พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1347-1352

 บทที่ 1347 สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน

Ink Stone_Fantasy

“สถานที่ก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่อากาศไม่เลวเลย”


เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองฟ้ากล่าวประโยคที่ทำให้คนรู้สึกงุนงง เขาไม่ยืนรออยู่ตรงประตูอย่างโง่ๆ อีก เดินตรงไปอยู่ใต้ร่มไม้ด้านข้าง โบกมือออกคำสั่ง ให้พวกเฟยหงเตรียมโต๊ะงานเลี้ยงสุรา บอกว่ายังเข้าประตูไปไม่ได้ชั่วคราว ก็เลยจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณหูโกวอวี้ตรงนี้ก่อน


ไม่น่าเชื่อว่าจะมีโต๊ะงานเลี้ยงสุรา หูโกวอวี้ยิ้มบางๆ อย่างไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ รู้ว่าท่านนี้ก็ไม่ได้โง่เลอะเลือนเช่นกัน มองออกแล้วว่ารอประเดี๋ยวเดียวจะยังไม่มีใครมาแน่นอน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้รีบ และไม่ใช่เรื่องของเขาด้วย เขามาเพื่อส่งคนเฉยๆ จัดงานเลี้ยงสุราก็จัดไปเถอะ นั่งลงเพื่อดูเอาสนุกแท้ๆ เลย


ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ด้วยการร่วมมือกันของผู้หญิงหลายคน ไม่นานก็มีสุราอาหารเลิศรสวางบนโต๊ะใต้ร่มไม้แล้ว โต๊ะเก้าอี้ที่นำมาเองนั้นงดงามหรูหรา


นอกจากสาวใช้สี่คน คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสถานะนายบ่าว เหมียวอี้เรียกทุกคนมานั่งโต๊ะด้วยกัน นั่งกินดื่มและพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอยู่ตรงนั้น


ในสำนักหกนิ้วที่ปิดสนิท มีคนยื่นหน้าออกมาแอบมองอย่างลับๆ ล่อๆ เป็นระยะ มองฉากใต้ร่มไม้แล้วแอบรู้สึกขำ ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนดูออก รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองกำลังแสดงอำนาจบารมีต่อผู้บัญชาการใหญ่ที่มาใหม่ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็เป็นได้


ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เห็นคนออกมา ผ่านไปสองชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นคนออกมา ในกำไลเก็บสมบัติของเหมียวอี้มีระฆังดาราส่งข่าวมา


เป็นโค่วเหวินหลานนั่นเอง เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีธุระอะไร ระหว่างเขากับโค่วเหวินหลานติดต่อกันด้วยเรื่องงานของตำหนักสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นจะโดนมองออกถึงรายละเอียกได้ง่าย เขาจึงหลบเลี่ยงชั่วคราว อ้อมไปด้านข้างแล้วหยิบระฆังดาราออกมา


โค่วเหวินหลานไม่มีธุระเรื่องอื่น แค่บอกเหมียวอี้ให้รู้ถึงสาเหตุว่าทำไมไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ บอกว่าราชันสวรรค์ถูกใจเจ้าแล้ว ตั้งใจจะลับคมและฝึกเลี้ยงเจ้า โค่วเหวินหลานแสดงความยินดี หวังว่าเหมียวอี้จะยืนที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้อย่างมั่นคง ในอนาคตราชันสวรรค์จะต้องใช้ให้ทำงานสำคัญแน่นอน!


เหมียวอี้ที่ได้ยินข่าวกลับตะลึงงัน ก่อนหน้านี้หยางชิ่งเคยเดาว่ามีความเป็นไปได้นี้ เพียงแต่ตอนหลังทั้งสองก็รู้สึกอีกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเข้าตาราชันสวรรค์เข้าแล้ว รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ


ตอนนี้ย่อมเข้าใจแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ราชันสวรรค์จะใช้คนแบบมั่วซั่วไร้ที่มา ถ้าคนที่ราชันสวรรค์ใช้งานสร้างปัญหาอะไรขึ้น แบบนั้นจะไม่เป็นการตบหน้าราชันสวรรค์หรอกเหรอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเฟยหงจึงทำแบบนี้


คิดไปคิดมาก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อาจจะเป็นเพราะสำหรับคนอื่นๆ เมื่อได้ยินข่าวนี้จะต้องดีใจมากแน่นอน แต่เขากลับดีใจไม่ออก ถ้าให้ราชันสวรรค์รู้ว่าเขาพัวพันกับโจรกบฏ ทั้งยังอาจจะพัวพันไปถึงประมุขไป๋ด้วย เกรงว่าคนแรกที่จะเล่นงานเขาให้ตายคงจะเป็นราชันสวรรค์


ถ้าพูดในทางกลับกัน ยิ่งราชันสวรรค์ใช้ให้เขารับหน้าที่สำคัญ เขาก็ยิ่งพบปัญหายุ่งยาก ยิ่งเขาอยู่ในตำแหน่งสูงของตำหนักสวรรค์ ทางโจรกบฏก็จะยิ่งตื่นเต้นดีใจ ต่อให้ไม่ใช่สายลับที่โจรกบฏฝั่งนั้นส่งมา แต่ก็จะกลายเป็นสายลับของโจรกบฏฝั่งนั้นอยู่ดี ทั้งยังเป็นสายลับที่มีความสำคัญมากด้วย


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ก้าวสู่เส้นทางนี้แล้วไม่มีทางย้อนกลับจริงๆ เขาส่ายหน้าพลางเก็บระฆังดารา แล้วก็กลับมาแล้ว


หลังจากเก็บอาหารที่กินเหลือไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำชา รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่ควบคุมเครื่องมือค่ายกลยังไม่มา ทุกคนทำได้เพียงรอต่อไป


จนกระทั่งดวงอาทิตย์อยู่ทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าเป็นสีแดงส้ม บนท้องฟ้าถึงมีชายวัยกลางคนสองคนเหาะมา เมื่อเห็นคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็รีบส่งสายตาให้กัน หลังจากเหยียบลงพื้นก็กุมหมัดคารวะหูโกวอวี้ “พี่หู ไม่ทราบว่าท่านไหนคือผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ของธงพยัคฆ์ดำ?” ทั้งสองล้วนเป็นแม่ทัพสองแถบ สวมเกราะรบสีม่วงทั้งตัว


“ทั้งสองให้ข้ารอนานจริงๆ” หูโกวอวี้ลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปทางเหมียวอี้ “ท่านนี้คือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำของพวกเจ้า”


“อ๋อ!” ทั้งสองกุมหมัดคารวะพร้อมกัน คังจือลวี่ยื่นมือไปหาเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงข้าม แล้วกล่าวขอคำชี้แนะ “คาดไม่ถึง ได้โปรดแสดงบัตรขุนนางเพื่อตรวจสอบตัวตน”


“ได้อยู่แล้ว จะทำลายกฎระเบียบไม่ได้!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วหยิบบัตรขุนนางออกมายื่นให้


หลังจากรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองตรวจสอบตัวตนแล้ว ก็ยื่นบัตรขุนนางคืนให้ แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ข้าน้อยคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูคารวะผู้บัญชาการใหญ่”


“ทั้งสองไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย


หูโกวอวี้ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ! คนก็มาแล้ว ข้าควรจะกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานแล้ว ไม่รบกวนการปรับปรุงจัดระเบียบของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ขอตัวลาตรงนี้”


“ยังไม่ได้แสดงไมตรีของเจ้าบ้านให้เต็มที่เลย ทำไมพี่หูรีบกลับนักล่ะ อยู่ต่อสักสองสามวันก็ได้” เหมียวอี้พูดรั้งให้อยู่ต่อพอเป็นพิธี


“คราวหลังยังมีโอกาส ตอนนี้การกลับไปรายงานผลคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นกฎระเบียบกองทัพจะไม่ปรานี จะกล้าชักช้าได้ยังไง” หูโกวอวี้ตอบ


“เหอะๆ! พี่หูเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่อย่างเต็มที่จริงๆ ด้วย รบกวนให้พี่หูมาส่งตั้งไกล นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ โปรดรับไว้ “เหมียวอี้พลิกมือโยนแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งไปให้


ใครจะคิดว่าหูโกวอวี้ที่รับของมาไว้ในมือจะไม่ดูเลยว่าข้างในคืออะไร โยนกลับมาโดยตรง “ผู้บัญชาการใหญ่เกรงใจแล้ว หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายกับตลาดสวรรค์ไม่เหมือนกัน ไม่คุ้นชินกับธรรมเนียมแบบนี้ หูผู้นี้เป็นคนในทัพกลางของแม่ทัพภาค ถ้ารับของไว้ซี้ซั้ว เกรงว่าจะอยู่ที่ทัพกลางได้ไม่นาน”


“อ๋อ!” เหมียวอี้ที่เก็บแหวนเก็บสมบัติกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็เป็นหนิวที่บุ่มบ่างเอง”


“เดี๋ยวต่อไปนี้ผู้บัญชาการใหญ่ก็ย่อมเข้าใจชัดเจน” หูโกวอวี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วไม่พูดอะไรมากอีก หยิบหนังสือส่งคนมาให้คังและเหยา เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่ผิดพลาด ทั้งสองก็มอบหนังสือลงนามรับตัวให้เช่นกัน เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หูโกวอวี้ก็ส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า ‘ข้ารู้อยู่แก่ใจ’ ให้ทั้งสอง แล้วก็กล่าวอำลาเหาะขึ้นฟ้าไป


หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เหมียวอี้ก็หันกลับมาถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าเข้าไปในกองบัญชาการของผู้บัญชาการใหญ่ได้หรือยัง?”


“ผู้บัญชาการใหญ่ล้อเล่นแล้ว ที่นี่จะมีใครกล้าขวางท่าน ก่อนหน้านี้แค่มีธุระขึ้นมากะทันหันจนชักช้าเสียเวลา”


ทั้งสองพูดกลั้วหัวเราะหลอกลวงสองสามประโยค แล้วรีบหยิบเครื่องมือออกมาเปิดค่ายกลที่ปิดไว้


เหมียวอี้เดินตรงไปข้างหน้า พอเดินไปถึงใต้ป้ายประตูใหญ่ก็หยุดฝีเท้าอีก มองดูทหารยามที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวา


ทหารยามทั้งสองทำท่าเหมือนไม่สนใจใยดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย กุมหมัดคารวะ “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”


“พวกเจ้าเป็นคนของหน่วยงานไหน?” เหมียวอี้ถาม


เหยาหย่วนชูตอบว่า “สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ก็ย่อมเป็นกำลังพลในทัพกลางกองบัญชาการธงพยัคฆ์ดำของผู้บัญชาการใหญ่อยู่แล้ว”


“กำลังพลของกองบัญชาการของข้า…” เหมียวอี้พยักหน้าเล็กน้อย กวาดสายมองทั้งสอง แล้วเอียงหน้าเรียก “สวีถังหราน”


“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ” สวีถังหรานรีบก้าวขึ้นมารอฟังคำสั่ง


เหมียวอี้ชี้ไปที่ทหารยามสองคน พร้อมบอกว่า “ต่อไปนี้ตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลาง ข้าต้องการมอบให้เจ้า สองคนนี้ทำได้ไม่เลวเลย เจ้าตั้งใจเรียนรู้ไว้สักหน่อย”


ผู้บัญชาการทัพกลาง สวีถังหรานแอบดีใจ ระบบของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวากับตำหนักคุ้มเมืองไม่เหมือนกัน ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำก็เท่ากับกองทัพองครักษ์ของธงพยัคฆ์ดำ รับหน้าที่พิทักษ์ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้ การที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบตำแหน่งสำคัญแบบนี้ให้ตน ก็เท่ากับมองว่าตนเป็นลูกน้องคนสนิทอย่างแท้จริงแล้ว


ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ โดยทั่วไปทัพกลางจะเฝ้าประจำอยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ ส่วนเรื่องรบราฆ่าฟัน ถ้าไม่ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อตอนสุดท้าย ก็จะไม่ถึงคราวให้ใช้งานทัพกลาง หรือพูดได้อีกอย่างว่า เพื่อเทียบกับคนอื่นแล้วมีความปลอดภัยสูงกว่ามาก ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ด้วย!


สวีถังหรานรีบเหล่ตามองทหารยามสองคนนั้น ในด้านนี้เขาไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้พูดอะไรมากก็เข้าใจความหมายแล้ว ทัพกลางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขามีคนที่ต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าเข้าจัดการลงโทษไม่ได้ เขาก็ไม่ต้องรับหน้าที่ผู้บัญชาการทัพกลางแล้ว จึงกุมหมัดเอ่ยรับทันที “ขอรับ!”


ในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็จะรู้ว่าคำพูดของเหมียวอี้หมายความว่าอะไร ทหารยามทั้งสองรีบเหลือบมองคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู เมื่อเห็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองส่งสายตาสื่อความหมายว่าไม่ต้องห่วง พวกเขาก็สงบใจทันที


คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาข้างในอีกครั้ง เมื่อเดินขึ้นมาบนทางคดเคี้ยวระหว่างหมู่ภูเขา เหมียวอี้ก็ไม่รีบเดินขึ้น แต่ถามถึงสถานการณ์ของที่นี่


นี่คือเรื่องที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู ทัพใหญ่อยู่ข้างนอก สถานการณ์ทางทหารที่เกี่ยวข้องกับฐานประจำการ ทั้งสองไม่ถึงขั้นต่อต้านเจ้านายโดยการโกหกสถานการณ์ของกองทัพ แบบนั้นมีโทษตาย ทั้งสองรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว เมื่อมองจากจุดนี้ กำลังพลของตลาดสวรรค์ยังห่างไกลกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาก


เมื่อเล่าสถานการณ์ของดาวหกนิ้วโดยละเอียดแล้ว ก็บอกสาเหตุโดยละเอียดเช่นกันว่าทำไมต้องมาประจำการที่สำนักหกนิ้ว


เมื่อถามถึงสถานการณ์ของธงพยัคฆ์ดำ ทั้งสองก็ย่อมรายงานอย่างละเอียดเช่นกัน


เบื้องล่างของธงพยัคฆ์คือธงอินทรี ใต้ธงอินทรีคือธงหมาป่า ธงพยัคฆ์ย่อมแทนระดับของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้ ธงอินทรีแทนระดับผู้บัญชาการ ธงหมาป่าแทนระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ระดับที่อยู่ต่ำกว่านั้นก็มีผู้บังคับการกองร้อยและผู้บังคับการกองห้า ไม่มีธงสัญลักษณ์


ผู้บังคับการกองห้าคุมสิบคน ผู้บังคับการกองร้อยคุมหนึ่งร้อยคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าคุมผู้บังคับการกองร้อยจำนวนสิบเอ็ดกอง มีหนึ่งกองเป็นทัพกลางข้างกาย ผู้บัญชาการธงอินทรีคุมธงหมาป่าสิบเอ็ดกอง มีหนึ่งกองเป็นทัพกลาง ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์คุมธงอินทรีสิบเอ็ดกอง มีหนึ่งกองเป็นทัพกลาง ส่วนกอง ทัพโต้ว หน่วยองครักษ์ที่อยู่ระดับบนก็เรียงขึ้นไปแบบนี้เช่นกัน จนกระทั่งอำนาจของสิบเอ็ดหน่วยไปรวมอยู่ในมือโพ่จวินที่เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย นี่ก็เป็นที่มาของชื่อ ‘หน่วยองครักษ์’


