ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 135-158

 ตอนที่ 135 ความสุขคือการช่วยเหลือผู้คน


จ้าวอิงหนานมาจากตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง เป็นตระกูลโด่งดังมีชื่อเสียง บิดาของจ้าวอิงหนานเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกในการเปิดประเทศ จ้าวอิงหนานเป็นบุตรสาวคนเล็กที่เขารักมากที่สุด เมื่อนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่าจ้าวเข้าไปเกี่ยวโยงกับเหตุชุมนุมประท้วง จ้าวอิงหนานคงไม่ถูกสั่งให้หนีมาอยู่บ้านนอกคอกนา และไม่มีวันได้รู้จักคุณพ่อสยงผู้เข้าร่วมพรรครุ่นเดียวกัน


เท่าที่เขาทราบว่าเมื่อครั้นจ้าวอิงหนานแต่งงานกับคุณพ่อสยง ความจริงตระกูลจ้าวเริ่มมีสถานะดีขึ้นแล้วจึงถูกคัดค้านจากคนตระกูลจ้าวอย่างพร้อมเพรียง เพียงแต่จ้าวอิงหนานใจแข็ง สุดท้ายท่านผู้เฒ่าจ้าวสู้ลูกสาวไม่ไหวเลยให้พวกเขาได้สมหวังในรัก มีคนในโรงเรียนรู้พื้นหลังครอบครัวจ้าวอิงหนานไม่มาก รู้แค่ว่าครอบครัวจ้าวอิงหนานเป็นเจ้าหน้าที่พรรคอยู่เมืองหลวง เลยมีคนหวังประจบประแจงตระกูลสยงไม่น้อย เพียงแต่สองสามีภรรยามีท่าทีเฉยชาต่อผู้อื่นมาโดยตลอด ไม่ยอมรับคำยกยอปอปั้น และไม่คิดว่าตอนนี้อู่เหมยกลับได้รับความชื่นชมจากพวกเขา


สำหรับอู่เหมยแล้วนี่กลับเป็นโอกาสที่ดีเชียว!


“กรู๊กรู๊”


ฉิวฉิวในอ้อมแขนของอู่เหมยร้องขึ้นมาก่อนจะมุดลงไปไม่เห็นแม้แต่เงา อู่เหมยตกใจอยากวิ่งไปตามฉิวฉิวแต่เหยียนหมิงซุ่นคว้าแขนเธอไว้


“ไม่เป็นไร ฉิวฉิวกลับไปเองแล้ว”


อู่เหมยมองออกไปทางหน้าต่างบ้านตัวเองและเห็นร่างสีขาวคลานวับไปถึงหน้าต่างชั้นสองอย่างที่คาดไว้ ไวกว่าตอนเธอเดินมากโข อดหัวเราะไม่ได้ เจ้าตัวเล็กฉลาดดีนัก


“ฉันก็จะกลับบ้านแล้ว พี่หมิงซุ่นบ๊ายบายค่ะ”


  อู่เหมยโบกมือลา เหยียนหมิงซุ่นเองก็โบกมือกลับพลางยิ้มกล่าว “ไปเถอะ คราวหลังถ้ามีการบ้านที่ไม่เข้าใจมาถามพี่ได้ กลางคืนพี่จะอยู่ที่นี่แหละ”


“อื้ม!”


อู่เหมยยิ้มตอบรับแล้ววิ่งไปที่ตึกที่พักอาศัยด้วยใจที่ยินดีปรีดา เหยียนหมิงซุ่นเห็นอู่เหมยเดินขึ้นชั้นบนถึงได้หันหลังเดินกลับบ้านตัวเองอย่างสบายใจจนน่าแปลก ในใจไม่บีบรัดแน่นเหมือนหลายวันก่อนแล้ว


ความสุขคือการได้ช่วยเหลือผู้อื่น!


จู่ๆ ประโยคนี้ก็ผุดขึ้นในหัวของเหยียนหมิงซุ่นจนตัวเองอึ้งไปเช่นกัน ไม่นานมุมปากก็ถูกยกยิ้มสูงพลันหลุดหัวเราะไร้เสียงออกมา


อาจเพราะเหตุนี้สินะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาไม่อารมณ์ดีได้ขนาดนี้หรอก


อู่เยวี่ยนอนซบอยู่ขอบหน้าต่างด้วยใบหน้าที่ออกจะแย่ เมื่อครู่เธอแอบเห็นอู่เหมยกำลังคุยกับเหยียนหมิงซุ่นโดยบังเอิญ ท่าทางนั่งคุยกันมาพักใหญ่แล้ว เจ้าโง่นี่ทำไมถึงอยู่ใกล้เหยียนหมิงซุ่นได้นะ?


ก่อนหน้านี้มีสยงมู่มู่ แล้วยังเหยียนหมิงซุ่น อู่เยวี่ยรู้สึกสะเทือนใจ แม้เธอไม่สนใจสองคนนี้แต่เธอไม่อยากเห็นพวกเขาเป็นเพื่อนกับอู่เหมยอยู่ดี


เธอหวังว่าอู่เหมยจะเป็นอย่างเมื่อก่อน รู้สึกต่ำต้อยโดดเดี่ยว ขี้ขลาดอ่อนแอ ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว และไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเธอ


ไม่ว่าอย่างไรการที่อู่เหมยไม่มีความสุขเธอถึงจะมีความสุข อู่เหมยมีความสุข เธอย่อมไม่มีความสุข!


อู่เยวี่ยก้มหน้าครุ่นคิดและไม่ทันสังเกตเห็นเงาสีขาวที่แวบผ่านหน้าต่างทางนี้ ฉิวฉิวเห็นอู่เยวี่ยเฝ้าอยู่ขอบหน้าต่างก็หลบซ่อนอย่างว่องไว ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ทำอะไรต้องระวัง


อู่เหมยเดินหอบกลับบ้าน เหอปี้อวิ๋นนั่งตรวจการบ้านในห้องนั่งเล่นปรายตามองเธออย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่คิดจะคุยกับเธอแต่อย่างใด


“คุณพ่อคะ หนูกลับมาแล้ว”


อู่เหมยตะโกนเสียงดังเข้าบ้านโดยไม่คิดจะสนใจเหอปี้อวิ๋นเช่นกัน ในเมื่อหัวหน้าครอบครัวคืออู่เจิ้งซือ เธอไม่มีความจำเป็นต้องไปเอาอกเอาใจคนที่เกลียดตัวเอง


เหอปี้อวิ๋นกัดฟันกรอดกดแรงเพียงนิดปลายปากกาแดงก็หักจนเกิดเสียงดัง สมุดการบ้านถูกเจาะเป็นรู เหอปี้อวิ๋นโมโหแล้วเขวี้ยงปากกาทิ้ง ยายบ้านี่กลับบ้านมาทีไรมีแต่เรื่องไม่ดี ตัวกาลกิณีจริงๆ!


อู่เหมยแค่นหัวเราะทีหนึ่ง ผลักประตูเข้าห้อง อู่เยวี่ยมองเธอด้วยสายตามีนัยยะแวบหนึ่งพลางถามหยั่งเชิง “เหมยเหมย เธอสนิทกับพี่หมิงซุ่นมากเลยเหรอ?”


“เกี่ยวอะไรกับเธอ? อย่ามายุ่งให้มาก!”


อู่เหมยอดพูดคำหยาบไม่ได้ รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก ฮัมเพลงเดินเข้าห้องอีกฟากของเธอ ใบหน้าอู่เยวี่ยปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึนทันที เจ้าโง่นี่อยากตายนักหรือไง!


……………………


ตอนที่ 136 เราต่างเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน


เงาสีขาวฉวยโอกาสตอนอู่เยวี่ยไปอาบน้ำแวบเข้ามาในห้อง มุดตัวไปยังห้องอีกฟากของอู่เหมยก่อนจะโผเข้าอ้อมกอดของอู่เหมย หางใหญ่สะบัดไปมา


“ฉิวฉิวทำไมรู้ว่าต้องหลบอู่เยวี่ยเนี่ย? ทำไมฉลาดขนาดนี้ เด็กดีจริงๆ!”


อู่เหมยจับเจ้าตัวเล็กมาจูบแล้วจูบอีก เมื่อครู่เธอยังเป็นกังวลว่าอู่เยวี่ยจะจับฉิวฉิวได้ กลับไม่คิดว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไหวพริบดีกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ รู้จักซ่อนตัวด้วย!


“กรู๊กรู๊”


ฉิวฉิวสะบัดหางอย่างได้ใจ เขาเป็นเจ้าแห่งกระรอกที่เก่งที่สุดเชียวนะ เรื่องพวกนี้แค่เล็กน้อยเท่านั้น!


คราวหลังค่อยหาโอกาสแกล้งมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นแทนเจ้านายสักหน่อย แล้วก็มนุษย์หญิงแก่คนนั้น เท่าที่เขาสังเกต มนุษย์ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ดีกับเจ้านายสักนิด ไม่ใช่คนดีแน่ๆ!


“ฉิวฉิวอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะ พี่สาวจะไปเอาของกินมาให้”


ถั่งลิสงที่คุณย่าหยางให้มาทานหมดแล้ว อู่เหมยวางฉิวฉิวใส่กล่องแล้วไปหาเม็ดทานตะวันที่ห้องนั่งเล่น พร้อมชงนมผงธัญพืชให้ตัวเองอีกแก้วแถมน้ำมันตับปลาอีกช้อนชา เธอไม่ควรลืมดูแลตัวเอง


แน่นอนว่าเป็นนมผงธัญพืชชั้นดีกับน้ำมันตับปลาของอู่เยวี่ยเช่นเคย อู่เหมยไม่ออมมือสักนิดยามอยู่ต่อหน้าเหอปี้อวิ๋น จนเหอปี้อวิ๋นรู้สึกแน่นอกไปหมด ยายบ้านี่ทานเยอะกว่าเยวี่ยเยวี่ยเสียอีก


“ของตัวเองไม่กินทำไมชอบมาแย่งของพี่สาวกิน? แล้วใส่เยอะขนาดนั้น แกจงใจทำฉันโมโหสินะ!” เหอปี้อวิ๋นกดเสียงต่ำลง ทำหน้าบิดเบี้ยว


“ก็เอาของพวกนั้นให้อู่เยวี่ยกินสิคะ ไหนแม่บอกว่าเหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ?”


อู่เหมยไม่มองเธอ ปิดฝาล้วงเมล็ดทานตะวันในกระปุกหนึ่งกำมือ เหอปี้อวิ๋นโมโหรีบคว้าแขนเธอไว้พลางตะคอกเสียงต่ำ “วันอากาศร้อนๆ แบบนี้แกจะกินเมล็ดทานตะวันทำไม? วันๆ รู้จักแต่กินกินกิน ยิ่งกินยิ่งโง่”


“โง่ขนาดไหนก็ลูกแม่นั่นแหละ ถ้าแม่ไม่ชอบหนูนักก็เอามีดมาฟันคอหนูให้ตายไปเลย!”


อู่เหมยเถียงคอเป็นเอ็นสบตาเหอปี้อวิ๋นกลับ เหอปี้อวิ๋นที่เธอเคยกลัวเหมือนสัตว์ดุร้าย ตอนนี้เธอไม่กลัวแม้แต่นิดเดียวแล้ว เพราะเธอหาวิธีรับมือเหอปี้อวิ๋นได้แล้ว


“แกยังกล้าเถียงอีกเหรอ? ไอ้คน…”


“อกตัญญูใช่มั้ยคะ? ต่อให้หนูอกตัญญูยังไงก็ลูกแม่ แม่ด่าหนูเท่ากับด่าตัวเองอยู่ หนูเป็นหมูแม่ก็เป็นหมูตัวแม่ อู่เยวี่ยก็เป็นหมู หนูเป็นหมาป่างั้นแม่ก็คือหมาป่าตัวแม่ อู่เยวี่ยเป็นหมาป่าใจดำ หนูเป็นหมา งั้นแม่ก็คือหมาตัวแม่…” อู่เหมยแค่นหัวเราะ


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนหน้าดำมืด ยายบ้านี่บังอาจมากที่กล้าด่าเธอเป็นสัตว์เดรัจฉาน!


“ฉันจะตีไอ้คนอกตัญญูอย่างแกให้ตาย ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่!”


เหอปี้อวิ๋นคว้าไม้ขนไก่ขึ้นมา ไม่คิดจะสนใจอู่เจิ้งซือที่อยู่ในห้องอีกต่อไป เธอต้องรักษาหน้าตาตัวเองไว้ไม่อย่างนั้นทีหลังจะข่มอู่เหมยได้อย่างไร?


อู่เหมยวิ่งไปอยู่หน้าประตูอย่างฉับไวก่อนที่เหอปี้อวิ๋นจะหยิบไม้ขนไก่ขึ้น มือหนึ่งกำลูกบิดประตูทำท่าจะเปิดประตู มองเหอปี้อวิ๋นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แสดงท่าทีชัดเจนว่าหากเหอปี้อวิ๋นลงมือ เธอจะวิ่งไปข้างนอกร้องโวยวายให้คนรู้กันทั้งตึก


 “นี่แกกล้าขู่ฉันแล้วเหรอ? แกไปเรียนวิธีนอกคอกพวกนี้มาจากไหน!”


เหอปี้อวิ๋นไม่คิดว่าอู่เหมยจะกระทำเช่นนี้พลางกัดฟันกรอดอย่างนึกแค้นใจ เยวี่ยเยวี่ยพูดไว้ไม่มีผิด ยายนี่มันเกิดมาเพื่อเป็นปรปักษ์กับเธอ อนาคตเธอไม่มีทางคาดหวังให้ยายนี่เลี้ยงดูเธอยามแก่เฒ่าสักนิด!


  “แม่บีบบังคับหนูทั้งนั้น คราวหลังถ้าแม่ตีหนูอีก หนูจะไปแจ้งความบอกว่าแม่ทรมานเด็ก” อู่เหมยเองก็ทุ่มหมดหน้าตักแล้ว


   “แก…แก…”


    เหอปี้อวิ๋นโกรธจนเจ็บไปทั้งหน้าอก ไม่กล้าหวดไม้ขนไก่ลงไป ยายบ้านี่ดูท่าจะไม่ได้พูดเล่น หากเธอไปแจ้งความที่สถานีตำรวจจริงๆ อู่เจิ้งซือต้องด่ากราดเธอให้ตายแน่ๆ!


………………………….


ตอนที่ 137 ฉันคือคนบ้า เธอระวังตัวหน่อย


การปะทะกันครั้งแรกกับเหอปี้อวิ๋น อู่เหมยได้รับชัยชนะ เป็นครั้งแรกที่เหอปี้อวิ๋นเก็บไม้ขนไก่โดยไม่ได้หวดใคร ต่อให้เธออยากหวดตีอู่เหมยให้ตายแค่ไหนก็ตาม


อู่เหมยปรายตามองเธออย่างเย็นชาแวบหนึ่งพลางเดินไปหยิบแก้วตรงหน้าตู้เก็บของแล้วเดินกลับห้องตัวเองเงียบๆ เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ด้านหลังกัดฟันจนเกิดเสียงดังเสียดสี ขว้างไม้ขนไก่ใส่ตู้ให้เกิดเสียงดังสนั่นด้วยความโกรธ


อู่เยวี่ยเห็นสงครามที่ไม่มีการปะทะกันครั้งนี้เองกับตา ความตกใจของเธอไม่ได้น้อยไปกว่าเหอปี้อวิ๋น แค่เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือนอู่เหมยที่ไม่กล้าพูดเสียงดังกล้าพูดคำรุนแรงขนาดนี้มาได้


เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!


 “เหมยเหมย เธอทำอย่างนั้นกับคุณแม่ได้ยังไง? เธอไม่กตัญญูเลย!” อู่เยวี่ยติ


“งั้นพี่ก็ไปกตัญญูเองเถอะ ยังไงสองแม่ลูกอย่างพวกพี่ก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งดีนักนี่”


อู่เหมยเดินตรงดิ่งไปที่ห้องตัวเอง ระหว่างทางก็หันกลับมาแค่นเสียงกล่าว “คราวหลังอย่ามายุ่งเรื่องของฉันนัก พี่เดินไปตามทางสว่างของพี่ ฉันจะเดินไปทางไหนไม่เกี่ยวกับพี่แม้แต่น้อย แล้วก็อย่ามาแสร้งเป็นพี่น้องความสัมพันธ์ดีต่อหน้าฉัน ฉันสะอิดสะเอียน!”


“อู่เหมยเธอเป็นบ้าไปแล้ว!” อู่เยวี่ยเบิกตากว้างจ้องอู่เหมย ทำหน้าตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา


“ใช่ฉันเป็นบ้าไปแล้ว ฉะนั้นเธอต้องระวังตัวหน่อย คนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายนะ”


อู่เหมยยิ้มอย่างมีเลศนัยทำท่าเหมือนจะบีบคอ อู่เยวี่ยสะดุ้งถอยหลังหลายก้าว รู้สึกเสียววาบที่ลำคอเป็นพักๆ หรือว่าเมื่อก่อนไม่ใช่ฝันร้าย?


อู่เหมยบีบคอเธอจริงๆ?


พระเจ้า!


อู่เหมยบ้าไปแล้วจริงๆ!


อู่เยวี่ยไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลังได้แต่ยืนมองอู่เหมยเดินกลับห้องทั้งอย่างนั้นโดยที่รู้สึกหนาวตัวมากขึ้นเรื่อยๆ


อู่เหมยอยากฆ่าเธอ เธอต้องบอกคุณแม่ว่าเธอจะไม่นอนห้องเดียวกับอู่เหมยอีกแล้ว!


ได้ยินอู่เยวี่ยวิ่งออกไปอู่เหมยก็ยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ ชาติก่อนพวกเขาบอกว่าเธอเป็นโรคประสาทไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเธอจะลองเป็นคนบ้าสักครั้งให้พวกเขาได้เห็น!


“ฉิวฉิวมากินเมล็ดทานตะวันเร็ว!”


อู่เหมยวางเมล็ดทานตะวันใส่กล่องให้ฉิวฉิวกิน เธอเริ่มทบทวนเนื้อหาการเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ ในเมื่อรับปากเหยียนหมิงซุ่นจะสอบให้ได้หกสิบคะแนนมาแล้ว เธอจะผิดคำพูดไม่ได้


ผ่านไปไม่นานอู่เยวี่ยกลับมาด้วยใจที่หวาดระแวงและเสียใจอย่างมาก เหอปี้อวิ๋นไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด อีกฝ่ายยังโมโหอยู่เลยไม่มีความอดทนต่ออู่เยวี่ยมากเท่าอดีต บอกแค่ว่าเธอคิดมากเกินไป


กลางดึกแสงจันทร์สาดเข้าห้องส่งให้ห้องเป็นสีขาวโพลน อู่เหมยลืมตาขึ้น ลุกจากเตียงเดินปล่อยผมไปยังเตียงของอู่เยวี่ย ในเมื่อเป็นคนบ้าแล้วก็ต้องทำในสิ่งที่บ้าบิ่นกว่านี้ถึงจะถูก!


อู่เยวี่ยถูกแสงจันทร์สีขาวนวลปกคลุมทั้งร่างราวกับเม็ดทรายสีขาว ดูแล้วสวยกว่าตอนกลางวันอีก อู่เหมยแค่นหัวเราะเสียงเย็น สองมือคลำไปที่ลำคอของเธอ ครานี้เธอไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้นแต่ได้สัมผัสผิวกายของอู่เยวี่ยอย่างแท้จริง อู่เยวี่ยที่หลับไม่สนิทอยู่แล้วสะดุ้งตื่นเพราะสัมผัสเย็นเฉียบตรงลำคอ ลืมตาก็เห็นอู่เหมยที่ปล่อยผมยาว ใบหน้าจุดยิ้มแปลกๆ มือกำรอบลำคอเธอ


“กรี๊ด!”


อู่เยวี่ยร้องออกมาเพราะความตกใจ ผลักอู่เหมยออกพลางวิ่งออกไปข้างนอกด้วยความหวาดผวา


 อู่เหมยหัวเราะอย่างได้ใจแล้วรีบเดินกลับเตียงตัวเอง เอาผ้าห่มคลุมตัวแกล้งหลับ ไม่นานอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นก็พุ่งเข้ามาโดยมีอู่เยวี่ยตามเหอปี้อวิ๋นแจ ท่าทางจะตกใจไม่น้อย


“เหมยเหมยหลับอยู่ดีนี่นา จะบีบคอลูกได้ยังไง? เยวี่ยเยวี่ยฝันร้ายแล้วล่ะ”


อู่เจิ้งซือไม่เชื่อในสิ่งที่อู่เยวี่ยกล่าวสักนิด บุตรสาวคนเล็กจะบีบคอบุตรสาวคนโตให้ตาย เป็นไปได้อย่างไร?


พอเห็นอู่เหมยหลับสนิทเขายิ่งไม่เชื่อไปกันใหญ่ เริ่มไม่พอใจต่ออู่เยวี่ย ทำไมถึงฝันร้ายได้ถึงขั้นนี้?


กลางวันจะคิดถึงแต่เรื่องที่ลืมไม่ลงส่งผลให้กลางคืนฝันถึงเรื่องนั้น ดูเหมือนว่าความคิดของบุตรสาวคนโตจะมีปัญหา ต้องหาเวลาพูดคุยกับบุตรสาวคนโตเสียแล้ว


………………………..


