ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1346-1361
บทที่ 1346 จิตสำนึกเทพทั้งแปดสาย
หลังจากแกะกระดาษสีเหลืองแต่ละชั้นออกแล้ว อำพันทะเลสีเหลืองที่มีรูปร่างเหมือนกับลูกฟุตบอลก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินสือโอว
ฉินสือโอวเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เขาอยากจะเข้าไปหยิบลูกบอลอำพันทะเลขึ้นมาแล้วดูดซับพลังที่อยู่ในนั้นจนแทบทนไม่ไหว
ทว่าตอนนี้มีนายทหารชรากับเออร์บักอยู่ด้วย เขาจะทำอย่างใจอยากไม่ได้อยู่แล้ว ชายชรายื่นมือออกไปลูบอำพันทะเลก้อนนั้นแล้วพูดอย่างทอดถอนใจว่า “เฮ้อ ฉันเก็บรักษาของชิ้นนี้ไว้หกสิบเจ็ดสิบปีแล้ว ในที่สุดมันก็ไม่ไร้ประโยชน์อีกต่อไปแล้ว”
ฉินสือโอวพูดพร้อมกับพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เขมือบมันลงไป “ปู่เฉินครับ ตอนนั้นปู่ของผมกินของแบบนี้เข้าไปเหรอครับ? ของแบบนี้จะกินได้ยังไง ใช่ไหมล่ะครับ?”
นายทหารเก่าพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว พวกเราก็เคยถามพี่ฉินแบบนี้เหมือนกัน พี่ฉินบอกว่าเขาเป็นโรคประหลาดอย่างหนึ่ง ต่อมาฉันถึงได้คิดว่า บางทีอาจจะเป็นอาการที่หมอสมัยนี้เรียกว่าโรคชอบกินของแปลกอะไรนั่นหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวพยักหน้าพูดว่า “น่าจะใช่นะครับ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบกินเปลือกส้ม แถมยังเป็นเปลือกส้มที่ตากแดดจนแห้งแล้วอีกต่างหาก ตอนที่รู้ ผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ”
เขาก็พูดไปเรื่อยไปอย่างนั้น จะให้บอกว่าของประหลาดๆ ชิ้นนี้มีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยเสริมหัวใจโพไซดอนให้เขาแบบนั้นก็คงจะไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?
หลังจากนายทหารเก่าให้ทั้งสองคนดูอำพันทะเลก้อนนี้แล้วเขาก็นำมันกลับไปห่อไว้อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ล็อกเก็บไว้ในกล่องไม้แล้วยื่นมันให้กับฉินสือโอวพร้อมกับบอกเขาว่า “ฉันอยากมอบมันให้กับพี่ฉินมาโดยตลอด เฮ้อ โชคชะตาชอบเล่นตลกเสียจริง พวกนายเอามันกลับไปด้วยเถอะ ถ้าไปเยี่ยมหลุมศพเขาอีกก็ช่วยเผามันไปให้พี่ฉินแทนฉันหน่อยนะ แบบนั้นก็ถือว่าฉันได้ทำตามความปรารถนาแล้วล่ะ”
ฉินสือโอวรับกล่องนั้นมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม นายทหารเก่าหยิบอัลบั้มปึกหนาออกมาแล้วเริ่มพลิกดูมัน สำหรับคนแก่ ความทรงจำน่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบที่สุดแล้ว ขณะที่นายทหารเก่ากำลังไล่พลิกดูอัลบั้มรูปอยู่นั้น เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย
ฉินสือโอวกับเออร์บักพากันไปอยู่ตรงมุมประตู พวกเขาปรึกษากันว่า “ปู่เออร์ ผมว่าสภาพการเงินของปู่เฉินน่าจะไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเราควรจะช่วยท่านยังไงดีครับ? ให้เงินไว้สักก้อนดีไหม?”
เออร์บักครุ่นคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “จะให้เงินไว้อย่างเดียวไม่ได้ เอาอย่างนี้สิ ฉันจำได้ว่าที่แวนคูเวอร์มีสถานดูแลทหารผ่านศึกดีๆ อยู่ที่หนึ่ง พวกเราลองไปถามความเห็นของเขาแล้วค่อยพาเขาไปอยู่ที่นั่นดีไหม?”
ที่แคนาดาไม่มีบ้านพักคนชรา แต่จะมีสถานดูแลอยู่สองประเภท คือสถานดูแลสำหรับผู้ใหญ่และศูนย์รับดูแลประเภทสถานพยาบาล ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับบ้านพักคนชรา แต่จะมีการแบ่งงานที่ชัดเจนกว่า แบบแรกจะเน้นเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับสังคม เหมาะกับผู้สูงอายุที่อยู่ตัวคนเดียว ในขณะที่แบบหลังจะให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาพยาบาล เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการเจ็บป่วย
สถานดูแลประเภทนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการพัฒนาทักษะทางสังคม เช่นผู้สูงอายุที่เป็นทหารผ่านศึก โดยจะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์ให้กับพวกเขา
นอกจากนี้แล้ว สถานดูแลของแคนาดายังแบ่งประเภทอย่างค่อนข้างละเอียด ไม่เหมือนกับบ้านพักคนชราทั่วไป ที่ไม่ให้ความสำคัญกับความชื่นชอบและความต้องการเลยแม้แต่นิดเดียว แค่ส่งผู้สูงอายุเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่นก็ถือว่าจบเรื่องแล้ว สถานดูแลแบบนี้จะออกเป็นประเภทต่างๆ อย่างเช่นสถานดูแลทหารผ่านศึก ที่ภายในจะมีแต่ทหารผ่านศึก ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีเรื่องให้พูดคุยกันมากกว่า ทั้งยังเข้าใจกันและกันได้ดียิ่งกว่า
แต่ประเภทที่ถูกให้ความสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสถานดูแลสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์โดยเฉพาะ แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคอัลไซเมอร์สูงที่สุดในโลก ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยมากถึง 500,000 จาก 30 ล้านคน!
และจากการคาดการณ์ ภายในยี่สิบปีหลังจากนี้จำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในแคนาดาจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันเป็นเท่าตัว จากผู้ป่วยจำนวน 480,000 จะเพิ่มขึ้นมากถึง 1.1 ล้านคน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลแคนาดาจึงให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้เป็นพิเศษ อีกยี่สิบปีข้างหน้า โรคนี้จะทำให้เกิดความต้องการบริการดูแลระยะยาวเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า และภาระทางเศรษฐกิจที่มาจากการดูแลทางสังคมจะสะสมมากถึง 872 พันล้านดอลลาร์แคนาดา!
เขาปล่อยให้เออร์บักเป็นคนไปคุยเรื่องนี้ ฉินสือโอวต้องคำนึงถึงความเคารพในตัวเองของนายทหารเก่าด้วย เพราะบางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากไปอยู่สถานดูแลก็ได้ เขาคิดว่าถึงอย่างไรทหารผ่านศึกที่จีนก็คงไม่อยากไปอยู่บ้านพักคนชราเหมือนกัน
หลังจากปล่อยให้เออร์บักเป็นคนดูแลเรื่องนี้ ฉินสือโอวก็แอบกลับไปโรงแรมก่อนแล้ว เขาอดไม่ไหวจริงๆ ลองนึกถึงคนที่หิวโหยมาเป็นสัปดาห์แล้วได้มาเห็นไก่ย่างสักตัวดูสิ…
เขาหอบเอากล่องตรงไปหาโรงแรมที่อยู่ข้างๆ กันเพื่อเปิดห้องพัก ขณะที่กำลังจัดหาห้องพักพนักงานโรงแรมก็มองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ
ฉินสือโอวกระวนกระวายใจจนอยู่ไม่สุข เขายื่นมือออกไปเคาะกล่องอยู่เรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย
พนักงานยื่นบัตรผ่านประตูให้เขา หลังจากนั้นก็พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มคลุมเครือว่า “คุณผู้ชายมาเที่ยวเหรอครับ? ต้องการพนักงานบริการพิเศษไหมครับ? โรงแรมของเรามีสาวๆ สวยๆ อยู่ด้วยนะครับ”
“เอาน้องสาวนายน่ะสิ!” ฉินสือโอวด่าไปหนึ่งที แล้วจึงหอบกล่องเดินขึ้นไปบนตึก
พนักงานโรงแรมวิเคราะห์คำพูดของเขาอยู่สักพัก แล้วหลังจากนั้นก็ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา “1055 แขกผู้ชายหนึ่งคน หาผู้หญิงที่ยังสาวๆ หน่อยไปส่งให้เขาด้วย”
แต่ฉินสือโอวไม่ได้รู้เลยว่าความรีบร้อนของเขาทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเข้าเสียแล้ว พอเข้ามาในห้องพักเขาก็ตรงเข้าไปในห้องน้ำทันที เปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำแล้ววางอำพันทะเลก้อนนี้ลงไป
อำพันทะเลไม่ถูกน้ำท่วมจนทั่ว เขาจึงจะไม่สามารถดูดซับพลังออกมาได้ ทำให้เขารู้สึกร้อนใจอย่างหนัก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของนายทหารเก่าขึ้นมา ปู่สองของเขากินของพวกนี้เข้าไปโดยตรง บางทีแบบนั้นอาจจะทำให้เขาให้พลังได้ดีกว่าเดิมก็ได้
ด้วยความคิดนี้ ฉินสือโอวจึงทุบแก้วใบหนึ่งให้แตก เขาหยิบเศษแก้วมาขูดให้มันกลายเป็นผง หลังจากนั้นก็เอามันใส่ปากแล้วหลับตาลงเพื่อให้สัมผัสรสชาติได้อย่างเด่นชัด
อืม รสชาติของมันช่าง…ไม่อร่อยเลยโว๊ย! เหมือนกินเศษหินอย่างไรอย่างนั้น รสชาติฝาดเฝื่อน เขาฝืนกลืนลงไปแล้วบางส่วน แต่ก็ไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวของหัวใจโพไซดอน
เห็นได้ชัดว่าการซึมซับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนด้วยวิธีนี้ไม่มีประโยชน์กับเขา ฉินสือโอวจึงเลิกล้มวิธีนี้อย่างเด็ดขาด แล้วหันไปรอให้น้ำในอ่างท่วมอำพันทะเลจนหมด เขาใช้มือทั้งสองข้างปิดทับมันไว้พร้อมกับหลับตาลงเพื่อเตรียมตัวพบกับความรู้สึกเป็นสุขเหมือนล่องลอยอยู่บนสวรรค์
ปรากฏว่าเสียงเคาะประตูห้องกลับดังขึ้นมาในเวลานี้
ฉินสือโอวสบถด่าในใจไปหนึ่งคำ พอเขาส่องตาแมวบนประตูห้องเพื่อมองออกไปข้างนอก ก็เห็นผู้หญิงผมบลอนด์แต่งหน้าแต่งตัวจัดจ้านกำลังยืนส่งสายตาหยาดเยิ้มให้เขาอยู่ทางด้านนอก
เขาเปิดประตูออกไปด้วยความตกตะลึง แล้วถามเธอว่า “คุณเป็นใครเหรอครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
สาวสวยยื่นมือออกมาลูบไล้หน้าอกของเขา เธอพูดพร้อมกับส่งสายตายั่วยวนมาให้ “คุณผู้ชายคะ คุณบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าอยากได้สาวสวยสักคน?”
ใช่กับผีน่ะสิ! ฉินสือโอวบอกเธอว่า ‘มาหาผิดคนแล้ว’ แล้วจึงปิดประตูทันที คราวนี้เขาปิดล็อกแล้วเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงถลาเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเร่งรีบ ใช้สองมือปิดทับอำพันทะเลเพื่อเริ่มดูดซับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน
ความรู้สึกเป็นสุขที่คุ้นเคยปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเขาเอาไว้ ราวกับว่าทุกเซลล์ในร่างกายได้ปะทุตัวออกมา และเหมือนว่าความสุขที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เข้าควบคุมทุกๆ เซลล์และเส้นประสาทของเขาทุกเส้นเอาไว้หมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ณ เวลานี้
ความรู้สึกสบายกายไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ฉินสือโอวอยากรู้ว่าในครั้งนี้หัวใจโพไซดอนมีอะไรที่เหนือชั้นขึ้นบ้าง เพราะถึงอย่างไรอำพันทะเลก้อนนี้ที่เขาดูดซับพลังเข้าไปก็มีขนาดใหญ่พอสมควร
เมื่อปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายออกไป สิ่งแรกที่ฉินสือโอวสังเกตเห็นก็คือการเปลี่ยนแปลงของจำนวน ที่ไม่ได้มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่แค่สี่สาย ตอนนี้เขามีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนถึงแปดสายด้วยกัน อีกทั้งขอบเขตในการควบคุมพลังก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดสายถูกส่งออกมาพร้อมกัน และเขายังสามารถควบคุมอาณาเขตหลายร้อยลูกบาศก์กิโลเมตรได้ภายในครั้งเดียว!
นอกจากนี้แล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีก ฉินสือโอวลองสัมผัสดูอยู่สักพัก เขามีความรู้สึกที่ไวต่อสัตว์น้ำสติปัญญาสูงมากยิ่งขึ้น การถ่ายทอดคำสั่งก็ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว
ฉินสือโอวรู้สึกว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ อำพันทะเลขนาดใหญ่เท่านี้ต้องเสริมความแข็งแกร่งให้เขาได้มากกว่านี้ถึงจะถูกต้อง
บทที่ 1347 จัดหาที่อยู่ใหม่ให้ทหารผ่า...
