เทพปีศาจหวนคืน 1347-1353

 บทที่ 1347 ตระกูลช่าย

 

เขาเริ่มการทดสอบ


 


ขั้นแรก ฟางหยวนเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์


 


ขั้นที่สอง เขากระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะความคิดวัชระและวิญญาณระดับมนุษย์อีกมากมาย


 


ขั้นที่สามและเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เขากระตุ้นใช้วิญญาณอมตะความระมัดระวัง


 


“พรวด!”


 


ฟางหยวนในร่างเต่าพยากรณ์พ่นเลือดคำโตออกมา ในมิติช่องว่างของเขาวิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากถูกทำลาย แต่โชคดีที่วิญญาณอมตะไม่ได้รับความเสียหาย


 


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที


 


โชคดีที่เขาอยู่ในร่างเต่าพยากรณ์ สัตว์อสูรบรรพกาลมีร่างกายที่แข็งแกร่งและสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากเขาอยู่ในร่างมนุษย์ อาการบาดเจ็บของเขาจะรุนแรงกว่านี้


 


‘มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?’ ฟางหยวนตะลึง


 


สิ่งนี้แตกต่างจากที่เขาคิด


 


ก่อนที่วิญญาณอมตะความระมัดระวังจะแสดงพลังอำนาจของมันออกมา ท่าไม้ตายก็ล้มเหลวไปแล้ว


 


ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะความใคร่และวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาดวงอื่นๆอนุมานท่าไม้ตายนี้ ข้อผิดพลาดร้ายแรงดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้น


 


นี่ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่


 


หลังจากกู้ฟื้นอาการบาดเจ็บ เขาสงบจิตใจลงและพิจารณาท่าไม้ตายอมตะนี้อีกครั้ง


 


หลังจากอนุมานหลายครั้ง ฟางหยวนรู้สึกแปลกใจ ‘ไม่มีปัญหางั้นหรือ?’


 


ทันใดนั้นเขาพลันเกิดแรงบันดาลใจบางอย่าง ‘ข้าเข้าใจแล้ว!’


 


ฟางหยวนเข้าใจทันทีว่าปัญหาอยู่ที่ใด


 


เขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิญญาณอมตะความระมัดระวัง


 


เมื่อวิญญาณอมตะความระมัดระวังถูกใช้งาน มันไม่ได้แสดงพลังอำนาจในลมหายใจที่สิบแต่เป็นลมหายใจที่สิบเอ็ด เนื่องจากความผิดพลาดเล็กๆนี้ ท่าไม้ตายอมตะของเขาจึงล้มเหลว


 


‘ผู้ใดจะคิดว่าปัญหาจะอยู่ที่นี่ มันเป็นจุดบอดอย่างแท้จริง!’


 


‘ดูเหมือนข้าต้องเพิ่มวิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลาบางดวงเพื่อเติมเต็มช่องว่างความแตกต่างของเวลา’ ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของฟางหยวนอยู่ในระดับสามัญ มันไม่เพิ่มขึ้นเพราะเขาไม่เคยพบอาณาจักรแห่งความฝันบนเส้นทางแห่งกาลเวลา


 


อย่างไรก็ตามเขามีมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน มันสามารถชดเชยจุดอ่อนบางอย่าง


 


แต่ด้วยเหตุนี้การอนุมานจึงไม่สามารถทำได้ทันที


 


หนึ่งวันผ่านไปโดยที่ฟางหยวนไม่ได้พักผ่อน


 


สองวันผ่านไปฟางหยวนยังคงอนุมาน


 


สามวันผ่านไปคฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูก็เกือบมาถึงแล้ว


 


ในที่สุดการอนุมานของฟางหยวนก็มีความคืบหน้าบางอย่าง


 


หลังจากมีความก้าวหน้าในเชิงคุณภาพ การอนุมานในอนาคตของเขาก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น


 


…..


 


ภาคใต้ เทือกเขาควันมนุษย์


 


สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนและหมู่บ้านของมนุษย์ธรรมดา


 


ในแง่ของความแข็งแกร่ง ผู้อมตะสามารถกวาดล้างสถานที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถต้านทานพลังอำนาจของผู้อมตะ


 


จุดศูนย์กลางของเทือกเขาคือแกนกลางทางการเมืองของทุกหมู่บ้าน มันคือภูเขาควันมนุษย์


 


แท้จริงแล้วมันคือฐานทัพของตระกูลช่าย


 


ผู้ก่อตั้งตระกูลช่ายคือช่ายฝู เขาได้ทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์


 


ในยุคของเขา เขาเป็นตัวตนอันดับหนึ่งในโลกผู้อมตะภาคใต้ เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟและปฐพี เขาได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานมนุษย์คนแรกและสามารถสร้างท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งมนุษย์ หลายปีผ่านไปเขาสร้างตระกูลช่ายและตั้งถิ่นฐานอยู่บนภูเขาควันมนุษย์


 


ในความเป็นจริงมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งมนุษย์ซ่อนอยู่ในตำนานมนุษย์คนแรก


 


มันมีวิธีรับสืบทอดมรดกที่แตกต่าง


 


เพราะมันมีเพียงข้อมูล สิ่งที่ผู้อมตะได้เรียนรู้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขา


 


ทุกคนจะได้รับสิ่งที่แตกต่างกัน ผู้มีเมตตาจะเห็นกุศลธรรม ผู้มีปัญญาจะเห็นปัญญา เทพอมตะและเทพปีศาจต่างได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบของตนเอง ตัวอย่างเช่นเทพอมตะตะวันเดือดสามารถสร้างโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและโชคแห่งสวรรค์พิภพหลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับตำนานมนุษย์คนแรก


 


ช่ายฝูทิ้งมรดกบนเส้นทางแห่งมนุษย์ของเขาเอาไว้ให้กับบุตรหลาน


 


นั่นทำให้กลยุทธ์ของตระกูลช่ายแตกต่างจากกองกำลังอื่น พวกเขามุ่งเน้นไปที่การเพิ่มจำนวนประชากรมนุษย์


 


สำหรับกองกำลังใหญ่อื่นๆ พวกเขามักให้ความสำคัญกับสายเลือดและอนุญาตให้สมาชิกของตระกูลเติบโตขึ้นที่โลกภายนอก


 


นอกจากนั้นพวกเขาจะเก็บสมาชิกบางส่วนไว้ในแดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์ในฐานะสายเลือดสาขา เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นและสายเลือดหลักหมดไป สายเลือดสาขาจะเข้าแทนที่


 


ตระกูลช่ายขยายจำนวนประชารกแต่คนเหล่านั้นไม่มีสายเลือดของตระกูลช่าย


 


หากตระกูลอื่นทำเรื่องเช่นนี้ พวกเขาจะพบปัญหาและต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเลี้ยงดูคนนอก ผู้ใช้วิญญาณที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันจะทำให้ความจงรักภักดีต่อตระกูลลดน้อยลง พวกเขาไม่มีค่าพอที่จะเลี้ยงดูจนกลายเป็นผู้อมตะ หากพวกเขากลายเป็นผู้อมตะด้วยตนเอง มันจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกเขากับตระกูลหลัก


 


แต่ตระกูลช่ายแตกต่างออกไป


 


พวกเขาเลี้ยงดูมนุษย์จำนวนมาก แต่มนุษย์เหล่านี้มีพรสวรรค์ต่ำ มีผู้ใช้วิญญาณไม่กี่คนในหมู่พวกเขาโดยไม่ต้องกล่าวถึงผู้อมตะ


 


ในทางตรงข้ามคนที่มีพรสวรรค์สูงถือกำเนิดขึ้นในตระกูลช่ายอย่างต่อเนื่อง มีหลายคนที่มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ


 


สิ่งนี้ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกองกำลังอื่น


 


จากการคาดเดาของนอกคน สถานการณ์ที่ผิดปกติของตระกูลช่ายมีแนวโน้มที่จะเกิดจากมรดกบนเส้นทางแห่งมนุษย์ของช่ายฝู


 


อย่างไรก็ตามแม้ตระกูลช่ายจะมีบุตรหลานที่เป็นอัจฉริยะมากมาย แต่พวกเขามีทรัพยากรที่จำกัด ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสี่หรือห้าเท่านั้น


 


ลักษณ์เด่นของภาคใต้นอกเหนือจากภูเขาก็คือแม่น้ำใหญ่สามสาย


 


แม่น้ำมังกรแดง แม่น้ำมังกรหยก และแม่น้ำมังกรเหลือง


 


แม่น้ำมังกรแดงเริ่มจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือและเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้


 


แม่น้ำมังกรหยกเริ่มจากทิศเหนือไหลลงสู่ทิศใต้


 


แม่น้ำมังกรเหลืองมีลักษณะโค้งจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก


 


แม่น้ำมังกรหยกและแม่น้ำมังกรเหลืองไม่มีจุดตัดกันแต่แม่น้ำมังกรแดงตัดกับแม่น้ำมังกรหยกและแม่น้ำมังกรเหลือง


 


ที่จุดตัดระหว่างแม่น้ำมังกรแดงและแม่น้ำมังกรเหลือง มันคืออาณาเขตของตระกูลวู ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มันคือภูเขาผีดิบ


 


สำหรับจุดตัดระหว่างแม่น้ำมังกรแดงและแม่น้ำมังกรหยก มันเป็นวังวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำพุจิตวิญญาณธรรมชาติ


 


ณ สถานที่แห่งนี้ ฐานทัพของกองกำลังใหญ่สามกองกำลังตั้งอยู่


 


ตระกูลช่ายอยู่ทางเหนือ ตระกูลปาอยู่ทางใต้ ขณะที่ตระกูลเซี่ยอยู่ทางทิศตะวันออก


 


ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ห้องประชุมของตระกูลช่ายตกอยู่ในความโกลาหล


 


และตอนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลช่ายนั่งอยู่ต่อหน้าทุกคนด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงความลังเลใจ


 


เมื่อไม่นานมานี้ฟางหยวนส่งจดหมายถึงเขา ในจดหมายฟางหยวนในฐานะวูอี้ไห่ซึ่งเป็นตัวแทนของตระกูลวูขอความร่วมมือจากตระกูลช่ายเพื่อโจมตีตระกูลเซี่ยและตระกูลปา


 


นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลช่ายต้องรวบรวมผู้อมตะของตระกูลมาเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


ความโกลาหลในห้องประชุมเกิดจากสิ่งนี้


 


“เราไม่สามารถโจมตีตระกูลปาและตระกูลเซี่ย! ความตั้งใจของตระกูลวูคือการใช้ประโยชน์จากพวกเราเพื่อกำจัดแรงกดดันภายนอก หากพวกเราเคลื่อนไหว ตระกูลช่ายต้องเผชิญหน้ากับสองกองกำลังใหญ่พร้อมกัน กองกำลังทั้งสองจะเพิกเฉยต่อตระกูลวูและหันหามาพวกเรา เราจะก้าวเข้าสู่หายนะและไม่สามารถหวนกลับ!” ผู้อมตะตระกูลช่ายผู้หนึ่งยืนตะโกนเสียงดังอยู่กลางห้องประชุม


 


เพียงเมื่อเขากล่าวจบประโยค ผู้อมตะอีกคนก็เปิดปากเสนอ “เราสามารถเลือกโจมตีตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แม้ตระกูลวูจะร้องขอให้พวกเราต่อสู้กับสองตระกูล แต่เราสามารถเจรจาเรื่องนี้ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับพวกเรา”


 


“เห้อ…เรื่องนี้ร้ายแรงเกินไป ตระกูลช่ายของเรามีมนุษย์อยู่มากมาย หากเราเข้าสู่การต่อสู้ เพียงผู้อมตะคนเดียวของฝ่ายตรงข้ามก็สามารถกำจัดมนุษย์ทั้งหมดของเรา พวกเราจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่” ผู้อมตะชราถอนหายใจและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล


 


เนื่องจากวิธีบนเส้นทางแห่งมนุษย์ มนุษย์เหล่านั้นจึงไม่สามารถออกจากเทือกเขาควันมนุษย์ ดังนั้นตระกูลช่ายจึงต้องใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะหรือคฤหาสน์วิญญาณอมตะเพื่อปกป้องสถานที่แห่งนี้


 


“เราต้องต่อสู้เพื่อทรัพยากรที่มากขึ้น!”


