ข้ามกาลบันดาลรัก 135.2-139.1

 ตอนที่ 135.2

 

ข้าก็คือผู้ปกครอง

 


 


 


วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนนั่งรถม้ามาถึงโรงเรียนในเมืองด้วยกัน


 


 


อาจารย์เวรก็คืออาจารย์ที่รับผิดชอบการลงทะเบียนวันนั้น พอเห็นเมิ่งอี้เซวียนกับเด็กสาวที่อายุมากกว่าเขาหน่อยเดินมา นึกว่ามาส่งเมิ่งอี้เซวียนเข้าเรียน รู้สึกประหลาดใจ ลอบคิด ตอนลงทะเบียนไม่เห็นคนในครอบครัวมาด้วย เหตุใดมาเข้าเรียนวันที่สองถึงมีคนในครอบครัวมาส่ง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินมาตรงหน้าอาจารย์ กล่าวทักทายอย่างมีมารยาท แล้วบอกเรื่องที่อาจารย์ผู้สอนให้พาคนในครอบครัวมาด้วยกับเขา


 


 


เมื่อวานอาจารย์เวรได้ยินเรื่องที่มีคนวิวาทกันในห้องเรียนแล้ว แต่ไม่รู้เรื่องที่ให้เรียกคนในครอบครัวมา ได้ฟังก็พูดว่า “อาจารย์ผู้สอนพวกเจ้ามิได้บอกเรื่องนี้กับข้า ให้คนในครอบครัวเจ้ารอด้านนอกก่อน ข้าจะไปถามอาจารย์พวกเจ้าก่อนค่อยให้นางเข้าไป”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า มองดูเวลายังเช้า จึงยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียนพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


รถม้าหรูหราคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบ ซุนเหลียงไฉลงมาจากรถม้า เห็นเมิ่งอี้เซวียนและเด็กสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับตนเองยืนอยู่หน้าประตู พูดเย้ยหยัน “ถึงว่าเจ้าช่างแร้นแค้นนัก ที่แท้ก็ไม่มีพ่อแม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว


 


 


บนรถม้ามีชายวัยกลางคนและชายชราเดินตามลงมา


 


 


ชายชราลงมาก็ได้ยินคำพูดเยาะหยันของซุนเหลียงไฉ จึงพูดเอ็ด “ไฉเอ๋อร์ พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ขอโทษเขาเดี๋ยวนี้”


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดอย่างไม่พอใจ “เมื่อวานเขาที่ทำร้ายข้า ทำไมข้าต้องขอโทษเขาด้วย”


 


 


ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดซุนเหลียงไฉ เดินเข้ามาอย่างเดือดดาล ถามขึ้น “เมื่อวานเป็นเจ้าที่ทำร้ายบุตรชายข้า เจ้าเด็กจัญไร เบื่อใช้ชีวิตแล้วใช่ไหม ดูเสียบ้างว่าบุตรชายข้าเป็นใคร ให้เจ้ามาหาเรื่องได้รึ เจ้าจงรีบขอขมาบุตรชายข้า ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวเจออาจารย์ข้าจะให้เขาไล่เจ้าออก ให้ต่อไปเจ้าเข้ามาเรียนไม่ได้อีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ แสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ “วันนี้ลมแรงมาก ไม่บาดโดนลิ้นท่านใช่หรือไม่”


 


 


ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้ง พอรับรู้ว่านางหมายความว่าอะไร ก็อับอายจนกลายเป็นความโกรธ “นังตัวดี กล้ามาหาว่าข้าพูดคุยโว เจ้ารอก่อนเถอะ ดูว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่นบนอบและไม่วางโต “พร้อมรอทุกเมื่อ”


 


 


ชายวัยกลางคนไม่คิดว่าเด็กสาวจะไม่หวาดกลัว ยังกล้าต่อปากกับเขา พลันมีน้ำโห ยื่นมือออกไปหมายจะตบนาง


 


 


ชายชราร้องตวาด “หยุดนะ!”


 


 


ชายวัยกลางคนได้ยินเสียงตวาดของชายชรา ชักมือกลับอย่างเคืองขุ่น แต่ยังไม่ลืมพูดคุกคาม “พวกเจ้ารอไปก่อน ดูว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”


 


 


ชายชราเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน มองประเมินทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เมื่อวานพอไฉเอ๋อร์กลับไป เสื้อผ้าขาดวิ่น ที่ตัวก็มีรอยฟกช้ำหลายแห่ง บิดาเขาเห็นแล้วปวดใจ ทำให้ใจร้อนไปบ้าง พวกเจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “พวกเขาหกคนรุมพวกเราคนเดียว ข่วนหน้าเขาจนเป็นเช่นนี้ พวกเราปวดใจเสียยิ่งกว่าพวกท่าน”


 


 


ชายชราเห็นรอยแผลหลายแผลบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียน สูดลมเย็นเข้าปาก ถามขึ้น “นี่เป็นรอยแผลขีดข่วนของพวกไฉเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “ท่านว่าอย่างไรเล่า หรือเป็นพวกเราอยู่ว่างๆ ก็เลยข่วนหน้าเขาเล่น”


 


 


ชายวัยกลางคนเห็นนางพูดจาไม่สำรวม อารมณ์คุกรุ่นอีกครั้ง แผดเสียงพูดดังลั่น “นังตัวดี พูดอะไรของเจ้า คนบ้านนอกอย่างพวกเจ้า ผิวหนังหยาบกร้าน ข่วนหน้าพวกเจ้าไม่กี่แผลแล้วอย่างไร หาได้ถึงแก่ชีวิตไม่ อย่างมากพวกเราชดใช้เงินให้ก็จบแล้ว”


 


 


ชายชราพูดเอ็ด “หุบปาก”


 


 


ชายวัยกลางคนเบะปาก ไปยืนอีกด้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแสร้งถามอย่างสนใจ “ไม่ทราบว่าพวกท่านจะชดใช้ให้พวกเราเท่าไหร่”


 


 


ชายวัยกลางคนเห็นท่าทีละโมบของนาง พูดอย่างดูแคลน “แผลเล็กน้อยบนใบหน้าเขา หากเป็นคนอื่น ให้หนึ่งตำลึงก็มากล้นฟ้าแล้ว ข้ามีเมตตา เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่มีพ่อแม่ จะให้พวกเจ้าสิบตำลึง แต่ว่า เจ้าต้องให้เขาขอขมาเหลียงไฉของพวกเราต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง ยอมรับว่าเขาที่ทำผิดเอง และรับประกันว่าต่อไปจะไม่มาหาเรื่องพวกเราอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “โอ้โห ให้เงินมากเช่นนี้เลยหรือ”


 


 


ชายวัยกลางคนพูดอย่างย่ามใจ “ว่าอย่างไร พวกเจ้าโตขนาดนี้คงไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้ ขอเพียงพวกเจ้าขอขมา เงินพวกนี้ก็จะเป็นของพวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ชายวัยกลางคนยิ่งทวีความลำพองใจ แอ่นอกพูดอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ อีกประเดี๋ยวพอเจออาจารย์ พวกเจ้าก็จงพูดเช่นนี้ เมื่อออกมาแล้วข้าจะมอบเงินสิบตำลึงให้พวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับคำเขา แต่หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “อี้เซวียน เงินค่าขนมที่ข้าให้ เจ้าพกมาด้วยหรือไม่”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง แล้วก็ได้สติพลัน ล้วงเงินยี่สิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พกมาเพียงเท่านี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตำหนิ “ข้าบอกเจ้าแล้วไง ให้พกเงินค่าขนมมามากกว่านี้ หากเจอพวกหมาพวกแมวขวางหาขวางตา มาหาเรื่องเจ้า เจ้าก็ใช้เงินทุ่มใส่เขา”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพกมามากกว่านี้”


 


 


ชายวัยกลางคนเห็นเมิ่งอี้เซวียนหยิบเงินออกมาพรวดเดียวยี่สิบตำลึง รู้ว่าตัวเองถูกแกล้งแล้ว โมโหจนจมูกเบี้ยว แผดเสียงพูด “นังตัวแสบ กล้ามาแกล้งข้า อีกประเดี๋ยวข้าจะให้อาจารย์ใหญ่ไล่พวกเจ้าออก”


 


 


ชายชราเห็นเมิ่งอี้เซวียนหยิบเงินออกมายี่สิบตำลึงก็ตกใจไม่น้อย ทำการมองประเมินพวกเขาใหม่อีกครั้ง แอบลอบขบคิดว่าเป็นบ้านสกุลไหนมีเงินทองล้นเหลือเช่นนี้ ให้เด็กพกเงินค่าขนมมาโรงเรียนถึงยี่สิบตำลึง ปากกลับตะเบ็งเสียงด่าดังลั่น “เจ้าลูกไม่ได้เรื่อง ไสหัวไป หากยังพูดเหลวไหลอีก เรื่องของไฉเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องมายุ่งอีก”


 


 


 ชายวัยกลางคนร้องโวยวาย “ไฉเอ๋อร์เป็นบุตรชายข้า เขาถูกคนรังแกเรื่องใหญ่เช่นนี้ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร ข้าจักต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เขา บุตรชายข้าจะถูกคนรังแกฝ่ายเดียวไม่ได้”


 


 


ซุนเหลียงไฉก็พูดสมทบ “ใช่ วันนี้ต้องให้พวกเขาได้เห็นฤทธิ์เดชพวกเรา ให้ภายหน้าพวกเขาอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก”


 


 


ชายวัยกลางคนพูดรับประกัน “ไฉเอ๋อร์ วางใจ เรื่องนี้พ่อจัดการให้เอง พ่อจะสั่งสอนพวกเขาให้รู้จักเด็กรู้จักอาวุโส ต่อไปจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าในห้องเรียนอีก”


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดอย่างยินดี “ขอบคุณท่านพ่อ”


 


 


ชายชราโมโหเดือดดาล กำลังจะว่ากล่าว ด้านหลังมีรถม้าอีกสองสามคันวิ่งเข้ามา คำว่ากล่าวของชายชราจึงยังไม่ได้พูดออกมา


 


 


ขบวนรถม้าจอดสนิท เด็กๆ ลงมาจากรถม้า เห็นซุนเหลียงไฉ ก็เข้ามาทักทายอย่างเริงร่า


 


 


ซุนเหลียงไฉเอ่ยปากพูดว่า “ท่านปู่และท่านพ่อข้ามาแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกลัว รับรองได้ว่าพวกเจ้าต้องไม่เป็นอะไร”


 


 


เด็กทั้งหมดพยักหน้ายินดี


 


 


ผู้ใหญ่ทยอยลงมาจากรถม้า เห็นปู่ของซุนเหลียงไฉก็อยู่ด้วย ต่างเดินหน้าเข้าไปทักทายประจบประแจง


 


 


ชายชราแย้มยิ้มรับคำ


 


 


หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธี เด็กทั้งหมดก็ชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วหันไปพูดกับผู้ปกครองว่า “ก็คือเขา ที่เมื่อวานฉีกเสื้อผ้าของพวกเราขาด ยังทำร้ายพวกเราด้วย”


 


 


ผู้ปกครองที่จิตใจดีเห็นเมิ่งอี้เซวียนที่อายุน้อยกว่าบุตรหลานตัวเอง ส่งยิ้มแก้เขินให้เด็กทั้งสองคน ส่วนคนที่ตามใจเด็กกลับพูดอย่างไม่พอใจ “คนบ้านนอกใช้แต่กำลัง ลงมือทำร้ายบุตรหลานพวกเราอย่างไร้สาเหตุ ไม่รู้ว่าปกติคนในครอบครัวอบรมสั่งสอนเยี่ยงไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว กำลังจะพูดตอบ ประตูใหญ่ของโรงเรียนก็เปิดออก อาจารย์เวรพูดกับทุกคนว่า “ข้าถามอาจารย์ผู้สอนพวกเขาแล้ว วันนี้เรียกพวกท่านมาจริงๆ ทุกท่านเชิญเถอะ”


 


 


คนทั้งหมดทยอยเดินตามกันไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนเดินรั้งท้าย


 


 


อาจารย์เวรมองพวกเขาแวบหนึ่ง จึงปิดประตูใหญ่


 


 


คนทั้งหมดเดินตามบุตรหลานมาถึงด้านนอกห้องเรียน อาจารย์ผู้สอนออกมารอนอกห้องเรียนแล้ว กระทั่งทุกคนมาครบ ก็ขยับลูกคอ พูดอย่างน่าเกรงขาม “เมื่อวานเรื่องที่เหล่านักเรียนวิวาทกันในห้องเรียน คิดว่าพวกเขากลับไป น่าจะได้บอกกับคนในครอบครัวแล้ว วันนี้ที่ให้คนในครอบครัวมาที่นี่ เพื่อจะปรึกษาว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ถึงจะไม่ให้เหล่านักเรียนเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงกว่านี้”


 


 


ผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่งพูดขึ้น “มีอะไรต้องปรึกษากันอีก ใครที่ลงมือก่อนก็ให้คนนั้นกล่าวคำขอขมา ทั้งขับไล่ออกไปจากโรงเรียนก็หมดเรื่องแล้ว”


 


 


ผู้ปกครองคนอื่นก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงาม


 


 


อาจารย์มองไปที่เมิ่งอี้เซวียน ถึงพบว่าข้างกายเขามีเพียงเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีคนเดียว มุ่นหัวคิ้วถาม “เมิ่งอี้เซวียน ผู้ปกครองของเจ้าเล่า เหตุใดถึงปล่อยให้เด็กสาวตัวเล็กๆ มา เรื่องนี้จะจัดการได้อย่างไร”


 


 


ทุกคนหันมองไปที่พวกเขาสองคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าก็คือผู้ปกครอง เรื่องของเขาข้ารับผิดชอบเอง”


 


 


อาจารย์ตกใจถาม “เจ้าจะเป็นผู้ปกครองได้อย่างไร บ้านเจ้าไม่มีพ่อแม่รึ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยสีหน้าคงเดิม “บิดามารดาพวกเราเป็นคนบ้านนอก ไม่กล้ามาพบอาจารย์ ข้าจึงต้องมาแทน”


 


 


โดยรอบส่งเสียงหัวเราะเยาะ


 


 


อาจารย์ถอนใจอย่างจนใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็พูดมาเถอะว่าจะจัดการอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ท่านอาจารย์เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องวิวาทเมื่อวานชัดเจนดีแล้ว”


 


 


อาจารย์พยักหน้า “เข้าใจชัดเจนแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นอาจารย์คิดว่าความผิดอยู่ที่อี้เซวียนหรือไม่”


 


 


อาจารย์พูด “แม้ความผิดจะไม่ได้อยู่ที่เมิ่งอี้เซวียน แต่การที่เขาลงมือทำร้ายคนก่อนก็เป็นสิ่งผิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “อาจารย์พูดผิดแล้ว เรื่องทุกอย่างมีเหตุถึงได้มีผล หากไม่เพราะพวกเขาทำลายของรักของเขา อี้เซวียนจะลงมือทำร้ายคนได้อย่างไร”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ของรักอันใด ราคาเท่าไหร่ พวกเราชดใช้ให้ก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองเขาแวบหนึ่งพูดว่า “พวกท่านชดใช้ไม่ไหว!”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉพูดอย่างไม่ยอม “ไม่ต้องพูดเหลวไหล โลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ข้าชดใช้ไม่ไหว”


 


 


“งั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉแอ่นอก พูดอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง กิจการของครอบครัวพวกเรา ต่อให้นอนไม่ทำอะไรบนเตียง เอาแต่กินดื่ม สามชั่วอายุคนก็ยังใช้ไม่หมด จะชดใช้ของรักเพียงชิ้นเดียวของเจ้าไม่ได้อย่างไร”


 


 


“อี้เซวียน หยิบกระเป๋านักเรียนออกมา ให้พวกเขาดูว่าจะชดใช้ให้ได้หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนั้น คนทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะครืน บิดาซุนเหลียงไฉพูดเย้ยหยัน “ฟังดูก็รู้ว่าเป็นสิ่งบรรจุหนังสือ ข้านึกว่าจะล้ำค่าเพียงใด เงินไม่กี่ร้อยอีแปะก็ซื้อได้แล้ว”


 


 


คนที่เหลือพยักหน้าสมทบ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนำถุงใส่หนังสือที่เมิ่งชื่อให้มาวันนี้ออกมา ก้มตัวลง นำกระเป๋านักเรียนสกปรกกระดำกระด่างออกมา วางใส่มือเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดกระเป๋านักเรียนในมือ แล้วชูขึ้น แกว่งไปตรงหน้าทุกคนรอบหนึ่ง แล้วพูด “ทุกท่านดูให้ดี กระเป๋านักเรียนใบนี้บนโลกนี้มีเพียงใบเดียว ตอนนี้ถูกบุตรหลานพวกท่านจงใจทำเสียหาย พวกท่านพูดมาว่าจะชดใช้ไหวหรือไม่”


 


 


คนทั้งหมดไม่เคยเห็นกระเป๋านักเรียนที่ประหลาดแปลกตาเช่นนี้มาก่อน ต่างตกใจถลึงตาโต เพ่งมองแล้วมองเล่า ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ต่างสะท้อนแววตา แล้วมองไปที่บิดาซุนเหลียงไฉเป็นตาเดียว


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉพูดอย่างไร้เหตุผล “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดว่ากระเป๋าโกโรโกโสใบนี้เป็นพวกเราทำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ความหมายของท่านคืออี้เซวียนของพวกเราไม่มีอะไรทำก็เลยเหยียบกระเป๋านักเรียนที่ตัวเองรักทะนุถนอมเล่น จากนั้นก็โยนความผิดไปที่บุตรชายของท่าน?”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบพูดเสียงแผ่ว “ข้าหาได้พูดเช่นนั้น ข้าเพียงอยากถาม เจ้ามีสิทธิ์อะไรพูดว่าบุตรชายข้าเป็นคนทำ เหตุใดถึงไม่ใช่คนอื่นทำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ในห้องเรียนมีเพียงพวกเขาที่ก่อเรื่องวิวาท เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขา เมื่อท่านพูดว่าไม่ใช่บุตรชายท่านทำ ข้าเองก็ไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นพวกเราลองถาม ว่าใครที่เป็นคนทำ วันนี้ข้าจะให้เขาชดใช้จนสิ้นเนื้อประดาตัว”


 


 


เด็กที่เหลือทั้งหมดตกใจคอหด ต่างหันมองไปที่ซุนเหลียงไฉเป็นตาเดียว

 

 

 


ตอนที่ 135.3

 

ข้าก็คือผู้ปกครอง

 


 


 


ซุนเหลียงไฉที่พอได้ยินว่ากระเป๋านักเรียนใบนี้พวกเขาชดใช้ไม่ไหว ตกใจขดตัวไปด้านหลัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “อี้เซวียน เจ้าบอกทุกคนในที่นี้ ว่าเมื่อวานเจ้าเห็นใครเหยียบกระเป๋านักเรียนของเจ้าก่อน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนชี้เด็กชายหนึ่งในนั้นพูดว่า “ตอนที่ข้ากลับมาจากห้องน้ำ เห็นเขากำลังเหยียบย่ำกระเป๋านักเรียนข้า”


 


 


ผู้ปกครองของเด็กชายร้อนรนพูด “เจ้าอย่าได้ให้ร้ายพวกเรา ลูกบ้านข้าเป็นเด็กดี จะไปเหยียบกระเป๋านักเรียนเจ้าอย่างไร้สาเหตุได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างหนักแน่น “ข้าไม่ได้ให้ร้ายเขา ข้าเห็นเขาเหยียบกระเป๋านักเรียนข้ากับตา ข้ายังโมโหเข้าไปผลักเขาหนึ่งที”


 


 


