปห้ามปราบ ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้ง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้หนักเบา เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องยุ่ง” 


 


 


ทั้งสองมองซุนเหลียงไฉอย่างเห็นใจ ไม่พูดอะไรอีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้เสียงร้องโหยหวยของซุนเหลียงไฉเบาลง ถึงหยั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือพูดกับเขา “ไม้นี้เป็นการสั่งสอนที่เจ้าไร้มารยาท ไม่เพียงเห็นบิดามารดาข้าแล้วไม่ทักทาย ยังกล้าเรียกข้าว่านังตัวดี หากต่อไปเจ้ากล้าเรียกข้าเช่นนี้อีก ข้าได้ยินหนึ่งครั้งก็ตีเจ้าหนึ่งครั้ง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉกุมก้นที่เจ็บแสบไม่กล้าปริปาก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งท่อนไม้ในมือพูดกับซุนเหลียงไฉ “รีบไปทำการบ้านที่อาจารย์ให้ ทำเสร็จเมื่อไหร่ ก็ได้นอนเมื่อนั้น ข้าเสร็จธุระแล้ว จะไปตรวจ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเบะปาก น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูด “ร้องไห้สำหรับข้าไม่มีประโยชน์ เจ้ายิ่งร้องข้าก็ยิ่งอยากอัดเจ้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจเก็บกลืนน้ำตา เดินตามเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปในห้องนอนของพวกเขาแต่โดยดี 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนช่วยเขาเอาหนังสือออกมา เปิดวางตรงหน้าเขา พูดขู่ “เจ้ารีบทำการบ้านเถอะ โยวเอ๋อร์เป็นคนพูดจริงทำจริง มีครั้งหนึ่งข้าห่วงเล่นไม่ทำการบ้าน ถูกนางตีสามวันยังลุกจากที่นอนไม่ได้” 


 


 


ซุนเหลียงไฉยิ่งหวาดผวา รีบพลิกหน้าหนังสืออ่านท่อง เมิ่งอี้เซวียนเห็นท่าทางเชื่อฟังของเขา แอบปิดปากขบขันข้างๆ ซุนเหลียงไฉอยากจะตั้งใจอ่านหนังสือจริงๆ จนใจที่เวลาปกติไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอน ไม่รู้เลยว่าในหนังสือเขียนว่าอะไรบ้าง บวกกับความหิว ไม่นานก็ทนไม่ไหว โมโหเขวี้ยงหนังสือไปที่พื้น ตกใส่ขาเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามาพอดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นท่อนไม้ในมือนาง เอามือปิดก้นตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ปากพูดพร่ำ “ไม่ใช่ข้าไม่อยากท่อง ข้าอ่านไม่ออกว่าในนั้นเขียนว่าอะไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ก้มลงเก็บหนังสือ ส่งให้เมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “เจ้าสอนเขาทีละประโยค” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ปิดหนังสือ เลียนแบบท่าทางส่ายหัวไปมาของอาจารย์สอนซุนเหลียงไฉทีละตัวอักษร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือท่อนไม้นั่งบนเก้าอี้อีกด้าน 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นนางอยู่อีกด้าน กลืนน้ำลาย อ่านตามเมิ่งอี้เซวียนทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ 


 


 


อ่านจบหนึ่งรอบ เมิ่งอี้เซวียนถาม “จำได้หรือยัง?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉส่ายหน้า 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนสอนเขาอีกรอบ ซุนเหลียงไฉยังคงจำไม่ได้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น หยั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือ 


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ วิ่งหนีไปหลายก้าว พูดอย่างขวัญผวา “เจ้าอย่าตีข้า! ข้าใกล้จะจำได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ กวักมือเรียกเขา พูดว่า “ให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากเจ้ายังจำไม่ได้ คืนนี้ก็ไม่ต้องนอน” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพยักหน้า เดินเข้ามาอย่างระวัง มองท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระแวดระวัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาวาดกลัวจริงๆ จึงวางท่อนไม้ในมือลงบนโต๊ะ หลับตาคิดเรื่องราว 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นนางวางท่อนไม้ลง ถอนใจโล่งอก ตั้งใจอ่านท่องตามเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


ถึงเวลาครึ่งชั่วยาม เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น เมิ่งอี้เซวียนก็สอนประโยคสุดท้ายเสร็จพอดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบท่อนไม้ข้างๆ ขึ้น ให้เมิ่งอี้เซวียนช่วยนางเปิดหน้าที่พวกเขาเพิ่งท่องไป ส่งสัญญาณให้ซุนเหลียงไฉท่องให้ฟัง 


 


 


ซุนเหลียงไฉตื่นเต้น ประโยคแรกก็ท่องผิด ท่อนไม้ของเมิ่งเชี่ยนโยวตกลงบนแขนเขาทันใด 


 


 


ซุนเหลียงไฉเจ็บปวดร้องลั่น ดีดตัวลุกจากเก้าอี้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง 


 


 


ซุนเหลียงไฉเก็บกลืนเสียงร้องนั้น กลับไปนั่งบนเก้าอี้แต่โดยดี เริ่มท่องอีกครั้งอย่างระวัง 


 


 


ดวงตาเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องหนังสือกลอน ทุกครั้งที่พบว่าเขาท่องผิด ท่อนไม้ในมือจะเข้าไปทักทายร่างกายในจุดต่างๆ อย่างแม่นยำ 


 


 


ภายในห้องมีเสียงร้องเวทนาของซุนเหลียงไฉดังออกมาเป็นระยะ 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินเสียงนี้ ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างเป็นห่วง “พ่อเอ๊ย เจ้าว่าโยวเอ๋อร์ลงมือกับคุณชายน้อยซุนหนักเช่นนี้ หากซุนซ่านเหรินรู้เรื่องจะตำหนิโทษนางหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้าพูด “ไม่ดอก ซุนซ่านเหรินพูดว่าขอเพียงโยวเอ๋อร์สอนสั่งคุณชายน้อยซุนได้ดี จะตีจะด่าว่าก็ได้ ดูแล้วซุนซ่านเหรินไม่ใช่คนที่จะพูดอย่างทำอย่าง ไม่มีทางตำหนิโทษโยวเอ๋อร์เป็นแน่” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินก็เบาใจ พูดว่า “งั้นก็ดี” 


 


 


เสียงร้องเวทนาของซุนเหลียงไฉดังแว่วออกมาไม่ขาด เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจริงๆ แล้ว ตกใจจนไม่กล้าเข้าบ้าน 


 


 


ผ่านไประยะหนึ่ง เสียงเวทนาของซุนเหลียงไฉไม่มีแล้ว คนทั้งหมดก็โล่งอกตามไปด้วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงสี่คนรวมกันยืนข้างประตู ถามอย่างขบขัน “ทุกคนเป็นอะไรไป?” 


 


 


เมิ่งฉีตอบกุกๆ กักๆ “ไม่ ไม่เป็นอะไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ยิ้มพูด “ดึกมากแล้ว พวกท่านไม่มีธุระอะไรแล้วก็รีบเข้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องตื่นมาฝึกวรยุทธ์แต่เช้าอีก” 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ รีบกลับเข้าห้อง 


 


 


เมิ่งชื่อหอบเครื่องนอนชุดใหม่เดินมาที่ห้องนอนพวกเขา ส่งยิ้มพูดกับซุนเหลียงไฉ “คุณชายน้อยซุน หมอนผ้าห่มนี้เป็นของใหม่ เจ้าถูไถใช้ไปก่อนนะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นว่าเป็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด บ่นพึมพำไม่พอใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือยิ้มถาม “เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าฟังไม่ถนัด ลองพูดอีกครั้งสิ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกตีจนตัวสั่นแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถาม ลนลานตอบ “ข้าบอกหมอนผ้าห่มนี้ดีมาก เห็นแล้วน่าจะอบอุ่นมาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดอย่างมีนัยแฝง “เมื่ออบอุ่นก็รีบเข้านอน ตกกลางคืนอย่าเที่ยวเพ่นพ่าน พรุ่งนี้ให้ตื่นต้นยามเหม่า[1]” 


 


 


ซุนเหลียงไฉร้องโอดโอย ถามอย่างไม่พอใจ “เหตุใดต้องตื่นเช้าเช่นนั้น ข้าอยู่บ้านตื่นปลายยามเฉิน[2]” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา กลับบ้านกลางไปพร้อมเมิ่งชื่อ 


 


 


เมิ่งเสียนบอกเขาอย่างหวังดี “ทุกวันพวกเราทั้งหมดจะตื่นนอนเวลานี้” 


 


 


ซุนเหลียงไฉร้องโอดโอยอีกครั้ง ไม่มีเวลาเดียดฉันท์ ทิ้งหน้าลงไปบนผ้าห่มเต็มแรง กลับไม่ระวังถูกจุดที่เพิ่งถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตีมา ร้องโอดครวญอีกระลอก 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ มองเขาอย่างเห็นใจ 


 


 


เมิ่งฉีเตือนเขา “เจ้าจงเชื่อฟังน้องสาวแต่โดยดีเถอะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องถูกตีทุกวัน” 


 


 


เสียงเบื่อหน่ายของซุนเหลียงไฉดังลอยมา “พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่างตุนส่งข่าวแจ้งท่านปู่ข้า บอกว่าข้าถูกตีเจียนตายแล้ว ดูว่าเขาจะปวดใจหรือไม่” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างสะใจในความทุกข์ของผู้อื่น “ข้าว่าเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย หากโยวเอ๋อร์รู้เข้า ครั้งหน้านางไม่ตีเจ้าเบามือเช่นนี้แน่” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพรวดพราดลุกขึ้นยืน ถลกแขนเสื้อขึ้น ชี้รอยแดงที่แขนพูดอย่างมีน้ำโห “พวกเจ้าดู ตั้งนานแล้วยังแดงอยู่เลย นี่เรียกว่าเบามือเรอะ” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าพูด “เบามากแล้วจริงๆ พรุ่งนี้เช้าก็จะหายไป เจ้าไม่รู้หรอก นางเคยจับคนไปแขวนใต้ต้นไม้หลายชั่วยามด้วย” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจชะงักงัน ครู่หนึ่งถึงถามอย่างยากลำบาก “นางกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ?” 


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกัน 


 


 


ซุนเหลียงไฉถลันขึ้นเตียงเตา ปูที่หลับที่นอนของตัวเอง ถอดชุดฉางเผ่าออกแล้วมุดตัวไปด้านใน พูดกับคนทั้งหมด “ข้านอนก่อนล่ะ หากพรุ่งนี้เช้าข้าไม่ตื่น พวกเจ้าจักต้องปลุกข้านะ” 


 


 


คนทั้งหมดกลั้นขำพยักหน้า 


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงหลับตานอน 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ แยกย้ายกันปูที่นอนของตัวเอง ล้มตัวลงนอน 


 


 


กลางดึกซุนเหลียงไฉตื่นขึ้นเพราะความหิว คิดจะลุกออกไปหาอะไรกิน แต่ก็นึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก่อนนอน จึงไม่กล้าลุกขึ้น ฝืนทนหิวหลับไปอีกครั้ง ตอนที่สะลึมสะลือรู้สึกเหมือนมีคนร้องเรียก นึกว่ายังอยู่ที่บ้าน พูดอย่างหงุดหงิด “ไม่เห็นหรือไงว่าข้ายังไม่ตื่น? ยังกล้ามาร้องเรียกข้า ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหม?” 


 


 


ได้ยินคำพูดเขา เสียงร้องเรียกหยุดลง 


 


 


ซุนเหลียงไฉขดตัวห่อผ้าห่มเข้ามา เตรียมจะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ เสียงเมิ่งเสียนก็ดังขึ้นอีก “ยามเหม่าแล้ว พวกเราต่างตื่นแล้ว หากเจ้ายังไม่ตื่น จะถูกโยวเอ๋อร์ลงโทษได้” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพลันได้สติ ตาลีตาเหลือกลุกขึ้น พอเห็นว่าในห้องเหลือแค่ตัวเองกับเมิ่งเสียน ตกใจจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ด้านหนึ่งรีบใส่ชุดฉางเผ่า ด้านหนึ่งถามเมิ่งเสียนอย่างขลาดกลัว “พวกเจ้าตื่นกันนานแล้วใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งเสียนตอบ “พวกเราก็เพิ่งตื่น” 


 


 


ซุนเหลียงไฉวางใจลง แต่งตัวเสร็จ ไม่ทันได้พับผ้าห่มก็เดินออกไป รุ่งอรุณต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเหน็บ เพิ่งก้าวพ้นประตูมา ซุนเหลียงไฉก็หนาวจนตัวสั่นระริก รีบกลับเข้าไปในห้อง หยิบเสื้อผ้าของตัวเอง คิดจะใส่ฉางเผ่าเพิ่มอีกตัว 


 


 


เมิ่งเสียนเตือนเขา “ไม่ต้องใส่มาก อีกประเดี๋ยวร่างกายก็อบอุ่นแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉใส่ฉางเผ่าไปพลางพูด “นี่เป็นเวลาต้นยามเหม่า กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นยังอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง” 


 


 


เมิ่งเสียนอธิบายไม่ถูก ส่ายหน้าอย่างจนใจ 


 


 


ตอนที่ทั้งสองมาถึงหน้าท่อนไม้ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังนำทุกคนยืนเส้นยืดสาย เมิ่งเสียนรีบเข้าร่วมกับพวกเขา ซุนเหลียงไฉทำไม้ทำมืออยู่ด้านหลังเขา 


 


 


เมื่อยืดเส้นยืดสายเสร็จ เมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนยังคงมัดถุงกระสอบเดินวนบนท่อนไม้อย่างว่องไวห้ารอบเหมือนเดิม 


 


 


ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวนำเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งรอบท่อนไม้ด้านล่าง 


 


 


เห็นซุนเหลียงไฉแต่งตัวหนาเตอะ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ถอดฉางเผ่าตัวนอกของเจ้าออก” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังเมิ่งเชี่ยนโยว จำต้องถอดฉางเผ่าตัวนอกออกอย่างไม่เต็มใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา “เจ้าวิ่งตามพวกเราข้างล่างนี้พร้อมกัน วันนี้เป็นวันแรกของเจ้า เจ้าวิ่งเหมือนกับพวกเจี๋ยเอ๋อร์สิบรอบก่อน” พูดจบก็ออกตัววิ่งนำไปด้านหน้า เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงวิ่งตามหลังไปอย่างคึกคัก 


 


 


เริ่มแรกซุนเหลียงไฉยังพอวิ่งตามพวกเขาได้ทัน แล้วก็ค่อยๆ ช้าลง จนกระทั่งห้ารอบผ่านไปแทบจะเรียกได้ว่าเดินช้าแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขา “วิ่ง!” 