 


“ถูกต้อง ข้อได้เปรียบของตระกูลช่ายคือเรามีวิธีบนเส้นทางแห่งมนุษย์เพื่อให้กำเนิดบุตรหลานที่เป็นอัจฉริยะ แต่เรามีทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูพวกเขา หากเราสามารถขับไล่หนึ่งหรือสองกองกำลังออกไป พวกเราจะได้รับทรัพยากรจำนวนมหาศาล พวกเราจะกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ในเวลาไม่นาน!”


 


นี่เป็นข้อโต้แย้งของฝ่ายที่ต้องการต่อสู้


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลช่ายยังเงียบ หลังจากชั่วครู่ เขากวาดตามองผู้อาวุโสสูงสุดผู้หนึ่งที่อยู่ในห้องประชุมและเปิดปากถาม “โหย่วเยี่ยน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

 

 

 


บทที่ 1348 สถานการณ์ผ่อนคลาย

 

ห้องประชุมเงียบลง ทุกคนมองไปยังผู้อมตะผู้นี้


 


เขาเป็นผู้อมตะวัยเยาว์ที่ดูไม่โดดเด่นนัก แต่เขาเป็นผู้อมตะคนสำคัญของตระกูลช่าย เขาเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลช่าย


 


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูล ช่ายโหย่วเยี่ยน คิดก่อนกล่าว “สิ่งที่ข้าคิดอาจแตกต่างจากทุกท่าน หลายวันมานี้ข้าประเมินวูอี้ไห่มาตลอด”


 


“วูหยงหายตัวไปและอาจตายไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่และมีผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลัง วูอี้ไห่ก็กลายเป็นผู้นำของตระกูลวูในเวลานี้ ข้ากำลังคิดถึงบุคลิกของเขาและความจริงใจของเขา”


 


“เราทุกคนรู้ต้นกำเนิดของวูอี้ไห่ แต่เรายังรู้จักเขาน้อยเกินไป เขาไม่ได้เติบโตขึ้นในภาคใต้”


 


“อืม กล่าวต่อไป” สายตาของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลช่ายแสดงให้เห็นถึงความสนใจ


 


ช่ายโหย่วเยี่ยนยิ้มก่อนกล่าวต่อ “แท้จริงแล้วเรารู้ข้อมูลเหล่านี้ของวูอี้ไห่ ดังนั้นข้าจะข้ามมันไป จากข้อมูลนี้เราสามารถเข้าใจทัศนคติและบุคลิกของเขาไม่มากก็น้อย ข้าจะกล่าวถึงบางสิ่งที่ทุกคนอาจละเลย”


 


“โอ้ พวหเราละเลยสิ่งใด?”


 


ช่ายโหย่วเยี่ยนลูบจมูกของเขา “ข้าหมายถึงจดหมายฉบับนั้น ในจดหมายของวูอี้ไห่ เขาต้องการร่วมมือกับตระกูลของเราเพื่อโจมตีตระกูลปาและตระกูลเซี่ย เขาไม่ได้เลือกตระกูลปาหรือตระกูลเซี่ย แต่เขาเลือกที่จะโจมตีทั้งสองตระกูล”


 


“ตระกูลวูมักทำตัวหยิ่งผยอง ไม่ใช่ว่านี่เป็นเรื่องปกติของพวกเขางั้นหรือ?” ผู้อมตะตระกูลช่ายบางคนไม่เข้าใจ


 


“ไม่ ไม่ ไม่ วูอี้ไห่แตกต่างออกไป” ช่ายโหย่วเยี่ยนส่ายศีรษะ “พวกเรารู้ว่าเขาจัดการกับยอดเขาเยือกแข็งอย่างไรและสร้างข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาอย่างไร การกระทำของเขาคล้ายผู้บ่มเพาะสันโดษ นานเท่าใดแล้วตั้งแต่เขากลับเข้าสู่ตระกูลวู?”


 


“วูอี้ไห่ไม่มีนิสัยหยิ่งผยองของตระกูลวู แต่เขามีความเฉลียวฉลาดของผู้บ่มเพาะสันโดษ เขารู้วิธีเจรจาต่อรอง จากสิ่งที่ข้าเห็น เขามีพรสวรรค์ที่จะเป็นสมาชิกฝ่ายธรรมะ”


 


“เหตุใดเขาเลือกตระกูลปาและตระกุลเซี่ยเป็นเป้าหมาย? เช่นเดียวกับที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ เหตุใดเขาถึงไม่เลือกโจมตีหนึ่งจากสองและสร้างพันธมิตรกับอีกหนึ่ง? เพราะเมื่อพวกเราร่วมมือกับตระกูลวู หากพวกเราเลือกโจมตีหนึ่งในสอง อีกหนึ่งจะนิ่งเฉยงั้นหรือ? พวกเขาจะทำงานร่วมกันและต่อต้านตระกูลวูกับตระกูลของพวกเราอย่างแน่นอน!”


 


ผู้อมตะตระกูลช่ายพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อได้ยินเรื่องนี้


 


ตระกูลช่าย ตระกูลปา และตระกูลเซี่ย ฐานทัพของทั้งสามกองกำลังรวมตัวอยู่รอบๆแม่น้ำมังกรแดงและแม่น้ำมังกรหยก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาค่อนข้างซับซ้อน หากกองกำลังใดกองกำลังหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น อีกสองกองกำลังจะร่วมมือกันเพื่อต่อต้าน


 


ทั้งสามอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรักษาสมดุลของขั้วอำนาจ นี่เป็นสาเหตุที่ตระกูลช่ายไม่มีความก้าวหน้าหลังจากหลายปี


 


หากตระกูลช่ายทำงานร่วมกับตระกูลวู สมดุลจะเปลี่ยนไป แล้วตระกูลปาและตระกูลเซี่ยจะไม่ร่วมมือกันได้อย่างไร?


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงระบุโดยตรงว่าทั้งสองกองกำลังเป็นเป้าหมายของเขา เพราะเขารู้ว่ามันต้องเกิดขึ้น!


 


“หมายความว่าวูอี้ไห่เป็นคนมองการณ์ไกล เนื่องจากเขาขอความร่วมมือจากพวกเรา เขาต้องเตรียมการเอาไว้หลายอย่าง เราไม่ต้องกังวลว่าตระกูลวูจะล้อเล่นกับพวกเรา” บางคนกล่าว


 


ช่ายโหย่วเยี่ยนพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการกล่าว วูอี้ไห่มีความสามารถทางการเมืองที่น่าประทับใจ จากรายละเอียดทั้งหมด ข้าเห็นถึงความจริงใจอย่างมากของเขาที่จะสร้างความร่วมมือกับพวกเรา”


 


“ความจริงก็คือตระกูลช่ายของเราต้องเคลื่อนไหว”


 


“หลังจากทั้งหมดนี่เป็นโอกาสที่เราจะสามารถปราบปรามตระกูลปาและตระกูลเซี่ย มันอาจไม่ง่าย แต่นี่จะเป็นการทำงานหนักเพื่อชนรุ่นถัดไป แน่นอนว่าเราต้องพึ่งพาโชคอีกเล็กน้อย”


 


“หากปล่อยให้ตระกูลปาและตระกูลเซี่ยดูดกลืนทรัพยากรมากขึ้น รากฐานของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น ข้อได้เปรียบของพวกเราจะหมดไปในที่สุด”


 


“แน่นอนว่าพวกเรายังต้องระวังตระกูลวูแม้พวกเราจะทำงานร่วมกับพวกเขาก็ตาม”


 


“แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องส่งผู้อมตะออกไปโจมตี เราไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลปาและตระกูลเซี่ยขยายอิทธิพลของพวกเขาได้อย่างง่ายดายถูกต้องหรือไม่?”


 


คำกล่าวของเขาทำให้ผู้อมตะทั้งหมดของตระกูลช่ายพยักหน้าเห็นด้วยทันที


 


…..


 


ในเวลาเดียวกัน


 


ภาคใต้ ภูเขาหมื่นอสรพิษ ฐานทัพของตระกูลจื่อ


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อถือวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลเอาไว้ในมือ


 


ตระกูลจื่ออยู่ทางทิศตะวันตกของภาคใต้ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพวกเขาคือตระกูลหยางขณะที่ทิศตะวันออกคือตระกูลเฉียว


 


ฐานทัพของตระกูลจื่อตั้งอยู่ระหว่างสองตระกูลนี้ แต่ตระกูลหยางอยู่ไกลกว่า


 


ตระกูลจื่อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตระกูลหยาง ภูเขาหัตถ์วิญญาณของตระกูลหยางตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำมังกรเหลืองและเต็มไปด้วยทรัพยากร ผู้อมตะส่วนใหญ่ของตระกูลหยางมักบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ พวกเขามีพลังการต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่อและเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลจื่อ


 


ในอดีตตระกูลหยางและตระกูลจื่อมีความขัดแย้งมากมาย


 


ห่างจากตระกูลหยางไปทางทิศตะวันออกเป็นอาณาเขตของตระกูลวู


 


แท้จริงแล้วตระกูลวูกับตระกูลจื่ออยู่ไม่ไกลกันมากนัก แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ติดกัน แต่ตระกูลเฉียวและตระกูลจื่อก็อยู่ติดกัน


 


ตระกูลเฉียวได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวูในบางรุ่น ฐานทัพของตระกูลเฉียวตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของภาคใต้และติดกับตระกูลปา ตระกูลเซี่ย รวมถึงตระกูลจื่อ พวกเขาถือเป็นแนวป้องกันด้านหน้าของตระกูลวู


 


ตระกูลจื่อกับตระกูลเฉียวมีความขัดแย้งกันบ้างเช่นกัน แต่ทุกคนรู้ว่าตระกูลเฉียวเป็นสุนัขเฝ้าบ้านของตระกูลวู ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจื่อและตระกูลวูจึงดีบ้างไม่ดีบ้าง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์


 


กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างคลุมเครือ


 


ไม่นานมานี้ตระกูลจื่อมีปัญหากับตระกูลวู แต่ในค่ายกลวิญญาณพวกเขายังทำงานร่วมกันและสร้างธุรกิจซื้อขายโอกาส


 


“วูอี้ไห่ เจ้ากำลังสร้างปัญหาให้ข้า” ในห้องทำงาน ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยูถอนหายใจ


 


ฟางหยวนขอความร่วมมือจากตระกูลจื่อเพื่อจัดการตระกูลหยาง


 


ในความเป็นจริงจื่อชิวหยูรู้สึกประทับใจเพราะเขารู้ว่านี้เป็นโอกาสที่ดี มันเป็นโอกาสที่หายาก


 


ทุกกองกำลังต้องเติบโตขึ้น ตระกูลจื่อต้องการยึดทรัพยากรของตระกูลหยาง แม้พวกเขาจะทำไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยมันก็จะทำให้ตระกูลหยางอ่อนแอลง นี่คือผลประโยชน์ของตระกูลจื่อ


 


ตระกูลจื่อมีกำลังเพียงพอที่จะทำสิ่งนี้


 


ไม่เพียงเพราะฐานทัพของพวกเขาที่อยู่ไม่ไกล แต่พวกเขายังมีความเชี่ยวชาญด้านค่ายกล แหล่งทรัพยากรทั้งหมดของพวกเขามีการป้องกันที่น่าเหลือเชื่อ


 


ตระกูลจื่อมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะสองหลังและต้องไม่ลืมว่าจื่อชิวหยูเป็นผู้อมตะระดับแปด


 


ข่าวการเสียชีวิตของวูหยงแพร่กระจายออกไปและทำให้ภาคใต้ตกสู่ความโกลาหล


 


ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย ตระกูลจื่อจะทำอย่างไร จื่อชิวหยูต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด!