จากนั้นก็เริ่มแบ่งจากกอง มีฟ้า ม่วง ขาว ทอง เขียวเงิน ดิน ดำ แดง เขียว น้ำเงิน กองมังกรดำก็เป็นหนึ่งในนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ใต้สังกัดของเหมียวอี้มีรองผู้บัญชาการใหญ่คังจือลวี่ดูแลธงพยัคฆ์ฟ้า ธงพยัคฆ์ม่วง ธงพยัคฆ์ขาว ธงพยัคฆ์ทอง ธงพยัคฆ์เขียวเงิน ทั้งหมดห้าธงพยัคฆ์ ส่วนรองผู้บัญชาการใหญ่เหยาหย่วนชูก็ดูแลธงพยัคฆ์ดิน ธงพยัคฆ์ดำ ธงพยัคฆ์แดง ธงพยัคฆ์เขียว ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ทั้งหมดห้าธงพยัคฆ์ แต่ทั้งสองก็มีเพียงอำนาจในการแบ่งกันดูแลจัดการเท่านั้น ส่วนอำนาจใช้งานหรือบัญชาการก็ยังเป็นของเหมียวอี้ที่คุมทัพกลาง  กฎระเบียบนี้เรียงขึ้นไปจนถึงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย


บางสิ่งบางอย่าง เหมียวอี้พอจะเข้าใจอยู่บ้างตั้งแต่ก่อนมาแล้ว


จุดที่ไม่เข้าใจก็คือ ตำแหน่งสำคัญในทัพกลางที่ขึ้นตรงกับเขา มีผู้บัญชาการหนึ่งคน รองผู้บัญชาการสองคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการเจ็ดคนถูกผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนพาตัวไปแล้ว เหลือเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการสามคนไว้ให้เขา ในด้านนี้หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาควบคุมอย่างเข้มงวดมาก จะมาจะไปล้วนพาไปด้วยได้เพียงสิบคน ไม่ให้มากกว่านี้ ไม่ให้มีโอกาสในการดึงพรรคพวกในหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา


สิ่งเหล่านี้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูสามารถพูดได้ แต่สิ่งที่ไม่ได้บอกเหมียวอี้ก็คือ เดิมทีผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนเตรียมจะพาพวกเขาสองคนกับผู้บัญชาการใหญ่แปดคนไปด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เบื้องบนไม่ยอมปล่อยคนพวกนี้ไป เหตุผลก็คือหนิวโหย่วเต๋อไม่มีประสบการณ์ในการบัญชาการกำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย จึงทิ้งผู้ชำนาญเอาไว้ช่วยหนิวโหย่วเต๋อ อนุญาตให้พาไปเพียงบุคคลสำคัญของทัพกลาง


ในมุมมองของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้นเลย ในธงพยัคฆ์ดำมีผู้ชำนาญเยอะเกินไป พอพาคนไปแล้วสิบคน ก็หาใครมาเติมให้เต็มก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงกลับกลายเป็นดูเหมือนไม่ให้โอกาสเหมียวอี้ผูกมัดจิตใจคน เมื่อไม่ให้โอกาสเหมียวอี้เลื่อนขั้นให้ลูกน้อง ก็ย่อมลดโอกาสในการซื้อน้ำใจคนแล้ว กลุ่มผู้บัญชาการเบื้องล่างล้วนเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อน ถ้าไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้น เจ้าก็ลองถอดคนทิ้งอย่างส่งเดชดูสิ คนที่เป็นทุกข์ร้อนกับชะตากรรมของพวกเดียวกันจะต้องรวมตัวกันมาเล่นงานเจ้าแน่นอน


หยางชิ่งที่ทำการบ้านมาเต็มที่ สืบเรื่องสถานการณ์ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายอย่างละเอียดก่อนมา พอได้ฟังแบบนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว พบว่าแบบนี้ไม่สอดคล้องกับหลักการปกติในการโยกย้ายคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทิ้งลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนไว้แบบนี้ ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้อำนาจทางทหารอยู่ในมือผู้บัญชาการคนก่อน ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากจะให้ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนกลับมารับตำแหน่งเดิมได้ทุกเมื่อหรอกเหรอ ชัดเจนว่ากำลังเพิ่มความยุ่งยากให้เหมียวอี้ พอมาถึงก็ให้เหมียวอี้รอที่ประตูครึ่งค่อนวัน แค่สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน!


บทที่ 1348 ทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกร

Ink Stone_Fantasy

ต่อให้ลูกน้องจะมีเยอะกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีคนของตัวเอง แม้แต่ผายลมก็ไม่ดัง หลังจากเหมียวอี้ออกจากมือใหม่มาเป็นคนเลี้ยงม้า แทบจะไต่ตขึ้นมาเป็นประมุขปราสาทตลอดทาง เขาบัญชาการทหารมาหลายปี มีหรือที่จะไม่เข้าใจหลักการนี้ คนที่อยู่ในตำแหน่งหลักมานานจนคุ้นชินย่อมรู้ถึงความสำคัญของกุมอำนาจ


พอได้ฟังสถานการณ์ ในใจเขาก็มีแผนการแล้ว เพียงแต่ภายนอกยังคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรเท่านั้นเอง


เขาเอ่ยถามตลอดทาง คนกลุ่มหนึ่งเดินช้าๆ ขึ้นไปถึงหน้าตำหนักใหญ่บนยอดเขาหลัก ภาพตรงหน้านี้ สถานที่ไม่ได้สวยงามสักเท่าไร ความภูมิฐานของสำนักหกนิ้วยังมีอยู่ ตำหนักสูงตระหง่านสูงโดดเด่นมีชายคาโค้งและประดับตกแต่งอย่างงดงาม มีสง่าราศีมาก นอกตำหนักมีธงพยัคฆ์ดำโบกสะบัดอยู่บนเสาต้นหนึ่ง บนธงผ้าไหมปักลายเสือดำคำราม แสดงกำลังอำนาจอยู่ท่ามกลางสายลม


เมื่อยืนอยู่ตรงนี้แล้วหันกลับไปมองรอบๆ ก็จะพบว่ามีพื้นที่สีเขียวล้อมรอบพื้นที่รกร้าง มีเสน่ห์ไปอีกแบบ


พอเข้ามาในตำหนักหลัก ก็พบว่าในตำหนักกว้างโล่ง เก็บกวาดได้อย่างสะอาดเอี่ยมอ่อง บนแท่นด้านบนมีรูปสลักหยกของบุคคลที่สูงประมาณหนึ่งจั้ง เป็นชายชราผู้มีสง่าราศีเหมือนเทพเซียนที่กำลังใช้มือลูบเคราและทอดสายตามองไปไกล เสื้อผ้าปลิวพลิ้วไหว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเทพ สิ่งที่สะดุดตาก็คือบนมือมีหกนิ้ว


เบื้องล่างรูปสลักมีร่องรอยการจุดธูปบูชาในกระถางธูปอย่างชัดเจน ไม่มีเครื่องสังเวย เห็นได้ชัดว่าถูกคนที่ยึดครองที่นี่เก็บทำความสะอาดไปหมดแล้ว ด้านบนมีบัลลังก์สูงเพิ่มมาที่หนึ่ง


เหมียวอี้ที่มองสำรวจกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูท่าแล้วคนของธงพยัคฆ์ดำก็ไม่ถือว่าเผด็จการเกินไปนัก ไม่ได้ทิ้งรูปสลักนี้ไป”


คังจือลวี่ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ถึงยังไงหกนิ้วก็ได้รับการสรรเสริญจากตำหนักสวรรค์ ถ้าทำเกินไปนัก ข่าวที่แพร่ออกไปจะไม่ค่อยน่าฟัง ถึงยังไงพวกเราก็พักที่นี่แค่ชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเกินไปนัก ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่ชอบที่รูปสลักนี้ขัดตา จะโยนทิ้งไปก็ไม่เป็นไรขอรับ”


เหมียวอี้โบกมือปฏิเสธ เรื่องไร้คุณธรรมที่แม้แต่คนก่อนหน้ายังไม่ทำ มีหรือที่เขาจะทำ เขาหันตัวมาบอกว่า “สวีถังหราน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่งต่อตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางธงพยัคฆ์ดำให้เจ้าแล้ว รีบไปรับงานต่อ”


“ข้าน้อยเอ่ยรับคำสั่ง” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะอย่างแอบดีใจ


ทว่าคังจือลวี่กลับถามว่า “ขอบังอาจถามผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าน้องสวีถังหรานมีวรยุทธ์เท่าไร?”


“บงกชทองขั้นแปดแล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เหมียวอี้ตอบ


เหยาหย่วนชูส่ายหน้า “น้องสวีเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม นายท่านได้โปรดไตร่ตรองอีกที ข้าน้อยแนะนำว่าให้เลือกคนมีประสบการณ์ความสามารถอีกคนจากทัพกลางมาเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง”


สวีถังหรานรีบหันกลับไปมอง มีคนทำลายอนาคตของเขา เขาย่อมแค้นจนกัดฟันกรอด


ผู้บัญชาการทัพกลางที่ปกป้องความปลอดภัยของตน ถ้าส่งมอบตำแหน่งนี้ให้คนที่ตนไม่คุ้นเคย แบบนั้นไม่ใช่การล้อเล่นหรอกเหรอ ถ้าวันไหนมีคนคลำมาถึงข้างเตียงตอนข้านอนหลับข้าคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ! เหมียวอี้หน้าบึ้งเล็กน้อย ไม่กลัวว่าจะมีคนสังเกตเห็น ตะคอกบอกตรงๆ เลยว่า “ตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางทำหน้าที่พิทักษ์ข้า ถ้าไม่ให้คนสนิทรู้ใจของข้ามาทำ จะไม่เป็นการทำให้ข้ากินนอนลำบากหรอกเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าสองคนจะอยากขัดขวาง มีเจตนาอะไรกันแน่?”


คังจือลวี่ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว พวกเราก็ไตร่ตรองเพื่อผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ไม่ได้มีเจตนาจะห้ามแน่นอน เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่ทำแบบนี้แล้วจะเกิดเรื่อง ใช่แล้ว นี่คือทะเบียนรายชื่อของทุกคนในธงพยัคฆ์ดำ กำลังจะมอบให้นายท่าน หลังจากนายท่านอ่านแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นถ้าในทัพกลางเกิดเรื่องอะไรที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของนายท่าน แบบนั้นก็จะไม่ดีแล้ว” แผ่นหยกสิบเอ็ดแผ่นวางซ้อนบนฝ่ามือสองข้างเพื่อยื่นให้


พอเหมียวอี้เอียงหน้า หยางเจาชิงก็ก้าวขึ้นมารับไว้ในมือ


ตอนนี้พวกเขาให้เหมียวอี้ดูสมุดรายชื่อ เหมียวอี้เดาว่าจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ตอนนี้เขาดันไม่ดู กลับเตือนว่า “ข้าว่าทั้งพวกเจ้าสองคนก็คงไม่อยากเห็นข้าเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูบ้านของตัวเองหรอกใช่มั้ย?”


นี่คือการเตือนให้ส่งมอบเครื่องมือในการควบคุมค่ายกลป้องกันออกมา เดิมทีหยางชิ่งอาจจะเตือนเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นเหมียวอี้เหมือนมีกระจกสะท้อนในใจก็ไม่พูดอะไรแล้ว


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแอบส่งสายตาให้กัน เดิมทีอยากจะอาศัยเรื่องนี้เพื่อหลอกตบตา แต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่สับสนวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ แม้เรื่องของผู้บัญชาการทัพกลางก็วางไว้ก่อน หันไปคว้ากุญแจสำคัญโดยตรง ทว่าพวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธการส่งมอบของสิ่งนี้ ของที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของกองบัญชาการธงพยัคฆ์ดำ เดิมทีก็ต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ควบคุมอยู่แล้ว


ทั้งสองหยิบเครื่องมือชิ้นหนึ่งส่งให้ทันที ชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องมือค่ายกลหลัก ชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องมือเปิดทางเข้าออก


เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง ยังไม่ได้รับไว้ แต่ถามว่า “จากที่ข้ารู้มา เครื่องมือที่ใช้ควบคุมค่ายกลป้องกันมีหนึ่งชิ้นหลักและสามชิ้นรอง มีทั้งหมดสี่ชิ้นไม่ใช่เหรอ?”


“อีกสองชิ้นปกติให้พวกเราควบคุมคนละชิ้น จะได้เข้าออกเพื่อจัดการธุระได้สะดวกขอรับ” คังจือลวี่ตอบ


ในเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเหลือให้เหมียวอี้เจรจาต่อรองเลย เขากล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “นำของทั้งหมดออกมาก่อนเถอะ ข้าต้องตรวจนับสิ่งของของกองบัญชาการสักหน่อยว่าขาดไปหรือเปล่า ต้องตรวจสอบกับเบื้องบนเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีของอะไรหายไปแล้วไม่รู้ เดี๋ยวจะอธิบายกับเบื้องบนไม่ได้ ทั้งสองไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เดี๋ยวค่อยปรึกษากับทั้งสองเรื่องแบ่งสรรอีกที ทั้งสองล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของธงพยัคฆ์ดำ ข้าจะไม่เคารพความเห็นของพวกเจ้าได้ยังไง”


พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว อีกฝ่ายต้องการตรวจสอบกับเบื้องบนทันที เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธสักนิดเลย ทำได้เพียงมอบใบแสดงรายการสิ่งของรวมทั้งสิ่งของที่สอดคล้องกันในธงพยัคฆ์ดำให้อย่างซื่อสัตย์


ที่จริงการส่งมอบนี้ควจะให้ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนมาส่งด้วยตัวเอง แต่ท่านนั้นไม่พอใจ จึงโยนไว้ให้ลูกน้องเสียเลย ส่วนตัวเองก็ไปก่อนแล้ว ขี้คร้านจะพูดมากกับเหมียวอี้ แล้วอีกอย่าง ถ้าผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนยังรออยู่ที่นี่ การจะปล่อยให้ลูกน้องกันเหมียวอี้ไม่ให้เข้าประตู ก็จะฟังดูเหลวไหลเหมือนกัน ถ้าไม่มีผู้บังคับบัญชาคอยคุมอยู่ด้วย พวกลูกน้องก็จะพูดมั่วได้ง่ายมาก


ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนจะสนใจส่งต่องานให้ตัวเองหรือไม่ เหมียวอี้ไม่สนใจหรอก ตัวคนไม่อยู่ ก็ต้องรู้จำนวนของให้ชัดเจน เพราะไม่มีใครชอบการเป็นแพะรับบาป


ในตำหนักนั้นเอง ตรงนั้นเลย หยางเจาชิงกับสวีถังหรานตรวจนับตรงนั้น ส่วนหยางชิ่งก็ถือใบแสดงรายการตรววจเทียบทีละชิ้น