 


 


ซุนเหลียงไฉลากสังขารอ้วนอืดของตัวเอง วิ่งอย่างเหนื่อยหอบอีกสองก้าว ก็ช้าลงอีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “วิ่งไม่ครบสิบรอบไม่ได้กินข้าวเช้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดหอบอย่างไม่พอใจ “เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้กินข้าว ตอนนี้หิวใกล้จะตายแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งไปพูดไป “สมน้ำหน้า เจ้าอยากรังเกียจอาหารของพวกเราเอง” พูดจบ หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “รีบวิ่งเถอะ วิ่งเสร็จแล้วพักครู่หนึ่งพวกเจ้าก็ไปกินข้าวเช้า ท่านแม่บอกว่าวันนี้เช้าจะต้มไข่ให้พวกเจ้าคนละฟอง” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองโห่ร้องดีใจ วิ่งเร็วกว่าเดิม ตอนวิ่งผ่านซุนเหลียงไฉยังทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉวิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ นั่งแหมะไปกับพื้น หายใจหอบพูดว่า “ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าวิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว เดินไปข้างๆ เขา พูดเอ็ด “รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” 


 


 


ซุนเหลียงไฉนั่งแช่ไม่ยอมขยับ พูดว่า “ไม่ลุก ตีให้ตายข้าก็ไม่ลุก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกน “เจี๋ยเอ๋อร์ ไปเอาท่อนไม้ในห้องพี่มาหน่อย” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยรับคำ วิ่งกระฉับกระเฉงไปเอาท่อนไม้มา 


 


 


ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เมื่อคืนเจ้าตีข้าจนตอนนี้ยังเจ็บอยู่เลย เจ้าจะตีข้าอีกไม่ได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนเดินห้ารอบบนท่อนไม้เสร็จก่อนใคร กระโดดลงมาจากท่อนไม้ที่เตี้ยที่สุด พูดกับซุนเหลียงไฉด้วยเสียงอ่อนโยน “ใกล้จะวิ่งครบสิบรอบแล้ว อดทนอีกนิดเถอะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดว่า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานบ่ายจนถึงตอนนี้ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ขาอ่อนไปหมดแล้ว จะวิ่งยังไงไหว” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยถือท่อนไม้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรับไว้ ชั่งน้ำหนักในมือ หรี่ตาลงลากเสียงยาวถาม “งั้น…หรือ…?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจจนขนหัวลุกชัน ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน วิ่งปรู๊ดออกไปไกล วิ่งไปก็พูดอย่างเคืองขุ่นไป “นังตัวดี คิดจะตีข้าอีกแล้ว วันนี้ข้าจะให้คนไปบอกท่านปู่ บอกว่าเจ้าทารุณกรรมข้า” 

 

 

 


ตอนที่ 144.1

 

การแก้แค้นของผู้ใหญ่บ้าน

 


 


 


 


ได้ยินคำพูดเขา เมิ่งเสียนและคนอื่นตกใจหลบห่างออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือท่อนไม้ไม่กี่ก้าวก็ตามซุนเหลียงไฉทัน ถามเสียงเย็น “คำพูดข้าเมื่อวาน เจ้าลืมไปหมดแล้ว?” 


 


 


หลังจากที่ซุนเหลียงไฉพลั้งปากพูดคำเหล่านั้นออกมา ถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวตามมา ตกใจบิดร่างอวบอ้วนไปมาพยายามวิ่งสุดชีวิต 


 


 


ท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวปะทะเข้ากลางหลังเขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉร้องโหยหวน ด้านหนึ่งวิ่ง ด้านหนึ่งใช้มือลูบคลำแผ่นหลังบริเวณที่ถูกตี เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนที่อยู่บนท่อนไม้เห็นท่าทางชวนขบขันของเขา หัวร่อจนเกือบตกจากท่อนไม้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองพวกเขาแวบหนึ่ง 


 


 


ทั้งสองคนตกใจรีบเก็บคืนอาการ เดินเร็วบนท่อนไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งไกวท่อนไม้ในมือคอยวิ่งข้างๆ ซุนเหลียงไฉ 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่กล้าพูดอะไรแล้ว กัดฟันวิ่งขึ้นหน้าอย่างเหนื่อยยาก 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งครบสิบรอบแล้ว คอยปรบมือให้กำลังใจด้านข้าง 


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนที่เพิ่งลงมาจากท่อนไม้ปลดถุงทรายที่เท้าออก ยืดเส้นยืดสายอีกเล็กน้อย เริ่มฝึกท่ามือคว้าจับ 


 


 


ซุนเหลียงไฉเหนื่อยจนมึน ไม่รู้เลยว่าตัวเองวิ่งไปกี่รอบแล้ว ได้แต่ก้าวขาเฉื่อยชาทีละนิดราวกับหุ่นยนต์ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเขา คอยวิ่งอยู่ข้างๆ เขา 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ ฝึกศิลปะคว้าจับเสร็จแล้ว ตอนที่เตรียมตัวจะไปกินข้าว ซุนเหลียงไฉยังคงวิ่งอย่างไร้สติ 


 


 


คนทั้งหมดมองหน้ากัน เดินมาข้างๆ เขา พูดให้กำลังใจ “ซุนเหลียงไฉ สู้ๆ ใกล้จะวิ่งเสร็จแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉวิ่งโยกไปย้ายมาจนครบรอบสุดท้าย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดวิ่ง พูดว่า “สิบรอบแล้ว เจ้าหยุดวิ่งได้แล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินคำพูดนาง ขาอ่อนระทวย นั่งก้นจ้ำเป้าไปกับพื้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านประคองเขาเดินช้าอีกรอบ” 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบเดินขึ้นหน้า ช่วยกันออกแรงประคองซุนเหลียงไฉขึ้น ลากเขาเดินช้าๆ อีกหนึ่งรอบ 


 


 


ซุนเหลียงไฉแม้จะไม่ยินดี แต่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแล้ว ปากเอาแต่พูดไม่หยุด “เจ้าพูดจาเชื่อไม่ได้ บอกว่าวิ่งสิบรอบ เจ้ากลับให้ข้าเดินเพิ่มอีกรอบ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งเสียนพูดกับเขาเสียงเบา “เจ้าเพิ่งจะออกกำลังเสร็จ การหยุดกะทันหันไม่ดีต่อร่างกาย น้องสาวให้พวกเราประคองเจ้าเดินหนึ่งรอบ เพื่อร่างกายของเจ้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดกับเขาอย่างไม่เชื่อ บ่นงึมงำเสียงเบา “ดีกับข้าอะไรกัน นางเห็นข้าแล้วขัดหูขัดตา ฉวยโอกาสนี้ทารุณข้า” 


 


 


เมิ่งชื่อทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว มาร้องเรียกคนทั้งหมดไปกินข้าว 


 


 


คนทั้งหมดขานรับ หลังจากกลับมาชำระล้างในลานบ้านเสร็จ ก็เข้าไปกินข้าวในครัว 


 


 


ซุนเหลียงไฉที่วิ่งจนเหงื่อโทรมกาย เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว คิดจะเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดแห้ง พอเข้ามาในห้อง เห็นผ้าห่มหนานุ่ม ทิ้งหัวเข้าใส่ ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีก 


 


 


เมิ่งชื่อตักข้าว คนทั้งหมดนั่งรอบโต๊ะรอซุนเหลียงไฉมากินข้าว รอได้ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นเขามา เมิ่งเสียนลุกขึ้น เดินกลับเข้าไปดูในห้อง ซุนเหลียงไฉเหนื่อยฟุบหลับไปบนเตียงเตาแล้ว เมิ่งเสียนห่มผ้าให้เขาอย่างทะนุถนอม เดินกลับมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวในครัว “น้องสาว ซุนเหลียงไฉนอนหลับไปแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “พวกเรากินข้าวเถอะ” 


 


 


เมิ่งชื่อรีบร้อนถาม “แล้วคุณชายน้อยซุนเล่า จะไม่ให้เขากินข้าวอีกหรือ? เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้กิน คงหิวแย่แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ ให้เขานอนก่อน ตอนที่พวกเราจะส่งเขาไปโรงเรียนค่อยปลุกเขา แบ่งไข่ไก่และหมั่นโถวสองลูกให้เขาไปกินระหว่างทาง” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า นำไข่ไก่หนึ่งใบและหมั่นโถวสองลูกวางกลับเข้าไปในหม้อ ปิดฝาหม้อ กลับไปนั่งกินข้าวข้างโต๊ะถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “โยวเอ๋อร์ คุณชายน้อยซุนใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อสุขสบายมาจนชิน อยู่ๆ เจ้าก็ให้เขาออกกำลังกายมากมาย ร่างกายเขาจะรับไหวหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าทำอะไรอยู่ เขาไม่มีปัญหา อีกสองวันก็ปรับตัวได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อวางใจลง พูดว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว อย่าได้ทำจนคุณชายน้อยซุนเหนื่อยจนล้มป่วยเด็ดขาด ถึงตอนนั้นจะตอบซุนซ่านเหรินไม่ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ “ข้าทราบ” 


 


 


ทั้งครอบครัวกินอาหารเช้าเสร็จ เก็บกวาดครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า ส่งสัญญาณให้เมิ่งเสียนไปเรียกซุนเหลียงไฉตื่น 


 


 


เมิ่งเสียนกลับเข้าห้อง เขย่าปลุกซุนเหลียงไฉให้ตื่นเบาๆ 


 


 


ซุนเหลียงไฉลืมตาขึ้นช้าๆ สะลึมสะลือมองเขา 


 


 


เมิ่งเสียนพูดเสียงแผ่ว “พวกเราต้องไปโรงเรียนแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉผลุนผลันได้สติ ลุกขึ้นยืนแล้วถาม “ยามใดแล้ว?” 


 


 


“ต้นยามเฉิน” เมิ่งเสียนตอบ 


 


 


ซุนเหลียงไฉรู้สึกหนาว ถึงนึกได้ว่าตัวเองกลับเข้าห้องมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่รู้ทำไมถึงนอนหลับไป รีบนำเสื้อผ้าที่พกติดตัวมา เปลี่ยนด้วยความเร็วสูงต่อหน้าเมิ่งเสียน พอเปลี่ยนเสร็จ ก็โยนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วมั่วๆ ไปอีกทาง ลุกลนพูด “ไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนมองดูเสื้อผ้าที่เขาโยนสะเปะสะปะและผ้าห่มที่ไม่พับให้เรียบร้อย ขมวดคิ้วมุ่น ออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร 


 


 


ซุนเหลียงไฉก็คิดจะตามออกไป กลับรู้สึกว่าขาตัวเองหนักอึ้งหลายพันจินอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น อยากจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเตาต่อ ไม่ต้องไปโรงเรียน แต่พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตีตัวเองจริงๆ จำต้องฝืนสังขาร ก้าวเท้าออกมานอกประตูอย่างทุลักทุเล 


 


 


เมิ่งเสียนไปเก็บกวาดรถม้าในลานบ้าน เมิ่งชื่อถือของในมือ ยืนข้างประตูเตรียมส่งพวกเขาไปโรงเรียน 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเล่นซุกซนอยู่ในลานบ้าน 


 


 


เห็นซุนเหลียงไฉออกมา เมิ่งชื่อพูดอย่างดีใจ “คุณชายน้อยซุน เจ้าตื่นแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉหิวจนหน้าอกจะติดกับแผ่นหลังแล้ว เห็นเมิ่งชื่อยืนหน้าประตู ถึงระลึกได้ว่าตัวเองพลาดอาหารเช้าไปอีกแล้ว นึกถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าถ้าพลาดเวลากินข้าวก็จะไม่เหลือเก็บให้ ขาก็ก้าวไม่ออกแล้ว เจ็บปวดรวดร้าวใจ ทิ้งก้นนั่งไปกับพื้น ร้องฟูมฟายคร่ำครวญ “พวกเจ้าโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว จงใจไม่เรียกข้าตื่นมากินข้าว ข้าไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อแล้ว ข้าหิวจะตายแล้ว” 


 


 


คนในลานบ้านตกใจสะดุ้ง ต่างตะลึงงัน 


 


 


ซุนเหลียงไฉยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ ร้องไห้เสียงดังขึ้น “การบ้านข้าก็ทำเสร็จแล้ว วิ่งก็วิ่งแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ให้ข้าวข้ากิน? พวกเจ้าจงใจ จงใจจะลงโทษข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ เปล่งเสียงดังพูด “เจ้าร้องไห้เสียงดังเช่นนี้ ดูท่าจะยังมีเรี่ยวแรง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่สนอะไรแล้ว ร้อนใจถูขาทั้งสองข้างไปมากับพื้นแล้วพูด “ข้ามีเรี่ยวแรงที่ไหน แค่ยืนข้ายังยืนไม่ไหวแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อรีบเดินมาตรงหน้าเขา มอบสิ่งของในมือตนเองให้เขา พูดว่า “คุณชายน้อยซุน ไม่ต้องร้อง พวกเราเก็บไข่ไก่และหมั่นโถวไว้ให้เจ้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินหยุดเสียงร้องทันใด รีบรับห่อผ้าในมือเมิ่งชื่อมา เปิดออกอย่างเร็วรี่ เห็นข้างในมีของกินจริงๆ ก็หยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งขึ้น วางเข้าปาก กัดคำโตเต็มปาก 


 


 


เมิ่งชื่อพูดกับเขา “ค่อยๆ กิน เดี๋ยวจะสำลัก” 


 


 


ซุนเหลียงไฉหิวจนตาลายแล้ว ไม่ได้ยินว่าเมิ่งชื่อพูดอะไร ไม่กี่คำก็กินหมั่นโถวลูกหนึ่งหมด 


 


 


เมิ่งฉีรีบเทน้ำยกมาให้ตรงหน้าเขา 


 


 


หมั่นโถวหนึ่งลูกลงท้อง ซุนเหลียงไฉไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด หยิบหมั่นโถวอีกลูกสวาปามอย่างไม่รอรี 


 


 


เมิ่งชื่อยื่นมือไป คิดจะหยิบไข่ไก่ที่เหลือในมือเขามาปอกเปลือก ซุนเหลียงไฉด้านหนึ่งกินหมั่นโถว ด้านหนึ่งกุมไข่ไก่ไว้แน่น มองนางอย่างระแวดระวัง 


 


 


เมิ่งชื่อพูดเสียงอ่อนนุ่ม “ข้าจะช่วยปอกเปลือกไข่ให้เจ้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงคลายมือออก 


 


 


เมิ่งชื่อหยิบไข่ไก่มาช่วยปอกเปลือกให้เขา ซุนเหลียงไฉกินหมั่นโถวลูกที่สองหมดแล้ว หยิบไข่ไก่ที่เมิ่งชื่อปอกเสร็จแล้วใส่เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่กี่คำ ก็กลืนลงไป กลับสำลัก ตกใจทุบหน้าอกตัวเองไม่หยุด 


 


 


เมิ่งฉีรีบยื่นน้ำไปที่ปากเขา พูดว่า “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉรับถ้วยมา ดื่มน้ำหมดในรวดเดียว ถึงได้รู้สึกดีขึ้น 


 


 


เมิ่งเสียนเก็บกวาดรถม้าเสร็จแล้ว บังคับออกมานอกเรือนจอดรอหน้าประตู 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นซุนเหลียงไฉกินเสร็จแล้ว พูดกับเขาว่า “ลุกขึ้น พวกเราต้องไปโรงเรียนแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเป็นคนกินเยอะ อาหารหยิบมือนี้ไม่ทำให้เขาอิ่มท้องได้ ได้ยินดังนั้นยังคงนั่งกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ข้ายังกินไม่อิ่ม” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งโมโหทั้งขำ จำต้องเข้าครัวหยิบหมั่นโถวมาอีกสองลูก พูดกับเขาว่า “ใกล้จะเข้าเรียนสายแล้ว หมั่นโถวสองลูกนี้เจ้าเอาไปกินบนรถม้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นอย่างแคล่วคล่อง ไม่ปัดฝุ่นตามตัว เดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวรับหมั่นโถวในมือนางมากัดคำโตอีกครั้งทันที 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า เดินมาข้างรถม้านอกประตู 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเตรียมตัวยืนรออยู่ข้างรถม้านานแล้ว เห็นพวกเขาออกมาก็หมุดเข้าไปนั่งในห้องโดยสารอย่างรู้ความ 


 


 