ผู้ปกครองของเด็กชายรีบเบี่ยงเบนประเด็น “ถึงว่าเมื่อวานพอลูกของเรากลับไปก็เอาแต่พูดว่าเจ็บหลัง ตอนที่เจ้าผลักเขาจะต้องไปกระแทกเข้ากับโต๊ะเรียน เจ้าต้องชดใช้ให้พวกเรา พาพวกเราไปโรงหมอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ได้ พวกเราจะไปเต๋อเหรินถังโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดของตำบลเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่พวกเราจะรับผิดชอบเอง อีกทั้งยังจะมีเงินปลอบขวัญให้อีก”


 


 


ผู้ปกครองของเด็กชายพูด “ค่อยยังชั่วหน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “แล้วกระเป๋านักเรียนของอี้เซวียนเล่า เจ้าคิดจะชดใช้ให้พวกเราอย่างไร”


 


 


ผู้ปกครองของเด็กชายมองดูกระเป๋านักเรียนกระดำกระด่าง ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่บีบเค้นพวกเขา เพียงแต่พูดเนิบนาบ “พวกเราก็ไม่เรียกร้องมาก ขอเพียงพวกท่านนำกระเป๋านักเรียนที่เหมือนกันทุกประการออกมาได้ ข้าจะให้อี้เซวียนขอขมาพวกท่าน ทั้งพาเขากลับบ้าน ต่อไปจะไม่ให้เขาปรากฎตัวต่อหน้าบุตรหลานพวกท่านอีก แต่หากพวกท่านนำกระเป๋าแบบเดียวกันนี้ออกมาไม่ได้ เราอย่าให้อาจารย์ต้องจัดการเรื่องราวเลย พวกเราไปที่ศาลาว่าการ ข้าเองก็ไม่ต้องการการชดใช้จากพวกท่าน แค่ให้ท่านผู้ว่าการโบยบุตรหลานพวกท่านยี่สิบไม้ก็พอ”


 


 


เด็กๆ ในเมืองต่างเคยเห็นคนกระทำผิดถูกโบยด้วยไม้พาย โดยเฉพาะตอนที่ถูกตีเนื้อเละ เห็นแล้วก็ตกใจนอนไม่หลับไปหลายวัน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกจะส่งเขาไปศาลาว่าการ เด็กชายที่ถูกชี้ตัวตกใจจนร้องไห้จ้า ร้องไปพลางแผดเสียงพูด “ข้าไม่ได้อยากทำ ซุนเหลียงไฉให้พวกเราฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งอี้เซวียนไปเข้าห้องน้ำ เอากระเป๋านักเรียนของเขาออกมาเหยียบย่ำ ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว พวกเขาก็เหยียบ หากจะถูกโบยพวกเขาก็ต้องไปด้วยทั้งหมด”


 


 


เด็กที่เหลือเห็นเขาพูดถึงตัวเอง ตกใจกลัว น้ำตาเอ่อล้นเป็นทาง


 


 


ซุนเหลียงไฉกลับตกใจเข้าไปหลบหลังบิดาพลัน


 


 


ได้ยินคำพูดของเด็ก เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก


 


 


ผู้ปกครองคนอื่นก็ตกอกตกใจ ครั้งนี้ทุกคนต่างหันมองไปที่ปู่ของซุนเหลียงไฉ


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง แล้วยิ้มตาหยีพูดว่า “เด็กๆ ยังเด็กเกินไป นำตัวไปโบยที่ศาลาว่าการคงจะถูกโบยอาการสาหัส แม่นางน้อย ไม่เช่นนั้นพวกเรามาเปลี่ยนวิธี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “อี้เซวียนของพวกเราเล็กกว่าพวกเขามาก ตอนที่พวกท่านรู้ว่าพวกเขาหกคนรุมทำร้ายเขาคนเดียว เหตุใดถึงไม่มีใครเข้ามาปลอบประโลมพวกเราก่อน แต่กลับแสดงท่าทีราวกับพวกเขาถูกรุมทำร้าย ในเมื่อพวกท่านยังไร้น้ำใจ เหตุใดข้าต้องเปลี่ยนวิธี”


 


 


ผู้ปกครองคนอื่นๆ มองเมิ่งอี้เซวียน แล้วมองบุตรหลานตัวเองที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขาช่วงหนึ่ง คิดได้ว่าพวกเขาหกรุมหนึ่ง ยังจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายชดใช้ ต่างหลุบศีรษะละอายใจ


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉพูดว่า “ข้ารู้ว่าไฉเอ๋อร์ของพวกเรากระทำเรื่องผิด ทำให้เมิ่งอี้เซวียนต้องถูกรังแก เอาอย่างนี้ พวกเจ้าเสนอเงื่อนไขอะไรมาก็ได้หนึ่งอย่าง พวกเราจะไม่ต่อรอง เป็นอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองผู้ปกครองคนอื่นๆ แวบหนึ่ง ถามขึ้น “ท่านตัดสินแทนพวกเขาได้”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉพยักหน้าพูด “วางใจเถอะ แม่นางน้อย เมื่อข้ารับปากเจ้า ย่อมต้องตัดสินใจแทนพวกเขาได้ หากพวกเขาไม่ยินยอม ก็ทำตามที่เจ้าว่า ส่งตัวบุตรหลานพวกเขาไปศาลาว่าการ ให้ผู้ว่าการตัดสินโทษ”


 


 


ผู้ปกครองทั้งหมดรีบร้อนพูด “พวกเรายินยอม พวกเรายินยอม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะถามอี้เซวียน ว่าเขาจะจัดการปัญหานี้อย่างไร”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉพูดอย่างประหลาดใจ “ถามเขา เด็กตัวกระเปี๊ยกจะคิดวิธีอะไรได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างจริงจัง “บุตรหลานบ้านพวกเราต่างจัดการปัญหาของตัวเองด้วยตัวเอง ในตอนนี้เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาคิดจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่เขาเถิด”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉยิ่งทวีความชื่นชมมองไปพวกเขาทั้งสองคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปถามเมิ่งอี้เซวียน “ที่พวกเราเพิ่งพูดไปเจ้าคงได้ยินหมดแล้ว เรื่องนี้เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร จงพูดอย่างเสียงดังฟังชัด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขบคิดเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้าต้องการสู้กับพวกเขาอีกสักตั้ง”


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ บรรดาผู้ปกครองต่างคิดว่าตัวเองหูฝาด หันมองไปที่เขาอย่างไม่เชื่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขาแล้วถาม “เจ้าแน่ใจ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหนักแน่น “ข้าแน่ใจ”


 


 


“เพราะอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างข้องใจ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดเสียงก้องกังวาน “เจ้าชอบพูดกับข้าว่า หกล้มที่ไหนก็จงลุกขึ้นที่นั่น เมื่อวานข้าแพ้ให้พวกเขา วันนี้จะต้องเอาชัยชนะกลับคืนมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ยืนขึ้นยิ้มสรวลพูดว่า “พวกท่านได้ยินแล้ว อี้เซวียนต้องการจะสู้กับพวกเขาอย่างลูกผู้ชายอีกครั้ง ไม่ทราบว่าพวกท่านจะยินดีหรือไม่”


 


 


บรรดาผู้ปกครองต่างลังเล ถามอย่างไม่แน่ใจ “บุตรหลายพวกเราหกคนสู้กับเขาคนเดียว จะเกินไปหน่อยหรือไม่ หากสู้กันจนเกิดเรื่องจะทำอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “วิธีนี้พวกเราเป็นคนเสนอ หากเกิดเรื่องขึ้นพวกเราจะรับผิดชอบกันเอง หากพวกท่านกลัวว่าอีกประเดี๋ยวพวกเราจะผิดคำพูด ก็ให้ท่านอาจารย์ลงลายมือเขียนเป็นหลักฐานไว้”


 


 


พอได้ยินว่าจะใช้การต่อสู้มาจัดการปัญหา อาจารย์ย่อมไม่ยินดีเขียนเป็นหลักฐานให้พวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านมีเพียงสองทางเลือก ทางที่หนึ่ง ท่านช่วยลงลายมือเขียนเป็นหลักฐานให้พวกเรา ให้อี้เซวียนกับพวกเขาได้สู้กันอย่างลูกผู้ชายสักยก จากนั้นเราจะทำเป็นว่าเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราจะไม่มีใครสืบสาวเอาความใคร ทางที่สอง ท่านไม่ช่วยเขียนเป็นหลักฐานให้พวกเรา ข้าจะส่งพวกเขาไปรับการโบยที่ศาลาว่าการ ท่านคิดดูว่าท่านจะเลือกทางใด”


 


 


ต่อให้นักเรียนไม่ดีอย่างไร ตนเองก็บ่มสอนมาได้ระยะหนึ่ง มีความผูกพันธ์ อาจารย์ย่อมไม่ยินส่งพวกเขาไปรับการโบยที่ศาลาว่าการ แต่ก็ไม่ยินดีให้พวกเขาวิวาทกันที่โรงเรียนอีก จึงพูดบอกปัด “การวิวาทอย่างเปิดเผยในโรงเรียนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าต้องไปถามอาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ใหญ่ ถึงจะตัดสินใจได้”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉยิ้มตาหยีพูดว่า “ผ่านพ้นเรื่องนี้ไป ข้าจะไปอธิบายกับอาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ใหญ่เอง ท่านช่วยเขียนเป็นหลักฐานไว้ก่อนเถอะ”


 


 


อาจารย์รู้ว่าปู่ของซุนเหลียงไฉกับอาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ใหญ่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่กล้าบอกปัดอีก จำต้องช่วยพวกเขาเขียนเป็นหลักฐาน โดยมีใจความว่า “ในวันนี้เมิ่งอี้เซวียนยินยอมจะปะมือกับซุนเหลียงไฉ อู๋เซิ่ง จางหู่ เกาป๋อ หวังชิ่ง โจวชิงทั้งหกคนด้วยความสมัครใจ หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ต้องรับผิดชอบตัวเอง ห้ามเรียกร้องให้อีกฝ่ายชดใช้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดูที่อาจารย์บันทึกเป็นหลักฐานเสร็จ ก็แย้มยิ้มพูด “มีแต่อาจารย์ที่จะเขียนการต่อสู้ระหว่างเด็กๆ เป็นปะมือได้”


 


 


อาจารย์หน้าแดง พูดอย่างแหนงหน่าย “ข้าเป็นอาจารย์มาหลายปี เป็นครั้งแรกที่ต้องช่วยนักเรียนเขียนเป็นหลักฐานว่าสมัครใจต่อสู้กันเอง หากเรื่องแพร่ออกไป ไม่รู้ว่าภายหน้าจะถูกคนชี้หน้าเอาข้าไปนินทาลับหลังหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ไม่มีแน่นอน พวกเรารับประกัน ไม่ว่าการต่อสู้วันนี้ใครแพ้ใครชนะ พวกเราก็จะไม่พูดออกไป”


 


 


อาจารย์ถอนใจพูด “ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดหรือไม่พูด เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับนักเรียนที่ข้าสอน ข้าก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหนแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร


 


 


อาจารย์นำคนทั้งหมดมายังลานโล่งกว้างแห่งหนึ่งภายในโรงเรียน


 


 


ผู้ปกครองต่างกำชับบุตรหลานตนเองให้ระมัดระวัง อย่าลงมือกับเมิ่งอี้เซวียนหนักเกินไป มีเพียงบิดาซุนเหลียงไฉที่พูดกับซุนเหลียงไฉเสียงดังลั่นว่า “ลูกพ่อ เอาความสามารถทั้งหมดของเจ้าออกมา อัดเขาให้พ่ายแพ้ยับเยิน กลับไปพ่อจะพาเจ้าไปกินหมูในน้ำมันที่เจ้าอยากกินที่เหลาจวี้เสียน”


 


 


ซุนเหลียงไฉพยักหน้าเต็มแรง ตอบกลับเสียงดัง “วางใจเถอะ ข้าได้กินหมูในน้ำมันแน่นอน” พูดจบ หันกลับไปมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง หันไปเรียกอีกห้าคนที่เหลือเดินไปกลางลานโล่งกว้าง ด้านหนึ่งพูดด้านหนึ่งทำมือทำไม้กับพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่สังเกต ทำท่าไม้ตายให้เมิ่งอี้เซวียนดู


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่งรอยยิ้มเจิดจ้าให้นาง เดินไปกลางลานอย่างไม่หวาดหวั่น


 


 


บรรดาผู้ปกครองมองดูบุตรหลานตนเองอย่างเป็นห่วง


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉกระวนกระวายใจแทบอยากจะเข้าไปสู้กับเมิ่งอี้เซวียนในลานกว้างเอง


 


 


ปู่ซุนเหลียงไฉยังคงยิ้มตาหยีมองดูทั้งหมดนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยืนอยู่อีกด้านอย่างครึ้มอกครึ้มใจ คิดว่าไหนๆ วันนี้ก็เข้าเมืองมาแล้ว อีกประเดี๋ยวไปเดินเล่น ซื้อของที่จำเป็นเข้าบ้าน แล้วแวะถามร้านยาเต๋อเหรินว่าเหวินซื่อตายไปแล้วหรือยังดีกว่า


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินไปกลางลาน พูดกับคนทั้งหมด “หากวันนี้พวกเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะให้โยวเอ๋อร์รับปากทำกระเป๋านักเรียนใหม่ให้พวกเจ้าคนละใบ หากเอาชนะข้าไม่ได้ ต่อไปไม่ว่าเรื่องใดจักต้องเชื่อฟังข้า”


 


 


ซุนเหลียงไฉส่งเสียงร้อง “ถุย” พูดว่า “ปากดีนักนะ ไม่ดูบ้างว่าพวกเราเป็นใคร อยากให้พวกเราเชื่อฟังเจ้า ไม่มีทาง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเลียนแบบเมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยันแล้วพูด “เช่นนั้นพวกเราก็มาลองดูกัน”


 


 


ซุนเหลียงไฉโบกมือบอกพรรคพวก “อย่างไรพวกเราเล่นงานเขาสาหัสก็ไม่ต้องรับผิดชอบ พวกเราเข้าไปพร้อมกัน รุมตีให้เขาล้มคว่ำไปกับพื้น”


 


 


เด็กที่เหลือห้าคนพยักหน้า ดาหน้าเข้ารุมเมิ่งอี้เซวียนพร้อมกับซุนเหลียงไฉอย่างไร้แบบแผน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถีบใส่หัวเข่าของเด็กที่วิ่งเข้ามาหน้าสุดเต็มแรง เด็กเจ็บปวดร้อง “โอ๊ย” ล้มฟุบไปกับพื้น เด็กสองคนข้างหลังหลบไม่ทัน ล้มทับตามลงมาที่ตัวเขา เด็กนอนร้องครวญคราง ผู้ปกครองข้างลานทำได้เพียงมองอย่างปวดใจ


 


 


ปู่ซุนเหลียงไฉเก็บคืนรอยยิ้มตาหยี หรี่ตาทอดมองไกลออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่ตามองแวบหนึ่ง จากนั้นคิดเรื่องของตัวเองต่อ


 


 


ซุนเหลียงไฉและเด็กอีกสองคนเดินอ้อมสามคนบนพื้น มาด้านข้างเมิ่งอี้เซวียน พร้อมกับออกหมัดใส่เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้าหลบหมัดของสองคนนั้น แล้วตั้งแขนกันหมัดของซุนเหลียงไฉ


 


 


ซุนเหลียงไฉประหลาดใจ กำลังจะถอนหมัดคืน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับยื่นมือไปคว้าแขนเขา จับซุนเหลียงไฉทุ่มข้ามไหล่ล้มฟาดไปกับพื้นอย่างสวยงาม


 


 


ร่างอ้วนท้วนของซุนเหลียงไฉลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น เกิดฝุ่นควันฟุ้งกระจาย พร้อมกับเสียงโอดโอย “เจ็บจะตายแล้ว”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉตกใจหนัก ตะคอกเสียงใส่เมิ่งอี้เซวียนดังลั่น “เจ้าเด็กไม่มีใครสั่งใครสอน มาจับลูกข้าทุ่มได้อย่างไร”


 


 


ได้ยินคำพูดเขา เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉพูดต่อ “จะบอกให้นะ หากเหลียงไฉของเราเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”


 


 


ซุนเหลียงไฉนอนอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ไม่ลุกขึ้นมา


 


 


เด็กที่เหลืออีกสองคนสบตากันอย่างหวาดกลัว พร้อมก้าวถอยหลังไปสองก้าว


 


 


เด็กสามคนที่ล้มไปก่อนลุกขึ้นมา เข้าล้อมเมิ่งอี้เซวียนไว้พร้อมกับเด็กอีกสองคน ต่างออกหมัดออกลูกเตะอย่างไร้ทิศทางใส่เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ทันระวังโดนไปหลายครั้ง


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉคึกคักถูกใจ ร้องชมไม่ขาด เอาแต่ตะโกนบอก “ดี อัดเขา อัดให้น่วม”


 


 


ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นมาจากพื้นได้แล้ว ออกหมัดใส่เมิ่งอี้เซวียนอย่างเคียดแค้น


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหลบ ถีบไปที่หัวเข่าเขา ซุนเหลียงไฉล้มฟุบไปกับพื้นเต็มแรง กระแทกจนปากแตก


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉร้องกระวนกระวาย “ลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” พูดจบลุกลี้ลุกลนจะวิ่งไปที่กลางลานกว้าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวขวางหน้าเขาไว้


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉรีบใช้มือผลักนาง พูดอย่างไม่เกรงใจ “นังตัวดี หลีกไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แล้วกลับมาขวางหน้าเขาอีกครั้ง


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉเห็นบุตรชายสุดที่รักของตัวเองถูกเมิ่งอี้เซวียนทำร้ายล้มคว่ำไปกับพื้นถึงสองครั้ง เจ็บปวดใจแทบทนไม่ไหวแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมายืนขวางหน้าไม่เลิก ไม่ยอมให้ตัวเองไปดูอาการของบุตรชาย บันดาลโทสะ พูดอย่างเกรี้ยวกราด “นังตัวดีไม่รู้จักที่ตาย อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดจบก็ง้างฝ่ามือตบเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มแรง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงหน้าหลบ ตบกลับไปที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง


 


 


คนทั้งหมดได้ยินเสียง “เพี๊ยะ” อดหันกลับมามองไม่ได้ กลับเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของบิดาซุนเหลียงไฉบวมแดงเห่อ


 


 


ปู่ซุนเหลียงไฉหรี่ตาลง ไม่พูดอะไร


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉกุมใบหน้าตัวเองถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “เจ้ากล้าตบข้า?”