ตอนที่ 138 ทำอู่เยวี่ยเสียขวัญ


 อู่เยวี่ยตกใจจนขวัญเสียเลยไม่ใจเย็นเหมือนอย่างเคย ตะโกนเสียงดัง “พ่อคะ เหมยเหมยต้องแกล้งหลับแน่ๆ เมื่อกี้เธอจะมาบีบคอหนูจริงๆ เธอยังบอกว่าตัวเองเป็นคนบ้าด้วย”


 อู่เหมยที่แกล้งหลับอยู่รู้สึกขบขัน เป็นครั้งแรกที่เห็นสภาพนี้ของอู่เยวี่ย ที่แท้นางแพศยาคนนี้ก็มีช่วงที่กลัวเหมือนกันนี่นา!


เห็นดวงหน้าเล็กขาวซีดของอู่เยวี่ย อย่าต้องให้พูดเลยว่าเหอปี้อวิ๋นปวดใจขนาดไหน โอบร่างเย็นเฉียบของอู่เยวี่ยไว้กล่าวต่ออู่เจิ้งซือ


  “เหล่าอู่ เยวี่ยเยวี่ยขวัญเสียแล้วจิรงๆ ไม่แน่สิ่งที่ลูกพูดอาจจะจริงก็ได้ คุณลองปลุกเหมยเหมยมาถามสิ”


ช่วงนี้ยายนี่ไปได้ความกล้ามาจากไหนไม่รู้ แม้แต่เธอยังกล้าโต้เถียง ไม่แน่อาจจะบีบคอเยวี่ยเยวี่ยจริงๆ ก็ได้!


อู่เจิ้งซือมุ่นคิ้วอย่างไม่ลังเล ไม่ชอบการที่เหอปี้อวิ๋นสงสัยอย่างมาก ช่วงนี้บุตรสาวคนเล็กมีความประพฤติดี คะแนนเริ่มมีการพัฒนาแล้วทำไมถึงกลายเป็นคนบ้าไปได้?


เห็นอู่เจิ้งซือไม่ขยับตัวสักทีเหอปี้อวิ๋นอดไม่ได้เลยพุ่งตัวไปผลักอู่เหมยอย่างแรง ทำเอาอู่เหมยแกล้งหลับต่อไม่ได้


“พ่อคะ ฟ้าสว่างแล้วเหรอ?” อู่เหมยทำหน้าง่วงซึม อดขยี้ตาไม่ได้


อู่เจิ้งซือถลึงตาใส่เหอปี้อวิ๋นแวบหนึ่งพลางตอบกลับเสียงอ่อนโยน “เปล่า พ่อแค่มาดู ลูกนอนต่อเถอะ”


อู่เยวี่ยผิดหวังต่ออู่เจิ้งซืออย่างมาก เธอตกใจจนเสียขวัญขนาดนี้แล้วอู่เจิ้งซือกลับยังไม่เชื่อเธอแถมปกป้องอู่เหมย ทั้งที่อดีตคุณพ่อจะเชื่อฟังในสิ่งที่เธอพูดทุกอย่าง ตั้งแต่ยายโง่นี่มัดผมหางม้า คุณพ่อก็เปลี่ยนไป


เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะใบหน้าของยายบ้านี่ทั้งนั้น ทั้งโลกมีคนเสียโฉมมากมายทำไมเรื่องนี้ถึงไม่เกิดขึ้นกับยายโง่นี่บ้างนะ?


เหอปี้อวิ๋นเองก็ไม่พอใจในท่าทีของอู่เจิ้งซือจึงถามกลับไป “เมื่อกี้แกไปบีบคอพี่สาวของแกใช่มั้ย?”


ดวงตากลมโตของอู่เหมยกะพริบปริบอย่างใสซื่อ ทำหน้างงอย่างน่ารักที่ใครเห็นก็ต้องใจอ่อน แน่นอนว่ายกเว้นเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ย


 “หนูหลับอยู่ตลอดเลย อีกอย่างทำไมหนูต้องไปบีบคอพี่ด้วย?” อู่เหมยกล่าวอย่างน่าสงสาร


อู่เยวี่ยตวาดด้วยความโกรธ “เหมยเหมย ทำไมเธอถึงโกหก? เมื่อกี้เธอบีบคอฉันจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอยังบอกเลยว่าเธอเป็นบ้า คนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย เธออย่ามาทำไขสือ”


อู่เหมยตัวสะท้านพลางขยับตัวเข้าหาอู่เจิ้งซือน้อยๆ พร้อมกล่าวอย่างหวาดกลัว “พ่อคะ พี่พูดจาแปลกๆ พี่กดดันเรื่องเรียนมากไปจนเกิดภาพหลอนหรือเปล่าคะ?”


“อู่เหมยอย่ามาตอแหล ฉันกดดันอะไร? สิ่งที่ฉันพูดคือความจริงทั้งนั้น”


อู่เยวี่ยอ้าปากด่ากราดจนหลุดคำหยาบออกมา เธอยิ่งด่าแรงเท่าไรอู่เหมยยิ่งได้ใจ ตอนนี้อู่เยวี่ยปั่นหัวได้ง่ายเสียจริง ไม่กี่ประโยคก็จุดไฟติดแล้ว


“เยวี่ยเยวี่ย!” อู่เจิ้งซือคำรามเสียงต่ำ แววตาฉายแววผิดหวัง


อู่เยวี่ยได้สติทันควัน เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เธอทำอะไรลงไปบ้าง เธอหลงกลยายโง่นี่ได้อย่างไรกัน?


“พ่อคะ ขอโทษค่ะ หนูตกใจเกินไปเลยพูดไม่ทันคิด เหมยเหมย ขอโทษนะ”


อู่เยวี่ยที่ได้สติทันทีพลางกล่าวขอโทษด้วยท่าทางน่าสงสาร ใบหน้าดวงเล็กขาวซีดไร้สีเลือดฝาดเช่นเดิม อู่เจิ้งซือใจอ่อนยวบทันที บางทีบุตรสาวคนโตอาจจะตกใจเกินไปจริงๆ ก็ได้!


“พักผ่อนเถอะ วันหลังต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายบ้าง เรียนรู้จากเหมยเหมยไปเดินเล่นตอนกลางคืนบ้าง จะช่วยเรื่องนอนหลับได้ดีมาก”


อู่เจิ้งซือคิดว่าสิ่งที่อู่เหมยพูดมีเหตุผลดี อู่เยวี่ยอาจจะกดดันเรื่องเรียนมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการนอน ถึงได้ฝันเหลวไหลแบบนี้


อู่เยวี่ยไม่พอใจอยู่ลึกๆ ให้เธอเรียนรู้จากอู่เหมย?


คุณพ่อยิ่งอยู่ยิ่งเลอะเลือน เธอกัดฟันตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ คราวหลังหนูจะรู้จักผ่อนคลาย คุณพ่อคุณแม่เหมยเหมยรีบนอนเถอะค่ะ ผิดที่หนูเองที่ทำทุกคนไม่ได้นอน”


“เด็กคนนี้พูดอะไรน่ะ ลูกเองก็รีบนอนซะนะ!”


 เหอปี้อวิ๋นปวดใจเหลือเกิน คิดในใจว่าพรุ่งนี้ต้องไปซื้อไก่กลับมาตุ๋นไก่ให้อู่เยวี่ยดื่มเพื่อบำรุงสมอง การทุ่มเงินไปกับบุตรสาวคนโต เหอปี้อวิ๋นไม่เคยขี้เหนียวอยู่แล้ว


…………………………


ตอนที่ 139 กลิ่นเหม็นมาจากไหน


เหอปี้อวิ๋นปลอบอู่เยวี่ยไม่กี่คำก็กลับไปนอนพร้อมกับอู่เจิ้งซือ อู่เยวี่ยสีหน้าขาวซีดเพราะขวัญยังไม่กลับมา เธอมองอู่เหมยอย่างโกรธแค้น นางแพศยา!


“อู่เหมย เธอแสดงละครเก่งนี่ เมื่อก่อนฉันดูถูกเธอเกินไป!”


อู่เหมยเปลี่ยนสีหน้าง่วงก่อนหน้า แค่นเสียงตอบ “ฉันเรียนรู้มาจากพี่สาวไง ยังไม่ผ่านเลยเนี่ย!”


เธอมองอู่เยวี่ยอย่างเย็นชา ความเย็นที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก อู่เยวี่ยถูกจ้องจนขนลุกซู่เผลอตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ สายตาของอู่เหมยน่ากลัวชะมัด


“เธอ…เธอมองฉันทำไม?” อู่เยวี่ยเผลอกอดตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่ยังรู้สึกหนาวอยู่


“เปล่า จะนอนแล้ว”


อู่เหมยตอบกลับเสียงจาง ห่มผ้าหลับตาไม่มองอู่เยวี่ยอีก แต่ในใจอดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้


แค่นี้ก็รับไม่ไหวแล้วหรือ?


เทียบกับความเจ็บที่เธอตกจากชั้นสามสิบสามเมื่อชาติที่แล้ว แค่นี้ยังน้อยไป


อู่เยวี่ยเอ๋ย อู่เยวี่ย เธอรอดูอย่างช้าๆ ไปแล้วกัน!


จู่ๆ อู่เหมยก็เข้าใจว่าเมื่อเทียบกับการทำให้อู่เยวี่ยเจ็บทีเดียว ให้อู่เยวี่ยตกจากหิ้งสวรรค์ทีละน้อยๆ ดีกว่า ให้เธอได้ลืมตามองตัวเองที่สูญเสียออร่าอย่างที่เคยมี จากคุณนายผู้ดีที่คนต่างอิจฉากลายเป็นหินก้อนกรวดต้อยต่ำที่อยู่ชั้นฐานของพีระมิด บทลงโทษนี้สำหรับอู่เยวี่ยที่ทระนงตัวมาโดยตลอด คงทำเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย!


อู่เยวี่ยมองอู่เหมยที่หลับใหลไปด้วยความหวาดผวา ใบหน้างดงามนั่นทำเธออิจฉาแทบบ้า รวมถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปจากเดิมนี้ทำเธอตั้งรับไม่ทัน


ในหัวเธอคิดได้แค่คำเดียว ‘เกิดใหม่’


อู่เหมยในขณะนี้ราวกับนกฟีนิกซ์ที่เกิดใหม่ ปลดปล่อยแสงออร่าอันสวยงามของเธอให้คนไม่กล้ามองตรงๆ


ไม่นะ เป็นแบบนี้ไม่ได้ เธอต้องหยุดทุกอย่างไว้!


นกฟีนิกซ์ตระกูลอู่คือเธอ อู่เหมยเป็นแค่ตัวตลกที่ต่ำต้อยเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วเท้าของเธอด้วยซ้ำ คุณพ่อแค่ถูกอู่เหมยหลอกจนหน้ามืดตามัว รอคะแนนประจำเดือนออกคุณพ่อจะต้องเบนความสนใจกลับมาที่ตัวเธอแน่แท้


อู่เยวี่ยตั้งจิตให้มั่นและเริ่มคาดหวังกับการสอบประจำเดือนที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าจะต้องได้ที่หนึ่ง เธอมองอู่เหมยอย่างได้ใจแวบหนึ่ง ยายโง่ หน้าตาดีแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ ตระกูลอู่ไม่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอกอยู่แล้ว!


กลางดึกอันเงียบสงัด อู่เหมยกับอู่เยวี่ยต่างเข้าสู่ห้วงนิทรา มีกระรอกตัวขาวโผล่หัวมาจากใต้เตียง ดวงตาดำขลับหมุนกลอกไปมาและเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉิวฉิวกระโดดมาที่ขอบหน้าต่างอย่างรวดเร็ว อัดอั้นมาทั้งคืน ต้องปลดปล่อยปุ๋ยสักหน่อย


เหลือบเห็นอู่เยวี่ยข้างๆ ฉิวฉิวกลอกตาอีกที สะบัดหางยาวย้อนกลับมาทับบนตัวอู่เยวี่ย ยกขาข้างหนึ่งก่อนที่น้ำสีเหลืองจะถูกขับออกมาใส่ผมของอู่เยวี่ย


ผู้หญิงคนนี้น่ารังเกียจมากๆ ทำให้เขาอยากสั่งสอนแทนเจ้าของสักหน่อย หึ!


ปัสสาวะของฉิวฉิวไม่ใช่ปุ๋ยธรรมดาเชียว แสงอาทิตย์ยิ่งแรงกลิ่นยิ่งฉุน ล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออก ต้องรอวันเวลาช่วยชะล้างเท่านั้น!


ปลดปล่อยจนหมดท้องฉิวฉิววางขาลงมุดตัวกลับไปที่รังน้อยๆ ของเขาด้วยตัวเบาหวิว ทิ้งตัวหลับนอนอย่างสบายใจ


กลางคืนอู่เยวี่ยนอนไม่สนิทนักเพราะฝันร้ายจริงๆ ตอนเช้าตื่นมาขอบตาดำปี๋ สีหน้าดูไม่ดีเท่าไรทั้งยังอดหาววอดไม่หยุด ช่วงนี้นอนไม่เพียงพอ ทรงหน้าของเธอจากรูปไข่กลายเป็นรูปเมล็ดทานตะวัน กลับขับให้ดูอ่อนแอน่าปกป้องมากกว่าเดิม


ย้อนกลับไปสังเกตอู่เหมยเพราะกินนอนเต็มอิ่มทำให้ใบหน้าอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย ผิวขาวเนียนเด้งแทบกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำได้


อู่เหมยกับอู่เยวี่ยเดินลงมาตามๆ กันโดยที่อู่เหมยตามหลัง ลมพัดผ่านมาโชยกลิ่นเหม็นฉุนจางๆ เข้าจมูก อู่เหมยอดขมวดคิ้วไม่ได้ กลิ่นเหม็นฉุนนี้มาจากไหน?


………………………….


ตอนที่ 140 กลิ่นเหม็นฉุนจากอู่เยวี่ย


สยงมู่มู่เองก็เดินลงมากำลังจะทักทายอู่เหมย ลมระลอกใหม่พัดผ่านมา สยงมู่มู่รีบอุดจมูกไว้กวาดตามองรอบข้างเพื่อหาต้นตอของกลิ่นเหม็นฉุนนี้ สายตาล็อกเป้าหมายที่อู่เยวี่ยผู้ไม่รู้ตัวใดๆ


“นี่มันอะไรกัน? อู่เยวี่ยมีกลิ่นตัวเหรอ?” สยงมู่มู่ถามเสียงเบา


อู่เหมยส่ายศีรษะอย่างงุนงง “เมื่อก่อนเธอไม่มีกลิ่นตัว”


อย่าว่าแต่เมื่อก่อนไม่มีเลย อู่เยวี่ยในชาติปางก่อนก็ไม่เคยมี ทำไมชาตินี้อยู่ๆ ถึงมีล่ะ?


สยงมู่มู่ตอบกลับ “กลิ่นตัวใช่ว่าจะมีตั้งแต่เกิดสักหน่อย ตอนเด็กไม่มี พอร่างกายเจริญเติบโตแล้วก็จะมีเอง อู่เยวี่ยผ่านช่วงวัยแตกสาวมาแล้วไม่ใช่เหรอ นี่ไงกลิ่นตัวตามมาเลย ไม่มายังพอว่า พอมาแล้วน่าตกใจนะเนี่ย!”


ลองดมกลิ่นเหม็นนี่สิ เหม็นยิ่งกว่ากลิ่นส้วมที่หมกมาหมื่นปีเสียอีก!


สยงมู่มู่นึกเห็นใจเพื่อนร่วมห้องของอู่เยวี่ยสามวินาที ลอบดีใจอยู่ลึกๆ ว่าเขาไม่ได้อยู่ร่วมชั้นกับอู่เยวี่ย ขอบคุณพระเจ้า อาเมน!


อู่เหมยกลับหน้าแดงปลั่ง พูดคำว่าแตกสาวต่อหน้าเธอนี่มันน่าอายจริงๆ!


แต่ทำไมอู่เยวี่ยถึงมีกลิ่นตัวล่ะ?


 ไม่ควรมีแท้ๆ นี่นา!


อู่เหมยขบคิดอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ ในที่สุดก็คิดไม่ตกเลยคร้านจะเสียแรงคิด ความจริงอู่เยวี่ยมีกลิ่นตัวเป็นเรื่องดี สมัยนี้ไม่ได้มีเลเซอร์ดับกลิ่นเหม็น อย่างน้อยอู่เยวี่ยต้องเจ็บปวดไปอีกหลายปีเลยเชียว!


ฮ่าๆ พระเจ้าช่างเป็นใจจริงๆ!


แสงอาทิตย์สาดส่องบนศีรษะอู่เยวี่ย แสงอาทิตย์สีทองอร่ามปกคลุมหญิงสาวที่งดงามดั่งดอกไม้ เดิมทีควรเป็นภาพที่สวยงาม แต่ผู้ที่เดินผ่านอู่เยวี่ยไปมามากมายต่างเดินหลบหนีไปไกล มองใบหน้าอู่เยวี่ยแล้วได้แต่นึกเสียดาย เป็นผู้หญิงที่สวยพอสมควรแต่กลับมีกลิ่นตัวที่เหม็นขนาดนี้ เฮ้อ!


อู่เยวี่ยเจ้าตัวกลับไม่ได้กลิ่นสักนิดเพราะสภาพจิตใจไม่เอื้ออำนวย เธอไม่ทันสังเกตการกระทำที่แปลกไปของคนรอบข้าง ได้แต่ก้มหน้าเดินต่อไป รู้สึกอัดอั้นตันใจได้แต่หวังว่าการสอบประจำเดือนจะมาถึงไวๆ


“เยวี่ยเยวี่ย!”


เหยียนหมิงต๋าวิ่งมาอย่างดีใจโดยมีเหยียนหมิงซุ่นเดินตามมาด้วย เหยียนหมิงซุ่นมองเลยผ่านไปด้านหลังของอู่เยวี่ยกลับเห็นอู่เหมยปั่นจักรยานพาสยงมู่มู่ซ้อนมาด้วย เห็นท่าทางของเธอนั้นขับได้ไม่เลวเลย


เพียงแต่เจ้าหมอนั่นที่อยู่ข้างหลังของยายเด็กคนนี้ดูขัดตาชะมัด!


“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่หมิงซุ่น!” อู่เหมยใช้ปลายเท้าแตะพื้นเบรก ยิ้มทักทาย


สยงมู่มู่แค่ก้มหน้าน้อยๆ คร้านจะยิ้มให้ด้วยซ้ำ เหยียนหมิงซุ่นมองเขาด้วยสายตาเรียบๆ แวบหนึ่งพลางตอบกลับเสียงเบา “เหมยเหมยน่าจะให้มู่มู่ปั่นนะ แผลตรงขาเธอยังไม่หายดีเลย!”


เหยียนหมิงซุ่นมองไปที่น่องขาของอู่เหมยจนสยงมู่มู่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอู่เหมยมีแผลที่ขา รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีรีบกระโดดลงมาบอกว่า “เธอไปนั่งข้างหลัง ฉันปั่นเอง”


อู่เหมยตอบกลับอย่างไม่พอใจ “นายปั่นจักรยานกลางอากาศยังไม่คล่องเลยจะให้คนซ้อนยังไง? ฉันไม่อยากเกิดอุบัติเหตุรถชนหรอกนะ”


เหยียนหมิงซุ่นเลิกคิ้วกล่าวเสียงราบเรียบ “ที่แท้มู่มู่ปั่นจักรยานไม่เป็นเหรอ มิน่าล่ะ!”


“ใครปั่นจักรยานไม่เป็น? นายอย่ามาพูดเหลวไหล!”


 สยงมู่มู่เถียงคอเป็นเอ็น หน้าแดงเถือกเพราะแรงอารมณ์ แย่งจักรยานแล้วนั่งควบลงไป ปั่นตรงไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเลแล้วยังหันกลับมาตะโกนบอกอู่เหมย “ขึ้นมา!”


อู่เหมยส่ายศีรษะอย่างเด็ดขาด เธอเพิ่งเกิดใหม่ได้ทั้งทีไม่รนหาที่ตายหรอก!


 “โครม!”


 สยงมู่มู่แค่ไม่ทันระวังแวบเดียวก็ล้มหน้าจุ่มดินแปลงดอกไม้ ทำหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ อู่เหมยรีบวิ่งไปพยุงเขาทั้งบ่น “ปั่นไม่เป็นแล้วยังทำเป็นเก่ง สมน้ำหน้า!”


“ให้ฉันปั่นแล้วนายซ้อนเหมือนเดิมมั้ย?” อู่เหมยเสนอ


“ไม่!”


สุดท้าย…


สยงมู่มู่ก็เดินจูงจักรยานให้อู่เหมยนั่งเบาะหลัง สองคนกับจักรยานอีกหนึ่งคันมุ่งไปข้างหน้า อู่เหมยนั่งอยู่เบาะหลังอดกลอกตาไม่ได้ เหยียนหมิงซุ่นยกยิ้มมุมปากน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี


…………………….


ตอนที่ 141 ดั่งสวรรค์ได้บรรจงสร้าง


เหยียนหมิงต๋าเดินตามอู่เยวี่ยมาด้วยความร่าเริง เขาเห็นสยงมู่มู่กับอู่เหมยรวมกลุ่มกันอยู่อย่างแปลกประหลาด จึงอดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงหัวเราะออกมา


“สยงมู่มู่ทำไมนายถึงไม่ปั่นจักรยานล่ะ ไม่ใช่ว่าแค่จักรยานนายก็ปั่นไม่เป็นนะ”


สยงมู่มู่มองเหยียนหมิงต๋าด้วยสายตานิ่งเรียบ ถอนหายใจด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่แม้แต่จะสนใจ เขาจูงจักรยานแล้วเดินไปข้างหน้า แต่เมื่อนึกย้อนคำพูดนั้นกลับทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ จึงตะโกนกลับไป “เหยียนหมิงต๋า จมูกนายไม่ดีหรือไง?”