ซุนเหลียงไฉจะขึ้นไปบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้ ซุนเหลียงไฉนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้เขาวิ่งตามรถม้า ตกใจจนหมั่นโถวในปากร่วงหล่น พูดอย่างตื่นกลัว “ข้าไม่วิ่งตามม้า ได้เหนื่อยตายพอดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ ชี้เสื้อผ้าเขาแล้วพูด “จัดการเสื้อผ้าเจ้าให้สะอาดก่อนค่อยขึ้นรถม้า” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพอได้ยินว่าไม่ได้ให้ตัวเองวิ่งตามรถม้าไปโรงเรียน ถึงวางใจลง กุลีกุจอปัดฝุ่นตามร่างกายออกจนสะอาด ขึ้นรถม้าอย่างว่องไว และไม่ต้องมีเบาะรองนั่ง หาพื้นที่นั่งเรียบร้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง เผยแววตาแย้มยิ้ม 


 


 


ซุนเหลียงไฉยังคงกินหมั่นโถวที่เหลือในมือตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “อี้เซวียน ของใช้ของซุนเหลียงไฉ เจ้าช่วยเอามาให้แล้วใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า หยิบอุปกรณ์การเรียนของซุนเหลียงไฉที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่ข้างกายตัวเองมอบให้เขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉด้านหนึ่งกินหมั่นโถวอย่างมูมมาม ด้านหนึ่งรับข้าวของของตัวเองมาไว้ข้างกาย 


 


 


กระทั่งเขากินเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวชำเลืองหางตามองเขาแวบหนึ่งพูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไป บ้านพวกเราจะจ้างคนมาเย็บกระเป๋านักเรียนแล้ว หากพวกเจ้ามีผลงานดี อีกสองวันข้าจะให้กระเป๋านักเรียนใหม่กับพวกเจ้าคนละใบ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเบิกตาโพลงอย่างยินดี ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าพูดเป็นความจริง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “ขอเพียงเจ้าตั้งใจเรียนกับอาจารย์ ทำการบ้านที่ได้รับเสร็จ ทุกวันออกวิ่งวันละสิบรอบ ข้าไม่เพียงจะให้กระเป๋านักเรียนใหม่กับเจ้า ตอนค่ำยังจะทำของอร่อยให้เจ้ากินด้วย” 


 


 


อาการดีใจบนใบหน้าซุนเหลียงไฉหดหาย คิดครู่หนึ่งถึงพูด “เจ้าต้องพูดจริงทำจริง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พูดจริงทำจริงแน่นอน” 


 


 


ซุนเหลียงไฉดีใจยกใหญ่ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลอบส่งสายตาให้กัน ยิ้มอย่างรู้ใจ 


 


 


เมื่อวานเมิ่งชื่อได้บอกเรื่องที่ตนเองหาหญิงสาวมาได้จำนวนหนึ่งและตกลงจ่ายค่าจ้างให้พวกนางคนละสามสิบอีแปะต่อวันกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วแนะนำนางว่า ทางที่ดีควรให้ค่าแรงจากกระเป๋าที่ทำเสร็จแต่ละใบ ไม่ใช่ให้ค่าแรงเป็นวัน เพราะแต่ละคนทำงานช้าเร็วไม่เท่ากัน หากให้ค่าแรงเหมือนกัน ผ่านไปนานเข้า คนที่ทำเร็วก็จะเริ่มมีอคติ 


 


 


เมิ่งชื่อครุ่นคิด พยักหน้าเห็นด้วยกับวิธีของนาง วันนี้พอหญิงสาวทั้งหมดมาถึง จึงบอกพวกนางว่า เมื่อวานพอพวกนางกลับไป ตัวเองมาใคร่ครวญดู รู้สึกว่าทุกกระเป๋าหนึ่งใบที่ทำเสร็จเรียบร้อยจ่ายให้ห้าสิบอีแปะจะเหมาะสมกว่า 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดได้ยิน ยิ่งปิติยินดี พวกนางล้วนฝีมือดีทำงานคล่อง หนึ่งวันเย็บกระเป๋าหนึ่งใบไม่มีปัญหาเลย หากกระเป๋าหนึ่งใบจ่ายให้ห้าสิบตำลึง แต่ละวันพวกนางยังจะได้เงินเพิ่มอีกยี่สิบอีแปะ 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นทุกคนเห็นชอบ ก็ยินดีไปด้วย รีบพาทุกคนไปห้องฝั่งตะวันตกหยิบผ้าออกมาจำนวนหนึ่ง ตัดขนาดผ้าที่ต้องใช้สำหรับผลิตกระเป๋านักเรียนหนึ่งใบตามแบบที่เมิ่งเชี่ยนโยววาดเอาไว้ให้ 


 


 


คนทั้งหมดมาถึงห้องฝั่งตะวันตก เห็นพับผ้าต่างๆ นาๆ สารพัดแบบกองรวมแน่นอยู่เต็มห้อง ก็ให้ตื่นตกใจ แอบร้องอุทานในใจ สมกับเป็นคนรวย พับผ้าเต็มห้อง ล้วนแต่เป็นของที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อน 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นท่าทีพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ส่งยิ้มอธิบาย “ของเหล่านี้เมื่อตอนปีใหม่ ลูกค้าที่ติดต่อค้าขายกับโรงงานเป็นคนให้มา โยวเอ๋อร์บอกว่าวางทิ้งไว้ก็รกที่ ไม่เช่นนั้นก็นำมาเย็บเป็นกระเป๋านักเรียน ผ้าเนื้อดีเช่นนี้ กระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จจะต้องขายได้ราคาดี” 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดพยักหน้าเข้าใจ ยกผ้าชนิดต่างๆ ออกมาหลายพับ วางในลานบ้านที่ปูกระดาษไว้แล้ว ตัดผ้าเป็นชิ้นๆ ตามแบบที่เมิ่งชื่อวาด  


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉถึงโรงเรียนแล้ว ก็บังคับรถม้ากลับมา ยังไม่ทันเข้าบ้านก็เห็นหญิงสาวเจ็ดแปดคนกำลังก้มหน้าก้มตาตัดผ้า แย้มยิ้มแล้วเดินเข้าไป 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดทักทายนางอย่างเป็นมิตร มีคนร้องพูด “โยวเอ๋อร์กลับมาแล้ว?” มีบางคนร้องเรียกเลียนแบบคนงาน “นายหญิงกลับมาแล้ว?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับกับทุกคน 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดเห็นนางยิ้มแย้ม ก็ให้รู้สึกโล่งใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของพวกนาง หลุดหัวเราะพูด “ข้าไม่กินคนสักหน่อย มีอะไรต้องหวาดกลัว?” 


 


 


เหล่าหญิงสาวโบกมือเป็นพัลวัน รีบร้อนพูดว่า “ไม่ใช่ๆ พวกเรามิได้กลัวเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาหยอกเย้าพวกเขา “เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร?” 


 


 


เหล่าหญิงสาวนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน 


 


 


เหล่าหญิงสาวหันหน้ามองกัน จากนั้นก็หัวเราะตาม บรรยากาศในลานบ้านเบิกบานครึกครื้น 

 

 

 


ตอนที่ 144.2

 

การแก้แค้นของผู้ใหญ่บ้าน

 


 


 


 


หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในบ้าน หยิบภาพวาดปลายพู่กันจำนวนหนึ่งออกมา มอบให้คนละแผ่น 


 


 


เหล่าหญิงสาวเห็นภาพวาดแปลกพิสดาร ต่างถามว่านี่คือสิ่งใด เหตุใดถึงน่ารักเช่นนี้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เหล่านี้ข้าเห็นจากในฝัน พอตื่นมาก็จำได้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร” 


 


 


ทุกคนต่างรู้ว่าหลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้มตกจากเขา ก็ทำอะไรเป็นหลายอย่าง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ จึงไม่ถามต่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกทุกคนอย่างละเอียด ภาพวาดในมือพวกนางต้องใช้ด้ายสีอะไรบ้าง ให้พวกนางจะต้องจำให้ได้ ห้ามลืมเด็ดขาด 


 


 


เหล่าหญิงสาวพยักหน้า หลังจากจำขึ้นใจแล้วก็พูดทวนกับเมิ่งเชี่ยนโยวอีกรอบ เห็นนางพยักหน้า ถึงวางใจลง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องงานเย็บปักถักร้อยเลย เห็นหญิงสาวทั้งหมดกระตือรืนร้นตั้งใจทำงาน ก็รู้สึกแปลกใหม่ เข้าไปยกเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา นั่งใต้ชายคาบ้าน ด้านหนึ่งดูพวกนางทำงาน ด้านหนึ่งพูดคุยสัพเพเหระ 


 


 


ลานบ้านเกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระลอก 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านและผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาในลานบ้านเห็นบรรดาหญิงสาวตัดผ้าชั้นดีที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกิดความริษยา พูดเหน็บแนมกระแหนะกระแหน “บ้านเอ้ออิ๋นช่างร่ำรวยเสียจริง ผ้าเนื้อดีเช่นนี้ทำใจเอามาตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


เมิ่งชื่อรีบร้อนถาม “อาผู้ใหญ่บ้าน อาสะใภ้ พวกท่านมาได้อย่างไร มีธุระหรือ?” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นนางไม่เชิญตัวเองเข้าไปนั่งในบ้านเหมือนก่อน แต่กลับถามทันที น้ำเสียงยิ่งทวีความเหน็บแนม “ร่ำรวยแล้ว สะใภ้เอ้ออิ๋นพูดจาน้ำเสียงไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่เชิญพวกเราเข้าบ้านก่อนไม่ว่า ยังจะถามว่าพวกเรามีธุระอะไร? พวกเราไม่มีธุระ มาบ้านพวกเจ้าไม่ได้หรือไง?” 


 


 


เมิ่งชื่อรีบปั้นหน้ายิ้มพูด “อาสะใภ้พูดอะไรกัน ข้าตกใจที่เห็นพวกท่านมาหา ถึงได้ถามออกไปเช่นนั้น? ท่านและผู้ใหญ่บ้านรีบเข้าไปในบ้านเถอะ” จากนั้นหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ รีบไปเทน้ำมาสองถ้วย” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเบ้ปากพูด “ค่อยยังชั่วหน่อย” 


 


 


พูดจบมองบรรดาหญิงสาวที่กำลังตัดผ้าแวบหนึ่ง 


 


 


หญิงสาวเหล่านั้นเห็นพวกนางเข้ามาต่างก็ก้มหน้าก้มหน้าปิดปากเงียบ 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นพวกนางไม่ทักทายตัวเอง แค่นเสียงหึ สะบัดตัวเดินเข้าบ้าน 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดในลานบ้านเงยหน้าขึ้น สบตาแล้วถอนหายใจพร้อมกัน ภรรยาผู้ใหญ่บ้านคนนี้ปกติถูกคนในหมู่บ้านพะเน้าพะนอจนเคยตัว เมื่อครู่ตัวเองไม่ได้พูดทักนาง ไม่รู้ว่านางจะคิดแค้นตนเอง ภายหน้าหาเรื่องยุ่งยากให้ตนเองหรือไม่ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาเดินเข้ามาในบ้านนั่งบนเก้าอี้ เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำสองถ้วยเข้ามาแยกวางไว้หน้าพวกเขา 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นน้ำเปล่าสองถ้วย ชักสีหน้า พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “สะใภ้เอ้ออิ๋น ตอนนี้เจ้ามองไม่เห็นหัวคนแล้วจริงๆ ได้ยินว่าเอ้ออิ๋นไม่มีอะไรทำก็จะดื่มชาชั้นดีราคาหลายพันตำลึงต่อจิน เหตุใดข้ากับอาผู้ใหญ่บ้านมา ถึงได้กินแค่น้ำเปล่าเล่า” 


 


 


เมิ่งชื่ออึ้งกับคำถาม พลันพูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเรียบเฉย “ใบชาต้องชงกับน้ำร้อนที่พักให้เย็นแปดส่วน ข้ากลัวว่ายกน้ำเข้ามาช้าไป พวกท่านจะโมโห” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่เข้าใจความหมายแฝงของนาง พูดอย่างเกรงใจ “ไม่เป็นไร เจ้าไปต้มน้ำก่อน ประเดี๋ยวค่อยชงชาชั้นดีมาให้พวกเรา อย่างไรวันนี้ข้ากับตาผู้ใหญ่บ้านของเจ้าก็ว่าง รอหน่อยก็ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ ถามขึ้น “ไม่ทราบว่าวันนี้พวกท่านมาด้วยธุระอันใด” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวต่างก็ไม่ขยับ เปล่งเสียงแว้ดใส่ “สะใภ้เอ้ออิ๋น วันนี้ข้ากับอาผู้ใหญ่บ้านเจ้าตั้งใจมาเพราะเรื่องที่ดินปลูกเรือนใหญ่ของพวกเจ้า แค่น้ำชาสักถ้วยพวกเจ้าก็จะไม่ให้พวกเราดื่มเรอะ” 


 


 


เมิ่งชื่อรีบพูด “อาสะใภ้ ใจเย็นก่อน ข้าจะไปต้มน้ำให้เดี๋ยวนี้” พูดจบก็กระวีกระวาดออกไปข้างนอก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ หันไปพูดกับภรรยาผู้ใหญ่บ้าน “ขอโทษด้วย โอ่งในบ้านพวกเราไม่มีน้ำแล้ว พวกท่านดื่มน้ำเปล่าถูไถไปก่อนเถอะ” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านโมโหลุกขึ้นจากเก้าอี้ แผดเสียงร้องพูด “จะบอกให้นะนังตัวดี หากวันนี้เจ้าไม่ชงชามาให้พวกเรา พวกเราก็จะไม่ขายที่ดินผืนนั้นให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่แยแส “พวกท่านจะขายหรือไม่ขายก็ตามใจ อย่างไรตอนนี้พวกเราก็ไม่รีบร้อนปลูกเรือนแล้ว” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านสะอึกกึก ครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้น “นังเด็กปากดี เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากรีบปลูกเรือนให้เสร็จไวๆ ให้เมิ่งเหรินได้แต่งภรรยา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างเมินเฉย “ท่านพูดถูกต้อง เริ่มแรกพวกเราวางแผนไว้เช่นนั้น แต่เพราะไม่มีที่ดินที่เหมาะสม พวกเราก็เลยปรึกษากันใหม่ ตัดสินใจหาที่ผืนเล็ก ปลูกเรือนสองห้องให้พี่เมิ่งเหริน เท่านี้ก็แต่งภรรยาได้แล้ว” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านแผดเสียงกรีดร้อง “พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราคิดไว้หมดแล้วว่าจะยื่นเงื่อนไขอะไรกับพวกเจ้าบ้าง” 


 


 


ในห้องพลันเงียบสงัด 


 


 


เมิ่งชื่อมองนางอย่างตกตะลึง 


 


 


หลังจากที่ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ใบหน้าชราก็แดงเรื่อ เงอะๆ งะๆ นั่งกลับไปบนเก้าอี้ กลบเกลื่อนด้วยกันยกน้ำเปล่าขึ้นดื่ม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถากถาง “ถึงว่าทำไมวันนี้ตาผู้ใหญ่บ้านถึงมาหาพวกเราที่บ้านด้วยตัวเองได้ ที่แท้ก็คิดเงื่อนไขมาแล้ว” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่ภรรยาที่ดีแต่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านแสร้งก้มหน้าดื่มน้ำ ไม่กล้ามองเขา 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านปรับน้ำเสียง หันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “ไปเรียกเอ้ออิ๋นมาเถอะ เรื่องนี้ข้าจะพูดกับเขาเอง” 


 


 