นอกจากสิ่งของจำเป็นที่ต้องจัดวางในธงพยัคฆ์ดำ พวกทรัพย์สินเงินทองก็ว่างเปล่า ถูกผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนหาข้ออ้างจ่าย นำไปด้วยและแจกจ่ายซ้ำไปซ้ำมาจนหมดแล้ว ไม่เหลือไว้ให้เหมียวอี้เลยสักนิด ส่วนที่ควรจะนำไว้ใช้ซื้อใจคน ผู้บัญชาการคนก่อนช่วยทำแทนเหมียวอี้แล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเหมียวอี้แล้ว สำหรับเรื่องนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องส่งต่อตำหนักคุ้มเมืองให้ฝูชิง เขาก็จะทำแบบนี้เช่นกัน


หลังจากทำเครื่องหมายไว้บนรายชื่อของแต่ละชิ้นแล้ว หยางชิ่งก็หันกลับมาพยักหน้าให้เหมียวอี้ บอกเป็นนัยว่าไม่มีปัญหา ภายใต้การบอกใบ้ของเหมียวอี้ เขาให้คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูลงนามบนใบแสดงรายการแผ่นใหม่ทันที เพื่อพิสูจน์ว่าของที่ส่งมอบให้มีเท่านี้ เหมียวอี้รับไว้มีแค่ของพวกนี้ ไม่ใช่ว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้วโดนเหมียวอี้ทุจริตฮุบไว้


จากนั้นเหมียวอี้ก็อ้างว่าต้องการตรวจสอบกับเบื้องบน จึงต้องกันคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูออกไป พอทั้งสองออกไป เหมียวอี้ก็โยนแผ่นหยกให้หยางชิ่งตรวจสอบทันที ก่อนที่จะมาที่นี่ เบื้องบนได้ส่งรายชื่อสิ่งของของธงพยัคฆ์ดำที่ต้องส่งมอบมาให้เหมียวอี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้รายงานขึ้นไปตรวจสอบอีก อย่างไรเสียก่อนที่ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนจะออกจากตำแหน่งไป ก็ต้องถ่ายทอดงานให้กองมังกรดำอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เจ้าตัวม้วนเก็บของทุกอย่างหนีไป ธงพยัคฆ์ดำยังมีของอะไรเหลืออยู่บ้าง กองมังกรดำย่อมมีข้อมูลอยู่แล้ว


เมื่อหยางชิ่งหยิบใบแสดงรายการสิ่งของอีกฉบับมาดู ก็เข้าใจในทันที นี่เป็นแค่ข้ออ้างที่เหมียวอี้ใช้เพื่อฉวยโอกาสเก็บรวบสิ่งของไว้ก็เท่านั้นเอง แต่กลับกดดันจนอีกฝ่ายไม่มีทางเกาะแกะพัวพันได้ เขาอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชม ชื่นชมที่เหมียวอี้จัดการเรื่องเล็กแบบนี้ได้ราวกับเมฆเหินน้ำไหล รวดเร็วฉับไวมาก ไม่เห็นการสะดุดเลยสักนิด รัวดาบฟันเชือกแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว


ในสายตาผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงได้เห็นเหมียวอี้ทำงานราชการอย่างจริงจัง พวกนางย่อมมองออกว่าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูกำลังกลั่นแกล้งด้วยวิธีการอ่อนนอกแข็งใน แต่เวลาเหมียวอี้แก้ไขปัญหาขึ้นมา ก็ไม่ให้คนอื่นมากลั่นแกล้งเพียงเพราะเป็นคนมาใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ เขาลงมือแก้ปัญหาไร้อย่างราบรื่นที่สุด


ถึงแม้ภายนอกพวกนางจะไม่มีสถานะขุนนาง แต่ก็รู้ว่าไม่ว่าใครที่มารับตำแหน่งใหม่ เมื่อไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด ก็จะต้องเลือกรอให้รู้สถานการณ์แน่ชัดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจจัดการอย่างระมัดระวัง จะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรซี้ซั้วแน่นอน แต่ดูจากท่าทางเหมียวอี้แล้ว กลับเหมือนไม่มีความกังวลในด้านนี้เลย ยามมาถึงที่นี่ก็มีความมั่นใจราวกับมาถึงบ้านของตัวเอง ควรจะจัดการอย่างไรก็จัดการอย่างนั้น ถ้ามองจากอีกฐานะหนึ่ง นี่คือการแสดงความมั่นใจและเสน่ห์ของเหมียวอี้ออกมาอย่างชัดเจน เป็นบุคลิกน่านับถือเวลาที่จัดการเรื่องยากให้ดูเหมือนง่าย ดูสง่างามในสายตาของเพศตรงข้าม


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูที่ออกจากตำหนักใหญ่สบตาและถ่ายทอดเสียงคุยกัน


คังจือลวี่บอกว่า “จากจุดเล็กๆ ก็มองเห็นภาพรวมได้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดา ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว พอวันนี้ได้เห็นตัวจริง ข้าว่าชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาไม่ใช่ข่าวดคมลอยแน่ เขาเหมือนคนที่ผ่านอุปสรรคมาเนิ่นนาน ออกสังคมบ่อยจนชินแล้ว มาที่นี่ครั้งแรกแต่สุขุมเยือกเย็นมาก เหมือนไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา”


เหยาหย่วนชูบอกว่า “แต่เป็นแค่นักพรตบงกชทอง ทั้งยังไม่ได้สร้างผลงานอะไร จะคุมคนได้ยังไง? เจ้ากับข้าควรจะบอกต่อลงไปเดี๋ยวนี้ ให้พวกลูกน้องระวังเอาไว้หน่อย บอกทุกคนว่าต้องสามัคคีกันไว้ ถ้าให้เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่บนหัวพวกเราจริงๆ ให้นักพรตบงกชทองคนหนึ่งสามารถมาครอบหัวพวกเราได้ พวกเราจะทนความรู้สึกได้ยังไง อย่างน้อยๆ ก็อย่าให้เขาคิดจะเปลี่ยนใครก็เปลี่ยนได้ ผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว ธงพยัคฆ์ดำยังไม่ถึงคราวให้นักพรตบงกชทองมามีอำนาจตัดสินใจไร ฉวยโอกาสทำให้เขาไสหัวไปเร็วๆ หน่อยดีกว่า!”


ในตำหนัก ตอนนี้เหมียวอี้หยิบสมุดรายชื่อของธงพยัคฆ์ดำมาจากมือหยางเจาชิงแล้ว เขาเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ผู้บัญชาการใหญ่แล้วนั่งลงอ่าน สาเหตุที่เขาไม่ดูก่อนหน้านี้ ก็เพราะไม่อยากโดนคนอื่นคุมจังหวะและจูงจมูก


หยางชิ่งที่ตรวจสอบใบแสดงรายการสองฉบับนี้เสร็จเดินมาทีตีนบันได แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “นายท่าน ของที่ส่งมอบไม่มีปัญหา…หรือว่าสมุดรายชื่อจะมีปัญหาอะไร?” จู่ๆ เขาก็พบว่าสีหน้าของเหมียวอี้ดูจริงจังนิดหน่อย


เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ รวมสมุดรายชื่อสิบเอ็ดเล่ม แล้วโบนลงไป “เป็นทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกรอย่างที่คาดไว้ พวกเจ้าดูเอาสิ”


พวกหยางชิ่งรับสมุดรายชื่อมาผลัดกันอ่านทันที ตอนยังไม่ดูก็ไม่เป็นไร แต่พอดูแล้วสีหน้าก็อึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ สวีถังหรานก็ยิ่งน่ายับจนเหมือนมะระ แทบจะร่ำร้องออกมาอย่างขื่นขม


ทั้งธงพยัคฆ์ดำมีกำลังพลประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นสามพันกว่า ที่น่ากลัวก็คือหานักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชทองไม่เจอสักคน ทั้งหมดล้วนมีวรยุทธ์ระดับบงกชทองขึ้นไป ธงอินทรีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็มีกำลังพลกองละหนึ่งหมื่นสองพันกว่า ผู้บัญชาการแต่ละคนมีลูกน้องระดับบงกชรุ้งสิบกว่าคน ลูกน้องของผู้บัญชาการทัพกลางก็ยิ่งน่าตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคนอยู่ในทัพกลาง


หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทั้งธงพยัคฆ์ดำมีนักพรตบงกชรุ้งเกือบสองร้อยคน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปทุกระดับ คาดว่าทั้งหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคงมีนักพรตระดับบงกชรุ้งขึ้นไปเกือบสองล้านคน


เหมียวอี้ยังดีหน่อย เขาเคยเจอเรื่องที่น่ากลัวว่านี้มาแล้ว โจรกบฏหกลัทธิที่โดนขังอยู่ในแดนอเวจีเรียกตัวเองว่าทัพใหญ่สี่สิบล้าน แต่ความจริงมีอำลังพลประมาณแปดล้านกว่าเท่านั้น แต่แปดล้านกว่าคนนี้ล้วนเป็นคนที่เหลือรอดจากคลื่นชะทราย[1]หลายปี เป็นคนที่ฮึกเหิมเกรียงไกนกลุ่มสุดท้ายของโจรกบฏหกลัทธิ ในทัพใหญ่แปดล้านกว่ามีนักพรตบงกชรุ้งเกินสามล้าน เท่ากับท่ามกลางนักพรตทุกๆ แปดคนจะมีสามคน นี่ยังอยู่ในสภาพขาดทรัพยากรฝึกตนด้วย ไม่อย่างนั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้คงไม่ได้มีจำนวนแค่เท่านี้แน่


สวีถังหรานกลับหวาดกลัวมาก เผชิญหน้ากับลูกน้องที่เป็นนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคน แล้วจะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางอย่างมั่นคงได้อย่างไร? ขอเพียงอีกฝ่ายหาข้ออ้างที่เหมาะสมมาเสนอความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เจ้าก็บัญชาการอีกฝ่ายไม่ได้เลย ถ้าเจ้าจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวก็ลองดูสิ!


ที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ เห็นได้ชัดว่าคนของธงพยัคฆ์ดำไม่ต้อนรับพวกเขา จะต้องไม่ให้พวกเขาได้อยู่สบายแน่ แล้วจะเป็นผู้บัญชาการทัพกลางได้อย่างไร?


…………………………


[1] คลื่นชะทราย 大浪淘沙 บุคคลโดดเด่นที่เหลือรอดจากการคัดเลือกทางธรรมชาติ


บทที่ 1349 ข้าต้องการคืนความยุติธรรมให้สำนักหกนิ้ว

Ink Stone_Fantasy

พอสังเกตสีหน้าของคนที่เหลือแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนก็ถามว่า “สวีถังหราน ทัพกลางเกี่ยวโยงกับเรื่องสำคัญ เจ้ามีความั่นใจที่จะคุมทัพกลางหรือเปล่า?”


“ข้า…” สวีถังหรานยืดคอ เขาเองก็อยากจะเอาชนะเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ยังกล่าวอย่างสูญเสียความมมั่นใจ “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำไมไหว ผู้บัญชาการใหญ่เปลี่ยนคนเถอะ” เรื่องนี้จะดันทุรังไม่ได้ เขารู้ว่าถ้าทำเรื่องนี้พังจริงๆ ดีไม่ดีก็อาจจะก่อปัญหาใหญ่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่เหมียวอี้ก็จะไม่ปล่อยเขาไป


เหมียวอี้ก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจเช่นกัน รู้ว่าสวีถังหรานมีความสามารถจำกัดในด้านนี้ เรื่องนี้ต้องให้ตนลงมือจัดการเอง จึงมองไปที่หยางชิ่งอีก “เจ้าคิดว่ายังไง?”


หยางชิ่งกวาดหางตามองเฟยหง ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงปรึกษาเรื่องแบบนี้ต่อหน้าสายลับ แต่ก็รู้ว่าการที่เหมียวอี้ทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน จึงทำท่าครุ่นคิด แล้วตอบว่า “จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด ต้องวางแผนอย่างช้าๆ”


“อ้อ!” เหมียวอี้ถามอีกว่า “วางแผนช้าๆ ยังไง?”


หยางชิ่งตอบว่า “พวกเขาต้องให้บทเรียนกับพวกเราสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าพวกเราจะต้องเตรียมตัวทนรับความอัปยศ รอให้พวกเราสืบเบื้องลึกของพวกเขาให้รู้ชัดก่อน ถึงจะเป็นเวลาที่พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงแล้วได้ผล”


“วางแผนช้า! ทนรับความอัปยศ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วยืนขึ้นถามว่า “เป็นคำพูดที่รอบคอบมากประสบการณ์ เพียงแต่จะเห็นผลช้าเกินไปหน่อยรึเปล่า?”


หยางชิ่งรู้จักนิสัยของเขา กลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามทำซี้ซั้ว จึงรีบเกลี้ยกล่อม “นายท่าน เบื้องล่างมีกำลังแข็งแกร่งมาก พวกเราอยู่ในวงล้อมของพวกเขาแล้ว จะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้อีกฝ่ายใช้กำลังทหารตักเตือน เกรงว่าพวกเราจะกลายเป็นคนแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียเอง!”


เหมียวอี้ก็รู้จักนิสัยของเขาเช่นเดียวกัน ไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงอันตรายที่ตัวเองไม่มั่นใจ จึงขี้เกียจจะเถียงกับเขาแล้ว พยักหน้าแสดงออกว่ารู้แล้ว วางประเด็นนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แล้วบอกกับทุกคนว่า “ทุกคนมาเป็นครั้งแรก ไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยว่ากัน สวีถังหราน เจ้าประสานงานเรื่องนี้กับลูกน้องหน่อย ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ราบรื่น อย่าแยกกันพักอาศัย พยายามอยู่ใกล้กันเข้าไว้”


คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูค่อนข้างน่าสนใจ ผู้บัญชาการใหญ่มาเป็นครั้งแรก แต่พวกขาไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงเลยว่าจะให้เหมียวอี้พักที่ไหน เตรียมจะให้เขานอนพักในตำหนักประชุมเหรอ? ดังนั้นตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา ในดวงตาเหมียวอี้จึงฉายแววเย็นเยียบเล็กน้อย


“ขอรับ!” สวีถังหรานกุมหมัดรับคำสั่ง ในใจรู้สึกโล่งอก โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ให้เขาฝืนทำสิ่งไม่ถนัด


เหมียวอี้เอียงหน้าบอกอีกว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเขาบอกว่าคนของสำนักหกนิ้วไปอาศัยอยู่ที่ปลายน้ำหมด ในเมื่อมาถึงอาณาเขตของอีกฝ่ายแล้ว จะไม่ไปพบเจ้าถิ่นของที่นี่สักหน่อยได้ยังไง เจาชิง เจ้าไปติดต่อด้วย ให้บุคคลระดับสูงของสำนักหกนิ้วมาพบข้า แล้วอีกอย่าง บอกว่ายังมีเทพแห่งภูผากับเทพคงคาที่มากินอยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่เหรอ? เรียกมาพร้อมกันเลย”


พวกหยางชิ่งแปลกใจอยู่บ้าง การพบเจ้าถิ่นของที่นี่ก็ยังฟังขึ้นอยู่ แต่เทพแห่งภูผากับเทพคงคาอยู่ในระดับผู้บังคับการกองห้าเท่านั้น ผู้บัญชาการใหญ่ผู้สง่าผ่าเผยจะตั้งใจเรียกพวกเขามาพบทำไม? แต่พอลองเลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำความเข้าใจสถานการณ์


“หยางชิ่ง เจ้าไปบอกรองผู้บัญชาการใหญ่คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู ให้พวกเขาไปแจ้งให้ผู้บัญชาการทั้งสิบสายใต้บังคับบัญชารู้ ว่าให้มาที่นี่ก่อนบ่ายวันพรุ่งนี้ ข้าต้องการจะจัดการกิจธุระตามระเบียบปฏิบัติ”


“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ


หลังจากเหมียวอี้กำชับแล้ว ก็โบกมือบอกใบ้ว่าให้รีบไปจัดการ


หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ในที่สุดเฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงก็ถอดหมวกมุ้งลงมา เผยใบหน้าที่งามหยาดเยิ้มแล้ว


เมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีงานอะไร ไห่ผิงซินก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย อยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองมานานขนาดนั้น แต่นางไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าใกล้เฟยหงเลย ถึงได้ฉวยโอกาสนี้เข้าใกล้เฟยหงอย่างช้าๆ ถามเอาใจว่า “หรูฮูหยิน เดินทางมาไกลขนาดนี้ เหนื่อยหรือเปล่าคะ?”