เหยียนหมิงต๋าตกใจไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้จึงถามกลับ “แล้วนายรู้ได้ยังไง?”


มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วคัดจมูกนานเป็นครึ่งเดือน พอหายป่วยจมูกของเขากลับไม่รับรู้กลิ่นใดๆ จะกลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นเขาก็ไม่สามารถรับกลิ่นได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร จมูกก็เหมือนมีไว้แค่ประดับ ไม่รับรู้กลิ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!


                สยงมู่มู่คาดไม่ถึงว่าเหยียนหมิงต๋าจะไม่รับรู้กลิ่นจริงๆ อดนึกสนุกไม่ได้จึงหัวเราะและตะโกนตอบกลับไป “นายกับอู่เยวี่ยนี่เหมาะสมกันดั่งคู่ที่สวรรค์สร้างมาจริงๆ ยินดีด้วยนะ!”


คนหนึ่งมีกลิ่นเต่า ส่วนอีกคนก็จมูกไม่รับกลิ่น จะไม่ใช่คู่ที่สวรรค์สร้างมาได้อย่างไร!


                เหยียนหมิงต๋าเกาท้ายทอยและยิ้มอย่างไร้เดียงสา เขาเริ่มรู้สึกถูกชะตากับสยงมู่มู่มากขึ้น แต่อู่เยวี่ยกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ชอบเลยสักนิดที่ถูกคนอื่นจับคู่ให้เธอกับเหยียนหมิงต๋าแบบนี้


                “สยงมู่มู่นายอย่าพูดพร่ำเพรื่อนะ ระวังฉันจะฟ้องครู!” อู่เยวี่ยประกาศกร้าว


                เหยียนหมิงต๋าเงียบไปชั่วอึดใจก็เปลี่ยนเป็นดีใจ เยวี่ยเยวี่ยต้องรู้สึกเขินเขาแน่ๆ สยงมู่มู่ก็ด้วย พูดจาต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้เยวี่ยเยวี่ยก็คงจะรู้สึกเขิน!


                สยงมู่มู่หัวเราะเยาะ โดยไม่แม้แต่จะมองอู่เยวี่ย แต่เขากลับผลักอู่เหมยให้รีบเดินไปข้างหน้า จะเป็นลมเพราะกลิ่นเหม็นๆ นี้อยู่แล้ว อู่เยวี่ยยังไม่สนใจเหยียนหมิงต๋าอีก?


                เฮ้อ! ทำไมไม่คิดอีกว่ากลิ่นเต่าแบบนี้จะมีผู้ชายคนไหนรับได้?


                คงมีแค่เหยียนหมิงต๋าแล้วล่ะ!


                อู่เยวี่ยมองเหยียนหมิงต๋าด้วยความรังเกียจ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางชอบเขาได้ เขาดูธรรมดาเกินไป จะเหมาะสมกับเธอได้อย่างไร?


                แต่เธอก็เป็นเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน แน่นอนว่าไม่เคยปฏิเสธผู้ชายที่เข้ามาชอบตัวเธอเลย ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักครั้งที่เธอจะหลอกใช้คนพวกนี้


                “สยงมู่มู่นี่แย่จริงๆ ล้อเล่นอะไรไม่ดูสถานการณ์เลย ถ้าหากพ่อของฉันรู้เข้า เขาต้องดุฉันแน่ๆ” อู่เยวี่ยบ่นตอบ


                เหยียนหมิงต๋ารู้สึกตาสว่าง ที่แท้อู่เยวี่ยแค่กลัวโดนครูอู่ดุถึงได้กลายเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วในใจของเธอก็มีเขาอยู่สินะ?


                “ครั้งหน้าพี่จะสั่งสอนสยงมู่มู่เอง ไม่ให้เขาพูดอะไรมั่วๆ อีก” เหยียนหมิงต๋าพูดเอาอกเอาใจ


                “ขอบคุณนะคะพี่หมิงต๋า!”


                เหยียนหมิงต๋าที่ถูกอู่เยวี่ยมองจึงเกิดความเขินอายและประหม่า ร่างทั้งร่างเหมือนไม่มีแรง ทำได้แค่ยิ่มเจื่อน แม้แต่ทิศทางออกตกเหนือใต้เขายังคงสับสน


                สักพักพวกเขาก็ได้มาถึงโรงเรียน ซึ่งเป็นจังหวะที่ต้องเข้าเรียนพอดี ภายในโรงเรียนคนเดินขวักไขว่ทั่วทุกทิศ แต่ช่วงที่อู่เยวี่ยเดินเข้ามาในโรงเรียน พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มทยอยปิดจมูกกัน และไม่หยุดที่จะถาม “พี่หมิงต๋าได้กลิ่นหรือยัง?”


                “จมูกฉันไม่ค่อยรับรู้กลิ่น”


                อู่เยวี่ยย่นคิ้วเข้าหากัน ความกระวนกระวายเริ่มเด่นชัดขึ้นมาในใจ พลางถึงนึกคำที่สยงมู่มู่พูดก่อนหน้านี้ ตอนนั้นสยงมู่มู่มีท่าทีแปลกๆ รู้สึกเหมือนจะบ่งชี้อะไร


                “กลิ่นเหม็นมาจากทางนี้ รีบไปกันเถอะ” มีคนตะโกนบอก


                กลุ่มนักเรียนจำนวนมากวิ่งไปทางตึกเรียน ภายในสนามหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ทุกคนพยายามตีตัวออกห่างจากอู่เยวี่ยกับเหยียนหมิงต๋า จังหวะนั้นที่อู่เยวี่ยสังเกตได้ถึงความผิดปกติ


                ราวกับว่ากลิ่นของความเหม็นจะอยู่บนตัวเธอ!


                อู่เยวี่ยเริ่มกังวลและดมหากลิ่นบนตัวของเธอ แต่กลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย เหยียนหมิงต๋าเห็นถึงความผิดปกติ “เยวี่ยเยวี่ยเธอเป็นอะไร?”


                “ไม่มีอะไร”


                อู่เยวี่ยพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ แล้วเดินไปทางตึกเรียนด้วยความกังวลใจ เธอหวังว่าความกังวลนี้จะเป็นแค่สิ่งที่เธอคิดไปเอง กลิ่นเหม็นนี้ไม่ได้มาจากตัวของเธอ แต่แล้ว…เพียงเธอเดินเข้ามาในห้องเรียน เด็กไม่กี่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยกมือขึ้นมาปิดจมูก หลายคนต่างแปลกใจและมองไปที่อู่เยวี่ย


                เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของอู่เยวี่ยกลับซีดเผือด ใจหล่นไปอยู่จุดที่ต่ำสุด สิ่งที่เธอกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 142 พัฒนาแบบก้าวกระโดด


อู่เหมยเดินเข้าห้องเรียนไปด้วยความร่าเริง วันนี้เป็นวันเสาร์ เข้าเรียนแค่ครึ่งวันก็เลิกเรียนแล้ว พอถึงอาทิตย์หน้าเธอก็จะได้เรียนวาดรูป ชีวิตของเธอต้องมีสีสันและหลากหลาย!


เจินหวานหว่านกระซิบบอก “วันนี้ต้องแจกคะแนนสอบคณิตศาสตร์ที่สอบไปเมื่อวันก่อนแน่เลย เฮ้อ! ฉันสอบได้ไม่ดีเลย”


อู่เหมยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใจหนึ่งแอบหวังเล็กๆ แต่อีกใจหนึ่งก็แอบกลัว สอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ มีหลายข้อที่เธอทำมันได้ เธอได้เอาคำตอบไปเทียบกับอู่เชาแล้วด้วย ขอแค่ไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาด คะแนนเธอจะต้องไม่ตกหล่นแน่


แต่เธอก็แอบกลัวว่าคะแนนจะแย่เหมือนเมื่อก่อน เพราะในบรรดาวิชาทั้งหมดที่เรียน เธอกลัวที่สุดก็คือวิชาคณิตศาสตร์ ตั้งแต่ขึ้น ป.1 มาจนถึงตอนนี้ ครั้งหนึ่งที่สอบได้ดีที่สุดแค่สี่สิบกว่าคะแนน หกสิบคะแนนแค่ครั้งเดียวยังไม่เคยสอบได้


เธอไม่กล้าหวังว่าคะแนนสอบจะต้องถึงหกสิบคะแนน เพราะที่ผ่านมาแล้วเธอได้รับผลกระทบมากเกินไป!


“เหมยเหมย เธอคิดว่ายังไง? จะสอบผ่านไหม?” เจินหวานหว่านถามอย่างมีนัยยะ


อู่เหมยได้ฟังคำถามแบบนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ แม้ว่าตัวเธอเองจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าเป็นเรื่องยากที่จะสอบผ่าน แต่เธอก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาถามแบบนี้ โดยเฉพาะเจินหวานหว่าน


“ไม่รู้สิ แล้วเธอล่ะ? คิดว่าสอบผ่านไหม?” อู่เหมยถามกลับ


เจินหวานหว่านตอบไปแบบไม่พอใจ “ฉันสอบผ่านแน่นอน คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ฉันไม่เคยสอบตกมาก่อน”


อู่เหมยทำได้เพียงส่งยิ้มบางๆ และหยิบเอาหนังสือภาษาจีนออกมาจากกระเป๋าเพื่ออ่าน สอบภาษาจีนครั้งนี้เธอมั่นใจเพราะอย่างน้อยคะแนนเรียงความสามสิบคะแนน เธอต้องได้ยี่สิบห้าคะแนนขึ้นไป ส่วนคะแนนพื้นฐานที่เหลืออีกเจ็ดสิบนั้น หากเธอพยายามทำให้ได้อีกสามสิบห้าคะแนน หกสิบคะแนนนี้เธอทำได้สำเร็จแน่


แต่ถ้าท่องจำพวกเนื้อหาได้มากขึ้น ไม่แน่ว่าเธออาจจะสอบได้ดีกว่านี้ อู่เหมยนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ คนอื่นอาจจะอ่านแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเป็นเธออ่านสักสิบครั้งยี่สิบครั้งจะต้องจำได้แน่ๆ!


เจินหวานหว่านพิจารณาดูอู่เหมยที่ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทำไมอยู่ดีๆ ยัยโง่นี่ถึงได้ลุกขึ้นมาขยันแบบนี้ได้ล่ะ?


เห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด!


คาบเรียนที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ ครูประจำวิชาแซ่สวี่ เป็นชายร่างผอมที่มีอายุราวสี่สิบกว่า พูดจาเอื่อยเฉื่อย แต่เขาสอนได้ดีมาก ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนดีเด่นอยู่หลายรุ่น


“ข้อสอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ครูได้ตรวจสอบแก้ไขแล้ว แต่คะแนนออกมาไม่เป็นตามที่คาดไว้ คะแนนเต็มมีแค่สองคน เก้าสิบคะแนนขึ้นไปก็มีแค่สิบสามคน น้อยกว่าหกสิบคะแนนมีเก้าคน หลายๆ คนคงยังไม่ทันได้ปรับตัวจึงทำให้คะแนนตกไปเยอะเลย ถ้างั้นคาบนี้ครูจะอธิบายถึงข้อสอบชุดนี้ พวกเธอก็ตั้งใจฟังด้วย โดยเฉพาะจุดที่ทำผิดลองคิดดูดีๆ ว่าทำไมถึงทำผิด ครูจะแจกข้อสอบคืนให้ ครูเรียกชื่อใครให้คนนั้นขึ้นมาหยิบข้อสอบไป หลี่เฟินเต็มร้อย จางเฮ่าหนึ่งร้อย…อู่เชาหกสิบสอง เจินหวานหว่านห้าสิบแปด คะแนนพวกเธอตกไปมากนะ!”


ครูสวี่เรียกชื่อทีละคนพร้อมบอกคะแนน ทั้งอู่เชาและเจินหวานหว่านถูกครูเรียกชื่อและติเตียน ถึงแม้สองคนนี้คะแนนสอบจะไม่ได้ดีมากอะไร แต่ปกติแค่เจ็ดสิบคะแนนพวกเขาทำได้อยู่แล้ว ครั้งนี้กลับไม่ใช่ คนหนึ่งคะแนนผ่านแบบหวุดหวิด อีกคนไม่ผ่านเลย ไม่แปลกที่ครูสวี่จะติเตียนพวกเขา


อู่เหมยใจเต้นจนแทบจะทะลุออกมา เพราะทั้งอู่เชาและเจินหวานหว่านก็จัดอยู่ในกลุ่มคะแนนตกไปแล้ว เธอต้องเป็นหนึ่งในเก้าคนที่ไม่ผ่านแน่ๆ!


แม้จะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นผิดหวัง เพราะเธอไม่ได้หวังอะไรมากขนาดนั้น ถ้าครั้งนี้เธอจะผิดหวังอีกก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


“อู่เหมยหกสิบแปดคะแนน แน่นอนว่าครั้งนี้ครูต้องชื่นชมอู่เหมย เพราะในห้องนี้เธอคือคนที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถใช้คำว่าพัฒนาแบบก้าวกระโดดเลยล่ะ ครูหวังว่าอู่เหมยจะไม่หลงระเริงใจและพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ นะ”


ครูสวี่ชื่นชมอู่เหมย และมองอู่เหมยด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู เด็กไม่เอาไหนคนเมื่อวาน แต่มาวันนี้กลับพัฒนาได้ไวมาก เขาดูพอใจมากกว่าการได้เห็นเด็กสอบได้คะแนนเต็มเสียอีก


…………………………………………………………………………………………


ตอนที่ 143 พูดไร้สาระ ระวังจะโดนต่อย


อู่เหมยแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอสอบได้ดีกว่าอู่เชางั้นเหรอ เป็นเรื่องจริงเหรอ?


เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทางครูสวี่ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อน ความรู้สึกอบอุ่นในใจและความดีใจเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอก!


จริงๆ แล้วเธอทำได้ เธอไม่ได้เป็นแค่กากเต้าหู้ไร้ประโยชน์ คะแนนสอบของเธอถึงหกสิบแล้ว!


ภายใต้ความตกตะลึงของทุกสายตาในห้อง อู่เหมยวิ่งไปด้วยความตื่นเต้น หยิบข้อสอบจากมือของครูสวี่มาแล้วมองตัวเลขสีแดงสดสองตัวบนข้อสอบ นั่นทำให้เธอดีใจจนยิ้มออกมา


“อย่าภูมิใจเกินไป!” ครูสวี่ยิ้มจนตาหยีและพูดขึ้น


“ค่ะ” อู่เหมยพยักหน้าตอบ


เมื่อกลับมายังที่นั่ง ไม่ว่าอู่เหมยจะเปิดดูข้อสอบอีกสักกี่ครั้งก็รู้สึกว่าดูไม่พอ สองชาตินี้รวมกันเธอยังไม่เคยสอบได้คะแนนสูงขนาดนี้!


อู่เชากระทุ้งหลังอู่เหมย แล้วพูดขึ้นเบาๆ “ขอฉันดูกระดาษข้อสอบเธอหน่อย”


อู่เหมยยื่นไปให้อย่างไม่เต็มใจนัก “นายระวังหน่อย อย่าทำของฉันขาดล่ะ”


“พวกตระหนี่อย่างเธอ ก็แค่หกสิบแปดคะแนนเอง!” อู่เชาเหลือบตามอง ใจจริงเขาก็แอบตกใจไม่น้อย ทั้งเรียงความถูกเอามาอ่านเป็นตัวอย่าง และยังมีคะแนนสอบคณิตศาสตร์ที่ได้หกสิบแปดอีก พัฒนาการของยัยนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!


“ได้แค่หกสิบแปดคะแนนแต่ก็มากกว่าของนาย!”


อู่เหมยโกรธมากและตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งยังเชิดคางขึ้นอย่างท้าทาย อู่เชาโกรธจนต้องกัดกรามตัวเองแน่น ยัยนี่ทำได้ดีไม่เหมือนกับยัยเด็กที่เขาเคยเจอเลย


ความเกลียดชังของเจินหวานหว่านเปรียบเสมือนหญ้าอาบยาพิษที่ก่อขึ้นมาในใจ แค่ชั่วขณะก็ก่อขึ้นจนเต็มทั้งใจ ลำดับในวงค์ตระกูลของอู่เหมยดีกว่าเธอ รูปลักษณ์ภายนอกก็ดีกว่า มีอยู่สิ่งเดียวที่เธอจะสามารถเอาชนะได้นั่นคือคะแนนสอบ


แต่ตอนนี้เพียงแค่ส่วนนี้ยังจะถูกแย่งไปงั้นหรือ?


“ครูกำลังจะเริ่มอธิบายข้อสอบ พวกเธอตั้งใจฟังให้ดี เงียบได้แล้ว!”


หลังจากที่ครูสวี่แจกกระดาษข้อสอบเสร็จ หยิบไม้เรียวขึ้นมาฟาดโต๊ะไม่กี่ครั้ง ภายในห้องจากที่มีเสียงพูดคุยซุบซิบกันจึงค่อยๆ เงียบลง ครูสวี่วางมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะเรียน มองยังไงก็คล้ายกับรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ไม่มีผิด


หลังเลิกเรียน อู่เหมยได้แต่ชื่นชมกับกระดาษข้อสอบของเธอ เปิดดูเรื่อยๆ อย่างไม่นึกเบื่อ ตอนที่ครูสวี่อธิบายเธอได้ตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งจดบันทึกไว้แล้ว ในช่วงปิดเทอมนี้จะได้ทำความเข้าใจกับพวกคำตอบที่ทำผิด


ชาตินี้จะต้องดีกว่าชาติที่แล้ว เป็นคนที่ด้อยย่อมต้องลงมือทำก่อน ในเมื่อตัวเธอไม่มีพรสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นเธอต้องทำและขยันมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่าร้อยเท่า จะต้องมีสักวันที่เธอจะได้รับสิ่งตอบแทน!


เรียนเสร็จไปทั้งสี่คาบ อู่เหมยพับกระดาษข้อสอบใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง กลับไปเธอเตรียมเอาให้อู่เจิ้งซือดู ไม่ว่าอู่เจิ้งซือจะเสแสร้งแค่ไหน แต่เธอจะต้องได้ความนิยมชมชอบจากผู้เป็นพ่อให้ได้


อู่เชาวิ่งตามหลังมา ยื่นหน้ามาถามอู่เหมย “อู่เหมย เธอจะไปทำอะไรที่ห้องเรียนเยาวชน?”


อู่เหมยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมอู่เชาถึงรู้ล่ะว่าเธอจะไปห้องเรียนเยาวชน?


นายพูดบ้าอะไร ใครบอกว่าฉันจะไปห้องเรียนเยาวชน? อู่เหมยยังหนักแน่นและไม่ยอมรับ


อู่เชาหลุดหัวเราะ “วันนั้นฉันเห็นเธอกับสยงมู่มู่ไปด้วยกัน ไปเรียนอะไรเหรอ? วาดรูปหรือพู่กันจีนล่ะ?”


“สยงมู่มู่ไปเรียนที่นั่น ฉันแค่ไปดูก็เท่านั้น อู่เชานายอย่ามาพูดอะไรไร้สาระ ไม่งั้นฉันจะต่อยนาย!”


อู่เหมยพุ่งไปหาเขาพร้อมยกหมัดขึ้น โมโหที่วันนั้นไม่ได้ระวังอู่เชาที่ตามหลังมา เขาจะรู้เรื่องที่ไปเรียนวาดรูปไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นอู่เจิ้งซือจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ


“อู่เหมย เธอกล้านักนะยัย ยัย…โถ่เอ้ย! ยัยบ้านี่จะรีบวิ่งไปไหน ฉันเหนื่อย เหนื่อยเป็นบ้าเลย วิ่งขนาดนี้เท้าเธอมีวงล้อไฟอยู่หรือไง?”


อู่เชาวิ่งตามด้วยความเหนื่อยหอบ การวิ่งเป็นอะไรที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กอ้วนที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนอย่างเขาเลย เมื่อเทียบกับการเขียนบทประพันธ์แล้วยังใช้แรงมากเสียยิ่งกว่ามาก


ร่างของอู่เหมยดั่งนกนางแอ่น เบาจนสามารถสลัดอู่เชาออกไปได้ เธอดีใจจนต้องหันหลังกลับไปมอง เห็นอู่เชาวิ่งเหนื่อยหอบจนลิ้นจุกปาก!