เมิ่งชื่อหมุนตัวเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ พูดกับผู้ใหญ่บ้าน “เรื่องในครอบครัวพวกเราข้าตัดสินใจได้ ไม่ต้องไปเรียกท่านพ่อข้ามา” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกะพริบตาปริบ พูด “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ไปเรียกพ่อเจ้ามาดีกว่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ต่อให้เรื่องใหญ่แค่ไหนข้าก็ตัดสินใจได้ ท่านพูดมาเถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางยืนหยัดไม่ยอมไปเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋นมา ชักสีหน้าเข้ม นั่งบนเก้าอี้ไม่ปริปาก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้าพวกเขา ยืนอีกด้านรอให้พวกเขาเอ่ยปากอย่างอดทน 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านทนไม่ไหวแล้ว หันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน “พูดกับนังตัวดีนี้ก็ได้ อย่างไรเป่าเอ๋อร์ก็ขายให้กับนาง” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านถลึงตาใส่นาง ภรรยาผู้ใหญ่บ้านหดคอกลับ พูดอย่างไม่พอใจ “ถลึงตาใส่ข้าอีกแล้ว ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโมโหจนอยากเอากล้องยาสูบในมือเคาะกะโหลกศีรษะนางดูว่าภายในหน้าตาเป็นอย่างไร ก่อนมากำชับหนักหนานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อมาถึงแล้วจะต้องสงบปากสงบคำ ห้ามพูดซี้ซั้ว เขาจะหาวิธีเสนอเงื่อนไขกับเมิ่งเอ้ออิ๋นเอง เมิ่งเอ้ออิ๋นเป็นคนซื่อ พูดคุยง่าย ขอเพียงเขารับปาก เรื่องที่เหลือก็จัดการง่ายแล้ว แต่ดูนางทำ แทบจะพูดเงื่อนไขทั้งหมดออกมาแล้ว หนำซ้ำยังไม่รู้สึกตัว 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นผู้ใหญ่บ้านโมโหจริงๆ แล้ว ตกใจหดตัวไปอีกด้านของเก้าอี้ไม่กล้าพูดอีก 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกระแอมหลายครั้ง พิจารณาการใช้คำพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “สองวันก่อนบิดาและลุงใหญ่เจ้าพอใจที่ดินผืนหนึ่งคิดจะนำมาปลูกเรือนให้ปู่เจ้า ไปหาข้าที่บ้านพูดเรื่องการซื้อที่ดิน แต่ที่ผืนนั้นค่อนข้างใหญ่ นับได้หลายหมู่ เดิมข้าคิดว่ารอหลังปีใหม่จะให้คนในหมู่บ้านมาหักร้างถางพง เมื่อขึ้นทะเบียนกับทางการเสร็จ จะเอามาแบ่งเป็นที่นาให้ชาวบ้าน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียดสี “ตาผู้ใหญ่บ้านคิดได้ประจวบเหมาะนัก ไม่คิดก่อนไม่คิดหลัง รอพ่อข้าไปซื้อที่ดินผืนนั้นถึงคิดได้” 


 


 


ใบหน้าชราของผู้ใหญ่บ้านแดงเหรื่อ กระแอมสองครั้งเป็นการกลบเกลื่อนแล้วพูดขึ้นใหม่ “แม่หนูโยว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เดิมข้าก็คิดจะรอให้พ้นปีใหม่ค่อยให้คนในหมู่บ้านไปบุกเบิกที่ ไม่คิดว่าบ้านพวกเจ้าก็จะบังเอิญมาถูกใจที่ผืนนั้นเช่นกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วพูดอย่างยินดี “โชคดีที่บิดาและลุงใหญ่เจ้าพูดขึ้นเร็ว หากช้ากว่านี้สิบกว่าวัน ก็คงพูดยากจริงๆ แล้ว” 


 


 


“แปลว่าตาผู้ใหญ่บ้านคิดจะขายที่ผืนนั้นให้พวกเราแล้ว?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าพูด “วันนั้นพอได้ยินว่าบ้านพวกเจ้าถูกใจที่ดินผืนนั้น ข้าไม่แม้แต่จะใคร่ครวญ ก็ปฏิเสธบิดาและลุงใหญ่เจ้า แต่พอพวกเขาจากไป ข้าก็คิดทบทวน คิดว่าหากไม่ขายให้พวกเจ้า ข้าเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน อย่างไรพวกเราก็อยู่หมู่บ้านเดียวกันมาหลายปี มีความผูกพันธ์ต่อกัน อีกอย่างปู่เจ้าก็เป็นอาจารย์ชนบทเพียงคนเดียวของละแวกหมู่บ้านนี้ ถือว่าข้าเห็นแก่หน้าพวกเขา ขายที่ดินผืนนี้ให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ขอบคุณอาผู้ใหญ่บ้านมาก” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโบกมือพูดว่า “ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าอย่าเพิ่งขอบใจไปก่อน” 


 


 


เมิ่งชื่อรีบพูดอย่างนบนอบ “เชิญท่านพูด” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดต่อ “แต่อย่างไรข้าก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ต้องคิดแทนคนในหมู่บ้านด้วย ที่ดินของหมู่บ้านเรามีน้อย มีเพิ่มได้ก็เป็นเรื่องดี ทั้งยังเป็นที่ดินหลายหมู่ ดังนั้นหากพวกเจ้าต้องการจะซื้อที่ดินผืนนั้น อันดับแรกต้องซื้อที่ดินนั้นในราคาที่นา เงินส่วนหนึ่งข้าจะมอบให้ทางการ อีกส่วนหนึ่ง เก็บไว้ยามครอบครัวไหนประสบความลำบาก จะนำออกมาช่วยเหลือเขา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “ซื้อตามราคาที่นา? เช่นนั้นต้องใช้เงินเท่าใด?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตอบ “ข้าคำนวณคร่าวๆ น่าจะประมาณสามถึงสี่พันตำลึง” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างปวดใจ “มากเกินไปหน่อยแล้ว ปกติสิบตำลึงยังใช้ไม่ถึง” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปากพูด “สะใภ้เอ้ออิ๋น เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้ ปกติเป็นที่แบบไหน แล้วที่ของเจ้าเป็นที่แบบไหน ที่ของเจ้าเป็นที่นา ราคาย่อมต้องสูงกว่า” 


 


 


เมิ่งชื่อย้อนถาม “แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่นาไม่ใช่หรือ?” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงแหลม “ยังไม่เป็นที่นาเพราะอาผู้ใหญ่บ้านของเจ้าใจดี คิดแล้วว่าบ้านพวกเจ้าจะเอาไปปลูกเรือน จึงไม่ได้แจ้งทางการ หากบุกเบิกเป็นที่นาขึ้นทะเบียนกับทางการจริงๆ จะถูกห้ามไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสินโทษไปใช้แรงงาน” 


 


 


เมิ่งชื่อเชื่อสนิทใจ พูดด้วยความซาบซึ้งใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณอาผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยคิดแทนพวกเรา” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านตอบอย่างลำพองใจ “แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าอาผู้ใหญ่บ้านต้องแบกรับความเสี่ยงมากเพียงใด” 


 


 


“ดังนั้น เงื่อนไขต่อมาคืออะไร? ตาผู้ใหญ่บ้านแบกรักความเสี่ยงมากเช่นนี้ ไม่มีทางไม่มีเงื่อนไขใช่หรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านตอบอย่างเร็วรี่ “เงื่อนไขย่อมต้องมี ก็คือ…” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านแสร้งกระแอมสองครั้ง ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถึงได้สติกลับมา พูดกับเมิ่งชื่อ “ให้อาผู้ใหญ่บ้านพูดกับพวกเจ้าเองดีกว่า ข้าพูดไม่เป็น พูดไม่รู้เรื่อง” 


 


 


เมิ่งชื่อมองผู้ใหญ่บ้านอย่างรอคอย ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวกลับทำหน้าเฉยเมยยืนอยู่อีกด้าน 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านมองสีหน้าพวกนางแล้วเอ่ยปากพูด “ข้าทำเช่นนี้เป็นการแบกรับความเสี่ยงมหาศาล หากให้คนรู้เข้า แล้วไปแจ้งทางการ ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของข้าก็คงรักษาไว้ไม่ได้ ดังนั้น พวกเจ้าต้องชดเชยให้ข้า ข้ามีเพียงสองเงื่อนไข หนึ่งคือพวกเจ้าต้องคืนสัญญาทาสของต้าเป่าให้ข้า ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ข้าช่วยพวกเจ้ามากขนาดนี้ เพียงพอจะหักล้างบุญคุณที่ตอนนั้นเจ้าช่วยจ่ายเงินห้าสิบตำลึงแทนต้าเป่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดว่าตกลงหรือไม่ตกลง เพียงถามว่า “แล้วเงื่อนไขที่สองเล่า?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตอบ “เงื่อนไขที่สองก็คือพวกเจ้าต้องมอบสูตรเนื้อรมควันให้พวกเรา หากข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ได้แล้ว ภายหน้าจะได้มีอาชีพหาเลี้ยงชีพ” 


 


 


ภายในห้องเงียบสงัด 


 


 


ฟังคำพูดผู้ใหญ่บ้านจบ เมิ่งชื่อตะลึงพรึงเพริด ครู่หนึ่งถึงพูดอย่างตื่นตระหนก “นี่ๆๆ…” พูดอยู่เป็นนานก็ไม่มีคำพูดอะไรออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มมองไปที่ผู้ใหญ่บ้าน 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านถูกมองจนร้อนตัว แสร้งกระแอมสองครั้ง หลุบศีรษะลง 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกลับพูดโดยไม่อายสักนิด “เดิมข้าคิดจะเอาสูตรกุนเชียงด้วย แต่อาผู้ใหญ่บ้านเจ้าใจดี บอกว่าพวกเจ้าครอบครัวใหญ่อย่างไรก็ต้องมีกิจการไว้หารายได้ พวกเราถึงถอยให้ก้าวหนึ่ง เอาเพียงสูตรเนื้อรมควันอย่างเดียว พวกเจ้าอย่าได้ดีแล้วไม่รู้จักดี คิดว่าพวกเราจะฉวยโอกาสนี้ยื่นเงื่อนไขกับพวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียดสี “เช่นนั้นก็ขอบคุณตาผู้ใหญ่บ้านที่หวังดีคิดแทนครอบครัวของพวกเราถึงเพียงนี้” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหน้าแดงกว่าเดิม กลับไม่ได้พูดอะไร 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกลับหน้าด้านพูดต่อ “เจ้าย่อมต้องขอบใจพวกเรา ตอนที่ต้าเป่าของพวกเราเกิดเรื่อง เจ้าถือว่าตัวเองมีเงิน บีบต้าเป่าของเราทำสัญญาทาสให้ได้ ทำให้ต้าเป่าของเราวันๆ ต้องทำงานที่ทั้งสกปรกที่สุดและเหนื่อยที่สุด พวกเราไม่คิดหยุมหยิมกับเจ้า ยังหวังดีคิดแทนพวกเจ้ามากมาย เอาอย่างนี้ หากเจ้าตกลง ก็รีบนำสัญญาทาสของต้าเป่าและสูตรเนื้อรมควันมอบให้พวกเรา พวกเราเองก็ยุ่งมาก ได้สูตรมาแล้วยังต้องรีบไปหาคนมาทำงานอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งชื่อพูดไม่ออก 


 


 


ภายในห้องจมดิ่งสู่ความเงียบงัน 

 

 

 


ตอนที่ 144.3

 

การแก้แค้นของผู้ใหญ่บ้าน

 


 


 


 


ยังเป็นภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่ทนไม่ไหวเอ่ยปากพูด “ข้าจะบอกพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าทำเรื่องโง่ พ้นหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านค้า เรื่องดีเช่นนี้ภายหน้าไม่มีอีกแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรไม่เห็นด้วยอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้น “ตาผู้ใหญ่บ้าน เรื่องนี้ใหญ่เกินไป เกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ข้าตัดสินใจไม่ได้ เอาอย่างนี้ พวกเราทั้งครอบครัวปรึกษากันก่อน อีกสองสามวันค่อยให้คำตอบพวกท่านได้หรือไม่?” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านร้อนใจพูด “มีอะไรต้องปรึกษากันอีก ก็แค่สูตรเนื้อรมควันเท่านั้น พวกเจ้าให้พวกเราไป ก็ยังมีกิจการอื่น หากที่ผืนนั้นขึ้นทะเบียนไปจริงๆ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้ปลูกเรือนอีกเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งว้าวุ่นใจพยักหน้า “ข้าทราบ แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ข้าต้องปรึกษากับคนในครอบครัวก่อน” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านพูด “ก็แค่ปรึกษากับพ่อเจ้าไม่ใช่เรอะ พวกเรารอได้ เจ้าไปเรียกเขามา เขาได้ฟังแล้ว จะต้องเห็นด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่เพียงปรึกษากับบิดาข้า ยังต้องปรึกษากับลุงใหญ่และท่านปู่ พวกเขาไม่อยู่ที่นี่ ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ปรึกษาไม่ได้ผลลัพธ์” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านข้องใจ “สูตรเนื้อรมควันไม่ใช่ของครอบครัวพวกเจ้าหรือ? เหตุใดต้องไปปรึกษาพวกเขา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “สูตรเนื้อรมควันเป็นของครอบครัวพวกเราก็จริง แต่เรือนจะปลูกให้ท่านปู่ท่านย่าอาศัย หากข้าไม่ได้ปรึกษากับพวกเขาแล้วตอบรับเงื่อนไขของท่าน หากพวกเขารู้แล้วทำใจไม่ได้จะทำอย่างไร บางทีต่อให้ข้าปลูกเรือนใหญ่เสร็จพวกเขาอาจจะไม่ย้ายเข้าไปอยู่ก็ได้ ดังนั้นข้าจักต้องปรึกษากับพวกเขาก่อน พวกเขาเห็นด้วย ข้าก็เห็นด้วย พวกเขาไม่เห็นด้วย เรือนใหญ่นี้พวกเราก็ไม่ปลูกแล้ว” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านพูดอย่างเชื่อมั่น “พวกเขาจะต้องเห็นด้วย เมิ่งเหรินอายุสิบแปดปีแล้ว ยังไม่ได้แต่งงาน มีคนไม่น้อยที่หัวเราะเยาะ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่กระวนกระวายใจ เอาอย่างนี้ เจ้าไปชงชาชั้นดีมาให้พวกเรา พร้อมกับขนมหนึ่งกล่อง พวกเราจะอดทนรอ เจ้าจงไปเรียกพวกเขามาที่นี่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนไม่ขยับ พูดว่า “ท่านพ่อและลุงใหญ่ข้ากำลังยุ่ง รอตอนค่ำพวกเราจะไปบ้านใหญ่ปรึกษากับท่านปู่ท่านย่า ท่านกับตาผู้ใหญ่บ้านกลับไปก่อนเถอะ ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว จะให้พวกเขาไปหาท่านที่บ้าน” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเอาแต่ติดใจที่ไม่ได้ดื่มชาราคาหลายพันตำลึงต่อจิน เริ่มอยู่ไม่สุข พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นังเด็กคนนี้เป็นอย่างไรกันแน่? ก็แค่…” 


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกผู้ใหญ่บ้านตะคอกใส่ “หุบปาก!” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่คิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะตะคอกตัวเอง ตกใจอ้าปากค้างมองเขา 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าให้เวลาพวกเจ้าเพียงสองวัน หลังจากสองวัน หากพวกเจ้ายังไม่มีคำตอบ ข้าจะไปขึ้นทะเบียนกับทางการ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “ตาผู้ใหญ่บ้านวางใจเถอะ คืนนี้พวกเราปรึกษาเสร็จ พรุ่งนี้ก็จะให้คำตอบท่าน” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง หันกลับไปตวาดภรรยาตัวเอง “ยังไม่รีบไป!” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นยืนงงๆ เดินตามเขาออกนอกบ้านไป 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดในลานบ้านเห็นพวกเขาออกมา ไม่กล้าก้มหน้าอีก ต่างร้องเรียกทักทายพวกเขา 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านมองจากที่สูงลงต่ำ พูดอย่างดูแคลน “พวกเจ้าทั้งหมด อย่าคิดว่าได้มาทำงานที่นี่ ก็จะคิดว่าตัวเองสูงส่ง ไม่เห็นผู้ใหญ่บ้านและข้าอยู่ในสายตา ตอนพวกเราเข้ามาพวกเจ้าไม่แม้แต่จะทักทาย ภายหน้าหากพวกเจ้ามีเรื่องขอร้องพวกเราดูว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร?” 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดตกใจหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าพูด 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านแค่นเสียงหึ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตวาดนางอีกครั้ง “ทำไมถึงปากมากเช่นนี้ ยังไม่รีบไปอีก!” 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจเขา เห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังตัดผ้าผืนใหญ่ออกมาจากพับผ้า ยังไม่ได้ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ จึงเข้าไปแย่งมา ร้องพูดเสียงดัง “สะใภ้ต้าเป่ากลับมาอยู่ด้วยนานแล้ว ไม่เคยได้มีชุดใหม่ใส่ ผ้าชิ้นนี้กำลังดี ข้าจะเอากลับไปทำให้นางสักชุด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูด เมิ่งชื่อห้ามนาง ส่ายหน้าวิงวอนนาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร 