เมื่อพยายามเข้าใจแล้วแต่ไม่เข้าใจก็เลิกทำมันเสียเลย ฉินสือโอวดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา ถึงจะแค่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังที่เขามีอยู่แล้วแต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี เขาพอใจกับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดสายที่เขามีอยู่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก แบบนี้พลังในการควบคุมมหาสมุทรของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว
ในอ่างอาบน้ำหลงเหลือเพียงน้ำสีขุ่นกับสภาพอ่างที่เละเทะ ฉินสือโอวดึงฝาอุดรูระบายน้ำในอ่างออกเพื่อให้น้ำสกปรกไหลลงไป ต่อจากนั้นจึงเอนตัวนอนลงบนเตียงด้วยความพึงพอใจจนถึงขีดสุด
พอเวลาอาหารเที่ยง เออร์บักโทรศัพท์มาหาเขาเพื่อบอกให้เขาไปทานข้าวกับนายทหารเก่า
ฉินสือโอวรีบจัดการแต่งตัวทันที ได้ประโยชน์จากนายทหารเก่ามากมายขนาดนี้แล้วก็ควรตอบแทนเขาด้วย และสิ่งตอบแทนนั้นก็ไม่ใช่แค่สิ่งของที่เป็นวัตถุ แต่ยังมีสิ่งตอบแทนทางความคิดรวมถึงจิตใจอีกด้วย นั่นคือเขาต้องให้ความเคารพกับทหารผ่านศึกคนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นตัวตนของทหารผ่านศึกท่านนี้ก็ควรค่าแก่การเคารพ ถ้าเป็นเขา เขาคงไม่กล้ารับประกันเหมือนกันว่าจะเก็บของที่ไม่มีประโยชน์กับตัวเองเลยสักนิดไว้ได้หลายสิบปีแบบนี้ไหม ถ้าเป็นคนอื่น อำพันทะเลก้อนนี้น่าจะถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว
ฉินสือโอวพานายทหารเก่าไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นร้านอาหารที่มีการตกแต่งอย่างหรูหรา ตอนที่เดินเข้าไปในร้าน ทหารเก่าก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า ตั้งแต่ย้ายมาเขายังไม่เคยมาทานอาหารในร้านแบบนี้เลย
ในขณะที่อาหารกำลังถูกนำมาเสิร์ฟ เมนูแรกที่นำมาขึ้นโต๊ะก็คือก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ชามโต เคียงกับหมูสับและมีผักสีที่มีเขียวโรยหน้า ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่สีขาวราวกับหิมะ และด้านบนยังถูกแกะสลักลวดลายไว้อีกต่างหาก
ร้านอาหารจีนร้านนี้เป็นร้านที่ฉินสือโอวตั้งใจหาจากอินเทอร์เน็ต พวกเขาเชี่ยวชาญการทำอาหารประเภทหมี่ และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารประเภทหมี่ที่ดีที่สุดในเมืองแวนคูเวอร์ แน่นอนว่าราคาของอาหารที่นี่ต้องไม่ถูก ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ไซส์นี้มีราคาอยู่ที่หกสิบดอลลาร์กว่าๆ ราคาเท่ากับคนธรรมดาทานอาหารมื้อหนึ่งเลย
พอได้เห็นก๋วยเตี๋ยวชามนี้ ชายชราก็ถึงกับยิ้มออกมา พูดกับเขาด้วยความเกรงใจว่า “เสี่ยวฉินช่างจิตใจดีจริงๆ”
ตอนที่กำลังทานอาหารฉินสือโอวก็แอบกระซิบถามเออร์บักถึงเรื่องสถานดูแล ทนายอาวุโสจึงพยักหน้าแล้วบอกกับเขาว่า “ปู่เต็มใจจะไปที่นั่น เรื่องสถานดูแลทหารผ่านศึก ท่านรู้จักเรื่องนี้ดียิ่งกว่าพวกเราเสียอีก เห็นได้ชัดว่าท่านน่าจะเคยคิดที่จะเข้าไปอยู่ที่นั่นมาก่อนแล้ว”
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมสุดท้ายแล้วถึงไม่ได้ไป เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ต้องเป็นเพราะท่านมีเงินไม่พออย่างแน่นอน
แคนาดามีสวัสดิการสังคมที่ดีเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของโลก อย่างเช่นการรักษาพยาบาลฟรีสำหรับทุกคน สาธารณูปโภคที่ครบครันและการยกเว้นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาฟรี 12 ปีเป็นต้น แต่การที่จะได้รับสวัสดิการพวกนี้ อย่างแรกก็ต้องเป็นบุคคลที่จ่ายภาษี ต้องมีประกันสังคม ไม่อย่างนั้นก็อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย
ถ้าอย่างนั้นพูดถึงค่าเทอมฟรีดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกของใครก็คงจะได้รับการยกเว้นค่าเทอมใช่ไหมล่ะ? ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย มีแค่ครอบครัวที่จ่ายภาษีเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการแบบนี้ ซึ่งจะอยู่ที่ปีละประมาณห้าร้อยดอลลาร์แคนาดา
นายทหารเก่าไม่มีประกันสังคม เขาไม่ได้รับเงินบำนาญ ไม่ใช่ว่าตอนเป็นหนุ่มเขาไม่ขยัน แต่เป็นเพราะเขาประสบกับความไม่เป็นธรรมที่มากเกินไปต่างหาก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นายทหารเก่าเสี่ยงชีวิตเพื่อประเทศแคนาดา แต่พอสงครามสิ้นสุดลง พวกเขากลับถูกบีบให้ปลดประจำการ หลังจากออกจากการเป็นทหารพวกเขาก็มาหางานทำ แต่เพราะการเหยียดเชื้อชาติทำให้พวกเขาไม่สามารถหางานที่ดีได้เลย มีแต่งานที่ไม่มั่นคง ที่ไม่เพียงแต่ให้รายได้ต่ำแต่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีบริษัทไหนชำระค่าประกันสังคมให้กับพวกเขาเลย…
ทว่านายทหารผ่านศึกเฉินปล่อยวางเรื่องนี้ได้ดีมาก ขณะที่พูดคุยกันเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร เขาก็หัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับเล่าว่า “แต่ต่อมาการดูถูกเหยียดหยามคนจีนในแคนาดาก็ไม่ได้หนักหนาเท่าไรแล้วล่ะ ความพยายามของเราก็ได้รับผลตอบแทนคืนมาเหมือนกัน พอคนจีนอย่างเราทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศนี้ในช่วงสงคราม หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลงได้ไม่กี่ปี รัฐบาลก็ยกเลิกนโยบายที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามคนจีนแล้ว”
ไม่มีประกันสังคม ไม่มีเงินบำนาญ การที่ทหารผ่านศึกจะเข้าไปอยู่ในสถานดูแลจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากสถานดูแลไม่ใช่สวัสดิการขั้นพื้นฐานของรัฐ แต่มีลักษณะการดำเนินงานแบบองค์กรเอกชน จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย
ที่ดีหน่อยก็คือ ด้วยการคำนึงถึงความต้องการเกี่ยวกับสถานดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลประจำรัฐทุกรัฐในแคนาดาจึงเริ่มลงทุนและให้ทุนช่วยเหลือการบริการประเภทนี้ มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ ขณะนี้สถานดูแลผู้สูงอายุในแคนาดาได้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนาแบบใหม่สำหรับองค์กรธุรกิจและการศึกษาไปแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วสถานดูแลผู้สูงวัยในรัฐบริติชโคลัมเบียจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลส่วนภูมิภาค หากเป็นของเอกชนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนตัว โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 1,100 ดอลลาร์ต่อเดือน แน่นอนว่าสถานดูแลในแต่ละที่ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน สถานดูแลทหารผ่านศึกของแวนคูเวอร์มีรัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเป็นหลัก ทำให้มีค่าใช้บริการส่วนบุคคลอยู่ที่เดือนละ 600 ดอลลาร์โดยประมาณ
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่นายทหารเก่าก็รับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว
แต่สำหรับฉินสือโอวแล้วเงินจำนวนเท่านี้ย่อมถือว่าเป็นเงินจำนวนน้อยนิด เช้าวันต่อมาเขาจึงขับไปที่เมืองแวนคูเวอร์ เพื่อติดต่อสถานดูแลทหารผ่านศึก
สถานดูแลแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองแวนคูเวอร์ มีบรรยากาศสวยงาม ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะธรรมชาติแห่งหนึ่ง อีกทั้งภายในสถานดูแลก็ถูกจัดแต่งให้เหมือนกับค่ายทหาร มีการขุดคูน้ำในบางพื้นที่ ที่ประตูทางเข้าก็มีทหารคอยยืนยามและมีแม้กระทั่งการจัดแสดงรถถัง
เออร์บักรับติดต่อสถานดูแลไว้ก่อนแล้ว หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงก็มีผู้หญิงสวมเครื่องแบบทหารคนหนึ่งเข้ามาพาพวกเขาไปเดินชมรอบๆ
ขณะที่กำลังแนะนำสิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกเขาฟัง พนักงานคนนี้ก็นำเสนอจุดเด่นของพวกเขาไปด้วย “พวกเราให้การบริการได้หลายระดับแตกต่างกันไปตามค่าใช้จ่าย แต่ถึงจะเป็นบริการระดับต่ำที่สุด ก็สามารถสนองความต้องการด้านต่างๆ ในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุท่านหนึ่งได้ อย่างเช่นการตัดผม คอยให้ความช่วยเหลือเวลาอาบน้ำ การจัดการขยะ ซักผ้า และการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น”
ฉินสือโอวเดินดูบริเวณภายในไปแล้วหนึ่งรอบ เขาพบว่ากิจกรรมที่สถานดูแลแห่งนี้จัดให้มีอยู่หลากหลายมาก อย่างเช่นการโยนโบวลิ่ง กิจกรรมงานหัตถกรรม เกมหมากรุกและไพ่โป๊กเกอร์ การเยี่ยมชมสัตว์เลี้ยง การจับจ่ายและการท่องเที่ยวรวมถึงกิจกรรมทางกายภาพที่ออกแรงไม่มากบางส่วน
สิ่งที่เขาสนใจคือค่าบริการที่ต่างแบ่งตามระดับ จึงเอ่ยถามพนักงานว่า “ระดับสูงสุดมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่เท่าไรครับ? แล้วให้บริการอะไรบ้าง?”
พนักงานกล่าวว่า “ระดับสูงสุดมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,800 ดอลลาร์ต่อเดือนค่ะ ให้บริการห้องพักเดี่ยว มีคนคอยดูแลโดยเฉพาะ อาหารสามารถปรับตามความชอบส่วนตัวและสุขภาพร่างกายได้ค่ะ มีการจัดงานวันเกิดส่วนตัวให้แบบนั้นเป็นต้น”
หลังจากเข้าใจชัดเจนแล้ว เขาก็ไปถามนายทหารเก่าว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานดูแลแห่งนี้ นายทหารเก่าจึงพูดกับเขาด้วยความปลื้มอกปลื้มใจว่า “ดีมากๆ แล้ว ที่นี่ดีมากจริงๆ มีเพื่อนอยู่ด้วยกันเยอะขนาดนี้ ต้องดีกว่าอยู่คนเดียวอยู่แล้ว”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงตรงไปชำระเงินเลยทันที เขาชำระค่าใช้จ่ายสำหรับหนึ่งปีแล้วก็ทิ้งช่องทางการติดต่อเอาไว้ ทุกๆ ปีหลังจากนี้สถานดูแลทหารผ่านศึกสามารถติดต่อเขาเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้โดยตรง
“ด้วยการบริการระดับสูงที่สุด ถ้าคุณปู่ของผมมีปัญหาอะไรต้องติดต่อผมทันทีนะครับ” ฉินสือโอวกล่าว
คนมีเงินอยู่ที่ไหนก็เป็นที่ต้อนรับ พอได้ยินที่เขาพูดพนักงานก็ตอบเขากลับมาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มกว้างจนแก้มปริ “ได้โปรดวางใจเถอะค่ะ คุณฉิน พวกเราจะดูแลทหารผ่านศึกที่น่าเคารพนับถือท่านนี้เป็นอย่างดี พวกเราจะส่งอีเมลไปให้คุณสัปดาห์ละหนึ่งฉบับทุกสัปดาห์ เพื่อรายงานสภาพร่างกายและทุกรายละเอียดต่างๆ ในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุท่านนี้ให้คุณทราบ”
ฉินสือโอวพยักหน้ารับ แล้วบอกกับนายทหารเก่าว่า หลังจากนี้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และรับการบริการตามมาตรฐานระดับสูงได้อย่างสบายใจแล้ว
ดังนั้นจึงเหลือเพียงการขนย้าย แค่นำของบางอย่างที่นายทหารเก่าตัดใจทิ้งไม่ลงมาจากบ้านหลังเก่าของเขาก็เป็นอันเสร็จสิ้น เขาสั่งงานอยู่หนึ่งวันเต็มๆ จนบริษัทรับขนย้ายบ้านทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เตรียมตัวกลับ
ขณะที่กำลังจะแยกย้าย นายทหารเก่าจับมือของฉินสือโอวแล้วหลังน้ำตาออกมาอีกครั้ง “ฉันต้องเคยทำความดีไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้วแน่ๆ ชาตินี้ถึงได้รู้จักครอบครัวของพวกนาย พี่ฉินเคยช่วยฉันไว้หลายครั้ง มาคราวนี้นายก็ช่วยจัดหาที่อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตให้ฉัน ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี”
ฉินสือโอวสวมกอดนายทหารเก่าเอาไว้ แล้วพูดกับเขาว่า “ปู่เฉิน อย่าคิดมากเลยครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว การที่ปู่เก็บอำพันขี้ปลาก้อนนั้นไว้ให้ปู่ของผมก็ทำให้ผมซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะขอบคุณยังไงเหมือนกัน”
บทที่ 1348 โรงอาบน้ำพุร้อน
หลังจากจัดการเรื่องของนายทหารเก่าเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็รีบกลับไปที่เกาะแฟร์เวลทันที เขาต้องจัดการเตรียมงานแต่งงานแล้ว เดือนหน้าก็จะถึงงานวันแต่งงานครั้งใหญ่ของเขาแล้ว
เดิมทีพอถึงเดือนสิงหาคมฟาร์มปลาก็จะเริ่มก่อสร้างสวนดอกไม้ได้แล้ว อันเดร์นักออกแบบสวนรายใหญ่ช่วยเขาติดต่อผู้จัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ ทีมก่อสร้างของวิลที่ฉินสือโอวจ้างมาก็เตรียมพร้อมสำหรับการทำงานอยู่ตลอดเวลา
แต่ฉินสือโอวก็คิดใคร่ครวญได้ว่าเขากำลังจะจัดงานแต่งงานแล้ว อีกทั้งการสร้างสวนดอกไม้ก็เป็นงานระยะยาว ตั้งแต่การซ่อมแซมพื้นผิวดินให้เรียบร้อยก่อน มีพื้นที่บางส่วนที่คุณภาพดินไม่ดี และยังต้องขนดินมาเพิ่ม ทำให้อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะสามารถสร้างเค้าโครงขึ้นมาได้ ซึ่งในระหว่างนั้นจะทำให้ฟาร์มปลาเละเทะไม่เป็นระเบียบ เขาจึงยังไม่ให้เริ่มการก่อสร้าง
แต่ว่าในตอนนี้เขาสามารถบุกเบิกบ่อน้ำร้อนได้แล้ว ในที่สุดการเคลื่อนไหวของหินหนืดใต้ทะเลก็เข้าสู่ช่วงพักตัว ระดับอุณหภูมิในบ่อน้ำร้อนของฟาร์มปลาจึงคืนสมดุลและกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เมื่อฉินสือโอวลองตรวจวัดดูก็พบว่าระดับอุณหภูมิผันผวนไปมาอยู่ระหว่างสี่สิบห้าถึงห้าสิบองศา
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของหินหนืด อุณหภูมิของน้ำจะเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นประจำ และบางครั้งอาจสูงถึงห้าสิบหกสิบองศา แต่บางครั้งก็ลดลงถึง 20 องศากว่าๆ ทำให้ไม่กล้าเริ่มการก่อสร้างในบ่อน้ำร้อนตามอำเภอใจ หากหินหนืดไหลทะลักขึ้นมาสถานการณ์คงจะย่ำแย่มากแน่ๆ
ได้แปลนร่างของบ่อน้ำร้อนมาตั้งนานแล้ว ฉินสือโอวรอที่จะเริ่มการก่อสร้างมาเป็นปีๆ นี่ทำให้เขาร้อนใจพอดูทีเดียว
พอเขาโทรไปหาวิล วิลก็บอกเขาว่าสามารถเริ่มงานได้ทันที หลังจากนั้นก็ส่งแปลนก่อสร้างมาให้เขาอีกครั้ง เพื่อให้เขาทำการยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย หากไม่มีปัญหาอะไรก็จะเริ่มงานตามนี้เลย
เวลาว่างในช่วงนั้นก็มีค่าเหมือนกัน วิลปรับปรุงการออกแบบบ่อน้ำร้อนของฟาร์มปลาให้ใหม่อีกครั้ง ที่ฟาร์มปลาบ่อน้ำร้อนสองบ่อแบ่งเป็นบ่อเล็กและบ่อใหญ่ เขาแนะนำว่าให้ใช้การตกแต่งสองสไตล์ สไตล์แรกเป็นแบบเรือกสวนตามธรรมชาติ ส่วนอีกบ่อให้ตกแต่งด้วยสไตล์สปอร์ตแบบทันสมัย
ฉินสือโอวลองศึกษาดูแล้วก็รู้สึกว่าใช้การตกแต่งสองสไตล์ก็ดีเหมือนกัน เขาจ่ายเงินทุนครึ่งหนึ่งให้วิลล่วงหน้าเป็นเงินจำนวน 220,000 ดอลลาร์แคนาดา แล้วบอกให้เขาดำเนินการสร้างบ่อน้ำพุร้อนโดยเร็ว
วิลรู้วันเวลาที่เขาจะจัดงานแต่งงาน จึงได้รับปากกับเขาว่า “วางใจได้เลยนะ ฉิน ตอนนี่เพิ่งจะต้นเดือนกันยายน ใช้เวลาแค่สองอาทิตย์ครึ่ง ฉันก็จะสร้างโรงอาบน้ำร้อนของนายทั้งสองหลังจนเสร็จแล้วล่ะ”
เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น วันต่อมาเขาก็พาวิศวกรมาทำการวัดแล้ว ต่อจากนั้นพอคนงานมาถึงก็เริ่มดำเนินการก่อสร้างบ่อน้ำร้อนทั้งสองบ่อเลยทันที
เนื่องจากหลายวันมานี้อุณหภูมิน้ำไม่คงที่ พอฉินสือโอวไม่ได้ไปแช่น้ำร้อน บ่อน้ำร้อนแห่งนี้เลยกลายเป็นรังของนกจมูกหลอดหางสั้นไปเสียแล้ว บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยขนนกและขี้นก ตอนที่ไปดูวิลตกใจมาก เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ชิท ฉิน นายทำการทารุณกรรมนกที่นี่หรือยังไงกัน?”
หลังจากที่คนงานสูบน้ำออกจนแห้ง ก็พบว่าใต้บ่อน้ำร้อนยังมีไข่นกจมูกหลอดหางสั้นอยู่อีกไม่น้อยเลย ลองนับดูคร่าวๆ แค่บ่อน้ำร้อนบ่อใหญ่บ่อเดียวก็งมไข่นกขึ้นมาได้มากกว่าร้อยฟอง เห็นได้ชัดว่าพวกนกจมูกหลอดหางสั้นพากันออกไข่ไว้ที่นี่…
วิลนำทีมก่อสร้างดำเนินงานตลอดทั้งวันทั้งคืนด้วยความเร่งรีบ ใช้เวลาแค่สองสัปดาห์ก็สร้างโรงอาบน้ำร้อนได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการก่อสร้าง สิ่งที่ขั้นตอนที่ต้องใช้เวลามากที่สุดก็คือการขยายบ่อน้ำพุร้อนให้กว้างขึ้น เดิมทีบ่อน้ำพุร้อนทั้งสองบ่อมีเนื้อที่เพียงไม่กี่สิบตารางเมตร แต่หลังจากขยายให้กว้างขึ้นแล้ว บ่อน้ำร้อนบ่อใหญ่ก็มีเนื้อที่กว้างขึ้นถึง 250 ตารางเมตรและตกแต่งด้วยสไตล์ธรรมชาติ ส่วนบ่อเล็กมีเนื้อที่ 150 ตารางเมตร ถูกตกแต่งให้เป็นสไตล์สปอร์ตแบบทันสมัย
พวกเขาไม่กล้าทำการก่อสร้างตรงบริเวณด้านหน้าบ่อก็เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างที่กำลังขยายบ่อ ถ้าหินหนืดไหลทะลักออกมาคงดูไม่จืดเลยล่ะคราวนี้
โรงอาบน้ำร้อนสไตล์ธรรมชาติถูกสร้างขึ้นอย่างค่อนข้างเรียบง่าย บ่อน้ำร้อนถูกแบ่งออกเป็นบ่อใหญ่ขนาด 100 ตารางเมตรสองบ่อ และขนาดเล็ก 25 ตารางเมตรอีกสองบ่อ โดยใช้กระจกนิรภัยกั้นให้แยกจากกัน เมื่อมองจากผิวน้ำจะยังคงเป็นบ่อหนึ่งบ่อ แต่ที่จริงแล้วถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน
สาเหตุที่ต้องกั้นบ่อให้กลายเป็นสี่ส่วนก็เพื่อที่จะทำให้บ่อน้ำร้อนมีฟังก์ชันการใช้งานที่มากยิ่งขึ้น พวกเขาเติมสารคอปเปอร์ซัลเฟตลงไปในบ่อใหญ่บ่อหนึ่ง น้ำในบ่อจึงกลายเป็นสีเทอร์ควอยซ์ใส เติมบ่อใหญ่อีกบ่อด้วยไอรอนซัลเฟต น้ำในบ่อจึงกลายเป็นสีแดงสวย ส่วนบ่อเล็กทั้งสองบ่อก็มีลักษณะเฉพาะตัวเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาแช่น้ำร้อนในแต่ละบ่อ ก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
บริเวณรอบๆ บ่อน้ำร้อนถูกโอบล้อมด้วยหินปูน และปลูกพืชจำพวกเถาวัลย์ไว้บนก้อนหิน พืชที่ปลูกไว้ก็จะเติบโตไปตามหินก้อนต่างๆ ล้อมรอบบ่อน้ำไว้จนทั่วบริเวณ เมื่อถึงตอนที่ดอกไม้บานทั่วทั้งโรงอาบน้ำก็จะถูกตกแต่งอย่างสวยงามเกินคำบรรยาย
นอกจากนี้ ยังเคลื่อนย้ายต้นไม้มาเพื่อตกแต่งภูมิทัศน์รอบๆ บ่อน้ำร้อน ต้นไม้พวกนี้ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นต้นไม้ที่ทำมาจากพลาสติก พวกมันกลายเป็นโครงสำหรับการยึดเหนี่ยว มีชั้นของพลาสติกสังเคราะห์ที่มีความโปร่งใสสูงซึ่งปกคลุมบ่อน้ำพุร้อนไว้เสมือนเป็นหลังคา แบบนี้ต่อให้ฝนหรือหิมะตกก็สามารถแช่น้ำร้อนได้
โรงอาบน้ำแห่งนี้ยังเชื่อมต่อกับศาลาเก๋งจีนหลังหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและห้องนั่งเล่นที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการแช่บ่อน้ำร้อนนั่นเอง
โรงอาบน้ำร้อนอีกหลังหนึ่งถูกสร้างขึ้นและตกแต่งด้วยสไตล์สปอร์ตทันสมัย ทีมก่อสร้างขุดขยายสระว่ายน้ำให้มีรูปร่างเหมือนไวโอลิน บริเวณรอบๆ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบที่มีความละเอียดสวยงาม ทั้งยังวางเก้าอี้เอนหลังไว้ในน้ำ เพื่อเติมเต็มกลิ่นอายของความทันสมัย
หลังจากสร้างโรงอาบน้ำทั้งสองหลังเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็ลองเข้าไปด้านใน กลิ่นกำมะถันเข้มข้นแพร่กระจายอยู่ในอากาศอย่างหนาแน่น เมื่อสูดหายใจเข้าไปลึกๆ ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนขึ้น
แบบนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เขาจึงถามขึ้นมาว่า “ก๊าซพวกนี้จะไม่เป็นปัญหาใช่ไหม?”