เฟยหงยิ้มบางๆ “ยังพอไหว!”


แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะชำเลืองสายตามองมาทางนี้ แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ไห่ผิงซิน เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไปเฝ้าประตูข้างนอกอีก?”


ไห่ผิงซินได้ยินแล้วโมโห ถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “นี่ท่านให้ข้าไปเฝ้าประตูงั้นเหรอ?”


เฟยหงมองนางอย่างตกตะลึงแวบหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่านางจะพูดแบบนี้กับเหมียวอี้


เหมียวอี้หน้าบึ้งเล็กน้อย “ตรงนี้ก็มีคนอยู่ไม่กี่คน อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าไปเฝ้าประตู หรือเจ้าอยากจะให้หรูฮูหยินไปเฝ้าประตูล่ะ? เฟยหง งั้นก็รบกวนเจ้า…”


“เอ่อ…” ไห่ผิงซินมองเฟยหงที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง มีหรือที่จะยอมให้คนที่ตัวเองเคารพบูชาที่สุดไปเฝ้าประตู รีบพูดตัดบทว่า “มิบังอาจ มิบังอาจ ข้าไปเอง ข้าเอง” พูดจบก็รีบส่ายก้นวิ่งออกไป ทั้งยังทำท่าเหมือนเต็มใจอุทิศตนรับใช้ด้วย การได้อุทิศตนรับใช้หรูฮูหยิน นางเต็มใจมากจริงๆ


ขณะมองดูไห่ผิงซินที่สวมเกราะรบสีทองเดินไปเดินมาอย่างห้าวหาญเกรียงไกรอยู่ตรงประตูนอกตำหนัก เหมียวอี้ก็กลอกตามองบน พบว่านางหนูคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว เยียวยาไม่ไหวแล้ว สงสัยจะต้องหาโอกาสไปเข้าร่วมทดสอบเพื่อส่งนางกลับนรก ส่งให้นางไปอยู่ข้างกายบิดาตัวเอง


สวีถังหรานจัดหาที่พักได้อย่างรวดเร็ว เลือกเรือนพักบนยอดเขาหลักที่มีปัจจัยพร้อมที่สุดให้กับพวกเขา คนระดับล่างไม่ได้นำเรื่องนี้มากลั่นแกล้งซึ่งๆ หน้า ถึงอย่างไรก็ยังต้องหาข้อแก้ตัวอีกว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงปล่อยให้เหมียวอี้รออยู่หน้าประตูตั้งนาน เพียงแต่สีหน้าของสวีถังหรานค่อนข้างฝืนใจ เห็นได้ชัดว่าการติดต่อประสานงานครั้งนี้ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี


เหมียวอี้ก็มองออกเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา มารู้ตอนนี้แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ? จึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปจัดระเบียบที่พัก


ทว่าเฟยหงมองคนที่หยางเจาชิงพามาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาบอกว่า “ซิงเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์ พวกเจ้าไปจัดเตรียมที่พักเถอะ ข้าจะอยู่ปรนนิบัตินายท่านที่นี่”


“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ทั้งสองเดินตามกลุ่มคนออกไป  ส่วนเฟยหงก็ไปยกน้ำชาที่เพิ่งต้มเสร็จจากตำหนักด้านข้าง เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่งแต่ไม่ได้ห้าม เหยียนซิวที่ยืนเงียบไม่สะทสะท้านอยู่ตลอดก็เหล่ตามองเงาร่างของเฟยหงที่เดินเข้าไปในตำหนักด้านข้างเช่นกัน


หยางเจาชิงที่เดินก้าวยาวเข้ามาเหลือบมองไห่ผิงซินที่เฝ้าประตูอยู่ข้างนอกอย่างงุนงงนิดหน่อย แต่ไห่ผิงซินก็ไม่ได้ห้าม ปล่อยพวกเขาเข้าไป


พอเข้ามาข้างในแล้ว หยางเจาชิงก็รีบกระซิบพึมพำอยู่ข้างกายเหมียวอี้ จากนั้นก็แนะนำให้เก้าคนที่ยืนอยู่ข้างล่างรู้ “ท่านนี้คือผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ของธงพยัคฆ์ดำ”


ชายสองหญิงสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่แสดงท่าทีนอบน้อมหรือว่าแข็งกร้าว กุมหมัดคารวะพร้อมกันว่า “ซาจินเปียว เทพแห่งภูผาเหอตง จืออู๋หลี่ เทพแห่งภูผาเหอซี อ้าวโม่ชิง เทพคงคาซ่างจิ่ววาน ปู้เหลียนหรง เทพคงคาเซี่ยลิ่ววาน คารวะผู้บัญชาการใหญ่”


จากนั้นชายสี่หญิงหนึ่งที่อยู่ข้างหลังก็กุมหมัดคารวะ ผู้หญิงเอ่ยก่อนว่า “ไป๋หลัน เจ้าสำนักสำนักหกนิ้ว นำเคอโส่วอี้ ฉูอิ้น ฉวนฉงไจ้ ชางจื่อเยว่ ผู้อาวุโสทั้งสี่ของสำนักมาเยี่ยมคารวะผู้บัญชาการใหญ่ค่ะ” จากนั้นชายสี่คนข้างหลังก็กล่าวตาม “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”


เหมียวอี้กดมือลง บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี ตอนนี้เฟยหงถือถาดน้ำชาเดินเนิบนาบออกมาจากตำหนักด้านข้างแล้ว ถ้ำชาถ้วยหนึ่งส่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ เหมียวอี้รับไว้อย่างไม่ใส่ใจ เปิดฝาดื่มแล้ววางกลับไปเหมือนเดิม


ตอนนี้หยางเจาชิงแนะนำเฟยหงอีก “ท่านนี้คือหรูฮูหยินของผู้บัญชาการใหญ่”


“คารวะหรูฮูหยิน” คนด้านล่างกล่าวทำความเคารพอีกครั้ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองเฟยหงหลายครั้ง ต่างก็ตกตะลึงในความงามเลิศล้ำของเฟยหง ผู้หญิงที่หน้าตางดงามแบบนี้ เกรงว่าท่ามกลางผู้หญิงหลายร้อยล้านคนคงยากที่จะมีแบบนี้สักคน ไม่รู้จริงๆ ว่าพิถีพิถันคัดเลือกมาได้อย่างไร


พวกเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของหนิวโหย่วเต๋อมานานมากเช่นกัน เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อจะต้องมารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำที่นี่ พวกเขาก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน ดังนั้นในใจจึงแอบคิดว่า ที่แท้ก็งามเลิศล้ำแบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อหลงใหลจนเสียตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ วีรบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงาม สิ้นชีพอยู่ภายใต้ดอกโบตั๋น ต่อให้กลายเป็นผีก็เจ้าชู้อยู่ดี!


เหมียวอี้เดินลงมาจากบันได เฟยหงที่ถือถาดก็เดินตามเขาไปเช่นกัน


เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเทพแห่งภูผาและเทพคงคาสี่คนที่สวมเกราะดำสามแถบ เหมียวอี้ก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถูกโยนมารับตำแหน่งในสถานที่แบบนี้ได้ก็นับว่าชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ พวกเจ้ามีวรยุทธ์เท่าไรกันบ้าง?”


ทั้งสี่ไม่ได้ตอบอะไรเหมือนกัน เผยสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้ว เป็นบงกชทองขั้นสองทั้งหมด เมื่อเทียบกับเกราะรบสีดำสามแถบบนตัวพวกเขา ก็นับว่าสะดุดตาพอสมควร


พอเหมียวอี้เห็นว่าทั้งสี่คนไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวหรือถ่อมตัวเกินไป แล้วเห็นว่าผู้หญิงทั้งสองก็หน้าตางดงามไม่ธรรมดาเหมือนกัน น่าจะมีคนรักชอบไม่ขาด เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองเดาผิด ที่ทั้งสี่คนมีชีวิตแบบในวันนี้ก็สมควรแล้ว จึงถามอีกว่า “อยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?”


“สามหมื่นกว่าปีแล้ว” ทั้งสี่ตอบ


เหมียวอี้คำนวณครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “สามหมื่นกว่าปี เฝ้าอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ อาศัยค่าจ้างสามหมื่นปีของพวกเจ้า การเพิ่มวรยุทธ์ให้ได้ถึงบงกชทองขั้นสองก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ”


อาศัยค่าจ้างก็ย่อมไม่ได้วรยุทธ์จนเท่าทุกวันนี้อยู่แล้ว อาศัยความสัมพันธ์อันดีกับสำนักหกนิ้ว ยื่นหมูยื่นแมวกันจนได้ผลประโยชน์มานิดหน่อยก็เท่านั้นเอง สิ่งนี้ทั้งสี่ย่อมไม่พูดออกมาอยู่แล้ว


เหมียวอี้มองดูปฏิกิริยาที่ไม่สะทกสะท้านของทั้งสี่ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก


ตอนนี้หยางชิ่งก็เดินออกมาจากด้านนอกเหมือนกัน พยักหน้าเบาๆ ให้เหมียวอี้ บอกใบ้ว่าจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มองดูคนในตำหนักแวบหนึ่ง รู้ว่าน่าจะเป็นคนที่หยางเจาชิงได้รับคำสั่งให้พามาก่อนหน้านี้


เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าไป๋หลันเจ้าสำนักหกนิ้วอีก มองสำรวจศีรษะจดเท้า ผู้หญิงคนนี้หน้าตาความสวยยังไม่ผ่าน จึงถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าสำนักไป๋คือหลานสาวของปรมาจารย์ที่บุกเบิกสำนักหกนิ้วเหรอ?”


“ใช่แล้วค่ะ!” ไป๋หลันกุมหมัดตอบ ฝ่ามือที่มีนิ้วก้อยเพิ่มมาอีกนิ้วนั้นเด่นชัดมาก เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจ้อง ก็ตอบอีกว่า “พ่อข้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เป็นกรรมพันธุ์ค่ะ”


เหมียวอี้พยักหน้า ถามอีกว่า “สำนักนี้มีนักพรตบงกชทองเท่าไร?”


“ถ้ารวมข้าด้วย ก็มีทั้งหมดสิบแปดคนค่ะ” ไป๋หลันตอบ


เยอะกว่าสำนักลมปราณในปีนั้นไม่น้อยเลย แต่ไม่มีทางเทียบกับสำนักลมปราณในตอนนี้ได้ เหมียวอี้ยิ้มพลางมองซ้ายมองขวาในตำหนัก ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวคนนี้เพิ่งจะมารับตำแหน่ง ได้ทราบว่าธงพยัคฆ์ดำมายึดครองใช้งานสำนักหกนิ้ว ก็เลยรู้สึกผิด มีแขกที่ไหนให้เจ้าบ้านย้ายไปกินดื่มน้ำที่ปลายน้ำ แต่จนใจที่หนิวคนนี้เพิ่งมาถึง อำนาจบารมีมีไม่พอ ยากที่จะควบคุมลุกน้องได้อย่างอิสระ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าอยากจะคืนความยุติธรรมให้สำนักหกนิ้ว เพียงแต่ต้องให้สำนักหกนิ้วให้ความร่วมมือสักหน่อย…”


เป้าหมายของเขาเรียบง่ายมาก และไม่ปิดบังด้วย ทำแบบนี้เพราะจะให้สำนักหกนิ้วมาฟ้องร้องต่อผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่อย่างเขา ต้องการจะเอาศาลบรรพบุรุษของตัวเองกลับมา จากนั้นเขาก็จะผลักเรือไปตามน้ำ


พวกหยางชิ่งส่งสายตาให้กันเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว กำลังคิดจะกำจัดกำลังพลของธงพยัคฆ์ดำให้พ้นจากข้างกายตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้าโดนกลุ่มทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกรล้อมอยู่ ก็จะกินนอนย่างไม่สงบแล้วจริงๆ กลัวว่าถ้าทำให้ลูกน้องไม่สมปรารถนาเพียงเล็กน้อย แล้วจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ใช้กำลังทหารคุกคาม จะให้คนพวกนั้นออกจากค่ายกลป้องกันไปก่อน ถึงทำได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น


เพียงแต่พวกลูกน้องอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ ผู้บัญชาการใหญ่กำลังอ่อนแอ คนในสังกัดธงพยัคฆ์ดำมีกำลังเข้มแข็ง เกรงว่าสำนักหกนิ้วคงจะไม่หาเรื่องใส่ตัว จะต้องยืนอยู่ฝั่งผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแน่นอน แล้วอีกอย่าง คนของธงพยัคฆ์ดำจะเชื่อฟังและออกไปเหรอ?


เป็นอย่างที่คาดไว้ ไป๋หลันกับบรรดาผู้อาวุโสมองหน้ากันเลิกลั่ก ทำสีหน้าลังเลลำบากใจ


ในตอนนี้เอง จู่ๆ ซาจินเปียว เทพแห่งภูผาเหอตงก็บอกว่า “ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ต้องทำให้สำนักหกนิ้วเล็กๆ ลำบากด้วย”


เหมียวอี้ขานรับ แล้วถามอีกว่า “ข้าเจตนาดีอยากจะช่วยคืนศาลบรรพบุรุษให้พวกเจ้า ทำไมกลายเป็นทำให้ลำบากใจแล้วล่ะ?”