 

 

 


ตอนที่ 136

 

ขวางกลางทาง

 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยสีหน้าเบาสบาย แล้วตอบ “กล้า!”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตอบอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ พลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉสะท้อนแววตา กลับมามีใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มตาหยีถาม “แม่นางน้อย เจ้าทำเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามกลับ “ไม่เหมาะสมอย่างไร เขาเข้าไปถึงเหมาะสมหรือ”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉสะอึกกึก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองผู้ปกครองในที่นั่นแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เมื่อพวกท่านรับปากให้อี้เซวียนและบุตรหลานพวกท่านได้สู้กันอย่างลูกผู้ชายสักยก เช่นนั้นวันนี้ไม่ว่าใคร ก็ห้ามเข้าไปช่วย เช่นเดียวกัน ถ้าอี้เซวียนถูกพวกเขาอัดจนน่วม ข้าก็จะไม่เข้าไปช่วยเหลือ”


 


 


ผู้ปกครองทั้งหมดมองนาง แล้วมองเด็กๆ ที่ยังคงสู้กันอยู่ในลานโล่ง ใบหน้าแสดงสีหน้าเป็นกังวล


 


 


อาจารย์ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ อดมองประเมินนางอีกหลายครั้งไม่ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงนั้น ขัดขวางบิดาซุนเหลียงไฉ ให้อาจารย์มองประเมินอย่างไม่สะทกสะท้าน


 


 


เด็กที่เหลือเห็นซุนเหลียงไฉถูกเมิ่งอี้เซวียนอัดหมอบไปกับพื้น มุมปากมีเลือดสดไหลออกมา เริ่มเกิดอาการหวาดกลัว ลังเลว่าควรเดินหน้าสู้ต่อหรือไม่


 


 


ซุนเหลียงไฉถ่มน้ำลาย โงนเงนลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับคนที่เหลือ “จัดการ อัดเขาให้เต็มแรง ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราทั้งหมดจะเอาชนะเขาคนเดียวไม่ได้”


 


 


พูดจบ พุ่งเข้าใส่เมิ่งอี้เซวียน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเบี่ยงหลบการจู่โจมของเขาได้อย่างง่ายดาย กลับถูกเด็กคนหนึ่งชกเข้าที่แก้ม ภาพตรงหน้าพลันดับวูบ ร่างกายโคลงเคลง


 


 


เด็กที่เหลือคนอื่นฉวยโอกาสกระโจนเข้าใส่ ทำเขาล้มถลาไปกับพื้น เด็กคนอื่นๆ เข้ารุมซัดกันนัว


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉลืมเรื่องที่ตัวเองถูกตบหน้า ตั้งท่าออกหมัดตะโกนร้องบอกเด็กเหล่านั้น “ดีมาก ต้องทำแบบนี้ กดเขา กดเขาให้อยู่หมัด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งอี้เซวียนถูกเด็กเหล่านั้นกดไว้แนบพื้น ขยับเขยื้อนไม่ได้ ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉลอบสังเกตนางอย่างไม่แสดงออก เห็นนางไม่แสดงสีหน้าวิตกกังวล ดวงตาเล็กหรี่ลง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถูกเด็กเหล่านั้นกดแนบพื้น ดิ้นรนขัดขืน ถูกรุมตีหลายครั้ง กระวนกระวายใจ จึงกัดแขนของเด็กคนหนึ่ง


 


 


เด็กที่ถูกกัดแขนเจ็บจนทนไม่ไหว ด้านหนึ่งตะโกนร้อง “เจ็บจะตายแล้ว” อีกด้านหมายจะดึงแขนตัวเองออกมาจากปากเมิ่งอี้เซวียน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนปล่อยปาก ฉวยโอกาสตอนที่เด็กคนนี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผลักเขาออกไปเต็มแรง


 


 


เด็กคนนั้นไม่ได้เตรียมระวัง ไถลออกไปจากบนตัวเมิ่งอี้เซวียน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนใช้โอกาสนี้ตะเกียกตะกายออกมาจากด้านล่างเด็กเหล่านั้น พลิกตัวกลับแล้วลุกขึ้นยืน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาออกมา แอบลอบถอนใจโล่งอก


 


 


เด็กทั้งหมดก็ทยอยลุกขึ้น ล้อมเมิ่งอี้เซวียนไว้ตรงกลางอีกครั้ง เด็กที่ถูกกัดแขนพุ่งเข้าใส่อย่างไม่รอรี่ ง้างหมัดใส่เขา เมิ่งอี้เซวียนจับแขนเขาไว้ได้ แล้วบิดหักไปด้านหลัง


 


 


เด็กชายร้องเจ็บปวดอีกครั้ง “เจ็บจะตายแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนปล่อยมือ ถีบเขาเต็มรัก เด็กชายโงนเงนล้มไปกับพื้น เจ็บจนร้องหาพ่อแม่


 


 


ผู้ปกครองของเด็กชายเห็นลูกตัวเองเจ็บปวดทุรนทุราย ก้าวขาไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง


 


 


ผู้ปกครองเด็กชายหยุดชะงัก มองบุตรของตนเองอย่างร้อนรุ่มใจ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่เกรงใจแล้ว ทั้งเตะทั้งต่อยใส่เด็กที่เหลือที่พุ่งเข้ามา เด็กที่เหลือหลบไม่ทัน ต่างถูกอัดไปกองที่พื้น ร้องครวญครางโอดโอย


 


 


กลางลานกว้างยังเหลือซุนเหลียงไฉและเมิ่งอี้เซวียนสองคนยืนอยู่


 


 


ปกติซุนเหลียงไฉจะมีคนคอยห้อมล้อม เกะกะระรานจนเป็นนิสัย ไม่เคยต้องเสียเปรียบให้ใคร ทนรับความอัปยศนี้ไม่ได้ หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนอย่างเคียดแค้น “ข้าขอสู้ตาย” พูดจบพุ่งเข้าหาเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหลบเขา ถีบใส่ก้นของซุนเหลียงไฉ ซุนเหลียงไฉไม่ทันตั้งตัว ร่างอ้วนถลาล้มไปกับพื้นอย่างแรง เจ็บจนร้องตะโกนลั่น “ท่านพ่อ รีบมาช่วยข้า ข้าเจ็บจะตายแล้ว”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉร้อนใจผลักเมิ่งเชี่ยนโยวออก วิ่งไปยังกลางลานกว้าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเด็กทั้งหมดล้มไปนอนกองบนพื้นหมดแล้ว จึงไม่ขัดขวาง


 


 


ผู้ปกครองคนอื่นเห็นเช่นนั้น ก็ทยอยวิ่งเข้าไปประคองบุตรหลานตนเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินรั้งท้ายไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางเดินเข้ามา ส่งรอยยิ้มแห่งชัยชนะให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยฟกช้ำที่ใบหน้าเขา กวักมือให้เขาแล้วพูด “เข้ามา”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินไปตรงหน้านางอย่างเชื่อฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือสัมผัสรอยฟกช้ำบนใบหน้าเขาแผ่วเบา เมิ่งอี้เซวียนส่งเสียงร้อง “ซี้ด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างอ่อนโยน “เจ็บหรือไม่”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “เจ็บ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงคงเดิม “เจ็บก็ถูกต้องแล้ว ต่อไปเจ้าจักได้จำได้ ห้ามประมาทคู่ต่อสู้อีก”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้าปริปาก


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉมองพวกเขาสองคน


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉเข้าไปประคองซุนเหลียงไฉอย่างเจ็บปวดใจ เห็นเขาล้มจนหน้าบวมจมูกเขียว หันไปร้องบอกบิดาตนเอง “ท่านพ่อ ท่านรีบมาดูเถอะ ไฉเอ๋อร์ถูกเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอนนี่ทำร้ายจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉเดินขึ้นหน้า เห็นหลานตนเองถูกทำร้ายสะบักสะบอม ก็ให้รู้สึกปวดใจ ยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าซุนเหลียงไฉแผ่วเบา


 


 


ซุนเหลียงไฉปัดมือเขา ร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด “ท่านปู่ เบามือหน่อยไม่ได้หรือ ข้าเจ็บจะตายแล้ว”


 


 


คิดถึงท่าทีของเมิ่งอี้เซวียน แล้วมองกลับมาที่หลานตนเอง ปู่ของซุนเหลียงไฉทอดถอนใจ


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉเห็นบุตรชายตนเองเจ็บจนแทบทนไม่ไหว หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าตัวดี เจ้ารอก่อน พรุ่งนี้ข้าจะเรียกคนมาจัดการเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉพูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าลูกไม่เอาไหน พวกเราตกลงกันแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรห้ามหาเรื่องกับอีกฝ่าย เจ้าลืมง่ายเช่นนี้เลยหรือ”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉไม่สนใจเรื่องนี้ พูดโต้กลับ “เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็แล้วยังไง ในตำบลชิงซีนี้ข้ามีสิทธิ์ขาด ข้าอยากอะไรทำอย่างไรก็ได้”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉโมโหถีบเขาเต็มแรงทั้งก่นด่า “เจ้าลูกชั่ว หากเจ้ากล้าหาเรื่องพวกเขา ข้าจะไล่เจ้าออกจากสกุล”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉไม่ทันได้ตั้งรับ ล้มไม่เป็นท่าไปบนพื้น พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ถีบข้าทำไม เขาทำร้ายไฉเอ๋อร์ถึงขั้นนี้ ข้าไม่ควรระบายแค้นแทนเขาหรือ”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉชี้เขา ตวาดเสียงลั่น “หุบปาก!”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉเห็นบิดาตนเองโมโหแล้ว จึงหุบปากแต่โดยดี


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉเก็บคืนอารมณ์เกรี้ยวกราด หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวและน้อง “พวกเจ้าไม่ต้องกลัว จงมาโรงเรียนตามปกติ หากเจ้าลูกทรพีนี่กล้าส่งคนมาจัดการพวกเจ้า ข้าจะหักขาเขาเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “พวกเราไม่กลัว ขอเพียงพวกท่านรับผลที่จะตามมาได้ ก็เชิญส่งคนมาได้เลย”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉรีบพูดรับประกัน “จะไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น พวกเจ้าวางใจได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเราไม่มีสิ่งใจต้องวางใจ หากมีคนมาพวกเราจะได้ฝึกปรือฝีมือตัวเองไปในตัว”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉไม่คิดว่านางจะไม่รับน้ำใจ นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดอย่างน้อยใจ “ท่านปู่ ข้าเจ็บจะตายแล้ว ยังไม่รีบพาข้าไปโรงหมออีก”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉได้สติคืนกลับมา รีบตวาดบุตรชายตนเอง “ยังมัวยืนเซ่อทำอะไร ยังไม่รีบพาไฉเอ๋อร์ไปโรงหมอ”


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉรีบลนลานลุกขึ้น คิดจะอุ้มบุตรชายตนเอง พยายามสองครั้งก็ยังอุ้มไม่ขึ้น ร้องโวยวายอย่างร้อนรุ่มใจ “ท่านพ่อ เข้ามาช่วยข้าหน่อย”


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉถอนหายใจ เดินขึ้นหน้า ช่วยประคองซุนเหลียงไฉเข้าไปในอ้อมอกบิดาเขา


 


 


บิดาซุนเหลียงไฉอุ้มบุตรชายที่ร้องโอดครวญไม่หยุดอย่างกินแรงเดินออกไปข้างนอก


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉหันไปพูดกับอาจารย์ “พวกเราพาไฉเอ๋อร์ไปโรงหมอก่อน หากเขาไม่เป็นอะไร ข้าจะรีบส่งเขามาเรียนหนังสือ”


 


 


อาจารย์พยักหน้า พูดกับผู้ปกครองคนอื่น “วันนี้ให้พวกเขาลาหนึ่งวัน พวกท่านพาพวกเขาไปโรงหมอรับการรักษาเถอะ”


 


 


เหล่าผู้ปกครองกล่าวขอบคุณ หลังจากมองเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนแวบหนึ่ง ก็ประคองบุตรหลานตนเองเดินจากไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พาเมิ่งอี้เซวียนเดินออกไปข้างนอก


 


 


อาจารย์ยืนอยู่หลังพวกเขา เอาแต่ขมวดคิ้วมองพวกเขาเดินลับตาไป


 


 


เมิ่งเสียนกุมบังเ**ยนรออยู่ด้านนอก ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงเห็นบิดาซุนเหลียงไฉอุ้มซุนเหลียงไฉออกมาอย่างอ่อนแรง ยังเดินไม่ถึงประตูโรงเรียน ก็ร้องโวยวายเสียงลั่นใส่คนรับใช้ของตัวเอง “พวกเจ้าตายไปหมดแล้วหรือ ไม่เห็นว่าข้าเหนื่อยจะตายแล้วหรือไร ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาช่วยอีก!”


 


 


คนรับใช้รีบวิ่งเข้ามา อาจารย์เวรเข้าขวางพวกเขาพูดว่า “ช่วงเวลาเข้าเรียน พวกเจ้าห้ามเข้า”


 


 


คนใช้รีบร้อนพูด “พวกเรามิได้เข้าไปก่อกวน พวกเราเพียงเข้าไปอุ้มคุณชายของพวกเราออกมา”


 


 


อาจารย์พูดหนักแน่น “เช่นนั้นก็ไม่ได้ นี่เป็นกฎของโรงเรียน ใครก็ห้ามฝ่าฝืน”


 


 


คนรับใช้ร้อนรุ่มใจ มองบิดาซุนเหลียงไฉอุ้มเขาเดินยักแย่ยักยันมาถึงหน้าประตู


 


 


อาจารย์มองซุนเหลียงไฉที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ดิน เปิดประตูใหญ่ออก


 


 


คนรับใช้บ้านซุนถลาเข้ามารับซุนเหลียงไฉอุ้มขึ้นรถอย่างสุดแรง


 


 


ผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็รีบร้อนพาบุตรหลานออกมา ขึ้นนั่งรถม้าของบ้านตนเอง สั่งคนขับรถม้าให้รีบไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุด


 


 


รถม้าหน้าประตูโรงเรียนหายวับในพริบตา เหลือเพียงเมิ่งเสียนที่ยังยืนรออยู่ตรงนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนเดินเอ้อระเหยออกมา


 


 


อาจารย์มองรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนอย่างแคลงใจ ถามขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น ทะเลาะวิวาทหรือ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าตอบ “อือ พวกเราสู้กันอย่างลูกผู้ชาย”


 


 


อาจารย์ตกใจตัวลอย พูดว่า “พวกเจ้าทำเช่นนี้จะถูกโรงเรียนไล่ออกได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราสู้กันครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากอาจารย์ผู้สอนพวกเราแล้ว”


 


 


เห็นอาจารย์เวรประหลาดใจ หมายจะถามเพิ่ม เมิ่งอี้เซวียนกลับกล่าวลาเขาอย่างมีมารยาท เดินออกไปจากประตูโรงเรียนพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเสียนเห็นทั้งสองคนออกมา รีบจูงรถม้าเข้ามาอย่างยินดี แต่พอเห็นรอยฟกช้ำบนหน้าเมิ่งอี้เซวียนกลับต้องร้องอุทาน “อี้เซวียน เจ้าทะเลาะกับใครมาอีกแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหัวเราะใส่เขา พูดปลอบใจ “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร”


 


 


เมิ่งเสียนหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว พูดตำหนิ “น้องสาว เจ้าก็ตามเข้าไปด้วย เหตุใดถึงให้อี้เซวียนมีเรื่องวิวาทกับคนอื่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พี่ใหญ่ อี้เซวียนที่ต้องการจะต่อสู้เอง ข้าเพียงแค่ไม่ได้คัดค้านเขา”


 


 


เมิ่งเสียนตกใจถาม “อี้เซวียนที่ต้องการจะต่อสู้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ให้อี้เซวียนเล่าให้ท่านฟังเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนมองเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เข้าไปตั้งแต่ต้นจนจบให้เมิ่งเสียนฟังอย่างไม่ตกหล่นสักคำ


 


 


เมิ่งเสียนฟังจบก็ตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยว “อี้เซวียนยังเด็ก เจ้าให้เขาไปต่อสู้กับเด็กหกคนพร้อมกัน หากเสียเปรียบจะทำอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พี่ใหญ่ ข้าสอนวรยุทธ์พวกท่านมานาน ข้าพอมีความมั่นใจ อี้เซวียนรับมือเด็กพวกนั้นได้สบาย”


 


 


เมิ่งเสียนตวาดนาง “ต่อให้เจ้ามีความมั่นใจ เจ้าก็ไม่ควรรับปากให้อี้เซวียนไปต่อสู้ หากไปทำเด็กคนอื่นบาดเจ็บสาหัสเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทะลุมิติมานาน เป็นครั้งแรกที่ถูกเมิ่งเสียนตวาด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โกรธ กลับยิ้มแย้มพูด “พี่ใหญ่ ตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นเอกลักษณ์ของข้า คนเยี่ยงข้าไม่มีทางยอมถูกรังแกเปล่าๆ อีกอย่าง อี้เซวียนเองก็มีความมั่นใจ ไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่โต ท่านวางใจเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนเห็นนางแย้มสรวล โมหะในใจก็คลายลง ถอนใจอย่างจนใจ พูดว่า “น้องสาว เจ้านี่นะ…”


 


 


ไม่รอให้เขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “พี่ใหญ่ อี้เซวียนถูกตีไม่น้อย พวกเรารีบพาเขาไปร้านยาเต๋อเหรินเถอะ”


 


 


พอได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนก็ถูกตี เมิ่งเสียนลนลานพูด “พวกเจ้ารีบขึ้นรถม้า พวกเราจะไปร้านยาเต๋อเหรินเดี๋ยวนี้”


 


 


ทั้งสองขึ้นรถม้าโดยเร็ว เมิ่งเสียนตวัดบังเ**ยนในมือ ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหริน


 


 


คนไข้ในร้านยาเต๋อเหรินมีไม่มาก เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากลงม้าเดินเข้าไป


 


 


พนักงานร้านยาเต๋อเหรินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา รีบเข้ามาถามไถ่ “แม่นาง เจ้ามาแล้ว มาตรวจโรคหรือจัดยา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูด “น้องชายข้าได้รับบาดเจ็บภายนอก ข้าพาเขามาดูว่าเป็นอะไรหนักหนาหรือไม่”


 


 


พนักงานรับคำ “แม่นางรอสักครู่ ข้าจะให้หมอมาตรวจดูให้เขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพูด “ไม่รีบ พวกเรารอเข้าแถวก็ได้แล้ว”


 


 


พนักงานรีบร้อนพูด “แม่นาง อย่าทำพวกเราลำบากเลย นายท่านของพวกเราบอกแล้ว ไม่ว่าท่านมาเวลาใด ก็ห้ามให้ท่านต้องรอ ไม่เช่นนั้นจะไล่พวกเราออก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างยินดี “เหวินซื่อกลับมาแล้ว”


 


 


พนักงานรีบพูด “นายท่านยังไม่กลับมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกผิดหวัง กลับไม่ได้ขัดขวางพนักงานไปบอกหมอชรา


 


 


หมอชราเพิ่งจะตรวจรักษาคนไข้เสร็จ ได้ยินพนักงานบอก เงยหน้าก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เดินตรงเข้ามาพูดอย่างดีใจ “แม่นางมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “น้องชายข้าเพิ่งจะมีเรื่องวิวาทมา ได้รับบาดเจ็บภายนอก ท่านช่วยดูให้หน่อยเถิด ดูว่าหนักหนาหรือไม่”


 


 


หมอชราชี้เตียงข้างๆ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าให้เขาขึ้นไปนอนบนเตียงนั่น ข้าจะตรวจดูให้เขา”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินไปอย่างเชื่อฟัง นอนลงบนเตียง


 


 


หมอชราเดินตามติดมา ดึงผ้าม่านแล้วพูด “ถอดเสื้อผ้าออกให้ข้าดู”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถอนเสื้อผ้าครึ่งบนออกอย่างเขินอาย หมอชราตรวจดูรอยฟกช้ำบนตัวเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหลังผ้าม่านได้ยินเมิ่งอี้เซวียนเอาแต่ร้องซี้ดซ้าด


 


 


หมอชราตรวจดูให้เมิ่งอี้เซวียนอย่างละเอียดเสร็จ บอกเขาให้แต่งตัวให้เรียบร้อย เดินออกมาหลังม่าน พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “บาดแผลของน้องชายเจ้าไม่หนักหนา พักฟื้นสองสามวันก็จะหายดี เพียงแต่รอยฟกช้ำบนใบหน้าค่อนข้างหนัก เกรงจะต้องใช้เวลาสักระยะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งอี้เซวียนคงไม่เป็นอะไรมาก ที่พาเขามาตรวจเมื่อกลับไปจะได้ตอบคำถามสองสามีภรรยาเมิ่งได้ เลี่ยงไม่ให้เห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนแล้วจะมาเอ็ดตำหนินาง สองเพราะอยากมาดูว่า เหวินซื่อกลับมาแล้วหรือยัง ได้ยินคำกล่าวของหมอชรา ก็ยิ้มพูด “ไม่เป็นอะไรมากก็ดี รบกวนท่านให้ยารักษาแผลภายนอกมาด้วย ให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”


 


 


หมอชราพยักหน้า สั่งพนักงานไปเอายาทาภายนอกจำนวนหนึ่งมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้กดเสียงต่ำถามทีเล่นทีจริง “หมอชรา เหวินซื่อยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่”