วิลตอบเขาด้วยความมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน ฉิน บ่อน้ำร้อนของนายเกิดจากภูเขาไฟ ต้องมีกลิ่นกำมะถันเจือปนอยู่ในอากาศอยู่แล้ว โดยเฉพาะการที่ฉันขุดขยายมันให้กว้างขึ้นก็จะยิ่งทำให้ก๊าซกำมะถันถูกปล่อยออกมามากยิ่งขึ้น”
พวกเขาทั้งสองคนเปลือยกายแล้วลงไปนั่งแช่น้ำร้อน ฉินสือโอวที่กำลังเพลิดเพลินกับน้ำแร่อุ่นๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ชิท คุ้มกับเงินที่เสียไปจริงๆ แต่ว่านะ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกแปลกๆ ก็ไม่รู้”
วิลครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉิน ฉันว่าตอนนี้ไม่ใช้โอกาสที่ดีในการแช่น้ำร้อน ไม่อย่างนั้นพวกเราพากันขึ้นจากน้ำก่อนดีกว่าไหม? แช่น้ำร้อนตอนอากาศหนาวกว่านี้น่าจะดีกว่า ผ่านไปอีกเดือนหนึ่งก็จะเป็นช่วงงานแต่งงานของนายพอดี ถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงที่เหมาะกับการแช่บ่อน้ำร้อนแล้ว”
ฉินสือโอวก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้มันยังร้อนเกินไปหน่อย วันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ควรจะตากแอร์แทนที่จะมาแช่บ่อน้ำร้อนใช่ไหมล่ะ?
แต่จะว่าไปแล้วโรงอาบน้ำทั้งสองหลังก็สร้างขึ้นมาได้อย่างสวยงามจริงๆ ซึ่งนี่ทำให้เขามีความสุขมาก เขาจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้กับวิลอย่างสบายๆ และแถมยังให้ทิปเขาเพิ่มอีกสองพันดอลลาร์
วิลจูบเช็คเงินสดใบนั้น แล้วพูดกับเขาว่า “เจ๋งเลย เพื่อน นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันชอบทำงานให้นาย เออขอถามอะไรหน่อยสิ ช่วงนี้ในเมืองมีงานอะไรบ้างหรือเปล่า? อย่าลืมส่งให้ฉันเป็นคนทำนะ ฉิน ส่งมาให้วิลเพื่อนนายคนนี้”
ฉินสือโอวชนกำปั้นกับเขาแล้วพูดอย่างยิ้มๆ “วางใจเถอะ งานในเมืองนี้เป็นของนายทั้งหมดนั่นล่ะ”
ขณะที่กำลังจะเดินไปส่งวิล ที่หน้าประตูทางเข้าฟาร์มปลาก็มีคนมาพอดี คนที่มาเป็นคู่หนุ่มสาวสามีกับภรรยา ผู้ชายสะพายกระเป๋าหนึ่งใบ ส่วนผู้หญิงก็อุ้มลูกเอาไว้ทั้งสองคนกำลังจะเดินเข้ามาในฟาร์มปลา
ฉินสือโอวกำลังจะถามว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่ ทว่าชายคนนั้นก็โบกมือให้เขาด้วยท่าทางดีใจเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นก็พูดกับเขาว่า “ไฮ ไฮ คุณฉินใช่ไหมครับ? คุณคือฉินแน่ๆ”
ฉินสือโอวจับมือทักทายกันกับเขา แล้วลองถามหยั่งเชิงว่า “พวกคุณมาหาผมเหรอครับ?”
ชายคนนั้นใช้มือทั้งสองข้างกุมมือเขาอย่างแรง ราวกับว่าได้พบกับผู้นำประเทศไม่มีผิด “ใช่แล้วครับ คุณฉิน พวกเรามาหาคุณแล้วก็มาขอบคุณคุณด้วย”
วิลพูดหยอกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ฉิน งั้นฉันไปก่อนแล้วกันนะ ฉันนึกว่านายจะเจอเรื่องวุ่นวายแล้วเสียอีก ก็ว่าจะมาช่วยนายพอดี นายก็รู้นี่เพื่อน ว่าฉันน่ะเกิดในครอบครัวผู้รับเหมาก่อสร้าง เลยมีแรงเยอะเหลือเฟือเลย”
ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เขาเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้วิลกลับไปได้แล้ว หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปถามสองคนนั้นว่า “พวกคุณมาขอบคุณผมเหรอ? ขอบคุณเรื่องอะไรกัน?”
บทที่ 1349 ไม่ได้รับการรักษากันถ้วนหน้า
“ขอบคุณกองทุนเงินช่วยเหลือเด็กของเถียนกวาน่ะครับ คุณฉิน กองทุนของคุณช่วยชีวิตลูกของเราเอาไว้” ชายคนนั้นพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ ผู้หญิงที่กำลังอุ้มลูกอยู่ก็พยักหน้ากล่าวคำขอบคุณตามเขาด้วยเช่นกัน
ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว ลูกๆ ของทั้งคู่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา พวกเขาจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขานั่นเอง
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ต่อจากนั้นชายคนนั้นก็แนะนำตัวเองว่าชื่อของเขาคือไคลเซน แฟรงค์ ลูกชายของเขาเกิดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว แต่ปรากฏว่าทารกกลับมีอาการปอดล้มเหลว จึงจำเป็นต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก
บางทีนี่อาจจะทำให้ใครหลายคนสับสน ไม่ใช่ว่าแคนาดาผลักดันนโยบายการรักษาพยาบาลฟรีหรอกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเวลาที่ต้องไปหาหมอโดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่เป็นทารก ทำไมถึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองด้วยล่ะ?
นั่นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่รัฐบาลแคนาดาผลักดันก็คือระบบการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตอนที่ลูกของบูลคลอดก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเลย ทั้งยังรวมถึงค่าห้องพักและค่าอาหารด้วย แต่มีข้อกำหนดเบื้องต้นก็คือ เพื่อที่จะรับสิทธิสวัสดิการข้อนี้ คุณต้องจ่ายภาษีและต้องซื้อประกันการรักษาพยาบาลภาคบังคับ ซึ่งมีราคาประมาณ 500 ดอลลาร์แคนาดาต่อคนต่อปี
ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่าไคลเซนและภรรยาไม่ได้จ่ายค่าประกันการรักษาพยาบาลประเภทนี้ เนื่องจากประกันประเภทนี้เชื่อมโยงกับสิทธิสวัสดิการโดยตรง หากมีงานทำบริษัทจะเป็นผู้จ่ายให้ แต่ถ้าไม่มีงานก็ต้องจ่ายเอง
หากไม่มีงานทำ ถ้าอย่างนั้นการซื้อประกันในแคนาดาก็ไม่ใช่เรื่องที่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไรแล้ว เนื่องจากประกันที่ต้องซื้อไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่มีอยู่เป็นกอง อย่างเช่นประกันสุขภาพ ประกันการศึกษา ประกันการว่างงาน ประกันบำนาญ ประกันรถยนต์ประกันที่อยู่อาศัยและอื่นๆ อีกหลายประเภท 500 ดอลลาร์ต่อหนึ่งกรมธรรม์ไม่นับว่ามาก แล้วถ้าสิบกรมธรรม์ล่ะ?
ดังนั้นตามที่ฉินสือโอวได้รู้จักประเทศแคนาดามากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งคิดว่าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์สำหรับคนธรรมดา แน่นอนว่า ถ้าเพียงแต่มีทักษะด้านใดด้านหนึ่งติดตัวและมีงานให้ทำ ก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างสบายๆ ได้รับสิทธิสวัสดิการของประเทศนี้ หากเป็นเช่นนี้ ชีวิตที่นี่ก็นับว่าสุขสบายอยู่มาก
แต่หลังจากทั้งสองคนอธิบายให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ เขาก็ได้รู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุของเรื่องนี้ พวกเขาจ่ายค่าประกันสุขภาพ และคนทั้งคู่ก็มีงานที่สามารถรับประกันรายได้ได้ แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องการเงินสนับสนุนจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา เป็นเพราะระบบการรักษาพยาบาลของแคนาดาต่างหาก
เรื่องนี้ต้องกลับไปพูดถึงระบบการรักษาพยาบาลของแคนาดาอีกครั้ง ฉินสือโอวเคยปรึกษาปัญหานี้มาก่อน เมื่อปีที่แล้วโอมาร์ ชาวประมงในเมืองนี้ป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ พวกเขายังเคยไปประท้วงเรื่องนี้ที่นครเซนต์จอห์นอยู่เลย แถมในตอนนั้นเขายังซวยจนถูกเลือกให้เป็นแกนนำอีกต่างหาก
ลูกของไคลเซนก็ประสบปัญหาเดียวกันกับโอมาร์ ซึ่งก็คือจำนวนผู้ป่วยที่เนืองแน่น พวกเขาจำเป็นต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า
แต่นี่มันไร้สาระมากไม่ใช่หรืออย่างไร? ทารกมีอาการปอดล้มเหลว ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจก็ไม่รอด แล้วจะให้นัดหมอจะให้รอได้อย่างไร? แต่ระบบการรักษาพยาบาลก็เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนมีเด็กที่ต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่พวกเขาก็ยังต้องนัดหมายล่วงหน้า
เห็นได้ชัดว่า พวกเขาคงทำการนัดหมายล่วงหน้าไม่ได้ ไคลเซนกับภรรยาเลยคิดหาวิธีอื่น นั่นก็คือเชิญให้แพทย์จากโรงพยาบาลเอกชนมาทำการรักษา
แต่ปัญหาก็ตามมาอีกเช่นกัน แพทย์เอกชนสามารถดำเนินการผ่าตัดล่วงเวลาได้ แต่ค่าผ่าตัดและค่ายาจะแพงมาก หากขอการรักษาจากแพทย์เอกชน ก็จะไม่สามารถใช้สวัสดิการจากรัฐได้ หากจะให้ลูกได้รับการผ่าตัดจะต้องใช้เงินเกือบ 20,000 ดอลลาร์ และสองสามีภรรยาไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น…
สุดท้ายพวกเขาจึงยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา ซึ่งเป็นกองทุนที่ฉินสือโอวได้มาหลังจากคว้าแชมป์ในการแข่งขันว่ายน้ำข้ามช่องแคบนอร์ทัมเบอร์แลนด์ ซึ่งที่จริงแล้วเขาแค่ได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อเท่านั้น เงินในกองทุนนี้ส่วนใหญ่แล้วได้มาจากบริจาคของภาคสังคม ส่วนทุนที่ได้จากเขามีอยู่แค่สองแสนดอลลาร์แคนาดา
หลังจากได้รับการผ่าตัดจนลูกของพวกเขาหายดีแล้ว ตอนนี้สองสามีภรรยาจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอบคุณฉินสือโอว
เขาเชิญไคลเซนกับภรรยาเข้ามาในบ้าน ฉินสือโอวเล่าเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างของกองทุนให้พวกเขาฟังอย่างคร่าวๆ ในตอนท้ายก็พูดกับพวกเขาอย่างจริงใจว่า “ดังนั้นพวกคุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ควรจะขอบคุณคนในสังคมเรามากกว่า”
ไคลเซนกล่าวว่า “ใช่แล้วครับ คุณฉิน พวกเราต้องขอบคุณผู้มีจิตใจดีทุกคนในสังคม แต่คนที่ช่วยเหลือพวกเราไว้มากที่สุด ก็คือกองทุนที่อยู่ภายใต้ชื่อของคุณนะครับ คุณช่วยพวกเราไว้ ผมรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ”
พอพูดจบ เขาก็เปิดกระเป๋าเป้ออก ข้างในมีของขวัญที่พวกเขาซื้อมา
ถ้าฉินสือโอวยังมัวแต่มีพิธีรีตองต่ออีกก็คงจะเสแสร้งเกินไปแล้ว เขาตบไหล่ไคลเซนพร้อมกับพูดว่า “โอเค ผมขอรับคำขอบคุณของพวกคุณไว้ แต่ถึงยังไงผมก็จะไม่รับของขวัญอย่างแน่นอนครับ แต่ผมมีเรื่องที่จะขอให้พวกคุณทำ ผมหวังว่าถ้าในอนาคตพวกคุณได้พบกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ได้โปรดยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาด้วยนะครับ”
ไคลเซนกับภรรยาอยากให้เขารับของขวัญเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรฉินสือโอวก็ไม่ยอมทำอย่างนั้น เขาโทรไปหาวินนี่ เพื่อให้เธอกลับมาทานอาหารเที่ยงที่นี่ หลังจากนั้นก็ทำการต้อนรับแขกทั้งสองคนด้วยอาหารทะเลสักมื้อ
นี่ทำให้ไคลเซนกับภรรยารู้สึกเกรงใจมากจริงๆ ตั้งใจจะมาแสดงความขอบคุณ เขาไม่รับของขวัญไม่พอ แต่ยังเลี้ยงอาหารพวกเขามื้อใหญ่อีกต่างหาก
ด้วยชื่อเสียงของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักตามไปด้วย ไคลเซนกับภรรยาจึงรู้ว่าวัตถุดิบของอาหารมื้อนี้ที่พวกเขาจะได้ทานมีราคาแพงแค่ไหน
เมื่อถึงเวลาทานมื้อเที่ยง วินนี่ก็อุ้มเสี่ยวเถียนกวาให้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็ก ตอนนี้หนูน้อยสามารถนั่งแล้วใช้มือหยิบจับอาหารกินเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ้มเธอตลอดเวลา
เด็กหญิงตัวน้อยหมอบอยู่กับโต๊ะ ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่ทารกน้อยในอ้อมแขนภรรยาของไคลเซน พร้อมกับเผยสีหน้าแสดงความสนอกสนใจออกมา
ภรรยาของไคลเซนอุ้มลูกชายเข้าไปเล่นกับเธอ เด็กหญิงจึงยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับ นี่เป็นความเคยชินของเธอ เวลาเจอของที่น่าสนใจหรือของที่ชอบเธอก็จะยื่นมือออกไปหาทันที
วินนี่รีบจับแขนลูกสาวของเธอไว้ เธอเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความว่องไวอย่างน่าทึ่งของหนูน้อย วันนี้ภรรยาของไคลเซนคงต้องเจออิทธิฤทธิ์ของเธอเข้าให้แล้ว
ดึงมือของหนูน้อยกลับมา วินนี่ก็พูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “จับไม่ได้นะคะ นี่คือน้องชายนะ”
เสี่ยวเถียนกวาหันมามองวินนี่ หลังจากนั้นก็หันกลับไปมองทารกน้อยด้วยสายตาเคลือบความสงสัย ต่อจากนั้นก็ดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด พร้อมกับตบมือแล้วตะโกนว่า “น้องชาย น้องชาย…”
วินนี่กับฉินสือโอวทั้งดีใจและประหลาดใจมาก ช่วงก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เด็กหญิงตัวน้อยเรียกปะป๊าหม่ะม๊าเป็นแล้ว เธอก็ไม่พูดคำอื่นอีกเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพูดคำว่าน้องชายได้อีกคำ
หลังจากทานอาหารเสร็จ พ่อของฉินสือโอวก็มาอุ้มหนูน้อยไป แล้วหลอกล่อให้เธอพูดคำว่า ‘ปู่กับย่า’ หนูน้อยยังอยู่ในอารมณ์คึกคักดีใจ หลังจากนั้นเธอก็ยังตะโกนคำว่า ‘น้องชาย’ ออกมาไม่หยุด
ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว พอได้มานั่งพูดคุยกับไคลเซนและภรรยาฉินสือโอวถึงเพิ่งจะได้เล่าเรื่องของทั้งสองคนให้วินนี่ฟัง หลังจากฟังจนจบแล้ววินนี่ก็พยักหน้าและพูดว่า “พระเจ้า นับวันปัญหาเรื่องระบบการรักษาสุขภาพถ้วนหน้าของแคนาดาก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ฉันก็กำลังจัดการกับปัญหาที่แก้ได้ยากเรื่องหนึ่งอยู่เหมือนกัน”
ฉินสือโอวจึงถามเธอว่า “อะไรเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