อ้าวโม่ชิง เทพคงคาซ่างจิ่ววานพูดต่อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่รู้แล้วแต่แกล้งถาม ผู้บัญชาการใหญ่รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าพวกเขายังเอาตัวเองไม่รอด แต่กลับจะมาใช้ประโยชน์สำนักหกนิ้ว ผู้บัญชาการใหญ่น่าจะทราบนะ ว่าถ้าสำนักหกนิ้วทำแบบนี้ แล้วยั่วโมโหทหารผู้แข็งแกร่งเกรียงไกรที่ควบคุมได้ยากของผู้บัญชาการใหญ่ขึ้นมา สำนักหกนิ้วก็ไม่มีกำลังที่จะต้านทานเลย เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ทั้งสำนักคงจะไม่มีใครหนีพ้นสักคน ใครจะต้านทานหายนะของการฆ่าล้างสำนักไหว? ขออภัยที่ข้าน้อยพูดตรงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่จำเป็นต้องลากสำนักหกนิ้วลงไปลำบากทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แบบนี้หรอก!”


บทที่ 1350 ทัพกลางถอนกำลัง

Ink Stone_Fantasy

เห็นได้ชัดเจนมาก ขนาดคนฝั่งนี้ยังรู้ว่าเหมียวอี้กำลังเผชิญสถานการณ์แบบไหน คาดว่าเรื่องที่พวกเขาเข้าประตูไม่ได้คงจะกระจายอยู่ในนี้แล้ว คนเบื้องล่างของธงพยัคฆ์ดำจะต้องไม่ปกป้องชื่อเสียงของผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่แน่นอน


“บังอาจ!” สวีถังหรานตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่!”


“ข้าน้อยพูดความจริง มีตรงไหนที่พูดผิดงั้นเหรอ?” อ้าวโม่ชิงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“รนหาที่ตายรึไง!”


สวีถังหรานกำลังจะก้าวขึ้นมาข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับโบกมือ หยุดยั้งพฤติกรรมที่รุนแรงเกินขอบเขตของเขา แล้วเอียงหน้าจ้องอ้าวโม่ชิง พร้อมกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ทั้งชั่วร้ายทั้งดื้อด้าน ไม่แปลกใจที่โดนขังอยู่ที่นี่จนอนาคตเลือนราง!”


“ผู้บัญชาการใหญ่ก็พูดถูก ไม่สู้ปล่อยพวกเราไปเหมือนปล่อยตดก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องกลั่นแกล้งตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเรา?” อ้าวโม่ชิงกุมหมัดคารวะ


“ปล่อยเหรอ?” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วกล่าวตรงๆ ว่า “พวกเจ้าไม่มีค่าพอให้ข้ากลั่นแกล้งหรอก ในสายตาของข้า พวกเจ้าก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่บังเอิญใช้งานได้ก็เท่านั้นเอง!” เขาหันไปมองพวกไป๋หลันต่อ “ข้ายังไม่กลัวที่จะบอกพวกเจ้าด้วยนะ ว่าในเมื่อข้ามาหาพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็ไม่มีทางเลือกหรอก! ถ้าข้าปกป้องตัวเองลำบากแล้วผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ พวกเจ้าเชื่อมั้ยว่าต่อให้ธงพยัคฆ์ดำจะไม่ฆ่าล้างสำนักหกนิ้ว แต่ก็จะมีคนมากวาดล้างสำนักหกนิ้วจนราบอยู่ดี! แต่ถ้าเชื่อฟังข้า ให้ข้าผ่านด่านนี้ไปและควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ ข้าก็ย่อมบังคับธงพยัคฆ์ดำไม่ให้แต่ต้องพวกเจ้าได้อยู่แล้ว หลังจากจบเรื่องข้าจะมอบร้านค้าดีๆ สักร้านในตลาดสวรรค์ให้สำนักหกนิ้วเพื่อเป็นรางวัล ข้าจะต้องชนะ! นี่ก็คือทางรอดเดียวของพวกเจ้า ไม่ทราบว่าสำนักหกนิ้วมีความเห็นอย่างไร?”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ เจ้าสำนักไป๋หลันรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านก็ทำสีหน้าเศร้าโศก ใบหน้าซีดเทาราวกับคนตาย  พวกเราไปหาเรื่องใครงั้นเหรอ พอพวกเจ้ามาพวกเราก็หลบให้แต่โดยดี ขนาดอาณาเขตของสำนักก็ยังให้พวกเจ้าแล้ว เป็นเพราะมีค่าให้ใช้ประโยชน์แค่นั้น ก็โดนลากเข้ามาพัวพันกับการแก่งแย่งอำนาจภายในของธงพยัคฆ์ดำแล้ว ช่างเป็นภัยร้ายที่ไม่มีเค้าลางจริงๆ!


ซาจินเปียวเทพแห่งภูผาเหอตง จืออู๋หลี่เทพแห่งภูผาเหอซี อ้าวโม่ชิงเทพคงคาซ่างจิ่ววาน ปู้เหลียนหรงเทพคงคาเซี่ยลิ่ววาน ทั้งสี่สบตากันอย่างเศร้าสลด เมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ ศักยภาพและภูมิหลังของพวกเขาก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลยจริงๆ ต่อให้ตอนนี้เหมียวอี้จะยังไม่ได้กุมอำนาจมหาศาลของธงพยัคฆ์ดำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องด้วยไหว


สานสัมพันธ์กับสำนักหกนิ้วมานานขนาดนี้ การที่พวกเขาแบกรับความเสี่ยงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้สำนักหกนิ้ว ก็นับว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว แต่เมื่อเหมียวอี้ลั่นวาจาออกมาแบบนี้ ทั้งสี่ก็รู้ว่าครั้งนี้สำนักหกนิ้วต้องเข้ามาอยู่ในวังวนขนาดใหญ่ อยากจะหนีแต่ก็ไม่มีทางหนี ก็เหมือนกับที่อีกฝ่ายบอกไว้ โดนคนที่มีอำนาจระดับนี้มาหาเรื่องถึงที่ สำนักหกนิ้วไม่มีทางเลือกเลย ปู่ของเจ้าสำนักไป๋หลันที่อยู่ตำหนักสวรรค์ก็รับตำแหน่งที่ไม่สำคัญอะไร ไม่มีทางงัดข้อกับคนที่สามารถคว่ำเมฆพลิกฝนในตลาดสวรรค์อย่างเหมียวอี้ไหว


ในสายตาของพวกหยางเจาชิง ผู้บัญชาการใหญ่ยังคงหยิ่งผยองอวดดีเหมือนเดิม


หยางชิ่งกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก พบว่าเป็นลักษณะการทำงานของเหมียวอี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร รวบรัดรัวดาบฟันเชือก พอมีเป้าหมายก็พุ่งเข้าใส่ เมื่อเจอภูเขาก็สร้างทาง เมื่อเจอแม่น้ำก็สร้างสะพาน ไม่สนใจเลยว่าจะเดินผ่านทางข้างหน้าไปได้หรือไม่ เดินไปก่อนแลวค่อยว่ากัน


เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจ จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่าน ดึงสำนักหกนิ้วเข้ามาข้ายังพอเข้าใจได้ แต่จะดึงเทพคงคากับเทพแห่งภูผาออกมาทำไม?”


เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเรามีไม่กี่คน กำลังคนน้อยเกินไป ช่วงชิงมาได้เพิ่มสักคนก็ยังดี ไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะมีประโยชน์มั้ย ตราบใดที่ไม่ใช่คนของธงพยัคฆ์ดำก็ดึงเข้ามาก่อน ผูกมัดไว้กับพวกเราก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อให้เอามาเป็นคนเฝ้าบ้านเฝ้าสวนลาดตระเวนก็ยังดี เจ้าสี่คนนี้ทั้งชั่วร้ายทั้งดื้อด้าน ถ้าไม่อยากทำให้สำนักหกนิ้วลำลากไปด้วย ก็มีแต่จะต้องเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น”


ก็ยังนึกว่าเป็นแผนที่สูงส่งล้ำเลิศอะไร ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ หยางชิ่งพูดไม่ออก…


หลังจากแอบปรึกษากับผู้อาวุโสทั้งสี่คนแล้ว ไป๋หลันที่สีหน้าขื่นขมก็จ้องเหมียวอี้พักหนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดคารวะอย่างลำบากยากเย็น “สำนักหกนิ้วยินดีเชื่อฟังคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่”


พวกเขาก็รู้ดีเช่นกัน ว่าถ้าไม่ตอบตกลง ก็อย่าได้คิดจะรอดชีวิตหนีออกจากท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไปได้เลย


“ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ!” เหมียวอี้กล่าวชม แล้วเอียงหน้าบอกว่า “หยางชิ่ง ไปเชิญคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูมาหน่อย”


“ขอรับ!” เมื่อเจอเหมียวอี้ใช้ไม้แข็ง หยางชิ่งก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ทำได้เพียงจัดการตามคำสั่ง


หลังจากหยางชิ่งไปแล้ว เหมียวอี้ก็ปรึกษาเรื่องแผนรับมือกับพวกไป๋หลันทันที


รอเพียงประเดี๋ยวเดียว คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็มาแล้ว หยางชิ่งเดินตามอยู่ข้างหลัง


พอเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ เห็นพวกไป๋หลันอยู่ด้วย คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็สบตากับแวบหนึ่งอย่างรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ทั้งสองเดินเข้ามากุมหมัดคารวะในตำหนักพร้อมกัน ก่อนที่คังจือลวี่จะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าเรียกพวกเราสองคนมากำชับเรื่องอะไรขอรับ?”


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วบุ้ยปากไปทางพวกไป๋หลัน “ไม่ใช่ว่าข้ามีอะไรจะกำชับหรอก แต่สำนักหกนิ้ววิ่งมาฟ้องข้าน่ะสิ”


“หืม?” คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูหันตัวมามองอย่างฉงน เหยาหย่วนชูขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าสำนักไป๋ มีเรื่องอะไรมารวบกวนผู้บัญชาการใหญ่?”


คาดว่าในใจไป๋หลันคงจะพึมพำด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้ แต่จะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้ จึงกัดฟันไม่สนใจสองคนนั้น แล้วกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อีกครั้ง เหมือนจะกล่าวสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ต่อ “ผู้บัญชาการใหญ่ ตั้งแต่สำนักหกนิ้วก่อตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ประสบกับเรื่องโดนไล่ออกจากสำนัก ลูกศิษย์ในสำนักมาถามแล้วถามอีกว่าจะได้กลับเมื่อไร พวกเราไม่มีหน้าจะไปเผชิญหน้าแล้ว หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะเมตตา ให้พวกเรากลับมาด้วยเถิด”


เหมียวอี้ไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าบอกใบ้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเล็กน้อย ให้ทั้งสองตอบคำถาม


ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แค่ได้ฟังแบบนั้น คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เข้าใจแล้ว ยังนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง


คังจือลวี่กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าสำนักไป๋ เจ้าเลอะเลือนไปแล้วรึเปล่า ไล่ออกไปเหรอ? พวกเราไปไล่พวกเจ้าออกจากสำนักตั้งแต่เมื่อไรกัน? พวกเราก็แค่มาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ของที่เอาไปไม่ได้แบบนี้ หลังจากทำงานเสร็จจากที่นี่ไปแล้วก็ย่อมคืนให้ ตอนแรกพวกเจ้าก็ตอบตกลงเรื่องนี้เอง”


ไป๋หลันกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อีกครั้ง “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา”


ท่าทีที่ไม่สนใจใบดีแบบนี้ทำให้เหยาหย่วนชูมีสีหน้าโกรธเคือง ตะคอกว่า “ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน คนที่มาคุมพื้นที่นี้ มิมิผู้ใดไม่ใช่ขุนนางของราชัน ตอนนี้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็แค่ขอยืมสำนักหกนิ้วของพวกเจ้าเป็นที่พักชั่วคราว พวกเราสุภาพเกรงใจ ทำไมพวกเจ้าต้องเกาะแกะไม่เลิก เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย!”


“นี่!” เหมียวอี้ยกมือขึ้น แล้วใช่คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อม “รองผู้บัญชาการใหญ่เหยา มีเรื่องอะไรก็คุยกัน ทำไมต้องขู่อีกฝ่ายด้วยล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ถึงยังไงก็เป็นอาณาเขตของพวกเขา พวกเขามีอำนาจตัดสินใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เต็มใจให้พวกเราอยู่อาศัยอีก งั้นพวกเราถอนกำลังไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ริมแม่น้ำด้านนอกใช่ว่าจะไม่มีที่พักเสียหน่อย ก็แค่ย้ายไปนิดเดียวเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”


เมื่อเขาเอ่ยปากพูดแบบนี้ คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที คังจือลวี่กล่าวเสียงเข้มว่า “ที่ผู้บัญชาการใหญ่พูดนั้นไม่ถูกต้อง ทัพใหญ่ของพวกเราประจำการที่นี่แล้ว จะยอมให้สำนักหกนิ้วเล็กๆ มากลับคำพูดจนต้องย้ายที่ง่ายๆ ได้ยังไง สำนักหกนิ้วไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว สมควรโดนโดนลงโทษอย่างหนัก!”


เจ้าสำนักไป๋หลันและคนอื่นๆ วิตกกังวลทันที จ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตา


เหมียวอี้ไม่ตกหลุมพรางนี้เลย ออกคำสั่งต่อไปว่า “สำนักหกนิ้วได้รับการสรรเสริญยกย่องจากตำหนักสวรรค์ ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ตำหนักสวรรค์มอบให้สำนักหกนิ้ว ที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา แค่พวกเรามาบังคับยึดสำนักของพวกเขาก็ฟังดูเหลวไหลแล้ว ถ้าจะโดนลงโทษอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ก็ไม่สมควร ข้าเป็นคนจิตใจดีมีมเมตตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มาที่นี่ครั้งแรกก็ไม่อยากทำเรื่องขาดคุณธรรมเหมือนกัน ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้กำลังพลธงพยัคฆ์ดำถอนกำลังออกจากสำนักหกนิ้วเดี๋ยวนี้”


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูสีหน้าเครียดเล็กน้อย ก้มหน้าก้มตา ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ


ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววเย็นเยียบ หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมถามว่า “ทำไม? หรืออยากจะต่อต้านคำสั่งทหาร?”