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถือผ้าผืนนั้นเดินจากไปพร้อมผู้ใหญ่บ้านอย่างเหิมใจ 


 


 


ตอนบ่ายคนกินข้าวเยอะ เมิ่งชื่อไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเมิ่งเอ้ออิ๋น 


 


 


ตอนบ่าย เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีที่ผลิตน้ำมันพริกเสร็จบางส่วน ก็เข้าเมืองไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในรถม้า คิดว่าตนเองและเมิ่งเสียนไปรับพวกเขาเช่นนี้ทุกวันสิ้นเปลืองเวลามาก ควรจะจ้างคนไปรับ แต่ซุนเหลียงไฉเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของซุนซ่านเหริน หากตนเองไม่ไปรับ เกิดเรื่องระหว่างทางจะลำบาก อย่าคิดว่าซุนซ่านเหรินยอมปล่อยซุนเหลียงไฉมาให้นางสั่งสอน หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ ซุนซ่านเหรินได้ให้นางใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิตเป็นแน่ แต่ตนเองจะไปรับพวกเขาทุกวันก็ไม่ได้ หลายวันนี้ยังพอได้ ไม่มีเรื่องยุ่ง แต่พ้นเดือนอ้ายไปก็จะเริ่มยุ่งแล้ว ทั้งซื้อภูเขา ซื้อที่ดิน ปลูกฉั่งฉิก ปลูกมันฝรั่ง ตนเองจะมีเวลาเหลือจากไหนมาดูแลพวกเขา 


 


 


คิดอยู่เป็นนาน ก็ยังหาวิธีที่ดีไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตัดสินใจเลิกคิด หันไปถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ หลายวันมานี้ท่านกับพี่รองผลิตน้ำมันพริกได้เท่าใดแล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนตวัดบังเ**ยนเล็กน้อยถึงตอบ “ประมาณห้าสิบกว่าขวดได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วพูด “ขวดที่ใช้บรรจุน้ำมันพริกเหลือไม่มากแล้วใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งเสียนตอบ “อือ ยังเหลืออีกประมาณหนึ่งร้อยใบ” 


 


 


“เช่นนั้นพวกเราต้องไปสั่งทำเพิ่มแล้ว รอพวกเขาอบเสร็จ ที่พวกท่านมีก็ใช้หมดพอดี” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหาเรื่องอื่นมาคุยกับเมิ่งเสียนฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนรถม้ามาถึงหน้าประตูโรงเรียน 


 


 


เวลาที่มาถึงเช้าไปสักหน่อย เมิ่งเสียนหาที่ทางจอดรถม้า ทั้งสองนั่งรอบนรถม้า 


 


 


พอถึงเวลาเลิกเรียน อาจารย์เวรเปิดประตูใหญ่ นักเรียนเดินเป็นกลุ่มออกมา 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่ประตู 


 


 


ไม่นานร่างของเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉก็ปรากฏในสายตาพวกเขา 


 


 


เมิ่งเสียนถอนใจโล่งอก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มมุมปากยกยิ้ม 


 


 


ซุนเหลียงไฉลากขาทั้งสองข้างค่อยๆ เดินนำหน้าไปอย่างทุลักทะเล เมิ่งอี้เซวียนเดินตามหลังไปอย่างอดทน กระทั่งเดินมาถึงประตูโรงเรียน อาจารย์เวรมองซุนเหลียงไฉด้วยสายตาประหลาดแวบหนึ่ง 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่สนใจเขา เดินมุ่งหน้าไปข้างรถม้า พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยินดี “วันนี้อาจารย์ชมเชยข้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนทักทายอาจารย์เวรอย่างมีมารยาท แล้วตามออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างดีใจ “เพราะอะไร?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตอบ “วันนี้อาจารย์ตรวจการบ้านเมื่อวาน ข้ายกมือว่าตัวเองก็ท่องมา อาจารย์ไม่เชื่อ ให้ข้าท่องในห้อง ข้าท่องได้ทั้งหมดไม่ตกหล่นสักคำ อาจารย์ดีใจยกใหญ่ ชื่นชมข้าเป็นนานสองนาน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “ได้รับการชื่นชมจากอาจารย์ดีใจไหม?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตอบ “ดีใจมาก พวกพ่างตุนต่างอิจฉาข้ากันใหญ่ เอาแต่ถามข้าว่าทำไมอยู่ๆ ถึงท่องกล่อน แล้วทำได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าเขา “เจ้าคงไม่ได้บอกว่าถูกข้าตีจนท่องได้หรอกนะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉมองนางอย่างไม่พอใจพูดว่า “ข้าไม่ได้โง่ เรื่องน่าอายเช่นนั้นเหตุใดข้าต้องบอกพวกเขา ข้าบอกพวกเขาว่าข้าอยากท่องข้าก็ท่องได้ ข้าออกจะฉลาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนหัวเราะครื้นเครง 


 


 


รอพวกเขาหัวเราะเสร็จ ซุนเหลียงไฉพูดต่อ “เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำ คืนนี้จะทำของอร่อยให้ข้ากิน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าทันควัน “ได้ อยากกินอะไร เจ้าว่ามา” 


 


 


ซุนเหลียงไฉรีบพูดทันที “ข้าอยากกินมันฝรั่งผัดพริก เมื่อคืนข้าไม่ได้กินเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วพูด “มันฝรั่งในบ้านเหลือไม่มากแล้ว ข้ายังต้องเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ เอาอย่างนี้ ข้าจะทำอาหารอร่อยอีกอย่างให้เจ้าเป็นอย่างไร?” 


 


 


พอได้ยินว่าไม่ได้กินมันฝรั่งเส้น ซุนเหลียงไฉก็รู้สึกผิดหวัง ความกระตืนรือร้นลดลง ถามอย่างขอไปที “ของอร่อยอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจพูดยานคาง “จะทำเนื้อ…หมู…ใน…น้ำ…มัน…เป็นอย่างไร?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถลึงตาโตอย่างดีใจระคนประหลาดใจ ถามขึ้น “เจ้าทำเนื้อหมูในน้ำมันได้?” 


 


 


ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ เมิ่งอี้เซวียนแย่งตอบก่อน “แน่นอนที่สุด ของกินอะไรโยวเอ๋อร์ก็ทำได้ทุกอย่าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหลุบศีรษะ 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นกินเนื้อหมูในน้ำมัน ข้าอยากกินมานานแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “ได้ พวกเราไปซื้อหมูเนื้อแดงกลับบ้านกัน” 


 


 


พูดจบหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ คืนนี้ข้าจะทำเนื้อหมูในน้ำมัน พวกเราไปซื้อหมูเนื้อแดงค่อยกลับบ้านเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนถาม “ที่บ้านไม่มีเนื้อหมูหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เนื้อหมูที่เถ้าแก่จูส่งมาให้ทุกวัน พวกเราเอาไปทำกุนเชียงหมดแล้ว ไฉนเลยจะมีเนื้อเหลือในบ้านอีก พวกเราไปซื้อสักหน่อยเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปตลาดสด 


 


 


เย็นมากแล้ว ตลาดสดไม่เหลือคนแล้ว เมิ่งเสียนหาร้านขายเนื้อที่เปิดตลอดวัน ซื้อหมูเนื้อแดงสองสามจินวางไว้บนรถ บังคับรถม้าเดินทางกลับ ยังไม่ถึงประตูเมือง ก็มีคนจำนวนหนึ่งตรงเข้ามาล้อมรถม้าไว้ เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น “หลายวันแล้ว ในที่สุดก็หาพวกเจ้าเจอ!” 

 

 

 


ตอนที่ 145.1

 

ไกล่เกลี่ย

 


 


 


 


เมิ่งเสียนหยุดรถม้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังออกว่าเป็นใคร เปิดม่านบังรถออก เดินลงจากรถม้า ถามด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง “คุณชายอวี้มาขวางรถม้าข้า ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใด?” 


 


 


อวี้เทียนหัวเราะเยาะพูด “ไม่ต้องเสแสร้ง น้องสาวข้าเล่า?” 


 


 


เมิ่งเสียนหน้าซีดขาว ลนลานมองเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะเยาะตอกกลับ “คุณชายอวี้ถามได้แปลกประหลาดนัก น้องสาวท่านอยู่ที่ไหน พวกเราจะรู้ได้อย่างไร?” 


 


 


อวี้เทียนโมโห น้ำเสียงเจือความฉุนเฉียว “ไม่ต้องแสร้งทำไม่รู้เรื่อง หลังจากน้องสาวข้าเจอพวกเจ้า ก็ไม่ได้กลับบ้านอีก ข้าพลิกหาทั่วทั้งตำบลชิงซีแล้ว ก็หานางไม่พบ ต้องเป็นพวกเจ้าที่จับนางไปซ่อน หากวันนี้พวกเจ้าไม่บอกที่ซ่อนนาง ก็อย่าหวังจะได้ไปจากตำบลชิงซีนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ดูท่าคุณชายอวี้จะร้อนใจจนเลอะเลือนแล้ว ไม่แยกแยะถูกผิดก็ปรักปรำพวกเรา วันนั้นที่พวกเราได้พบคุณหนูอวี้ที่บ้านท่าน กลับถึงบ้านก็นำเรื่องนี้บอกกล่าวแก่ท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่กลัวคุณหนูอวี้จะทนรับความลำบากในบ้านนอกไม่ไหว เอาแต่ลังเลว่าจะรับปากการหมั้นหมายนี้หรือไม่ อีกอย่างเห็นชัดว่าคุณหนูอวี้มีใจชอบพอพี่ใหญ่ข้ามาก พวกเราเพียงแค่ยอมรับปาก เกรงว่าคุณหนูอวี้คงจะรีบแต่งมาอยู่บ้านพวกเราทันที ไยพวกเราต้องหาเรื่องใส่ตัว จับนางไปซ่อนด้วยเล่า?” 


 


 


อวี้เทียนแค่นเสียงหัวเราะพูด “ดูท่าพวกเจ้าจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ข้าจะให้พวกเจ้าตายอย่างกระจ่างแจ้ง” พูดจบกำชับหนึ่งในผู้ติดตาม “เจ้าไปภัตตาคารนำตัวเสี่ยวเอ้อคนนั้นมา ให้เขาชี้ตัวว่านางใช่คุณหนูที่พวกเขาเห็นวันนั้นหรือไม่” 


 


 


ผู้ติดตามรับคำ รีบวิ่งจากไป 


 


 


เมิ่งเสียนยิ่งหน้าซีดเผือก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขา “พี่ใหญ่ ดูรถม้าให้ดี ระวังม้าขวัญกระเจิง ทำคุณหนูอีกคนตกใจ จะโยนเรื่องยุ่งยากมาให้พวกเราอีก” 


 


 


เมิ่งเสียนได้ฟัง คว้าบังเ**ยนแน่น 


 


 


ได้ยินคำพูดนาง อวี้เทียนชักสีหน้าเหยเกฉันพลัน พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นังตัวดี อย่าเหิมเกริมให้มากนัก อีกประเดี๋ยวหากเสี่ยวเอ้อคนนั้นชี้ตัวว่าเป็นเจ้า รอดูว่าข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดหน้าอกพิงรถม้าอย่างเกียจคร้าน พูดอย่างไม่แยแส “ต่อให้ชี้ตัวว่าเป็นพวกเราแล้วอย่างไร ครอบครัวพวกเจ้าอยากได้พวกเราจนตัวสั่น พวกเรายังต้องเอาคนไปซ่อนอีกหรือ?” 


 


 


อวี้เทียนโมโหก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวสบถด่า “นังตัวดี กล้าพูดจาเช่นนี้กับครอบครัวข้า เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตัวตรง พูดเสียงเย็นเยียบ “เอามือของเจ้าออกไป!” 


 


 


อวี้เทียนถือดีว่าครอบครัวมีอันจะกิน โอ้หังลำพองจนเคยชิน ย่อมไม่สนใจคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างย่ามใจ “ข้าไม่เอาออก เจ้ากล้าทำอะไรข้า?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร กระโดดถีบอวี้เทียนตัวลอย 


 


 


อวี้เทียนไม่ได้เตรียมรับมือ ถูกถีบไถลไปไกล ล้มกลิ้งไปกับพื้น 


 


 


พวกผู้ติดตามที่ล้อมรถม้าร้องอุทาน ต่างกรูเข้ามาล้อมข้างอวี้เทียน ถามอาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง? 


 


 


อวี้เทียนจุกจนพูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเ**้ยมเกรียม “ข้าเกลียดคนชี้นิ้วใส่ข้าที่สุด คนล่าสุดที่ชี้นิ้วใส่ข้าได้ไปเกิดใหม่นานแล้ว เจ้าน่าจะยินดีที่ตอนนี้ข้านิสัยดีขึ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นมิใช่ถีบเจ้าง่ายๆ แค่ลูกถีบเดียวเช่นนี้แน่” 


 


 


อวี้เทียนคิดมาตลอดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่รู้ความอะไร ข่มขวัญเล็กน้อยก็จะคายเรื่องทั้งหมดออกมา ไม่คิดว่านางจะรู้วิชาหมัดมวย แค่ถีบเดียวทำเขาลอยโด่งไปไกล ทำให้ตัวเองต้องขายหน้าต่อหน้าผู้ติดตาม บันดาลโทสะ พูดอย่างแค้นเคือง “นังตัวดี กล้าลงมือกับข้า วันนี้ข้าจะอัดเจ้าให้ร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน” พูดจบ หันไปโบกมือให้ผู้ติดตามที่ล้อมข้างกาย “พวกเจ้าลุย! อัดนังตัวดีนี้ให้ตาย ถ้าตายข้าจะตบรางวัลให้” 


 


 


ได้ยินว่ามีรางวัล พวกผู้ติดตามต่างก็เฮโลเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ยินออกมาจากรถม้า ลงมายืนข้างเมิ่งเชี่ยนโยว ตั้งท่ารับ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วพูด “ไม่ต้องเพิ่มภาระให้ข้า ขึ้นไป!” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ 


 


 


ผู้ติดตามรุกเข้ามา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขวางหน้าเมิ่งอี้เซวียน รับมือพวกผู้ติดตามที่เข้ามา พลางแยกประสาทหันไปพูด “ขึ้นรถม้าไปดูแลซุนเหลียงไฉให้ดี อย่าให้เขาออกมา” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเข้าใจความหมายนาง จนใจกลับขึ้นไปบนรถม้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว รับมือผู้ติดตามตรงหน้าได้เต็มที่ 


 


 


ผู้ติดตามพวกนี้ของอวี้เทียนปกติจักต้องฝึกซ้อมมาอย่างดี ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวอัดล้มไปกับพื้นไม่นานก็ลุกขึ้นมา สู้อย่างสุดชีวิตกับนางได้ใหม่ 


 


 