เหอะ! อยากจะวิ่งตามเธอเหรอ ไม่มีทาง!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 144 ผู้หญิงที่คนทั้งโลกเหม็น


อู่เหมยเจอกับสยงมู่มู่ที่หน้าโรงเรียน เด็กคนนี้จูงรถมารออยู่แถวประตูใหญ่ จากลักษณะแล้วคือตั้งใจมารอเธอ สยงมู่มู่โบกมือให้เธออยู่ไกลๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


“ทำไมถึงได้อารมณ์ดีนักล่ะ สอบได้เต็มร้อยหรือไง?” อู่เหมยถามอย่างแปลกใจ


อยู่ต่อหน้าสยงมู่มู่ อู่เหมยรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ไม่มีแม้แต่ความเขินอายหรือประหม่า อาจเป็นเพราะเธอรู้นิสัยลึกๆ ของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เขาเป็นเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอที่สามารถแบ่งปันความลับต่อกันได้


สยงมู่มู่สบถออกมา “ร้อยคะแนนเต็ม ฉันแค่ทำแบบไม่ตั้งใจก็ได้มันมาแล้ว มีอะไรให้ดีใจนักหรือไง”


อู่เหมยมองเขาด้วยความขุ่นเคือง เกลียดที่สุดพวกคนที่ไม่ตั้งใจทำแต่สอบได้เต็มตลอด เพียงชั่วครู่เธอกลับอารมณ์ดีและโอ้อวดขึ้นมา “สอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ฉันสอบได้หกสิบแปดคะแนน ครูชื่นชมฉันด้วยนะ ทั้งยังบอกให้ฉันอย่าหลงระเริงใจและพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ”


“หกสิบแปดคะแนนมีอะไรที่…”


สยงมู่มู่เริ่มตระหนักถึงนิสัยที่เรียนไม่ได้เรื่องของอู่เหมย จึงรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าของเขาและพูดชื่นชมเธอ “สุดยอดเลย นึกไม่ถึงว่าจะสอบได้ถึงหกสิบแปดคะแนน เธอเก่งมาก!”


เขาแสดงออกเกินจริงไปหน่อย อู่เหมยแค่ดูแวบแรกก็รู้ว่าเขานั้นปากไม่ตรงกับใจ เธอจึงสบถด้วยความหยิ่งทระนง แล้วเดินต่อไปข้างหน้า


“เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันต้องดีใจขนาดนี้?” สยงมู่มู่เดินตามมา


“ไม่รู้”


“อู่เยวี่ยร้องไห้ในโรงเรียน เข้าเรียนแค่คาบเดียวก็กลับบ้านไปแล้ว เป็นพ่อเธอเองที่มารับกลับไป เหอะๆ น่าสนใจดี!” สยงมู่มู่รู้สึกปีติเป็นอย่างมาก อย่างน้อยช่วงเช้าก็ไม่น่าเบื่อ


อู่เหมยตกใตจนตาค้าง คาดไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยโดดเรียน?


ทั้งยังร้องไห้ในโรงเรียนอีก?


เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าดาวหางฮัลเลย์พุ่งชนโลกเสียอีก!


“เกิดอะไรขึ้น? อู่เยวี่ยทำอะไรทำไมถึงร้องไห้?” อู่เหมยเร่งถาม


สยงมู่มู่กะจะยั่วให้อู่เหมยเกิดความอยากรู้ แต่เป็นเขาเองที่ทนเก็บไม่ไหวจึงพูดออกไปโดยไม่สนใจอะไร “ก็ตอนเช้าอู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่าไม่ใช่หรือไง เธอลองคิดดูว่ากลิ่นเหม็นขนาดนั้น คนทั้งห้องจะทนได้เหรอ? จึ๊ๆๆ โชคดีแค่ไหนที่ฉันไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเธอ”


“หลังจากนั้นล่ะ? อู่เยวี่ยก็กลับบ้านไปเลยเหรอ?” อู่เหมยรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ไม่แม้แต่จะยินดียินร้ายไปกับเธอ ไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้ตื่นเต้นได้เท่ากับการได้เห็นความโชคร้ายของอู่เยวี่ยแล้ว


สยงมู่มู่ชอบความจริงใจของอู่เหมยตรงจุดนี้


ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่เหมือนกับผู้หญิงบางคน ความเป็นจริงคือเกลียดคนคนหนึ่งอยู่ แต่กลับแสดงออกว่าชอบ แค่เห็นก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว


ซึ่งอู่เยวี่ยจัดเป็นกลุ่มคนประเภทนี้ คิดว่าเขาไม่รู้ถึงความจองหองของอู่เยวี่ยหรือไง?


“ถ้าเธอไม่กลับบ้านแล้วจะทำอะไรได้? คนทั้งห้องเกือบเป็นลมล้มพับไปก็เพราะเธอ ขนาดครูยังทนไม่ได้ ทำได้แค่โทรศัพท์หาพ่อของเธอ ให้ท่านมารับอู่เยวี่ยกลับไป อู่เยวี่ยร้องไห้เสียงดังขนาดนั้น ห้องที่ฉันเรียนห่างออกไปสองห้องยังได้ยินเลย”


สยงมู่มู่พูดไปพร้อมกับส่ายหัวประกอบ เหมือนกับอู่เหมย ที่ไม่ได้เห็นใจอู่เยวี่ยเลยสักนิด ใครกันล่ะที่ทำให้เกลียดผู้หญิงคนนี้!


“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดสวรรค์ก็เปิดตา ทำให้อู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่าที่เหม็นที่สุดในโลก โอ๊ย! สะใจจริงๆ ดีใจยิ่งกว่าคะแนนสอบหกสิบแปดคะแนนของฉันอีก”


เพียงแค่อู่เหมยนึกถึงภาพที่อู่เยวี่ยอยู่ในห้องเรียน แล้วถูกเพื่อนๆ ในห้องรังเกียจขับไล่ ความดีใจก็ทะลักขึ้นมาเต็มอก


อู่เยวี่ยหนออู่เยวี่ย เธอไม่ได้เป็นผู้หญิงที่คนทั้งโลกพึงพอใจหรือเรียกว่าพวกดาวล้อมเดือนหรอกหรือ?


แต่บัดนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่คนทั้งโลกเหม็นแล้วล่ะ!


สยงมู่มู่เห็นอู่เหมยยิ้มกริ่มอย่างไร้เดียงสาจึงนึกขำและเตือนสติเธอ “เธอกลับไปอย่าหัวเราะแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวพ่อแม่ได้ตีเธอตายแน่!”


อู่เหมยมองเขาอย่างเอือมระอา “ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น อู่เยวี่ยเล่นละครได้ ฉันก็เล่นได้ ฉันต้องคอยทำเป็นห่วงเป็นใยต่อพี่สาวของฉันสิ!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 145 กลิ่นเหม็นที่แสนรันทด


บรรยากาศภายในห้องรับแขกของตระกูลอู่เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่บ่อยนักที่อู่เจิ้งซือจะกลับบ้านเร็ว ทางเหอปี้อวิ๋นก็รีบลางานกลับมา ไม่ถึงครึ่งวันได้ บนปากของเธอก็เริ่มมีตุ่มเริมเม็ดใสผุดขึ้น


อู่เยวี่ยไม่ได้อยู่ที่ห้องรับแขก เธอขังตัวเองไว้ในห้องอาบน้ำ อาบน้ำไปไม่รู้กี่รอบแล้ว เป็นแบบนี้ตั้งแต่กลับมา เอาแต่ขัดถูจนผิวหนังมีเลือดซึมออกมา


เหอปี้อวิ๋นรออยู่หน้าประตูห้องน้ำ พลางพูดเกลี้ยกล่อมเธอด้วยความอ่อนโยน “เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องอาบแล้ว ยิ่งอาบจะยิ่งแย่เอานะ อย่าดื้อสิ ไม่ต้องอาบแล้ว!”


“หนูจะอาบ หนูจะขัดเอากลิ่นเหม็นออกไปให้หมด แม่อย่ามายุ่งกับหนู”


อู่เยวี่ยร้องไห้และขานตอบอย่างคนเสียสติ ประกอบกับเสียงของน้ำที่ไหล ยิ่งทำให้เธอจมอยู่กับสิ่งนั้น โดยไม่รับรู้แม้กระทั่งความเจ็บปวด ไม่แม้แต่จะหยุดใช้สบู่ถูบนตัว กระทั่งชำระล้างด้วยน้ำไม่หยุด


“คุณอู่ แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงดี? ต้องทำให้อู่เยวี่ยออกมาให้ได้ ผิวหหนังของลูกคงถลอกไปหมดแล้ว”


เหอปี้อวิ๋นร้อนใจดั่งถูกไฟเผา เสียงที่เปล่งออกมายังปะปนไปกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ ใจเธอสลายเป็นเสี่ยงๆ ทำไมอู่เยวี่ยของเธอถึงได้โชคร้ายอย่างนี้!


อู่เจิ้งซือก็ปวดหัวไม่น้อยไปกว่ากัน วันนี้ที่เขาได้รับสายจากครูของอู่เยวี่ย เขาแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง ต้องให้เขาไปถึงโรงเรียนเพื่อสัมผัสถึงกลิ่นเหม็นที่ทำให้หลายๆ คนอยากอาเจียนด้วยตัวเอง เขาถึงจะยอมเชื่อว่าคำพูดของครูเป็นเรื่องโกหกหรือไม่


ลูกสาวคนโตที่คอยเป็นหน้าเป็นตาให้เขา นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนที่ใครเจอต่างรังเกียจเพราะกลิ่นเหม็น!


ทั้งยังเป็นกลิ่นเหม็นที่ใครก็ไม่อาจรับได้!


ขนาดตัวเขาเองยังทนไม่ได้ ระหว่างทางกลับก็อาเจียนไปหลายรอบ และนี่ก็เป็นสิ่งที่อู่เจิ้งซือคิดไม่ตก หญิงสาวคนหนึ่งต่อให้ดีเลิศแค่ไหน แต่หากบนร่างกายเธอมีกลิ่นเหม็นเช่นนี้ ยังจะมีใครมาชอบอีกหรือ?


แล้วแบบนี้อู่เยวี่ยจะยังสร้างความภาคภูมิใจให้เขาได้อีกหรือ?


อู่เจิ้งซือถือว่าที่เป็นคนเห็นแก่ตัวมากคนหนึ่ง เกิดเรื่องต่ออู่เยวี่ย สิ่งแรกที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอู่เยวี่ยเลย แต่กลับเป็นเรื่องหน้าตาทางสังคม ซึ่งแตกต่างจากเหอปี้อวิ๋นโดยสิ้นเชิง


อย่างน้อยเหอปี้อวิ๋นก็รักและจริงใจต่ออู่เยวี่ย แม้จะปฏิบัติต่ออู่เหมยได้แย่มากก็ตาม


“ไปตรวจที่โรงพยาบาลเถอะ น่าแปลกที่กลิ่นเหม็นนี้อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้น ไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนจะได้สบายใจ” อู่เจิ้งซือพูดขึ้นอย่างหนักใจ


“ใช่ๆๆ พาเยวี่ยเยวี่ยไปตรวจที่โรงพยาบาลกัน ฉันกับคุณไม่มีกลิ่นเต่าเลย แล้วเยวี่ยเยวี่ยจะมีกลิ่นเต่าได้ยังไง? ไม่แน่ว่าอาจจะไปกินของผิดสำแดงอะไรมาหรือเปล่า”


เหอปี้อวิ๋นวิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในห้องอย่างรีบร้อน พอนึกได้จึงวิ่งกลับมาหาอู่เยวี่ยแล้วพูดหว่านล้อมเพื่อให้อู่เยวี่ยยอมแต่งตัวไปโรงพยาบาล


“ไม่ไป หนูไม่อยากออกไป คนอื่นจะหัวเราะเยาะหนู หนูจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น!”


อู่เยวี่ยตะโกนเสียงดัง เสียงน้ำตกกระทบพื้นไม่หยุด ที่โรงเรียนวันนี้เธอเจอกับสายตาเย็นชาและเหยียดหยามของคนอื่น ทั้งชีวิตนี้เธอไม่อาจลืมมันได้ ความเย็นชาที่เย็นเข้าไปจนถึงกระดูก


“เยวี่ยเยวี่ยอย่าดื้อสิ แค่เราไปโรงพยาบาลก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวแม่ฉีดน้ำหอมให้ ฉีดให้หอมๆ เลย แล้วมาดูกันว่าใครจะกล้าว่าลูกแม่ตัวเหม็นอีก!”


เหอปี้อวิ๋นพูดทั้งดีทั้งร้ายจนสามารถเกลี้ยกล่อมอู่เยวี่ยได้ ในที่สุดเธอก็ยินยอมที่จะไปโรงพยาบาล


เหอปี้อวิ๋นจึงวิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในห้องอย่างดีใจ พร้อมทั้งหยิบเอาน้ำหอมมาฉีดให้อู่เยวี่ยทั่วทั้งตัวเหมือนกับไม่สนใจเงินที่ซื้อมันมา


“แม่ หนูยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ไหม?” อู่เยวี่ยที่ตาบวมแดงมองไปยังแม่ด้วยความหวัง


เหอปี้อวิ๋นอดทนต่อความสะอิดสะเอียนและยิ้มตอบ “ไม่เหม็น ไม่เหม็นเลยสักนิด หอมยิ่งกว่าดอกไม้อีก!”


อู่เจิ้งซือกลับไม่ได้มีความรักใคร่เอ็นดูเหมือนเธอ เขาทนต่อกลิ่นไม่ไหว จึงวิ่งเข้าไปหยิบหน้ากากอนามัยในบ้านมาใส่และพูดเสียงหนัก “ไปกันแถอะ!”


จากที่เหอปี้อวิ๋นเกลี้ยกล่อมไว้ได้ แต่พออู่เยวี่ยหันมาเจออู่เจิ้งซือใส่หน้ากากอนามัย ใจของเธอกลับหล่นวูบไป เธอจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างบ้าคลั่ง


“แม่โกหกหนู หนูต้องเหม็นมากแน่ๆ ขนาดพ่อยังใส่หน้ากากอนามัยเลย ฮือๆๆๆ หนูจะไม่ไปโรงพยาบาล และจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”


เสียงน้ำดังขึ้นอีกครั้ง เหอปี้อวิ๋นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขามองอู่เจิ้งซือด้วยสายตาติดตำหนิ ทนสักหน่อยก็ไม่ได้หรือไง?


ยังจะใส่หน้ากากอนามัยต่อหน้าเยวี่ยเยวี่ยอีก แล้วแบบนี้เยวี่ยเยวี่ยจะไม่คิดมากได้อย่างไร!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 146 ดูละคร


อู่เจิ้งซือไม่พอใจต่อการกระทำของอู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก เดินไปหน้าห้องอาบน้ำพร้อมกับตำหนิ “เยวี่ยเยวี่ย ใส่เสื้อผ้าให้เสร็จแล้วออกมา เจออุปสรรคแค่นี้ยังรับไม่ได้ ที่ผ่านมาพ่อสั่งสอนลูกยังไงกัน? คนจะรักหรือเกลียดอย่าเก็บมาใส่ใจ ต้องใจเย็นๆ มั่นใจในตัวเองไว้ แล้วดูลูกตอนนี้ร้องไห้อย่างกับอะไรดี?”


เหอปี้อวิ๋นสงสารลูกสาวอย่างจับใจ จึงพูดด้วยความโกรธ “เรื่องแบบนี้ผู้ใหญ่ยังรับไม่ไหวเลย เยวี่ยเยวี่ยเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง คุณอู่คุณอย่าเอามาตรฐานของผู้ใหญมาใช้กับเยวี่ยเยวี่ยเลย”


อู่เจิ้งซือกลับไม่ได้สนใจและพูดต่อ “พ่อให้เวลา 5 นาที ถ้ายังไม่ออกมา ก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล”


เหอปี้อวิ๋นจึงพูดด้วยความร้อนใจ “เยวี่ยเยวี่ย ฟังที่พ่อเขาบอกเถอะ รีบออกมาเถอะนะ!”


อู่เหมยและสยงมู่มู่บอกลากันอยู่ตรงปากบันได ลอบถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะกลับเข้าบ้าน พอเข้ามาในบ้านก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติ แน่นอนว่าเธอรู้ว่าสาเหตุคืออะไร แต่เธอต้องแสดงทำเป็นไม่รู้เรื่อง


“พ่อ ไม่สบายหรือเปล่าคะ?”


อู่เหมยมองอู่เจิ้งซือด้วยความตกใจ กลางวันแสกๆ แบบนี้ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ในบ้าน แล้วกลิ่นตัวของอู่เยวี่ยจะเหม็นขนาดไหนนะ!


“อืม ไม่ค่อยสบาย เกรงว่าพวกลูกๆ จะติดไข้เอาน่ะ” อู่เจิ้งซือจึงพูดไปตามน้ำ ดีที่เขาใส่ผ้าปิดปากอยู่ค่อยหาคำแก้ตัวง่ายหน่อย อย่างไรเสียการพูดถึงเรื่องกลิ่นตัวของลูกสาวนั้น ถ้าพูดออกไปคงไม่เป็นผลดีแน่


เหอปี้อวิ๋นไม่แม้แต่จะชายตามองอู่เหมย ใจของเธอล่องลอยไปหาอู่เยวี่ยที่อยู่ในห้องอาบน้ำ เธออยากจะสลับเอากลิ่นเหม็นนั้นมาไว้บนตัวเธอเสียเอง


“พ่อคะ สอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้หนูได้หกสิบแปดคะแนน ครูชื่นชมหนูด้วยนะ แถมยังบอกอีกว่าหนูพัฒนาได้ไวมาก”


อู่เหมยหยิบเอากระดาษข้อสอบออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นไปตรงหน้าเพื่อให้อู่เจิ้งซือได้ดู เธอมองผู้เป็นพ่อด้วยความหวัง


จิตใจที่หม่นหมองของอู่เจิ้งซือ พอได้เห็นตัวเลขสีแดงสดสองตัวบนกระดาษข้อสอบ พร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใสของลูกสาวคนเล็ก กลับทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาพลิกดูอยู่หลายรอบพร้อมกับพยักหน้าไม่หยุด


“ไม่เลวนี่ แต่อย่าเพิ่งหลงระเริง พยายามพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ล่ะ” อู่เจิ้งซือพูดให้กำลังใจ


“ค่ะ หนูจะพยายาม”


อู่เหมยพยักหน้าเข้าใจ คำพูดคำนี้มาจากใจจริงๆ ของเธอ เธอจะต้องพยายาม พยายามย่นระยะห่างระหว่างเธอกับอู่เยวี่ยให้สั้นลง เพราะแบบนี้เธอถึงจะมีแรงมากพอต่อการแก้แค้น


สภาพจิตใจของเหอปี้อวิ๋นแย่มาก ยิ่งเธอได้เห็นใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มของอู่เหมยจึงมีสายตาที่แข็งขึ้น และไม่พอใจแทนอู่เยวี่ย เธอจึงพูดประชด “สอบได้แค่หกสิบแปดคะแนนก็พึงพอใจเหรอ? พี่สาวเธอสอบได้เต็มร้อยยังไม่ดีใจจนตัวลอยแบบนี้เลย”


อู่เจิ้งซือเถียงตอบด้วยความไม่พอใจ “แล้วคุณจะเอาเหมยเหมยกับเยวี่ยเยวี่ยมาเปรียบเทียบกันทำไม แต่ก่อนคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของอู่เหมยเป็นยังไง ใช่ว่าคุณจะไม่รู้ ขนาดข้าวที่เราทานยังต้องค่อยๆ ทานทีละคำ คุณคงจะไม่เรียกร้องให้เหมยเหมยสอบครั้งเดียวได้เต็มร้อยหรอกใช่ไหม? ขนาดความรู้พื้นฐานด้านการศึกษาคุณก็ยังไม่เข้าใจ”


อู่เจิ้งซือถือว่าเป็นคนหนึ่งที่มีความเข้าใจในเรื่องความรู้ด้านการศึกษา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่พ่อที่ดี แต่ถ้าเรื่องคำเรียกครูดีเด่น หรือแม้แต่ครูต้นแบบ เขาจัดเป็นหนึ่งในประเภทนั้น


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เธอไม่เหมือนกับอู่เจิ้งซือ อู่เจิ้งซือจบจากมหาวิยาลัยซึ่งเป็นวิทยาลัยครูที่ได้มาตรฐานในการอบรมทางวิชาชีพ ส่วนเธอเป็นแค่พวกไม่ได้มาตรฐาน แค่คุณสมบัติในตัวก็ไม่ได้สูงศักดิ์ สอนคณิตศาสตร์ให้พวกเด็ก ป.1 ก็พอได้ จะให้เธอเข้าใจอะไรกับความรู้ด้านการศึกษาล่ะ


อู่เหมยรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ปล่อยให้ทะเลาะกันเอง เธอจะคอยดูละครดีๆ ฉากนี้อยู่ข้างๆ


อู่เหมยกลอกตาไปมาและถามด้วยความสนใจ “พี่ยังไม่กลับบ้านเหรอคะ? หนูรออยู่หน้าโรงเรียนตั้งนานก็ไม่เจอพี่ หนูจึงกลับมาก่อน”


อู่เยวี่ยที่ใส่เสื้อผ้าอยู่ในห้องห้องน้ำ กัดฟันโกรธเคืองเป็นอย่างมาก หลังจากงานวันไหว้ครูครั้งนั้น ทุกวันหลังเลิกเรียนอู่เหมยก็ไม่เคยรอเธออีกเลย แต่ตอนนี้มาใช้คำพูดประชดประชัน ยัยคนสารเลว!


…………………………………………………………………………………………..


บทที่ 147 การหมุนเวียนสับเปลี่ยนฮวงจุ้ย


พอถูกอู่เจิ้งซือตักเตือนไปหนึ่งครั้ง อู่เยวี่ยจึงได้สติและเริ่มใจเย็นลง เอาแต่หลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนต้องไม่ดีแน่ เธอเป็นถึงหญิงสาวที่คนทั้งโลกพึงพอใจ ทำไมถึงได้ขังตัวเองอยู่ในบ้านได้?