ไม่มีใครแบกรับข้อหานี้ได้ง่ายขนาดนั้น เหยาหย่วนชูถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากต่อต้านคำสั่งทหารหรอกนะ กำลังพลธงอินทรีสิบกลุ่มล้วนเฝ้าประจำการอยู่ข้างนอก คนที่อยู่ฐานนี้ล้วนเป็นทัพกลาง เป็นกำลังพลองครักษ์ที่ขึ้นตรงกับนายท่าน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราก็ไม่เคยแทรกแซงเลย บัญชาการไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดถ่ายทอดคำสั่งเองเถอะขอรับ”


เหมียวอี้ไม่ถ่ายทอดคำสั่งประเภทนี้หรอก รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าคนพวกนี้รวมตัวกันต่อต้าน ‘คนนอก’ อย่างเขา ถ้าถ่อไปออกคำสั่ง แล้วบัญชาการไม่ได้ผลขึ้นมา เจ้าก็ลงโทษใครไม่ได้ ถ้ากล้าแตะต้องก็จะเป็นการปลุกระดมฝูงชนให้ต่อต้าน จะให้ลงโทษกำลังพลทุกคนของทัพกลางเหรอ? ถ้าจะทำแบบนั้น เหมียวอี้ก็ต้องมีศักยภาพนั้นก่อน ถ้าโดนกดดันจนต้องเรียกคำสั่งของตัวเองกลับมา แบบนั้นก็เป็นการสร้างความอัปยศอับอายให้ตัวเองแท้ๆ ในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือผู้นำ ตราบใดที่ทั้งสองคนกดดันแบบนี้ต่อไป ธงพยัคฆ์ดำก็จะไม่มีใครฟังคำสั่งเขา


เหมียวอี้บอกว่า “ทั้งสองบัญชาการไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สนใจแค่ถือคำสั่งข้าไปก็พอ ใช้คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อม ถ้าไม่ยินดีทำตามคำสั่งก็ได้ มีหนึ่งคนก็นับมาหนึ่งคน เขียนหนังสือลงนามยอมรับ ข้าจะดูว่าจะมีใครบ้างที่ขัดคำสั่ง ถ้าทุกคนล้วนคิดจะอยู่ที่นี่ไม่ยอมไป งั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ลำบากสำหรับทั้งสองใช่มั้ย?”


คำพูดนี้เหมือนการซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น พูดอย่างสุภาพเกรงใจมาก หยางชิ่งแอบชมในใจว่าดีมาก จำเป็นต้องยอมรับว่าเหมียวอี้แก้ไขปัญญาเรื่องนี้ได้สมกับเป็นเขาจริงๆ เพียงแต่วิธีการที่ไม่รอบคอบแบบนี้เป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้ตัวเองจริงๆ


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูสบตากันอย่างพูดไม่ออก ถ้าจะต่อต้านก็ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน ถ้าแม้แต่คำสั่งนี้ยังไม่เชื่อฟัง แบบนั้นก็อาจจะฟังดูเหลวไหลเกินไป อีกฝ่ายมีเหตุผลที่จะรายงานขึ้นไปให้เจ้าโดนลงโทษได้เลย


“ขอรับ!” ทั้งสองทำได้เพียงเอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป


พวกหยางชิ่งสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ เห็นเพียงเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลัง มองคล้อยหลังสองคนนั้นไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“นายท่าน พอทัพกลางถอนกำลังแล้ว เกรงว่าจะยิ่งทำให้ชื่อเสียงบารมีของนายท่านเสียหายมากขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อการควบคุมธงพยัคฆ์ดำในภายหลัง!” หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงเตือน


“ตอนนี้ยังไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นหรอก เดินก้าวหนึ่งดูก้าวหนึ่ง ดีกว่าให้พวกเรากินนอนลำบากเพราะมีกลุ่มคนที่ต่อต้านล้อมไว้” เหมียวอี้ตอบ


ด้านนอกตำหนัก ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน คังจือลวี่แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เข้าประตูไม่ได้ แต่ยังกลัวว่าจะเสียหน้าไม่พอสินะ? ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าถ้าตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างต่อต้านคำสั่งของเขาหมด ทุกคนไม่ลงนามยอมรับ ดูวิว่าเขาจะหาทางลงยังไง!”


เหยาหย่วนชูบอกว่า “นี่เจ้ากำลังพูดไปเพราะอารมณ์โกรธรึเปล่า ใช่ว่าเจ้าจะมองไม่ออกถึงเจตนาของเขา เขารู้สึกว่าทัพกลางควบคุมได้ยาก ล้อมเฝ้าอยู่ข้างกายแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย อยากจะกันทุกคนออกไปก็เท่านั้นเอง แม้แต่ทัพกลางของตัวเองก็ไล่ออกไปรักษาระยะห่าง เจ้าไม่รู้สึกหรอกเหรอว่ามันตลกมาก? ตอนหลังก็ยิ่งเลิกคิดไปได้เลยว่าจะควบคุมทัพกลาง ในสายตาของพี่น้องทุกคนในธงพยัคฆ์ดำ บารมีความน่าเชื่อถือของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหน ขนาดทัพกลางของตัวเองยังเข้าใกล้ไม่ได้ ต่อไปจะออกคำสั่งบัญชาการกับคนอื่นๆ ทั้งธงพยัคฆ์ดำได้ยังไง? เขาทำแบบนี้เป็นการหาเรื่องใส่ตัว อยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำได้ไม่นานหรอก!”


คังจือลวี่อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น “คำพูดนี้ก็มีเหตุผล แทบจะเลอะเลือนแล้ว ดีเลย ทำตามเจตนาเขาไปเถอะ!” จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นเข้มขรึม “สำนักหกนิ้วไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว เดี๋ยวค่อยจัดการพวกเขาทีหลัง!”


ทั้งสองที่มาถึงทัพกลางเดินวนรอบหนึ่ง และกลับเข้ามาในตำหนักอย่างรวดเร็ว พอเจอเหมียวอี้เพื่อรายงานอีกครั้ง ก็บอกว่าทุกคนในทัพกลางล้วนเชื่อฟังคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่ ขอเพียงผู้บัญชาการใหญ่ถ่ายทอดคำสั่งลงมา สามารถถอนกำลังออกจากสำนักหกนิ้วได้ทุกเมื่อ


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น ข้ารู้อยู่แล้วว่าทัพกลางจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง งั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งให้ถอนกำลังเถอะ”


คังจือลวี่กุมหมัดคารวะ แล้วถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะถอนกำลังตามทัพกลางออกไปด้วยใช่มั้ยขอรับ?”


“มิบังอาจ!” เจ้าสำนักไป๋หลันแห่งสำนักหกนิ้วรีบพูดต่อว่า “สำนักของเราแต่อยากจะขอสำนักคืนเท่านั้น มีหรือที่จะกล้าให้ผู้บัญชาการใหญ่ออกไปพักแรมในที่โล่งแจ้ง ขอเพียงผู้บัญชาการใหญ่กับรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไม่รังเกียจ ที่พักที่ดีที่สุดของสำนักเรายังคงเตรียมไว้ให้ท่านทั้งสามใช้ได้ตามใจชอบ”


พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็ไม่รู้ว่าตระหนักอะไรได้ หางคิ้วพลันกระตุกเล็กน้อย หันขวับไปมองเหมียวอี้ทันที


บทที่ 1351 คืนนี้ไร้กังวล

Ink Stone_Fantasy

คังจือลวี่กับเหยาหย่วนเหล่ตามองกันแวบหนึ่ง ความหมายในคำพูดของไป๋หลันคือสิ่งที่พวกเขาคาดคิดอยู่แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่หนิวอ้อมค้อมไปไกลขนาดนี้ ที่จริงก็เพราะอยากจะแยกออกจากทัพกลาง ถ้าถอนตัวออกจากทัพกลางไปด้วยกันสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก เพื่อให้สำนักหกนิ้วเป็นคนดี ที่บอกว่าเป็นคนใจดีมีเมตตานั้นเป็นคำพูดไร้สาระ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ ก้าวถัดไปก็คงจะเป็นการเข็นเรือตามน้ำแล้ว


เหมียวอี้ถามอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ในเมื่อนี่เป็นเจตนาดีของเจ้าสำนักไป๋ รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง ก็เป็นอย่างที่บอกไว้ แขกอย่างพวกเราตามใจเจ้าบ้านดีกว่ามั้ย?”


เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย บนใบหน้าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูปรากฏรอยยิ้ม แทบจะหัวเราะออกมาแบบมีเสียง เหยาหย่วนชูกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ทุกอย่างล้วนเชื่อฟังผู้บัญชาการใหญ่”


ทั้งสองก็กำลังเข็นเรือตามน้ำเช่นกัน ต้องการจะให้ทุกคนได้เห็นว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่รักษาระยะห่างกับทุกคนเป็นคนอย่างไร ทำตัวไม่เหมือนคนของธงพยัคฆ์ดำเลย


เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “เช่นนั้นทั้งสองก็ฝากบอกด้วยนะ ว่าให้ทัพกลางถอนกำลังออกจากสำนักหกนิ้วไปตั้งฐานอยู่ปลายน้ำ” แล้วหันกลับมาบอกไป๋หลันว่า “เจ้าสำนักไป๋ ไปบอกให้ศิษย์ของสำนักหกนิ้วกลับมาเถอะ”


“รับทราบ!” คนทั้งสองฝั่งเอ่ยรับคำสั่ง


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูออกไปปฏิบัติตามคำสั่งพร้อมรอยยิ้ม แต่กลับยังไม่ได้ปล่อยพวกไป๋หลันไป ตอนที่ยังไม่ได้บรรลุถึงเป้าหมาย เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาออกไปทำให้เรื่องพัง ให้ไป๋หลันหยิบระฆังดาราออกมาเรียกศิษย์สำนักหกนิ้วที่อยู่ตรงสองฝั่งแม่น้ำกลับมา


จากนั้นหยางชิ่งก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่าน นี่คงไม่ได้คิดจะลงมือกับคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูใช่มั้ย?”


เหมียวอี้เหล่ตามอง เมื่อเห็นท่าทางเขาค่อนข้างร้อนใจ ก็เกลี้ยกล่อมว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”


“…” หยางชิ่งพูดไม่ออก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับ เขาก็ดึงดันพูดไม่ได้ว่าจะต้องเป็นแบบไหน ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เขารู้ว่ากับเรื่องแบบนี้ ถ้าเหมียวอี้ตัดสินใจแล้วก็โน้มน้าวให้เปลี่ยนใจไม่ได้แน่


แต่เหมียวอี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนขี้บ่น เป็นคนที่ชอบไตร่ตรองปัญหาอย่างรอบคอบครบทุกด้าน เป็นคนที่มักจะกังวลเรื่องนั้นกังเวลเรื่องนี้


รวดเร็วมาก ผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ของธงพยัคฆ์ดำเริ่มใช้คำสั่งทหารครั้งแรกกับลูกน้องในธงพยัคฆ์ดำแล้ว ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำไม่ได้ควบคุมธงอินทรี ธงหมาป่าหลายกองทัพที่อยู่ตามแนวภูเขาโดยรอบทยอยกันโผล่ขึ้นมา กำลังพลหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคนของทัพกลางปรากฏตัวตามภูเขาแห่งต่างๆ กลายเป็นทัพหนึ่งพันจำนวนสิบเอ็ดกองทัพ ธงอินทรีสิบกองทัพ ปกติจะมีหนึ่งกองทัพเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างกายธงพยัคฆ์ดำ เป็นกำลังพลที่พิทักษ์อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน


กำลังพลสิบเอ็ดกองทัพถอนกำลังออกจากอาณาเขตของสำนักหกนิ้วอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเทียบกับศิษย์สำนักหกนิ้วด้านนอกที่กำลังรวมกลุ่มเตรียมตัวจะเข้ามา ก็กลายเป็นความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน


พวกเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนยอดเขากำลังสังเกตความเคลื่อนไหวของหทารที่ถอนกำลังอยู่ข้างล่าง ธงพยัคฆ์ดำขนาดใหญ่ที่กำลังปลิวสะบัดแสดงพลังอำนาจอยู่ข้างหลังดูค่อนข้างเงียบเหงาโดดเดี่ยว


เคอโส่วอี้ ไห่เป้าผู้อาวุโสทั้งสองถูกส่งไปรับหน้าที่รับศิษย์ของสำนักตัวเองตรงข้างประตูใหญ่ คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูที่กำลังนำกำลังพลถอนตัวออกเหล่ตามองผู้อาวุโสทั้งสองแวบหนึ่ง ในแววตาสื่อความหมายชัดเจนว่าจะล้างแค้นทีหลัง ในใจผู้อาวุโสทั้งสองรู้สึกขมขื่นมาก


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเดินตามออกประตูใหญ่ไปแล้ว ทั้งสองไม่เตรียมที่จะพักข้างใน ‘จุดที่ฮวงจุ้ยดี’ ข้างในเหลือไว้ให้เหมียวอี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองไม่อยากอาศัยบารมีนี้ อยู่กับพี่น้องของธงพยัคฆ์ดำจะเหมาะสมกว่า


อู๋เฟิงหันกลับมามองเงาคนที่อยู่บนยอดเขาแวบหนึ่ง ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำผู้สง่าผ่าเผย กลัวกำลังพลทัพกลางของตัวเองราวกับเป็นเสือเป็นหมาป่า เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นแบบนี้”


เหิงก่วงหลิงแสยะยิ้ม “เอาสถานที่ดีๆ ให้คนนอกอยู่ แต่กลับไล่พี่น้องของตัวเองไปนอนกลางดินกินกลางป่าข้างนอก ผู้บัญชาการใหญ่ที่ลำเอียงเข้าข้างคนนอก ข้าก็เคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”


เผยไหลหมิงที่เดินกอดอกอยู่ข้างหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านกล่าวเสียงเรียบว่า “คุณสมบัติที่จะมาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการของธงพยัคฆ์ดำก็ยังมีอยู่ ถึงยังไงก็ยังมีชื่อเสียง บารมีชื่อเสียงที่ฝ่าเข้าทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังมีอยู่เหมือนเงาตามตัว ทุกคนก็ว่าอะไรไม่ได้ อยู่ดีไม่ว่าดี นักพรตบงกชทองเล็กๆ คนหนึ่งถือมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่โดยตรง ไม่รู้เหมือนกันว่าเบื้องบนกำลังเล่นบ้าอะไร ส่งคนแบบนี้มาน่ารังเกียจจะตาย”


ทั้งสามคนนี้ก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการของทัพกลางเพียงสามคนที่ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนไม่ได้พาไปด้วย เหยาหย่วนชูที่เดินอยู่ข้างหน้าทั้งสามคนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอ? เขาทำเรื่องประเภทนี้ให้เบื้องบนเห็นก็ดีเหมือนกัน เป็นเขาเองนะที่ทำเรื่องที่ก่อให้เกิดความโกรธแค้นของหมู่มาก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็มาโทษพวกเราไม่ได้”


กำลังพลตำหนักสวรรค์นับหมื่นออกจากประตูใหญ่ จากนั้นกำลังพลนับหมื่นของสำนักหกนิ้วก็เข้าประตูใหญ่มา ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งเข้าฝ่ายหนึ่งออก กำลังพลสองฝ่ายย้ายที่ เพียงแต่ธงพยัคฆ์ดำยังคงปลิวไสวอยู่หน้าตำหนักใหญ่ของสำนักหกนิ้ว ศิษย์สำนักหกนิ้วอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์ของธงพยัคฆ์ดำตำหนักสวรรค์ แต่ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำกลับกลาเป็นกำลังพลที่อยู่รอบนอกธงพยัคฆ์ดำ ทำให้คนรู้สึกว่าเหลวไหลและแปลกประหลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้


เคอโส่วอี้กับฉูอิ้นผู้อาวุโสทั้งสองกำลังจัดให้ศิษย์ในสำนักต่างคนต่างกลับไปที่ของตัวเอง แต่มีลูกศิษย์ไม่น้อยที่ไปแล้วกลับมารายงานว่า ว่าห้องพักของตัวเองถูกทำลายพังหมดแล้ว


“ซ่อมแซมของตัวเองสักหน่อยแล้วกัน!” ผู้อาวุโสเคอโบกมืออย่างจนปัญญา อีกฝ่ายโดนไล่ออกมาในใจก็รู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว ทำลายข้าวของนิดหน่อยใครจะว่าอะไรได้ล่ะ


พอเหมียวอี้ที่ยืนรับลมอยู่บนภูเขาเห็นกำลังพลทั้งสองฝ่ายสลับที่กันเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าสำนักไป๋”


ไป๋หลันรีบก้าวขึ้นมา “ผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับ?”