อวี้เทียนมองดูผู้ติดตามมากมายที่รับมือเด็กสาวเพียงคนเดียวไม่ได้ บันดาลโทสะก่นด่า “เจ้าพวกสวะ คนมากมายเอาชนะนังเด็กตัวแสบคนเดียวไม่ได้ เลี้ยงพวกเจ้าไว้ก็เสียข้าวสุก กลับไปจะเปลี่ยนพวกเจ้าออก” 


 


 


แม้อวี้เทียนจะยโสอวดดี แต่กลับปฏิบัติกับผู้ติดตามเป็นอย่างดี ไม่เพียงให้กินดีดื่มดี ยังมักจะตบรางวัลให้เป็นเนืองนิจ ผู้ติดตามในบ้านต่างแย่งกันคอยติดตามเขา ตอนนี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้ติดตามคนหนึ่งเลือดขึ้นหน้า เปิดม่านบังรถ คิดจะจับคนในนั้นออกมาข่มขู่เมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่คอยเฝ้าอยู่ข้างซุนเหลียงไฉ เห็นผู้ติดตามเข้ามา ยกเท้าถีบเขากระเด็นลอยออกไป ปิดม่านบังรถลง 


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินเสียงต่อสู้ด้านนอก ตกใจตัวสั่น เอาแต่เกาะเมิ่งอี้เซวียนแน่นไม่ห่าง เห็นเมิ่งอี้เซวียนถีบผู้ติดตามลอยกระเด็นออกไปนอกรถม้า ก็เบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง 


 


 


ผู้ติดตามอีกคนเห็นสหายถูกถีบออกมา เปิดม่านบังรถพุ่งเข้า ใส่ 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนชักสีหน้า ถีบเขาออกไป ม่านบังรถปิดลงอีกครั้ง 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นเขาถีบคนออกไปได้อย่างง่ายดายสองครั้งติดต่อกัน และไม่หวาดกลัว ถามอย่างอิจฉา “เมิ่งอี้เซวียน เจ้าเป็นวรยุทธ์หรือ?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนจ้องม่านบังรถเขม็ง ไม่ได้ตอบเขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ถือสา ถามต่อ “พี่สาวเจ้าสอนเจ้าใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่ตอบ 


 


 


ซุนเหลียงไฉยังถามต่อ “หากข้าอยู่กับพวกเจ้านานๆ นางจะสอนข้าไหม?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเอ่ยปาก “ขอเพียงเจ้าไม่ล้มเลิกกลางคัน โยวเอ๋อร์ก็จะสอนให้เจ้า” 


 


 


ได้ยินคำตอบเขา ซุนเหลียงไฉถามขึ้นอย่างยินดีอีกครั้ง “นางจะสอนให้ข้า?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


ซุนเหลียงไฉดีใจจนลืมตัว ลุกขึ้นยืนดีใจลิงโลด ผู้ติดตามคนหนึ่งเลิกม่านบังรถทะยานเข้ามา เผชิญหน้ากับเขาพอดี ด้วยอารามตกใจ ซุนเหลียงไฉผลักมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว โดนตัวผู้ติดตามเข้าพอดี ผู้ติดตามถูกผลักตกรถม้าหงายท้องมือเท้าชี้ฟ้า 


 


 


ซุนเหลียงไฉมองมือตัวเองอย่างไม่เชื่อ พูดอย่างตื่นเต้น “เมิ่งอี้เซวียน ข้าก็รับมือพวกเขาได้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเม้มปากไม่พูดอะไร 


 


 


ซุนเหลียงไฉจึงนั่งข้างม่านรถอีกด้าน จ้องม่านบังรถเขม็งพร้อมเมิ่งอี้เซวียน หากมีผู้ติดตามบุกเข้ามาอีก จะได้ผลักพวกเขาออกไป 


 


 


อวี้เทียนเห็นผู้ติดตามจัดการเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้จริงๆ ร้อนรนพูดกับผู้ติดตามที่ล้มมาอยู่ข้างตัวเอง “เจ้ารีบกลับไป เรียกคนที่เหลือมา ข้าไม่เชื่อว่า วันนี้จะจัดการกับนังตัวแสบนี้ไม่ได้” 


 


 


ผู้ติดตามไม่สนใจความเจ็บปวด ลุกขึ้นได้ก็รีบวิ่งไปเรียกคนที่บ้านอวี้ 


 


 


เสี่ยวเอ้อจากภัตตาคารมาพร้อมผู้ติดตาม เห็นคนมากมายกำลังต่อสู้วิวาท ตกใจไม่กล้าเดินขึ้นหน้า 


 


 


ผู้ติดตามที่ไปตามเขาจนปัญญา เตือนเขาว่าอย่าไปไหน แล้ววิ่งเข้ามาช่วยจัดการเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเสียนกลัวม้าจะตกใจวิ่งหนี ทำให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉที่อยู่ในรถบาดเจ็บ เอาแต่จับบังเ**ยนแน่น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกลั้นโทสะเรื่องที่อวี้อวี่คิดวางแผนกับเมิ่งเสียนมาตลอด วันนี้ได้ระบายออกพอดี ลงมือไม่ยั้ง ผู้ติดตามที่ถูกอัดต่างร้องโอดครวญหวนไห้ 


 


 


ผู้ติดตามที่กลับไปตามคนไม่นานก็เรียกผู้ติดตามที่เหลือทั้งหมดมา 


 


 


ผู้ติดตามที่ถูกอัดเห็นคนเยอะขึ้น เรี่ยวแรงฟื้นคืน ต่างกรูเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นจุดเดียว 


 


 


อวี้เทียนก็มีกำลังใจขึ้น ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ตะโกนบอกผู้ติดตามทั้งหมดอย่างแค้นเคือง “อัดนางไม่ต้องยั้งมือ วันนี้จักต้องฆ่านังตัวแสบนี้ให้ได้” 


 


 


สิ้นเสียงนาง รถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา หยุดจอดตรงหน้าเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ 


 


 


คนขับรถเปิดม่านออกด้วยความพินอบพิเทา ซุนซ่านเหรินลงจากรถม้า ยิ้มตาหยีถามเขา “หลานอวี้คิดจะฆ่าใครตายหรือ?” 


 


 


อวี้เทียนเห็นซุนซ่านเหรินก็ให้ตะลึงงัน จากนั้นพลันเก็บสีหน้าเ**้ยมอำมหิต พูดอย่างมีมารยาท “ท่านลุงซุนสวัสดี” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า มองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ถูกผู้ติดตามเป็นโขยงรุมล้อมทำร้ายกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ดวงตาหลุบหรี่ 


 


 


อวี้เทียนอธิบาย “นังตัวดีนี่เอาน้องสาวข้าไปซ่อน ข้าถามนางดีๆ นางกลับถีบข้าไปกองกับพื้น วันนี้ข้าไม่มีทางปล่อยนางไป” 


 


 


ซุนซ่านเหรินยังคงยิ้มตาหยีพูด “หลานอวี้ ข้าและแม่นางน้อยนี้คุ้นเคยสนิทสนมกัน ข้าขอร้องแทนนางจะได้หรือไม่?” 


 


 


อวี้เทียนตกตะลึง ครู่หนึ่งถึงถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ท่านสนิทสนมกับนาง?” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า 


 


 


อวี้เทียนร้องพูด “จะเป็นไปได้อย่างไร?” 


 


 


ซุนซ่านเหรินหรี่ตาลง ยิ้มถาม “หลานอวี้หมายความว่าข้าโกหกอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


อวี้เทียนร้อนรนโบกมือ “ไม่ใช่ๆ ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าท่านจะรู้จักมักจี่กับนังตัวแสบนี่ ตกใจกะทันหันก็เท่านั้น” พูดจบหันไปร้องบอกผู้ติดตามทั้งหมด “หยุดเดี๋ยวนี้! กลับมา” 


 


 


ผู้ติดตามรามือ ทั้งหมดกลับมายืนข้างอวี้เทียน 


 


 


ซุนซ่านเหรินเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 


 


 


ซุนซ่านเหรินรีบเร่งอธิบาย “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้มาแอบดูไฉเอ๋อร์ ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาพอดี เห็นพวกเจ้าเกิดเรื่อง ถึงได้รีบเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “ขอบคุณ!” 


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินเสียงซุนซ่านเหริน เปิดม่านบังรถลงจากรถม้า ร้องเรียกอย่างยินดี “ท่านปู่” 


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีท่าทีไม่พอใจ จึงเปล่งเสียงขานรับ 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดกับเขาอย่างตื่นเต้น “เมื่อครู่ข้าผลักคนร้ายคนหนึ่งจากบนรถม้าด้วย” พูดจบก็ทำไม้ทำมือพูด “ข้าผลักแบบนี้” 


 


 


ซุนซ่านเหรินตะลึงค้าง เมื่อก่อนซุนเหลียงไฉเจอเรื่องเช่นนี้มีแต่ขลาดกลัว ไฉนเลยจะทำไม้ทำมือดีอกดีใจเหมือนเช่นตอนนี้ 


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นเขานิ่งอึ้ง ถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านปู่ ข้าทำผิดหรือ?” 


 


 


ซุนซ่านเหรินรีบร้อนพยักหน้า “ใช่ๆๆ ไฉเอ๋อร์ทำถูก” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่ซุนเหลียงไฉได้รับการยอมรับจากซุนซ่านเหริน ดีใจลิงโลด 


 


 


สกุลอวี้และซุนซ่านเหรินทำการค้าติดต่อกัน พ่ออวี้มักจะพาอวี้เทียนมาคบค้าสมาคมกับซุนซ่านเหริน อวี้เทียนย่อมรู้จักซุนเหลียงไฉ รู้ว่าเขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของซุนซ่านเหริน ถูกเลี้ยงประคบประหงมดั่งไข่ในหินมาแต่เด็ก ตอนนี้เห็นเขาออกมาจากรถม้า เกิดความรู้สึกหวาดผวา ลอบดีใจที่เมื่อครู่ผู้ติดตามไม่ได้ทำร้ายเขา ไม่เช่นนั้นภายหน้าสกุลของตัวเองคงหากินอยู่ในตำบลชิงซีไม่ได้แล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 145.2

 

ไกล่เกลี่ย

 


 


 


อวี้เทียนเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เดินขึ้นหน้า พูดตะกุกตะกักทักทายซุนเหลียงไฉ “คุณชายน้อยซุน”


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นเป็นเขาแค่นเสียงหึ ไม่ตอบกลับ


 


 


อวี้เทียนยืนกระอักกระอ่วนอยู่ตรงนั้น


 


 


ซุนซ่านเหรินแสร้งตวาด “ไฉเอ๋อร์ ห้ามทำตัวไม่มีมารยาท”


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดด้วยความโมโห “เขาที่ให้ผู้ติดตามมาล้อมรถม้าหาเรื่องพวกเรา ข้าตกใจเกือบตายแล้ว หากไม่เพราะเมิ่งอี้เซวียนคอยปกป้องข้าอยู่บนรถม้า ผู้ติดตามของเขาคงทำร้ายข้าได้ไปนานแล้ว”


 


 


อวี้เทียนลนลานอธิบาย “คุณชายน้อยซุนเข้าใจผิดแล้ว หากข้าทราบว่าท่านอยู่บนรถม้า ไม่มีทางให้ผู้ติดตามบุกเข้าไปแน่นอน”


 


 


ซุนเหลียงไฉแค่นเสียงหึอีกครั้ง สะบัดหน้าตุปัดตุป่อง ไม่สนใจเขา


 


 


ซุนซ่านเหรินมองเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้มตาหยีถามอวี้เทียน “หลานอวี้ ไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งล่วงเกินเจ้าเรื่องอันใด ทำให้เจ้าต้องระดมผู้คนลงมือกับนางกลางถนน?”


 


 


อวี้เทียนได้ฟังมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างเคืองขุ่น “น้องสาวข้าหายไป ข้าตามหานางหลายวันแล้วก็หาไม่เจอ ต่อมาถึงได้รู้ว่าครอบครัวของนังตัวแสบนี่เอาตัวน้องสาวข้าไปซ่อน”


 


 


ซุนซ่านเหรินงงงันถาม “แม่นางเมิ่งซ่อนตัวน้องสาวเจ้าเพื่ออะไร?”


 


 


อวี้เทียนเผยอปาก ไม่ได้ตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “คุณหนูอวี้ถูกใจพี่ใหญ่ข้า จะแต่งงานกับเขาให้ได้ ท่านพ่อท่านแม่ข้ากลัวนางจะทนลำบากใช้ชีวิตในบ้านนอกไม่ไหว จึงไม่ได้รับปาก ไม่คิดว่าวันนี้คุณชายอวี้จะมาขวางรถม้าพวกเรา พูดแต่ว่าคุณหนูอวี้หายตัวไป เพราะพวกเรานำตัวนางไปซ่อน”


 


 


อวี้เทียนพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น “เป็นพวกเจ้าที่เอานางไปซ่อน วันถัดมาเสี่ยวเอ้อที่ภัตตาคารเห็นพวกเจ้าไปพบนาง จากนั้นน้องสาวข้าก็หายตัวไป ไม่ใช่พวกเจ้าเอานางไปซ่อน เช่นนั้นน้องสาวข้าหนีตามคนอื่นไปหรืออย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบหนึ่งประโยค “ก็ไม่แน่”


 


 


อวี้เทียนเดือดดาล


 


 


ซุนซ่านเหรินเข้าไกล่เกลี่ย “แม่นางเมิ่งจับน้องสาวเจ้าไปซ่อนจริงหรือไม่ เจ้าเรียกเสี่ยวเอ้อภัตตาคารนั้นมาถามก็รู้แล้ว”


 


 


อวี้เทียนหันหลังถามผู้ติดตาม “เรียกตัวเสี่ยวเอ้อคนนั้นมาหรือยัง?”


 


 


ผู้ติดตามขานรับ “เรียกมาแล้วขอรับ คอยอยู่ตรงนั้นนานแล้ว”


 


 


อวี้เทียนสั่งการ “ไปเรียกตัวเขาเข้ามา”


 


 


ผู้ติตามรับคำ นำตัวเสี่ยวเอ้อที่ตกใจหลบอยู่อีกด้านเข้ามา


 


 


อวี้เทียนชี้เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “คนที่เจ้าเห็นมาพบน้องสาวข้าที่ภัตตาคารวันก่อนคือนางใช่หรือไม่?”


 


 


วันนั้นคุณหนูอวี้พาสาวใช้เข้าไปขลุกตัวอยู่ในห้องรับรองของภัตตาคารเป็นนานก็ไม่สั่งอาหาร ยิ่งไม่ได้จ่ายเงิน เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่จ่ายให้ก่อนหนึ่งตำลึง เสี่ยวเอ้อถึงรอดพ้นการดุว่าจากหลงจู๊มาได้ เสี่ยวเอ้อจำนางได้แม่น ตอนนี้ได้เห็น พยักหน้าพลัน “แม่นางท่านนี้ล่ะ”


 


 


อวี้เทียนเริ่มมั่นใจ พูดว่า “นังตัวดี ตอนนี้ยังมีอะไรจะพูดอีก?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดครึ่งจริงครึ่งเท็จ “วันนั้นข้าพบคุณหนูอวี้ที่ภัตตาคารจริง แต่มิใช่ข้าไปพบนาง ตอนที่รถม้าของพวกเราผ่านภัตตาคาร คุณหนูอวี้ให้สาวใช้มาขวางพวกเรา ต้องการเจรจากับข้าให้ได้ เดิมข้าคิดจะไม่สนใจ แต่สาวใช้ของคุณหนูอวี้รบเร้าอ้อนวอน ข้าถึงยอมลงจากรถม้าไปพบนางด้วยเจตนาดี เพราะเรื่องนี้ ทำให้ข้าพลาดเรื่องสำคัญ ข้าไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเจ้า พวกเจ้ากลับยังมาหาเรื่องข้า”


 


 


อวี้เทียนอารมณ์ร้อนเดือดดาล ร้องด่า “เจ้าโกหก หาใช่เช่นนี้ไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “ความจริงเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องโกหก? ไม่เชื่อเจ้าก็ถามเสี่ยวเอ้อ ข้าที่ไปก่อน หรือน้องสาวเจ้าไปก่อน”


 


 


อวี้เทียนมองเสี่ยวเอ้อ


 


 


เสี่ยวเอ้อรีบพูด “เป็นคุณหนูอวี้ที่พาสาวใช้มาถึงก่อนจริงๆ พวกนางขลุกอยู่ในภัตตาคารประมาณครึ่งชั่วยามได้ แม่นางท่านนี้ถึงเข้ามา แต่แม่นางท่านนี้ได้ออกไปก่อนหนึ่งครั้ง ประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าถึงกลับมา พาชายหนุ่มและหญิงที่เริ่มมีอายุนางหนึ่งกลับมา พอสองคนนั้นเข้าไปในห้องรับรอง ไม่นานเท่าไหร่ก็ออกมา จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ออกไปพร้อมกัน”


 


 


อวี้เทียนชี้เมิ่งเสียนถามเขา “ชายหนุ่มคนนั้นคือเขาใช่หรือไม่?”