“เป็นเรื่องของบาทหลวงกริมม์กับภรรยาของท่านนะคะ” วินนี่พูดด้วยท่าทีที่ดูค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับพวกเขา”
เดิมทีบาทหลวงกริมม์กับภรรยาก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ทั้งสองคนต้องใช้รถเข็นถึงจะสามารถเดินทางได้ ฉินสือโอวรู้อยู่แล้วว่ามีสุขภาพร่างกายของบาทหลวงชราค่อนข้างมีปัญหา ตอนที่บูรณะโบสถ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน สุขภาพของท่านก็ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะร้ายแรงขนาดนี้
วินนี่เล่าว่า “คุณหมอโอดอมคิดว่าสภาพร่างกายของบาทหลวงกับภรรยาไม่เหมาะที่จะอยู่กันตามลำพัง เลยแนะนำให้ทั้งสองคนไปพักในสถานดูแลผู้สูงอายุ ทั้งสองคนยอมรับเรื่องนี้แล้ว หลังจากนั้นก็พากันไปลงทะเบียนเข้าพักที่สถานดูแลผู้สูงอายุในนครเซนต์จอห์น ตอนแรกภรรยาของท่านไปที่นั่นก่อน เพราะบาทหลวงกริมม์ยังต้องรับการรักษาจากคุณหมอโอดอมต่อ”
บทที่ 1350 พาคุณไปดำน้ำ
หลังจากการที่วินเล่าเรื่องที่เกิดให้ฟังอย่างคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉินสือโอวก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
คุณนายกริมม์ลงทะเบียนเพื่อเข้าอาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในนครเซนต์จอห์น เพียงไม่นานทางนั้นก็แจ้งว่าสามารถเข้าพักได้แล้ว หลังจากนั้นสี่วัน บาทหลวงกริมม์ก็เตรียมตัวเข้าอาศัยพร้อมกันกับภรรยา แต่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก
ทางสถานดูแลให้เหตุผลว่าสภาพร่างกายของบาทหลวงกริมม์ย่ำแย่กว่าภรรยาของเขา เขาจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ในระดับที่สูงกว่า เขาจึงต้องไปลงทะเบียนเข้าพักอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุอีกแห่งในคาร์บอเนียร์ที่มีมาตรฐานสูงกว่า
เมื่อได้ยินอย่างนั้นบาทหลวงชราก็นิ่งอึ้งไปทันที ต้องรู้ก่อนว่านครเซนต์จอห์นอยู่ห่างจากคาร์บอเนียร์ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรกว่าๆ ถ้าขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงมุ่งตรงไปยังที่นั่นก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ และด้วยสภาพร่างกายของพวกเขาทั้งสองในตอนนี้ ถ้าต้องแยกกันอยู่พวกเขาคงได้พบกันแค่เดือนละครั้งอย่างแน่นอน
สองสามีภรรยาจึงรีบไปพบหน่วยงานรัฐที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุ ด้วยหวังว่าจะสามารถผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยหลักมนุษยธรรมเพื่อให้ทั้งสองคนสามารถอาศัยอยู่ด้วยกันได้
อีกฝ่ายมีทัศนคติที่ดี แต่ก็บอกให้ทราบว่าพวกเขาไม่มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ เนื่องจาก “นโยบายทางการแพทย์ของรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการด้านสุขภาพส่วนบุคคล ไม่ใช่สถานภาพสมรส เพื่อการกำหนดโครงการรักษาพยาบาลในระยะยาว”
ด้วยเหตุนี้ คู่แต่งงานเก่าแก่ที่ไม่เคยแยกจากกันเลยนับตั้งแต่แต่งงานกันมาครึ่งศตวรรษ จึงต้องแยกกันอยู่ ก็เพราะกฎเกณฑ์ที่ตายตัว
จนถึงคราวที่ต้องแยกจากกัน สองสามีภรรยาถึงเพิ่งจะรู้ว่าความเจ็บปวดทรมานจากการแยกกันอยู่นั้นมากเกินกว่าความเจ็บปวดจากโรคภัยเสียอีก บาทหลวงชราคิดถึงภรรยาของเขา ทุกๆ วันเขาจะโทรหาเธอถึงวันละแปดครั้ง ทว่าก็ยังไม่สามารถลบล้างความรู้สึกเดียวดายออกไปจากหัวใจของเขาได้ ส่วนภรรยาของเขาก็เป็นห่วงสุขภาพของสามี เมื่อไม่ได้เห็นเขาเธอก็วิตกกังวลไปต่างๆ นานา จนต้องกอดโทรศัพท์นอน ได้ยินเสียงหายใจของเขาเธอถึงจะเบาใจได้บ้าง
“แต่สิ่งที่เหลือเกินยิ่งกว่านั้นก็คือ สถานดูแลผู้สูงอายุไม่อนุญาตให้แขกมาค้างคืนด้วย ดังนั้นต่อให้บาทหลวงกริมม์จะไปเยี่ยมภรรยา แต่พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันไม่ได้นาน” วินนี่พูดด้วยความขุ่นเคืองใจ
ไคลเซนตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดขึ้นมาว่า “ใช่ ทำเกินไปแล้วจริงๆ พรรครัฐบาลกับพวกนักการเมืองเฮงซวยไม่เคยให้ความสำคัญกับชีวิตและความเป็นความตายของพลเมืองชั้นล่างอยู่แล้ว มีแต่ใช้คำพูดสวยหรูมาเอารัดเอาเปรียบพวกเราตอนหาเสียง”
บาทหลวงกับภรรยาไปหาหน่วยงานรัฐที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุอีกครั้ง ทว่าฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้พวกเขาได้สักที ดังนั้นพวกเขาที่ไม่เหลือหนทางอื่นแล้วจึงมาขอให้วินนี่ช่วย
ในฐานะที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรี การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจึงเป็นภาระหน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงทำได้แค่ใช้การประนีประนอมด้วยการภรรยาของบาทหลวงชราที่มีสุขภาพดีกว่าออกมาแล้วส่งให้ไปอยู่ที่คาร์บอเนียร์ด้วย ทางเทศบาลจ้างพยาบาลส่วนตัวมาคอยดูแลเธอหนึ่งคน แล้วเช่าห้องพักที่อยู่ข้างๆ กันกับสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้สองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันในช่วงกลางวัน
แต่นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว เหตุผลแรกคือค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป แต่เดิมสองสามีภรรยากริมม์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเข้าอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากเงินทุนสำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุมีรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมด
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะถึงอย่างไรสถานภาพทางการเงินของเมืองนี้ในปัจจุบันก็ดีมากแล้ว ดังนั้นการให้สวัสดิการเพียงเล็กน้อยแก่ชาวเมืองจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือสองสามีภรรยาแต่งงานอยู่กินกันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็นอนร่วมเตียงเดียวกันมาตลอด แต่เมื่อถึงคราวแก่เฒ่ากลับต้องแยกจากกัน จึงไม่สามารถปรับตัวให้ชินได้เลย คนแก่ทั้งคู่จึงประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง
หลังจากที่เออร์บักได้ยินเรื่องนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “บาทหลวงกริมม์กับภรรยาของเขาเป็นคนดี และคนดีไม่ควรที่จะต้องเจอกับความทุกข์ยากแบบนี้ ในช่วงเวลาที่เมืองนี้ต้องประสบกับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ก็เป็นเขาที่คอยสวดภาวนาให้กับทุกๆ คนในโบสถ์ที่ทรุดโทรม ตอนนี้สภาพการณ์ของเมืองนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนมีชีวิตที่ดีแล้ว เราจะปล่อยให้เขาต้องทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแบบนั้นไม่ได้”
ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าเธอพอจะมีวิธีไหม วินนี่จึงตอบว่า “ตอนนี้ฉันกำลังพยายามหาทางติดต่อผู้รับผิดชอบหน่วยงานรัฐส่วนภูมิภาคที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุอยู่ค่ะ ถ้าพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ฉันก็จะบอกเรื่องนี้กับสื่อ ให้คนทั่วทั้งแคนาดาได้รู้ว่าตอนนี้รัฐไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจกับประชาชนแค่ไหน”
ฉินสือโอวขบคิดอยู่สักครู่ เขาคิดว่าการที่วินนี่ทำแบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
เขาควักโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาแฮมเล็ต ทว่าวินนี่ก็ห้ามเขาไว้ เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแฮมเล็ตหรอกค่ะ ฉิน อย่าทำให้คนอื่นต้องคิดว่าเราต้องพึ่งคนอื่นถึงจะแก้ปัญหาได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะค่ะ ฉันจัดการได้”
ฉินสือโอวเคารพความคิดเห็นของวินนี่ และเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเมืองนี้มากนัก ไม่ใช่ว่าเขาขี้เกียจ แต่เขาจะทำลายความมั่นใจของวินนี่ไม่ได้ ถ้าเขาเข้าไปจัดการปัญหาทุกครั้ง แล้ววินนี่ที่เป็นนายกเทศมนตรีจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเมืองได้อย่างไรกันล่ะ?
เขาช่วยวินนี่ในเรื่องอื่นๆ ได้ นั่นก็คือการช่วยเธอจัดการอารมณ์เชิงลบ ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นนั่นเอง
เช้าวันเสาร์ วินนี่ตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับจนตื่นสาย เธอเดินลงมาข้างล่างด้วยผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง แล้วบ่นกับฉินสือโอวว่า “ตั้งแปดโมงแล้ว ทำไมคุณไม่รีบปลุกฉันให้เช้ากว่านี้หน่อยล่ะคะ?”
ฉินสือโอวยื่นมือออกไปสางผมนุ่มสลวยของเธอด้วยความทะนุถนอม แล้วพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “เฮ้ ที่รักครับ ตอนนี้คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
วินนี่ซบลงบนอกเขาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอาอยู่ นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย”
ตอนนี้ห่างจากช่วงวันงานแต่งงานของพวกเขาแค่สิบกว่าวัน งานหลายอย่างต่างก็กำลังถูกเตรียมการอย่างคึกคัก ทางนี้ยังมีเรื่องส่วนตัวให้วินนี่จัดการอีกหลายอย่าง ไหนจะงานราชการของเทศบาลอีก แล้วแบบนี้เธอจะไม่เหนื่อยได้อย่างไรกันล่ะ?
หลังจากที่วินนี่ล้างหน้าแปรงฟันและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็หยิบชุดประดาน้ำออกมาสองชุด แล้วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ที่รักครับ ผมกับคุณเราไปดำน้ำกันดีไหม? ถือเสียว่าหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย”
ชุดประดาน้ำทั้งสองชุดเป็นของที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ ไม่ใช่ชุดประดาน้ำแบบใหม่ที่เติมก๊าซฟลูออโรคาร์บอนเข้าไป แต่เป็นชุดประดาน้ำแบบแห้งธรรมดาๆ ที่แนบสนิทไปกับร่างกายของผู้สวมใส่ ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและอิสระ
พอเห็นแบบนี้กอร์ดอนก็วิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ฉิน ผมก็อยากไปดำน้ำเหมือนกัน ผมยังไม่เคยดำน้ำเลยนะ”
ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาว่า “ไปหาอ่างล้างหน้านะ เติมน้ำให้เต็มแล้วก็มุดหัวลงไปสักหนึ่งนาที แบบนั้นก็เท่ากับว่านายได้ดำน้ำแล้วล่ะ”
มิเชลที่กำลังอุ้มลูกบาสอยู่ก็พูดว่า “กอร์ดอน ไม่ต้องไปกวนฉินแล้ว มาเถอะ ไปซ้อมบาสกับฉัน”
กอร์ดอนจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ซ้อมบาสๆๆ เพื่อน ตอนนี้นายชักจะหมกมุ่นกับมันมากไปแล้วนะ”
มิเชลพูดว่า “ฉันให้ค่าซ้อมเป็นเพื่อนชั่วโมงละสิบดอลลาร์ จะเอาไม่เอา? ถ้านายไม่เอาฉันจะเปลี่ยนไปหาคนอื่นแทน”
“เอาสิ จะไม่เอาได้ยังไงกันล่ะ? เชื่อฉันเถอะ น้องชายที่น่ารักของฉัน ขอแค่นายรักษาความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อมแบบนี้เอาไว้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรมาหยุดนายได้แล้ว มีแค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่จะเป็นขีดจำกัดของนาย!” กอร์ดอนพูดอย่างเคร่งขรึม
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของนายนะ กอร์ดอนแต่ฉันจะไม่ให้เงินนายไว้ก่อนหรอก ไม่ว่านายจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ”
“อย่าทำอย่างนี้สิ น้องชาย ให้เงินมัดจำฉันไว้ก่อนเป็นไง? ครึ่งหนึ่งโอเคไหม? ไม่อย่างนั้นก็สักหนึ่งในสามหนึ่งในสี่ส่วนดีไหม?”
“เลิกคิดได้เลย”
“ฟัค เดี๋ยวฉันจะกันลูกให้เหนียวจนนายอยากตายเลยล่ะ…”
เด็กชายทั้งสองคนพากันหัวเราะพูดคุยและเดินจากไปแล้ว ฉินสือโอวพาวินนี่ไปขึ้นเรือยอชต์ หลังจากนั้นก็ขับไปยังน่านน้ำเหนือแนวปะการัง เขาช่วยวินนี่สวมชุดประดาน้ำให้เรียบร้อย เมื่อทดสอบแล้วว่าท่อออกซิเจนไม่มีปัญหาอะไร เขาก็พูดกับเธอว่า “เอาล่ะ ที่รัก ไปเจอกันใต้น้ำนะครับ”
วินนี่หมุนนาฬิกาสำหรับดำน้ำบนข้อมือ แล้วพูดกับเขาด้วยความคาดหวังว่า “ที่ใต้น้ำมีเซอร์ไพรส์รออยู่หรือเปล่าคะ?”
“รอคุณลงไปดูเองเดี๋ยวก็รู้แล้วล่ะ” ฉินสือโอวขยิบตาอย่างมีเลศนัย ต่อจากนั้นเขาก็กัดท่อออกซิเจนเอาไว้แล้วกระโดดลงไปในน้ำทันที
บทที่ 1351 แนวปะการังในฝัน
ฉินสือโอวดำน้ำมาหลายครั้งแล้ว ทำให้ในตอนนี้รู้ทางหมดทุกซอกทุกมุม แต่เป็นครั้งแรกที่วินนี่ได้ดำน้ำตั้งแต่มาถึงเกาะแฟร์เวล ความจริงนี่ก็เป็นการดำน้ำครั้งแรกในชีวิตของเธอด้วย ดังนั้นจึงมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง
หลังจากลงน้ำและตีขาวนอยู่ในน้ำรอบหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้ว ฉินสือโอวก็ว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำ เพื่อรอรับวินนี่
จากนั้น เขาก็เห็นว่าวินนี่ทำเหมือนกับนักกีฬากระโดดน้ำ กระโดดขึ้นมาจากเรือ สองมือพนมไว้แล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า พยายามทำท่ากระโดดลงน้ำที่สวยงาม
รูปร่างของเธอผอมเพรียว ท่ากระโดดลงน้ำของเธอท่านี้สวยงามมากจริงๆ แต่ว่าลึกๆ แล้วฉินสือโอวกลับรู้สึกปวดไข่ขึ้นมา การดำน้ำไม่ใช่แบบนี้ ใครเขากระโดดลงน้ำกัน มีแต่หันหลังให้ตรงกับน้ำแล้วโหม่งหัวลงมากันทั้งนั้น!