เหมียวอี้จ้องมองความเคลื่อนไหวของทัพกลางธงพยัคฆ์ดำด้านนอก เอ่ยถามโดยไม่ชายสายตามองมา “ตอนนี้ตำแหน่งข้างกายข้ายังว่างอยู่ จะให้สำนักหกนิ้วของพวกเจ้ารับหน้าที่ลาดตระเวนเฝ้าพิทักษ์รักษาชั่วคราว คิดว่ายังไงบ้าง?”


ไป๋หลันจะปฏิเสธได้เหรอ? ในใจยิ้มเจื่อน แต่ยังกุมหมัดคารวะตอบว่า “ย่อมทำตามคำสั่งอยู่แล้ว!”


เหมียวอี้บอกว่า “หยางชิ่ง เรื่องนี้ส่งต่อให้เจ้ากับเจ้าสำนักไป๋ร่วมมือกันจัดการก็แล้วกัน” เรื่องการวางกำลังทหารป้องกัน ย่อมต้องส่งต่อให้คนที่มีประสบการณ์ทำอยู่แล้ว หยางชิ่งที่คุมกำลังทหารมาหลายปีจะต้องมีประสบการณ์มากกว่าสำนักหกนิ้วแน่นอน บวกกับความละเอียดรอบคอบของหยางชิ่ง จะต้องเตรียมพร้อมป้องกันเยอะแน่นอน จากนั้นก็พูดเสริมอีกว่า “เทพแห่งภูผาทั้งสองกับเทพคงคาทั้งสองก็ส่งต่อให้พวกเจ้าจัดเตรียมงานให้ทำด้วยแล้วกัน”


พวกซาจินเปียวที่อยู่ข้างหลังพูดไม่ออก อีกฝ่ายยังไม่ทันขอฟังความเห็นอะไรจากพวกเขาเลย แต่ก็เตรียมการให้แบบนี้แล้ว


“รับทราบ!” หยางชิ่งเอ่ยรับคำสั่ง แล้วยื่นมือเชิญไป๋หลันให้ไปเตรียมงานด้วยกัน


จากนั้นเหมียวอี้ก็โยนเครื่องมือปิดเปิดค่ายกลป้องกันให้หยางเจาชิงอีก “ไปที่สำนักหกนิ้ว ขอตัวนักพรตบงกชทองจำนวนหนึ่งมาเฝ้าประตูใหญ่ ปิดประตูค่ายกลให้สนิท ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าให้ใครเข้าออกได้ง่ายๆ”


“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบไล่ตามไปทางไป๋หลัน ต้องไปขอคนจากอีกฝ่าย


เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ยื่นมือ เฟยหงที่อยู่ข้างกายก็นำถ้วยน้ำชามาวางในมือของเขาทันที ขณะมองดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าดื่มน้ำชาอย่างช้าๆ วันนี้นางได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านนี้จะผ่านด่านยากที่อยู่ตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร


นางมองดูความเคลื่อนไหวรอบข้างอย่างเงียบๆ อีกครั้ง


เหยียนซิวยังคงทำตัวเหมือนเงาของเหมียวอี้ ยืนเงียบไม่สะทกสะท้านอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เป็นคนเงียบพูดน้อย ถ้าไม่มีเรื่องก็แทบจะไม่พูดเลย และเหมียวอี้ก็ทำเหมือนเขาเป็นเงาของตัวเองจริงๆ น้อยมากที่จะเรียกใช้งาน


ส่วนสวีถังหรานก็ทำท่าสุขุมรอบคอบ เบิกตากว้างพยายามมองรอบด้านอย่างระมักระวัง ราวกับต้องการป้องกันอันตรายทุกอย่าง หลังจากสบตากับเฟยหงแล้วก็รีบเจียดรอยยิ้มที่เบื่อหน่ายออกมา


ไห่ผิงซินเดินไปเดินมาอยู่นอกประตูใหญ่หน้าตำหนัก เหมือนค่อนข้างเบื่อหน่าย สายตาเพ่งเล็งบนตัวเฟยหงเป็นระยะ ทำให้เฟยหงแอบระวังตัว


สำหรับเฟยหงแล้ว ไห่ผิงซินทำให้นางระวังตัวยิ่งกว่าเหยียนซิวเสียอีก นางสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ขอเพียงตัวเองเดินออกมาจากตำหนักนอน ก็มีเป็นไปได้สูงว่าจะโดนผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘นางหนู’ คนนี้จับตามอง ร้อยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนั้นเสแสร้งได้แนบเนียนมาก ตอนที่นางฝึกฝนอย่างลับๆ ก็มีรายการนี้อยู่ในกฎระเบียบด้วยเหมือนกัน ยิ่งเจอกับคนแบบนี้ก็ยิ่งต้องระวังตัว


สำหรับบรรดาลูกน้องที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางพอจะรู้จักและเข้าใจบ้างแล้ว


หยางชิ่งจัดเป็น ‘นักวางแผน’ ที่ปรึกษาหารือกับหนิวโหย่วเต๋อบ่อย แต่กลับไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อใช้ให้ทำงานสำคัญ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงใดๆ ส่วนสวีถังหรานนั้นเป็นต้นแบบของคนขี้ประจบ ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็มีชื่อเสียงเรื่องเอาใจเหมียวอี้แล้ว เป็นสุนัขรับใช้โดยแท้ อาศัยการประจบสอพลอของตัวเองทให้เหมียวอี้มีความสุข พอมาถึงที่นี่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางให้ หยางเจาชิงเป็นคนปกติมาก เป็นลูกน้องคนสนิทที่คอยวิ่งเต้นทำงานให้ ทำงานได้อย่างรวดเร็วฉับไว ส่วนเหยียนซิวก็เป็นองครักษ์ที่เหมือนเงา คำว่า ‘อย่ามายั่วโมโห’ เขียนไว้บนใบหน้าแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรน่ากลัว ส่วนไห่ผิงซินที่ดูเหมือนไร้เดียงสาปากไม่มีหูรูด ก็คือคนที่นางต้องระวังมากที่สุดท่ามกลางคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ คนที่สามารถมาอยู่ในตำแหน่งลับแบบนี้ได้ เหมียวอี้จะใช้คำว่า ‘เด็กโง่’ ที่ปากไม่มีหูรูดได้อย่างไร ภายนอกกับภายในไม่เหมือนกันแน่ ควรค่าแก่การระวังตัว!


บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เหมียวอี้ที่ยังไม่ถอดเกราะรบยืนรับลมหนาวอยู่ตลอด กำลังสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบ


ตอนกลางคืนของที่นี่ค่อนข้างหนาว เฟยหงออกจากความมืดมาสะบัดผ้าคลุมให้เหมียวอี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นำมาผูกไว้บนบ่าเหมียวอี้แล้ว เมื่อมีลมพัดมา ธงพยัคฆ์ดำที่ลอยอยู่บนฟ้าก็พัดกระพืออย่างแรง


ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน หยางชิ่งกลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน


เมื่อได้รู้ว่าวางกำลังพลไว้เตรียมเฝ้าระวังรอบด้านเรียบร้อยแล้ว หลังจากแน่ใจว่ากันปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ออกไปจากข้างกายตัวเองแล้ว คืนนี้ก็ไร้กังวล เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจออกมา แล้วกำชับหยางชิ่งกับสวีถังหรานว่าคืนนี้ต้องลำบากสักหน่อย ให้ทั้งสองลาดตระเวนไว้ทั้งคืน


หลังจากทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง หยางชิ่งก็มองดูสาวใช้ทั้งสองของเฟยหงที่รออยู่ข้างนอกไกลๆ แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้


เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็สะบัดผ้าคลุม หันตัวเดินกลับเข้าไปพักผ่อนในเรือนพักแล้ว


เดินเล่นในลานบ้านของที่พักเจ้าสำนักหกนิ้วรอบหนึ่ง ตอนที่เดินเข้าตำหนักนอน จู่ๆ เหมียวอี้ก็หันตัวมา “คืนนี้ข้าจะไปพักผ่อนกับซิงเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์”


เฟยหงพลันหยุดฝีเท้า มองเขาอย่างงุนงง แล้วตอบเบาๆ ว่า “ค่ะ!”


ไม่ว่านางจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหมียวอี้ด้วยเป้าหมายอะไร แต่ในตอนนี้ความรู้สึกในใจนางนั้นยากจะบรรยายออกมาได้


นางหันตัวมาบอกใบ้ให้ซิงเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์ที่เดินตามหลังพาเหมียวอี้ไปพักผ่อน ทั้งยังกำชับให้พวกนางดูแลนายท่านด้วย สาวใช้ทั้งสองเรียกได้ว่าทำสีหน้าหวั่นวิตกและเอ่ยรับลูกเดียว ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น


เรื่องที่สาวใช้ทั้งสองกังวล สุดท้ายมันก็ยังเกิดขึ้น เมื่อไม่มีทางปฏิเสธก็ทำได้เพียงยอมรับอย่างเขินอาย แสดงความอ่อนโยนละมุนละไมทั้งคืน…


วันต่อมา ตอนสาวใช้ทั้งสองเดินตามเหมียวอี้ออกมาจากห้องนอน ก็เห็นเฟยหงรออยู่ในลานบ้านด้านนอก เหมียวอี้ที่แหวกดอกไม้ตูมสองดอกมาทั้งคืน ตอนนี้เพียงพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้เฟยหง จกานั้นก็ก้าวยาวเดินผ่านไป พร้อมทั้งบอกกับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ข้างนอกและตามมาว่า “ให้หยางชิ่งบอกรองผู้บัญชาการคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูให้มาพบข้า”


ทำให้ในสายตาของเฟยหงที่กำลังมองตามรู้สึกว่าผู้ชายในโลกนี้ไร้หัวใจ ในสายตาของคนพวกนี้เหมือนจะมีแต่เรื่องอำนาจ แต่กลับไม่มีตำแหน่งให้ผู้หญิงข้างกาย


หลังจากเฟยหงเก็บสีหน้าอารมณ์แล้ว ก็เดินไปตรงหน้าสาวใช้แล้วกระซิบถามสองสามประโยค สองสาวที่ใบหน้าแดงเรื่อพยักหน้าอย่างอ่อนปวกเปียก จากนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้ามองเฟยหง เฟยหงกัดริมฝีปากอยู่นานโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็หันตัวเดินตามเหมียวอี้ไปอีก


บทที่ 1352 เกาทัณฑ์ขึ้นสาย

Ink Stone_Fantasy

แม่น้ำมีสองฝั่ง ฝั่งตะวันตก หยางชิ่งที่มาเพื่อเรียกเข้าพบยืนอยู่กลางป่าริมแม่น้ำและเห็นพวกคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู


หยางชิ่งถ่ายทอดเจตนาของเหมียวอี้ เชิญให้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูไปพบสักรอบ


คังจือลวี่เหล่ตามองหยางชิ่ง แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เรียกพบด้วยธุระอะไร”


หยางชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ “เหยียนซิวฝากมาบอก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร”


ทั้งสองสบตากัน ขณะกำลังจะไปดูว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ ใครจะคิดว่าเผยไหลหมิง หนึ่งในผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางจะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หยางชิ่ง เจ้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวนายท่านจะสองจะตามไปทีหลัง”


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูอึ้งนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงแอบขัดขวาง แต่ก็รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่ เหยาหย่วนชูจึงพยักหน้าเบาๆ ให้หยางชิ่ง “พวกเราสองคนจะไปเดี๋ยวนี้”


หยางชิ่งกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะ แล้วไม่พูดอะไรอีก ขอตัวลาตรงนี้แล้วเดินออกไปก่อน


รอจนกระทั่งหยางชิ่งเดินไปไกลแล้ว เหยาหย่วนชูก็เอียงหน้าถามเผยไหลหมิง “หมายความว่ายังไง?”


เผยไหลหมิงใช้สองมือหมุนใบไม้สีเหลืองทองใบหนึ่ง พร้อมกล่าวอย่างลังเล “พอเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ขึ้น ข้าก็สังเกตได้รางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว เจ้าแซ่หนิวนั่นมาใหม่ ยังไม่ทันรู้สถานการณ์ชัดเจน เท้ายังไม่ทันพัก ก็ทำให้ทัพกลางออกไปแล้ว เจ้านั่นเป็นตัวละครที่พลิกเมฆคว่ำฝนที่ตลาดสวรรค์ได้ ข้ารู้สึกว่าพวกเราต้องระวังตัวเอาไว้หน่อย”


ผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางอีกสองคน อู๋เฟิงกับเหิงก่วงหลิงสบตากันแวบหนึ่ง


“เจ้ารู้สึกว่าจะมีปัญหาเหรอ?” คังจือลวี่ขมวดคิ้วถาม


เผยไหลหมิงส่ายหน้าเบาๆ สื่อว่าปฏิเสธ จากนั้นก็พยักหน้าอีก “ข้ารู้สึกว่านายท่านทั้งสองไปครั้งนี้จะต้องระวังตัวไว้ดีกว่า ตอนนี้เขากันพวกเราทั้งหมดออกมาแล้ว ถ้าการเรียกนายท่านทั้งสองไปครั้งนี้มีเจตนาอะไรไม่ดี ถึงตอนนั้นแมแต่ผู้ช่วยก็ไม่มีสักคน”


คังจือลวี่แสยะยิ้ม “เขาจะกล้าลงมือสังหารพวกเราสองคนเชียวเหรอ?”


เผยไหลหมิงส่ายหน้า “พูดยากนะ! เจ้าเวรนั่นไม่ใช่คนดีอะไร ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก็ฆ่าคนจนเลือดนองเป็นสายน้ำ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีจำนวนไม่น้อยเลย”


คังจือลวี่หัวเราะลั่นทันที “อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาไม่กี่คนน่ะเหรอจะลงมือกับพวกเรา? แบบนั้นไม่ใช่หาเรื่องอับอายใส่ตัวหรอกเหรอ!”