 


…..


 


หลายวันต่อมา ฟางหยวนก็ออกจากการปิดประตูฝึกตน


 


ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความสุขเล็กน้อย


 


เขาได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้ ท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์และผ่านการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง


 


และในช่วงสองสามวันมานี้สถานการณ์ของภาคใต้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก


 


ตระกูลช่ายส่งผู้อมตะมาและแสดงท่าทีคุกคาม ตระกูลปากับตระกูลเซี่ยต้องรวบรวมกองกำลังส่วนหนึ่งกลับฐานทัพเพื่อป้องกันตัว


 


ผู้อมตะตระกูลจื่อบุกโจมตีอาณาเขตของตระกูลหยางโดยตรง ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกันมานาน มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหาข้ออ้างในการกระทำนี้


 


ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันใกล้กับเทือกเขาของพวกเขา


 


ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของตระกูลจื่อกระตือรืนร้นมาก เขานำคฤหาสน์วิญญาณอมตะบุกโจมตีด้วยตนเอง สิ่งนี้ทำให้ตระกูลหยางรู้สึกหวาดกลัว พวกเขาต้องส่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะและผู้อมตะจำนวนหนึ่งออมาต่อต้าน สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือตระกูลหยางไม่มีผู้อมตะระดับแปด สถานะของพวกเขาไม่ได้โดดเด่นมากนัก


 


นอกจากนั้นตระกูลลั่ว ตระกูลไป่ และตระกูลอี้ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน


 


เพราะฟางหยวนส่งจดหมายไปถึงตระกูลเหล่านี้ แน่นอนว่าเนื้อหาในจดหมายต่างจากตระกูลช่ายและตระกูลจื่อ


 


ท้ายที่สุดทั้งสี่ตระกูลนี้ก็อยู่ใกล้กันเกินไป พวกเขาทั้งหมดอยู่ทางทิศตะวันออกของภาคใต้


 


แต่ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวของตระกูลเหล่านี้ก็ดึงดูดความสนใจของตระกูลฮั่วและตระกูลเหยา พวกเขาถูกบังคับให้เคลื่อนไหวเพราะพวกเขารู้ว่าแม้ตระกูลเหล่านี้จะไม่โจมตี แต่พวกเขาก็ยังต้องป้องกันตัว


 


สำหรับตระกูลเฉิง ตระกูลนี้มักปฏิบัติตนอย่างเป็นกลางเสมอ แม้ฟางหยวนจะส่งจดหมายไป พวกเขาก็ปฏิเสธทันที


 


เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเหล่านี้ สถานการณ์อันตรายของตระกูลวูกับตระกูลเฉียวจึงผ่อนคลายลง


 


ผู้อมตะของตระกูลวูและตระกูลเฉียวตกตะลึงกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างมาก


 


แม้ฟางหยวนจะส่งจดหมายออกไปเพียงสองสามฉบับ แต่เขาก็สามารถโน้มน้าวให้กองกำลังใหญ่ลงมือ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความในจดหมายของเขาต้องระบุทรัพยากรที่ตระกูลวูเต็มใจเสียสละเพื่อแสดงความจริงใจ


 


ฟางหยวนจัดการสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเกินกว่าจินตนาการของทุกคนไปไกลมาก


 


มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เนื้อหาภายในจดหมายของเขา แต่ทุกคนรู้ว่าจดหมายเหล่านี้สามารถบังคับให้ผู้อมตะจำนวนมากของกองกำลังใหญ่เหล่านี้เคลื่อนไหว สิ่งนี้ทำให้ตระกูลวูและตระกูลเฉียวมีเวลารับมือกับสถานการณ์


 


‘ดูเหมือนทักษะของข้าไม่ได้ลดลงมากนัก’ ห้าร้อยปีในชีวิตแรกของฟางหยวน เขาเคยเป็นผู้นำองค์กร ในสงครามห้าภูมิภาค สถานการณ์ทางการเมืองวุ่นวายมากขึ้น ทั้งห้าภูมิภาคเชื่อมต่อกัน การหลอกลวง แผนการ การทรยศทุกประเภทเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบสิ้น


 


กล่าวได้ว่าความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบันของตระกูลวูกับตระกูลเฉียวยังไม่ถือเป็นสิ่งใดสำหรับฟางหยวน


 


ในความคิดเห็นของเขา มันไม่ได้ซับซ้อน


 


เขาไม่จำเป็นต้องคิดให้มากนักและสามารถกำหนดเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาได้โดยตรง


 


‘ในที่สุดคฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูก็กำลังจะมาถึง?’ ฟางหยวนได้รับข้อมูลเพิ่มเติม


 


เดิมทีคฤหาสน์วิญญาณอมตะต้องมาถึงก่อนหน้านี้ แต่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นระหว่างทางทำให้มันล่าช้าออกไป ไม่ว่าคนร้ายจะเป็นผู้ใดหรือมีเจตนาใด ฟางหยวนก็ต้องรออีกหนึ่งวันก่อนที่คฤหาสน์วิญญาณอมตะจะมาถึง


 


‘ดูเหมือนข้าต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้’ ฟางหยวนถอนหายใจและรู้สึกไม่เต็มใจที่จะละทิ้งอาณาจักรแห่งความฝันที่เขาทุ่มเทความพยายามมากมายเพื่อมัน

 

 

 


บทที่ 1349 ฆ่าเทพธิดากระต่ายขาว

 

ฟางหยวนจัดการปัญหาต่างๆ ระหว่างการปิดประตูฝึกตน


 


“เทพธิดากระต่ายขาวต้องการพบข้าเพื่อสิ่งใด?” ฟางหยวนถามวูอันโดยใช้วิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูล


 


ในไม่ช้าฟางหยวนก็เข้าใจเจตนาของเทพธิดากระต่ายขาว


 


“ไม่พบ ปล่อยนางไป” ฟางหยวนปฏิเสธอย่างไร้ปรานี


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูจะมาถึงภายในหนึ่งวัน


 


ฟางหยวนจะไม่พาเทพธิดากระต่ายขาวไปด้วย เขาต้องวางหมากบางตัวไว้ที่นี่ แม้นางจะไม่ได้อยู่ในค่ายกลวิญญาณ แต่นางก็ยังมีประโยชน์


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเทพธิดากระต่ายขาวกับวูอี้ไห่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี


 


แต่ตัวหมากจำเป็นต้องแสดงคุณค่าของมัน ฟางหยวนยอมรับเทพธิดากระต่ายขาวไม่ใช่เพราะความงามหรือความรัก เขาเพียงต้องการดึงคุณค่าทั้งหมดของนางออกมาเท่านั้น


 


“แม้จะเหลือเวลาเพียงหนึ่งวัน ข้าก็จะไม่ทิ้งโอกาสไป ข้าอาจได้รับบางสิ่งจากอาณาจักรแห่งความฝัน”


 


แต่น่าเสียดายที่ฟางหยวนยังพบกับอาณาจักรแห่งความฝันที่ไร้สาระ


 


โชคของเขาค่อนข้างแย่ หากมันเป็นอาณาจักรแห่งความฝันที่เกิดจากประสบการณ์จริง อย่างน้อยเขาก็จะได้รับบางสิ่ง


 


“ข้าได้ยินว่าตระกูลเฉียวมีอาณาจักรแห่งความฝันที่เกิดจากประสบการณ์จริงมากมาย น่าเสียดาย…ปีศาจอมตะเหล่านั้นไม่มีวิธีคลี่คลายความฝันแต่พวกเขากลับพบอาณาจักรแห่งความฝันที่ดี”


 


ฟางหยวนไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ของตระกูลเฉียว หากเขาเปิดเผยวิธีสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน เขาจะพบปัญหาร้ายแรง


 


พื้นที่ตระกูลเฉียว


 


“มีเวลาอีกหนึ่งวันก่อนที่เราจะออกเดินทาง ใช้เวลาของท่านให้คุ้มค่า นอกจากนี้ตระกูลเฉียวของเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะซื้อทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันที่ท่านพบ” เฉียวป๋อมาส่งเทพธิดาเมี่ยวหยินและปีศาจอมตะอีกสองคน


 


“ไม่จำเป็นต้องสำรวจเพิ่มเติม ข้าจะจบมันในตอนนี้” เทพธิดาเมี่ยวหยินเผยรอยยิ้มให้เฉียวป๋อ


 


เฉียวป๋องุนงง


 


เขานำเทพธิดาเมี่ยวหยินมาที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเทพธิดาเมี่ยวหยินเผยรอยยิ้มที่มีความหมาย


 


หัวใจของเขาพองโตขึ้นขณะที่การแสดงออกกลายเป็นมึนงง


 


ในไม่ช้าร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน


 


เสียงที่แผ่วเบาดังขึ้น


 


รูม่านตาของเฉียวป๋อหดเล็กลง เขาก้มหน้ามองที่หน้าอกของตนและพบกรงเล็บอันแหลมคมแทงทะลุหัวใจของเขาโดยตรง


 


“กล้าดีอย่างไร…” เฉียวป๋อยังกล่าวไม่จบแต่ชีวิตของเขาจบสิ้นไปแล้วพร้อมกับร่างกายที่กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง


 


เฉียวป๋อตาย!


 


จากด้านหลัง ไป่หนิงปิงดึงมือของนางออกมาอย่างไร้ความรู้สึก


 


“ได้เวลาแล้ว มาเริ่มกันเถอะ” ผู้อมตะคนที่สามเดินออกมา รูปลักษณ์ของนางเปลี่ยนแปลงไป


 


ไห่ลั่วหลัน!?


 


…..


 


“ท่านวูอี้ไห่ไม่ต้องการพบข้าจริงๆงั้นหรือ?” เทพธิดากระต่ายขาวน้ำตาซึมขณะมองวูอัน


 


วูอันถอนหายใจและส่ายศีรษะ “ไปเถอะ เจ้ายังมีโอกาสในอนาคต ตราบเท่าที่เจ้าจัดการธุรกิจซื้อขายโอกาสได้ดี บางทีท่านวูอี้ไห่อาจตอบแทนเจ้าในอนาคต”


 


“จัดการได้ดีงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า” ดวงตาของเทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนเป็นสีดำและส่องประกายเย็นชา


 


เห็นการเปลี่ยนแปลงดังนั้น วูอันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “เทพธิดากระต่ายขาว เจ้ากำลังทำสิ่งใด? อย่าใช้ความรุนแรง”


 


เสียงของเทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนไปเช่นกัน “อย่าพูดถึงกระต่ายขาว! ข้าไม่ใช่หญิงอ่อนแอและโง่เขลาที่หลงรักชายไร้หัวใจผู้นี้ จำไว้ ข้าคือเสือดำ!”


 


“หือ เสือดำอันใด? ถึงเวลาต้องมอบบทเรียนให้เจ้าบ้างแล้ว แม้ตระกูลวูของข้าจะอยู่ในจุดที่ยากลำบาก แต่ตัวละครเล็กๆเช่นเจ้าก็อย่าลืม…อา…” ก่อนที่วูอันจะกล่าวจบ ใบหน้าของเขาก็แสดงออกด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด


 


เขาพบว่าตนเองไม่สามารถเคลื่อนไหว ไม่เพียงร่างกายกระทั่งจิตวิญญาณของเขาก็กำลังหลอมละลาย


 


“นี่…ท่าไม้ตายอมตะ…ข้าถูกโจตีเมื่อใด…”


 


เสียงอันเย็นเยียบของนางเสือดำดังเข้าหูวูอัน “น่าสนุก เดิมทีมันมีไว้สำหรับวูอี้ไห่ น่าเสียดายที่ข้าไม่พบเขา”


 


หลังกล่าวจบคำ ร่างของวูอันก็ละลายกลายเป็นแอ่งน้ำสีดำ


 


วูอันตาย!