กลิ่นเหม็นที่มีอยู่บนตัวจะต้องหาทางรักษาให้หาย นี่เป็นเรื่องที่รอต่อไปอีกไม่ได้ คุณหนูแห่งตระกูลอู่ต้องเป็นอู่เยวี่ยเท่านั้น เธอจะไม่ยอมและไม่อาจเป็นคนอื่นไปได้ โดยเฉพาะอู่เหมย


หึ! แค่สอบได้หกสิบแปดคะแนนคิดจะเอาชนะเธอได้หรือ?


ฝันไปเถอะ!


หลังจากที่อู่เยวี่ยสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ เธอปรับอารมณ์ของตัวเอง และเปิดประตูออกมาจากห้อง พูดด้วยความอ่อนน้อม “พ่อคะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”


เหอปี้อวิ๋นคือคนที่ดีใจที่สุด “ไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย เดี๋ยวแม่ฉีดน้ำหอมให้อีกหน่อยนะ!”


“ค่ะ!” อู่เยวี่ยตอบอย่างเชื่อฟัง


แม้ว่าอู่เหมยจะทำใจมาพอสมควร แต่ก็คาดไม่ถึงว่ากลิ่นจะเหม็นตลบอบอวลได้ถึงขนาดนี้ เธอจึงใช้มือบีบจมูกแล้ววิ่งไปยังปากประตูอย่างรวดเร็ว


“เหม็นมาก ทำไมในบ้านถึงได้มีกลิ่นเหม็นขนาดนี้? หรือว่าจะมีหนูตายอยู่ในบ้านคะ?” อู่เหมยตั้งใจตะโกนเสียงดัง


อู่เยวี่ยที่ถูกกระตุ้นด้วยคำพูดให้เจ็บปวดอีกครั้ง ขอบตาเธอเริ่มร้อนผ่าวและแดงก่ำ มองไปยังเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาพร่ามัวน้ำตาคลอ


เหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก และได้ตะโกนด่า “ร้องโวยวายอะไรนักหนา? มีที่ไหนกลิ่นเหม็น?”


“ก็มันเหม็นมากจริงๆ พ่อคะ พ่อก็ได้กลิ่นใช่ไหม? ไม่สิ พ่อไม่สบายจมูกน่าจะไม่รับรู้กลิ่น หนูไปเรียกอาจารย์แม่จางมาดมพิสูจน์ดีกว่า” อู่เหมยพูดไปพร้อมกับมือดึงประตูจะเปิด


เหอปี้อวิ๋นร้องตะโกนอย่างตกใจ “แกจะเปิดประตูทำไม? รีบกลับห้องไปทำการบ้านซะ!”


อู่เหมยเพียงแค่ทำท่าจะเปิดประตูเพื่อหลอกให้อู่เยวี่ยตกใจเล่นก็เท่านั้น อู่เจิ้งซือรักในหน้าตาเป็นที่สุด หากเธอไปเรียกอาจารย์แม่จางมาจริงๆ มีหวังได้ถูกอู่เจิ้งซือทำโทษแน่ๆ


จังหวะที่วิ่งผ่านหน้าอู่เยวี่ยไป กลิ่นนั้นยิ่งแรงมากกว่าเดิม แต่กลิ่นเหม็นๆ ที่ผสมไปกับกลิ่นของน้ำหอม ยิ่งทำให้กลิ่นแปลกกว่าเดิมมากขึ้น พอได้กลิ่นยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน


อู่เหมยปิดจมูกแน่นขึ้น ตะโกนด้วยความอึดอัด “หนูหาที่มาของกลิ่นเหม็นๆ นี่เจอแล้ว พ่อคะ มันคือกลิ่นบนตัวของพี่ พี่มีกลิ่นเต่า”


อู่เยวี่ยเหมือนดั่งถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ บทสรุปที่เธอไม่อยากยอมรับที่สุดคือกลิ่นเต่า เธออยากเป็นเจ้าหญิงที่มีแต่กลิ่นหอมโชย ไม่ได้อยากเป็นเจ้าหญิงที่มีกลิ่นเต่า ต้องเป็นความตั้งใจของอู่เหมยแน่ๆ เพียงเพราะอยากเห็นเธอเป็นตัวตลก ยัยชั่วนี่!


“ฉันไม่ได้มีกลิ่นเต่า อู่เหมยเธออย่ามาพูดอะไรมั่วๆ นะ” อู่เยวี่ยตะโกนออกไปอย่างเหลืออด


“หนูไม่ได้อยากทะเลาะกับพี่ หนูเข้าห้องก่อนนะ ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ กลิ่นเต่าบนตัวพี่รุนแรงจริงๆ แล้วต่อไปหนูจะนอนได้ยังไง!”


อู่เหมยใช้ดาบแทงไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ก่อนเป็นอู่เยวี่ยไม่ใช่เหรอที่เอาแต่บอกว่าเธออัปลักษณ์?


เวลาที่มีคนเรียกเธออัปลักษณ์ คงมีแต่อู่เยวี่ยที่รู้สึกพึงพอใจ บัดนี้ ฮวงจุ้ยได้หมุนเวียนสับเปลี่ยนแล้ว เธอจะไม่ใช่หญิงสาวอัปลักษณ์อีกต่อไป อู่เยวี่ยต่างหากล่ะที่จะกลายเป็นหญิงสาวกลิ่นตัวเหม็น ฮ่าๆๆ สวรรค์ได้เปิดทางแล้ว!


อู่เหมยพึงพอใจต่อเหตุการณ์และมองอู่เยวี่ยที่หน้าซีดเผือด เธอผลักประตูเข้าไปในห้องเพราะทนกลิ่นเหม็นด้านนอกไม่ไหวจริงๆ แม้จะอยากหัวเราะเยาะอู่เยวี่ยให้มากกว่านี้ก็ตาม แต่เกรงว่าตัวเธอเองจะเป็นลมไปเสียก่อน


พอปิดประตูลง อู่เหมยกลับรู้สึกสบายใจขึ้น มองเห็นเงาลางๆ ที่ใกล้เข้ามา และได้ปีนขึ้นมายังไหล่ของเธอ หางใหญ่ๆคอยปัดไป่อยู่ตรงหน้าของเธอ ทำให้เกิดความรู้สึกจั๊กจี้ อู่เหมยจึงได้หลุดหัวเราะออกมา


“ฉิวฉิวอย่าส่งเสียงล่ะ เดี๋ยวพ่อได้ยินเอานะ”


อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวเข้าไปในห้อง จับตัวและป้อนเม็ดแตงโตให้มัน เจ้าตัวเล็กคงออกไปหาอาหารข้างนอกมาแน่เลย อยู่ในบ้านก็ไม่ค่อยจะได้กินอะไร มีแค่บางครั้งที่จะได้กิน


“ฉิวฉิว วันนี้พี่มีความสุขมาก…”


อู่เหมยดีใจมากและยังพูดเรื่องต่างๆให้เจ้ากระรอกน้อยฟัง การสอบคณิตศาสตร์ที่พัฒนาขึ้น และยังมีเรื่องกลิ่นเต่าของอู่เยวี่ย อู่เหมยยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี เธอกอดและลูบหลังฉิวฉิวไปพลางๆ


“ฉิวฉิว แกคือสัตว์นำโชคของฉันเลยนะ ฉันรักแกที่สุดเลย!”


อู่เหมยทั้งกอดทั้งหอมตัวฉิวฉิวไปไม่รู้กี่ครั้ง ขนของมันทั้งนุ่มทั้งปุกปุย ฉิวฉิวทำตาปริบๆ มองเธอด้วยความพอใจ ให้ระดับคุณชายฉิวฉิวออกโรง เรื่องแค่นี้จะไม่สำเร็จได้อย่างไร!


…………………………………………………………………………………………..


บทที่ 148 เป็นฉิวฉิวไม่ง่ายเลย


“ฉิวฉิว แกคิดว่าทำไมอู่เหมยถึงมีกลิ่นเต่าได้เหรอ? เพราะชาติที่แล้วเธอไม่มี ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”


อู่เหมยบอกความจริงกับเจ้ากระรอกน้อย เรื่องการฟื้นคืนชีพเธอจะบอกใครไม่ได้ทั้งนั้น ทำได้แค่พูดต่อหน้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมันก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงได้อึดอัดตาย


ฉิวฉิวมองตาปริบๆ ฟื้นคืนชีพ?


มิน่าล่ะมันถึงได้เจอกับเจ้าของ ที่แท้เจ้าของของมันก็ไม่ธรรมดา!


คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางฟื้นคืนชีพได้แน่ มีแต่ต้องกลับชาติมาเกิดใหม่!


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวเปล่งเสียงร้องพร้อมพุ่งตัวเข้าไปหาอู่เหมย สองขาหน้าของมันไม่หยุดที่จะกวาดไปในอากาศ เห็นแบบนั้นแล้วช่างน่าตลก อู่เหมยจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


“ฉิวฉิวทำอะไร หรือว่าปวดฉี่เหรอ?”


อู่เหมยอุ่มฉิวฉิวไปวางนอกหน้าต่าง ปล่อยให้มันไปทำธุระของตัวเอง แต่ฉิวฉิวกลับส่ายหัวไปมา ตอนตื่นนอนในช่วงเช้าของทุกวันมันจะขับปัสสาวะออกไป แต่ช่วงเวลานั้นของวันนี้กลับยกมันให้กับอู่เยวี่ยไปแล้ว


“หรือว่าปวดหนักเหรอ? โถ่ เจ้าขนฟูแกรีบไปทำธุระให้เรียบร้อยสิ ถ้าเสร็จแล้วค่อยกลับมา!” อู่เหมยอมยิ้มและปล่อยเจ้าตัวเล็กออกไปด้านนอก


ฉิวฉิวใช้ขาหน้าข้างหนึ่งตีลงบนมือของอู่เหม่ย มันซ่อนขาข้างที่แหลมคมเอาไว้ ส่วนที่ตีโดนมือของอู่เหมยเป็นแค่ก้อนเนื้อที่ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่ม ไม่มีความรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด


อู่เหมยเริ่มไม่เข้าใจการกระทำจึงได้เอียงคอเพื่อประเมินดูการกระทำของเจ้าตัวเล็ก ฉิวฉิวส่ายหางไปมาด้วยความปวดหัว พลางนึกว่าเจ้านายตัวน้อยของมันต้องสมองกระทบกระเทือนเป็นแน่!


มันนึกบางอย่างขึ้นได้จึงวิ่งไปยังหมอนของอู่เยวี่ย แล้วยกขาหลังขึ้นหนึ่งข้าง ทำท่าทางประกอบเหมือนกับสุนัขที่กำลังฉี่อยู่ จากนั้นก็เทียบขนาดของหัวมันเอง พร้อมยกขาหน้าขึ้นมาปิดหน้า อู่เหมยมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความงุนงงและตกตะลึง


แต่เธอก็พอเข้าใจกับสิ่งที่เห็น ฉิวฉิวแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ หากเธอยังไม่เข้าใจที่มันทำอีก เธอคงเป็นพวกโง่เขลาที่รักษาไม่หายแล้วล่ะ


อู่เหมยถามออกไปเสียงเบา “ฉิวฉิวแกได้ฉี่ราดใส่หัวของอู่เยวี่ยไหม?”


ฉิวฉิวรู้สึกโล่งใจไปขึ้นมา เพราะในที่สุดเธอก็เข้าใจเสียที มันจึงผงกศีรษะเล็กๆ ของมันตอบด้วยความดีใจ อู่เหมยคิดไปคิดมา ทำให้นึกได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ปรากฏบนตัวของอู่เยวี่ย


แท้จริงแล้ว…


“ฉิวฉิว กลิ่นเหม็นบนตัวของอู่เยวี่ยเป็นแกเหรอที่ทำ?”


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวผงกศีรษะเล็กๆ ของมันอีกครั้ง


ไม่ได้เป็นเพราะเธอขอร้องมันเหรอ กลิ่นหอมพิเศษของเหล่าธัญพืชนี้นอกจากตัวมันแล้ว จะมีใครอีกล่ะ


อู่เหมยรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงเลยว่ากลิ่นเหม็นที่จะทำให้อู่เยวี่ยจะเป็นจะตายให้ได้ มันคือผลงานชิ้นเอกของฉิวฉิว เธออุ้มฉิวฉิวไว้ด้วยความดีใจ ทั้งกอดทั้งหอมมัน “เจ้าตัวเล็ก ทำไมแกถึงได้เก่งขนาดนี้ ฉันรักแกที่สุดเลย”


“ต๊อก ต๊อก”


มันร้องต๊อกๆ แล้วค่อยๆ ปีนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอู่เหมย มองยังไงก็ไม่เหมือนพวกงูพิษที่กำลังจะฉกกัดเหยื่อ แต่กลับเหมือนเจ้าหัวผักกาดขาวมากกว่า เจ้านายช่วยชีวิตมันไว้ครั้งหนึ่ง แน่นอนว่ามันจะต้องช่วยเจ้านายสั่งสอนยัยคนน่ารังเกียจนั่น


ภายนอกประตูมีเหอปี้อวิ๋นที่กำลังเกลี้ยกล่อมให้อู่เยวี่ยยอมไปโรงพยาบาล เธอพูดไปจนเสียงแหบแห้ง กลับกันที่อู่เหมยรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก และถามออกไปเสียงเบา “ฉิวฉิว กลิ่นฉี่ของแกจะเหม็นถึงกี่วันเหรอ? หรือพอถึงพรุ่งนี้ก็ไม่มีกลิ่นแล้ว?”


พอถามจบอู่เหมยจึงได้หัวเราะออกมา เธอนี่โง่จริงๆ เลย ฉิวฉิวเป็นแค่กระรอกตัวหนึ่ง ต่อให้ฉลาดแค่ไหน ก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยง จะมาตอบคำถามเธอได้ยังไงกัน!


แต่นึกไม่ถึง ฉิวฉิววิ่งขึ้นไปบนหมอน และทำท่าเหมือนกับสุนัขที่กำลังจะฉี่อีกครั้ง ครั้งนี้อู่เหมยเข้าใจในทันที แค่รอว่าถ้ากลิ่นเหม็นหายไปแล้ว ค่อยเพิ่มกลิ่นหอมพิเศษของเหล่าธัญพืชให้ใหม่ เธอดีใจจนต้องพูดออกมาว่า


“ฉิวฉิว แกนี่ฉลาดจริงๆ”


อู่เหมยคิดเพียงแค่ว่านับแต่นี้ต่อไป อู่เยวี่ยผู้สูงส่งจะต้องพกกลิ่นเหม็นสุดแสนจะรันทดนี้ไปเรียนด้วยทุกวัน ในใจเธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกสบายใจยิ่งกว่าได้กินน้ำลูกบ๊วยเปรี้ยวเสียอีก


แต่พอตั้งใจหันกลับไปมองฉิวฉิวที่กระเทาะเมล็ดแตงโมอยู่ อู่เหมยกลับนึกขึ้นได้ว่าการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวนี้ของเธอ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 149 หาเงินยังไง


ฉิวฉิวไม่เพียงแต่เป็นกระรอกที่ดุร้ายกว่ากระรอกตัวอื่น แต่ยังสามารถฟังภาษาคนได้ ก่อนหน้าที่ถามไปฉิวฉิวตอบได้หมดทุกคำถาม ถ้าเป็นกระรอกทั่วไปจะฉลาดแบบนี้หรือ?


แน่นอนว่าไม่


“ฉิวฉิว แกใช่เทวดาตัวน้อยที่สวรรค์ส่งลงมารึเปล่า?” อู่เหมยถาม


ฉิวฉิวหยุดแทะเมล็ดแตงโมและเอียงคอนึกไปด้วย มันพยักหน้าและมองไปทางอู่เหมย ต่อให้เป็นเทวดาตัวน้อยจริง อย่างน้อยก็มาจากสวรรค์นี่นา!


อู่เหมยรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เธอแค่ถามไปเรื่อยเปื่อย นึกไม่ถึงว่าฉิวฉิวจะไม่ใช่แค่กระรอกธรรมดา แท้จริงเขาคือเทพเซียนองค์ใดองค์หนึ่งที่ลงมายังโลกมนุษย์?


“ฉิวฉิว แกเป็นเทพบนสวรรค์องค์ไหนเหรอ? ฉันขอคิดก่อนว่ามีเทพองค์ไหนที่เดิมทีมีรูปร่างเป็นกระรอกกัน ใช่แล้ว อวี้สู่จิงที่เป็นธิดาบุตรของเทพเจ้าทัวถ่า ฉิวฉิวแกคงไม่ใช่อวี้สู่จิงใช่ไหม? ขอฉันดูหน่อยว่าแกเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย”


อู่เหมยจับขาหลังของฉิวฉิวแยกออกจากกันและมองด้วยความสนใจใคร่รู้ ทำให้เธอเห็นขนอ่อนปุกปุยบนหนังท้อง แต่ต่อให้สิ่งนั้นจะเล็กแค่ไหน อู่เหมยมองแค่แวบเดียวก็รู้ได้และถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง


“ฉิวฉิวแกเป็นตัวผู้ แกไม่ใช่อวี้สู่จิง ถ้างั้นแกเป็นเทพเซียนทางด้านไหน?”


อู่เหมยเอามือรองแก้มไว้แล้วคิดอย่างหนัก หัวสมองที่มีขีดจำกัดแบบนี้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ฉิวฉิวที่ถูกมองจนไม่เหลืออะไรจึงขดตัวกลิ้งไปหาอู่เหมยและเปล่งเสียงร้องต๊อกต๊อกออกมาด้วยความโมโหปนเขินอาย


“ฮ่าๆๆ ฉิวฉิวแกอย่าโกรธไปเลย ฉันขอดูแค่นิดเดียวเอง ถึงอย่างไรทุกวันนี้แกอยู่ข้างนอกก็ตัวเปลือยเปล่าอยู่ดี ดูแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก!”


อู่เหมยลูบขนของเจ้ากระรอกน้อยอย่างเบามือ และยังแกะเมล็ดแตงโมให้มันด้วย ฉิวฉิวทนต่อสิ่งยั่วยุอย่างเมล็ดแตงโมไม่ไหว จึงกัดกินไม่หยุด เจ้าตัวน้อยแทะเมล็ดแตงโมได้เร็วมาก แค่ใช้ฟันซี่บนและซี่ล่างกัด เปลือกก็ถูกเปิดออกให้เห็นเมล็ดข้างใน แทะได้ไม่นานก็หมดไปเป็นกำมือ


อู่เหมยรู้สึกว่าตัวเองดูแลฉิวฉิวได้ไม่ดีพอ ฉิวฉิวทำเพื่อเธอมามากขนาดนี้ แต่แค่อาหารดีๆ เธอเองยังให้มันไม่ได้เลย ทุกวันนี้ให้ฉิวฉิวกินแต่เมล็ดแตงโม ทำให้สัตว์เทวะน้อยฉิวฉิวต้องลำบากจริงๆ


“ฉิวฉิว รอพี่หาเงินได้ก่อนนะ พี่จะซื้อของดีๆ ให้แกกิน ทั้งเมล็ดสน ถั่วเฮเซลนัต ถั่ววอลนัตพวกนี้ แกต้องชอบกินแน่ๆ”


อู่เหมยไม่เพียงแค่คิดว่าจะต้องพัฒนาด้านการเรียน เรื่องหาเงินก็เป็นสิ่งที่เธอต้องทำด้วย ไม่ใช่แค่การเลี้ยงฉิวฉิว แต่ยังมีเรียนวาดรูปที่ต้องใช้เงิน แค่เงินเพียงสองหยวนต่อสัปดาห์ จะพอใช้จ่ายอะไร


อีกทั้งเมื่อชาติก่อนเธอใช้ชีวิตโดยฟุ่มเฟือย ใช้เงินมือเติบ ไม่มีเงินติดมือกลับรู้สึกไม่ชิน จะซื้ออะไรต้องคิดแล้วคิดอีก


ส่วนเหอปี้อวิ๋นอย่าได้หวังว่าจะได้เงินจากเธอมา


เธอคงต้องคิดวิธีหาเงินเอง แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสองปี และไม่มีทักษะหรือความถนัดอะไรเลย แล้วเธอจะทำอะไรได้?


เฮ้อ…


อู่เหมยถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกว่าการหาเงินจะเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่าการสอบให้ได้หกสิบแปดคะแนนอีกนะ!


พอได้ยินคำว่าเมล็ดสน ถั่ววอลนัตพวกนี้ ดวงตาดำๆ ของฉิวฉิวกลับเปล่งประกายไปหมด เมล็ดสนของที่นี่รสชาติไม่ค่อยดี สู้ฝั่งทางเหนือไม่ได้มีเนื้อแน่นมาก อีกอย่างบนภูเขาก็ไม่มีต้นวอลนัตแม้แต่ต้นเดียว ทำให้มันไม่ได้กินถั่ววอลนัตมาเป็นเวลานาน รู้สึกคิดถึงที่สุด!


เพียงแค่ทำให้เจ้านายมีเงิน ก็สามารถซื้อของดีๆ ให้มันกินได้แล้ว ฮ่าๆๆ ทำไมมันถึงได้โง่ขนาดนี้!


แต่น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่ภาคเหนือ ไม่อย่างนั้นมันจะลากเจ้านายไปขุดหาโสมป่า อย่างน้อยแค่หนึ่งรากก็ขายได้เงินเป็นจำนวนไม่น้อย ก่อนหน้านั้นมันเคยเห็นพวกชาวบ้านขุดได้โสมรากเล็กๆ แห้งๆ แต่ก็ดีใจกันไปยกใหญ่ เอาแต่ตะโกนว่าจะรวยแล้ว!