 


 


หมอชรานิ่งงัน แล้วยิ้มพูด “แม่นางพูดขบขันแล้ว นายท่านของพวกเรายังมีชีวิตดี ทั้งยังหมั้นหมายอย่างราบรื่น สองวันก่อนส่งจดหมายมา บอกว่าพ้นเดือนอ้ายก็จะกลับมา ถึงตอนนั้นข้าจะให้คนไปส่งข่าวแก่แม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพูด “ไม่ต้องแล้ว เขาไม่ตายก็พอ ไม่ต้องส่งข่าวให้ข้า”


 


 


หมอชราประดักประเดิด ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร


 


 


พนักงานนำยารักษาภายนอกเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา พูดกับเมิ่งอี้เซวียนที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว “บาดแผลบนตัวเจ้าไม่เป็นอะไรมาก หมอชราให้ยารักษาภายนอกมาแล้ว กลับไปทาไม่กี่ครั้งก็หาย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ้มให้หมอชราอย่างเก้อเขิน


 


 


หมอชราเห็นดวงตางดงามคู่นั้นของเขารู้สึกคุ้นเคย พลันตะลึงงัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหมอชราเอาแต่จ้องมองเมิ่งอี้เซวียน เกิดความฉงน ถามขึ้น “น้องชายข้ามีอะไรผิดปกติหรือ”


 


 


หมอชราได้สติกลับมา ยิ้มพูด “ไม่มี ข้าเพียงรู้สึกคุ้นหน้ากับน้องชายเจ้า ไม่รู้ว่าเคยเจอกันที่ไหน”


 


 


หมอชราเคยไปบ้านตนเอง เห็นเมิ่งอี้เซวียนแล้วรู้สึกคุ้นหน้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ใส่ใจ หลังจากบอกลาหมอชรา ก็พาเมิ่งอี้เซวียนออกไปจากร้านยาเต๋อเหริน เห็นสีหน้ากระวนกระวายของเมิ่งเสียน ก็ชูยาในมือขึ้นพูดว่า “พี่ใหญ่ อี้เซวียนไม่เป็นอะไรมาก กลับไปทายาไม่กี่วันก็หายแล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนวางใจลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราไม่มีธุระอันใด ไม่เช่นนั้นเราเดินเล่นในเมือง ซื้อของใช้จำเป็นกลับไป”


 


 


เมิ่งเสียนมองเมิ่งอี้เซวียนถามขึ้น “อี้เซวียน เจ้าไหวหรือไม่ หากรู้สึกเจ็บ พวกเราจะกลับไป”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตอบ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไร”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้าไปซื้อขนมจำนวนหนึ่งที่ร้านขายขนมตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกก่อน หวังเหลียงกลับมาทำงานแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนที่ใบหน้าฟกช้ำเข้ามา ด้านหนึ่งบอกพนักงานให้ไปห่อขนม ด้านหนึ่งถามอย่างประหลาดใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับอี้เซวียน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “มีเรื่องวิวาทกับนักเรียนคนอื่นที่โรงเรียนในเมือง เมื่อครู่ข้าพาเขาไปร้านยาเต๋อเหริน ไม่เป็นอะไรมาก อาหวังวางใจได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเติบโตในหมู่บ้านแต่เล็ก ไม่เคยได้ยินว่าเคยมีเรื่องขัดแย้งกับเด็กคนไหนในหมู่บ้านมาก่อน หวังเหลียงคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่คิดว่าเขาจะวิวาทกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตัวเอง รู้สึกประหลาดใจ กำลังจะถามต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเปลี่ยนเรื่องพูด หวังเหลียงเห็นนางไม่ยินดีพูดอีก ก็ไม่ได้ถามเพิ่ม


 


 


พนักงานห่อขนมเสร็จเดินมา เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงิน หันไปกล่าวลาหวังเหลียงแล้วเดินออกมาจากร้านขนม บอกเมิ่งเสียนไปตลาดสดต่อ


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้ามาถึงแถวตลาดสด กำลังจะหาที่คนน้อยจอดรถม้า เด็กสาวคนหนึ่งกลับพุ่งเข้ามา ชี้หน้าเขาแล้วพูด “ในที่สุดก็เจอเจ้า เจ้าต้องรับผิดชอบคุณหนูของพวกเรา”

 

 

 


ตอนที่ 137

 

 เชิญกลับบ้าน

 


 


 


เมิ่งเสียนตกใจ รีบหยุดรถม้า


 


 


เด็กสาวเดินอย่างฉุนเฉียวเข้ามา พูดกับเมิ่งเสียน “พวกเรามารอที่หน้าตลาดหลายวันแล้ว ในที่สุดก็เจอเจ้า เจ้าทำลายชื่อเสียงคุณหนูพวกเรา ทำให้คุณหนูพวกเราหมั้นหมายไม่สำเร็จ วันนี้เจ้าจะต้องมีคำตอบให้พวกเรา”


 


 


เมิ่งเสียนเพิ่งเห็นชัดว่าเด็กสาวตรงหน้าคือสาวใช้ของคุณหนูที่วันนั้นถูกรถม้าของตนเองทำให้ตื่นตกใจ ได้ยินคำพูดนาง พลันไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมาจากรถม้า ได้ยินคำพูดสาวใช้ก็ยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการให้พี่ชายข้าให้คำตอบอย่างไร”


 


 


สาวใช้จำได้ว่านางเป็นใคร แค่นเสียงหึ พูดว่า “ยังจะมีคำตอบอันใดได้ พวกเจ้าต้องชดใช้สามีที่ดีให้คุณหนูของพวกเรา ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าอย่าหวังจะได้ไป” พูดจบก็สะบัดมือ คนที่แต่งกายเหมือนคนรับใช้ตรงเข้าล้อมรถม้า


 


 


สาวใช้พูดกับคนรับใช้หนึ่งในนั้น “เจ้ากลับไปเรียนนายท่านและฮูหยิน บอกว่าพวกเราเจอคนที่ทำลายชื่อเสียงคุณหนูแล้ว”


 


 


คนรับใช้รับคำ รีบวิ่งไปแจ้งข่าว


 


 


สาวใช้ชี้เมิ่งเสียนพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เดิมคุณหนูของพวกเราถูกทาบทามสู่ขอไว้แล้ว อีกฝ่ายเป็นคุณชายมั่งคั่ง รูปงามนามเพราะ รวยทรัพย์ล้นฟ้า ทั้งพึงพอใจคุณหนูของพวกเราเป็นอย่างมาก บอกว่าพ้นวันที่สิบเดือนอ้ายก็จะเข้ามาหมั้นหมาย แต่เรื่องที่คุณหนูของพวกเราล้มลงกลางถนนถูกเขาประคอง มีคนนำไปพูด เมื่อคุณชายผู้นั้นรู้เข้า บอกว่าคุณหนูของพวกเราไม่รักนวลสงวนตัว จึงไม่เข้ามาทำการหมั้นหมาย คุณหนูของพวกเราได้ยินคำที่แม่สื่อถ่ายทอดกลับมา วันๆ เอาแต่ร้องไห้น้ำตานอง ตอนนี้ร่างกายซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว”


 


 


“ดังนั้น พวกเจ้าต้องการให้พี่ใหญ่ข้าแต่งงานกับคุณหนูของพวกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


สาวใช้แค่นเสียงหึ พูดว่า “สภาพเช่นเขา ไหนเลยจะคู่ควรกับคุณหนูของพวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “เช่นนั้นพวกเจ้ามาขวางพวกเรากลางถนนเพื่ออะไร”


 


 


“ข้าก็ไม่รู้ นายท่านและฮูหยินเพียงสั่งให้พวกเรามารอพวกเจ้าที่นี่ เพื่อพบว่าพวกเจ้ามาที่ตลาด ก็ให้กลับไปรายงาน” สาวใช้ตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


 


 


เมิ่งเสียนพูดอย่างไม่เป็นสุข “น้องสาว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเสียน พูดปลอบใจ “พี่ใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี”


 


 


เมิ่งเสียนคิดถึงคำพูดสาวใช้ แล้วก็คิดถึงคุณหนูผู้เลอโฉม ใบหน้าแดงเรื่อฉับพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างขบขัน


 


 


คนรับใช้ที่วิ่งไปแจ้งข่าววิ่งเหนื่อยหอบกลับมา พูดกับสาวใช้ว่า “พี่เซี่ยเหอ นายท่านให้เชิญคุณชายท่านนี้และคนในครอบครัวเขาไปที่บ้าน”


 


 


เซี่ยเหอถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะอะไร”


 


 


คนรับใช้ส่ายหน้า “นายท่านฟังข้ารายงานจบ ก็กำชับข้ามาเช่นนี้”


 


 


เซี่ยเหอมองคนทั้งหมดอย่างไม่พอใจ “ได้ยินหรือไม่ นายท่านของพวกเราให้พวกเจ้าตามพวกเรากลับไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับเขยื้อน ยิ้มถาม “หากพวกเราไม่ไปเล่า”


 


 


เซี่ยเหอขึ้นเสียงสูง “พวกเจ้าอย่าอยู่ดีไม่ว่าดี นายท่านพวกเราเชิญพวกเจ้า พวกเจ้าอยากไปก็ต้องไป ไม่อยากไปก็ต้องไป”


 


 


เหล่าคนรับใช้ที่ล้อมรถม้าได้ยินเสียงดังลั่นของเซี่ยเหอ ขยับเข้าใกล้รถม้าขึ้น


 


 


เมิ่งเสียนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “น้องสาว พวกเราไปเสียหน่อยเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วอย่างที่ไม่เคยเป็น ยิ้มพูด “เมื่อพี่ใหญ่บอกว่าไปพวกเราก็จะไป”


 


 


เซี่ยเหอแค่นเสียงหึ พูดว่า “นับว่าพวกเจ้ายังรู้ความ”


 


 


พูดจบด้านหนึ่งเดินไปที่รถม้าบ้านตนเอง อีกด้านสั่งคนรับใช้ที่ล้อมรถม้าพวกเมิ่งเสียน “พวกเจ้าทั้งหมดเฝ้าตามติดไป หากพวกเขาหนีไปได้ ก็จงรอกลับไปถูกโบยเถิด”


 


 


คนรับใช้รับคำ เดินตามหลังรถม้าไปติดๆ


 


 


รถม้าของเซี่ยเหออยู่ข้างหน้า เมิ่งเสียนบังคับรถม้าตามหลัง รถม้าสองคันตามกันมาถึงบ้านคุณหนูนางนั้น


 


 


เซี่ยเหอลงจากรถม้า พูดกับคนรับใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู “เจ้าไปเรียนนายท่านและฮูหยิน บอกว่าพวกเรามาถึงแล้ว จะให้เข้าไปทั้งหมดหรือให้คุณชายท่านนี้เข้าไปคนเดียว”


 


 


คนรับใช้รับคำ รีบวิ่งเข้าไป ไม่นานก็วิ่งออกมา พูดกับเซี่ยเหออย่างนอบน้อม “นายท่านบอกว่าให้เชิญพวกเขาทั้งหมดไปที่ห้องรับแขก”


 


 


เซี่ยเหอพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “มอบรถม้าของพวกเจ้าให้คนรับใช้ของพวกเรา พวกเจ้าสองคนตามพวกเราเข้าไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนมอบบังเ**ยนรถม้าให้คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างรถม้าแต่โดยดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า ทั้งสามคนเตรียมจะเดินเข้าไปข้างใน


 


 


เซี่ยเหอกลับชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วร้องอุทาน “เขาเป็นใคร”


 


 


เมิ่งเสียนตอบนาง “นี่คือน้องชายข้า”


 


 


เซี่ยเหอพูดอย่างรำคาญ “สภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้เข้าไปจะทำให้นายท่านกับฮูหยินขวัญผวาได้ พวกเจ้าให้เขานั่งรออยู่บนรถม้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันสีหน้าอึมครึม


 


 


คนรับใช้ข้างๆ รีบพูดขึ้น “พี่เซี่ยเหอ ไม่เช่นนั้นข้าเข้าไปถามนายท่านก่อน ดูว่าจะอนุญาตให้เด็กคนนี้เข้าไปหรือไม่”


 


 


เซี่ยเหอโบกมือ “ไม่ต้อง ข้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนู เรื่องนี้ข้าตัดสินใจได้ ข้าบอกว่าเข้าไม่ได้ก็คือเข้าไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นเยียบ หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเราไป”


 


 


เมิ่งเสียนผลุนผลันไปรับบังเ**ยนกลับมา


 


 


เซี่ยเหอพูดเสียงดัง “พวกเจ้ายังไม่มีคำตอบให้เรื่องคุณหนูของพวกเรา จะไปได้อย่างไร ฝันไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเซี่ยเหออย่างเหยียดหยันแวบหนึ่ง พูดว่า “พี่ใหญ่ หากใครกล้าขวางทางรถม้าพวกเราอีก ก็ให้ก้าวย่ำผ่านคนผู้นั้นไป”


 


 


คนรับใช้รอบรถม้าได้ยินคำพูดเ**้ยมเกรียมของนาง ถอยหลังกรูดอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เซี่ยเหอพูดอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้ากล้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่แยแส “ยังไม่มีเรื่องที่ข้าไม่กล้าทำ ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู”


 


 


พูดจบรับบังเ**ยนในมือเมิ่งเสียนมาแล้วพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านกับเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปนั่งในรถม้า วันนี้ข้าก็อยากเห็นว่า มีใครไม่กลัวตายกล้ามาขวางรถม้าของพวกเรา”


 


 


เมิ่งเสียนรู้ว่าวันนี้นางโมโหจริงๆ แล้ว ไม่กล้ายับยั้งนาง กำลังจะพาเมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า หน้าประตูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “นานเช่นนี้แล้วเหตุใดแขกที่เชิญไว้ถึงยังไม่เข้าไปอีก นายท่านกับฮูหยินร้อนใจแทบรอไม่ไหวแล้ว”


 


 


เซี่ยเหอรีบพูดอย่างนอบน้อม “พ่อบ้าน น้องชายพวกเขามีรอยฟกช้ำทั่วใบหน้า น่าตกใจมาก ข้ากลัวพวกเขาจะทำนายท่านและคุณหนูตกใจไปด้วย จึงให้เขารออยู่บนรถม้า แต่พวกเขากลับไม่ยินยอม กลับคิดจะบังคับรถม้าจากไป”


 


 


พ่อบ้านได้ยินก็ตวาดใส่ “เหลวไหล พวกเขาเป็นแขกที่นายท่านเชิญมา จะไม่ให้เข้าไปได้อย่างไร”


 


 


เซี่ยเหอก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร


 


 


พ่อบ้านเดินไปตรงหน้าเมิ่งเสียน ประสานมือพูด “เซี่ยเหออายุยังน้อย ทำอะไรขาดความยั้งคิด ขอทุกท่านอย่าได้ถือโทษ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถากถาง “พวกเราคนบ้านนอก ไหนเลยจะกล้าโกรธเคืองสาวใช้ของพวกท่าน”


 


 


พ่อบ้านนิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วพูดเอ็ดเซี่ยเหอ “ยังไม่รีบเข้าไปขอขมาพวกเขา”


 


 


ปกติพ่อบ้านจะเข้มงวดกับพวกเขามาก มีความเด็ดขาดเคร่งครัด เซี่ยเหอได้ยินดังนั้นไม่กล้าโต้แย้ง เดินเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ เอ่ยปากพูดอย่างขอไปที “ข้าทำเรื่องไม่รอบคอบ ขอพวกท่านอย่าได้ตำหนิโทษ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


พ่อบ้านรีบพูด “เชิญทุกท่านด้านใน นายท่านและฮูหยินของพวกเรารออยู่นานแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับเขยื้อน พูดว่า “น้องชายข้าใบหน้าอัปลักษณ์ เดี๋ยวจะทำฮูหยินคุณหนูของพวกท่านตื่นตกใจ พวกเราไม่เข้าไปดีกว่า”


 


 


พ่อบ้านมองเมิ่งอี้เซวียนแวบหนึ่ง ใบหน้าขาวผุดมีรอยฟกช้ำไปทั่ว เห็นแวบแรกน่าตื่นตกใจจริงๆ แต่ก็ยังแย้มยิ้มพูด “คุณชายน้อยหน้าตาผุดผ่องเช่นนี้ ฮูหยินของพวกเราจะตกใจได้อย่างไร พวกท่านตามพวกเราเข้าไปเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีพ่อบ้านยังนับว่าใช้ได้ จึงมอบบังเ**ยนในมือให้คนรับใช้อีกด้าน หันไปพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “พี่ใหญ่ อี้เซวียน พวกเราเข้าไปเถอะ”


 


 


ทั้งสองพยักหน้า


 


 


พ่อบ้านรีบร้อนนำทาง


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนเดินตาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลังพูดกับคนรับใช้ “รถม้าคันนี้เพื่อพาน้องชายข้ามารับการรักษา จึงตั้งใจยืมหวังต้าซ่านมา พวกเจ้าต้องดูแลให้ดี หากมีอะไรผิดพลาด ขายพวกเราไปทั้งครอบครัวก็ยังชดใช้ไม่หมด”


 


 


ได้ยินคำพูดนาง พ่อบ้านหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นเดินหน้าต่อไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาอย่างเงียบๆ


 


 


พ่อบ้านพูดเข้ามาด้านในอย่างพินอบพิเทา “นายท่าน ฮูหยิน แขกมาถึงแล้ว”


 


 


ชายด้านในส่งเสียงออกมา “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”


 


 


พ่อบ้านขานรับ ผลักประตูห้องรับแขกออก เชิญคนทั้งหมดเข้าไปอย่างนบนอบ


 


 


พอคนทั้งหมดเข้าไปแล้ว ก็ปิดประตู ยืนรอหน้าประตู


 


 


ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องรับแขก เห็นเก้าอี้ด้านหน้ามีคู่สามีภรรยากลางคนคู่หนึ่งนั่งอยู่ ผู้หญิงเป็นมารดาของคุณหนูที่วันนั้นพวกเขาพามาส่ง ผู้ชายก็น่าจะเป็นพ่อของคุณหนูนางนั้น


 


 


หญิงวัยกลายคนเห็นทั้งสามคนเข้ามา ก็ลุกขึ้น พูดทักทายอย่างสนิทสนม “พวกเจ้ามาแล้ว เชิญนั่งก่อน”


 


 


ทั้งสามกล่าวคำขอบคุณ นั่งตัวตรงหน้ากระดานเรียงหนึ่งบนเก้าอี้ด้านข้าง


 


 


หญิงวัยกลางคนสั่งสาวใช้ “รีบรินน้ำชาให้แขกสำคัญ”


 


 


สาวใช้ยกน้ำชาออกมาโดยเร็ว วางไว้หน้าพวกเขาทีละคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างระวัง


 


 


ชายวัยกลางคนเห็นนางไม่มีมารยาทเช่นนี้ มุ่นหัวคิ้ว พูดอย่างน่าเกรงขาม “วันนี้กระทำการอุกอาจให้สาวใช้ไปเชิญทุกท่านมา ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ขอทุกท่านอย่าได้ถือโทษ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจิบน้ำชาอีกคำ ถึงถือถ้วยชาพูดเยาะหยัน “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว การถูกท่านเชิญมาที่เรือน นับเป็นความโชคดีของคนบ้านนอกอย่างพวกเรา จะตำหนิโทษท่านได้อย่างไร”


 


 


ชายวัยกลางคนฟังน้ำเสียงที่ไม่พอใจของนางออก ยิ่งขมวดคิ้วมุ่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถามอย่างไม่รู้เรื่องอันใด “ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านเชิญพวกเราสามพี่น้องมา ด้วยเพราะเรื่องอันใด”


 


 


ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้ง หญิงข้างๆ มองเขาอย่างลำบากใจแวบหนึ่ง พูดขึ้นอย่างกระดากเขิน “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พวกเราเพียงอยากถามว่าคุณชายท่านนี้ปีนี้อายุเท่าใดแล้ว หมั้นหมายแล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเสียนรีบลุกขึ้น พูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ปีนี้ข้าอายุได้สิบหกปี ยังมิได้หมั้นหมาย”