 


…..


 


“บึม บึม บึม”


 


ค่ายกลวิญญาณถูกโจมตี


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะตอบสนองทันที


 


“มีบางคนโจมตีค่ายกลวิญญาณ!” ในไม่ช้าจื้อกุ้ยของตระกูลจื่อก็พบปัญหาและแจ้งกลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะ


 


หัวใจของกลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะจมดิ่งลง


 


ค่ายกลวิญญาณนี้มีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก แต่การถูกโจมตีจากภายในและภายนอกเป็นสองสถานการณ์ที่แตกต่างกัน


 


ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโจมตีจากภายในอันตรายมากกว่า


 


“ปัญหาอยู่ที่อาณาเขตของตระกูลเฉียว” ผู้อมตะที่อยู่ใกล้กับตระกูลเฉียวกระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว


 


“บัดซบ! ข้าบอกแล้วว่าธุรกิจซื้อขายโอกาสจะสร้างปัญหา ตระกูลเฉียวกำลังเล่นกับไฟ! ดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น!” ปาฉวนฟงตะโกนต่อว่าเพราะตระกูลปาไม่มีส่วนร่วมในธุรกิจนี้


 


ได้ยินคำกล่าวนี้ ผู้อมตะคนอื่นๆก็เงียบเสียงลง


 


“อย่ากังวล ผู้อาวุโสตระกูลจื่อของข้าเตรียมพร้อมรับกับสิ่งนี้ไว้แล้ว ค่ายกลวิญญาณนี้มีแนวป้องกันสี่ชั้น ปีศาจอมตะไม่สามารถทำลายแม้แต่ชั้นนอกสุดของเรา” จื่อกุ้ยพยายามยกขวัญกำลังใจและบรรเทาสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเพราะตระกูลจื่อเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งธุรกิจซื้อขายโอกาส


 


“ถูกต้อง พวกมันเป็นเพียงหนูสกปรกตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น” ผู้อมตะคนอื่นๆสงบจิตใจลง


 


แต่ในเวลานี้


 


“บึม บึม บึม!”


 


เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลวิญญาณเกิดการสั่นสะเทือน วิญญาณจำนวนมากถูกทำลาย


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


จื่อกุ้ยตกใจมาก “พวกเขาพบแกนกลางของค่ายกลวิญญาณงั้นหรือ? โอ้ ไม่ ฝ่ายตรงข้ามเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้โจมตีพวกเราอย่างกะทันหัน”


 


“พวกเขาโจมตีจากทั้งภายในและภายนอก มันกระทั่งรุนแรงกว่าก่อนหน้า”


 


“หยุดพวกเขา!”


 


“กระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณเร็วเข้า!”


 


“ส่งคนไปยังจุดเกิดเหตุและกำจัดปีศาจเหล่านั้น!”


 


“ผู้อมตะตระกูลวูและตระกูลเฉียวตายไปหมดแล้วงั้นหรือ? ยังมีผู้ใดอยู่ที่นั่นหรือไม่?”


 


กลุ่มผู้อมตะถ่ายทอดเสียงท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ในห้องโถงของตระกูลวู คิ้วของฟางหยวนขมวดแน่น


 


เขากำลังฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะขณะที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เขาไม่มีเวลาเตรียมตัว


 


ข้อมูลถูกส่งมายังฟางหยวนและทำให้เขาตระหนักว่าเทพธิดากระต่ายขาวสังหารวูอันไปแล้ว


 


“เทพธิดากระต่ายขาวทรยศ ดูเหมือนนางจะกลายเป็นอีกคน แท้จริงแล้วเป้าหมายของนางคือข้า!” ฟางหยวนขมวดคิ้วลึก


 


เขาตัดสินใจฆ่าเทพธิดากระตายขาวเพื่อแก้แค้นให้วูอัน


 


มันไม่ใช่เพียงเพราะตัวตนของวูอี้ไห่แต่ฟางหยวนจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพของค่ายกลวิญญาณ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกำจัดเทพธิดากระต่ายขาว


 


“ผู้ใดจะคิดว่าจะเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ อี้ไห่ ค่ายกลวิญญาณส่วนของข้าอยู่นอกเหนือการควบคุมไปแล้ว ช่วยข้าด้วย”


 


เฉียวซื่อหลิวถ่ายทอดเสียงมาขอความช่วยเหลือจากฟางหยวนและส่งฉากที่ไป่หนิงปิงสังหารเฉียวป๋อมาด้วย


 


เมื่อได้รับข้อมูลนี้ ความคิดของฟางหยวนกลายเป็นว้าวุ่น


 


‘ไป่หนิงปิง? ไห่ลั่วหลัน! เหตุใดพวกนางถึงมาที่นี่? โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว นี่คือการกระทำของนิกายเงา!’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้น


 


เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยดวงตาส่องประกาย


 


เมื่อค้นพบว่าปัญหาเกิดจากนิกายเงา เจตนาสังหารของเขาก็หายไป


 


มันเป็นเรื่องน่าขัน!


 


นิกายเงามีผู้อมตะระดับแปด


 


ฟางหยวนเห็นสิ่งนี้มากับตาของตนเองที่แม่น้ำหวนคืน


 


ผู้ใดจะรู้ว่าราชันภูเขาม่วงซ่อนตัวอยู่ที่ใด เขาอาจอยู่ใกล้ๆและรอโอกาสโจมตีวูอี้ไห่ทันทีที่ฟางหยวนออกไป


 


‘แม้ข้าจะมีเกราะหวนคืนที่สามารถป้องกันการโจมตีของผู้อมตะระดับแปด แต่หากข้าใช้มัน ตัวตนของข้าจะถูกเปิดเผย เนื่องจากนิกายเงาส่งเทพธิดากระต่ายขาวมาสังหารข้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่ส่งเพียงเทพธิดากระต่ายขาวมาที่นี่’


 


‘ข้าควรทำอย่างไร?’


 


ฟางหยวนเร่งใช้ความคิด


 


ความคิดเคลื่อนไหวราวกับพายุอยู่ในจิตใจของเขา


 


‘เห็นได้ชัดว่าเจตนาของนิกายเงาคือช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณ’


 


‘นิกายเงามีไพ่ตายของพวกเขา ข้าต้องเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบๆ ค่ายกลวิญญาณนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มันสามารถป้องกันการโจมตีของผู้อมตะระดับแปด ตอนนี้ข้าไม่ควรเปิดเผยตัว’


 


ฟางหยวนวางแผนอย่างรวดเร็ว


 


สำหรับเฉียวซื่อหลิว?


 


เจ้าต้องตายเพื่อข้า!


 


“วูอี้ไห่ มาเร็ว!” เฉียวซื่อหลิวกระตุ้นอีกครั้ง


 


ฟางหยวนปฏิเสธทันที “รอก่อน ข้ามีปัญหาบางอย่างที่นี่ วูอันถูกเทพธิดากระต่ายขาวสังหาร ข้าไม่สามารถไว้ชีวิตฆาตกรผู้นี้!”


 


“อา…ระวังตัวด้วย!” เฉียวซื่อหลิวตกใจมากแต่นางยังแสดงความห่วงใยต่อฟางหยวนโดยไม่รู้ตัวเลยว่านางถูกเขี่ยทิ้งแล้ว


 


เฉียวซื่อหลิวกำลังเผชิญหน้ากับเทพธิดาเมี่ยวหยิน ไห่ลั่วหลัน และไป่หนิงปิง


 


นางเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่เทียบเท่าเทพธิดาเมี่ยวหยินขณะที่ไห่ลั่วหลันและไป่หนิงปิงเป็นผู้อมตะระดับหก


 


ดังนั้นในสายตาของเฉียวซื่อหลิว สถานการณ์จึงค่อนข้างยากลำบาก นางมองเทพธิดาเมี่ยวหยินและกล่าว “พวกเจ้าจบแล้ว ค่ายกลวิญญาณถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดถูกขังอยู่ที่นี่ มอบตัวและเป็นทาสของตระกูลเฉียว ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าจะรอดชีวิต”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า” เทพธิดาเมี่ยวหยินหัวเราะ “จะเป็นเช่นนั้นแน่หรือ?”

 

 

 


บทที่ 1350 ค่ำคืนสีเทาทำลายค่ายกล

 

ทันใดนั้นกลิ่นอายที่ทรงพลังก็ปะทุขึ้นด้านนอกค่ายกลวิญญาณ


 


ในไม่ช้ากลุ่มผู้อมตะก็สังเกตเห็น


 


“มีกลิ่นอายที่ทรงพลังอยู่ด้านหน้า!”


 


“กลิ่นอายนี้ ผู้อมตะระดับแปด?”


 


กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะอ้าปากค้าง


 


“ใช่ราชันภูเขาม่วงหรือไม่?” ฟางหยวนเฝ้ามองอย่างตั้งใจ


 


“ไม่ มันไม่ใช่ผู้อมตะแต่เป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด…อา..”


 


ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค


 


“บึม!”


 


ค่ายกลวิญญาณพบกับการโจมตีที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


ค่ายกลวิญญาณทั้งหมดสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ห้องโถงภายในถูกทำลายลงทั้งหมด


 


เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นแต่กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


 


นี่คือความแตกต่างระหว่างค่ายกลวิญญาณอมตะกับท่าไม้ตายอมตะ เมื่อค่ายกลวิญญาณอมตะถูกทำลาย ผู้อมตะจะได้รับผลกระทบย้อนกลับไม่มาก


 


แน่นอนว่าค่ายกลวิญญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณแตกต่างออกไป มันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงโดยเฉพาะกับผู้ควบคุมหลัก


 


“แค่ก แค่ก” ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งไปทั่ว


 


ห้องโถงของฟางหยวนพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมหาศาลตกตายลง


 


รูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและเผยให้เห็นอาณาจักรแห่งความฝันที่ซ่อนอยู่ภายใน


 


กลุ่มผู้อมตะยืนอยู่ด้านหน้ารูช่องโหว่และมองไปข้างนอกด้วยสายตาว่างเปล่า


 


ที่นั่นร่างใหญ่โตกำลังอาละวาดอยู่


 


มันเป็นสัตว์อสูรในร่างมนุษย์สีดำ


 


“ผู้อมตะมากมายนัก ข้าอยากกิน ข้าจะกินพวกเจ้าทั้งหมด! หลังจากกินพวกเจ้า ข้าจะเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” สัตว์อสูรร่างมนุษย์คำรามเสียงต่ำด้วยความตื่นเต้น


 


“นี่คือ…” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะชี้นิ้วไปที่สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้และกล่าวตะกุกตะกักด้วยความตกใจ


 


“จ้าวเย่ฮุ้ย!” ฟาหงยวนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล


 


ทันทีที่สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้ปรากฏตัว เขารู้สึกราวกับตนเองอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน แต่เสียงตะโกนของกลุ่มผู้อมตะรอบๆทำให้เขาตระหนักว่ามันไม่ใช่ความฝัน


 


ฟางหยวนไม่คาดคิดว่าจ้าวเย่ฮุ้ยจะมาที่นี่!