ครั้งแรก ฉินสือโอวรู้สึกว่าวินนี่ค่อนข้างซื่อบื้อ แต่ว่าเป็นซื่อบื้อแบบน่ารัก
เพราะต้องแบกถังออกซิเจนไว้ เป็นเหตุทำให้การกระโดดลงน้ำแบบนี้สามารถทำให้การสูดออกซิเจนลำบากขึ้น เขาเดาว่าวินนี่ในตอนนี้ก็คงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไรนัก คิดว่าคงมีสำลักบ้าง จึงว่ายเข้าไปแล้วรีบยื่นมือไปลูบที่หน้าอกของวินนี่
แต่วินนี่กลับคิดว่าเขามาแต๊ะอั๋งเธอ จึงยกคิ้วสูงแล้วตบมือยั้วเยี้ยของเขาออก เธอสำลักไปพลางเข้าไปหาเขาแล้วทำท่าทุบแสดงว่าโกรธไปที่เขา
ฉินสือโอวกลอกตาใส่เธอไปทีหนึ่ง และไล่ลมให้เธอต่อ พอวินนี่รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว จึงเข้าใจถึงความหมายที่เขาทำแบบนี้ ทำให้รู้สึกเกรงใจขึ้นมาในทันที เธอนึกว่าผู้ชายของเธออยากจะเล่นสงครามในน้ำเสียอีก
เมื่อวินนี่รู้สึกดีขึ้นแล้ว ฉินสือโอวจึงลากข้อมือเธอดำไปด้านล่างที่เป็นจุดแนวหินปะการัง และในเวลาเดียวกันเขาก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปเพื่อหาพวกของไอซ์สเกต บอลหิมะและบีน เพื่อเรียกพวกมันมาหา
ก่อนที่เจ้าตัวเล็กทั้งสามจะมาถึง ทั้งสองคนก็ดำลงไปยังด้านบนของแนวปะการังอย่างรวดเร็ว
แสงอาทิตย์เจิดจ้า ส่องทะลุผ่านเข้าไปในทะเล ส่องสว่างไปที่แนวปะการังทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน โพลิปที่มีสีสันหลากหลายว่ายไปมาอยู่ในน้ำ ฝูงปลานกแก้วที่สวยงามก็ว่ายอยู่รอบๆ การที่พวกมันรับรู้ได้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ทำให้พวกมันว่ายเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ
ในตอนนี้ พลังโพไซดอนของฉินสือโอวแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก สามารถรับรู้ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลได้ชัดเจนมากขึ้น แม้แต่ปลานกแก้วที่เป็นสัตว์ไอคิวต่ำ เขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของพวกมัน ซึ่งเมื่อก่อนทำไม่ได้เลย
วินนี่เห็นฝูงปลานกแก้วพวกนี้ ก็ยิ้มออกมาในทันใด เธอยื่นมือไปแตะปลานกแก้วตรงหน้า ปลาตัวอ้วนพวกนี้ไม่เคยถูกคนจับมาก่อน แต่ละตัวจึงค่อนข้างใสซื่อ หลังจากพวกมันเข้ามาในอาณาเขตการควบคุมของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้วก็สงบลงมาก ขนาดวินนี่แตะไปโดนตัวพวกมันก็ไม่หลบหนี
ล็อบสเตอร์สีรุ้งหลายตัวโผล่ออกมาจากรูรูหนึ่ง ข้างหลังพวกมัน มีกุ้งเปปเปอร์มินต์สองตัวที่โผล่หัวออกมาดูลาดเลาอยู่ พวกมันมองไปที่วินนี่และฉินสือโอวแล้วก็มุดกลับเข้าไปในรูต่อ
พวกมันเป็นหมอตัวน้อยของฟาร์มปลา เหมือนกับพวกกุ้งสเตโนพุสและกั้งตั๊กแตนที่สามารถรักษาโรคให้ปลากุ้งปูได้ สามารถกินปรสิตที่อยู่บนตัวของสิ่งมีชีวิต และยังสามารถตัดชิ้นส่วนบนร่างกายที่เน่าออกไปได้
หลังจากฝูงปลานกแก้วมาถึงแล้ว ก็มีวงศ์ปลาแมวว่ายเข้ามา ปลาชนิดนี้โตไม่เป็น มีหลังสีเขียวอ่อน ข้างลำตัวและท้องมีสีเงิน บนตัวมีเกล็ดทรงกลมแผ่นใหญ่แต่บาง แล้วก็ยังมีหางสีสดใส สวยงามมาก
วินนี่ยื่นมือออกไปอีกครั้ง แต่วงศ์ปลาแมวพวกนี้ฉลาดกว่ามาก เมื่อรู้สึกว่ามีสิ่งของเข้ามาใกล้ ก็รีบส่ายหัวสะบัดหางจากไปทันที เพื่อว่ายไปยังที่ที่ปลอดภัยแล้วหันหัวมามองฉินสือโอว
วงศ์ปลาแมวพวกนี้ก็คือปลาเศรษฐกิจที่เขาเพิ่งนำเข้ามาในฟาร์มปลา เป็นปลาที่ประมูลมาพร้อมกับปลาลิ้นหมามินิ เพื่อเตรียมจะนำไปทำปลากระป๋องในอนาคต
เนื้อของวงศ์ปลาแมวค่อนข้างละเอียด อุดมไปด้วยสารอาหาร มีทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กและจุลธาตุจำพวกสังกะสี เป็นที่นิยมมากในทวีปเอเชีย ยุโรปและอเมริกา
แถบทวีปอเมริกาเหนือไม่มีร่องรอยของวงศ์ปลาแมว นี่เป็นปลาในเขตร้อนชนิดหนึ่งที่จำต้องมีอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม ดีเอ็นเอของวงศ์ปลาแมวพวกนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะเป็นปลาที่มนุษย์พัฒนาขึ้น นำเข้ามาจากอเมริกาใต้ และสามารถอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือได้
จากนั้นก็มีปลาแซลมอนแปซิฟิกอีกหลายประเภทปรากฏตัวขึ้น วินนี่มองไปอย่างสนใจ ฉินสือโอวเกิดไอเดียขึ้นมา จึงเรียกเต่ามะเฟืองตัวใหญ่สองตัวที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาหา
เต่ามะเฟืองมีไอคิวที่เรียบง่าย พวกมันสามารถรับรู้ได้ถึงคำสั่งที่ค่อนข้างซับซ้อนของฉินสือโอว อย่างเช่นการว่ายมาวนไปรอบๆ สองรอบค่อยว่ายกลับไป ส่วนบอลหิมะกับบีนที่มีไอคิวสูงนั้น หากว่าพวกมันพูดได้แล้วล่ะก็ ความจริงสามารถคุยโต้ตอบกับฉินสือโอวได้เลย ไอคิวสูงถึงปานนั้น!
เต่ามะเฟืองว่ายเข้ามาอย่างโอ่อ่า ฉินสือโอวตบเบาๆ ไปที่สะโพกของวินนี่เพื่อเป็นความหมายว่าให้เธอขึ้นไปนั่ง วินนี่ยิ้มแล้วส่ายหัว ฉินสือโอวทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าโอเค แล้วเข้าไปจับเต่ามะเฟืองตัวหนึ่งไว้
หลังจากถูกเขาแตะแล้ว เต่ามะเฟืองก็หยุดขาทั้งสี่ที่กำลังเคลื่อนไหวลง ฉินสือโอวทำการจูงมันเหมือนกับจูงม้าไปข้างๆ วินนี่ ให้วินนี่ขึ้นไปนั่ง จากนั้นเขาก็ว่ายนำอยู่ข้างหน้า เต่ามะเฟืองตามอยู่ข้างหลัง ราวกับว่าได้กลายเป็นม้าตัวหนึ่งไปแล้วอย่างนั้น
เขาพาเต่ามะเฟืองว่ายไปวังคริสทัลเวอร์ชันป้อมปราการบนภูเขาที่เกิดจากการรวมตัวกันของแก้วทะเล ฉินสือโอวเปิดไฟฉายใต้น้ำที่เตรียมมา ทันใดนั้น แสงสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะอันเจิดจ้าก็ได้ส่องแสงออกมา และส่องเข้าไปในแก้วทะเลเป็นเส้นโค้งงอ
แก้วทะเลมีสีสันหลากหลาย แต่แสงที่กรองออกมาได้นั้นไม่เหมือนกัน แสงจ้าสีขาวจะส่องไสวอยู่ด้านบน ทำให้วังใต้น้ำนี้สว่างสวยงามเป็นที่สุด ส่วนสีแดงเหลืองเขียวและสีอื่นๆ ก็ทำการย้อมสีน้ำทะเลรอบๆ ให้มีสีสันขึ้นมา
ใบหน้าเรียวยาวของวินนี่ได้เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด เธอเผลออ้าปากทำให้ท่อออกซิเจนที่อยู่ในปากหลุดออกมา จนทำให้เกิดฟองอากาศจำนวนมากลอยออกมาในน้ำ แล้วก็ส่งเสียงบุ๋งๆ ออกไปทางผิวน้ำ
ฉินสือโอวรีบยัดท่อออกซิเจนให้เธอ แล้วจับมือเธอว่ายเข้าไปในวังคริสทัล
ความจริงจะเรียกว่าวังคริสทัลก็ไม่ได้ เพราะก็เป็นแค่การมากองรวมกันของแผ่นแก้วทะเลเท่านั้น แต่สำหรับคนที่เพิ่งเคยดำน้ำครั้งแรกแล้ว ภาพแบบนี้คือภาพที่ทำให้ใจเต้นได้รัวๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
วินนี่ที่ถูกฉินสือโอวจูงมือไว้เหมือนกับซินเดอเรลลาที่เพิ่งเข้าไปในวังไม่มีผิด แม้ว่าวังคริสทัลจะมีพื้นที่เล็กมาก แต่เธอก็ยังว่ายวนอยู่ข้างในเป็นเวลาพักหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ
ฉินสือโอวเปลี่ยนกำลังไฟของไฟฉายในมือไม่หยุด การที่แสงส่องประกายแบบนี้ ทำให้เกิดการหักเหแสงของแก้วทะเลและน้ำทะเลทำให้เกิดเป็นแสงสีสันหลากหลายออกมา ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยสีสันของโลกแห่งความฝัน
รอจนวินนี่ได้สติกลับมาแล้ว ฉินสือโอวก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ คุกเข่าข้างหนึ่งในท้องทะเล มือขวากุมมือของวินนี่ไว้ เงยหน้ามองเธอแล้วหยิบกล่องแหวนออกมาจากกระเป๋าคาดเอว ทำท่าขอแต่งงานออกมา
ทุกอย่างได้ถูกแสดงออกมาโดยไม่มีคำพูด วินนี่เข้าใจความหมายของเขา จึงรับกล่องแหวนมาจากเขา เธอโน้มตัวลงดึงมือเขาขึ้นมา จากนั้นก็ใช้หน้าผากแตะไปที่หน้าผากเขา สายตาที่อ่อนโยนและหวานแหววนั้น ราวกับว่าจะละลายไปในน้ำเลย
ฉินสือโอวบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงพาวินนี่ว่ายออกไปข้างนอก วังคริสทัลมีทางออกทะลุไปข้างนอกได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหลังก็คือแนวปะการังเจ็ดสี ทำให้สามารถนำความตื่นใจตระการตาแบบใหญ่โตให้กับวินนี่ได้อีก
วินนี่กำลังชื่นชมแนวปะการังที่สวยงามอยู่ ตอนนี้บอลหิมะที่มีผิวพรรณดั่งหินหยกก็ว่ายออกมาจากส่วนลึกของแนวปะการัง มีไอซ์ สเกตที่น่าเกรงขามและบีนที่หน้าตาซื่อๆ ตามมาอยู่ข้างหลัง พวกมันเห็นฉินสือโอวกับวินนี่แล้ว จึงรีบว่ายเข้ามาหา
ฉินสือโอวเข้าไปลูบเจ้าตัวน้อยสามตัว ตอนนี้การรับรู้ความรู้สึกของเขาต่อเจ้าสามตัวแข็งแกร่งขึ้นมาก ก่อนหน้านี้เขาสามารถรู้สึกได้แค่ว่าทั้งสามตัวฉลาด แต่หลังจากพลังแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขาสามารถแบ่งแยกได้เลย ว่าในบรรดาเจ้าสามตัวนี้ตัวที่ฉลาดที่สุดคือบีนโลมาปากขวด ต่อมาก็บอลหิมะ และต่อมาก็คือไอซ์สเกต
บทที่ 1352 เช่าเครื่องบินสักลำ
สำหรับไอคิวของโลมานั้น วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่มีการประกาศออกมาในทิศทางเดียวกันนัก คนที่มองโลกในแง่ดีบอกว่าพวกมันเป็นรองแค่มนุษย์ แต่ก็มีนักวิจัยบางคนที่บอกว่านี่เป็นการพูดเกินจริง โลมาไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น แต่มีไอคิวเทียบเท่ากับไก่เท่านั้น…
ตอนนี้ฉินสือโอวคือคนที่มีสิทธิ์พูดมากที่สุด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล ทำให้สามารถแบ่งแยกไอคิวสูงต่ำของพวกมันได้
ก่อนอื่น โลมาฉลาดมาก เรื่องนี้แสดงออกมาทางความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ ซึ่งเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมาก ความสามารถที่เก่งกาจเป็นพิเศษอีกเรื่องก็คือความสามารถในการเข้าใจ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ฉินสือโอวเคยเจอมาในตอนนี้ ตัวที่มีความสามารถเข้าใจมากที่สุดก็คือบีน
แต่ว่าปัญญาของพวกมันนั้นไม่ได้สูงมาก คำว่า “ปัญญา” ส่วนมากจะประกอบไปด้วย 3 ความหมาย หนึ่งก็คือความสามารถในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน สองก็คือความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้รับ สามก็คือความสามารถในการใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์ในการมาคิดแบบนามธรรม
โลมาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกมันสามารถดีใจ เสียใจ ไม่พอใจได้ แต่ว่าไม่สามารถคิดอะไรด้วยตัวเองได้ หรือก็คือไม่มีความสามารถในการคิดแบบนามธรรมนั่นเอง
ส่วนบอลหิมะและไอซ์สเกตน่ะเหรอ? เจ้าสองตัวนี้ยิ่งไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย บีนกับบอลหิมะก็เหมือนกับสัตว์จำพวกสุนัขที่ค่อนข้างฉลาด พวกมันสามารถเข้าใจคำสั่งซับซ้อนที่ฉินสือโอวสั่งได้ แต่ว่าไม่สามารถคิดวิเคราะห์ถึงปัญหาหรือมีจิตสำนึกในการพูดโต้ตอบกับฉินสือโอวได้
เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกเสียดายมาก เขาหวังเป็นอย่างมากว่าจะสามารถหาเพื่อนในมหาสมุทรที่สามารถคุยโต้ตอบกับเขาได้
แต่ว่าเจ้าตัวเล็กสามตัวล้วนมีไอคิวที่ค่อนข้างสูง เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญญาต่ำเลย พวกมันสามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาภายนอกได้ อย่างเช่นตอนที่ฉินสือโอวลูบพวกมัน พวกมันก็สามารถรู้สึกได้ถึงดีใจและสบายใจได้
ดังนั้นคำพูดที่ว่าโลมากับไก่มีไอคิวเท่ากันนั้น ท่านชายฉินจึงทำได้แต่บอกว่าไร้สาระทั้งเพ
ฉินสือโอวว่ายทะลุผ่านเจ้าตัวน้อยสามตัว และตบไปที่หัวเบาๆ ลูบเขี้ยวของไอซ์สเกต ดึงหางของบีนเป็นระยะ เจ้าตัวเล็กสามตัวก็ว่ายน้ำเล่นอยู่กับเขาอย่างดีอกดีใจ ทำเอาวินนี่ที่มองอยู่ข้างๆ ประทับใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก
หลังจากเล่นกับเจ้าตัวเล็กสามตัวสักพัก เขาก็ลากวินนี่มา ให้เธอขี่ไปบนหลังของบอลหิมะ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนั่งด้วย เขาโอบเอวบางของวินนี่อยู่ข้างหลัง ขาทั้งสองหนีบแนบไว้ บอลหิมะสะบัดหางพร้อมผ่อนลมหายใจแล้วว่ายออกไปอย่างช้าๆ
ฉินสือโอวกอดวินนี่ไว้แล้วโน้มตัวไปข้างหน้า บอลหิมะว่ายออกไปอย่างช้าๆ แบบนี้แม้ว่าผิวของพวกมันจะลื่นมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนสองคนบนหลังพลัดตกลงมาได้
ไอซ์สเกตและบีนตามมาด้วยซ้ายตัวขวาตัว หลังจากเข้าใกล้ผิวน้ำแล้ว บีนกระโดดออกไปบนผิวน้ำ ราวกับลูกธนูแหลมคมที่พุ่งออกไป เกิดเป็นท่าปลาคาร์ฟข้ามประตูมังกรที่สวยงามออกมา
บอลหิมะว่ายไปจนถึงผิวน้ำ วินนี่ถอดท่อออกซิเจนในปากออก จากนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องที่บ้าคลั่งออกมาว่า “พระเจ้าาาาาาา!”
ฉินสือโอวที่กอดเธออยู่ข้างหลังยิ้ม ทุกสิ่งที่ได้เห็นวันนี้ คงทำให้วินนี่รู้สึกถึงความน่าตกใจอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
หลังจากกรีดร้องแล้ว วินนี่ก็หันหลังกลับไปฉับพลันพร้อมกับดึงหูของฉินสือโอวลง
ฉินสือโอวถูกเธอตีอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาว่า “โอ๊ยยย! เจ็บนะ! คุณทำอะไร?!”
“ฉันอยากรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า!” วินนี่ใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมตะโกนออกมาว่า “นี่มันบ้าสุดๆ ไปเลย! บ้าจริงๆ! พระเจ้า นี่มันบ้าที่สุด!”
ฉินสือโอวลูบติ่งหูไปมาพร้อมทำหน้าเจ็บปวด วินนี่มองดูวาฬสีขาวตัวน้อยด้านล่าง ความจริงแล้วในตอนนี้วาฬขาวตัวนี้ไม่ถือว่าเล็กแล้ว น่าจะมีความยาวราวสามเมตรได้ เป็นร่างกายที่กำลังเข้าสู่วาฬที่โตเต็มตัวแล้ว
แน่นอนว่า เพราะพลังโพไซดอนเป็นเหตุ อีกหน่อยขนาดตัวของบอลหิมะจะต้องใหญ่กว่าวาฬขาวทั่วไปอย่างแน่นอน ในปัจจุบันสถิติโลกของวาฬขาวที่บันทึกไว้คือยาว 5 เมตร ฉินสือโอวรู้สึกว่าต่อไปบอลหิมะจะโตไปจนถึงแปดเมตรหรือสิบเมตรได้ไม่มีปัญหาเลย
มองดูวาฬขาวที่กำลังขี่อยู่ วินนี่พูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “ตอนนี้พวกเราขี่อยู่บนตัวของบอลหิมะใช่ไหมคะ? นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ! ที่แท้มนุษย์สามารถขี่วาฬได้จริงๆ เหรอคะ? “
“คุณไม่เพียงแต่ขี่บอลหิมะนะ เมื่อกี้ยังได้ขี่เต่ามะเฟืองด้วย” ฉินสือโอวนวดหูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตร
วินนี่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่ๆๆ ฉันยังได้ขี่เต่ามะเฟืองด้วย แล้วฉันก็ได้เห็นวังใต้ท้องทะเลอีก อย่าบอกนะว่า ที่รัก ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงเหรอคะ?”
ฉินสือโอวโอบเอวบางของเธอไว้แล้วพูดว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงสิ นั่นน่ะเป็นวังคริสทัลที่ผมตั้งใจเตรียมไว้ให้คุณเลย แต่ว่า การขนส่งในน้ำยากเกินไป ผมจึงทำได้แค่หาคนเอาพวกมันมากองไว้ตรงนั้น ไม่สามารถสร้างเป็นวังจริงๆ ได้”
วินนี่หันหลังไปใช้มือโอบรัดคอเขาไว้แล้วจูบอย่างดูดดื่ม ท่านชายฉินรีบจูบกลับทันที อื้ม ริมฝีปากนุ่มนิ่ม ยังคงรู้สึกดีเหมือนเดิม แต่ว่ารสชาติค่อนข้างขมนี่มันเกิดอะไรขึ้น?