 


 


เสี่ยวเอ้อพินิจมองครู่หนึ่งแล้วพูด “ตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจดู เหมือนจะใช่ แต่ก็เหมือนไม่ใช่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความปรารถนาดี “สองคนนั้นก็คือพี่ใหญ่และท่านแม่ข้า วันนั้นหลังจากคุณหนูอวี้เรียกข้าเข้าไปในห้องรับรอง ถามข้าว่าทำไมบ้านพวกเราถึงไม่ไปทาบทามสู่ขอ ข้าบอกนางว่าบิดามารดาข้าไม่ยินยอม นางกลับวิงวอนขอร้องข้า ให้ข้าช่วยพูดแทนนาง ให้บิดามารดาข้ายอมเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เรื่องเช่นนี้ข้าจะตัดสินใจได้อย่างไร ถึงได้รีบร้อนกลับไปตามพี่ใหญ่และท่านแม่ข้ามา ให้คุณหนูอวี้พูดคุยกับพวกเขาเอง พวกเราเป็นคนบ้านนอก แต่งเอาคุณหนูใหญ่บอบบางอ้อนแอ้นเข้าบ้าน วันๆ คงได้แต่เฝ้าประคมประหงำ ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ข้าก็ไม่ตกลง หลังจากพูดเหตุผลที่พวกเราบอกปฏิเสธไป พวกเราสามคนก็กลับบ้านพร้อมกัน ส่วนที่ว่าภายหลังทำไมคุณหนูอวี้ถึงหายตัวไป พวกเราก็ไม่รู้แล้ว”


 


 


อวี้เทียนยังคงถามอย่างไม่เชื่อ “หากไม่ใช่พวกเจ้าเอาตัวนางไปซ่อน น้องสาวข้าจะหายไปได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียดสี “คุณชายอวี้ เป็นคุณหนูอวี้ที่อยากแต่งงานกับพี่ใหญ่ข้า หากพวกเราเห็นชอบ นางคงรีบแต่งเข้ามาทันที เหตุใดพวกเราต้องเอานางไปซ่อน? ท่านไม่คิดว่าเหตุผลนี้น่าขบขันไปหน่อยหรือ?”


 


 


อวี้เทียนสะอึกกึก พูดไม่ออก


 


 


ซุนซ่านเหรินได้ฟังพอประมาณแล้ว ยิ้มตาหยีพูด “หลานอวี้ เรื่องนี้ข้าฟังเข้าใจแล้ว น้องสาวเจ้าหายตัวไป ไม่เกี่ยวข้องกับแม่นางเมิ่งจริงๆ เจ้ามาขวางทางหาเรื่องเช่นนี้ เป็นการทำเกินกว่าเหตุ”


 


 


อวี้เทียนที่พอได้ยินเสี่ยวเอ้อบอกว่าก่อนที่อวี้อวี่จะหายตัวไป ได้พบเมิ่งเชี่ยนโยวที่ภัตตาคาร เขาจึงเอาแต่ยึดมั่นว่าเป็นพวกนางที่จับตัวน้องสาวตัวเองไปซ่อน จึงนำกำลังคนมาซุ่มอยู่หน้าประตูเมืองหลายวันแล้ว แต่ตอนนี้มาได้ยินนางพูดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องจับน้องสาวตนเองไปซ่อน เพราะหลังจากวันนั้นที่เขากลับมาบ้าน บิดามารดาเขาก็บอกเขาแล้ว ว่าอวี้อวี่พึงใจเมิ่งเสียน ร้องอาละวาดจะแต่งกับเขาให้ได้ พวกเขาสองคนคิดว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอก ทั้งครอบครัวยากจน อวี้อวี่แต่งงานไปแล้วจะลำบาก ถึงไม่ได้รับปาก เมื่อเป็นเช่นนี้ บ้านเมิ่งก็ไม่มีเหตุผลซ่อนตัวนาง เหมือนที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ขอแค่พวกเขายินยอมมาสู่ขอก็พอแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากอีก


 


 


คิดได้เช่นนี้ อวี้เทียนก็รู้สึกว่าตัวเองร้อนใจเกินไป ไม่คิดเรื่องราวให้รอบคอบ ก็ออกมาขวางล้อมพวกเขา แต่ก็ลดศักดิ์ศรีขอโทษไม่ได้ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้ควรทำอย่างไร


 


 


ซุนซ่านเหรินอ่านความคิดเขาออก ยิ้มตาหยีพูด “หลานอวี้ ข้าว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่เช่นนั้นข้าขอเป็นคนกลางพูดไกล่เกลี่ยให้ เรื่องในวันนี้ให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ภายหน้าไม่ต้องหาความกันและกันอีก”


 


 


อวี้เทียนกำลังกลัดกลุ้มว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไร ได้ยินคำพูดซุนซ่านเหรินก็เห็นพ้องพลัน พูดตามน้ำว่า “เมื่อท่านเอ่ยปาก เรื่องนี้ก็ให้ว่าตามนี้เถอะ ท่านวางใจ ภายหน้าข้าจะไม่หาเรื่องพวกเขาอีก”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มตาหยีถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้าล่ะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ต่อสู้ไปหนึ่งยก ระบายความเคืองขุ่นในใจที่อัดอั้นมาหลายวัน บวกกับเรื่องที่อวี้อวี่หนีไปตนเองก็มีส่วนช่วยพวกเขา ดังนั้นก็พยักหน้าเห็นพ้อง ตอบว่า “ว่าตามท่านเถอะ”


 


 


ซุนซ่านเหรินหัวเราะเสียงต่ำพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ หากภายหน้าใครมาหาเรื่องอีกฝ่ายเพราะเรื่องนี้ แปลว่าไม่เห็นหัวข้า”


 


 


อวี้เทียนรีบร้อนพูด “ไม่แน่นอนๆ”


 


 


ซุนซ่านเหรินลูบเครา ยิ้มตาหยีพูด “เช่นนั้นก็ดี”


 


 


เมื่อเรื่องกระจ่างแล้ว อวี้เทียนก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ จึงแสดงความเคารพซุนซ่านเหริน พูดอย่างนอบน้อม “ท่านลุงซุน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า หัวเราะเฮอะๆ “กลับไปแล้วบอกบิดาเจ้า วันไหนถ้ามีเวลา พวกเราไปดื่มชาที่หอน้ำชาด้วยกัน”


 


 


อวี้เทียนรับปากยินดี “ข้ากลับไปถึง จะต้องบอกบิดาข้า เขาจะต้องดีใจมาก”


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า


 


 


อวี้เทียนแสดงความเคารพอีกครั้ง หันหลังพูดกับผู้ติดตาม “ไป!”


 


 


บรรดาผู้ติดตามตามอวี้เทียนกลับจวน


 


 


เสี่ยวเอ้อเห็นว่าตัวเองหมดธุระแล้ว ก็รีบกลับไปทำงานที่ภัตตาคารต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับซุนซ่านเหริน “เย็นมากแล้ว พวกเราก็ควรกลับแล้ว เรื่องในวันนี้ขอบคุณท่านมาก”


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือ หัวเราะพูด “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว เรื่องเล็กน้อย อย่าได้เอ่ยถึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจอีก หันหลังขึ้นรถม้า


 


 


ซุนเหลียงไฉหันไปพูดกับซุนซ่านเหริน “ท่านปู่ ข้าไปนะ” พูดจบตามขึ้นรถม้าอย่างไม่อาวรณ์แม้แต่น้อย


 


 


ซุนซ่านเหรินนิ่งงันอยู่ตรงนั้น กระทั่งรถม้าของพวกเขาจากไปไกล ก็ยังไม่ได้สติกลับมา


 


 


คนรับใช้ร้องเรียกอย่างระวัง “นายท่าน!”


 


 


ซุนซ่านเหรินตื่นจากภวังค์ หัวเราะร่วนพูด “ดีๆ!”


 


 


คนรับใช้มองเขาอย่างไม่เข้าใจ


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวและคนทั้งหมดมาถึงบ้าน ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เมิ่งชื่อกำลังยืนชะเง้อมองอย่างกระวนกระวายอยู่หน้าประตู เห็นรถม้าเข้ามา รีบร้อนถาม “เสียนเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่? เหตุใดพวกเจ้าถึงกลับมาป่านนี้?”


 


 


ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ แย่งตอบก่อน “วันนี้ซุนเหลียงไฉได้รับคำชมจากอาจารย์ ข้ารับปากจะทำหมูในน้ำมันให้เขา เสียเวลาไปเล็กน้อยตอนซื้อเนื้อหมู ถึงกลับมาค่ำ”


 


 


ได้ยินว่าไม่เกิดเรื่องอะไร เมิ่งชื่อก็โล่งใจ พูดตำหนิ “ต่อไปจะกินอะไรให้บอกเร็วกว่านี้ แม่จะเตรียมให้พวกเจ้าเอง แต่ห้ามกลับมาดึกเช่นนี้อีก แม่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินไปตรงหน้านาง คล้องแขนนาง เดินเข้าไปในบ้านพลางยิ้มร่าพูด “ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล ไม่เกิดเรื่องอันใดกับพวกเราดอก”


 


 


เมิ่งชื่อคิดจะพูดอีก เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยกหมูเนื้อแดงในมือพูดแทรกขึ้น “ท่านแม่ ท่านช่วยหั่นเนื้อให้ข้าได้ไหม ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง”


 


 


เมิ่งชื่อรับเนื้อจากมือนางแล้วพูด “ไปเถอะ แม่จะเตรียมวัตถุดิบให้เจ้า ประเดี๋ยวเจ้าออกมาทำได้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแป้นพูด “ท่านแม่ดีที่สุด ขอบคุณท่านแม่” พูดจบเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง


 


 


เมิ่งชื่อรู้สึกว่าวันนี้บุตรสาวอารมณ์ดีมาก ถามเมิ่งอี้เซวียนที่เพิ่งพ้นประตูเข้ามาอย่างข้องใจ “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้า? เหตุใดโยวเอ๋อร์ถึงอารมณ์ดีเช่นนี้?”


 


 


ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนตอบ ซุนเหลียงไฉก็แย่งพูดขึ้น “วันนี้พวกเรา…” ยังพูดไม่จบ เมิ่งอี้เซวียนรีบปิดปากเขาตอบอย่างเร็วรี่ “คงเพราะวันนี้ซุนเหลียงไฉได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ ทำให้นางอารมณ์ดีเช่นนี้”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า ถือเนื้อหมูเดินเข้าครัว


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถึงเอามือออกจากปากซุนเหลียงไฉ


 


 


ซุนเหลียงไฉถามอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าต้องปิดปากข้า?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดกับเขาเสียงเบา “เมื่อครู่หากเจ้าเอาเรื่องที่พวกเรากลับมาช้าพูดไปตามจริง พรุ่งนี้เช้าโยวเอ๋อร์ต้องให้เจ้าวิ่งวนรอบท่อนไม้สามสิบรอบเป็นแน่”


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจตัวสั่น ถามเขาเสียงเบา “เพราะอะไร?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตอบ “โยวเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวล”


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงร้อง “อ่อ” พูดอย่างใจหาย “โชคดีที่เมื่อครู่เจ้าปิดปากข้า ไม่เช่นนั้นข้าได้ดวงซวยอีกแน่”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ตอบเขา กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง


 


 


ภายในห้องถูกจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ชุดฉางเผ่าที่ซุนเหลียงไฉถอดทิ้งไว้เมื่อเช้าก็ถูกซักตากจนแห้งดี พับเก็บเป็นระเบียบวางอยู่บนเตียงเตา


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ได้สนใจอะไร นำฉางเผ่าที่ซักสะอาดแล้วมาวางรวมกับเสื้อผ้าที่นำติดตัวมา


 


 


ตอนเช้าที่เมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าห้องมาเตรียมอุปกรณ์การเรียนให้ซุนเหลียงไฉ เห็นสภาพห้องยุ่งเหยิง ผ้าห่มก็ไม่ได้พับ เสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วก็ทิ้งสะเปะสะปะ ตอนนี้กลับมาเห็นห้องสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย รู้ว่าจะต้องเป็นเมิ่งชื่อช่วยเก็บห้องให้พวกเขา จึงพูดกับซุนเหลียงไฉว่า “โยวเอ๋อร์บอกว่าเรื่องของตัวเองต้องจัดการเอง ต่อไปทุกวันพอเจ้าตื่นนอน ต้องพับผ้าห่มของตัวเองวางให้เป็นระเบียบ ยังมีเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วของเจ้า ห้ามโยนสะเปะสะปะ ให้วางพาดไว้บนเก้าอี้ นี้ พอท่านแม่ข้าเข้ามาจะนำออกไปซักให้เจ้า”


 


 


เกิดมาซุนเหลียงไฉก็ไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ ได้ยินก็ตาโตถามอย่างตกตะลึง “ต้องพับผ้าห่มด้วยตัวเอง?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า


 


 


ซุนเหลียงไฉฟุบไปบนเตียงเตาด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดอีกประโยค “หากเป็นที่โรงเรียนกินนอน เสื้อผ้าของตัวเองก็ต้องซักเอง”


 


 


ซุนเหลียงไฉฟุบหน้าไปบนเตียงเตาแกล้งตายแน่นิ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เมิ่งชื่อก็เตรียมวัตถุดิบให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นนางออกมา เมิ่งชื่อติดไฟ เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแม่ครัว ไม่นานหมูในน้ำมันหอมกรุ่นก็ออกจากเตา


 


 


ซุนเหลียงไฉที่ยังแกล้งตายได้กลิ่นหอมฉุย ถลันตัวลุกขึ้นพลัน หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “หมูในน้ำมันทำเสร็จแล้ว” พูดจบรีบวิ่งปรู๊ดออกไป


 


 


เห็นท่วงท่าแคล่วคล่องปราดเปรียวของเขา เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าขบขัน เดินตามออกไป


 


 


เมิ่เงสียนและเมิ่งฉีตักข้าวเตรียมวางไว้บนโต๊ะแล้ว เมิ่งชื่อยกอาหารจำนวนหนึ่งที่ตัวเองทำเสร็จไว้นานแล้ววางบนโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยววางหมูในน้ำมันไว้กลางโต๊ะอย่างระมัดระวัง


 


 


ทั้งครอบครัวนั่งพร้อมหน้าลงมือกินอาหารค่ำ


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นหมูในน้ำมันที่อยากกินมานานวางอยู่ตรงหน้า ดวงตาเปล่งประกาย หยิบตะเกียบคีบเนื้อหมูใส่ปาก เคี้ยวไปพูดไปว่า “อร่อยมาก!”