 


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาตใต้รู้จักสัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนานที่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่คนใต้มาอย่างยาวนานตัวนี้เป็นอย่างดี


 


เมื่อเห็นการปรากฏตัวของจ้าวเย่ฮุ้ย ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็จมลงสู่จุดต่ำสุด


 


นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่ายกลวิญญาณถูกทำลายไปแล้ว ผู้อมตะระดับหกและระดับเจ็ดเหล่านี้จะป้อกันตัวได้อย่างไร? ดัวยร่างกายของพวกเขางั้นหรือ?


 


ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้มีผู้อมตะระดับเจ็ดเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปด พวกเขาคือฟงจิวเก้อและหลิวกวนซื่อ


 


“เราต้องป้องกัน อย่าตกใจ ค่ายกลวิญญาณของเรามีแนวป้องกันสี่ชั้น นั่นเป็นเพียงชั้นนอกสุด กระตุ้นใช้งานชั้นต่อไป” จื่อกุ้ยกล่าว


 


เขาเป็นผู้นำของตระกูลจื่อในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้ขณะที่ค่ายกลวิญญาณแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยู ดังนั้นจื่อกุ้ยจึงรู้ข้อมูลบางอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้


 


ดังคาด หลังจากกระตุ้นการทำงานของค่ายกลวิญญาณ โครงสร้างเดิมที่พังทลายลงถูกละทิ้งขณะที่แนวป้องกันใหม่ปรากฏขึ้น


 


มันไม่ได้ครอบคลุมอาณาจักรแห่งความฝันทั้งหมด แต่อาณาจักรแห่งความฝันส่วนใหญ่ยังอยู่ในแนวป้องกันนี้


 


กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะเร่งเข้าไปข้างใน


 


ฟางหยวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


นิกายเงายังไม่รู้ว่าวูอี้ไห่คือฟางหยวน


 


ศัตรูอยู่ในที่โล่งขณะที่เขายังอยู่ในที่มืด นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจน ในเวลาเดียวกันฟางหยวนก็ยังมีข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะ


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูกำลังเดินทางมา


 


ค่ายกลวิญญาณไม่สามารถเคลื่อนไหวแต่คฤหาสน์วิญญาณอมตะสามารถทำได้


 


และพลังอำนาจของคฤหาสน์วิญญาณอมตะก็จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณพลังงานอมตะ ด้วยสิ่งนี้พวกเขาจะสามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปด


 


ด้วยการปกป้องจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ฟางหยวนมีโอกาสที่จะหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้


 


‘แต่ก่อนหน้านี้คฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด นั่นเป็นฝีมือของนิกายเงาหรือไม่?’ ฟางหยวนคิดขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมน


 


“ฮืม นี่ค่อนข้างลำบาก” ไป่หนิงปิงมองแนวป้องกันที่สองของค่ายกลวิญญาณและขมวดคิ้ว


 


“มันยากที่จะทำลาย” ไห่ลั่วหลันถอนหายใจ


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่อิงอู๋เซี่ยเผยรอยยิ้มเย้ยหยันและส่งสัญญาณให้พวกนาง “อย่ากังวล เพียงหลบไป”


 


ร่างของเทพธิดาเมี่ยวหยิน ไป่หนิงปิง และไห่ลั่วหลันสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่พวกนางจะบินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


“ครืน…”


 


ในเวลาต่อมา จ้าวเย่ฮุ้ยคำรามและปลดปล่อยคลื่นเสียงออกมา


 


คลื่นเสียงราวกับพายุที่ทำลายทุกสิ่งกีดขวาง


 


ต่อมา จ้าวเย่ฮุ้ยก็สูดหายใจอย่างรุนแรง


 


ร่างกายของมันขยายใหญ่ขึ้นสองเท่า


 


จากนั้น มันเปิดปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวอันแหลมคมก่อนที่ลำแสดงขนาดใหญ่จะถูกยิงออกมา


 


ลำแสงสีเทาพุ่งเข้าปะทะแนวป้องกันของค่ายกลวิญญาณและย้อมมันให้เป็นสีเทา


 


ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทา!


 


ราวกับสวรรค์พิภพหยุดนิ่ง เวลาหยุดเดิน


 


เพียงหนึ่งลมหายใจ


 


“บึม!”


 


เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง


 


โลกทั้งใบเกิดการสั่นสะเทือน แนวป้องกันที่สองของค่ายกลวิญญาณถูกฉีกเป็นชิ้นๆ


 


ใบหน้าของกลุ่มผู้อมตะกลายเป็นซีดเผือด


 


แนวป้องกันที่สองของค่ายกลวิญญาณถูกทำลายไปเพียงครึ่งหนึ่ง ต้องไม่ลืมว่ามันเป็นค่ายกลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อมตะระดับแปด มันสามารถต่อต้านการโจมตีของสัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนานเช่นจ้าวเย่ฮุ้ย


 


ไม่มีผู้เสียชีวิต


 


“ข้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!” บางคนอุทานและแทบร้องไห้ด้วยความยินดี


 


“นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่เป็นเอกลักษณ์ของจ้าวเย่ฮุ้ย ค่ำคืนสีเทา! แต่เราสามารถป้องกันมันได้จริงๆ” บางคนตะโกนเสียงดัง


 


หน้าผากของจื่อกุ้ยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขากล่าว “นี่คือค่ายกลวิญญาณที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อสร้างขึ้น แล้วมันจะถูกทำลายง่ายๆได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะการโจมตีจากภายนอกและภายในพร้อมกันก่อนหน้านี้ แนวป้องกันแรกจะยังอยู่”


 


‘ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทา มันแตกต่างจากในอาณาจักรแห่งความฝันที่ข้าพบ รูปแบบของมันเปลี่ยนไปหลังจากผ่านมาหลายปีงั้นหรือ? ค่ำคืนสีเทาได้รับการพัฒนา จ้าวเย่ฮุ้ยสามารถดัดแปลงหรือมันได้รับความช่วยเหลือจากนิกายเงา? แปลก! หากพวกเขามีจ้าวเย่ฮุ้ย เหตุใดพวกเขาไม่ใช้มันในช่วงเวลาที่พวกเขาหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ? หรือเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์?’ ฟางหยวนไตร่ตรอง


 


เทพธิดาเมี่ยวหยิน ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน กลับมาที่ค่ายกลวิญญาณและมองแนวป้องกันที่ได้รับความเสียหายโดยไม่รู้สึกแปลกใจ


 


เพราะพวกนางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ยังมีอิงอู๋เซี่ยตลอดไปถึงปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษอีกมากมาย


 


นิกายเงาขาดกำลังคนแต่พวกเขาไม่ขาดแคลนทรัพยากร


 


สำหรับปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษ พวกเขาขาดแคลนทรัพยากรและต้องไล่ล่าทรัพยากรไปตลอดชีวิต


 


ราชันภูเขาม่วงใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อระดมกำลังคนเหล่านี้


 


วิหคตายเพื่ออาหาร มนุษย์ตายเพื่อความมั่งคั่ง เงินยังสามารถขับเคลื่อนโลกใบนี้


 


แน่นอนว่าผู้อมตะเหล่านี้ไม่ได้โง่ แต่หลังจากจ้าวเย่ฮุ้ยปรากฏตัวและใช้ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทา พวกเขาก็ตัดสินใจติดตามอิงอู๋เซี่ยโดยไม่รู้ตัว


 


นี่แสดงให้เห็นว่านิกายเงาเข้าใจอารมณ์ของมนุษย์เป็นอย่างดี


 


ในมุมมองของปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษเหล่านี้ นอกจากราชันภูเขาม่วงยังมีจ้าวเย่ฮุ้ย พวกเขาคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ถูกตัดสินแล้ว พวกเขาจะชนะ


 


“ทั้งหมดเป็นไปตามคำกล่าวของนายท่านราชันภูเขาม่วง เราจะบุกเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ ผู้ใดก็ตามที่สามารถสังหารศัตรูและขยายรูช่องโหว่จะได้รับรางวัลหลายเท่า!” อิงอู๋เซี่ยตะโกนขณะที่กองกำลังนิกายเงาโห่ร้องและพุ่งเข้าโจมตีค่ายกลวิญญาณ


 


ด้านผู้อมตะฝ่ายธรรมะเร่งตอบสนอง


 


“รีบปิดรูช่องโหว่”


 


“เราไม่สามารถให้พวกเขาเข้ามา”


 


“ข้าต้องการเวลาเพื่อกระตุ้นใช้แนวป้องกันที่สาม ทุกคนซื้อเวลาให้ข้า”


 


“จ้าวเย่ฮุ้ยใช้ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทาสองครั้งแล้ว ตอนนี้มันต้องพักอีกระยะหนึ่ง เราจะมอบบทเรียนให้ฝ่ายปีศาจ!” ปาเต๋อตะโกน


 


ฟางหยวนหรี่ตาประเมินจ้าวเย่ฮุ้ย เขาสังเกตเห็นเช่นกันว่าหลังจากมันใช้ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทา มันเริ่มอ่อนแรงและไม่เคลื่อนไหวอีก


 


สิ่งนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย


 


มีผู้อมตะจำนวนมากอยู่ที่นี่ หลายคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจ้าวเย่ฮุ้ยเป็นอย่างดี ท้ายที่สุดทุกครั้งที่จ้าวเย่ฮุ้ยปรากฏตัว มันจะสร้างหายนะครั้งใหญ่ นั่นทำให้ผู้อมตะภาคใต้เรียนรู้และสร้างความร่วมมือเพื่อต่อต้านมัน

 

 

 


บทที่ 1351 การต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวาย

 

“ฆ่า!”


 


“โจมตี!”


 


“ป้องกัน เราต้องการเวลามากกว่านี้”


 


“อย่ากลัว ค่ายกลวิญญาณของเราสามารถป้องกันจ้าวเย่ฮุ้ยจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง”


 


นิกายเงาโจมตีขณะที่ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้ป้องกันอย่างสิ้นหวัง


 


ค่ายกลวิญญาณชั้นที่สองถูกทำลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง มันแทบไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขา


 


นี่ทำให้การต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายปะทุขึ้น


 


“บึม บึม บึม…”


 


เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างไม่รู้สิ้นสุด


 


ไม่มีการลองเชิงใดๆ ท่าไม้ตายอมตะถูกนำมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้น


 


“เจ้าไม่สามารถปกป้องสถานที่แห่งนี้” เทพธิดาเมี่ยวหยินยิ้มขณะลอยอยู่กลางอากาศ


 


เฉียวซื่อหลิวอยู่ด้านหน้านาง


 


เฉียวซื่อหลิวเงียบ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ก่อนหน้านี้ฝ่ายธรรมะยังมีข้อได้เปรียบ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ค่ายกลวิญญาณแทบไม่สามารถปกป้องพวกเขา โอกาสเดียวของพวกเขาคือรอการมาถึงของกำลังเสริม


 


“พวกเจ้าเป็นผู้ใด? เหตุใดถึงสามารถใช้งานสัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนานจ้าวเย่ฮุ้ย?” เฉียวซื่อหลิวถาม


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินหัวเราะ “คนที่จะจบชีวิตเจ้า”


 


เจตนาสังหารของนางพุ่งสูงขึ้นพร้อมกับแสงจันทร์ที่ปะทุขึ้นในดวงตาของนาง


 


ท่าไม้ตายอมตะเงาจันทร์!