แต่…ที่นี่คือภาคใต้ โสมดีๆ ต้องหาไม่ได้แน่นอน คงต้องหาวิธีอื่นแทน ฉิวฉิวเอาแต่คิดเรื่องเมล็ดแตงโม ใช้สมองคิดอย่างหนักถึงวิธีที่จะทำให้มันได้กินของดีๆ


เพียงแต่… มันเป็นเพียงแค่กระรอกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ต่อให้วิเศษแค่ไหนก็คิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีไหนในการหาเงิน


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 150 ตีหน้าซื่อ


อู่เหมยคิดแล้วคิดอีก จนทำให้เธอไม่อยากคิดต่อ ถ้าเปรียบกับเรือที่เข้าจอดเทียบท่า หัวเรือก็มักจะจอดเทียบแนวระนาบได้โดยธรรมชาติ ต่อให้คิดจนสุดความสามารถแต่ก็ยังคิดไม่ออก ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักครั้งที่คิดได้สักวิธี!


“หิวจังเลย สงสัยต้องต้มบะหมี่เองแล้วล่ะ”


พอท้องเริ่มร้องขึ้นมา อู่เหมยจึงเตรียมตัวไปต้มบะหมี่กิน เธอไม่หวังจะไปพึ่งเหอปี้อวิ๋นหรอก เพราะตอนนี้ใจของเธอคงจะอยู่ที่ลูกสาวคนโตสุดที่รัก คงไม่มาสนใจว่าเธอจะหิวไหม


“พ่อคะ หนูหิวแล้ว” อู่เหมยเปิดประตูออกมาพร้อมตะโกนบอก


อู่เจิ้งซือหรือที่จะอยากอาหาร ตั้งแต่เช้าเขาได้แต่สำลักกลิ่นเหม็นของอู่เยวี่ย อีกอย่างอู่เยวี่ยเอาแต่ร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่ในห้อง เขาจะมีอารมณ์ไปนึกเรื่องกินข้าวได้อย่างไร


“กิน กินๆๆๆ วันดีคืนดีก็นึกได้แต่เรื่องกิน พี่สาวแกป็นถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีกะจิตกะใจจะกินข้าวอีกเหรอ!” เหอปี้อวิ๋นที่ยังโมโหอยู่ จึงพาลเอาอารมณ์โกรธทั้งหมดไปลงที่อู่เหมยแทน


อู่เหมยย้อนถาม “พี่สาวมีกลิ่นเต่า แค่ข้าวก็จะไม่ให้หนูกินเลยเหรอ? พี่เขาคิดไม่ได้เองแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนู? แต่หนูว่านะสภาพจิตใจของพี่ไม่แข็งแรงเอาซะเลย กลิ่นเต่าแค่นี้ก็รับไม่ได้ แต่ก่อนหนูเคยถูกคนอื่นหัวเราะเยาะและมองว่าอัปลักษณ์ ยังไม่เห็นจะเป็นจะตายแบบที่พี่เป็นอยู่ตอนนี้เลย”


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนหางคิ้วกระตุกและหลุดปากด่า “แกกล้าเอาตัวเองไปเทียบกับพี่สาวเหรอ? หนังหน้าของแกนี่ทำด้วยอะไร ขนาดมีดคมๆ ยังแทงไม่เข้าเลย วันๆ สอบได้ที่โหล่แต่ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่สาวของแกรักในเกียรติและศักดิ์ศรี หนังหน้าก็บาง จะเทียบกับคนหนังหน้าหนาๆ แบบแกได้เหรอ?”


“ไม่ว่าแม่จะนั่งหรือจะนอนมอง ยังไงหนูก็ดูขัดตาแม่ไปหมด เพราะฉะนั้นต่อไปแม่ก็ไม่ต้องมองหนู ลูกสุดรักสุดหวงของแม่ก็คือพี่ ไม่ใช่หนู ท้องหนูหิวแล้วเป็นธรรมดาที่จะต้องกินข้าว ไม่คุ้มหรอกที่ให้อยู่เป็นเพื่อนพี่แล้วต้องหิวแบบนี้”


อู่เหมยเบื่อที่จะตีหน้าซื่อต่อหน้าเหอปี้อวิ๋นแล้ว ต่อให้เสแสร้งแค่ไหนเหอปี้อวิ๋นก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ สู้ทำตัวตรงไปตรงมาไม่ดีกว่าหรือ


อู่เจิ้งซือตำหนิ “เหมยเหมย ทำไมถึงพูดแบบนี้กับแม่?”


“พ่อคะ หนูก็อยากจะพูดดีๆ กับแม่นะ แต่ทุกครั้งถ้าแม่ไม่ด่าแม่ก็จะตีหนู ถ้าพูดถึงแต่ก่อนหนูถูกคนหัวเราะเยาะตลอด ก็ไม่เคยเห็นว่าแม่จะเสียใจมาก่อนเลย”


อู่เหมยพูดจบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เธอเดินไปหยิบเส้นหมี่ในตู้เองโดยไม่บอกกล่าวอะไร และยังหยิบไข่ไก่อีกสองฟองเพื่อวิ่งออกไปเพื่อต้มกิน


เหอปี้อวิ๋นเห็นการกระทำของอู่เหมยที่ทำเป็นไม่สนใจเธออารมณ์โกรธจึงปะทุขึ้นมา “คุณอู่ คุณดูยัยเด็กนี่สิ ฉันพูดอะไรไปเธอเถียงคำไม่ตกฟาก ไม่มีแม้แต่ความเคารพ ไม่เห็นหัวกันเลยหรือไง”


อู่เจิ้งซือเริ่มรู้สึกปวดขมับขึ้นมา ท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเริ่มไม่พอใจต่อเหอปี้อวิ๋นที่ไม่ทำมื้อกลางวัน แต่เรื่องของอู่เหมยในตอนนี้เขากลับพึงพอใจอยู่ไม่น้อย


แน่นอนว่าใจเขาเริ่มเอนเอียงไปทางอู่เหมย


“แต่คุณก็ควรจะทำตัวให้เหมือนกับที่คนเป็นแม่ทำหน่อย ดูที่คุณทำกับเยวี่ยเยวี่ยและเหมยเหมยสิ ดั่งสวรรค์กับนรก คุณเองที่เป็นคนคลอดทั้งคู่ออกมา… ลูกสาวทั้งสองคน คุณลำเอียงขนาดนี้ ไม่แปลกที่เหมยเหมยจะแข็งข้อกับคุณได้”


อู่เจิ้งซือหยุดชะงักไปชั่วขณะ มีสีหน้าที่แปลกไป แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่เหอปี้อวิ๋นกลับนึกไม่ถึง ตอนแรกตั้งใจจะให้อู่เจิ้งซือสั่งสอนยัยเด็กนั่น แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ถูกอู่เจิ้งซือต่อว่า


อู่เจิ้งซือที่รู้สึกว่าท้องเริ่มหิวจึงตะโกนบอกอู่เหมย “เหมยเหมย ต้มเส้นเยอะๆ หน่อยนะ”


“ได้ค่ะพ่อ หนูทอดไข่ดาวให้พ่ออีกสองฟองนะ”


อู่เหมยเดินไปหยิบไข่ไก่ออกมาจากตู้อีกครั้ง เหอปี้อวิ๋นที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ ต้องข่มอารมณ์โกรธไว้เพื่อไม่ให้ด่าออกไป เพราะตอนนี้คุณอู่คอยให้ท้ายยัยเด็กนั่นอยู่ เธอจะทำให้สถานการณ์ตอนนี้แย่ลงไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคืออู่เยวี่ย


อู่เจิ้งซือไม่มีความอดทนที่จะรออู่เยวี่ยอีก เขาสั่งอู่เหมยให้ยกบะหมี่ที่ต้มเสร็จไปให้เขาในห้อง เขาต้องเตรียมเนื้อหาสำหรับสอน เพราะอาทิตย์หน้าเขาต้องไปเปิดคลาสเรียนให้กับโรงเรียนอีกหนึ่งแห่ง


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 151 กินทิ้งกินขว้าง


อู่เหมยทอดไข่ดาวด้วยความชำนาญ เธอถูกเหอปี้อวิ๋นเรียกใช้งานตั้งแต่เด็ก แต่ก็ใช่ว่านั่นจะไม่มีข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้เธอมีฝีมือในการทำอาหาร อาหารเมนูง่ายๆ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลย


“อู่เหมยต้มบะหมี่เหรอ แล้วแม่เธอล่ะ?” อาจารย์แม่จางถามด้วยความแปลกใจ


อู่เหมยกลอกตามองซ้ายขวา พูดขึ้นเสียงเบา “พี่ของหนูเขามีกลิ่นเต่าเลยไม่ยอมไปโรงเรียน ตอนนี้แม่เสียใจจนไม่ยอมทานข้าว”


อาจารย์แม่จางเห็นท่าทางของอู่เหมยจึงอดขำไม่ได้ แต่จะว่าไปทำไมอู่เยวี่ยถึงมีกลิ่นเต่าได้ล่ะ?


แต่ก่อนก็ไม่เคยได้กลิ่นอะไรแปลกๆ นี่นา!


อู่เหมยตักไข่ดาวที่ทอดเสร็จวางไว้บนเส้นที่ต้มสุกก่อนหน้า จากนั้นเธอก็ตอกไข่ใบใหม่ลงไปในน้ำมันที่เดือดจัดในหม้อ ไข่เริ่มสุกอย่างรวดเร็ว มาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ ชวนดึงดูด


อาจารย์แม่จางได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลางนึกถึงการกระทำของเหอปี้อวิ๋น เลี้ยงลูกคนโตยังไงให้กลายเป็นคุณหนู แค่อยู่เฉยๆ รอให้คนเอาข้าวมาป้อนให้ถึงปาก นอกจากการเรียนแล้วยังมีอะไรดีอีก?


ถ้าให้เธอเป็นคนเลือกลูกสะไภ้ แน่นอนว่าต้องเลือกคนแบบอู่เหมย นิสัยดีแถมยังมีมิตรไมตรี หน้าตาสวยใส ถึงการเรียนจะแย่ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้หวังว่าจะให้ลูกเรียนสูงถึงระดับด็อกเตอร์สักหน่อย


เรื่องแบบนี้เหอปี้อวิ๋นทำได้ไม่เข้าท่าจริงๆ


ไม่แปลกที่เหมยเหมยจะทนไม่ได้จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา เธอไม่ยอมตายอยู่กับความสันโดษ และนั่นคือการระเบิดอารมณ์จากความเงียบ


อู่เหมยไม่ได้พูดอะไรต่อมาก ที่เหลือเธอปล่อยให้อู่เจิ้งซือไปคิดต่อเอาเองว่าจริงๆ แล้วภรรยาของเขาเป็นคนแบบไหน เธอพูดกับอู่เจิ้งซือไม่กี่ประโยคก็เดินออกจากห้องไป บะหมี่ต้องกินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อย ถ้าเส้นอืดจะทำให้เสียรสชาติได้


ในส่วนของเธอเองก็ยกเข้าไปกินในห้อง เธอหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเหอปี้อวิ๋นที่ยังอยู่ด้านนอก ความน่ารักสู้ฉิวฉิวไม่ได้เลยสักนิด


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวได้กลิ่นของไข่ดาวที่ลอยมาปะทะจมูก มันจึงไม่หยุดที่จะร้องเรียกหาอู่เหมย เท้าของมันยังยกขึ้นชี้ไปยังไข่ดาว


“ฉิวฉิวอยากกินไข่ดาวเหรอ? แกกินได้ด้วยเหรอ?”


อู่เหมยรู้สึกไม่แน่ใจว่ากระรอกจะกินไข่ได้ไหม?


ฉิวฉิวหิวมากจนไม่อาจรอให้อู่เหมยมาป้อนเองได้ ยื่นเท้าข้างหนึ่งไปยังไข่ดาวบนถ้วยและลากออกมาบนโต๊ะ มันกินได้อย่างเอร็ดอร่อยและรวดเร็ว เพียงไม่นานไข่ก็หมดไปเกินครึ่ง


อู่เหมยมองดูมันกินอย่างขบขัน เธอเอาไข่ส่วนที่เหลือยกให้มันไป แต่ฉิวฉิวกลับส่ายหน้าปฏิเสธที่จะรับไข่ดาวอีกส่วนของอู่เหมย


“ฉิวฉิวแกนี่ดีจริงๆ เลย รอให้พี่หาเงินได้เยอะๆ แกอยากกินเท่าไหร่ก็เต็มที่เลย เราจะได้ทำเป็นกินทิ้งกินขว้างกัน”


อู่เหมยที่กำลังพุ้ยเส้นบะหมี่เข้าปากอยู่กับฉิวฉิวที่กำลังจิตนาการถึงการใช้ชีวิตแบบหรูหรา กินทิ้งกินขว้างอย่างมีความสุข


…………………………………………………………………………………………..


บทที่ 152 ฮั้วหยวนเจี่ยที่ใครๆ ต่างก็รู้จัก


กินบะหมี่หมดไปแล้วหนึ่งถ้วยจึงทำให้อู่เหมยรู้สึกดีขึ้นมาก เธอเตรียมจะเก็บถ้วยออกไปล้าง แต่กลับมีกล่องเล็กๆบางอย่างหล่นลงมาจากระเบียงหน้าต่าง เธอแกะกล่องออกมาด้วยความประหลาดใจ ด้านบนปรากฏตัวอักษรไม่กี่ตัวที่ดูสละสลวยมีชีวิตชีวา


‘ขึ้นมาเล่นด้วยกันสิ!’


อู่เหมยนึกขำไม่หยุด สยงมู่มู่จะขี้เกียจอะไรขนาดนี้ แค่ออกจากห้องลงมาข้างล่างไม่กี่ชั้นเอง!


เป็นจังหวะพอดีกับที่เธอไม่อยากอยู่ในบ้าน เสียงของเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยด้านนอกทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจ ออกไปทำการบ้านที่บ้านสยงมู่มู่ก็ดีเหมือนกัน เธอใช้ปากกาเขียนข้อความตอบกลับลงบนกระดาษและดึงกระตุกที่เชือก ไม่นานกล่องเล็กๆ นั้นก็ถูกดึงกลับขึ้นไป


เมื่ออู่เหมยจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนเสร็จ เธอค่อยๆ วางฉิวฉิวลงบนระเบียงหน้าต่าง “ฉิวฉิว แกขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะตามไป!”


ฉิวฉิววิ่งหายขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ช่วงไม่กี่นาทีต่อมาได้ทำให้อู่เหมยรู้สึกอิจฉา พลางนึกว่าหากตัวเธอเองสามารถไปไหนมาไหนได้ไวแบบนี้บ้างคงจะดี!


“พ่อคะ หนูออกไปทำการบ้านที่บ้านของสยงมู่มู่นะ” อู่เหมยตะโกนเข้าไปบอกอู่เจิ้งซือในห้อง


“ไปเถอะ แต่ต้องกลับมาก่อนมื้อค่ำนะ”


“เข้าใจแล้วค่ะ”


อู่เหมยขานรับเสียงดัง และทำเป็นไม่สนใจเหอปี้อวิ๋น เธอหอบหนังสือไว้กองหนึ่งแล้ววิ่งไปยังชั้นสาม


สยงมู่มู่เปิดประตูรอไว้อยู่ก่อนแล้ว เหลือแค่รอให้อู่เหมยเข้ามา ลุงสยงและจ้าวอิงหนานดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก พวกเขากำลังดูฮั้วหยวนเจี่ยอยู่ อู่เหมยจำได้ว่าเมื่อปีก่อนที่ฉายฮั้วหยวนเจี่ยเป็นครั้งแรก ผู้คนต่างให้ความสนใจและติดตาม หากบ้านไหนไม่มีทีวีก็จะไปขอดูที่บ้านอื่นแทน ไม่ว่ายังไงทุกคืนก็ไม่ควรพลาดดูละครสองตอนที่จะฉาย ซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นที่รู้จักของทุกๆ คน


บ้านไหนที่ใจกว้างหน่อยก็จะยกทีวีออกมาวางไว้ยังลานบ้าน มักจะมีเพื่อนบ้านข้างๆ ยกเก้าอี้และม้านั่งต่างๆ ออกมาวาง ทำให้พื้นที่ลานกว้างบริเวณนั้นแออัดไปด้วยผู้คน ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าการไปดูหนังในสมัยนี้


ในทีวีที่ฉายอยู่เป็นหมีเสวี่ยที่รับบทเป็นจ้าวเชี่ยนหนาน หมีเสวี่ยในตอนนี้ยังเด็กและสวยมาก คนที่รับบทเป็นฮั้วหยวนเจี่ยก็หล่อไม่แพ้กัน แต่น่าเสียดายที่พักหลังๆ เขาออกจากบ้านเพื่อไปบวชเป็นพระ


“ลุงสยงคะ ป้าจ้าวคะ!”


อู่เหมยทักทายอย่างมีมารยาท จ้าวอิงหนานรู้สึกดีใจเมื่อเห็นเธอ “มาแล้วเหรอเหมยเหมย เข้ามาก่อนสิ! มู่มู่อยู่ในห้องแน่ะ!”


“ค่ะ ป้าจ้าว ชื่อของคุณป้ากับจ้าวเชี่ยนหนานต่างกันแค่ตัวเดียวเอง แต่สวยทั้งคู่เลย” อู่เหมยรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดประโยคชวนขำออกมา แต่มันคือความรู้สึกจากใจจริงๆ ของเธอ จ้าวอิงหนานเธอสวยอยู่แล้ว ไม่ได้สวยน้อยกว่าหมีเสวี่ยเลย


เธออยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง


อู่เยวี่ยที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม นอกจากการเรียนดีแล้ว เธอยังดูร่าเริงสดใสวางตัวเข้ากับคนง่าย พบเจอใครก็สามารถพูดคุยทักทายได้หมด ซึ่งต่างจากอู่เหมยที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา จะเรียกใครยังไม่กล้า ไม่แปลกที่ใครๆ ต่างไม่ชอบ


จ้าวอิงหนานหัวเราะออกมาอย่างพอใจ ยื่นมือไปคว้าเอาลูกกวาดช็อกโกแลตในจาน แกะมันออกจากถุงพร้อมกับยื่นไปตรงปากให้อู่เหมยและพูดด้วยรอยยิ้ม “เหมยเหมยนี่ปากหวานจริงๆ เดี๋ยวป้าให้กินลูกกวาดเป็นรางวัล”


ลูกกวาดของที่บ้านตระกูลสยงอร่อยจัง โดยเฉพาะรสช็อกโกแลต รสชาติคือของจริง อู่เหมยกินไปคำแรกก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นของนำเข้า เพราะต่อให้ผ่านไปกี่สิบปี ในประเทศก็ทำช็อกโกแลตแท้ที่มีรสชาติแบบนี้ไม่ได้


“หนูพูดความจริงค่ะ ป้าจ้าวสวยมากจริงๆ ในโรงเรียนต่างก็พูดกันว่าคุณลุงกับคุณป้าเหมือนเทวดากับนางฟ้าเลย”


ทุกอย่างยากที่จะเริ่มต้น แต่ถ้าได้พูดจาประจบออกไปคำแรก คำพูดต่อๆ มาก็มักจะทำให้พูดได้ง่ายขึ้น อู่เหมยไม่ได้เย่อหยิ่งหรือแข็งกระด้างขนาดนั้น ที่แท้ก็ต้องค่อยๆ ฝึกต่อไปจนหน้าเริ่มหนาขึ้น และจะชินไปเอง


ลุงสยงและจ้าวอิงหนานพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ถูกยกยอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ใครกันที่จะไม่ชอบฟังคำพูดดีๆ โดยเฉพาะคำยกยอจากปากของเด็กน้อยที่ไม่ค่อยพูดคนนี้ยิ่งทำให้เขาพอใจเป็นที่สุด!


สยงมู่มู่ที่ทนต่อความน่ารำคาญไม่ไหว เปิดประตูออกมาพร้อมกับตะโกน “พอได้หรือยัง? อู่เหมยเธอยังจะไม่เข้ามาอีก?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 153 ฉิวฉิวชอบกินลูกกวาด


จ้าวอิงหนานตำหนิด้วยความไม่พอใจ “มู่มู่ทำไมถึงพูดจาแบบนี้? ไม่มีมารยาทเลยนะ”


อู่เหมยจึงรีบตัดบท “สยงมู่มู่ ป้าจ้าว หนูเข้าห้องก่อนนะคะ!”


“ไปเถอะๆ เหมยเหมยหนูอย่าไปใส่ใจมู่มู่เลย เอากล่องลูกกวาดนี้ไปสิ ถ้าชอบก็กินให้หมดนะ ให้คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง”


จ้าวอิงหนานเป็นคนใจกว้าง เธอยัดกล่องที่เต็มไปด้วยลูกกวาดใส่ในมือของอู่เหมย ดูเหมือนว่ากล่องใบนี้เพิ่งถูกเติมเต็มด้วยลูกกวาดมากมายหลากหลายจนลานตา แค่มองก็อยากกลืนน้ำลายแล้ว


“ขอบคุณค่ะป้าจ้าว”


อู่เหมยไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เธอหอบเอากล่องลูกกวาดเข้าไปในห้องด้วย แน่นอนว่าเธอไม่มีทางที่จะกินลูกกวาดทั้งหมดนี้ได้ ถึงไม่บอกออกไปว่าจะทำให้ฟันผุ แต่เธอก็ไม่สามารถทำตัวเสียมารยาทขนาดนั้น


พอเธอเข้าห้องไป สยงมู่มู่ปิดประตูลงด้วยความโมโห เขาพูดประชดออกไป “ไม่เจอแค่วันเดียว เรื่องคำพูดยกยอปอปั้นนี่พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ!”