วินนี่ทำไมคุณถึงพ่นน้ำทะเลออกมาล่ะ? คุณเป็นปลาเสือพ่นน้ำเหรอ? หลังจากท่านชายฉินคิดได้แล้วก็รู้สึกปวดใจจนหาคำมาบรรยายไม่ได้
จูบร้อนแรงอยู่นาน วินนี่หายใจหอบแล้วก็ผละออกมา เธอพูดว่า “ที่รัก เซอร์ไพรส์ที่คุณให้ฉันในวันนี้มันยิ่งใหญ่มากจริงๆ ฉันอยากรับคำขอแต่งงานจากคุณในวังคริสทัลค่ะ ฉันหมายถึงว่า ให้คนอื่นๆ ได้เห็นฉากนี้ด้วย “
ฉินสือโอวกล่าว “ไม่ วังคริสทัลหลังนี้เป็นของขวัญพิเศษที่ผมมอบให้กับคุณ มอบให้คุณคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ลูกสาวผมก็จะไม่ให้เธอรู้ด้วย”
เมื่อได้ฟังคำพูดเขาแล้ว ดวงตาที่สว่างสดใสของวินนี่ก็ได้หม่นลงอย่างช้าๆ เขาดึงไหล่ฉินสือโอวไว้แล้วค่อยๆ หันตัวกลับมา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ที่รัก พวกเรามาทำสงครามในน้ำกันเถอะ…”
“ฟัค!”
ฉินสือโอวขับเรือยอชต์กลับไป พวกของชาร์คก็กลับมาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นชุดดำน้ำสองชุดถูกโยนไว้บนเรือยอชต์ พวกชาวประมงก็พากันทักทายขึ้นมา
“เฮ้ นายหญิง ไปดำน้ำมาเหรอครับ? เป็นอย่างไรบ้าง สุดยอดมากเลยใช่ไหมครับ?”
“ผมแนะนำให้คุณไปที่แนวปะการังนะครับ ชิท ที่นั่นน่ะสวยมากจริงๆ!”
“นายหญิง ความรู้สึกของการได้ดำน้ำเป็นอย่างไรบ้างครับ? ดูสิสีหน้าคุณดีมากเลย การดำน้ำมีประโยชน์ต่อร่างกายนะครับ เป็นการฝึกการทำงานของหัวใจและปอดด้วย”
“บอส สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีนะครับ? เหมือนว่าจะเหนื่อยมากเลย เป็นอะไรไปครับ? เหนื่อยเกินไปเหรอครับ?”
ฉินสือโอวทำท่าไล่พวกชาวประมงเหมือนกับไล่แมลงวัน “ไปๆๆ! รีบไปทำงาน! ถ้าไม่มีงานก็ไปช่วยฉันเก็บกวาดฟาร์มปลา จะต้องเก็บกวาดให้สะอาดเลยนะ!”
พวกชาวประมงพากันหัวเราะร่าแล้วขับเรือจากไป วินนี่หยิบกระจกใบเล็กมาส่องหน้าของตัวเองอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วแกล้งทำทีไม่พอใจว่า “ครั้งหน้าฉันจะต้องทากันแดดหน่อยแล้ว ดูสิ ฉันใกล้จะกลายเป็นป้าหน้าเหลืองแล้ว”
“จริงด้วย เหลืองเกินไปแล้ว” ฉินสือโอวพูดพร้อมถอนหายใจ
วินนี่เคืองขึ้นมาทันที “อะไรนะคะ?”
“ทั้งเหลืองทั้งโหดร้าย!” ฉินสือโอวพูดด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ “ครั้งหน้าก่อนจะออกทะเลคุณทาครีมกันแดด ส่วนผมก็ต้องกินจู๋กวาง”
วินนี่มองไปรอบทิศอย่างร้อนรน พอเห็นว่าพวกชาวประมงไปไกลแล้ว สายตาเธอก็เป็นประกาย เต็มไปด้วยความสุข แล้วพูดว่า “ต่อไปจะต้องดำน้ำทุกวัน ฉันอยากจะเห็นวังคริสทัล ฉันอยากขี่เต่ามะเฟือง แล้วก็อยากขี่วาฬขาวตัวน้อยด้วย!”
ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “คุณจะขี่จนเลี่ยนได้นะ?”
วินนี่เข้ามากอดเขาแล้ว แล้วถามเสียงเบาว่า “แล้วคุณล่ะขี่ฉันจนเลี่ยนแล้วหรือยัง?”
ฉินสือโอวไม่มีคำจะพูดต่อ ผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่ากลัวเกินไปจริงๆ สามารถเป็นผู้หญิงสายหวานได้ และก็เป็นสายหื่นได้
ปลายเดือนกันยายน งานวันแต่งใกล้เข้ามา เหมาเหว่ยหลงถึงกลับรีบจัดการหญ้าในฟาร์มแล้วรีบมาหา เพราะเขาต้องมาช่วยฉินสือโอวคุมงานด้วย
เริ่มจากพี่ๆ น้องๆ จากประเทศจีน เหมาเหว่ยหลงกะว่าจะพาพวกเขามา ฉินสือโอวส่ายมือแล้วพูดว่า “นายจะไปพามาอย่างไร? ฉันเช่าเครื่องบินสักลำ ถึงตอนนั้นก็ไปรับพวกเขามาเลยก็ได้แล้ว”
บทที่ 1353 แขกผู้มีเกียรติมาถึง
ความจริงสิ่งที่ฉินสือโอวอยากทำคือซื้อเครื่องบินสักลำ
ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน หลังจากฉินสือโอวเก็บสะสมเงินในมือได้ถึงหนึ่งร้อยล้านเหรียญแคนาดาแล้ว ก็คิดอยากจะซื้อเครื่องบินส่วนตัวสักลำ เครื่องบินลำใหญ่แบบจริงจัง
เหตุผลที่มีความคิดแบบนี้ ก็เพราะเก็บเงินสดไว้ในมือก็ไม่มีประโยชน์ สู้เอาไปใช้จะดีกว่า แถมยังสามารถนำมาหลีกเลี่ยงภาษีกับลดหย่อนภาษีได้ด้วย อย่างไรเสียช้าเร็วเขาก็ต้องซื้อเครื่องบินส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะฟาร์มปลามีรากฐานที่มั่นคงแล้ว ทำให้ฉินสือโอวมีเวลาว่างมาก เขาคิดอยากจะพาวินนี่ไปเที่ยวรอบโลกตามที่ใจปรารถนา
แต่ว่าการซื้อเครื่องบินไม่ใช่การซื้อรถยนต์ จำเป็นต้องพ่วงด้วยงานอีกมากมาย อย่างน้อยก็ต้องมีนักบินสองคน ถึงขั้นว่าต้องจ้างพนักงานแอร์โฮสเตสจำพวกนี้ด้วย ค่อนข้างวุ่นวาย เขาจึงยังไม่ได้ซื้อ
งานแต่งงานครั้งนี้เขาต้องรับผิดชอบค่าเดินทางไปกลับของคนจำนวนมาก ถ้าเป็นแบบนี้สู้เช่าเครื่องบินยังดีซะกว่า แต่ว่าค่าเช่าเหมาลำก็ไม่ได้ถูก ถือโอกาสซื้อเครื่องบินลำหนึ่งไปเลยดีกว่า เป็นการจ่ายเงินครั้งเดียวที่ภายหลังสามารถประหยัดเงินแถมยังประหยัดเวลาได้อีกด้วย
เสียดายที่ปัญหาคือ ซื้อเครื่องบินไม่ใช่การซื้อรถยนต์ ที่จ่ายเงินแล้วนำรถกลับก็ได้แล้ว แต่ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ บริษัทเครื่องบินล้วนเป็นแบบได้รับออเดอร์จากลูกค้าแล้ว ค่อยทำการต่อเครื่องบินตามความต้องการและความชอบของลูกค้าทั้งนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงจะสามารถนำมาใช้ได้
เมื่อเป็นแบบนี้เป็นธรรมดาที่จะไม่ทันงานแต่ง ฉินสือโอวจึงทำได้แต่วางความคิดนี้ไว้ก่อน แล้วติดต่อเช่าเหมาลำเครื่องบินสองลำโดยผ่านบริษัทเอ็กซ์เพรสแทน
เครื่องบินสองลำนี้ล้วนเป็นแบบหรูหรา ลำหนึ่งเล็กลำหนึ่งใหญ่ เครื่องบินลำใหญ่คือเครื่องบินไอพ่นโกลบอล 7000 ที่ใช้ทางธุรกิจ สามารถรับผู้โดยสารได้ 18 ที่นั่ง ความเร็ว 0. 85 มัค สามารถบินได้ไกลกว่าหนึ่งหมื่นสองพันกิโลเมตร เป็นเครื่องบินส่วนตัวรุ่นท็อประดับโลก
เครื่องบินเล็กคือ TBM900 ที่ผลิตโดยบริษัทโซคาตาร์ เครื่องบินสามารถรับผู้โดยสารได้หกคน ความเร็วคือหกร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง บินได้ไกลสามพันกิโลเมตร
เครื่องบินลำใหญ่ใช้สำหรับรับส่งผู้โดยสารที่มาไกล ส่วนเครื่องบินเล็กไว้ใช้สำหรับการเดินทางระยะใกล้
ค่าใช้จ่ายที่ฉินสือโอวเช่าเครื่องบินสองลำนี้รวมกันอยู่ที่แปดแสนห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดา ระยะเวลาการเช่าคือเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่ห้าวันก่อนเริ่มงานแต่งงานจนถึงสองวันหลังเสร็จงานแต่งแล้ว แค่ค่าเช่าเครื่องบินแต่ละวันก็ต้องใช้ถึงหนึ่งแสนกว่าดอลลาร์แคนาดาแล้ว
หากว่ามีเวลาเหลือแล้วล่ะก็ ฉินสือโอวอยากซื้อเครื่องบินสักลำมากกว่า แน่นอนว่าหลังจากงานแต่งเสร็จสิ้นแล้ว เขาคงเลือกที่จะซื้อเครื่องบินอย่างแน่นอน
อาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายน เวลารัดตัวเข้ามา ฉินสือโอวเตรียมงานในฟาร์มปลา ผู้คนที่มีอยู่ในมือก็เรียกมาใช้ทั้งหมด
นอกเหนือจากนั้น ตอนนี้เขายังประสบกับปัญหาเล็กๆ อีกอย่าง นั่นก็คือคนที่จะมาเป็นผู้ประกอบพิธีในงานแต่งงาน
ตามกำหนดการแล้ว สถานที่จัดงานแต่งจะจัดขึ้นในตัวเมือง ถึงเวลาตอนที่เขากับวินนี่แลกแหวนกันในโบสถ์ แน่นอนว่าต้องเป็นบาทหลวงกริมม์อยู่แล้วที่เป็นพิธีกรในงาน
แต่ว่าตอนนี้บาทหลวงกริมม์เกิดไม่สบายขึ้นมา งั้นก็ต้องเปลี่ยนคน เออร์บักแนะนำว่าให้เป็นมุขนายกคาบ็อท ศรัณหะ เขาเป็นเพื่อนสนิทของคุณปู่รองของเขา และเป็นผู้นำของศาสนาคริสต์ในนิวฟันด์แลนด์ด้วย
ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่ามุขนายกจะเชิญยาก แต่พอเขากับเออร์บักไปหาผู้ดูแลของมหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ และหลังจากพวกเขารู้ถึงสาเหตุการมาของเขาแล้ว มุขนายกคาร์บ็อทก็ตอบตกลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที บอกว่าถึงเวลาเขาจะไปร่วมงานแน่นอน
ทางฝั่งวินนี่ก็ได้เตรียมการไว้แล้วเหมือนกัน หากว่าทางมุขนายกคาร์บ็อทไม่ตกลงมา ก็จะเชิญบาทหลวงจากโบสถ์ที่บ้านเกิดของวินนี่มาเป็นผู้ทำพิธี แต่การที่พวกเขาเชิญมุขนายกได้สำเร็จยิ่งดีกว่า
การที่ได้มุขนายกมาเป็นผู้ประกอบพิธีย่อมมีเกียรติกว่าให้บาทหลวงมาประกอบพิธีกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย
ปลายเดือนกันยายน บริษัทจัดงานแต่งงาน OK-KNOT ก็เข้ามาถึงในเมืองแล้ว และได้เริ่มเตรียมสถานที่ โดยการเริ่มจัดเตรียมตั้งแต่ฟาร์มปลาไปจนถึงโบสถ์ในเมือง
พวกเขาพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาด้วยกลุ่มหนึ่ง หลังจากคนเหล่านี้มาถึงแล้วก็เริ่มทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ฟาร์มปลาใหม่ และบังคับเฮลิคอปเตอร์สองลำตั้งแต่งานแต่งงานเริ่มขึ้นจนจบงาน เฮลิคอปเตอร์สองลำนี้จะทำการบินอยู่บนฟ้าตลอดเวลา
หลังจากบริษัท OK-KNOT มาถึง บิลลี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน ฉินสือโอวถามเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง แร่หินทองคำถูกส่งมาถึงพื้นดินหรือยัง?”
บิลลี่ถามอย่างแปลกใจว่า “นายรู้ได้อย่างไรว่าเรือของเราเทียบท่าแล้ว?”
ฉินสือโอวคอยเฝ้าสังเกตการณ์เรือลำเลียงแร่หินทองคำผ่านคราเคนและเหล่างูเหลือมทะเลมาตลอด แน่นอนที่เขาต้องรู้ว่าเรือลำนี้เข้าเทียบท่าแล้ว
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถพูดออกไปได้ เขายักไหล่แล้วพูดว่า “แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ เรือเข้าเทียบท่าแล้วเหรอ? เพื่อน ไม่ยอมรับไม่ได้นะว่า นายทำได้ดีมาก”
หลังจากถูกชม บิลลี่ก็ฉีกยิ้มออกมา จากนั้นก็ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ฉินสือโอวฉบับหนึ่ง “เตรียมดูข่าวได้เลย ไม่นานบริษัทงมเรืออับปางของเราจะได้เป็นเรื่องเด่นในข่าวแล้ว”
ฉินสือโอวดูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สักพัก หนังสือพิมพ์ชื่อ ‘ขุมทรัพย์ของโลก’ ภาพบนนั้นคือรูปที่บิลลี่อุ้มแร่หินแล้วเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พาดหัวข่าวคือ ‘สุดยอดขุมทรัพย์ถูกเผย เขาได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านในชั่วข้ามคืน’
บิลลี่อธิบายว่า “การกระจายของหนังสือฉบับนี้ไม่มากนัก เพราะจะพิมพ์ออกมาให้นักล่าขุมทรัพย์และนักสะสมของเก่าทั่วโลกเห็นเท่านั้น ฉันแจ้งข่าวให้กับพวกเขาล่วงหน้า ผู้อำนวยการของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สนิทกับพี่ชายของฉันมาก การแพร่ข่าวสารผ่านเขาจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากกว่า”
ฉินสือโอวพลิกดูหนังสือพิมพ์รอบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ขอแค่รัฐบาลอเมริกาของพวกนายไม่มาเล่นงานสมบัติของเราก็พอแล้ว”
บิลลี่หัวเราะอย่างได้ใจว่า “ฉันมีความคิดหนึ่ง แร่หินส่วนใหญ่ฉันลำเลียงกลับไปซ่อนไว้ที่ท่าเรือแล้ว มีบางส่วนก็ถูกนำไปกระจายไว้ในน่านน้ำแถบนี้ จากนั้นก็ให้คนอื่นไปงมก็ได้แล้ว”
ฉินสือโอวตบบ่าเขาเบาๆ อย่างพอใจ แล้วพูดว่า “ไม่เลวเลยนี่นา เพื่อน เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ศัตรูสับสนสินะ หัวไวใช้ได้เลย!”
บิลลี่ทำท่าโค้งคำนับแบบสุภาพบุรุษ แล้วพูดว่า “นี่เป็นของขวัญงานแต่งของนาย เศรษฐีพันล้าน”
หลังจากจัดการแร่หินทองคำ และหลังจากที่ฉินสือโอวหักค่าใช้จ่ายออกแล้ว เงินที่เขาได้รับจะสูงถึงหนึ่งร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์อเมริกา หรือก็คือเกือบพันล้านหยวน!
การมาของบิลลี่ในครั้งนี้ก็นั่งเครื่องบินลำเล็กมาด้วยเหมือนกัน เป็นเครื่องบินรุ่น PA-42 ซึ่งถือเป็นเครื่องบินพลเรือน เป็นเครื่องที่ต่อขึ้นด้วยเครื่องยนต์ 6A-28 สองเครื่องที่ผลิตโดยบริษัทแพร็ตต์ แอนด์ วิทนีย์ มีความแรงอยู่ที่ 620 แรงม้า บนนั้นมีรูปหน้าตาของบิลลี่พ่นอยู่ด้วย
ฉินสือโอวนึกว่าเป็นเครื่องบินที่เขาเช่ามา แต่หลังจากคุยกันแล้วถึงรู้ว่า เจ้าหมอนี่เป็นคนซื้อเครื่องบินลำนี้ที่ราคาหนึ่งล้านแปดแสนดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่งได้มาไม่นาน
ที่บิลลี่ขับเครื่องบินมา ก็เพื่อเอามาให้ฉินสือโอวใช้ด้วย และฉินสือโอวก็เพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่า เจ้าหมอนี่ถึงกับมีใบขับขี่เครื่องบินสำหรับพลเรือนด้วย สามารถขับเครื่องบินเองได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกชื่นชมมาก บิลลี่สิที่เป็นเศรษฐีที่แท้จริง
วันที่หนึ่งเดือนตุลาคม ผู้คนที่มาร่วมงานแต่งกลุ่มแรกมาถึงแล้ว เพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนที่ประเทศจีนของฉินสือโอวมาถึงแล้ว
ผู้คนที่มาส่วนมากจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย ล้วนเป็นเพื่อนพวกที่ค่อนข้างเข้ากันได้ ส่วนเพื่อนสมัยเด็กมีเพียงแค่ฉินเผิงเท่านั้นที่มา
เครื่องบินสามารถลงจอดตรงสนามบินส่วนตัวในฟาร์มปลาต้าฉินได้เลย เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวไปต้อนรับพวกเขาได้ง่ายขึ้น ประตูเครื่องบินเปิดออก คนที่เขามองเห็นคนแรกก็คือเหมาเหว่ยหลงลงที่เดินนำลงมาก่อน
หลังลงจากเครื่องบินแล้ว เหมาเหว่ยหลงพูดกับเขาว่า “ถ้าหลังจากนี้แกจะซื้อเครื่องบิน ก็ซื้อรุ่นโกลบอลอย่างบอมบาร์ดิเอร์เลยนะ ให้ตายเถอะ เป็นอะไรที่สุดยอดมากเลย เพื่อนแกอย่างฉันได้สัมผัสถึงความเป็นเศรษฐีจริงๆ เลย”
บทที่ 1354 ล้วนเป็นแขกประจำ
พวกเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนคนอื่นๆ เดินถือกระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่ลงเครื่องมา ฉินสือโอวเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น พูดว่า “พี่น้องทุกท่าน ทุกคนเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องเอาของขวัญมาให้มากมายขนาดนี้หรอก ที่บ้านของเราไม่ขาดอะไรทั้งนั้น”
เพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยของเขาเฉินเหลยหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “นายคิดมากไปแล้ว พี่ฉินโซ่ว ของของพวกเราตรงนี้ล้วนเป็นเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวทั้งนั้น นายนึกว่าพวกเรามาร่วมงานแต่งเสร็จแล้วก็จะกลับเลยเหรอ? ชิ! คนอื่นไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันน่ะจะอยู่ต่ออย่างน้อยครึ่งเดือน!”