 


นี่เป็นการโจมตีด้วยการมอง เมื่อมันถูกใช้งาน ฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีเวลาตอบสนอง มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกัน


 


เฉียวซื่อหลิวถูกโจมตีทันที


 


แต่ในไม่ช้าแสงสีเขียวก็ส่องประกายขึ้นบนร่างของนาง กิ่งหลิวก่อตัวขึ้นและเกี่ยวพันไปรอบๆตัวนาง


 


นอกจากป้องกัน กิ่งหลิวยังพุ่งเข้าโจมตีเทพธิดาเมี่ยวหยินด้วยความเร็วและความคล่องตัวที่น่าประทับใจ


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินตะลึงและรีบล่าถอย


 


นางสามารถหลบกิ่งหลิว แต่นางไม่สามารถป้องกันเงาที่พุ่งเข้าโจมตีจากด้านล่าง


 


“นี่คือ…ท่าไม้ตายลอบโจมตีงั้นหรือ?” เทพธิดาเมี่ยวหยินไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าที่งดงามของนาง


 


ท่าไม้ตายลอบโจมตีเหมือนการโจมตีต่อเนื่อง มันเป็นทักษะพิเศษที่หาได้ยาก


 


โดยทั่วไปแล้วมันหมายถึงท่าไม้ตายอมตะสองท่าที่แตกต่างกัน หนึ่งเป็นท่าไม้ตายหลักและอีกหนึ่งเป็นท่าไม้ตายรอง ตัวอย่างเช่นท่าไม้ตายกิ่งหลิวของเฉียวซื่อหลิวเป็นท่าไม้ตายหลัก เงาใต้กิ่งหลิวคือท่าไม้ตายรอง พวกมันจะทำงานร่วมกัน


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินไม่ได้คาดหวังว่าเฉียวซื่อหลิวจะเชี่ยวชาญทักษะที่ยากลำบากเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงถูกเงาของกิ่งหลิวโจมตี


 


ปรากฏบาดแผลเลือดไหลขึ้นบนใบหน้าของเทพธิดาเมี่ยวหยิน


 


เฉียวซื่อหลิวเย้ยหยัน “โอ้ ไม่ ข้าเผลอทำลายโฉมหน้าของเจ้าไปแล้ว หากเรายังต่อสู้กันอีก เจ้าจะไม่สามารถแข่งขันด้านความงามกับข้าได้อีกต่อไป”


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินก่นเสียงเย็น


 


เฉียวซื่อหลิวฉวยโอกาสนี้ใช้กิ่งหลิวหลายสิบเส้นระดมฟาดเทพธิดาเมี่ยวหยินอย่างไม่หยุดยั้ง


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินไม่เพียงต้องป้องกันตัวจากแส้หลิวแต่นางยังต้องระวังเงาของพวกมันอีกด้วย


 


เมื่อเวลาผ่านไปเสื้อผ้าของเทพธิดาเมี่ยวหยินก็เริ่มฉีกขาดและเผยให้เห็นร่างกายที่เย้ายวนใจของนาง


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินล่าถอยขณะที่เฉียวซื่อหลิวไล่ล่านางไปตลอดทาง


 


แต่ช่วงเวลาดีๆมักอยู่ไม่นาน เทพธิดาเมี่ยวหยินกรีดร้องพร้อมกับแขนอีกสองข้างที่งอกออกมาจากแผ่นหลัง


 


ด้วยแขนสี่ข้าง นางสามารถป้องกันตนเองและสร้างเสถียรภาพ


 


เฉียวซื่อหลิวถอนหายใจ


 


นี่คือท่าไม้ตายอมตะหัตถ์เทวะที่มีชื่อเสียงของเทพธิดาเมี่ยวหยิน


 


กลยุทธ์ของเฉียวซื่อหลิวพังทลายลงทันทีภายใต้ท่าไม้ตายนี้


 


แม้เทพธิดาเมี่ยวหยินจะเผชิญหน้ากับแรงกดกันมหาศาลแต่นางไม่ใช่มือใหม่เช่นจ้าวเหลียนหยุน เทพธิดาเมี่ยวหยินไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาด นางอดทนต่อแรงกดดันและสามารถกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของตนได้สำเร็จ


 


ด้วยความสำเร็จนี้ สถานกาณณ์จึงเปลี่ยนแปลงไป


 


เฉียวซื่อหลิวกลายเป็นฝ่ายถอยหลังอย่างช้าๆ


 


นางออกมาจากค่ายกลวิญญาณขณะไล่ล่าเทพธิดาเมี่ยวหยิน แต่ตอนนี้นางต้องการกลับเข้าไป


 


“ถึงคราวข้าแล้ว น้องซื่อหลิว เจ้าต้องอดทนไว้” เทพธิดาเมี่ยวหยินยิ้ม


 


แขนทั้งสี่ของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและสร้างคลื่นเสียงขึ้นในอากาศ


 


คลื่นเสียงพุ่งออกไปรอบๆในรัศมีหลายร้อยก้าว


 


กระทั่งแนวป้องกันที่สองของค่ายกลวิญญาณยังพังทลายลงภายใต้ผลกระทบของคลื่นเสียงเหล่านี้


 


การแสดงออกของเฉียวซื่อหลิวกลายเป็นเคร่งเครียด นางพยายามป้องกันตนเองอย่างสุดความสามารถ


 


…..


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ผู้อมตะตระกูลเฉิง เฉิงกุ้ยหลี่ยืนมือไพล่หลังอยู่ต่อหน้าไห่ลั่วหลัน


 


เขาแสดงออกด้วยความเย่อหยิ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เพียงผู้อมตะระดับหกแต่กล้าโจมตีพวกเรา รนหาที่ตาย ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนที่กำลังเสริมของพวกเราจะมาถึง”


 


หลังกล่าวจบคำ ร่างของเขาก็หายไปทันที


 


ในเวลาต่อมาเขาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังไห่ลั่วหลัน


 


มือขาวของที่กลายเป็นกรงเล็บกระดูกขาวของเขาพุ่งเข้าโจมตีแผ่นหลังของไห่ลั่วหลัน


 


“ปุ”


 


ด้วยเสียงอันแผ่วเบา


 


กรงเล็กกระดูกแทงทะลแผ่นหลังของไห่ลั่วหลันขณะที่เลือดสาดกระเซ็นออกมา


 


ไห่ลั่วหลันหันหลังกลับขณะที่เฉิงกุ้ยหลี่หายตัวไปอีกครั้ง


 


เฉิงกุ้ยหลี่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านหลังแนวป้องกันที่สองและเย้ยหยัน “ข้าจะเอาชีวิตเจ้าในการโจมตีครั้งต่อไป…หือ?”


 


แต่การแสดงออกบนใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน


 


กรงเล็บกระดูกขาวที่เปื้อนเลือดของไห่ลั่วหลันเริ่มลุกเป็นไฟ


 


“เจ้าถูกหลอกง่ายมาก” ไห่ลั่วหลันหัวเราะ


 


ท่าไม้ตายอมตะเพลิงเลือดเนื้อ!


 


…..


 


“มนุษย์มังกร?” ผู้อมตะวัยกลางคนที่มีรูจมูกใหญ่และเปลือยร่างส่วนบนเผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อสีแดง ช่ายเฮ่าว่ง รู้สึกประหลาดใจ


 


“อย่างน้อยเจ้าก็พอมีความรู้อยู่บ้าง” ไป่หนิงปิงกล่าวเสียงเรียบและชี้นิ้วออกไป


 


ก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงจากท้องฟ้า


 


“ปัง ปัง ปัง ปัง…”


 


ช่ายเฮ่าซ่งพุ่งเข้าโจมตีไป่หนิงปิงราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่


 


“รับนี่!” ช่ายเฮ่าซ่งตะโกนและพ่นไฟออกมาจากรูจมูก


 


ไป่หนิงปิงจ้องมองอย่างเย็นชา นางไม่หลบและอนุญาตให้ช่ายเฮ่าซ่งเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา


 


ริมฝีปากของนางขดตัวขึ้น นางกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เข้ามา ข้ากำลังรออยู่”


 


ก่อนที่นางจะกล่าวจบ นางก็พุ่งออกไปข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว


 


ร่างกายของนางเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่ายเฮ่าซ่ง มันดูเหมือนแมลงวันบินเข้ากองไฟ


 


“บึม!”


 


เกิดการปะทะที่รุนแรง


 


สนามรบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน


 


ครึ่งหนึ่งเป็นไฟ อีกครึ่งเป็นน้ำแข็ง


 


เปลวเพลิงเผาทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดขณะที่โลกน้ำแข็งแช่แข็งสิ่งมีชีวิตทุกชนิด


 


ไม่ปรากฏผู้ชนะที่ชัดเจน


 


เมื่อเปลวเพลิงและน้ำแข็งหายไป สองร่างก็ปรากฏขึ้น


 


ไป่หนิงปิงยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตื่นเต้น


 


ด้านช่ายเฮาซ่ง เขาถอยหลังกลับไปหลายก้าวและมองไป่หนิงปิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก!”


 


ไป่หนิงปิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ข้าชื่นชมเจ้าก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนข้าต้อง…กลับคำพูด”


 


นางเคลื่อนไหวทันที


 


แขนขวาของนางราวกับใบมีดยักษ์ที่พุ่งเข้าโจมตีช่ายเฮ่าซ่ง


 


…..


 


“นังกระต่ายขาว บัดซบ!” วูเหลียวคำรามด้วยดวงตาสีแดงก่ำ เขาเต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชัง


 


แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับความคิดหลายๆอย่างของวูอันแต่พวกเขาก็เป็นผู้อมตะตระกูลวูเช่นเดียวกัน


 


เมื่อวูอันถูกสังหารโดยเทพธิดากระต่ายขาว วูเหลียวจึงต้องการแก้แค้น


 


แต่น่าเสียดายที่เทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนเป็นนางเสือดำซึ่งมีการบ่มเพาะระดับเจ็ดไปแล้ว ตอนนี้พลังการต่อสู้ของนางเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก


 


วูเหลียวเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก เขาไม่สามารถทำสิ่งใดกับฝ่ายตรงข้ามขณะที่ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย


 


“ถอยไป วูเหลียว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง” ฟางหยวนเข้ามาช่วยวูเหลียวและยืนอยู่ต่อหน้านางเสือดำ

 

 

 


บทที่ 1352 ฟางหยวนปะทะนางเสือดำ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” นางเสือดำหัวเราะ รูปลักษณ์ที่งดงามของเทพธิดากระต่ายขาวดูบิดเบี้ยวไปมาก


 


ดวงตาที่เคยใสซื่อบริสุทธิ์ของเทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนเป็นน่าสยดสยอง ขอบตาของนางดำราวกับนางไม่ได้นอนมาเป็นเวลานาน


 


แม้รูปลักษณ์ของนางจะเปลี่ยนไปไม่มาก แต่การแสดงออกของนางกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์


 


“มรดกที่แท้จริงกระต่ายขาว…น่าสนใจ” ร่างของฟางหยวนส่องประกายขึ้นก่อนที่เขาจะกลายเป็นเต่าตัวโต


 


ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์


 


…..


 


“พรวด!”


 


ผู้อมตะระดับเจ็บบนเส้นทางแห่งค่ายกล จื่อกุ้ย กระอักเลือดออกมา


 


“บัดซบ!” เขาสาปแช่งและมองไปยังซากศพของผู้อมตะมากมายที่อยู่ตรงหน้า


 


ผู้อมตะเหล่านั้นตกตายด้วยการโจมตีของจ้าวเย่ฮุ้ย


 


จื่อกุ้ยต้องการกระตุ้นใช้แนวป้องกันที่สามของค่ายกลวิญญาณ แต่มันล้มเหลว


 


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบวนการนี้


 


“ความเสียหายรุนแรงหรือไม่?” ปาเต๋อถาม


 


จื่อกุ้ยกลืนเลือดกลับเข้าไปด้วยใบหน้าที่ซีดขาว “รุนแรงมาก! วิญญาณอมตะอีกหนึ่งดวงพึ่งถูกทำลาย ตอนนี้เหลือวิญญาณอมตะอยู่เพียงสี่ดวง พวกเราต้องกระตุ้นใช้งานแนวป้องกันที่สาม โดยปราศจากแนวป้องกันที่สาม แนวป้องกันที่สี่จะไม่ทำงาน”


 


จื่อกุ้ยหยุดก่อนตะโกนราวกับคนบ้า “ผู้ใดมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปฐพี ข้าต้องใช้มัน นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ตอนนี้พวกเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย!”