 


 


หญิงวัยกลางคนพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองนางอย่างประหลาดใจ


 


 


หญิงวัยกลางคนรู้สึกว่าตนเองเสียอาการ รีบร้อนอธิบาย “ข้าหมายถึงว่าคุณชายท่านนี้อายุกำลังดี”


 


 


ชายวัยกลางคนเห็นเมิ่งเสียนยังนับว่ามีมารยาท คลายคิ้วที่ขมวดมุ่นออก เอ่ยปากพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว จะพูดตามตรงกับพวกเจ้า ที่พวกเราเชิญพวกเจ้ามานั้น เพราะอยากมอบอวี่เอ๋อร์ของพวกเราให้แต่งงานกับคุณชายท่านนี้”


 


 


“อะไรนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวลืมถ้วยชาที่ยังถืออยู่ในมือ ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตกใจ น้ำร้อนในถ้วยกระเซ็นออกมา ราดรดมือนาง นางทนเจ็บไม่ไหว สะบัดมือ ถ้วยชาหล่นหลุดมือตกพื้นแตกกระจาย น้ำชาสาดกระเซ็นไปทั่ว


 


 


ชายวัยกลางคนเห็นนางหยาบกระด้าง ชักสีหน้าเข้ม


 


 


เมิ่งเสียนรีบเดินขึ้นหน้า มองมือนาง ถามเป็นพรวน “น้องสาว ลวกมือหรือไม่ จะไปโรงหมอตอนนี้เลยหรือไม่”


 


 


หญิงวัยกลางคนเห็นเมิ่งเสียนจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวมาตรวจดูอย่างไม่หลบเลี่ยง สีหน้าเคร่งขรึมลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดมือตัวเองไปมาอย่างไร้กิริยา พูดกับเมิ่งเสียนอย่างดีใจ “พี่ใหญ่ ท่านได้ยินหรือไม่ พวกเขาคิดจะมอบบุตรสาวของตัวเองให้แต่งงานกับท่าน คราวนี้ดีแล้ว พอพวกเรากลับไป จะได้ไปคุยโวป่าวประกาศให้รู้กันทั่ว”


 


 


ชายวัยกลางคนและหญิงวัยกลางคนสีหน้าเข้มขึ้นกว่าเดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะกิดเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ยังไม่รีบกล่าวขอบคุณ”


 


 


เมิ่งเสียนมองนางอย่างไม่เข้าใจ รีบร้อนกล่าวขอบคุณ


 


 


หญิงวัยกลางคนฝืนยิ้มแห้งๆ สั่งสาวใช้ให้เก็บกวาดเศษแก้วบนพื้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขอขมา “ขออภัยด้วย ข้าเสียมารยาทไป เพราะได้ยินข่าวนี้ทำให้ข้าตกใจเกินไป พวกเราคิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะยอมยกคุณหนูของพวกท่านให้แต่งงานกับพี่ใหญ่ข้า ต้องรู้ว่าที่บ้านนอกของพวกเรา มีเพียงบุตรชายของหวังต้าซ่านที่ได้แต่งงานกับคุณหนูในเมือง”


 


 


“พวกเจ้าเป็นคนที่ไหน” ชายวัยกลางคนถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาโต พูดอย่างประหลาดใจ “พวกท่านไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนที่ไหน ก็กล้ายกคุณหนูให้มาแต่งงานกับพี่ใหญ่ข้า”


 


 


หญิงวัยกลางคนหน้าแดง ไม่ได้พูดต่อ


 


 


ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้ง พูดว่า “ก่อนปีใหม่ เรื่องที่รถม้าบ้านพวกเจ้าทำให้อวี่เอ๋อร์ตกใจล้มไปกองกับพื้น ถูกนำไปพูดครึกโครมไปทั่วตำบล ตอนนี้ไม่มีแม่สื่อคนไหนยินดีมาพูดทาบทามอวี่เอ๋อร์อีก อวี่เอ๋อร์อายุสิบห้าปีแล้ว หากยังไม่หมั้นหมายจะกลายเป็นสาวเทื้อคาเรือน พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือก ถึงคิดอุบายนี้ อย่างไรบ้านพวกเจ้าก็มีรถม้า ไม่เหมือนคนยากจน แม้จะเป็นคนบ้านนอก หลังจากอวี่เอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วก็คงไม่ต้องลำบากมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “สวรรค์ พวกท่านไม่รู้หรือ รถม้าที่พวกเรานำมาพวกเรายืมหวังต้าซ่านในหมู่บ้านมา บ้านพวกเราหาได้มีไม่”


 


 


ถ้วยชาในมือหญิงวัยกลางคนตกลงพื้นดัง “เคร้ง” น้ำชาข้างในสาดกระเซ็นออกมา ไม่ทันให้สาวใช้มาเช็ด รีบร้อนถามขึ้น “รถม้านั้นพวกเจ้ายืมมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “หวังต้าซ่านที่หมู่บ้านพวกเราเป็นคนดีมาก ไม่ว่าบ้านไหนมีเรื่องไปยืมรถม้าบ้านเขา เขาไม่เคยอิดออด”


 


 


หญิงวัยกลางคนหันไปร้องเรียกชายวัยกลางคน “ท่านพี่!”


 


 


ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะลึงงัน พอได้ยินหญิงวัยกลางคนร้องเรียกถึงตื่นจากภวังค์ ถามกลับอย่างไม่เชื่อ “รถม้านั้นพวกเจ้ายืมมาจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน”


 


 


ชายวัยกลางคนมองประเมินพวกเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างข้องใจ “ดูจากการแต่งกายของพวกเจ้า ก็ไม่เหมือนคนบ้านนอกยากจนข้นแค้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามจริงเพียงครึ่งเดียว “ท่านปู่ข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงหลายแห่ง ดังนั้นความเป็นอยู่ของพวกเราจึงดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย”


 


 


ชายวัยกลางคนมองประเมินพวกเขาอย่างไม่แน่ใจอีกครู่ใหญ่


 


 


เมิ่งเสียนไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาไม้ไหน แต่ก็ไม่กล้าพูดเปิดโปง ได้แต่แอบดึงเสื้อนาง อยากถามว่าเหตุใดนางต้องพูดโกหก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับจงใจพูดเสียงดังขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องกลัว ข้าว่านิสัยของคุณหนูคนนี้ดีใช้ได้อยู่ หากพวกท่านแต่งงานกันแล้ว ต่อไปพวกท่านก็ย้ายมาอยู่บ้านพวกเขา ถึงตอนนั้นข้ากับน้องเล็กและท่านพ่อท่านแม่ก็จะมาขออาศัยใบบุญ อยู่บ้านเศรษฐีด้วย”


 


 


เมิ่งเสียนรีบชักมือกลับ ร้อนรนพูด “น้องสาว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งบิดเบือนเจตนาเขา “ข้ารู้ ท่านไม่อยากมาอยู่บ้านคุณหนูท่านนี้ แต่บ้านเราเป็นเพียงบ้านกระต๊อบเก่าๆ สามห้อง ไม่มีที่เป็นห้องหอให้พวกท่าน”


 


 


เมิ่งเสียนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี กระวนกระวายจนเหงื่อผุดซึมหน้าผาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างเป็นกันเองแล้วพูดกับหญิงและชายวัยกลางคน “พี่ใหญ่ข้าเป็นคนเงียบๆ บางครั้งมีคำพูดที่ปลายลิ้นกลับพูดไม่ออก หวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสา” พูดจบหันไปพูดปลอบใจเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องใจร้อน มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูด เพราะนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว จะได้ให้พวกเขาจัดสำรับอาหารให้พวกเราสักมื้อ ข้าโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยกินข้าวในเมืองสักครั้ง อีกประเดี๋ยวจะต้องกินให้อิ่มหนำ”


 


 


ชายและหญิงวัยกลางคนหันหน้าสบตากัน


 


 


ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้ง พูดกับทุกคนว่า “เมื่อครู่ข้าคิดทบทวนดู พวกเราทำเช่นนี้ หุนหันพลันแล่นเกินไป เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าและฮูหยินจะปรึกษากันอีกครั้ง ค่อยเชิญพวกเจ้ามาใหม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำอย่างผิดหวัง จากนั้นก็พูดอย่างเริงร่าอีกครั้ง “ข้าจะบอกว่าบ้านพวกเราอยู่ที่ไหนแล้วกัน เดี๋ยวพอพวกท่านหารือได้จะไม่รู้ว่าต้องไปหาพวกเราที่ไหน”


 


 


หญิงวัยกลางคนรีบโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดถึงไม่ต้องแล้ว พวกท่านจะกลับคำ ไม่อยากให้บุตรสาวของพวกท่านแต่งงานกับพี่ใหญ่ข้าแล้วหรือ”


 


 


หญิงวัยกลางคนถูกพูดจี้จุด ใบหน้าแดงก่ำพลัน กลับยังฝืนพูด “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ได้หมายความเช่นนั้น พวกเราอยากถามความเห็นของอวี่เอ๋อร์ค่อยทำการตัดสินใจ”


 


 


สิ้นเสียงหญิงสาว ผ้าม่านประตูเล็กข้างห้องรับแขกก็ถูกเปิดออก คุณหนูใบหน้าซูบผอมถูกเซี่ยเหอประคองเข้ามา ด้านหนึ่งเดินอย่างเชื่องช้า ด้านหนึ่งพูดขึ้น “ท่านแม่ ไม่ต้องแล้ว ข้ายินดีกับการแต่งงานนี้”


 


 


คนทั้งหมดคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะปรากฏตัวขึ้นในห้องรับแขก ทั้งยังพูดวาจาเช่นนั้น พลันตะลึงงันกันอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนอง


 


 


หญิงวัยกลางคนร้องเรียกอย่างปวดใจ “อวี่เอ๋อร์”


 


 


คุณหนูท่านนี้ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ ทั้งหมดนี้คือชะตาฟ้าลิขิต ท่านรับปากเถอะ”


 


 


“แต่พวกเขาเป็นคนบ้านนอกที่ไม่มีอะไรเลย แต่เล็กเจ้าไม่เคยต้องลำบาก หากแต่งงานไปแล้วต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างปวดใจ


 


 


คุณหนูพูดอย่างซังกะตาย “ชื่อเสียงข้าป่นปี้หมดแล้ว หากไม่แต่งกับเขา ภายหน้าก็จะไม่มีใครขอข้าอีกแล้ว”


 


 


หญิงวัยกลางคนมองสภาพบุตรสาว ปวดใจน้ำตาไหลพราก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคุณหนูตรงหน้า ระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่โครงกระดูก รู้สึกตกใจไม่น้อย หยั่งเชิงถามขึ้น “คุณหนูท่านนี้ เจ้าป่วยเป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือ”


 

 

 


ตอนที่ 138.1

 

เมิ่งเสียนหวั่นไหว

 


 


 


 


เซี่ยเหอได้ฟัง โมโหร้องโวยวายใส่เมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าเด็กบ้านนอกหยาบกระด้าง เจ้าสิที่ป่วย” 


 


 


คุณหนูตำหนินางอย่างอ่อนแรง “หุบปาก!” 


 


 


เซี่ยเหอถลึงตามองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่พอใจ ไม่พูดอะไรอีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าตนเองพูดตรงเกินไป กล่าวคำขอขมา “ขออภัยคุณหนูท่านนี้ด้วย ข้าเห็นเจ้าผ่ายผอมถึงเช่นนี้ภายในเวลาอันสั้น ตกใจฉับพลัน จึงโพล่งปากถามออกไป ขอเจ้าอย่าได้ถือโทษ” 


 


 


คุณหนูโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้ารู้ ข้าไม่ตำหนิโทษเจ้า” พูดจบ ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าเอาแต่เรียกข้าว่าคุณหนูเลย ข้าชื่ออวี้อวี่ หากเจ้าไม่รังเกียจ ต่อไปเรียกข้าว่าพี่อวี้ก็ได้” 


 


 


หลังจากพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้เรียกนางพี่อวี้เหมือนที่นางคาดคิด แต่กลับใช้สายตาคลางแคลงมองไปที่นาง 


 


 


อวี้อวี่ร้อนตัวกะพริบตาปริบ ถามอย่างอ่อนแรง “ข้ามีอะไรผิดปกติหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนแววตา ส่ายศีรษะ 


 


 


แม่อวี้เช็ดน้ำตา พูดอย่างปวดหัวใจ “อวี่เอ๋อร์ หมอกำชับให้เจ้าพักรักษาตัวอยู่บนเตียง เจ้าจะมาทำไม” 


 


 


อวี้อวี่กระแอมสองครั้ง ตอบอย่างอ่อนแรง “ท่านแม่ ข้าได้ยินเซี่ยเหอบอกว่าพวกท่านเชิญคุณชายท่านนี้เข้ามาในจวน กลัวพวกท่านจะตำหนิโทษเขา ข้าจึงออกมา” 


 


 


พ่ออวี้ได้ฟังตำหนิเซี่ยเหอ “ข้าบอกพวกเจ้าห้ามไม่ให้คุณหนูรู้เรื่องนี้ พวกเจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นเพียงลมผ่านข้างหูเรอะ” 


 


 


เซี่ยเหอลนลานคุกเข่า พูดตัวสั่นเทิ้ม “นายท่าน ผู้น้อยเผลอพูดออกไป ทำให้คุณหนูได้ยินเข้า” 


 


 


อวี้อวี่ก็ช่วยขอร้อง “ท่านพ่อ ท่านอย่าตำหนิโทษเซี่ยเหอเลย เรื่องนี้ช้าเร็วข้าก็ต้องรู้” 


 


 


พ่ออวี้พูดกับเซี่ยเหออย่างเฉียบขาด “เห็นแก่ที่ปกติเจ้าดูแลคุณหนูอย่างตั้งใจจริง ครั้งนี้ข้าจะอภัยให้ หากครั้งหน้ายังกระทำผิดอีก จะให้พ่อบ้านนำเจ้าไปขายทิ้ง” 


 


 


เซี่ยเหอตกใจโขกศีรษะ “นายท่านวางใจ ต่อไปข้าไม่กล้าแล้ว” 


 


 


พ่ออวี้ไม่สนใจนางอีก ผ่อนปรนน้ำเสียงแล้วพูดกับอวี้อวี่ “อวี่เอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน เรื่องนี้ให้พ่อและแม่เจ้าจัดการเอง” 


 


 


อวี้อวี่ไม่ยอม พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องที่ข้าถูกม้าทำให้ตกใจล้มไปกับพื้น จะโทษคุณชายท่านนี้ไม่ได้ หากเขาไม่ยอมรับเรื่องการแต่งงานนี้ พวกท่านอย่าให้เขาต้องลำบากใจเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเสียนรีบร้อนพูด “ไม่ลำบากใจ ไม่ลำบากใจ” 


 


 


เห็นท่าทีของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 


 


 


ใบหน้าอวี้อวี่แดงเรื่อ ถามอย่างยินดี “คุณชายยอมรับงานแต่งงานนี้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแย่งพูดขึ้น “แต่ไหนแต่เรื่องไรเรื่องการแต่งงานพ่อแม่จัดการ แม่สื่อดำเนินการ เรื่องนี้พวกเราต้องกลับไปถามท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราก่อน ถึงจะให้คำตอบพวกท่านได้” 


 


 


อวี้อวี่แสดงสีหน้าผิดหวัง พูดงึมงำกับตัวเอง “แต่ข้ารอไม่ไหวแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหูดี ได้ยินคำพูดนาง มองนางอย่างคับข้องใจ 


 


 


แม่อวี้ที่พอได้ยินว่าบ้านเมิ่งเสียนไม่มีอะไรสักอย่าง ความคิดที่จะเกี่ยวดองด้วยไม่เหลือแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ จึงรีบพูด “ใช่ๆๆ พวกเจ้ากลับไปปรึกษากับคนที่บ้านก่อน ไม่ต้องรีบร้อน นานแค่ไหนก็ได้” 


 


 


พ่ออวี้ก็พูดบ้าง “เรื่องการแต่งงานนี้พวกเราก็ต้องคิดทบทวนให้ดีๆ เราสองครอบครัวไม่เหมาะสมกันสักอย่าง ต่อให้แต่งงานกันไปจริงๆ เรื่องบางอย่างพวกเราก็ต้องยกมาพูดให้ชัดเจนก่อน” 


 


 


อวี้อวี่พูดอย่างกระวนกระวาย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ชื่อเสียงข้าป่นปี้แล้ว ไม่มีใครมาทาบทามสู่ขออีก หากคุณชายท่านนี้ตอบตกลง พวกเราก็รีบจัดการงานแต่งงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วเถอะ” 


 


 


แม่อวี้พูดอย่างทำใจยอมไม่ได้ “เด็กโง่ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต จะตัดสินใจบุ่มบ่ามได้อย่างไร วางใจเถอะ หากช่วงเวลานี้ยังไม่มีใครมาทาบทามสู่ขอ แม่จะพาเจ้ากลับบ้านเกิด หาคู่แต่งงานที่เหมาะสมให้” 


 


 


อวี้อวี่กัดริมฝีปาก รวบรวมความกล้าแล้วพูด “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า แต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นคุณชายท่านนี้ก็แอบพึงพอใจเขาแล้ว” 


 


 


พ่ออวี้แม่อวี้ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น 


 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดงฉับพลัน 


 


 


ทั้งห้องพลันเงียบสนิท 


 


 


ครู่ใหญ่แม่อวี้ถึงได้สติกลับมา ถามอย่างไม่เชื่อ “อวี่เอ๋อร์ เจ้าพูดเป็นความจริง” 


 


 


อวี้อวี่พยักหน้า 


 


 


พ่ออวี้ชี้นางโมโหจนพูดไม่ออก 


 


 


อวี้อวี่ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าพ่อแม่ตัวเอง พูดอย่างอ่อนแรง “ลูกรู้ว่าทำเช่นนี้ทำให้พวกท่านอับอาย แต่ลูกควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้ หลังจากคุณชายท่านนี้จากไป ลูกก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ รอคอยจะได้เจอคุณชายท่านนี้อีกครั้ง ขอร้องพวกท่านสงเคราะห์ข้าด้วยเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวอย่างทนไม่ไหว เมิ่งเชี่ยนโยวมือเท้าไวรั้งเขาเอาไว้ 


 


 


พ่ออวี้ด่าทออย่างฉุนเฉียว “เจ้าลูกไม่รักดีหน้าไม่อาย วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก” พูดจบเดินหาสิ่งของอย่างโกรธเกรี้ยว 


 


 


แม่อวี้รีบเข้าขวาง “ท่านพี่ ใจเย็นก่อน อวี่เอ๋อร์อายุยังน้อย เห็นชายที่พึงใจเผลอใจรักใคร่ก็เป็นเรื่องปกติ” 


 


 


พ่ออวี้หาสิ่งของที่เหมาะสมไม่ได้ บันดาลโทสะก่นด่า “พ่อแม่รังแกฉันแล้ว เพราะเจ้าที่ปกติตามใจนางจนเกินไป ถึงทำให้นางทำเรื่องไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้” 


 


 


แม่อวี้ก็โมโหบ้าง พูดโต้กลับ “ข้าตามใจนางอย่างไร ที่ผ่านมาท่านเองก็พะเน้าพะนอตามใจไม่ใช่น้อย” 


 


 


“เจ้า…” พ่ออวี้โมโหเดือดดาล พูดอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “เคราะห์ร้ายของสกุล เคราะห์ร้ายของสกุล” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับเมิ่งเสียนไว้แน่น มองทั้งหมดนี้ด้วยแววตาเย็นชา 


 


 