“พวกเราจะอยู่หนึ่งเดือน” ซ่งจวินเหมยพูดพร้อมรอยยิ้ม
“บังเอิญจริงๆ เลยนะ พรหมลิขิตจริงๆ ฉันเองก็จะอยู่ต่ออีกหนึ่งเดือนเหมือนกัน” เฉินเจี้ยนหนานพูดอย่างดีอกดีใจ
เยียนเฟยปัดมือแล้วพูดว่า “พอแล้วๆ พวกนายอย่าทำให้พี่ฉินโซ่วตกใจเลย ไม่เห็นว่าเหรอว่าเขาเหงื่อท่วมตัวแล้วน่ะ? วางใจได้ พี่ฉินโซ่ว ที่ภรรยาของฉันพูดเมื่อกี้แค่พูดไปงั้นนะ พวกเราจะมาอยู่ที่นี่กันยี่สิบวัน”
ฉินสือโอวกลอกตาไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า “จริงหรือเปล่าเนี่ย? พวกนายลาออกไม่ทำงานกันแล้วเหรอ?”
เฉินเหลยพูดว่า “มีของอย่างหนึ่งที่เรียกว่าวันหยุดประจำปีนายเข้าใจไหม? แล้วก็มีอีกหนึ่งอย่างเรียกว่าทำงานจากที่บ้านนายเข้าใจไหม?”
ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “ฟัค พวกนายคงไม่คิดว่าจะมาอยู่นานขนาดนั้นกันจริงๆ ใช่มั้ย?”
เฉินเหลยยักไหล่แล้วพูดว่า “คนอื่นฉันไม่รู้นะ พี่ฉินโซ่ว แต่ฉันกะว่าจะมาอยู่ที่แคนาดาสักครึ่งเดือน จริงๆ นะ ที่นายสิบวัน แล้วก็ที่โคโกโร่อีกห้าวัน”
เหมาเหว่ยหลงตบอกแล้วพูดว่า “วางใจได้ ไปที่ฉันนะเรื่องกินเรื่องดื่มมีให้เพียงพอแน่นอน ที่พักก็มีมากมาย ทุกคนเตรียมสุดเหวี่ยงกันได้เลย ฉันกับเสี่ยวซูจะต้องดูแลพวกนายทุกคนให้มีความสุขแน่นอน”
“พี่โกโร่ใจกว้าง พี่โกโร่สุดยอด!” คนทั้งกลุ่มพากันตะโกนโห่ร้องกันขึ้นมา
ฉินสือโอวกลอกตาให้เหมาเหว่ยหลงทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “อย่ามาโห่ร้องกันตรงนี้นะ ฉันไม่ใจกว้างไม่สุดยอดหรือไงกัน? พี่ๆ น้องๆ ทุกคนวางใจได้ พวกนายพักกันที่นี่ก็พอแล้ว รับรองว่ามีเบียร์มีอาหารทะเลเพียงพอแน่นอน”
เหมาเหว่ยหลงรีบพูดอย่างร้อนรนว่า “แกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันเป็นเพื่อนแกนะ แกต้องให้ทุกคนไปพักที่บ้านฉันช่วงหนึ่งด้วยสิ?”
การได้เห็นคนสองคนเพื่อที่จะดูแลพวกเขาถึงกับจะทะเลาะกันขึ้นมา เฉินเหลยก็พูดอย่างตื้นตันใจว่า “แหม ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนตายกัน พวกพี่ชายน้องชายใจถึงจริงๆ มีคุณธรรมสุดๆ!”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่มีคุณธรรมแล้วใครจะมีคุณธรรมอีก?”
เหมาเหว่ยหลงพูดว่า “ได้ แกมีคุณธรรมใช่ไหม การมีคุณธรรมของแกต้องไม่ให้พวกพี่น้องต้องทำงานให้แกอีกนะ แกต้องบูชาพวกเขาเหมือนเป็นพ่อกับแม่เลย ได้หรือเปล่า? ”
ฉินสือโอวพูดพึมพำว่า “อย่าได้คิดได้ฝันเชียว พ่อแม่ฉันเองก็ทำงานในฟาร์มปลานะ ซักผ้าทำกับข้าวดูแลเด็ก ล้วนเป็นพ่อแม่ฉันรับผิดชอบทั้งนั้น แน่นอนว่าพวกพี่น้องต้องถูกใช้งานเหมือนชาวประมงสิ พอดีกับเป็นช่วงเก็บเกี่ยวปลาด้วย”
เมื่อได้ฟังคำนี้ คนทั้งกลุ่มก็ร้อนใจขึ้นมา รีบล้อมฉินสือโอวไว้ แล้วพูดว่า “ฉินนายหมายความว่าอย่างไร? ทำไมยังให้พวกเราทำงานอีกล่ะ? พวกเรามาเพื่อพักร้อนกันนะ”
ฉินสือโอวพูดอย่างกับคำพูดตัวเองสมเหตุสมผลว่า “พักร้อน? พักร้อนก็ได้นะ พวกนายเอาเงินมาเท่าไร? อย่างไรเสียมาอยู่ที่ฟาร์มปลาฉันไม่สามารถกินฟรีอยู่ฟรีได้นะ พวกนายจ่ายตามเห็นสมควรแล้วกัน วันหนึ่งรวมทั้งกินทั้งอยู่อย่างไรก็ต้องมีสามร้อยห้าร้อย”
“สามร้อยห้าร้อยก็ยังดี ยังจ่ายไหวอยู่” เฉินเหลยโล่งใจ “พอดีเลยที่ฉันเอาเงินมาด้วยหนึ่งหมื่นหยวน”
“ดอลลาร์แคนาดา ที่ฉันพูดคือดอลลาร์แคนาดา!” ฉินสือโอวพูดเสริม
เฉินเหลยรีบหันตัวไปกอดแขนของเหมาเหว่ยหลงไว้ แล้วพูดว่า “พี่โคโกโร่ พี่มีคุณธรรมที่สุด พวกเราตัดสินใจแล้วว่าหลังเสร็จจากงานแต่งจะไปบ้านพี่กัน เหอๆ ฟาร์มของนายก็ดีเหมือนกัน ยังสามารถขี่ม้าได้ด้วยใช่ไหม?”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดว่า “โง่จริง พวกนายไม่รู้เหรอว่านี่ฤดูอะไร? ฟาร์มของโคโกโร่ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีงานกองอยู่ตั้งเท่าไร! พวกนายไปแล้วก็รอถูกแดดเผาจนกลายเป็นถ่านได้เลย”
คนทั้งกลุ่มพากันหยอกล้อคุยเล่นกัน ฉินสือโอวเหมือนได้กลับไปอยู่ในช่วงมหาวิทยาลัยที่ไร้ความกังวลอีกครั้ง ใจที่เหนื่อยล้าจากการจัดเตรียมงานแต่งงานก็รู้สึกโล่งขึ้นมาอีกครั้ง
บินมาจากประเทศจีน แม้ว่าคนทั้งกลุ่มจะนั่งเครื่องบินหรูมา แต่ระหว่างทางก็ไม่สามารถพักผ่อนได้ และไหนจะต้องเหนื่อยตอนเข้ามาในด่านตรวจคนเข้าเมืองของแวนคูเวอร์อีก ดังนั้นฉินสือโอวจึงเลือกที่จะให้พวกเขาไปพักกันที่โรงแรมในเมืองก่อน
ระหว่างงานแต่งงานมีแขกมากมาย ปริมาณการใช้รถจึงมากขึ้นตาม แบรนดอนหากลุ่มรถเบนซ์ให้เขามากลุ่มหนึ่ง เป็นรถเบนซ์เอสซีรีส์ทั้งหมด คนขับรถก็ล้วนใส่สูทผูกไทด้วย
เฉินเหลยบอกว่าพวกเขาอยากจะเดินเล่นในฟาร์มปลา จากนั้นค่อยไปตกปลาบนทะเล ฉินสือโอวบอกว่า “เอาน่า พวกนายไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปมีเวลาให้เที่ยวเล่นอีกเยอะ อีกอย่างพวกนายจะมาอยู่กันหนึ่งเดือนเลยไม่ใช่เหรอ? เวลาพักร้อนจะน้อยได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็รู้สึกเห็นด้วย ระหว่างทางไปในเมือง เฉินเจี้ยนหนานถามว่า “ฉิน โคโกโร่บอกว่างานแต่งในครั้งนี้ ยังมีเจ้าชายจากอังกฤษกับเจ้าหญิงจากตะวันออกกลางมาด้วย จริงหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวขับรถไปพลางพูดไปพลางว่า “แม้ว่าโคโกโร่จะชอบคุยโม้ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจริง แต่ว่าพวกเขาก็แค่มาอวยพรเป็นพิธีเท่านั้น คิดว่าคงจะกลับกันวันนั้นเลย พวกนายไม่ต้องใส่ใจหรอก”
คู่สามีภรรยาเยียนเฟยกับซ่งจวินเหมยที่นั่งอยู่เบาะหลังพากันสูดหายใจด้วยความตกใจไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงเหรอ?”
ฉินสือโอวบอกว่า “ล้อเล่นอะไรกัน เดี๋ยวกลับไปจะส่งรายชื่อแขกให้พวกนายดู ยังมีประธานสภาการประมงของแคนาดา นายกเทศบาลและเจ้าพนักงานของเมืองเซนต์จอห์น แล้วก็อีกคนพวกนายน่าจะรู้จัก ผู้กำกับใหญ่คาเมรอน”
ตอนนี้ในรถเงียบสงัด จนถึงตอนที่เขาขับรถไปถึงในเมือง เพื่อนทั้งหลายก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย
ตอนฉินสือโอวจอดรถแล้วก็หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “พวกนายยังติดใจเรื่องนี้อีกเหรอ? ฉันเชิญพวกนายมาก็เพราะพวกเราเป็นเพื่อนสมัยเรียนกัน และก็เพราะพวกนายเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ที่พวกนายมาร่วมคืองานแต่งงานของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ไม่ต้องคิดมากอะไรหรอก?”
เยียนเฟยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แล้วเหตุผลก็ฟังดูสมเหตุสมผลจริง แต่ว่าฉิน พวกเรารู้สึกกดดันจริงๆ นะ”
“คนที่แต่งไม่ใช่นายสักหน่อย นายจะกดดันอะไร?” ฉินสือโอวจงใจพูดไปหัวเราะไป เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้บรรยากาศเคร่งขรึมแบบนี้
วินนี่รออยู่ในเมือง วันนี้เธอก็ยังต้องมาทำงาน หลังจากได้รับข่าวจากฉินสือโอวแล้วจึงมารออยู่หน้าโรงแรมก่อน
ฉินสือโอวพาทุกคนลงรถ เธอยิ้มหวานแล้วเข้ามาต้อนรับ อ้าแขนทั้งสองกอดทีละคน แล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับค่ะๆ ฉันกับฉินไม่ได้ไปต้อนรับด้วยตัวเอง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
เมื่อได้เห็นบุคลิกที่สง่างามของวินนี่แล้ว ทุกคนก็เริ่มโห่ร้องขึ้นมา พวกเพื่อนผู้หญิงหลายคนพากันไล่พวกของเฉินเจี้ยนหนานเข้าไปในโรงแรมอย่างกับไล่เป็ด แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกนายไม่มียางอาย แต่พวกเรายังมี อย่าทำให้เพื่อนของพวกเราขายหน้าสิ”
วันแต่งงานคืออาทิตย์ที่สองของเดือนตุลาคม หรือก็คือวันที่หกเดือนตุลาคม การมาของเพื่อนของเขายังถือว่ามาเร็วอยู่ เพราะว่ามีวันหยุดยาวประจำชาติจีน ทำให้มาก่อนเวลาเพื่อถือโอกาสมาเที่ยว อีกอย่าง อย่างไรเสียก็มีเศรษฐีบ้านนอกอย่างฉินสือโอวออกค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้ว
แต่คนอื่นๆ ถือว่ามาช้าไป คนใหญ่คนโตทั้งสามล้วนสัญญาว่าจะมาวันงานเลย แต่ช่วงบ่ายหลังร่วมงานเสร็จแล้ว เจ้าชายทั้งสองจะกลับเลยทันที เรื่องนี้ฉินสือโอวเข้าใจได้ เพราะเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าชายเฮนรีจะมาร่วมงานแต่งของเขาแต่แรกอยู่แล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคน ก็มีเพียงแค่เขาซื้ออัญมณีจากฉินสือโอวไปชุดหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานให้พี่ชายเท่านั้น แต่ว่านั่นน่ะเจ้าชายเฮนรีออกเงินด้วย ทำให้เป็นธุรกิจไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแต่อย่างใด
ที่ฉินสือโอวคิดได้ก็คือ เจ้าชายเฮนรีเห็นแก่หน้าของเจ้าชายฮามานแดนจากตะวันออกกลาง มาที่นี่เพื่อรำลึกความหลังกันเท่านั้น ทั้งสองคนล้วนจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ด้วยกันทั้งคู่ และในระหว่างเรียนก็ยังเป็นเพื่อนกันด้วย
บทที่ 1355 พร้อมหน้าพร้อมตากัน
ทั่วทั้งฟาร์มปลาถูกทำความสะอาดทั้งหมด แถมวินนี่ยังใช้สิทธิ์ของนายกเทศบาลในการทำความสะอาดเมืองครั้งใหญ่อีกด้วย ฉินสือโอวอยากจะออกเงินเพื่อเป็นรางวัลให้กับชาวเมืองที่ให้ความร่วมมือด้วย วินนี่ยักไหล่แล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะทำอยู่แล้ว การทำความสะอาดก็เป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ?”