 


ปาฉวนฟงและปาเต๋อที่อยู่ด้านข้างมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้


 


พวกเขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวายุและเส้นทางแห่งไม้ ไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปฐพีอยู่ที่นี่


 


จื่อกุ้ยต้องรักษาอาการบาดเจ็บของตน ดังนั้นปาฉวนฟงและปาเต๋อจึงต้องออกไปถาม


 


เหตุผลที่พวกเขาต้องถามทีละคนเพราะพวกเขาต้องการปกปิดข้อมูลนี้ ท้ายที่สุดสภาพจิตใจก็จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการต่อสู้ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าใด มันก็ยิ่งดีเท่านั้น


 


โชคดีที่ภาคใต้มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปฐพีอยู่มากที่สุด


 


ในไม่ช้าบางคนก็ตัดสินใจบริจาควิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปฐพีของพวกเขา


 


จื่อกุ้ยต้องเลือก มันไม่ง่ายที่จะเลือกวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปฐพี แต่เขาต้องพยายามหาวิญญาณที่ใกล้เคียงกับวิญญาณที่ถูกทำลายไปแล้วให้มากที่สุด


 


อาการบาดเจ็บของจื่อกุ้ยยังไม่หายแต่เขาไม่มีเวลาดูแลตนเอง


 


“ข้าต้องอนุมานสิ่งนี้และพยายามเพิ่มวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปฐพีเข้าไป  ความปลอดภัยของข้าอยู่ในมือของพวกท่านแล้ว”


 


เขาฝากชีวิตไว้ในมือของผู้อื่น การกระทำนี้มีความเสี่ยงสูงมาก


 


แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาต้องเสี่ยง!


 


ปาเต๋อพยักหน้าด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม “ข้าสัญญาว่าจะปกป้องชีวิตของเจ้า แม้จ้าวเย่ฮุ้ยจะมา มันก็ต้องข้ามศพข้าไปกอ่น”


 


เขากล่าวด้วยความจริงใจ แต่กระทั่งปาเต๋อจะแข็งแกร่งที่สุดในสถานที่แห่งนี้ เขาก็ยังไม่สามารถต่อต้านจ้าวเย่ฮุ้ยและพลิกสถานการณ์


 


เขาไม่ใช่ฟงจิวเก้อหรือหลิวกวนซื่อ


 


ปาเต๋อไม่รู้ว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูกำลังมา


 


อย่างไรก็ตามเขาใช้วิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูลแจ้งข่าวไปยังตระกูลปาเรียบร้อยแล้ว


 


ผู้อมตะคนอื่นๆก็เช่นกัน


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ทุกคนรอดชีวิต


 


ด้วยวิธีนี้จื่อกุ้ยจึงสามารถตั้งสมาธิอยู่กับค่ายกลวิญญาณ


 


ตระกูลวูและตระกูลเฉียวกำลังประสบปัญหา ชื่อเสียงของพวกเขาตกต่ำลงอย่างมาก ปาเต๋าของตระกูลปาจึงกลายเป็นผู้นำที่เหมาะสมที่สุด


 


แน่นอนว่าปาเต๋อไม่ปล่อยโอกาสนี้


 


ในฐานะบุคคลสำคัญที่ต้องปกป้องจื่อกุ้ย เขาอยู่ด้านหลังและเฝ้าสังเกตสนามรบ


 


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะใช้ค่ายกลวิญญาณเพื่อปกป้องตนเอง


 


ขณะเดียวกันแม้ฝ่ายปีศาจจะซุ่มโจมตี แต่พวกเขายังขาดผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่เสียชีวิตไปแล้วในสงครามบนภูเขาอี้เทียน


 


แม้ฝ่ายธรรมะจะพบกับความสูญเสียเช่นกัน แต่พวกเขามีความมั่งคงมากกว่า พวกเขามีทรัพยากรมากมายเพื่อผลิตผู้อมตะที่โดดเด่น


 


สายตาของปาเต๋อกวาดผ่านเทพธิดาเมี่ยวหยิน ไห่ลั่วหลัน และไป่หนิงปิง สุดท้ายมันหยุดอยู่ที่ฟางหยวน


 


“วูอี้ไห่” เขาพึมพำด้วยความรู้สึกซับซ้อน


 


ในอดีตเขาต้องการปราบปรามและมอบบทเรียนให้กับตระกูลวู แต่ตอนนี้พวกเขาต้องทำงานร่วมกัน ปาเต๋อมีความทะเยอทะยานสูงมาก เขาต้องการนำตระกูลปาเข้าแทนที่ตำแหน่งของตระกูลวู แต่ตอนนี้ดูเหมือนศัตรูของเขาจะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานร่วมกับวูอี้ไห่


 


แน่นอนว่ามันเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เมื่อวิกฤตจบลง ปาเต๋อจะจัดการพวกเขาอีกครั้ง


 


…..


 


นางเสือดำกระโดดไปรอบๆเพื่อหลบเลี่ยงความคิดกระดองเต่า


 


หลังจากบุคลิกเปลี่ยนไป ตอนนี้นางเสือดาวเริ่มใช้วิธีบนเส้นทางแห่งความมืด


 


ไม่เพียงเท่านั้น การบ่มเพาะของนางยังพุ่งจากระดับหกเป็นระดับเจ็ด!


 


แต่ไม่ว่านางจะเคลื่อนไหวได้เร็วเพียงใด นางก็ไม่ได้รวดเร็วไปกว่าความคิดกระดองเต่าวัชระของฟางหยวน


 


หากเป็นก่อนหน้าฟางหยวนอาจไม่สามารถจัดการนางเสือดำ แต่ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับท่าไม้ตายนี้มาก ความคิดกระดองเต่าโปรยปรายลงมาเหมือนสายฝนและโจมตีนางอย่างไม่หยุดยั้ง


 


ท่าไม้ตายอมตะอสูรายแห่งความมืด!


 


เมื่อตระหนักว่านางกำลังเสียเปรียบ นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะทันที


 


ของเหลวสีดำแพร่กระจายออกไปและทำให้พื้นกลายเป็นบ่อดำสีน้ำ


 


ไม่นานหลังจากนั้นสัตว์ประหลาดสีดำที่มีขนาดร่างกายเท่าม้าก็โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ มันถูกสร้างขึ้นจากท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งความมืด


 


อสูรกายแห่งความมืดรวดเร็วมาก มันนำนางเสือดำล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


 


สำหรับฟางหยวน หลังจากเขาเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ เขาไม่เคลื่อนไหว เขาเพียงส่งความคิดกระดองเต่าจำนวนมหาศาลออกมาเท่านั้น


 


ความคิดกระดองเต่าสามารถโจมตีและป้องกัน ฟางหยวนเพียงต้องส่งความคิดออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


นางเสือดำที่ยืนอยู่บนร่างของอสูรกายแห่งความมืดกัดฟันแน่น


 


ความเร็วของนางอาจได้เปรียบ แต่ความจริงก็คือนางจำเป็นต้องผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมดหากต้องการโจมตีค่ายกลวิญญาณ


 


แต่ฟางหยวนกำลังกีดขวางเส้นทางของนางอยู่


 


นางเคลื่อนไหวไปรอบๆและจงใจเปิดช่องว่าง  แต่ฟางหยวนไม่ตกหลุมพรางของนาง เขายังปกป้องตนเองอย่างมิดชิดขณะเดียวกันก็ผลักดันนางเสือดำให้ถอยออกห่างไป


 


ฟางหยวนค่อนข้างระวังไพ่ตายของนางเสือดำ


 


แม้ฟางหยวนจะไม่รู้จักชื่อของท่าไม้ตายนี้ แต่เขาเห็นวิธีการที่วูอันกลายเป็นบ่อน้ำสีดำ


 


‘นางเสือดำเตรียมท่าไม้ตายนั้นไว้ใช้กับข้าโดยเฉพาะ’


 


‘แต่ข้าปฏิเสธที่จะพบนาง ดังนั้นนางจึงใช้มันกับวูอัน’


 


‘นี่หมายความว่าระยะการโจมตีของท่าไม้ตายนั้นค่อนข้างสั้น มันไม่ต่างจากท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืดของข้า แม้มันจะสามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายและมีพลังมหาศาล แต่มันก็มีข้อบกพร่องที่ชัดเจน’


 


ฟางหยวนยังส่งความคิดกระดองเต่าออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ความคิดกระดองเต่าเคลื่อนที่ไปรอบๆโดยไม่เปิดช่องโหว่ มันน่ากลัวมาก


 


นางเสือดำต้องล่าถอยเมื่อเห็นกระดองเต่าจำนวนมหาศาล


 


“ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์เหมาะกับท่านจริงๆ ท่านวูอี้ไห่” นางเผยรอยยิ้มชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร


 


“อย่างไรก็ตามอย่าคิดว่าวิธีของข้าจะมีเพียงเท่านี้ รับมือ!”


 


หลังกล่าวจบคำ นางเสือดำก็เปิดปากและเล็บลิ้นสีชมพูออกมาจากริมฝีปากสีดำของนาง


 


มันดูน่ารักน่าชัง แต่ฟางหยวนกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที


 


เขาพบรูเล็กๆบนกระดองเต่าพยากรณ์


 


แม้มันจะไม่ใหญ่ แต่มันลึกมากและยังมีควันสีดำลอยขึ้นมาจากรูดังกล่าว

 

 

 


บทที่ 1353 เลีย

 

หัวใจของฟางหยวนสั่นไหว


 


‘ท่าไม้ตายชนิดใด?’


 


‘กระดองเต่าเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเต่าพยากรณ์ แต่มันกลับไม่สามารถต่อต้านการโจมตีนี้’


 


‘แม้ร่างของข้าจะมีปัญหาเรื่องพลังงานแห่งเต๋าที่ไม่ขัดแย้ง แต่ร่างกายของสัตว์อสูรบรรพกาลที่แข็งแกร่งได้รับบาดเจ็บถึงระดับนี้ได้อย่างไร?’


 


พลังการต่อสู้ของนางเสือดำอยู่เหนือความคาดหมายของฟางหยวน วิธีการของนางแปลกประหลาดและสามารถทำลายการป้องกันของเต่าพยากรณ์


 


เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนต้องรีบกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะความระมัดระวังระดับเจ็ด


 


วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกฎดวงนี้พึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระเมื่อไม่นานมานี้


 


กลิ่นอายของเต่าพยากรณ์เปลี่ยนแปลงไป


 


วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากช่วยปิดจุดอ่อนเกี่ยวกับเวลาสิบลมหายใจของวิญญาณความระมัดระวัง ดังนั้นมันจึงส่งผลกระทบทันที


 


ความคิดกระดองเต่าเพิ่มจำนวนขึ้นและปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดขณะที่กระดองเต่าพยากรณ์ส่องประกายราวกับโลหะ


 


การแสดงออกของนางเสือดำเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเห็นสิ่งนี้


 


นางแลบลิ้นและทำท่าเลียอีกครั้ง


 


ทั้งสองอยู่ห่างกันแต่ฟางหยวนยังได้รับบาดเจ็บ


 


อีกหนึ่งรูปรากฏขึ้นบนกระดองเต่าแต่รูที่เกิดขึ้นเล็กกว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจนและไม่มีควันสีดำลอยขึ้นมา


 


รูก่อนหน้านี้หยุดปล่อยควันดำออกมาแล้วขณะที่ฤทธิ์การกัดกร่อนของมันชะลอตัวลงเป็นอย่างมาก


 


นางเสือดำก่นเสียงเย็น นางยังไม่ยอมแพ้ “ในกรณีนี้ข้าก็จะโจมตีที่นั่น!”