อวี้อวี่คลานขึ้นหน้าสองสามก้าว ร่ำไห้พูดพร่ำ “ท่านพ่อ ทั้งหมดเป็นความผิดของลูก ท่านจะตบตีว่ากล่าวข้าอย่างไรก็ได้ แต่ท่านอย่าโมโหจนเสียสุขภาพเด็ดขาด” 


 


 


พ่ออวี้มองสภาพน่าเวทนาของบุตรสาว ถอนหายใจทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


แม่อวี้เดินไปตรงหน้าอวี้อวี่พูดอย่างปวดใจ “อวี่เอ๋อร์ รีบลุกขึ้น ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ไปคุกเข่าบนพื้นทำไม วางใจเถอะ ไม่ว่าอย่างไรแม่จะต้องจัดงานแต่งของเจ้ากับคุณชายท่านนี้ให้จงได้” พูดจบคิดจะพยุงนางขึ้นพร้อมเซี่ยเหอ 


 


 


อวี้อวี่ไม่ยอมขยับ ยังคงคุกเข่า หันไปพูดกับพ่ออวี้ “ท่านพ่อ ไม่ว่าครอบครัวของคุณชายท่านนี้เป็นอย่างไร ลูกปักใจกับเขาแล้ว ท่านสงเคราะห์ลูกเถอะ” 


 


 


พ่ออวี้โมโหไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปากพูด “พี่อวี้ คล้ายว่าพวกเรายังไม่ได้ตอบรับเรื่องการแต่งงานนี้ ท่าทีมุ่งมั่นของท่านนี้ แน่ใจแล้วว่าพวกเราจะตอบตกลง” 


 


 


อวี้อวี่ไม่คิดว่านางจะถามเช่นนี้ พลันตอบกลับไม่ถูก 


 


 


เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นหน้าประตู “พ่อบ้าน เจ้ามายืนทำอะไรหน้าประตู” 


 


 


พ่อบ้านตอบอย่างพินอบพิเทา “คุณชาย นายท่านและฮูหยินกำลังรับรองแขก ผู้น้อยเฝ้าหน้าประตูเผื่อมีอะไรเรียกใช้” 


 


 


ชายหนุ่มถามขึ้น “แขกที่ไหน” 


 


 


พ่อบ้านไม่ได้ตอบ 


 


 


ชายหนุ่มผลักประตูเข้ามา เห็นเหตุการณ์ตรงนี้ กะพริบตาปริบๆ ถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องสาว เกิดเรื่องอะไรขึ้น” 


 


 


แม่อวี้คร่ำครวญพูด “เทียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาพอดี รีบมาเกลี้ยกล่อมน้องสาวเจ้า” 


 


 


ชายหนุ่มเดินมาตรงหน้าอวี้อวี่ ถามเสียงเบา “น้องสาว เกิดเรื่องอันใดขึ้น” 


 


 


อวี้อวี่กัดริมฝีปาก ร้องเรียกพี่ชายเสียงแผ่ว เผยอปากคิดจะพูดอะไร กลับไม่ได้พูดออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูด “พวกเราพี่น้องออกมานานแล้ว หากยังไม่กลับไป ท่านพ่อท่านแม่จะเป็นห่วง พวกเราขอตัวลา สำหรับเรื่องการแต่งงานกับคุณหนูอวี้ พวกเราจะกลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่ หากพวกเขาเห็นด้วย อีกสองวันพวกเราจะให้แม่สื่อมาพูดทามทามสู่ขอ” 


 


 


พูดจบ หันหลังเดินจากไป เมิ่งอี้เซวียนเดินตามหลัง เมิ่งเสียนมองอวี้อวี่อย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง แล้วเดินตามออกไป 


 


 


อวี้เทียนร้องตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดฝีเท้า ยังคงเดินต่อไป 


 


 


อวี้เทียนเห็นเช่นนั้นแผดเสียงคำราม “เด็กๆ ขวางพวกเขาไว้” 


 


 


เหล่าคนรับใช้ได้ฟังก็ปรากฏตัวหน้าประตูห้องรับแขก 


 


 


แม่อวี้ถามอย่างลืมตัว “เทียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับหลังถาม “คุณชายอวี้คิดจะทำสิ่งใด” 


 


 


อวี้เทียนเดินไปตรงหน้านาง มองประเมินนางขึ้นลงหลายครั้ง พูดอย่างดูแคลน “แค่เด็กสาวบ้านนอกตัวกระเปี๊ยก กล้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา เจ้าออกไปถามใครดูก็ได้ว่าข้าอวี้เทียนเป็นใคร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือกอดอก พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “คุณชายอวี้ พอจะเปลี่ยนคำกล่าวลาหน่อยได้หรือไม่ คำพูดนี้วันนี้ข้าฟังจนใกล้อาเจียนแล้ว” 


 


 


อวี้เทียนสะอึกกึก 


 


 


อวี้อวี่ลนลานพูด “พี่ใหญ่ เรื่องนี้เอาไว้ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังที่หลัง ท่านอย่าทำพวกเขาลำบากใจเด็ดขาด ให้พวกเขาไปเถอะ” 


 


 


อวี้เทียนหันกลับไปมองอวี้อวี่แวบหนึ่ง โบกมือออกไปนอกประตู คนรับใช้ล่าถอยไป 


 


 


พวกเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนเดินออกไปจากประตูห้องรับแขก มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ 


 


 


พ่อบ้านรีบพาคนทั้งหมดไปส่งที่ด้านนอกประตูใหญ่อย่างนบนอบ มองดูเมิ่งเสียนบังคับรถม้าจากไปไกล ถึงลอบหายใจโล่งอก 


 


 


เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีแก่ใจเดินเที่ยวแล้ว พูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ พวกเรากลับบ้านเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับบ้าน พอออกมาจากตัวตำบล คนบนถนนลดน้อยลง เมิ่งเสียนถามเสียงเบาอย่างไม่เข้าใจ “น้องสาว เหตุใดเจ้าต้องพูดโกหกกับคนในครอบครัวคุณหนูอวี้ด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ไม่ตอบกลับย้อนถาม “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าคุณหนูอวี้เป็นอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเสียนไม่ได้ตอบ กลับหน้าแดงก่ำ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ พูดอย่างจนใจ “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนเห็นนางถอนใจ ถามอย่างระวัง “คุณหนูอวี้มีตรงไหนไม่ดีหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเผยอปาก กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา 


 


 


เมิ่งเสียนยิ่งทวีความข้องใจ คิดจะถามต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับปิดม่านบังตาลง เมิ่งเสียนจำต้องกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป ตั้งใจบังคับรถม้ากลับบ้าน 


 


 


ตอนที่ทั้งสามกลับมาถึงบ้าน ก็เกือบเที่ยงแล้ว เมิ่งชื่อและคนที่เหลืออีกสองคนกำลังเตรียมจะทำอาหารเที่ยงให้คนงาน เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา รีบเดินออกมาจากครัวถามไถ่ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดพวกเจ้า…” กลับเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนโยนผักสดในมือทิ้ง สาวเท้ามาตรงหน้าเขา ร้องถามเสียงหลง “อี้เซวียน ใบหน้าเจ้าเป็นอะไร” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่งยิ้มให้เมิ่งชื่อ ตอบกลับ “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็หายแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อประคองใบหน้าเขามองแล้วมองอีกอย่างปวดใจ พูดว่า “รอยฟกช้ำเป็นจ้ำเช่นนี้ ไม่กี่วันจะหายได้อย่างไร บอกแม่มา เจ้าไปมีเรื่องวิวาทมาอีกแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้น “ท่านแม่ อาการบาดเจ็บบนใบหน้าอี้เซวียนไม่เป็นอะไรจริงๆ ข้าและพี่ใหญ่พาเขาไปหาหมอที่ร้านยาเต๋อเหรินแล้ว หมอชราให้ยาทาภายนอกมาทาวันละครั้ง ไม่กี่วันก็หายดี” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินนางบอกว่าไปร้านยาเต๋อเหรินมาแล้ว จึงวางใจ แต่ก็ยังถามต่อ “อี้เซวียนไปมีเรื่องวิวาทกับใครมาอีกแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งชื่อถามอย่างตกใจ “เหตุใดถึงมีเรื่องกับคนอื่นได้ มีคนเจตนารังแกพวกเจ้าหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่โรงเรียนทั้งหมดออกมา 

 

 

 


ตอนที่ 138.2

 

 เมิ่งเสียนหวั่นไหว

 


 


 


 


เมิ่งชื่อฟังจบตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยวทันที “อี้เซวียนยังเด็ก เจ้าให้เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร หากถูกเด็กพวกนั้นทำร้ายสาหัสจะทำอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองบนกรอกตาขาว พูดอธิบายอย่างอ่อนใจ “ท่านแม่ ข้าสอนวรยุทธ์พวกเขามาตั้งนาน ฝีมือของเขาข้าจะไม่รู้หรือ การรับมือกับเด็กอันธพาลพวกนั้นไม่คณามือเขา ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่เห็นชอบให้พวกเขาต่อสู้กัน” 


 


 


เมิ่งชื่อถามเสียงแหลม “เช่นนั้นบาดแผลบนหน้าอี้เซวียนมาได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะถูกชกหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจพูดอย่างเรียบง่าย “ท่านแม่ ท่านเพียงเห็นบาดแผลบนใบหน้าอี้เซวียน ท่านยังไม่เห็นว่าเด็กคนอื่นแย่ยิ่งกว่าเขาแค่ไหน ถูกเขาสู้จนฟุบไปกับพื้นลุกไม่ไหวไปตามๆ กัน หลังจากวันนี้ไป ข้ารับประกันว่าที่โรงเรียนจะไม่มีใครกล้ารังแกเขาอีก” 


 


 


เมิ่งชื่อฟังแล้ว ถึงไม่ตำหนิว่านางอีก พูดกับเมิ่งอี้เซวียนอย่างอ่อนโยน “เจ้าเข้าบ้านไปกับแม่ แม่จะทายาให้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง 


 


 


เมิ่งชื่อพาเมิ่งอี้เซวียนเดินเข้าบ้าน เมิ่งเสียนกลับร้องเรียกอย่างร้อนรน “ท่านแม่! ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” 


 


 


เมิ่งชื่อหันกลับมาถาม “เรื่องอันใด” 


 


 


เมิ่งเสียนกำลังจะพูดเรื่องที่คุณหนูบ้านอวี้ต้องการหมั้นหมายกับตัวเองออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาห้ามเขาไว้ “พี่ใหญ่ ท่านเอารถม้าไปเก็บเข้าที่ก่อนเถอะ ในบ้านคนเยอะ เรื่องนี้รอพูดตอนค่ำดีกว่า” 


 


 


เมิ่งเสียนก็คิดได้ว่าในบ้านคนเยอะ ตอนนี้ไม่เหมาะจะพูดเรื่องนี้จริงๆ จึงขยี้ศีรษะ บังคับรถม้าเดินหน้าแดงไปหลังเรือน 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นท่าทีเมิ่งเสียน ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกังขา “โยวเอ๋อร์ ทำไมแม่รู้สึกว่าพี่ชายเจ้าผิดปกติ วันนี้พวกเจ้ายังเจอเข้ากับเรื่องอื่นหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจอเข้ากับเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รอตอนกลางคืนค่อยให้พี่ใหญ่บอกท่าน” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงไม่เก็บมาใส่ใจ พาเมิ่งอี้เซวียนเข้ามาในบ้าน หยิบยาในมือเมิ่งเชี่ยนโยวมา ทาให้เขาอย่างตั้งใจ แล้วกำชับให้เขาไปพักผ่อน 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าไปที่ห้องตัวเองอย่างว่านอนสอนง่าย นอนลงบนเตียงเตา คิดจะหลับตาพักสักครู่ ไม่ทันไรก็หลับสนิทไป 


 


 


เมิ่งชื่อกลับมาที่ห้องครัว ลงมือทำอาหารกลางวันให้คนงานต่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งขมวดคิ้วมุ่นบนเก้าอี้ในห้องเมิ่งชื่อ เอาแต่ขบคิดว่า คุณหนูสกุลอวี้มีตรงไหนผิดปกติ 


 


 


กินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งเสียนก็ไม่มีแก่ใจทำน้ำมันพริก เอาแต่เดินไปโน่นมานี่ไม่หยุด คอยแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า รอคอยให้ท้องฟ้ารีบมืดเร็วๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขา ยิ่งขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


เมิ่งชื่อมองดูอาการเมิ่งเสียน ถามเขาว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ 


 


 


เมิ่งเสียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วส่ายหน้าไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งชื่อมองเขาอย่างคับข้องใจ 


 


 


เมิ่งเสียนกลัวตัวเองจะทนไม่ไหวพูดออกไปตอนนี้ หันหลังเดินไปหลังเรือน 


 


 


เมิ่งชื่อส่ายหน้า ปักลวดลายงดงามบนกระเป๋านักเรียนที่ตัวเองเย็บเสร็จแล้วต่อ 


 


 


กระทั่งคนงานกลับไปหมดแล้ว เมิ่งเสียนปิดประตูใหญ่อย่างอดใจรอไม่ไหว วิ่งมาตรงหน้าเมิ่งชื่อที่กำลังเตรียมทำอาหารค่ำ พูดอย่างเก็บงำความดีใจไม่ไหว “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” 


 


 


เมิ่งชื่อล้างผักไปพลางถาม “เรื่องอันใด” 


 


 


เมิ่งเสียนถามนางอย่างยินดี “ท่านแม่ยังจำแม่นางที่ตกใจเพราะรถม้าของพวกเราเมื่อตอนก่อนปีใหม่ได้หรือไม่” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “จำได้ หากไม่เพราะสาวใช้นางบอกว่าจะหมั้นหมายกับคุณชายมั่งคั่งคนหนึ่งหลังปีใหม่ แม่คงให้แม่สื่อไปทาบทามสู่ขอแล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนพูดอย่างยินดี “วันนี้พ่อแม่ของนางเชิญพวกเราไปที่บ้านพวกเขา บอกว่าจะยกคุณหนูนางนั้นให้แต่งงานกับข้า” 


 


 


ผักในเมิ่งชื่อร่วงหล่นพื้น เงยหน้าถามอย่างยินดีแกมประหลาดใจ “เสียนเอ๋อร์ เจ้าพูดเป็นความจริง” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้าเต็มแรง พูดว่า “น้องสาวและอี้เซวียนก็ทราบเรื่อง” 


 


 


เมิ่งชื่อถูมือดีใจพูดว่า “เช่นนั้นก็ดีมากจริงๆ ถึงว่าตอนที่แม่เห็นคุณหนูนางนี้ครั้งแรกก็ชอบใจเป็นอย่างมาก ที่แท้จะได้มาเป็นคนในครอบครัวของพวกเรา” พูดจบร้องตะโกนเสียงดังอย่างระงับไม่อยู่ “พ่อเอ๊ย เจ้ามาตรงนี้หน่อย บ้านเราจะมีเรื่องมงคลแล้ว” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินเดินออกมาจากในบ้าน ถามเสียงลั่น “เรื่องมงคลอะไร” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบอย่างดีใจ “เสียนเอ๋อร์ของเราจะหมั้นหมายแล้ว!” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นชะงันงันเล็กน้อย ถามนางอย่างสงสัย “เสียนเอ๋อร์จะหมั้นหมาย เป็นบุตรสาวบ้านไหน ก่อนหน้านี้เหตุใดไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึง” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบอย่างยินดี “มิใช่บุตรสาวคนละแวกนี้ แต่เป็นคุณหนูผู้ดีมีเงินในเมือง วันนี้พ่อแม่ของนางเชิญพวกเสียนเอ๋อร์ไปที่บ้าน บอกว่าพึงพอใจเสียนเอ๋อร์ของเรา ต้องการยกบุตรสาวของตนให้แต่งงานกับเขา” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นฟังไม่เข้าใจ ถามอย่างข้องใจ “เหตุใดข้าถึงฟังที่เจ้าพูดไม่เข้าใจ คุณหนูผู้ดีมีเงินอะไร” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างร้อนใจ “ทำไมพูดแล้วเจ้าไม่เข้าใจ ก็คุณหนูผู้ดีมีเงินในเมืองคนนั้นอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเริ่มร้อนรน พูดว่า “เจ้ายิ่งพูดข้าก็ยิ่งงง คุณหนูผู้ดีมีเงินในเมืองคนไหนกันแน่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งสองคนพูดกันเหมือนฝึกออกเสียงคำพูดลิ้นพันกัน ส่งเสียงหัวเราะ “พรืด” ออกมา พูดว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ได้เล่าเรื่องที่รถม้าของพวกเราทำคุณหนูคนนั้นตกใจตอนก่อนปีใหม่ให้ท่านพ่อฟัง” 


 


 


เมิ่งชื่อตบหน้าผาก พูดว่า “ข้าดีใจเกินไป ลืมบอกเรื่องที่เจ้าไม่รู้” พูดจบ ก็รีบเล่าเรื่องที่พวกเขาไปซื้อของใช้ปีใหม่ก่อนถึงวันปีใหม่ เมิ่งเสียนเป็นคนเฝ้ารถม้า ม้าตื่นตกใจ แผดเสียงร้อง ทำเอาคุณหนูคนหนึ่งตกใจล้มไปกองกับพื้น ข้อเท้าแพลง พวกเขาทำใจไม่ได้ พาคุณหนูขึ้นรถม้าไปหาหมอที่ร้านยาเต๋อเหริน พอหาหมอเสร็จก็พานางไปส่งบ้านอย่างคร่าวๆ อีกรอบ พูดจบยังพูดอย่างดีอกดีใจ “ตอนนั้นข้ายังพูดกับเสียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ว่า ถ้าคุณหนูคนนี้มาเป็นสะใภ้ของพวกเราได้ก็คงดี ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้สมปรารถนา” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินคร่าวๆ รู้ถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่อง กลับไม่ได้ดีใจเหมือนเมิ่งชื่อ กลับถามขึ้นว่า “เมื่อเจ้าพูดว่าคุณหนูคนนั้นดีขนาดนั้น เหตุใดถึงมาต้องตามเสียนเอ๋อร์ของพวกเราได้” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดเอ็ดเขาอย่างไม่พอใจ “เสียนเอ๋อร์ของพวกเราเป็นอย่างไร หน้าตาก็มี รูปร่างก็ได้ มีตรงไหนที่แย่กว่าพวกคุณชายเศรษฐีพวกนั้น” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือพูดว่า “ข้าไม่ได้บอกว่าเสียนเอ๋อร์ของเราไม่ดี ข้าเพียงแปลกใจเหตุใดบ้านพวกเขาถึงยกบุตรสาวให้เขากะทันหันเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเสียนพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านพ่อ เดิมคุณหนูนางนั้นถูกทาบทามให้คุณชายมั่งคั่งคนหนึ่ง พ้นปีใหม่ก็จะจัดงานหมั้นหมาย แต่ม้าของพวกเราทำนางตกใจ จนนางล้มไปกับพื้น ตอนนั้นข้าร้อนใจ รีบเข้าไปประคองนาง ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะหลุดไปถึงหูคุณชายมั่งคั่งคนนั้น อีกฝ่ายกล่าวว่านางไม่รักนวลสงวนตัว จึงไม่มาหมั้นหมายกับนาง และเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั้งตัวเมือง ไม่มีแม่สื่อคนไหนกล้ามาทาบทามสู่ขออีก คุณหนูคนนั้นทนรับแรงกระทำนี้ไม่ได้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่นานก็ล้มป่วย วันนี้ตอนที่พวกเราเห็นนาง นางซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว” 


 


 


“พูดเช่นนี้แปลว่าบ้านสกุลนั้นหาได้พึงใจต่อเจ้า เพียงแค่ต้องการให้เจ้ารับผิดชอบคุณหนูนางนั้น” เมิ่งเอ้ออิ๋นถาม 