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มพูด “อร่อยคุณชายน้อยซุนก็กินเยอะๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว


 


 


ซุนเหลียงไฉรับคำ คีบเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก กินอย่างสำราญใจ


 


 


เมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงเห็นแล้วน้ำลายสอ คีบเนื้อจำนวนหนึ่งมากิน เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีคีบเนื้อมากินบ้างทีละชิ้น เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อกลับกินอาหารที่เหลือสองจาน เป็นเช่นนี้ หมูในน้ำมันกะละมังใหญ่ไม่นานก็เห็นก้นกะละมัง ซุนเหลียงไฉยังกินไม่พอ ลุกขึ้นยืน ใช้ตะเกียบควานหาในกะละมัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบและถ้วยข้าว พูดอย่างฉุนเฉียว “นั่งลง!”


 


 


ซุนเหลียงไฉตกใจตะเกียบเกือบจะร่วงใส่กะละมัง ลนลานนั่งลง แหงนหน้ามองนางอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขา “ไม่มีใครสอนเจ้าเวลากินข้าวต้องมีมารยาทเรอะ? คนมากมายกินข้าวด้วยกัน ให้อาหารอร่อยแค่ไหนก็ห้ามลุกขึ้นยืนกิน อีกทั้งอาหารหนึ่งกะละมังใหญ่นี้เจ้ากินไม่สนใจใครไปกว่าครึ่งแล้ว”


 


 


ซุนเหลียงไฉอยู่ที่บ้านถูกตามใจจนเสียเด็ก ไม่ว่ามีของอร่อยอะไร จะต้องให้เขาได้กินได้ดื่มก่อน ไม่เคยมีใครบอกเขามาก่อนว่า ต้องเอื้อเฟื้อคนอื่น อีกทั้งเขากินข้าวอยู่ที่บ้านมีแต่คนปรนนิบัตพัดวี ขอเพียงรู้สึกว่าอาหารชนิดไหนอร่อย แค่ชี้มือก็จะมีสาวใช้ยกมาให้ทันที ไฉนเลยจะต้องลุกขึ้นยืนคีบเอง จึงยิ่งไม่มีคนบอกเรื่องพวกนี้กับเขา ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวดุว่า ย่อมรู้สึกน้อยใจอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


 


เมิ่งชื่อพูดเตือน “โยวเอ๋อร์ คุณชายน้อยซุนอยู่ที่บ้านถูกคนตามใจจนเคยชิน ยังปรับตัวไม่ได้ ให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ ก็จะดีเอง”


 


 


เมิ่งชื่อฉวยโอกาสพูด “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเอาแต่เรียกเขาว่าคุณชายน้อยซุนได้แล้ว เรียกชื่อเขาตามตรงก็พอ”


 


 


พูดจบก็หันไปพูดกับซุนเหลียงไฉ “หากเจ้ารู้สึกอร่อย ยังกินไม่พอ ให้บอกข้า ข้าทำให้เจ้าอีกได้ ครั้งหน้าหากเจ้ายืนขึ้นมาตักอาหารอีก ดูว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”


 


 


ซุนเหลียงไฉที่พอได้ยินว่าต่อไปเมิ่งเชี่ยนโยวจะทำให้กินอีกบ่อยๆ ก็ดีอกดีใจ พยักหน้าเป็นพัลวัน “ข้ารู้แล้ว” พูดจบนั่งอย่างสงบเสงี่ยม ยกถ้วยโจ๊กของตัวเองเข้าปาก

 

 

 


ตอนที่ 145.3

 

 ไกล่เกลี่ย

 


 


 


กินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยเมิ่งชื่อเก็บล้างถ้วยชามเสร็จ หลังจากให้เมิ่งอี้เซวียนช่วยซุนเหลียงไฉทำการบ้าน ถึงหันมาพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ พวกเราไปบ้านท่านปู่ท่านย่ากันเถอะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาพวกเขา”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า เดินไปพลางพูดกับนาง “เจ้ามีเรื่องอะไรจะปรึกษาท่านปู่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่วันนี้ผู้ใหญ่บ้านและภรรยามาบ้านตัวเอง ฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไขสองข้อกับเขา


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินนิ่งงัน ครู่หนึ่งถึงถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “ผู้ใหญ่บ้านต้องการสูตรเนื้อรมควันของพวกเรา?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบร้อนพูด “ไม่ได้ หากมอบสูตรให้พวกเขา ครอบครัวเราจะทำอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา “ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าไม่ได้รับปาก ข้ากำลังจะไปปรึกษาท่านปู่ท่านย่ากับท่านอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือ “ไม่ต้องไปปรึกษา ท่านปู่ท่านย่าจักต้องไม่เห็นด้วย พวกเราหาวิธีอื่นปลูกบ้านให้เหรินเอ๋อร์เถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านพ่อ เมื่อผู้ใหญ่บ้านมีความคิดเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเราคิดวิธีอะไร เขาก็จะขัดขวางพวกเรา สู้พวกเราฉวยโอกาสนี้ ยื่นโจทย์ยากให้เขา หากเขาตกลง ภายหน้าพวกเราทำอะไรก็จะไม่มีอุปสรรคอีก หากเขาไม่ตกลง ภายหน้าก็จะไม่กล้ากลั่นแกล้งพวกเราง่ายๆ อีก”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “โจทย์ยากอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพราว ตอบเสียงต่ำ “ข้าอยากให้เขาถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ให้ลุงใหญ่มาเป็นแทน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินตกใจจนหุบปากไม่ลง ตะลึงค้างมองบุตรสาวตนเอง


 


 


เห็นอาการของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาตกใจในความคิดของตัวเอง ยังตกอยู่ในภวังค์ ยืนรอข้างๆ อย่างอดทน รอให้เขาค่อยๆ ทำใจได้


 


 


ครู่ใหญ่เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พูดอย่างขวัญผวา “จะเป็นไปได้อย่างไร? ผู้ใหญ่บ้านเป็นนานหลายปีแล้ว เขาจะยอมถอนตัวจากตำแหน่งได้อย่างไร? เจ้าห้ามมีความผิดเช่นนี้อีก หากให้ผู้ใหญ่บ้านรู้เข้า เขาจะต้องคอยกลั่นแกล้งพวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “ตอนนี้เขาไม่ได้คอยกลั่นแกล้งพวกเราหรือ?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “เขาเพียงไม่ให้พวกเราปลูกเรือนบนที่ผืนใหญ่นั้น ไม่นับว่ากลั่นแกล้งพวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นต่อไปเล่า? อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะซื้อภูเขา ซื้อที่ดิน ปลูกฉั่งฉิก ปลูกมันฝรั่ง ถึงตอนนั้นเขาจะต้องยื่นเงื่อนไข ไม่แน่ว่าจะสาหัสยิ่งกว่าครั้งนี้ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเราไม่ตกลง พวกเราก็จะปลูกสิ่งของมีมูลค่าพวกนั้นไม่สำเร็จ หากเป็นเช่นนั้นครอบครัวพวกเราจะอดหาเงินได้อีกปีละหลายแสนตำลึง”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกลืนน้ำลายอีกอึก ถามตะกุกตะกัก “หลายแสนตำลึง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ แต่ละปีจะสูญเสียมากเช่นนี้ ท่านทำใจได้หรือ?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้า พูดอย่างปวดใจ “ทำใจไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองโดยรอบ เข้าใกล้เมิ่งเอ้ออิ๋นแล้วพูดเสียงเบายิ่งขึ้น “ดังนั้น ข้าถึงอยากให้ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านว่างลง ให้ลุงใหญ่เป็นแทน เช่นนั้นต่อไปพวกเราก็จะไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากมากมายเช่นนี้อีก และไม่ต้องสูญเสียเงินก้อนโตนี้”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นฟังจบ กัดฟันแล้วตัดสินใจพูด “โยวเอ๋อร์ แล้วแต่เจ้า”


 


 


สองพ่อลูกมาถึงบ้านใหญ่ ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เพิ่งล้างถ้วยชามเสร็จ เห็นสองพ่อลูกเข้ามา ร้องทักทายดีใจ “น้องรอง โยวเอ๋อร์มาแล้ว เข้ามานั่งในบ้านก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่งเสียงเรียก “ท่านป้าใหญ่”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ส่งยิ้มซักถามนาง “วันนี้โยวเอ๋อร์ดีใจเช่นนี้ มีเรื่องยินดีอะไรหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงเบื้องหน้านาง พูดจาลึกๆ ลับๆ “ไม่ใช่ข้ามีเรื่องยินดี แต่เป็นครอบครัวเราที่มีเรื่องยินดี”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ฟังดีใจถามนาง “หรือผู้ใหญ่บ้านรับปากจะขายที่ดินผืนนั้นให้พวกเราแล้ว?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มตอบ “น่ายินดียิ่งกว่าเรื่องนี้อีก”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินถามกลับอย่างตกใจ “น่ายินดีกว่าเรื่องนี้ เช่นนั้นเป็นเรื่องอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโยกโย้ พูดหน้าทะเล้น “อีกประเดี๋ยวท่านป้าก็รู้” พูดจบเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินเดินตามหลังเข้าบ้าน ร้อนใจพูด “โยวเอ๋อร์ เจ้าเลิกโยกโย้ได้แล้ว รีบบอกป้าใหญ่มาว่าเรื่องอะไรกันแน่?”


 


 


ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียก หญิงชราเมิ่งก็แย้มยิ้มพูด “โยวเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรกับป้าใหญ่ นางอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกทุกคนเสร็จ ถึงหยอกเอินภรรยาเมิ่งต้าจินต่อ “ป้าใหญ่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าท่านเป็นคนใจร้อน?”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดขู่นาง “หากเจ้ายังไม่พูด ป้าใหญ่จะเอาจริงแล้วนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูด “ได้ๆๆ ข้าพูดๆ”


 


 


พูดจบ ก็ยิ้มพูดเงื่อนไขสองข้อของผู้ใหญ่บ้านออกมา


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินสะดุ้งตกใจ พูดว่า “โยวเอ๋อร์ นี่หาใช่เรื่องดีไม่ เหตุใดเจ้ายังหัวเราะออกมาได้ ข้าขอบอกเจ้า พวกเราขอยืนหยัดไม่ใช้วิธีนี้ไปแลกที่ดินผืนนั้น อย่างมากพวกเราก็รอให้เหรินเอ๋อร์สอบคัดเลือกขุนนางเสร็จก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


หญิงชราเมิ่งก็ไม่เห็นด้วย โมโหร้องก่นด่า “สองผัวเมียหน้าเนื้อใจเสือคู่นั้น ปีที่แล้วหากไม่ได้โยวเอ๋อร์ของเราซื้อต้าเป่าของพวกเขาไว้ หลานชายสองคนของพวกเขา ไม่รู้ว่าถูกขายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ตอนนี้กลับจะตอบแทนคุณด้วยความแค้น ยื่นข้อเสนอเกินควรเช่นนี้ ไม่กลัวบาปกรรมตามทัน ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ บ้างเรอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเตือน “ท่านย่า อย่าเพิ่งโมโห ข้ามิได้รับปากพวกเขา เข้ามาปรึกษาพวกท่านอย่างไร?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็พูดอย่างเคืองขุ่น “มีอะไรต้องปรึกษากัน พวกเราไม่รับปากเด็ดขาด ให้ความปรารถนาพวกเขาไม่เป็นผล”


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยาก็พยักหน้าสนับสนุน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านปู่ ข้ากลับมิได้คิดเช่นนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดีของครอบครัวพวกเราก็ได้”


 


 


เมิ่งจงจวี่ถามอย่างไม่เข้าใจ “ครอบครัวพวกเรากำลังต้องเสียโรงงานไป จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องที่เพิ่งบอกเมิ่งเอ้ออิ๋นกับทุกคนอีกรอบ


 


 


คนทั้งหมดไม่คิดว่านางจะมีความคิดเช่นนี้ ต่างตะลึงค้าง


 


 


ภายในห้องกลายเป็นความเงียบสงัด


 


 


ครู่หนึ่งเมิ่งจงจวี่ถึงพูดขึ้น “ลุงใหญ่เจ้าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ลุงใหญ่ก็รู้เรียนเขียนอ่านได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีพวกเราหนุนหลัง เหตุใดถึงจะเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ได้?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ตอบนาง “แต่เมื่อก่อนลุงใหญ่เจ้าชื่อเสียงไม่ดี กระทำเรื่องผิดไว้มาก คนในหมู่บ้านคงไม่เห็นด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ลุงใหญ่ขโมยของคนหรือไม่?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “ลุงใหญ่ผิดลูกเมียผู้อื่นหรือไม่?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ยังคงส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามอีก “เช่นนั้นลุงใหญ่กระทำเรื่องผิดอันใด?”


 


 


“เอ่อ…” เมิ่งจงจวี่ลูบเครา พูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อก่อนลุงใหญ่เพียงเกียจคร้านไม่ทำงาน ไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรงอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่เขาช่วยข้าดูแลโรงงานรมควันเนื้ออย่างอุตสาหะหมั่นเพียร ทำงานร่วมกับคนงานด้วยตัวเอง คนในหมู่บ้านต่างเห็นทั้งหมดนี้อย่างชัดแจ้ง ขอเพียงพวกเราเสนอ คนในหมู่บ้านไม่มีทางคัดค้าน ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาทั้งละโมบชอบใช้อำนาจ พวกเขามีแต่อยากเห็นผู้ใหญ่บ้านลงจากตำแหน่งนานแล้ว อีกอย่าง ข้าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านพูดว่า เวลาเลือกผู้ใหญ่บ้าน เพียงแค่ให้หัวหน้าสกุลแต่ละสกุลแนะนำก็ได้แล้ว”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้าพูด “ผู้ใหญ่บ้านต้องให้หัวหน้าสกุลทั้งหลายเป็นผู้คัดเลือก แต่หลายปีมานี้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับผู้ใหญ่บ้าน คิดว่าคงไม่รับปากแนะนำลุงใหญ่เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน”


 


 


“เรื่องนี้ยิ่งง่าย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ครั้งก่อนที่ข้ารับสมัครคนงาน หัวหน้าสกุลต่างๆ ยังติดค้างหนี้บุญคุณท่านอยู่ไม่ใช่หรือ? ท่านไปพูดทวงคืนจากพวกเขา หากพวกเขายังไม่เห็นด้วย ท่านก็บอกพวกเขา อีกไม่นานข้าจะซื้อภูเขาและที่ดินรกร้างอีกจำนวนมาก ต้องการคนจำนวนมากบุกเบิกพื้นที่ หากพวกเขาเห็นชอบให้ลุงใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ข้าจะเลือกรับคนที่ทำงานแข็งขันในสกุลของพวกเขาก่อน หากพวกเขาไม่เห็นชอบ ข้าจะไปรับคนต่างหมู่บ้าน ดูว่าถึงตอนนั้นพวกเขาจะตอบคนในสกุลตัวเองอย่างไร”


 


 


ฟังนางพูดจบ เมิ่งจงจวี่พูดอย่างลังเล “ทำเช่นนี้จะไม่ค่อยดีนะ นี่เท่ากับไปขู่กรรโชกพวกเขา หากพวกเขาโมโห จะยิ่งไม่เห็นชอบให้ลุงใหญ่เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านปู่ ท่านพูดผิดแล้ว นี่มิใช่การขู่กรรโชก นี่เป็นแผนการ พูดไม่พูดอยู่ที่พวกเรา เห็นชอบหรือไม่อยู่ที่พวกเขา เราแค่มอบสิทธิ์การตัดสินใจให้พวกเขา อยู่ที่ว่าพวกเขาจะเลือกอย่างไรแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)