 


ในเวลาต่อมาฟางหยวนก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ศีรษะ


 


เขารีบหดศีรษะเข้าไปในกระดอง


 


“บัดซบ!” นางเสือดำสาปแช่งด้วยความโกรธ


 


ฟางหยวนไร้ยางอายมาก ไม่เพียงศีรษะแต่เขายังหดแขนขาและหางเข้าไปในกระดองเต่าทั้งหมด


 


มีเพียงความคิดกระดองเต่าเท่านั้นที่ยังอยู่และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


นางเสือดำเลียกระดองเต่าอย่างต่อเนื่องแต่มันแทบไร้ประโยชน์


 


นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่มีสิ่งใดที่นางสามารถทำได้


 


วูเหลียวรักษาอาการบาดเจ็บของตนขณะเฝ้าสังเกตการต่อสู้ เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาลอบหลั่งเหงื่ออันเย็นเยียบ เขาคิด ‘ด้วยความเร็วนี้ เมื่อใดที่ท่านวูอี้ไห่จะสามารถแก้แค้นให้กับวูอัน เขาต้องใช้เวลากี่ปี?’


 


ปาเต๋อก่นเสียงไม่พอใจ


 


สนามรบอื่นเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงแต่ฟางหยวนกลับสงบนิ่งและซ่อนตัวอยู่ในกระดองเต่าเท่านั้น


 


ฟางหยวนคิดเกี่ยวกับท่าไม้ตายของนางเสือดำ


 


การโจมตีที่สามารถกำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมีหลายวิธี ตัวอย่างเช่น การยิงบอลเพลิงออกจากฝ่ามือ มันจะพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเป็นเส้นตรงโดยไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางหลังจากถูกยิงออกมา


 


หากเป็นท่าไม้ตายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น บอลเพลิงจะสามารถเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยหลังจากถูกยิงออกจากฝ่ามือ


 


สำหรับท่าไม้ตายทีมีประสิทธิภาพสูง พวกมันจะสามารถติดตามเป้าหมาย


 


‘ท่าไม้ตายของนางเสือดำมีความสามารถในการกำหนดเป้าหมาย’


 


‘มันไม่มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนเหมือนบอลเพลิงแต่มันกำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างแม่นยำ มันไม่ใช่การโจมตีในวงกว้าง ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงค่อนข้างรุนแรง’


 


‘มันทำได้อย่างไร? ด้วยสายตา?’


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนก็กระตุ้นใช้วิญญาณบางดวงเพื่อสร้างหมอกหนาทึบขึ้นรอบๆ


 


‘วูอี้ไห่พยายามทำสิ่งใด?’ นางเสือดำสงสัยว่าฟางหยวนกำลังจะใช้ท่าไม้ตายใหม่ ดังนั้นนางจึงรีบแลบลิ้นออกมาอีกครั้ง


 


ฟางหยวนถูกโจมตี


 


‘ไม่ใช่การสายตา เป็นกลิ่นหรือไม่?’


 


ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณเพื่อสร้างกลิ่นเหม็น


 


วูเหลียวที่อยู่ใกล้ๆรีบใช้วิญญาณเพื่อช่วยในการหายใจ


 


กลิ่นกระจายออกไปในอากาศ ผู้อมตะในสนามรบอื่นต่างได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้


 


‘วูอี้ไห่กำลังพยายามทำลายท่าไม้ตายของฝ่ายตรงข้าม’ ดวงตาของปาเต๋อส่องประกายขึ้น เขามองเห็นเจตนาของฟางหยวน


 


เขารู้สึกไม่พอใจมากขึ้น


 


โดยปกติแล้วมีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะทำลายท่าไม้ตายของศัตรูระหว่างการต่อสู้ เพราะพวกเขาต้องทดลอง แต่กระทั่งพวกเขาจะต้องการทำความเข้าใจเหตุผล พวกเขาก็ต้องมีวิญญาณอมตะที่สามารถตอบโต้


 


ความพยายามที่จะทำลายท่าไม้ตายของศัตรูจะทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ


 


“นี่เป็นเหตุฉุกเฉินแต่เขายังมีเวลาทำลายท่าไม้ตายของศัตรูอีกงั้นหรือ? ฮืม หากเขามีเวลา เขาควรพยายามฆ่าศัตรู!” ปาฉวนฟงไม่พอใจ


 


ปาเต๋อไม่พูด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับความขัดแย้งภายใน


 


นางเสือดำลังเลก่อนที่นางจะแลบลิ้นออกมาอีกครั้ง


 


อีกรูปรากฏขึ้นบนกระดองเต่าพยากรณ์


 


ฟางหยวนเกิดแรงบันดาลใจขึ้นทันที ‘ข้าเข้าใจแล้ว มันคือสัมผัสรับรสชาติของนาง’


 


ลิ้นสามารถรับรู้รสชาติ ลิ้นของผู้อมตะยิ่งสามารถสัมผัสรสชาติจากระยะไกลด้วยวิญญาณอมตะหรือท่าไม้ตายอมตะ


 


‘ทุกครั้งที่นางใช้ท่าไม้ตายนี้ นางต้องแลบลิ้นออกมา’


 


‘นางอยู่ฝ่ายเดียวกับนิกายเงาขณะที่นิกายเงามีมรดกบนเส้นทางอาหาร มีเพียงเส้นทางที่อยู่นอกเหนือจากเส้นทางปกติเท่านั้นที่จะสามารถทำลายการป้องกันของเต่าพยากรณ์’


 


‘ข้าต้องทดสอบ’


 


เต่าพยากรณ์เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยเฉพาะกระดองของมันที่ดูเหมือนจะกลายเป็นโลหะเหลว


 


นางเสือดำแลบลิ้นออกมาและอุทาน “อา…ร้อน!”


 


หลังจากนั้นกระดองเต่าพยากาณณ์ก็ปลดปล่อยกลิ่นแปลกๆลอยขึ้นสู่อากาศ


 


นางเสือดำแลบลิ้นและแทบอาเจียนออกมาด้วยความรังเกียจ นางขมวดคิ้ว “เค็มมาก!”


 


เต่าพยากรณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


นางเสือดำหยุดความพยายาม นางเข้าใจเจตนาของฟางหยวนในที่สุด “ชายผู้นี้! เขาไม่ได้พยายามจะใช้ท่าไม้ตายอมตะแต่เขากำลังตอบโต้ท่าไม้ตายของข้า บัดซบ!”


 


ก่อนหน้านี้นางเสือดำคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของเต่าพยากรณ์คือจุดเริ่มต้นของการกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายใหม่ของฟางหยวน


 


ดังนั้นนางจึงพยายามโจมตีเพื่อหยุดเขาและทำให้เขาได้รับผลกระทบย้อนกลับที่รุนแรง


 


‘ในสถานการณ์นี้เขายังมีเวลาอนุมานและตอบโต้ท่าไม้ตายของข้าอีกงั้นหรือ?’ การเคลื่อนไหวของฟางหยวนไม่สมเหตุสมผล การต่อสู้ครั้งนี้รุนแรงมาก ไม่มีผู้ใดมีเวลาสำหรับเรื่องนี้


 


แต่นั่นก็ทำให้นางเสือดำตกลงสู่หลุมพราง


 


เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ นางเสือดำจึงหยุดใช้ท่าไม้ตายนี้ นางเริ่มใช้การโจมตีระยะไกล


 


นางส่งหมัดพลังปราณสีเขียวเข้มออกไป หมัดพลังปราณส่วนใหญ่ถูกกำจัดโดยความคิดกระดองเต่า แต่บางส่วนยังพุ่งเข้าปะทะกระดองเต่าพยากรณ์


 


เห็นได้ชัดว่าท่าไม้ตายของนางเสือดำพยายามป้องกันไม่ให้ฟางหยวนกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดี


 


‘มันเป็นรสชาติจริงๆ’ หัวเต่าของฟางหยวนยังหลบอยู่ในกระดอง


 


แม้เขาจะเข้าใจท่าไม้ตายของนางเสือดำแต่มันยังห่างไกลจากการทำลาย


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่รีบร้อน


 


นางเสือดำไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายเดิมอีกต่อไป หมัดพลังปราณของนางส่งผลกระทบต่อฟางหยวนเพียงเล็กน้อย มันไม่ใช่ภัยคุกคามใดๆ


 


วูอี้ไห่ตัวจริงมีท่าไม้ตายอื่นแต่พวกมันล้วนเป็นวิธีป้องกันทั้งสิ้น


 


แม้ฟางหยวนจะมีหลายวิธี แต่เขาไม่สามารถใช้งานพวกมัน เพราะด้วยตัวตนของวูอี้ไห่ หากเขาใช้วิธีการอื่น ตัวตนของเขาจะถูกสงสัย


 


ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จึงล่าช้ามาก


 


ฟางหยวนไม่ต้องการโจมตีหรือกล่าวให้ถูกต้องมากขึ้นคือเขาไม่มีวิธีโจมตี อย่างไรก็ตามนางเสือดำก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันของฟางหยวน


 


เมื่อเวลาผ่านไปความคิดกระดองเต่านับแสนหลังก็ปกคลุมอยู่รอบตัวฟางหยวน


 


นางเสือดำรู้สึกหมดหนทาง


 


กระดองเต่าจำนวนมหาศาลทำให้สนามรบแห่งนี้ดูสะดุดตามาก


 


การแสดงออกของปาเต๋อยิ่งเย็นชาลง เขาส่งข้อความถึงฟางหยวน “วูอี้ไห่ ข้าได้ยินว่าเจ้ายังมีท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นอีกสองรูปแบบ เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้พวกมัน? ฆ่านางอย่างรวดเร็วและไปสนับสนุนคนอื่นๆ เว้นเพียงเจ้าจะมีความสัมพันธ์กับนางกระต่ายขาวและไม่สามารถตัดใจฆ่านาง?”


 


ฟางหยวนไม่สนใจและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


 


ปาเต๋าไม่ได้รับคำตอบ เขากัดฟันแน่นด้วยความโกรธ


 


ฟางหยวนกำลังคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตนเอง


 


‘เหตุผลที่นิกายเงาโจมตีที่นี่เพราะพวกเขาต้องการช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณอย่างแน่นอน’


 


‘พวกเขาสามารถควบคุมจ้าวเย่ฮุ้ยแต่ยังมีขอบเขต ขณะเดียวกันผู้อมตะระดับแปดราชันภูเขาม่วงก็ยังไม่ปรากฏตัว’


 


‘ค่ายกลวิญญาณของฝ่ายธรรมะสามารถป้องกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตราบเท่าที่พวกเราสามารถถ่วงเวลา กำลังเสริมจากทุกทิศทางจะมาถึง’


 


‘ข้ามีเกราะหวนคืน ข้าสามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปด พวกเขาไม่สามารถเอาชนะข้า’


 


‘ราชันภูเขาม่วงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา แล้วเขาจะไม่มีไพ่ตายได้อย่างไร? ผู้อมตะฝ่ายธรรมะเหล่านี้สิ้นหวังแล้ว’


 


‘ข้าควรปกปิดตัวตนและรอโอกาสลงมือในจังหวะที่เหมาะสม บางทีครั้งนี้ข้าอาจได้รับกำไรมหาศาล!’


 


ฟางหยวนคิดและตระหนักถึงโอกาส


 


เขาต้องเก็บรักษาความแข็งแกร่งและรอเวลาที่เหมาะสม


 


นิกายเงาเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่ฟางหยวนต้องการกำจัด แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้พยายามและไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่เพียงพอ แต่สมาชิกนิกายเงาล้วนเป็นตัวตนระดับสูงทั้งสิ้น


 


อย่างไรก็ตามครั้งนี้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)