 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดงกว่าเดิม รีบพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณหนูนางนั้นพูดกับพ่อแม่นางว่า ตอนที่เห็นข้าครั้งแรก ก็รู้สึก ก็รู้สึก…” พูดถึงตรงนี้เสียงของเมิ่งเสียนก็ขาดหาย 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างกระวนกระวายใจ “เจ้าลูกคนนี้อยากให้แม่ร้อนใจตายหรือไร เจ้ารีบพูดออกมา รู้สึกอย่างไรกับเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบแทนเขา “คุณหนูคนนั้นบอกว่าตอนที่ได้เห็นพี่ใหญ่ครั้งแรก ก็แอบรู้สึกพึงใจในตัวเขาแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อตบมือดังฉาด พูดยินดี “เช่นนั้นก็ดีมากจริงๆ พรุ่งนี้แม่จะให้แม่สื่อไปทาบทามสู่ขอ ไม่แน่ว่าปลายปีเราก็จะได้อุ้มหลานตัวอ้วนพีแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาโตฉับพลัน หุนหันเข้าไปพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านพูดอะไร” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบอย่างดีใจ “แม่บอกว่าพรุ่งนี้จะหาคนไปทาบทามสู่ขอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างว้าวุ่นใจ “ไม่ใช่ประโยคนี้ ประโยคต่อจากนี้” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “ประโยคต่อจากนี้คือไม่แน่ว่าปลายปีเราก็จะได้อุ้มหลานตัวอ้วนพีแล้ว” พูดจบถามนาง “แม่พูดอะไรผิดหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองขับข้องใจมาตลอดทั้งวันในที่สุดก็กระจ่างแจ้ง น้ำเสียงทุ้มเข้ม พูดอย่างฉุนเฉียว “เป็นอย่างนี้เอง” 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นปฏิกิริยาของนางผิดปกติ ถามอย่างสงสัย “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร แม่พูดผิดหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติกลับมา พูดว่า “ท่านแม่ไม่ได้พูดผิด” 


 


 


เมิ่งชื่อถอนหายใจ พูดอย่างปิติ “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้แม่จะหาแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยับยั้งนาง “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราสืบให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากัน” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างร้อนรน “คุณหนูบ้านนั้นพึงใจเสียนเอ๋อร์เป็นเรื่องดี มีสิ่งใดผิดปกติกัน เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าจะจัดการเอง” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดว่า “ต่อให้คุณหนูนางนั้นพึงพอใจเสียนเอ๋อร์ พวกเขาก็ควรจะส่งคนมาสืบความว่าพวกเราเป็นคนอย่างไร จากนั้นค่อยหาแม่สื่อมาส่งข่าวแก่พวกเรา ไม่ใช่มาเชิญเสียนเอ๋อร์ไปที่บ้าน หารือกันต่อหน้า ทำเช่นนี้ประหลาดเกินไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นพ้อง “ข้าคิดว่าท่านพ่อพูดถูก เรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป พวกเราสืบความดูก่อน ค่อยตัดสินใจเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนรีบพูด “ได้อย่างไร คุณหนูอวี้ซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว หากพวกเราถ่วงเวลาต่อไป นางล้มป่วยไปจะทำอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “ความหมายของพี่ใหญ่คือ” 


 


 


เมิ่งเสียนขยี้เส้นผม พูดอย่างกระดากเขิน “ข้ามีความคิดเหมือนท่านแม่ พรุ่งนี้หาแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอ ให้คุณหนูอวี้วางใจลง รักษาตัวอย่างสบายใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น ถามต่อ “พี่ใหญ่ ก็มีรักแรกพบกับคุณหนูอวี้หรือ” 


 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดง รีบร้อนโบกมือพูด “น้องสาว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้พึงใจคุณหนูอวี้ ข้าเพียงรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะข้า หากไม่ใช่ข้า ไม่แน่ว่าตอนนี้คุณหนูอวี้คงมีการแต่งงานที่สมฐานะ และไม่ต้องถูกคนในเมืองวิจารณ์กันสนุกปาก จนล้มป่วย ผ่ายผอมจนไม่เหลือเค้าเดิม เมื่อคุณหนูอวี้เห็นชอบกับการแต่งงานนี้ พวกเรารีบหมั้นหมายให้เรียบร้อย ลบคำครหา คุณหนูอวี้จะได้รักษาตัวอย่างสบายใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถามเขา “พี่ใหญ่แน่ใจว่าไม่ได้หวั่นไหวเพราะได้ยินคุณหนูอวี้บอกว่าแอบหลงรักท่านตั้งแต่แรกเห็นหรอกนะ” 


 


 


เมิ่งเสียนยิ่งหน้าแดง พูดอึกๆ อักๆ เสียงแผ่ว “มะ มีบ้างนิดหน่อย” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างยินดี “เมื่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายชอบพอกัน ก็ยิ่งเป็นเรื่องดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ การแต่งงานเป็นเรื่องทั้งชีวิต หากแต่งเอาสะใภ้ไม่ดีกลับมา พี่ใหญ่จะมีชีวิตที่ไม่มีความสุขไปทั้งชาติ ท่านแน่ใจว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่อง ก็หุนหันให้พี่ใหญ่ไปหมั้นหมาย” 


 


 


เมิ่งชื่อโบกมือ “ไม่ต้องสืบเรื่องแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยพบคุณหนูนางนั้น เห็นปุ๊ปก็รู้ว่าเป็นหญิงมีการศึกษา อ่อนโยนเป็นกุลสตรี เป็นเด็กสาวที่ดีที่หาได้ยากยิ่งในบ้านนอกของเรา หากเป็นเมื่อก่อนพวกเราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะวิงวอน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าวต่อ “ท่านแม่ ตอนนี้ธุรกิจโรงงานของครอบครัวเราใหญ่โต ต่อไปยังจะมีการค้าอื่นทยอยออกมา เหล่านี้ต้องให้พี่ใหญ่จัดการดูแล ดังนั้นสะใภ้ในอนาคตไม่เพียงต้องอ่อนโยนเป็นกุลสตรี ยังต้องช่วยพี่ใหญ่ดูแลกิจการได้ด้วย ท่านคิดดูว่าสภาพอย่างคุณหนูอวี้ ต่อไปจะช่วยพี่ใหญ่อย่างไร” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างไม่สนใจ “ทำการค้าไม่ได้ รอให้พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ให้พี่ใหญ่เจ้าค่อยๆ สอนนางก็ได้ มีใครที่ไหนเกิดมาก็ทำเป็นทุกอย่าง” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นอ้าปากจะพูดบ้าง 


 


 


เมิ่งชื่อหันไปโบกมือใส่เขา “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องหมั้นหมายข้าจัดการเอง เจ้าเพียงรอเสียนเอ๋อร์แต่งงานอย่างสบายใจก็พอ” พูดจบก็หันหลังไปล้างผักทำอาหาร 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถอนใจแหนงหน่าย เดินกลับเข้าบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่นยืนอยู่ที่เดิม 


 


 


เมิ่งชื่อพูดกับนาง “โยวเอ๋อร์ หากเจ้าไม่มีธุระ ก็มาช่วยแม่ติดไฟ วันนี้แม่ดีใจ จะทำอาหารเพิ่มให้พวกเจ้าสองอย่าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเสียนที่ดีใจจนไม่รู้จะทำอะไรแล้วตอบกลับ “ท่านแม่ ให้พี่ใหญ่ช่วยเถอะ วันนี้ข้าเหนื่อย อยากกลับไปพักในห้อง” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าบ้าน 


 


 


เมิ่งเสียนรีบย่อตัวลงข้างเตาช่วยเมิ่งชื่อติดไฟ 


 


 


เมิ่งชื่อมองร่างเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างไม่เข้าใจ “วันนี้สองพ่อลูกเป็นอะไร แต่ละคนแปลกไม่แพ้กัน” 


 


 


เมิ่งเสียนยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงความสุข ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


เมิ่งชื่อมองเมิ่งเสียนที่ดีใจเป็นหนักเป็นหนาแวบหนึ่ง คิดว่าพรุ่งนี้จะมีแม่สื่อไปพูดทาบทามสู่ขอ ก็ดีใจแย้มยิ้มออกมา 

 

 

 


ตอนที่ 138.3

 

 เมิ่งเสียนหวั่นไหว

 


 


 


 


หลังกินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียน ก็ตกใจถามขี้นอีกรอบ พอได้รู้ว่าใช้วิธีวิวาทมาแก้ปัญหา ก็หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างพูดไม่ออกบอกมถูก “โยวเอ๋อร์ เจ้าดูเถิด พวกเขาต่างถูกเจ้าพาเสียคนหมดแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างซุกซน “พาเสียคนถึงดี เอาแต่อยู่ในกรอบระเบียบน่าเบื่อแย่” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะพูด “เจ้าลูกคนนี้ ทำไมตอนนี้ถึงมีแต่ความคิดแผลงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาถลึงตาโตพูด “คิดแผลงๆ อย่างไร ท่านถามอี้เซวียนดูว่าวันนี้เขาวิวาทได้สะใจหรือไม่” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบพยักหน้า “สะใจ สะใจยิ่งนัก” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงก็พูดร่วมวงด้วย “สะใจ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นโมโหจนหัวเราะพูดว่า “ตอนวิวาทกันก็สะใจดี เรื่องหลังจากวิวาทกันเล่าจะทำอย่างไร หากอาจารย์ฝ่ายปกครองและครูใหญ่รู้เรื่องนี้ แล้วไม่ให้อี้เซวียนเข้าสอบถงเซิงจะทำอย่างไร ต่อให้โรงเรียนไม่เอาความ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็ยังส่งผลกระทบต่อการสอบเคอจวี่อยู่ดี” 


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพล่งจริงๆ แล้ว กลืนน้ำลายถามอย่างไม่แน่ใจ “ไม่รุนแรงขนาดนั้นมั้ง” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “จะไม่รุนแรงได้อย่างไร ตอนนี้การสอบเคอจวี่เข้มงวดกับคุณสมบัติของนักเรียนมาก คุณสมบัติไม่เหมาะสมก็ยากจะสอบผ่านได้” 


 


 


“ทำอย่างไรดี ข้ายังอยากให้อี้เซวียนสอบจองหงวนได้ ต่อไปจะได้คอยหนุนหลังพวกเรา” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามนาง “อี้เซวียนยังเด็ก เรื่องในครั้งนี้ไม่แน่ว่าเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่ว่าต่อไปห้ามวิวาทกันในโรงเรียนอีก” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบรับปาก “ข้าทราบแล้ว ท่านพ่อ ต่อไปจะไม่วิวาทอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกพูด “ตกใจหมดเลย ข้านึกว่าจะส่งผลต่อการสอบเคอจวี่ของอี้เซวียนจริงๆ เสียแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้ว ตอนที่รับปากให้อี้เซวียนวิวาทเหตุใดไม่รู้จักกลัวบ้าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตา ไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เพื่อนห้องเดียวกับลุงใหญ่เจ้าก็สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนนั่น พรุ่งนี้ให้ลุงใหญ่พาเจ้าไปทำความรู้จัก ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรที่โรงเรียน ให้เขามาช่วยได้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกำลังจะรับคำ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้น “ไม่ต้องแล้ว ท่านพ่อ เรื่องของอี้เซวียนให้เขาลองแก้ปัญหาเองก่อน หากแก้ไม่ได้จริงๆ พวกเราค่อยไปหาเพื่อนของลุงใหญ่” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นใคร่ครวญแล้วก็พยักหน้าตกลง 


 


 


ทั้งครอบครัวกินอาหารค่ำเสร็จอย่างมีความสุข ก็แยกย้ายกลับไปนอนที่ห้อง 


 


 


เมิ่งชื่อคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้หมั้นหมายให้เมิ่งเสียน ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ นึกถึงแม่สื่อในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงทั้งหมด กลับไม่เจอที่เหมาะสมสักคน ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างกระวนกระวายใจ “พ่อเอ๊ย ข้าครุ่นคิดมานานแล้ว อย่างไรก็รู้สึกว่าแม่สื่อในแถบหมู่บ้านใกล้เคียงนี้ไม่มีใครที่เหมาะสม” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นง่วงตาจะปิดแล้ว ได้ยินนางถามเช่นนี้ พูดอย่างขอไปที “หากเจ้าคิดว่าไม่มีที่เหมาะสม เจ้าไปเองก็ได้ อย่างไรพวกเขาก็สู่ขอเสียนเอ๋อร์ต่อหน้าไปแล้ว ไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก” 


 


 


เมิ่งชื่อกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง ถามอย่างดีใจ “พ่อ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจกับปฏิกิริยาของนางจนได้สติกลับมา ถึงรู้ตัวว่าตนเองพูดอะไรออกไป พูดกลับคำ “ข้าพูดหยอกล้อเล่น เจ้าคงไม่คิดจริงจังนะ” 


 


 


เมิ่งชื่อตบฉาดไปที่ตัวเขา พูดฉุนเฉียว “เรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้าพูดล้อเล่นได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบขอโทษขอโพย “ข้าผิดไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าลองพูดชื่อแม่สื่อในละแวกใกล้เคียงมาให้ข้าฟัง ข้าจะช่วยเจ้าเลือกให้” 


 


 


เมิ่งชื่อแค่นเสียงหึ พูดว่า “ค่อยยังชั่วหน่อย” 


 


 


พูดจบก็ล้มตัวนอน พูดข้อดีของแม่สื่อสองสามคนที่ตัวเองพอรู้ให้เขาฟัง นางยังพูดไม่จบ เสียงกรนของเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดังขึ้น เมิ่งชื่อโมโหอยากจะปลุกเขาให้ตื่น แต่ก็คิดถึงตอนกลางวันเขาทำงานแทบไม่ได้หยุดพัก คงจะเหนื่อยมากจริงๆ มือที่ยกขึ้นจึงไม่ได้ตีลงมา 


 


 


เมิ่งเสียนเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน ในสมองมีแต่ภาพของคุณหนูอวี้ลอยไปมา พอคิดว่าวันพรุ่งเมิ่งชื่อก็จะให้แม่สื่อไปทาบทามสู่ขอ ก็เอาแต่ขดตัวเบิกบานอยู่ใต้ผ้าห่ม อยากให้ฟ้าสว่างในบัดดล 


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้มตัวนอน ก็ย้อนคิดถึงพฤติกรรมของคุณหนูอวี้ในวันนี้อีกครั้ง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้อง ลอบตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องตามเข้าเมือง หลังจากส่งเมิ่งอี้เซวียนเสร็จ ตนเองจะไปสืบข่าว ดูว่าคุณหนูอวี้เป็นอย่างที่ตนเองคิดไว้หรือไม่ 


 


 


เมิ่งชื่อกว่าจะได้นอนก็เกือบฟ้าสางแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลือนๆ รางๆ ด้านนอก รีบลืมตาตื่น ถึงพบว่าฟ้าสางแล้ว และไม่รู้ว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นตื่นขึ้นมาตอนไหน รีบสวมเสื้อผ้า ออกมาด้านนอก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนตระเตรียมของเรียบร้อยกำลังจะไปโรงเรียน รีบร้อนถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ากินข้าวหรือยัง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “กินแล้ว ท่านพ่อเป็นคนทำ” 


 


 


เมิ่งชื่อถอนหายใจ พูดกำชับ “ระหว่างทางให้เสียนเอ๋อร์บังคับรถม้าช้าหน่อย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “วันนี้ให้ท่านพ่อไปส่งพวกเราเข้าเมืองเถอะ ให้พี่ใหญ่อยู่ที่บ้าน” 


 


 


เมิ่งชื่อนึกว่าให้เมิ่งเสียนอยู่ที่บ้านหารือเรื่องไปสู่ขอ พูดว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าต้องรีบกลับมา พวกเราตกลงกันได้แล้วจะได้รีบเข้าเมือง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ทราบแล้ว ท่านแม่” 


 


 


พูดจบก็เดินออกจากประตูใหญ่ไปขึ้นรถม้าพร้อมเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตวัดบังเ**ยน รถม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองอย่างมั่นคง 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นรถม้าของพวกเขาไปไกลแล้ว คิดจะกลับเข้าไปพักในบ้าน แต่คิดได้ว่าอีกประเดี๋ยวต้องไปหาแม่สื่อ ก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ล้างหน้าล้างตา ปลุกเด็กๆ ให้ลุกขึ้นมากินข้าวเช้า 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูโรงเรียน  


 


 


ประตูใหญ่โรงเรียนยังไม่เปิด มีรถม้าหลายคันรออยู่หน้าประตูโรงเรียน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหาที่โล่งกว้างพักจอดรถม้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้ามายืนเบื้องหน้าเมิ่งเอ้ออิ๋น 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกำชับเมิ่งอี้เซวียนอย่างจริงจัง “อี้เซวียน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี ภายหน้าพ่อยังรอให้เจ้าสอบจองหงวน มาเป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ท่านพ่อวางใจเถอะ ข้าจำได้แล้ว” 


 


 


รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจอดข้างรถม้าพวกเขา ปู่ของซุนเหลียงไฉลงจากรถม้า ส่งยิ้มตาหยีทักทายเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางน้อย อรุณสวัสดิ์” 


 


 


มีคำกล่าวว่าไม่ตีคนยิ้ม อีกทั้งยังเป็นชายชราอาวุโสเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบกลับไปว่า “อรุณสวัสดิ์นายท่านอาวุโสซุน” 


 


 


ปู่ของซุนเหลียงไฉได้ยินคำเรียกพิลึกพิลั่นของนาง ตะลึงเล็กน้อย แต่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นเพียงพ่อค้า ไม่ควรให้เจ้าเรียกขานว่านายท่าน หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็จงเรียกข้าเหมือนคนอื่นๆ ว่าซุนซ่านเหรินเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เรียกอย่างยอมรับในความคิดเห็น “อรุณสวัสดิ์ซุนซ่านเหริน” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า ยิ้มสรวลถาม “บาดแผลบนใบหน้าน้องชายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่เป็นไร ขอบคุณซุนซ่านเหรินที่เป็นห่วง” 


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือกล่าวว่า “หลังจากกลับไปเมื่อวาน ข้าอบรมสั่งสอนหลานชายไม่เอาถ่านไปอีกยก เขาถึงยอมพูดความจริง เป็นเขาที่จงใจเหยียบกระเป๋านักเรียนของน้องชายเจ้าเสียหายจริงๆ น้องชายเจ้าบันดาลโทสะถึงทำร้ายเขา ทั้งหมดเป็นความผิดหลานข้า ข้ามาเพื่อให้เขาขอขมาน้องชายเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดยั้งเขา “ไม่ต้องแล้ว เมื่อวานพวกเราตกลงกันแล้ว หลังจากสู้กัน เรื่องทั้งหมดจะถือว่าผ่านไป พวกเราจะไม่เอาความกับเรื่องนี้อีก ท่านเองก็มิต้องเก็บมาใส่ใจ หากพวกเขายังมีอะไรขัดแย้งกัน ก็ให้พวกเขาแก้ปัญหาเองเถอะ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินถอนหายใจกล่าวว่า “ดูอายุของเจ้าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับหลานข้า ไม่คิดว่าจะจัดการปัญหาต่างๆ ได้น่าเลื่อมใสเช่นนี้ หลานของข้าหากได้สักครึ่งของเจ้าข้าก็พอใจแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้พูดอะไร 


 


 


ประตูใหญ่โรงเรียนเปิดออก เหล่านักเรียนต่างลงมาจากรถม้าของตัวเอง ทยอยกันเข้าไปในโรงเรียน 


 


 


ซุนเหลียงไฉแบกหน้าตาปูดบวมลงจากรถม้า แค่นเสียงหึใส่เมิ่งอี้เซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว หมุนตัวเดินเข้าโรงเรียน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ กำชับเมิ่งอี้เซวียนสองสามคำ เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าอย่างรู้ความ แบกสิ่งของของตัวเองเดินตามเข้าโรงเรียน 


 


 


กระทั่งถึงเวลาเรียนตามที่โรงเรียนกำหนด อาจารย์เวรก็ปิดประตูใหญ่ของโรงเรียนลง 


 