อู่เหมยมองเขาด้วยความระอาก่อนจะพูดว่า “ที่ฉันพูดมันคือความจริง หรือนายคิดว่าป้าจ้าวไม่สวยเหรอ?”


สยงมู่มู่กลับถียงไม่ออก แน่นอนว่าแม่ของเขาสวยอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับเธอด้วย ถ้าบอกว่าจ้าวอิงหนานหน้าตาไม่ดี แสดงว่าต้องหมายถึงเขาด้วยที่หน้าตาไม่ดี!


แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้!


“ปากเก่งขนาดนี้ แต่ทำไมถึงยังสู้แม่เสือที่บ้านไม่ได้อีกล่ะ?” สยงมู่มู่ถามด้วยความโมโห


อู่เหมยมองเขาด้วยความระอาอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับด้วยความโมโหไม่แพ้กัน “เขาคือแม่ของฉัน และถือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ฉันจะไปสู้อะไรกับเขาล่ะ? ต่อให้เขาจะลงโทษด้วยการตี ใครจะว่าอะไรได้ แต่ถ้าเป็นฉันที่ไปตีเธอก็จะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญู อีกอย่างถ้าฉันเถียงเธอเมื่อไหร่ จุดจบก็มักจะอยู่ที่การถูกตี คิดว่าฉันอยากโดนหรือไง?”


“นายเรียกฉันขึ้นมาทำไม ไม่ใช่จะมาท้าพนันอะไรกับฉันอีกนะ?”


อู่เหมยเริ่มรู้สึกระแวงคนตรงหน้าไปชั่วขณะ เธอวิ่งไปอุ้มฉิวฉิวที่อยู่ตรงระเบียงหน้าต่าง ใจนึกว่าถ้าเธออยู่ที่บ้านก็แค่ถูกรังแก แต่เรื่องอะไรจะให้เธอมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของสยงมู่มู่?


สยงมู่มู่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่เธอเคารพสักหน่อย แถมยังไม่ได้เป็นคนให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูเธอมาด้วย!


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวในตาลุกวาวเมื่อเห็นลูกกวาดหลากสี มันกระโดดเข้าหากล่องลูกกวาดในทันที คว้าเอารสช็อกโกแลตขึ้นมาและแกะถุงออกด้วยความชำนาญ มันกินได้อย่างเอร็ดอร่อย


“ฉิวฉิวไม่ได้นะ นี่มันคือลูกกวาดของคนอื่น” อู่เหมยตกใจและรีบวิ่งเข้าไปอุ้มเจ้าตัวเล็ก


สยงมู่มู่ตีเข้าที่หลังมือของอู่เหมยด้วยความโมโห


“ทำอะไรน่ะ คิดว่าบ้านฉันจะเป็นเหมือนบ้านเสือของเธอหรือไง งกแม้กระทั่งของกินดีๆ ฉิวฉิวค่อยๆ กิน ถ้าไม่พอฉันจะไปเอามาให้อีก”


“ต๊อก ต๊อก”


คุณชายฉิวร้องให้ความสนใจและเข้าไปหาสยงมู่มู่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าบ้านของนายนี่มีของอร่อยๆ เยอะ มันคงจะขึ้นมาก่อกวนนายนี่บ่อยๆ อื้อหือ ลูกกวาดของบ้านนี่รสชาติดีจริงๆ ดีกว่าเมื่อก่อนที่มันเคยกินเสียอีก


ก้อนช็อกโกแลตถูกเจ้าตัวเล็กกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว มันยื่นขาออกมาเพื่อจะหยิบอันใหม่อีกครั้ง อู่เหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปอุ้มและตักเตือน “ฉิวฉิวห้ามทำแบบนี้ ตอนนี้พวกเรามาเป็นแขกที่บ้านคนอื่นเขา กินอะไรก็ต้องรู้จักพอบ้าง เข้าใจไหม?”


ฉิวฉิวรีบหันกลับมา สะโพกลมๆ ของมันชี้ไปทางอู่เหมย แน่นอนว่ามันไม่ค่อยพอใจนัก


สยงมู่มู่ก็ไม่ต่างกัน เขาเริ่มไม่พอใจต่อการกระทำของอู่เหมย “เธอนี่มันเป็นคนยังไง ฉันเป็นเจ้าของบ้านยังไม่ว่าอะไรเลย แล้วเธอจะบ่นทำไม?”


เขาแกะถุงช็อกโกแลตออกแล้วป้อนให้ฉิวฉิว ฉิวฉิวจึงกินด้วยความดีใจ และยังหันไปส่ายหางให้กับอู่เหมย


นี่ไม่ได้เป็นเพราะฉันอยากกินหรอกนะ แต่เพราะนายนี่เป็นคนให้เอง!


อู่เหมยหมดหนทางจึงได้แต่มองสยงมู่มู่ที่นั่งหัวเราะอยู่ และได้ถามออกไป “แล้วนายเรียกฉันขึ้นมาทำไม?”


สยงมู่มู่ที่ตั้งใจนั่งมองดูฉิวฉิวกินอยู่ เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้วมันดูน่าสนใจกว่ามาก เขาจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาตอบคำถามของอู่เหมยล่ะ เขาได้แต่โบกมือตอบปัดๆ ด้วยความไม่พอใจ


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 154 น่าจะเป็นลูกแท้ๆ แหละ


สยงมู่มู่ที่กำลังจะป้อนช็อกโกแลตก้อนที่สามให้กับฉิวฉิว แต่ถูกอู่เหมยห้ามไว้ “หยุดกินได้แล้ว กินลูกกวาดเยอะมันไม่ดี”


“ก็ได้ ถ้างั้นเธอก็เอาลูกกวาดพวกนี้กลับไปด้วยเผื่อให้ฉิวฉิวกิน” สยงมู่มู่ยังใจกว้างกว่าแม่ของเขาอีก ลูกกวาดนำเข้ากล่องนี้ไม่อยู่ในสายตาเขาเลยแม้แต่น้อย


แน่นอนว่าอู่เหมยจะไม่ยอมปีนราวไม้ไผ่ เธอมีไหวพริบพอ ถ้าเอากลับไปทั้งหมดจะดูเหมือนอะไร?


ลุงสยงกับจ้าวอิงหนานจะมองเขายังไง?


“ไม่ต้องหรอก วันหลังให้ฉิวฉิวขึ้นมากินเอง นายอย่าให้มันกินเยอะสิ ถ้ากินเยอะแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”


สยงมู่มู่รู้สึกดีใจ เขาทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ เพื่อบ่งบอกถึงความมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง ให้กินได้แค่สองเม็ดต่อครั้ง”


คุณชายฉิวที่ยังกินได้ไม่จุใจได้แต่ทำตาปริบๆ และยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม พลางนึกในใจว่านายนี่ยังเกลี้ยกล่อมง่ายกว่านายหญิงของมันอีก แค่มันเข้าไปใกล้แล้วเปล่งเสียงร้องไม่กี่ครั้งก็สำเร็จ มันไม่ได้เป็นแค่หนูธรรมดา ต่อให้กินลูกกวาดทุกวันก็ไม่เป็นอะไร


“นายเรียกฉันมาทำไม?” อู่เหมยถามออกไปอีกครั้ง


สยงมู่มู่พูดออกไปโดยไม่คิด “ไม่มีอะไร ก็แค่เรียกเธอมานั่งเล่นไง เพราะดูสถานการณ์ที่บ้านเธอตอนนี้คงไม่ค่อยสงบ เออใช่ หลังจากที่อู่เยวี่ยกลับไปเป็นยังไงบ้าง?”


ในใจของอู่เหมยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ที่เธอฝื้นคืนชีพมาสยงมู่มู่เป็นคนแรกที่เป็นเพื่อนกับเธอ ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นเพื่อนรู้ใจเลยล่ะ เพราะเธอไม่เคยมองสยงมู่มู่เป็นผู้ชายมาก่อน


“อู่เยวี่ยต้องการไปเรียน แม่ของฉันนี่ร้อนใจจนไม่เป็นอันกินข้าว ฮ่าๆๆ อารมณ์ดีเป็นบ้าเลย”


อู่เหมยอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด อยู่ต่อหน้าสยงมู่มู่ไม่จำเป็นต้องแสดงหรือเสแสร้งอะไร เพราะตอนนี้เขาเป็นหนึ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ


สยงมู่มู่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา เหลือบมองอู่เหมยด้วยความเห็นใจพร้อมทั้งพูดออกมา “ใจของแม่เธอคงเอียงไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วมั้ง ก่อนหน้านี้เธอก็ถูกใครต่อใครรุมด่าว่าเป็นคนอัปลักษณ์ ฉันเห็นแม่เธอก็กินอิ่มนอนอุ่น หลับสบายดีนี่ ครั้งนี้แค่อู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่าแม่เธอกลับเสียใจจนกินนอนไม่ได้ เฮ้อ! ฉันว่าเธอคงไม่ได้ถูกที่บ้านเก็บมาเลี้ยงหรอกใช่ไหม?”


ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน อู่เหมยได้ฟังคำพูดแบบนี้คงจะรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย แต่เธอในตอนนี้กลับไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย ราวกับเธอได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นมากกว่า


“ฉันกลับหวังแบบนั้นจริงๆ ว่าตัวฉันถูกเก็บมาเลี้ยง แต่มันคงไม่ใช่ เพราะทุกครั้งที่แม่ต่อว่าฉัน เธอจะพูดเสมอว่าให้คลอดลูกออกมาเป็นหมูหมากาไก่ยังดีกว่ามีลูกแบบฉัน ฉะนั้นฉันก็คงจะเป็นลูกแท้ๆ ของเขาใช่ไหม?”


อู่เหมยยักไหล่อย่างไม่สนใจ เธอหวังจริงๆ ว่าตัวเธอเองไม่ใช่ลูกสาวของเหอปี้อวิ๋น เพราะหากว่าไม่ใช่แม่แท้ๆ ทุกครั้งที่เหอปี้อวิ๋นทำไม่ดีต่อเธอ เธอจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์อยู่แบบนี้


แต่ดูจากสถาการณ์ตอนนี้


แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์ที่บ่งบอกได้ว่าเธอคือลูกของเหอปี้อวิ๋น


น่าเสียดาย!


สยงมู่มู่เข้าใจถึงความรู้สึกของอู่เหมยดี จริงๆ การกลับชาติมาเกิดเป็นวัฏจักรหนึ่งของชีวิต แต่อู่เหมยคงจะเลือกเกิดได้ไม่ถูกจังหวะ!


“กินลูกกวาดเถอะ ยิ่งพ่อแม่ของเธอลำเอียงเท่าไหร่ เธอจะต้องเข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งจนทำให้พ่อแม่เธอต้องแหงนคอขึ้นมามอง แบบนั้นถึงจะสนุก!”


สยงมู่มู่แกะลูกกวาดหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากให้อู่เหมย เพื่อให้กำลังใจเธอ


รสชาติหวานมันของช็อกโกแลตทำให้ความกังวลของอู่เหมยที่มีอยู่ค่อยๆ คลายลง คำพูดของสยงมู่มู่ได้สร้างเป็นปณิธานให้กับเธอ ทำให้ร่างกายเธอรู้สึกมีแรงกำลัง


“ฉันจะตั้งใจพัฒนาฝีมือ พวกเขาพูดเสมอว่าฉันยังเทียบไม่ได้แม้แต้เล็บเท้าของอู่เยวี่ยไม่ใช่เหรอ? เหอะ! อีกหน่อยถ้าฉันเอาชนะอู่เยวี่ยได้ จะรอดูว่าพวกเขาจะตบหน้าตัวเองยังไง!” อู่เหมยยิ้มอย่างเย็นชา


สยงมู่มู่ปรบมือเห็นด้วย “ต้องเป็นแบบนี้ถึงจะถูก ยิ่งคนอื่นดูถูกเราแค่ไหน เราจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ รอถึงวันที่ดักแด้ได้กลายเป็นผีเสื้อ รอวันที่เธอหลุดพ้นจากความทุกข์และมีชีวิตใหม่ เราค่อยหาวิธีตบหน้าคนพวกนั้นแรงๆ!”


อู่เหมยพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น แต่พอนึกถึงความเป็นจริงในตอนนี้เธอก็กลับมาอยู่ในอารมณ์เศร้าอีกครั้ง


“แต่จะทำยังไงให้ดักแด้กลายเป็นผีเสื้อได้ล่ะ? เรียนแย่ขนาดนั้น สอบเดือนนี้แน่นอนว่าอู่เยวี่ยต้องเป็นที่หนึ่งอีก คนที่จะต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองคือฉัน” อู่เหมยที่ทำหน้ากลุ้มใจ อารมณ์กลับดิ่งลงไปอีกครั้ง


เธอไม่ต้องการให้อู่เยวี่ยสอบได้ที่หนึ่งอีกแล้ว ต่อให้เป็นที่สองก็ยังดี!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 155 ต้องทำให้อู่เยวี่ยสอบได้ที่สองเท่านั้น


ถ้าพูดถึงอู่เยวี่ยที่สอบได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด ที่สองสำหรับเธอคงจะเป็นการโจมตีที่หนักยิ่งกว่าการถูกตีด้วยอากาศ แน่นอนว่าคนที่มีความทระนงอย่างเธอจะรับไม่ได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเหอปี้อวิ๋นจะไม่มีทางออกไปโอ้อวดให้ต่อใครได้ฟังได้อีก


ทุกครั้งเหอปี้อวิ๋นมักจะพูดว่า ‘เยวี่ยเยวี่ยของเราตั้งแต่เรียนหนังสือมาสอบได้ที่หนึ่งตลอด ไม่เคยได้ที่สอง ถ้าจะให้ฉันพูดถึงที่สามกับที่สี่จะมีอะไรที่ต่างกันตรงไหนเหรอ? คนอื่นต่างจำขึ้นใจว่าเป็นที่หนึ่ง!’


หากเธอทำให้อู่เยวี่ยสอบได้ที่สอง คำพูดของเหอปี้อวิ๋นจะเป็นแค่เพียงการปรบมือเสียงดังครั้งหนึ่งก็เท่านั้น แล้วมาดูกันว่าเธอจะโอหังได้อีกไหม!


อู่เหมยรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เธอจะต้องทำให้อู่เยวี่ยสอบได้ที่สองให้ได้ เธอจะค่อยๆ ดึงอู่เยวี่ยให้ตกลงมาจากสวรรค์ทีละนิด โดยเริ่มจากการสอบประจำเดือน


“เธอเป็นอะไร? สายตาเป็นประกายเชียว”


สยงมู่มู่โบกมือไปมาตรงหน้าของอู่เหมยด้วยความแปลกใจ หรือว่ายัยนี่จะรับรู้เรื่องอะไรที่สะเทือนใจมามากเกินไป ช่างน่าสงสาร


อู่เหมยใช้ฝ่ามือของเธอฟาดไปที่มือของสยงมู่มู่ เธอมองไปทางเขาและถาม “นายว่าการสอบประจำเดือนนี้ฉันเอายาถ่ายให้อู่เยวี่ยกินจะดีไหม?”


สยงมู่มู่มองอู่เหมยที่มีท่าทีคล้ายโรคจิต “เธอสมองกระทบกระเทือนหรือไง? ถ้าแม่เธอรู้เข้า มีหวังไม่ปล่อยเธอไว้แน่!”


แต่อู่เหมยกลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี เข้าห้องน้ำวันละรอบ ต่อให้อู่เยวี่ยเธอเป็นเทวดาลงมาเกิดก็คงสอบที่หนึ่งไม่ได้แล้วล่ะ


“ไม่ทำให้แม่ฉันรู้ก็พอแล้ว ที่บ้านนายมียาถ่ายไหม?”


“ถึงมีฉันก็ให้เธอไม่ได้ เพราะแบบนั้นฉันจะกลายเป็นตัวอะไร? ผู้สมรู้ร่วมคิด? หากแม่ฉันรู้เข้าเธอไม่ปล่อยฉันไว้แน่ ฉันว่าเธออย่าทำแบบนี้เลย อยากเอาชนะอู่เยวี่ยก็ต้องชนะด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าใช้วิธีวางยา ชนะแบบขี้โกงแล้วเธอจะภูมิใจได้ยังไง”


สยงมู่มู่อาศัยอยู่กับคุณตาของเขาที่โตเกียวตั้งแต่เด็ก แม้เขาจะดื้อรั้นไม่ค่อยเชื่อฟัง แต่ความคิดของเขาเป็นธรรมเสมอ เขาไม่ยอมทนเห็นอู่เหมยใช้วิธีวางยาแน่


เพราะเธอคืออู่เหมย ถ้าหากคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นคนอื่น สยงมู่มู่คงจะด่าจนคนๆ นั้นสับสนไปทั้งชีวิต


อู่เหมยนิ่งเงียบไป พลางมองสยงมู่มู่ด้วยความระแวงสงสัย เดิมทีนึกว่านายนี่จะเป็นโอวหยางเฟิง ที่ไหนได้กลับกลายเป็นกัวจิ้ง เฮ้อ! ดูจากลักษณะแล้วเธอคงจะไม่เจอกับพันธมิตรอย่างที่คิดไว้


เธอกลับไม่คิดว่าการวางยาอู่เยวี่ยจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูก อู่เยวี่ยในชาติก่อนใช้วิธีแบบนี้กับเธอน้อยเสียที่ไหน?


“ฉันก็แค่ใช้วิธีเดียวกับคนอื่นมาลองทำดู คิดว่าที่อู่เยวี่ยทำร้ายฉันมันน้อยนักหรือไง? ถ้าพูดถึงการกระทำเลวทรามต่ำช้า ฉันยังเทียบไม่ติดหนึ่งในพันสิ่งที่อู่เยวี่ยทำเลย”


อู่เหมยยิ้มเยาะและรู้สึกน้อยใจเอามาก ตอนแรกคิดว่าสยงมู่มู่จะเข้าใจเธอ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นได้มาแต่คำพูดตักเตือน


“ไม่ว่ายังไงฉันก็จะทำสิ่งเลวทรามนี้อยู่ดี หากนายไม่อยากเจอฉัน ต่อไปฉันจะพยายามไม่มาที่นี่”


อู่เหมยเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง และอุ้มฉิวฉิวไว้เตรียมที่จะกลับ สยงมู่มู่ที่ยังไม่คลายความโกรธลง พอเห็นว่าเหมยเหมยจะกลับอีกทั้งยังอุ้มฉิวฉิวไปด้วย ความโกรธทั้งหมดที่มีอยู่จึงได้หายไป


“พอแล้วๆ เธอนี่อารมณ์เสียง่ายกว่าฉันอีก แค่พูดถึงเธอไม่กี่ประโยคเอง แล้วดูน้ำหูน้ำตาที่ไหลนี่สิ ออกไปให้แม่ฉันเห็นเดี๋ยวจะหาว่าฉันรังแกเธออีก!”


สยงมู่มู่มองอู่เหมยด้วยความไม่ชอบใจและใช้น้ำเสียงที่ไม่ได้ดีนัก อู่เหมยจึงนั่งลงด้วยความแค้นเคืองและเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหลังของฉิวฉิวออก ใบหน้าของฉิวฉิวดูเศร้าลงอย่างเป็นทุกข์ ถ้าเจ้านายมีนิสัยแบบนี้จะไม่ดีเอาได้!


“ต่อไปถ้าเธอจะทำอะไรที่ไม่ดี ก็อย่ามาพูดให้ฉันฟัง ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร แบบนี้พอใจหรือยัง!”


สยงมู่มู่ยอมถอยให้เพราะสำหรับเขาแค่ยอมถอยให้ก็มากพอแล้ว ถ้าจะให้เขาไปร่วมมือทำสิ่งแปดเปื้อนแบบนั้นเขาคงทำไม่ได้ แค่ยอมปิดตาข้างนึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นน่าจะดีที่สุด


ใครใช้ให้ยัยอู่เยวี่ยนั่นทำตัวแบบนั้นกันล่ะ


การกระทำของอู่เหมยถือว่าเป็นการช่วยชาติกำจัดคนชั่วในสังคม!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 156 เมื่อไหร่ทองจะหล่นจากฟ้า


อู่เหมยมองเขาด้วยความไม่พอใจและพูดขึ้น “ถ้านายสามารถสอบได้ที่หนึ่ง ฉันจำเป็นต้องใช้วิธีต่ำๆ แบบนี้ไหม?”


สยงมู่มู่หลบสายตาของอู่เหมยด้วยความไม่มั่นใจ เขานิ่งไปโดยไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของเธอ อู่เหมยที่เห็นปฏิกริยาของเขาจึงเริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เธอเองอยากสอบได้ที่หนึ่งแต่ก็ไม่สามารถพอที่จะทำได้ แต่ถ้าให้นายนี่สอบต้องทำได้อยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองกลับไม่กล้าแสดงฝีมือ ช่างน่าโมโหจริง!