เหยาหย่วนชูก็หัวเราะพลางโบกมือเช่นกัน “คิดมากไปแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราสองคนรึเปล่า ถ้าลงมือแตะต้องพวกเราจริงๆ เขาก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะบ้าระห่ำกว่านี้ แต่ก็ไม่โง่ถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าทำให้ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำก่อกบฏแบบไม่ให้ตั้งตัว เขาก็จะได้รับบทเรียนกลับไปเหมือนกัน”


เผยไหลหมิงจึงบอกว่า “ระวังไว้จะได้ไม่ผิดพลาดมาก ต่อไปเวลานายท่านทั้งสองเข้าออกสำนักหกนิ้ว ก็พาคนติดไว้ข้างกายเยอะๆ ดีกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยรับมือสะดวก”


“ไปพบเขายังต้องพาคนไปด้วยเยอะๆ แล้วจะให้พวกลูกน้องมองพวกเรายังไง จะไม่นึกว่าพวกเรากลัวเขาหรอกเหรอ?” คังจือลวี่ถาม


เหยาหย่วนชูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ที่น้องเผยกังวลก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่คำพูดของพี่คังก็ใช่ว่าจะไม่เหตุผล จะให้ปณิธานของเขามาดับความน่าเกรงขามของพวกเราได้ยังไง พวกเรามีอำนาจแข็งแกร่งกว่าแต่ยังโดนเขาขู่ได้ แบบนี้จะไม่น่าหัวเราะเยาะเหรอ! เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าสามคนให้ลูกน้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมีเจตนาไม่ดีจริงๆ ก็เรียกรวมนักพรตบงกชรุ้งทุกคนทันที ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงรวมไปที่จุดเดียว ฝืนทำลายค่ายกลป้องกัน…ถ้าเขากล้าลงมือสังหารจริง งั้นพวกเราก็ทำได้เพียงเด็ดหัวของเขาไปวินิจฉัยความถูกผิดกับเบื้องบน!”


เผยไหลหมิงพยักหน้า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อวางแผนร้ายอะไร อาศัยกำลังของนายท่านทั้งสอง การต้านทานไว้ชั่วคราวก็ไม่ใช่ปัญหา น่าจะมีเวลาพอให้พวกเราโจมตีฝ่าค่ายกลป้องกันไปรับมือต่อ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นายท่านต้องระวังเอาไว้ หนิวโหย่วเต๋อชอบวางยาพิษ นายท่านทั้งสองคงจะเคยได้ยินเรื่องที่ตลาดสวรรค์มาก่อน ถ้าพวกเขาเตรียมอะไรไว้ให้นายท่านกิน ก็ห้ามกินเด็ดขาด จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นข้างในแต่ข้างนอกไม่รู้”


ถ้าเหมียวอี้ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร เป็นเพราะวางยาพิษที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทครั้งเดียว ตอนนี้กลับชื่อเสียงโด่งดังไปข้างนอก ทุกคนต้องระวังตัวไว้ ใครใช้ให้เขามีพลังไม่เท่าไรแต่ชื่อเสียงกลับโด่งดังมากล่ะ


“เอาตามนี้ก็แล้วกัน!” คังจือลวี่ตัดสินใจ แล้วเรียกเหยาหย่วนชูให้ออกไปด้วยกัน


ทั้งสองเหาะมาเหยียบลงนอกประตูใหญ่ของสำนักหกนิ้ว พอหยางเจาชิงเห็นดังนั้น ก็ควบคุมเครื่องมือเปิดค่ายกลให้ทั้งสองเข้ามาทันที


ตรงกลางป่า อู๋เฟิงที่มองตามทั้งสองคนเดินขึ้นเขาไปเอียงหน้าถามว่า “พี่เผย เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อกล้าลงมือแตะต้องรองผู้บัญชาการใหญ่จริงเหรอ?”


เผยไหลหมิงยิ้มเรียบๆ “ผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว ทัพกลางอยู่ในการควบคุมของพวกเราสามคน อำนาจทางหารของธงอินทรีสิบทัพอยู่ในมือรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองคน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้าลงมือ ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”


เหิงก่วงหลิงถามอย่างแปลกใจทันที “งั้นทำไมเมื่อครู่นี้เจ้าถึงเตือนเหมือนมันจะเกิดขึ้นจริงล่ะ?”


เผยไหลหมิงมองหน้าอีกสองคนพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “สถานการณ์ของพวกเราสองคนน่ากังวล! ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะยืนให้มั่นคง ก็จะต้องซื้อใจคน ตำแหน่งผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพจะเปลี่ยนหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ และเพื่อความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อเอง ทัพกลางที่ทำหน้าที่พิทักษ์อยู่ข้างกายก็จะต้องถูกเปลี่ยนใหม่แบบล้างไพ่แน่นอน แล้วตอนนี้ก็วุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้อีก หนิวโหย่วเต๋อจะเชื่อใจลูกน้องคนสนิทสามคนของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนได้ยังไง พอเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ก็เปลี่ยนขุนนางใหม่ พวกเราควรจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนล่ะ? อนาคตของกำลังพลทัพกลางต่างจากอนาคตของธงอินทรีทัพอื่นๆ พึ่งพาอาศัยได้แค่ผู้บัญชาการใหญ่เท่านั้น ผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่มาถึง ใจคนก็ว้าวุ่นเตรียมจะก่อเรื่อง เกรงว่าลูกน้องที่จ้องตำแหน่งระดับบนคงจะมีไม่น้อย อาศัยพวกเราสามคนต้านทานไม่ไหวหรอก ตอนนี้ธงอินทรีสิบกองทัพล้วนถูกควบคุมอยู่ในมือรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง ตราบใดที่สองท่านนั้นกุมอำนาจทางทหารข่มไว้ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาพวกเราถึงจะไม่กล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าฝั่งพวกเราได้เปรียบกว่า”


เหิงก่วงหลิงกับอู๋เฟิงเข้าใจในทันที ที่แท้ก็อยากจะให้รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองนำทุกคนต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อต่อไป


อู๋เฟิงถามอย่างลังเล “ตอ่ให้ล้มหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว แต่ไม่ช้าก็เร็วที่ธงพยัคฆ์ดำจะต้องเปลี่ยนผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่อีก ถึงตอนนั้นสถานการณ์ของพวกเราก็น่ากังวลเหมือนเดิม”


เผยไหลหมิงจึงบอกว่า “รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองล้วนอยากนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ตามหลักการแล้ว ขอเพียงล้มหนิวโหย่วเต๋อได้ ก็จะต้องให้หนึ่งในพวกเขาขึ้นสู่ตำแหน่งแน่นอน ดังนั้นแล้ว การร่วมมือกันของพวกเขาจึงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว หลังจากล้มหนิวโหย่วเต๋อแล้ววจะต้องแตกคอกันแน่นอน กำลังของทั้งสองฝ่ายเรียกได้ว่าสูสี เช่นนั้นนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคนท่ามกลางกำลังพลนับหมื่นในทัพกลางของพวกเราก็คือแต้มต่อสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะ ไม่ว่าพวกเราจะเอนเอียงไปช่วยฝั่งไหนให้ชนะ ตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางกับรองผู้บัญชาการทั้งสองจะต้องเป็นของพวกเราแน่นอน นอกเสียจากเบื้องบนจะกลัวยุ่งยากไม่พอ ส่งผู้บัญชาการใหญ่ลงมาจากฟ้าอีกครั้ง”


“พูดจามีเหตุผล พวกเราแค่ต้องนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เหมือนดั่งเฒ่าประมงตกปลาก็พอแล้ว” อู๋เฟิงพยักหน้ายิ้ม


เหิงก่วงหลิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เบื้องบนวุ่นวายกันขนาดนั้นแล้ว! ทีแรกก็ยังดีๆ อยู่ ตามขั้นตอนปกติแล้ว ถ้าส่งคนปกติมารับตำแหน่งก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรเลย แต่ดันจะทำให้เรื่องวุ่นวายแบบนี้ นี่กำลังกลั่นแกล้งธงพยัคฆ์ดำหรือกำลังกลั่นแกล้งหนิวโหย่วเต๋อกันแน่!”


เผยไหลหมิงกับอู๋เฟิงยิ้มอย่างขื่นขม มีหรือที่ทั้งสองจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ต่อให้เบื้องบนต้องการจะส่งคนลงมาอีก แต่ถ้าส่งคนที่มีบารมีความน่าเชื่อถือมานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็คงไม่วุ่นวายแบบนี้แน่นอน อย่างน้อยถ้าผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนพาลูกน้องคนสำคัญไปด้วย ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้เช่นกัน ถ้าคนระดับล่างอยากจะมาเติมตำแหน่งที่ว่างก็ย่อมต้องเอาใจผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่อยู่แล้ว แต่เบื้องบนดันสั่งให้เหลือลูกน้องคนสำคัญของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนเอาไว้ ไม่ย้ายผู้บัญชาการที่คุมธงอินทรีสิบกองทัพไปไหนสักคน ขนาดรองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่ปกติดูแลธงอินทรีสิบกองทัพยังอยู่ครบเลย เรียกได้ว่าตอบสนองทั้งข้างล่างข้างบนพอดี บวกกับหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาครั้งแรก กำลังอ่อนแอรังแกง่าย ไม่เกิดเรื่องขึ้นก็แปลกแล้ว ถ้ามีโอกาสใครก็ไม่อยากล้าหลังกว่าคนอื่นทั้งนั้น ธงพยัคฆ์ดำที่อยู่ดีๆ ถูกปลุกปั่นแล้ว…


ในตำหนักใหญ่ของสำนักหกนิ้ว เหมียวอี้ไม่ได้นั่งบนบัลลังก์ของผู้บัญชาการใหญ่ แต่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์และเงยหน้ามองรูปปั้นของปรมาจารย์ที่บุกเบิกสำนักหกนิ้ว


เฟยหงที่ยืนอยู่ตรงประตูหลังตำหนักไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไร หรือว่ามีอะไรน่ามอง


เหยียนซิวยืนเงียบอยู่ข้างๆ ส่วนสวีถังหรานยืนอยู่เบื้องล่าง หยางเจาชิงกำลังเฝ้าประตูใหญ่จึงไม่อยู่ตรงนี้ เหมียวอี้เรียกได้ว่าส่งตำแหน่งสำคัญที่สุดที่ต้องตัดสินใจให้หยางเจาชิงเฝ้าไว้ ไห่ผิงซินยังคงเฝ้าประตูตำหนักเหมือนเดิม


หยางชิ่งกลับมาแล้ว พอเข้ามาในตำหนักใหญ่ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้ที่กำลังหันหลังให้ “นายท่าน รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะตามมาทีหลัง”


เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเฟยหงรออยู่ตรงประตูหลังตำหนัก ก็บอกว่า “เฟยหง เจ้าไปเรียกรวมพวกผู้หญิงของแต่ละบ้านไปเฝ้าด้านหลังเอาไว้ ถ้าข้าไม่เรียกก็อย่าให้ใครโผล่หน้าออกมา”


“ค่ะ!” เฟยหงย่อตัวคำนับ ถูกกันออกไปแบบนี้แล้ว


พอหยางชิ่งเห็นแบบนี้ ความกังวลในสายตาก็ยิ่งหนักกว่าเดิม เขาพอจะสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว จากนิสัยของเหมียวอี้ที่เขารู้จัก เขาสงสัยว่าเกาทัณฑ์จะง้างไว้บนสายแล้ว


ผ่านไปไม่นาน คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็มาถึงแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาในตำหนัก ทั้งสองก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบครู่หนึ่ง หลังจากเข้ามาแล้วก็ตรวจดูสถานการณ์ภายในตำหนักอีก เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไร ก็วางใจทันที


จากนั้นทั้งสองก็ยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงตีนบันไดพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”


“ทั้งสองมาแล้วเหรอ” เหมียวอี้หันตัวมากล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วนั่งลงบนบัลลังก์


“ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่เรียกมาด้วยธุระอะไรขอรับ?” คังจือลวี่ถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “ที่เรียกรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองมา ก็เพราะต้องการจะปรึกษาเรื่องแต่งตั้งตำแหน่งในทัพกลางสักหน่อย ถ้าทัพกลางเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ควรจะแก้ไขปัญหาสำคัญ”


ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เหยาหย่วนชูขานรับ แล้วถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ร่างรายชื่อที่เหมาะสมกับตำแหน่งไว้แล้วหรือขอรับ?”


เหมียวตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยคุ้ยเคยกับสถานการณ์ของทัพกลางสักเท่าไร เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้สวีถังหรานไปเป็นผู้บัญชาการของทัพกลาง ตำแหน่งรองผู้บัญชาการสองคนกับผู้ช่วยผู้บัญชาการสองคน ก็ให้รองผู้บัญชาการใหญ่ช่วยดูหน่อยว่ามีใครที่เหมาะสมหรือไม่”


ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ พวกเจ้าไม่ต้องเถียงเรื่องตำแหน่งผู้บัญชาการกับข้าแล้ว ข้าจะถอยให้ก้าวหนึ่งเหมือนกัน ตำแหน่งอื่นๆ ในทัพกลางก็ส่งต่อให้พวกเจ้าจัดการเช่นกัน


สวีถังหรานที่ยืนอยู่เบื้องล่างปาดเหงื่ออย่างอับอาย สายตาที่มองเหมียวอี้ไม่รู้ว่าสื่อถึงความซาบซึ้งตื้นตันใจหรือว่าอะไร นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยังดึงดันให้เขานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลาง แต่ตำแหน่งลูกน้องเบื้องล่างเจ้าดันส่งให้พวกเขาไปจัดการ ถึงตอนนั้นคนที่จะขึ้นมาก็ไม่ใช่คนของตัวเองเลย ตำแหน่งผู้บัญชาการของข้านี้ เมื่อเป็นแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการโดนปล้นอำนาจ หัวใจคนไม่ได้เอนเอียงมาอยู่ฝั่งนี้เลย!


คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูขมวดคิ้วพร้อมกัน พวกเผยไหลหมิงจะต้องเล็งตำแหน่งผู้บัญชาการกับรองผู้บัญชาการทั้งสองตำแหน่งนั้นแน่นอน หลีกทางตำแหน่งผู้บัญชาการให้ ขาดตำแหน่งที่สำคัญที่สุดไปหนึ่งตำแหน่ง ให้คนสามคนไปแย่งตำแหน่งรองผู้บัญชาการสองตำแหน่ง แล้วจะไม่ทะเลาะกันหรอกเหรอ?


ถ้าล้มเหมียวอี้แล้ว อำนาจของทัพกลางที่พวกเผยไหลหมิงกุมไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคน ก็แทบจะตัดสินได้เลยว่าในบรรดาพวกเขาสองคนใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาทั้งสองจะไปขัดใจสามคนนั้น ย่อมต้องหยุดยั้งไว้


คังจือลวี่เป็นคนแรกที่คัดค้านเสียงดัง “ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์และประสบการณ์ในธงพยัคฆ์ดำของสวีถังหราน เขาไม่คุ้นเคยกับทัพกลางเลย ธรรมเนียมของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายขวาล้วนเป็นการเลื่อนขั้นทีละขั้น ถ้าข้างบนว่าง ถึงจะดึงคนข้างล่างที่เหมาะสมไปเติม ถ้าตัดขาดช่องทางในการเลื่อนขั้นของคนระดับล่าง ทัพกลางจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน!”


…………………………


[1] เกาทัณฑ์ขึ้นสาย 箭在弦上 อุปมาว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำแน่นอน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)