 


รถม้าแต่ละบ้านแยกย้ายจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ พวกเราไปร้านยาเต๋อเหรินเถอะ เรื่องของคุณหนูอวี้ข้าอยากให้พนักงานร้านเขาช่วยสืบความให้” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะขึ้นรถม้า ซุนซ่านเหรินเอ่ยปากพูดขึ้น “แม่นางน้อย รอประเดี๋ยวเถิด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า มองเขาอย่างสงสัย 


 


 


ซุนซ่านเหรินเดินขึ้นหน้า ยิ้มตาหยีพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับแม่นาง ไม่ทราบว่าเจ้ามีเวลาหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “เรื่องอันใด” 


 


 


ซุนซ่านเหรินก็ไม่อ้อมค้อม พูดไปตามตรง “ข้าอยากปรึกษากับเจ้าเรื่องกระเป๋านักเรียน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วพูด “เรื่องอันใดของกระเป๋านักเรียน” 


 


 


ซุนซ่านเหรินยังคงยิ้มตาหยีพูด “เมื่อวานข้าเห็นเจ้าถือกระเป๋านักเรียนงดงามปราณีต อยากถามเจ้าว่า กระเป๋านักเรียนใบนั้นพวกเจ้าทำเองหรือ หากว่าใช่พอจะเย็บในปริมาณมากได้หรือไม่ ไม่ว่าราคาสูงแค่ไหนข้าก็ยินดีรับซื้อ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างยินดีระคนประหลาดใจ “ท่านต้องการซื้อกระเป๋านักเรียนของบ้านเรา” 


 


 


ซุนซ่านเหรินได้ฟังมองเมิ่งเอ้ออิ๋นแล้วเอ่ยถาม “ท่านนี้คือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เขาคือบิดาข้า” 


 


 


ซุนซ่านเหรินรีบกล่าวทักทายเมิ่งเอ้ออิ๋น พูดอย่างอิจฉา “น้องชายอบรมบ่มเพาะบุตรได้ดีนัก เด็กแต่ละคนล้วนแต่เก่งกาจน่าเลื่อมใส อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องถ่ายทอดประสบการณ์ให้ข้า กลับไปข้าจะได้นำไปสั่งสอนหลานไม่เอาถ่านของข้า” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดอย่างเก้อเขิน “ข้าหามีประสบการณ์อันใดไม่ เป็นเพราะเด็กๆ ต่างรู้ความกันเอง” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดหยอกเย้า “น้องชายถ่อมตกนัก คงไม่ใช่เพราะไม่อยากถ่ายทอดประสบการณ์ให้ข้าหรอกนะ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือเป็นพัลวัน “หามิได้ หามิได้ ข้าไม่มีประสบการณ์จริงๆ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินหัวเราะเสียงดัง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็หัวเราะตามอย่างทำตัวไม่ถูก 


 


 


ทั้งสองหัวเราะเสร็จ ซุนซ่านเหรินถึงพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ที่นี่ไม่เหมาะให้พูดคุย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าไปที่หอน้ำชาบ้านข้า ให้เสี่ยวเอ้อชงชาชั้นดีมาสักกา พวกเราดื่มไปเสวนากันไป” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมองเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นด้วย 


 


 


ซุนซ่านเหรินมองสองพ่อลูกอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มตาหยีกล่าวว่า “พวกเราจะนำทางไปก่อน พวกเจ้าตามมาก็พอ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


ซุนซ่านเหรินหันหลังขึ้นรถม้า ด้านหนึ่งกำชับพนักงานบังคับรถม้าไปหอน้ำชาของบ้านตัวเอง ด้านหนึ่งสั่งการคนรับใช้ใช้ทางลัดไปแจ้งหลงจู๊ของหอน้ำชา ให้เขาเตรียมชงชาชั้นดีไว้หนึ่งกา เขาจะต้อนรับแขกสำคัญ 


 


 


คนรับใช้รับคำ วิ่งทะยานออกไป 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้าเสร็จ จึงบังคับรถม้าตามรถม้าของซุนซ่านเหรินมุ่งหน้าไปหอน้ำชา 

 

 

 


ตอนที่ 139.1

 

 เปิดอก

 


 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้าตามซุนซ่านเหรินมาถึงหอน้ำชาของครอบครัว 


 


 


หลังจากหลงจู๊หอน้ำชาได้ยินคำพูดที่คนรับใช้วิ่งกลับมาส่งข่าว ก็ให้เสี่ยวเอ้อจัดเก็บห้องดื่มชาชั้นเลิศขึ้นใหม่ พร้อมกับลงมือชงชาด้วยตัวเอง แล้วจึงนำเสี่ยวเอ้อมารอที่หน้าประตูหอน้ำชา 


 


 


พอรถม้าของซุนซ่านเหรินมาถึงหน้าประตู หลงจู๊รีบเดินขึ้นหน้า เลิกม่านให้ซุนซ่านเหรินด้วยตัวเอง ซุนซ่านเหรินลงจากรถม้าอย่างเบิกบานใจ พูดกับคนรับใช้ที่คอยตามข้างรถม้ามาตลอดว่า “ยังไม่รีบไปเปิดม่านบังรถให้แขกสำคัญ” 


 


 


“ไม่ต้องแล้ว” สิ้นเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลิกม่านออกด้วยตัวเองแล้วลงจากรถม้า 


 


 


หลงจู๊เห็นแขกสำคัญที่นายท่านของตัวเองกล่าวถึงเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบกว่าปีนางหนึ่ง ตะลึงงันฉับพลัน 


 


 


ซุนซ่านเหรินหันไปสั่งการเสี่ยวเอ้อหอน้ำชา “รีบจูงรถม้าแขกสำคัญไปดูแลที่หลังร้านให้ดี” 


 


 


เสี่ยวเอ้อรับคำ รับบังเ**ยนจากมือเมิ่งเอ้ออิ๋นมาอย่างพินอบพิเทา บังคับรถม้าไปหลังร้าน 


 


 


ซุนซ่านเหรินหันไปสั่งการหลงจู๊อีกว่า “พาพวกเราไปห้องน้ำชาที่จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว” 


 


 


หลงจู๊แสดงท่วงท่าเชื้อเชิญให้เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวทันใด ทั้งพูดอย่างนบนอบ “ทั้งสองท่านเชิญด้านใน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ ก้าวเท้าเดินเข้าไป 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินตามหลัง 


 


 


รอจนทั้งสองคนเข้าไปแล้ว ซุนซ่านเหรินถึงหัวเราะเดินตามเข้าไป 


 


 


หลงจู๊พาทั้งสามคนมาถึงห้องน้ำชา เมื่อทั้งสามคนนั่งเรียบร้อย ก็รินน้ำชาให้ทุกคนคนละถ้วย ถึงถอยไปที่ประตูอย่างนอบน้อม ปิดประตูห้องน้ำชา ยืนรอนายท่านสั่งการที่หน้าประตู 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชื่นบาน “นี่คือชาผู่เอ๋อร์ร์ชั้นเลิศ เชิญทั้งสองท่านลิ้มรส” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยกถ้วยชาขึ้นอย่างเป็นทางการ เป่าใบชา แล้วจิบหนึ่งคำอย่างระวัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ รอเมิ่งเอ้ออิ๋นวางถ้วยชาลงจึงเอ่ยปากพูด “ซุนซ่านเหรินมีความคิดอย่างไรก็พูดมาตามตรงเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกเรายังมีธุระสำคัญต้องไปทำ เกรงว่าจะไม่มีเวลามากพออยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนท่านได้” 


 


 


ซุนซ่านเหรินก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบน้ำชาแผ่วเบาหนึ่งคำ พอได้ฟังก็วางถ้วยชาในมือลง หัวเราะเหอะๆ แล้วพูด “เมื่อแม่นางน้อยเปิดเผยตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมอีก เมื่อวานหลังจากเห็นกระเป๋านักเรียนงดงามประณีตของน้องชายเจ้า ข้าจึงอยากเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนกับแม่นางน้อย ข้ายังคงพูดคำเดิม ขอเพียงพวกเจ้าทำออกมาได้ ไม่ว่าราคาเท่าใดข้าก็รับซื้อ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเผยสีหน้าชื่นสุข 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่แสดงอาการ ถามอย่างเฉยชา “เงื่อนไขเล่า” 


 


 


ซุนซ่านเหรินตกตะลึง แล้วหัวเราะร่วน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 


 


 


พอซุนซ่านเหรินหัวเราะเสร็จก็พูดว่า “แม่นางน้อยหลักแหลมนัก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเงื่อนไข” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านเป็นพ่อค้า ไม่เคยทำการค้าขาดทุน วันนี้กลับเอาแต่พูดซ้ำไปมาว่าไม่ว่ากระเป๋านักเรียนราคาสูงเท่าใดท่านก็รับซื้อ หากท่านบอกว่าไม่มีเงื่อนไข เกรงว่าใครได้ยินก็คงจะไม่เชื่อ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินหัวเราะลั่นอีกครั้ง หลังจากหัวเราะแล้วก็หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างอิจฉา “น้องชายโชคดีนัก มีบุตรสาวที่หลักแหลมเช่นนี้ ภายหน้าจักต้องได้เสวยสุข” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะเก้อเขิน 


 


 


ซุนซ่านเหรินก็ไม่ปิดบัง พูดด้วยความสัตย์จริง “ข้ามีเงื่อนไขจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เชิญพูด” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดอย่างรู้สึกไม่ดี “ข้าอยากให้เจ้าช่วยอบรมสั่งสอนหลานของข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง ถามอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


ซุนซ่านเหรินถอดถอนใจพูดว่า “สมัยยังหนุ่ม ข้าเอาแต่ยุ่งทำการค้า ละเลยการเลี้ยงดูสั่งสอนบุตรชาย ทำให้เขากลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง กลายเป็นคุณชายเจ้าสำราญผลาญเงินทอง ภายหลังมีไฉเอ๋อร์ ข้าก็คิดจะบ่มเพาะเขาให้ดีที่สุด ไม่ให้ซ้ำรอยเหมือนพ่อเขา แต่บุตรชายไม่เอาถ่านของข้าไม่อาจรับช่วงดูแลกิจการในครอบครัวได้ ข้าจึงต้องเหน็ดเหนื่อยอีกหลายปี รอกระทั่งสองปีมานี้ข้ามีเวลาว่างแล้ว กลับพบว่าไฉเอ๋อร์กลายเป็นเหมือนพ่อเขาไปแล้ว เหิมเกริมผยอง จองหองอวดดี ข้าคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อแก้ไข แต่นิสัยนั้นติดตัวไฉเอ๋อร์ไปเสียแล้ว บวกกับไฉเอ๋อร์เป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุล ฮูหยินข้ารักใคร่เอ็นดูเขามาก พอข้าออกโรงสั่งสอน นางก็คร่ำครวญอาละวาด เข้าขวางอย่างสุดชีวิต ข้าเองก็ปวดหัวมาก ด้วยเหตุนี้วิธีที่คิดไว้มากมายจึงไม่บังเกิดผล เมื่อวานข้าเห็นพวกเจ้าสองพี่น้องรู้ความ ว่านอนสอนง่าย โดยเฉพาะวิธีการสอนน้องชายของเจ้าก็แปลกแหวกแนว ข้าจึงเกิดความคิดนี้ขึ้น แต่พวกเราไม่เคยรู้จักกัน ข้ากลัวเจ้าปฏิเสธ เมื่อวานพอกลับไปก็คิดอยู่นาน ถึงคิดวิธีนี้ได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าขายกระเป๋านักเรียน กำไรที่ได้จะให้พวกเจ้าทั้งหมดไม่เอาไว้สักแดงเดียว ขอเพียงเจ้าช่วยข้าอบรมสั่งสอนไฉเอ๋อร์ให้ว่านอนสอนง่ายดังเช่นน้องชายเจ้าก็พอ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่คิดว่าซุนซ่านเหรินจะยื่นข้อเสนอเช่นนี้ พลันตกอยู่ในภวังค์ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “จะเปลี่ยนให้ว่านอนสอนง่ายเหมือนน้องชายข้าไม่มีทางเป็นไปได้ แค่ได้สักครึ่งยังพอไหว” 


 


 


ซุนซ่านเหรินได้ฟังถามอย่างดีใจ “พูดเช่นนี้แปลว่าแม่นางรับปากแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ข้ามีน้องชายหลายคน เพิ่มเขามาอีกคนไม่ถือว่ามาก” 


 


 


ซุนซ่านเหรินปิติยินดี “ขอบใจแม่นาง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านอย่าเพิ่งขอบใจไปก่อน ข้าจะพูดเงื่อนไขสองสามข้อดูว่าท่านจะรับปากหรือไม่ หากท่านรับปาก เราค่อยคุยเรื่องหลังจากนี้” 


 


 


“ขอเพียงเจ้ายอมรับปากจะสั่งสอนไฉเอ๋อร์ อย่าว่าแต่เงื่อนไขข้อเดียว ต่อให้เป็นร้อยข้อข้าก็รับปาก” ซุนซ่านเหรินรีบร้อนพูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “จะให้ข้าอบรมสั่งสอนหลานชายของท่าน เงื่อนไขแรกคือให้เขาต้องมากินนอนบ้านข้า” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าคิดเอาไว้แล้ว แม่นางไม่พูด ข้าก็จะร้องขอให้เขาไปอาศัยกับครอบครัวพวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “บ้านข้าอยู่บ้านนอก สภาพเงื่อนไขต่างๆ ลำบากมาก ท่าไม่ปวดใจแทนหลานท่านหรือ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินตอบนาง “ไม่ปวดใจ เขาถูกตามใจอย่างเหลือกินเหลือใช้แต่เด็ก ไม่เคยรู้เลยว่าความลำบากคืออะไร ให้เขาได้รับรู้บ้างก็ดี” 


 


 


ลินพูดต่อ “เงื่อไขที่สองคือ ช่วงเวลาที่เขามากินนอนบ้านพวกเรา ไม่ว่าใครในบ้านพวกท่าน โดยเฉพาะบุตรชายและฮูหยินของท่านห้ามมาเยี่ยมดู และยิ่งห้ามส่งของกินของเล่นมา” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า “เงื่อนไขนี้ก็ไม่ยาก ช่วงที่ไฉเอ๋อร์ไปอาศัยอยู่บ้านเจ้า ข้าจะให้คนเฝ้าดูพวกเขา จะไม่ให้พวกเขาไปรบกวนพวกเจ้าเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีก “เงื่อนไขสุดท้าย และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด วิธีการอบรมสั่งสอนของข้าเข้มงวดมาก หากท่านมอบหลานให้ข้าแล้ว ได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น ขอท่านอย่าได้ซักถาม” 


 


 


ข้อสุดท้ายซุนซ่านเหรินไม่ได้รับคำทันที แต่ครุ่นคิดครู่ใหญ่ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้า ยกถ้วยชาขึ้นจิบชาสองสามคำช้าๆ รอให้เขาทำการตัดสินใจ 


 


 


เวลาล่วงผ่านไปนาน ซุนซ่านเหรินถึงหยั่งเชิงถามขึ้น “จะมีผลเสียต่อร่างกายในอนาคตหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแต่พูดว่า “น้องๆ ของข้าก็ผ่านมากันเช่นนี้” 


 


 


ซุนซ่านเหรินวางใจลง กัดฟันแล้วพูดว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาในมือลงพูดว่า “มีเพียงสองสามข้อนี้เท่านั้น ท่านกลับไปทบทวนให้ดีอีกครั้ง หากตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ข้าจะพาเขากลับไปบ้านพวกเรา” 


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือ “ไม่ต้องทบทวนแล้ว ข้าตัดสินใจตอนนี้เลย พวกเจ้าจงพาเขาไปคืนนี้เถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “ท่านใจร้อนเกินไป อย่างไรท่านก็ควรจะกลับไปพูดกับคนในครอบครัวก่อน เล้าโลมสภาพจิตใจของพวกเขา ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเขามาตะโกนหน้าโรงเรียนบอกว่าข้าลักพาหลานของพวกท่านไป ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็อธิบายไม่หมด” 


 


 


ซุนซ่านเหรินหน้าแดงเรื่อ พูดว่า “ข้าใจร้อนไปหน่อย ขาดการคิดใคร่ครวญ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ข้าเข้าใจความรู้สึกท่าน ท่านอยากให้หลานประสบความสำเร็จในชีวิต” 


 


 


ซุนซ่านเหรินถอนใจพูด “เรื่องประสบความสำเร็จ ข้ามิได้คาดหวังแล้ว ข้าเพียงหวังเมื่อข้าอายุร้อยปี เขาจะจัดการกิจการของครอบครัวได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกหลายคำ 


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นถ้วยน้ำชาของนางลดลง จึงยกกาน้ำชารินให้นางด้วยตัวเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับถ้วยชาแน่นกล่าวขอบคุณ 


 


 


หลังจากซุนซ่านเหรินนั่งลง ก็หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ต่อไปไฉเอ๋อร์ไปอาศัยอยู่บ้านพวกเจ้า น้องชายอย่าได้เห็นเขาเป็นคนนอก เมื่อต้องว่าก็ว่า เมื่อต้องตีก็ตี ให้เห็นเขาเป็นเหมือนลูกตัวเอง ข้าขอกล่าวขอบใจเจ้าไว้ ณ ที่นี้ก่อน” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบร้อนพูด “ได้อย่างไรกัน เด็กยังเล็ก มีเรื่องอะไรบอกกล่าวสั่งสอนก็ได้แล้ว ข้าไม่มีทางด่าว่าหรือทุบตีพวกเขา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะพูด “ท่านฝากฝังคนผิดแล้ว บิดามารดาข้า ไม่เคยด่าว่าหรือทุบตีพวกเราพี่น้องมาก่อน แม้แต่ตวาดก็น้อยมาก” 


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ่งให้รู้สึกประหลาดใจ ถามอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าพี่น้องถึงเยี่ยมยอดเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน แล้วพูดว่า “พวกเราพี่น้องทั้งหมดเกิดมาก็เป็นเช่นนี้แล้ว” 


 


 


ซุนซ่านเหรินนิ่งงัน จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น 


 


 


เสียงหัวเราะนี้ ผ่อนคลายบรรยากาศเคร่งเครียดในห้องน้ำชาลง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่มีพิธีรีตองมากอีก ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชาหนึ่งคำ 


 


 


ซุนซ่านเหรินก็ยกกาน้ำชารินให้เขาเต็มถ้วย เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบกล่าวขอบคุณ ซุนซ่านเหรินพูดว่า “ข้ามัวแต่สนทนากับพวกท่านทั้งสอง ลืมถามชื่อแซ่น้องชาย ไม่ทราบว่าต้องเรียกขานน้องชายอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “ข้าชื่อเมิ่งเอ้ออิ๋น ต่อไปซุนซ่านเหรินเรียกชื่อข้าตามตรงก็ได้แล้ว” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดทันควัน “น้องเอ้ออิ๋น ต่อไปรบกวนเจ้าดูแลไฉเอ๋อร์ด้วย” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่รบกวน ไม่รบกวน ก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้น” 


 


 


แล้วซุนซ่านเหรินก็หันไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่ทราบว่าชื่อของแม่นางคือ…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่เคลือบแฝง “ข้าชื่อเมิ่งเชี่ยนโยว คนที่มาเรียนหนังสือเป็นน้องชายข้าชื่อเมิ่งอวี้เซวียน คนที่บังคับรถม้ามาเมื่อวานเป็นพี่ชายคนโตข้าชื่อเมิ่งเสียน ที่บ้านยังมีพี่ชายคนรองข้าชื่อเมิ่งฉีและน้องชายอีกสองคนชื่อเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง” 


 


 


ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำจบ ซุนซ่านเหรินก็พูดอย่างอิจฉาเมิ่งเอ้ออิ๋น “น้องเอ้ออิ๋นลูกหลานเต็มบ้านดีจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะชื่นบานไม่ได้พูดอะไร 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)