“ช่างเถอะ ฉันก็ไม่ได้หวังให้นายมาช่วย ฉันจะคิดหาวิธีจัดการเอง แต่นายอย่าได้หลุดปากพูดล่ะ!”อู่เหมยพูดเตือนเขา


“ฉันจะไปพูดกับใครได้ ถ้าไม่เชื่อใจวันหลังก็ไม่ต้องมาพูดให้ฉันฟัง เธอนี่จริงๆ เลย!”


สยงมู่มู่อยู่ดีๆ ก็ขนลุกชัน อู่เหมยจึงได้แต่ย่นคิ้วเข้าหากัน เขานี่ใจแคบจริงๆ ไม่เหมือนลูกผู้ชายเลย แต่ไม่แปลกที่จะคิดไม่ได้ ความโกรธในใจของอู่เหมยที่มีค่อยๆ หายไป


เธอมัวพูดกับหญิงสาวใจแคบให้มากความทำไม ถึงเธอจะคิดแต่เรื่องเลวๆ แต่เธอก็ยังมีนิสัยแบบผู้ใหญ่!


เป็นสิ่งที่ไม่น่าเลยจริงๆ!


“พอๆๆ ฉันผิดเอง ขอโทษนะ!” อู่เหมยพูดอย่างคนใจกว้าง


สยงมู่มู่กลับตกใจปนสงสัยกับเหตุการณ์ตรงหน้า ยัยนี่ทำไมเปลี่ยนเป็นพูดดีได้เร็วแบบนี้ล่ะ? หรือว่าคิดจะทำอะไรไม่ดีอีก?


อู่เหมยขอโทษก่อนและแน่นอนว่าสยงมู่มู่ก็ไม่ได้ทำตัวแปลกอะไรแล้ว ผ่านไปสักพักทั้งคู่ก็กลับมาพูดคุยหัวเราะกันได้ปกติ


“พรุ่งนี้พวกเราไปตลาดหนานสุ่ยกันไหม?” สยงมู่มู่ถามขึ้น


อู่เหมยมองเขาตาไม่กะพริบ จิตใต้สำนักของเธอบอกว่าเธออ่อนไหวต่อตลาดหนานสุ่ยแห่งนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ไปทำอะไรที่นั่น?”


“อาทิตย์หน้าเธอต้องเรียนวาดรูปไม่ใช่เหรอ ต้องเตรียมกระดาษวาดรูปสิ เรียนวาดรูปเปลืองกระดาษจะตายไป” สยงมู่มู่ตอบ


อู่เหมยเขกหัวตัวเองพลางนึกว่าทำไมถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้ ตลาดหนานสุ่ยเป็นถนนสายหนึ่งที่มีความแปลกของเมืองจิน ช่วงแรกๆ ของที่ขายมีแค่พู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึก บางร้านขายพวกกิ๊บติดผมต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เริ่มตั้งแผงลอยขายพวกของสะสมโบราณหรือของลายคราม ในท้ายสุดได้เริ่มเป็นแหล่งตัวแทนจำหน่ายของร้านเครื่องเขียน


ถ้าให้พูดถึงตลาดหนานสุ่ยในตอนนี้ ทุกคนคงจะนึกถึงพวกของลายคราม คนต่างถิ่นมาเที่ยวก็มักจะไปที่นั่นเพื่อคอยจับผิดหรือดูของแท้ของปลอมตามที่คนเล่าลือ ถ้าโชคดีที่จับได้ของจริงขึ้นมาก็มีอยู่สิ่งเดียวคือรวย


จนถึงตอนนี้ แถวตลาดหนานสุ่ยเหลือร้านเครื่องเขียนอยู่เพียงแค่ร้านเดียว และเป็นร้านเดียวที่เรียกได้ว่าประสบผลสำเร็จ เพราะหากต้องการพู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึกที่มีคุณภาพและราคาเป็นธรรม คนที่ไปซื้อของร้านนั้นส่วนใหญ่มักเป็นลูกค้าเก่าลูกค้าประจำ ธุรกิจร้านนี้ก็ยังถือว่าไปได้ดี


“ขอบคุณที่นายนึกได้ เพราะไม่งั้นฉันคงได้ไปเรียนมือเปล่าและคงได้ทำเรื่องน่าอายแน่ๆ” อู่เหมยพูดขอบคุณ


สยงมู่มู่ถอนหายใจตอบอย่างพอใจ ไม่งั้นจะเรียกว่าเขามีพรสวรรค์เหรอ?


กระดาษที่จะใช้วาดรูปราคาไม่ใช่ถูกๆ แพงยิ่งกว่ากระดาษขาวทั่วไปหลายเท่า ไหนจะต้องซื้อดินสอ ยางลบที่ใช้เฉพาะด้าน ถ้าจะให้ดีต้องใช้ขนมปังเก่า แต่ตอนนี้จะให้เธอไปหาซื้อขนมปังเก่าได้จากที่ไหน แต่ต่อให้มีขนมปังเก่าเธอก็ไม่มีปัญญาซื้ออยู่ดี


เพราะเงิน!


ไม่ว่าอะไรก็ต้องใช้เงิน!


อู่เหมยดึงทึ้งผมตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ “ถ้าหากว่าบนฟ้ามีทองหล่นลงมาทับหัวฉันก็คงจะดี”


สยงมู่มู่พูดอย่างดูถูก “ถ้าหากมีทองหล่นลงมาทับหัวของเธอจริงๆ ตามกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน สมองของเธอคงจะทะลุเป็นรูแน่ๆ จะมีชีวิตต่อไปให้ใช้ทองนี่หรือเปล่ายังไม่รู้เลย!”


อู่เหมยตีเขาไปไม่รู้กี่ครั้งด้วยความโมโห เธอตวาดเขา “ฉันแค่ใช้คำพูดที่มันโอเวอร์หน่อยไม่รู้หรือไง?”


ได้ยินสียงของเด็กสองคนตะโกนแข่งกันจากในห้อง ลุงสยงกับจ้าวอิงหนานกลับหัวเราะร่า เด็กๆ ทำตัวเหมือนกับคนทั่วไปเสียที


อู่เหมยเธอเป็นเหมือนนางฟ้าตัวน้อยจริงๆ


สยงมู่มู่ใช้มือแคะหูตัวเอง และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่แค่ซื้อกระดาษเหรอ พี่ซื้อให้น้องเอง อย่าได้ซึ้งใจไปล่ะ”


“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้ต้องการเงินของนาย ฉันจะคิดวิธีหาเงินเอง” อู่เหมยปฏิเสธเขาโดยไม่แม้แต่จะคิดไตร่ตรอง


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 157 หัวปีหรือท้ายปี


อู่เหมยไม่อยากใช้เงินของสยงมู่มู่แม้แต่น้อย อีกหน่อยคงมีหลายส่วนที่เธอต้องใช้เงิน เธอจะพึ่งพาสยงมู่มู่ไปตลอดคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าตัวเธอเองมีเงินถึงจะถูก!


สยงมู่มู่หัวเราะเยาะเธอ “แล้วเธอจะหาเงินยังไง? ประกอบกล่องหรือถักเชือกเหรอ?”


“ไม่ได้ พ่อฉันรักหน้าตาและศักดิ์ศรีมาก ถ้าฉันประกอบกล่องอยู่ในบ้าน เขาต้องโกรธมากแน่ๆ”


ช่วงนี้อู่เหมยคิดอยู่หลายวิธี ทั้งประกอบกล่องหรือถักเชือกเธอก็คิดมาหมดแล้ว แถมยังเคยคิดจะไปเก็บขยะ แต่ก็ต้องปฏิเสธและตัดข้อนี้ออกไป เพราะถ้าเธอทำคงปิดบังอู่เจิ้งซือไม่ได้ คนที่รักหน้าตาและชื่อเสียงอย่างเขาคงไม่มีทางที่จะยอมให้อู่เหมยทำงานพวกนี้


“แล้วเธอจะทำอะไรได้? คงไม่ถึงกับต้องไปตั้งแผงลอยขายของใช่ไหม? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคนหัวโบราณอย่างพ่อเธอต้องเห็นแน่ๆ ใช้เงินของฉันน่ะดีแล้ว ถึงยังไงคนอย่างฉันก็มีเงินเยอะ ให้เธอแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา หรืออีกหน่อยถ้าเธอมีเงินค่อยหามาคืนฉันก็ได้นี่!”


สยงมู่มู่เขาไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินจริงๆ ทุกอาทิตย์จ้าวอิงหนานจะให้เงินกับเขาห้าหยวนเป็นค่าขนม และยังมีลุงป้าตายายให้เงินแต๊ะเอียเขาในช่วงวันตรุษจีนด้วย เงินในท้องพระคลังของเขาที่มีก็ไม่ใช่น้อยๆ อย่าว่าแค่ซื้อกระดาษเลย ต่อให้เลี้ยงอู่เหมยยังทำได้เลย


“ถึงนายจะมีเงินเยอะแต่ฉันก็ไม่ต้องการ ฉันจะให้นายเป็นฝ่ายเลี้ยงตลอดได้ยังไง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะถูกมองยังไง” อู่เหมยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


ชีวิตในชาติก่อนเธอไม่เคยออกไปทำงานมาก่อน กว่าจะเรียนจบและได้ใบจบมามันไม่ง่ายเลย พอเรียนจบเหมยซูหานก็ขอเธอแต่งงานทันที จากนั้นเธอก็อยู่แต่บ้านคอยทำหน้าที่เป็นภรรยาของเขา เงินแค่หยวนเดียวก็ไม่เคยทำงานหามาก่อน เธอจึงไม่อยากพึ่งพาใครอีกแล้ว


สยงมู่มู่พิจารณาดูอู่เหมยด้วยความเจ้าเล่ห์ และพูดขึ้น “พอดีว่าพี่ไม่มีน้องสาว แล้วพี่ก็รู้สึกถูกชะตากับเธอพอสมควร ถ้าเธอมาเป็นน้องสาวของพี่ ให้พี่เลี้ยงเธอมันก็เป็นไปตามสัจธรรมอยู่แล้ว”


อู่เหมยได้ยินที่สยงมู่มู่เรียกตัวเองว่า ‘พี่’ ทีไรก็รู้สึกขนลุกทุกที นายนี่เมื่อชาติก่อนไม่รู้ว่าใครแก่กว่าใครอ่อนกว่า แต่หากว่าเขาอ่อนกว่าต้องเรียกเธอว่าพี่ถึงจะถูก


เหอะๆๆ ถูกเจ้าบ้านี่ปั่นจนหัวหมุนไปหมด เรื่องอะไรจะให้เธอเรียกเขาว่าพี่ล่ะ!


“นายเด็กกว่าฉันอีก!” อู่เหมยรีบพูดปฏิเสธไป


“พี่เกิดหัวปีวัว เธอล่ะ?” สยงมู่มู่พูดด้วยความมั่นใจ


อู่เหมยเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา เธอก็เกิดปีวัวเหมือนกัน แต่เป็นช่วงฤดูหนาว แน่นอนว่าเธอไม่ได้โตกว่าสยงมู่มู่ แต่เธอก็อยากยอมรับ ดูก็รู้ว่าเธอน่ะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าสยงมู่มู่เสียอีก


ครั้งนี้สยงมู่มู่ได้ใจและหัวเราะออกมาเสียงดัง “ลองเรียกว่าพี่ดูสิ แล้วพี่จะให้เงินเธอใช้!”


“เพี้ยะ!”


อู่เหมยรู้สึกโมโหมจึงฟาดเขาไปหนึ่งที


“กลับบ้านดีกว่า ฉิวฉิวแกลงไปเองนะ!”


เธอวางฉิวฉิวที่ตายังเอาแต่จ้องลูกกวาดอยู่ลงบนระเบียงหน้าต่าง และหันกลับไปเปิดประตูเพื่อเดินออกไป สยงมู่มู่ยิ้มอย่างพอใจและพูดกับเธอ “พรุ่งนี้ฉันจะไปเรียกเธอเอง อย่างนอนตื่นสายล่ะ”


อู่เหมยถอนหายใจเบาๆ และหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ทางคุณลุงสยงกับคุณป้าจ้าว “ลุงสยง ป้าจ้าว หนูกลับก่อนนะคะ”


“อู่เหมยวันหลังมาเที่ยวบ่อยๆ สิ”


ลุงสยงกับจ้าวอิงหนานมองอู่เหมยด้วยความรักใคร่เอ็นดูจึงทำให้เธอทำตัวไม่ถูก อู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้เลย!


ภายในบ้านที่มีอู่เยวี่ยออกมาจากห้องอาบน้ำ เส้นผมที่เปียกกระเซิง กลิ่นเหม็นเริ่มจางลงไปบ้าง ขอบตาเธอแดงก่ำและบวม เธอนั่งกินบะหมี่อยู่กับเหอปี้อวิ๋น บะหมี่ถ้วยนั้นมีไข่ดาวที่ทอดได้เหลืองสวยอยู่สามฟอง แต่ในจานของเหอปี้อวิ๋นกลับมีแค่น้ำซุปใสๆ ราดเส้นหมี่และโรยหน้าด้วยต้นหอม


อู่เหมยเบะปากและมอง เธอนึกในใจว่าอู่เยวี่ยกินไข่ดาวสามฟองในครั้งเดียว ไม่กลัวอิ่มตายหรือไง!


เธอเดินเข้ามาในบ้านและใช้มือปิดจมูกไว้ กลิ่นเหม็นบนตัวของอู่เยวี่ยเริ่มจางไปมาก ถ้าเว้นระยะห่างกับเธอก็จะทำให้ไม่ได้กลิ่น แต่อู่เหมยก็ไม่อยากจะปล่อยยัยคนชั่วคนนี้ไปง่ายๆ ตราบใดที่เธอยังมีโอกาสโจมตีอู่เยวี่ย ต่อให้เป็นจุดเล็กๆ เธอก็ไม่อยากปล่อยผ่าน


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 158 ก่อกวนขวัญทหาร


อู่เยวี่ยเห็นอู่เหมยใช้มือบีบจมูกตัวเองไว้ ใบหน้าเธอขาวซีดและรู้สึกเกลียดจนต้องกัดฟันแน่น เธอแทบอยากจะเอามูลสัตว์ถาดใหญ่ๆ สาดใส่ตัวอู่เหมย


แต่ท้ายสุดเธอก็คืออู่เยวี่ยผู้ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกเบื้องลึก พอผ่านความวุ่นวายตอนเช้ามาได้ เธอจึงใจเย็นลงมาก อีกทั้งกลิ่นเหม็นบนตัวเธอในตอนนี้ได้เริ่มจางลงและนั่นได้จุดประกายความมั่นใจของเธอขึ้นมาใหม่ หรือบางทีกลิ่นเหม็นบนตัวเธออาจจะไม่ใช่กลิ่นเต่า?


บางทีอาจจะเป็นเพราะอะไรบางอย่างก็ได้?


อู่เยวี่ยตัดสินใจแล้วกับแผนการที่แย่ที่สุด ต่อให้มันจะเป็นเป็นกลิ่นเต่า เธอก็จะหาทางรักษากลิ่นเหม็นๆ บนตัวให้หาย ขนาดหยางอวี้หวยเธอมีกลิ่นเต่า แต่เธอยังคงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้เหมือนเดิม!


บนโลกใบนี้ไม่ได้มีคนที่ดีเลิศไปหมดทุกอย่าง บนร่างกายมีจุดด่างพร้อยบ้างนั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เธอน่าจะเริ่มคิดได้บ้างแล้ว อย่างมากเธอก็แค่อาบน้ำสระผมหลายๆ ครั้ง ฉีดน้ำหอมให้มากขึ้น คงไม่เหมือนวันนี้ที่ทำตัวขายหน้าขนาดนั้น


อู่เยวี่ยคิดไปไกลถึงหนทางสุดท้ายที่มี นั่นคือการแต่งงานกับเหยียนหมิงต๋า ถึงแม้ว่าคนที่เธอชอบจะเป็นเหมยซูหาน แต่ตระกูลเหมยยากจนเกินไป มีพ่อเป็นคนเสเพลส่วนแม่ก็พิการ แค่คนทำงานหาเงินเลี้ยงให้ยังไม่มีเลย สิ่งเดียวที่มีราคาก็คงจะเหลือแค่บ้านหลังเก่าซอมซ่อที่ไม่มีแม้แต่กระจกหน้าต่าง


ชอบก็อยู่ส่วนชอบ เพราะนั่นไม่ได้แปลว่าเธอจะยอมทนมีชีวิตที่ลำบาก ระหว่างความรักกับขนมปัง (เงิน) อู่เยวี่ยรู้ดีเสมอว่าควรเลือกอะไร แม้ว่าเธอจะมีอายุแค่สิบสี่ปี แต่เธอกลับวางแผนอนาคตของเธอไว้หมดแล้ว และรู้ดีว่าตัวเธอเองต้องการอะไร


หากเหมยซูหานคือความรัก งั้นเหยียนหมิงต๋าก็คือขนมปัง (เงิน) แต่น่าเสียดายที่ขนมปังก้อนนี้ไม่ได้ทำให้อู่เยวี่ยพอใจมากนัก เพียงแค่ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ หากโรคประหลาดของเธอรักษาไม่หายจริงๆ เธอคงต้องเลือกอีกทางที่ดีกว่า โดยเลือกขนมปังก้อนเก่าอย่างเหยียนหมิงต๋า


เพราะยังไงพ่อของเหยียนหมิงต๋าก็ไม่ได้มีตำแหน่งเล็กๆ และแม่ของเขาก็เป็นถึงหมอในโรงพยาบาลใหญ่ เป็นอาชีพที่มีหน้ามีตาทั้งคู่ ฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้ถือว่าแย่


ส่วนเหยียนหมิงต๋าจะเห็นด้วยหรือไม่ อู่เยวี่ยไม่มีแม้แต่ความกังวล เพราะสำหรับเธอแล้ว การบังคับเหยียนหมิงต๋าเป็นเรื่องง่ายกว่าที่พระเจ้ายูไลจัดการกับซึงหงอคงเสียอีก ถึงยังไงเขาก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือเธอหรอก


อยู่ในห้องอาบน้ำนานหลายชั่วโมง อู่เยวี่ยจึงคิดถึงความเป็นไปได้ไว้ทั้งหมด รวมถึงหนทางสำรองเธอก็คิดไว้หมดแล้ว แค่ความคิดความอ่านคงไม่แปลกนักถ้าเธอจะเป็นผู้ชนะของเกมชีวิตนี้


เหอปี้อวิ๋นไม่มองอู่เหมยที่เดินเข้าไปแม้แต่หางตา พูดกับอู่เยวี่ยด้วยความเอ็นดู “เยวี่ยเยวี่ยรีบกินเร็ว เดี๋ยวแม่พาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อกี้แม่ได้กลิ่นเหมือนจะมาจากเส้นผมของลูก ไม่ใช่กลิ่นเต่าแน่นอน”


อู่เยวี่ยมองเหอปี้อวิ๋นด้วยความแปลกใจปนดีใจ “แม่คะ กลิ่นมาจากเส้นผมจริงเหรอคะ?”


“น่าจะใช่ แม่ลองดมดูได้กลิ่นแรงสุดตรงเส้นผมของลูก ส่วนอื่นๆ กลิ่นอ่อนไปเยอะแล้ว เดี๋ยวลองให้หมอตรวจดูน่าจะรู้ผลว่าเป็นอะไร ไม่ต้องกังวลแล้วนะ!”


เหอปี้อวิ๋นยื่นมือออกไปลูบหัวของลูกรัก แต่พอสัมผัสหัวอู่เยวี่ยได้แค่ครู่เดียวก็ต้องรีบดึงมือกลับ เพราะกลิ่นยังถือว่าแรงมาก แค่สัมผัสโดนกลิ่นก็ติดขึ้นมาง่ายมาก ใช้ผงซักฟอกล้างกลิ่นก็ไม่หาย


อู่เยวี่ยสีหน้าสลดลงและทำหน้าบูดบึ้ง คนเราล้วนมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น พอเกิดเรื่องขึ้นธาตุแท้ก็ถูกเผยออกมาให้เห็น ทั้งที่บอกว่าแม่ไม่เคยรังเกียจที่ลูกขี้เหร่ ในเมื่อรักก็ต้องพร้อมที่จะรับได้ในข้อเสียต่างๆ ในตัวลูก แค่กลิ่นเหม็นมันร้ายแรงมากหรือไง?


แต่ตอนนี้กลับหดตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมา แค่แตะต้องตัวเธอยังไม่ยอมแตะ เหอะ! ไม่ใช่เพราะรังเกียจเธอเหรอ?


อู่เยวี่ยมีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ปรับเปลี่ยนเป็นยิ้มได้อย่างรวดเร็ว เธอพูดจาอ่อนหวาน “แม่คะ แม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดสำหรับหนู ต่อไปนี้หนูจะเป็นฝ่ายทดแทนบุญคุณแม่เอง”


เหอปี้อวิ๋นดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ สายตาแห่งความรักใคร่เอ็นดูลูกสาวนั้นหวานปานน้ำเชื่อม ทำเอาอู่เหมยรู้สึกสะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหว ใช้มือถูกันไปมาด้วยความขนลุกแล้ววิ่งเข้าห้องไป


ปล่อยให้อู่เยวี่ยได้ดีใจไปก่อนเถอะ รอวันสอบมาถึงค่อยฉีดกลิ่นธัญพืชอันหอมหวนให้เธอใหม่ เหอะ! สำหรับเธอแล้วเรียกว่ารก่อกวนขวัญทหาร ต้องอดทนต่อกลิ่นเหม็นๆ แล้วคนอย่างอู่เยวี่ยจะมีกะจิตกะใจไปสอบได้ไหม!


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)