ฉินสือโอวพยักหน้า “ที่รัก คุณเพิ่งจะเป็นเจ้าหน้าที่พนักงาน แต่กลับเข้าใจวิถีของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ผมคงต้องกดไลก์ให้กับความหยั่งรู้ของคุณ 911 ครั้งแล้วล่ะ”
อย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นผู้ชายเลขสามเต็มตัวแล้ว ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาไปร่วมงานแต่งงาน งานแต่งงานของเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนสนิท ล้วนเชิญเขาไปร่วมงานทั้งนั้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท่านชายฉินก็รู้สึกเศร้ากับความกระเป๋าแบนของเขาก่อนหน้านี้ขึ้นมา
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องนอกประเด็น ที่ฉินสือโอวอยากพูดก็คือ เมื่อก่อนที่เขาไปร่วมงานแต่งงาน รู้สึกว่าเป็นงานที่ยุ่งมากสำหรับครอบครัวของคู่แต่งงานใหม่ทั้งสองฝ่าย
แต่พอตอนนี้ถึงตาเขา เขากลับรู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้พิธีแต่งงานเท่าไร เขายิ่งรู้สึกโล่งใจ เขาไม่ต้องทำอะไร งานแต่งงานทั้งหมดมีบริษัทจัดงานแต่งรับผิดชอบอยู่ ด้านการวางแผนก็มีผู้กำกับอยู่ เขาแค่ออกความคิดเห็นก็พอ ทุกขั้นตอนของงานแต่งงานล้วนเป็นความรับผิดชอบของบริษัท สิ่งที่เขาต้องทำก็คือดูว่าถูกใจเขาหรือเปล่าเท่านั้น
ส่วนวินนี่เหรอ? งานของเจ้าสาวยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ แม้แต่งานประจำของเธอก็ไม่ถูกรบกวน ทุกวันนี้เธอก็ยังคงไปทำงานตามปกติ นอกเสียจากว่าต้องหาเวลาไปลองชุดแต่งงานเท่านั้น
ถึงแม้จะมีเรื่องที่ต้องไปทำ แต่ก็ยังมีพ่อแม่ พี่สาวและพี่เขยของวินนี่อยู่ ตามธรรมเนียมของแคนาดา งานแต่งงานทั้งหมดจะให้ครอบครัวทางฝ่ายหญิงเป็นคนจัดการ ค่าใช้จ่ายก็เป็นครอบครัวทางฝ่ายหญิงเป็นคนออก
แต่ว่านั่นคือในสถานการณ์ปกติ อย่างงานแต่งของฉินสือโอวนั้น เขาเป็นคนจีน วินนี่ก็มีเชื้อสายจีนด้วย ดังนั้นธรรมเนียมหลายๆ อย่างจึงยึดของจีนแทน งานแต่งงานเป็นการจัดเตรียมร่วมกันของพ่อแม่ของฉินสือโอวและวินนี่ เขาให้บัตรกับพ่อแม่ใบหนึ่ง ในนั้นมีเงินอยู่หนึ่งล้านดอลลาร์แคนาดา ไม่ว่าจะอย่างไรก็พอ
ฉินสือโอวไปถามว่ามีอะไรให้หรือไม่ช่วยหลายครั้ง คำตอบของมาริโอ้และมิแรนดาก็คือ “เธอกับวินนี่ไปเที่ยวเล่นกันเถอะ เรื่องพวกนี้พวกเราจัดการเอง พวกเรารับผิดชอบทำงาน พวกเธอรับผิดชอบพลอดรักกัน”
แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่มีทางไปพลอดรักกันได้หรอก คนที่มาร่วมงานแต่งมีมากเกินไป เพื่อนสมัยเรียนมาถึงก่อนแล้ว จากนั้นก็ไปรับญาติๆ จากบ้านเกิด แม้ว่าจะมีพี่สาวและพี่ชายรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ แต่เขาที่ศักดิ์น้อยกว่าก็ยังต้องไปดูแลด้วย
มาถึงวันที่สาม นี่เป็นสุดสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม พวกเพื่อนและเพื่อนสมัยเรียนของวินนี่มาถึงแล้ว ฉินสือโอวก็ยังต้องแสดงความจริงใจโดยการไปต้อนรับเพื่อนสมัยเรียนของเธออีกด้วย
ตั้งแต่มาถึงฟาร์มปลา นอกจากคนในครอบครัวแล้ว วินนี่ก็ไม่เคยพาใครมาที่ฟาร์มปลาเลย หลักๆ ก็เพราะเธอห่างเหินกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปแล้ว และไม่ได้เจอกันอีก ความจริงเหตุผลหลักๆ ก็คือเธอต้องออกเดินทางไกล
รวมเครื่องบินเล็กของบิลลี่เข้ามา เครื่องบินสามลำก็เริ่มบินไปรับคนทั่วแคนาดา หากมากกว่าหกคนก็จะใช้โกลบอล 700 ไม่อย่างนั้นใช้เครื่องบินลำเล็กก็เพียงพอ ฉินสือโอวอยากให้หน้าวินนี่เต็มที่ ดังนั้นจึงใช้เครื่องบินส่วนตัวในการไปรับแขกจากฝั่งเจ้าสาวทั้งหมด
วิธีของเออร์บักมีประสิทธิภาพมากๆ หลังจากส่งรายชื่อผู้ร่วมงานไปพร้อมกับบัตรเชิญให้กับเพื่อนสมัยเรียนของวินนี่แล้ว เธอก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่ไม่เคยติดต่อกันเลยอย่างรวดเร็ว
นี่ก็คือโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของวินนี่ที่ล้วนจบจากโรงเรียนดังแล้ว พวกเขาจะรู้ถึงความสำคัญของเส้นสายมากกว่าคนทั่วไป หรือหากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ พวกเขาจะมีความเป็นพวกผลประโยชน์นิยมมากกว่า
วินนี่ส่งบัตรเชิญให้กับเพื่อนมหาวิทยาลัยทุกคนรวมแล้วก็ยี่สิบแปดคน คนที่มาร่วมงานจริงๆ มียี่สิบสี่คน อีกสี่คนที่เหลือแม้ว่าจะไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ก็ได้ส่งคำอวยพรมาให้เธอ
คนทั้งยี่สิบสี่คนล้วนเป็นสาวสวยที่สง่างาม อย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิงที่จบมาจากโรงเรียนสตรีระดับท็อปของอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวดูสาวๆ พวกนี้ แล้วก็หันกลับไปมองเพื่อนสมัยเรียนของตัวเอง โดยเฉพาะกับชายชอบแคะเท้าอย่างเฉินเหลยแล้ว ก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองกับวินนี่เป็นคนที่อยู่กันในโลกขนาน
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป ไม่เพียงแต่ทำให้เขาร่ำรวย ยังทำให้รูปร่างเขาดีกว่าเดิม บุคลิกโดดเด่นกว่าคนทั่วไป อย่างน้อยก็สามีและแฟนที่เพื่อนสมัยเรียนของวินนี่พามาด้วย เมื่อเทียบกับฉินสือโอวแล้วก็ยังมีด้อยกว่าไปบ้าง
บุคลิกของผู้ชายมีหลายด้าน ความมั่นใจในตัวเอง ใจกว้าง สุขุม เด็ดขาดของฉินสือโอว ได้มาจากการถูกผ่านลมคลื่นหล่อหลอมออกมา แม้จะอยู่ตรงหน้าเจ้าชายทั้งสองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย
ฉินสือโอวไปต้อนรับเพื่อนและเพื่อนสมัยเรียนพร้อมกับวินนี่ วินนี่แนะนำให้เขารู้จักคนมากมาย ทั้งเจสสิกา เดซี่ เอเดอลีน แนนซี สรุปก็คือในสองวันนี้เขาได้รู้จักกับสาวสวยต่างสีผิวกว่าสามสิบกว่าคน
ตกดึกพอฉินสือโอวว่างก็จะเรียกพวกเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยมาตั้งเตาย่างตรงสนามหญ้าแล้วดื่มเบียร์คุยโม้กัน เมื่อเพื่อนสมัยเรียนของวินนี่มาถึง สาวๆ พวกนี้จึงกลายเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาไป
เหมาเหว่ยหลงเสนอขึ้นมาก่อนว่า “ฉินโซ่ว นายไปคุยกับวินนี่หน่อยสิ ให้แนะนำเพื่อนให้ที นายดูฝั่งนั้นมีสาวโสดตั้งเยอะ ฝั่งเราก็มีชายโสดเยอะ ใช่ไหม?”
ฉินสือโอวปัดมือ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ สาวๆ พวกนั้นไม่คู่ควรกับพวกน้องเราหรอก พวกเขาน่ะแค่มองก็พอแล้ว ไม่ต้องไปมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาจริงๆ จังๆ หรอก”
เฉินเหลยพูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่นายกำลังพูดประชดอยู่หรือเปล่า?”
ฉินสือโอวมองไปที่เขาทีหนึ่ง พยักหน้าแล้วพูดว่า “เอ๋ พี่เหลยของเรากลายเป็นคนฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ฟังออกด้วยเหรอว่าฉันพูดประชดน่ะ?”
ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น ตอนนี้เขากับพวกเพื่อนๆ ต่างกันมาก บางครั้งแค่คำหยอกล้อคำหนึ่งก็สามารถสร้างปัญหาให้ได้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงรีบเสริมคำพูดของเขา โดยการพูดถึงเรื่องของวินนี่กับเพื่อนออกมา
“…ดังนั้นก็ตามนี้แหละ วินนี่เคยเจอพวกนายหลายครั้งแล้วใช่ไหม? แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเพื่อนสมัยเรียนของเธอ สาวๆ พวกนี้พากันรวมตัวกันไม่คุยกับวินนี่เป็นเวลานานเลย ครั้งนี้เพราะได้รู้ว่างานแต่งงานของฉันจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานด้วย จึงพากันมาร่วมงาน เป็นพวกเห็นแก่ผลประโยชน์เกินไป” ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจ
เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวแล้ว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โลกของผู้หญิง วุ่นวายเกินไป มาๆๆ ดื่มเบียร์ๆ กินเนื้อ ทุกคนต้องกินเนื้อ การที่พวกเราได้มารวมตัวกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ถึงวันที่หกวันงานแต่ง ตั้งแต่วันที่ห้าพวกแขกเหรื่อก็มาถึงกันพอประมาณแล้ว เครื่องบินของสามีภรรยาบรูซก็มาถึงวันนี้ด้วย พวกเขานั่งเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลมา สนามบินของฟาร์มปลาไม่พอให้จอดเครื่องบินเยอะขนาดนี้ จึงจำต้องจอดไว้ที่สนามบินเซนต์จอห์นแทน
ฉินสือโอวพาวินนี่ เหมาเหว่ยหลง และเฉินเหลยไปรับ ระหว่างทางเฉินเหลยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ว้าว ฉิน งานแต่งของนายจัดเตรียมได้อลังการจริงๆ คนอื่นเขาไม่มีที่จอดรถกัน แต่ที่นายกลับไม่มีที่จอดเครื่องบิน…”
ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ เขาเองก็ไม่ได้หวังให้งานแต่งเป็นแบบนี้เลย เป็นเหมือนการอวดฐานะ ซึ่งไม่มีความหมายอะไรเลยกับเขาในตอนนี้
แต่เพราะเขาอยู่ในแวดวงนี้ รอบตัวของเขาได้มาถึงจุดนี้แล้ว งานแต่งงานเขาไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาอีกต่อไป แต่เป็นเวทีสำหรับการเข้าสังคมของคนมากมาย ไม่อย่างนั้นคนอย่างพ่อลูกสเตราส์จะมาทำไม?
พวกของฉินสือโอวไปถึงสนามบินไม่นาน เครื่องบินของสองสามีภรรยาบรูซก็ลงจอด ไวส์วิ่งเข้ามาราวกับสายลมพัด ทำท่าประสานมือคำนับฉินสือโอวมาแต่ไกล แล้วพูดว่า “อาจารย์ ยินดีกับงานแต่งด้วยครับ! ยินดีกับงานแต่งครับ!”
คำพูดนี้ของไวส์พูดออกมาด้วยภาษาจีนแมนดาริน หลังจากได้ยินคำพูดเขาแล้ว พวกของเฉินเหลยก็หัวเราะกันท้องแข็ง แล้วพูดว่า “ว้าว ฉิน นี่นายไปตั้งสำนักตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?”
บทที่ 1356 ความยุ่งยากจากพวกนักเลง
ฉินสือโอวจ้องไปที่เฉินเหลย แล้วก็วางท่าสง่าผ่าเผย ลูบหัวไวส์ พยายามทำตัวใจดีแล้วถามขึ้น “อยู่บ้านเป็นยังไงบ้าง? ขยันฝึกวิชาหรือเปล่า?”
ไวส์เชิดหน้าขึ้น พูดเสียงดังว่า “รายงานท่านอาจารย์ ผมไม่แค่ขยันฝึกวิชา แต่ยังขยันฝึกภาษาจีนด้วย! อีกอย่าง ผมยังต่อยกับไอ้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาเหยียดหยามพวกเราด้วย!”
“ชกต่อยแล้วเหรอ?” ฉินสือโอวถามขึ้น “ทำไมล่ะ?”
ไวส์พูดอย่างไม่พอใจว่า “แต่ว่าเมื่อก่อนคาริคน้อยชอบรังแกผม”
ฉินสือโอวโบกไม้โบกมือ พูดอย่างเคร่งขรึม “ไวส์ อย่างไรก็แล้วแต่ การชกต่อยก็ไม่ถูกต้อง คนในรุ่นฉันที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ควรมุ่งเป้าไปที่เสริมสร้างร่างกาย คำนึงถึงคนทั่วไปและโลกของเรา แต่ถ้าจะต้องลงมือจริงๆ นั่นก็ต้องทำเพื่อช่วยเหลือและเพื่อความยุติธรรม อาจารย์สอนวิชานายไม่ได้ให้ไปแก้แค้นใครนะ จริงสิ เมื่อก่อนเขาแกล้งนายยังไงล่ะ?”
พอได้ฟังคำที่ฉินสือโอวตำหนิ ไวส์ก็เริ่มเศร้าแล้วพูดว่า “เขาบอกว่าผมเป็นผีที่เดินออกมาจากโลง ต้องดูดเลือดถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ แล้วก็ไม่ให้เพื่อนคนอื่นเล่นกับผม ยังมีอีกนะ เขายังทำลายของเล่นของผม ไม่ให้ผมกินข้าว…”
“เชี่ย คราวหน้านะไวส์ พากอร์ดอน ฉงต้า หู่จือ เป้าจือไปด้วย แม่งเอ๊ยเด็กเวรพวกนี้ขาดก็แต่บทเรียน! ครั้งหน้าถ้าเจอเอาหนักๆ เลย จำไว้ต่อยเพิ่มไปอีกสักสองหมัด ถือซะว่าซัดแทนอาจารย์ไป!” ฉินสือโอวพูดด้วยความโกรธ
ไวส์รีบพยักหน้าหงึกๆ “ครับ ครับ ดีครับอาจารย์ ผมบอกเขาไว้แล้วว่าครั้งหน้าเจออีกได้เห็นดีกันแน่!”
พอเห็นแบบนี้ วินนี่ดึงแขนฉินสือโอวด้วยความโกรธ พูดขึ้นว่า “คุณสอนเด็กยังไงคะเนี่ย?”
พูดไป เธอก็คุกเข่านั่งลงดึงเสื้อของไวส์ให้เรียบร้อย พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ประเทศของอาจารย์มีคำพูดอยู่คำพูดหนึ่งที่โด่งดังมากคือใช้คุณธรรมลบล้างความแค้น ไวส์ บางครั้งเราก็ต้องรู้จักข่มความโกรธที่อยู่ข้างในใจเรา เข้าใจไหมครับ?”
ไวส์พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ รอจนวินนี่ไปต้อนรับครอบครัวบรูซที่อยู่ด้านหลัง ฉินสือโอวก็พูดขึ้น “เฮ้ เจ้าตัวเล็ก ไม่ต้องไปฟังคำอาจารย์หญิง เพราะประเทศของเรายังมีคำที่โด่งดังกว่านั้นคือความแค้นและบุญคุณต้องแยกกันให้ชัดเจน เราแค่เป็นคนดีที่รู้จักแยกแยะความแค้นกับบุญคุณได้ก็พอแล้ว”
“ฉันได้ยินนะคะ ฉิน” วินนี่พูดโดยไม่หันศีรษะกลับมา
เฉินเหลยและเหมาเหว่ยหลงพูดตามวินนี่ “ฉันได้ยินนะ ฉิน”
ฉินสือโอวกลอกตามองบน “พวกนายได้ยินแล้วยังไง พวกนายไม่รู้ความหมายของคำพวกนี้จริงๆ หรอก รู้ไหมว่าใครเป็นคนสรุปคำพูดนี้ออกมา?”
“เชี่ย ก็ขงจื๊อไง อย่างกับไม่มีคนรู้” เฉินเหลยพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
ฉินสือโอวยิ้มเย็น “ถ้าอย่างนั้นรู้ไหมว่าคำพูดดั้งเดิมของขงจื๊อเลยคืออะไร? ประโยคดั้งเดิมเลยคือ มีคนพูดว่า ‘ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ดีหรือไม่?’ ขงจื๊อพูดว่า ‘ใช้อะไรตอบแทนความแค้นอย่างนั้นหรือ? ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ใช้คุณธรรมตอบแทนคุณธรรม’! เข้าใจความหมายไหม คงไม่ต้องให้ฉันอธิบายให้พวกนายฟังหรอกนะ?”
“เฉินเหลยและเหมาเหว่ยหลงมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ ถกเถียงกันเสียงเบาว่า “แย่แล้ว ทำไมฉินมันเข้าใจแม้กระทั่งสิ่งนี้เนี่ย? นายเคยได้ยินไหม คำพูดนี้เขาคิดขึ้นมาเองหรือเปล่า?”
ไม่น่าจะใช่ ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก เจ้านี่มันไม่เหมือนพวกเราที่ต้องต่อสู้เลี้ยงชีวิต ทั้งวันเขาว่างไม่มีอะไรทำก็อ่านหนังสือ เลยไม่รู้ว่าไปเห็นประโยคนี้มาจากหนังสือเล่มไหน”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างภาคภูมิใจหลังจากนั้นก็อธิบายให้ไวส์ฟังว่า “ประโยคที่อาจารย์พูดเมื่อกี้ เป็นประโยคที่ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื๊อถามขงจื๊อว่า ‘อาจารย์ คนอื่นต่อยผม แต่ผมไม่ต่อยเขากลับ แต่ผมกลับทำดีต่อเขา ใช้คุณธรรมและการศึกษาของผมทำให้เขาอับอาย เพื่อให้เขากลับใจ ดีไหมครับ?’ ขงจื๊อจึงตอบว่า ‘เจ้าเอาคุณธรรมตอบแทนความแค้น เช่นนั้น ‘อะไรตอบแทนคุณธรรมล่ะ’? ตอนที่คนอื่นดูแลเธอด้วยคุณธรรม เธอถึงค่อยใช้คุณธรรมมาตอบแทนคนนั้น แต่ตอนนี้คนอื่นต่อยเธอ เธอก็ควรจะ ‘เอาความยุติธรรมตอบแทนความแค้น’ เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ยุติธรรม’ ใช่ไหม?”
ไวส์ส่ายหัวด้วยความไม่รู้อะไรเลย
ฉินสือโอวพูดด้วยความหนักแน่นว่า “ความหมายก็คือ ถ้าหากมีใครกล้ารังแกเรา เราก็เอาอิฐปาใส่เขา! ใช้18 ฝ่ามือพิชิตมังกรซัดเขาไป! ใช้เท้าสายลมเทวดาเตะเขา! ใช้เทพกระบี่หกชีพจรแทงเขา!”
ไวส์พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ผมเข้าใจแล้วครับอาจารย์!”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างพึงพอใจ บรูซและภรรยาเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
ฉินสือโอวจับมือจอร์จ แล้วพูดขึ้น “ผมกำลังสอนไวส์เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในการประพฤติตัว บอกเขาว่าผู้ชายต้องจัดการกับความขัดแย้งแบบไหน พวกเราไม่ได้หาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวเช่นกัน ใช่ไหมครับ?”
จอร์จพยักหน้าเห็นด้วย “ผมชื่นชมพฤติกรรมของอาจารย์ฉินมาก คุณสอนได้ถูกแล้ว พวกเราไม่ก่อเรื่อง แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาต่อหน้าเรา เราก็จะไม่กลัวอย่างแน่นอน!”
เหมาเหว่ยหลงรู้จักกับคู่สามีภรรยาแล้ว ฉินสือโอวจึงแนะนำเฉินเหลยอีกครั้ง เฉินเหลยทำงานในโรงงานเหล็กของรัฐ เขาจึงรู้ถึงชื่อเสียงของคู่สามีภรรยาบรูซคู่นี้ดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉินสือโอวพาเขามา
หลังจากกลับไปที่ฟาร์มปลา ฉินสือโอวหาพวกบิลลี่เพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับจอร์จและภรรยา จอร์จก็อยากจะรู้จักกับเพื่อนสมัยเรียนของฉินสือโอวสักหน่อย ตามหลักคำพูดของเขาแล้วก็คือ ‘ด้วยความโดดเด่นเก่งกาจของอาจารย์ฉิน คิดว่าเพื่อนของเขาก็ต้องเป็นคนเก่งที่หายากเช่นกัน’
ผลสุดท้ายปรากฏว่าไอ้พวกนี้ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ฉินสือโอวหาไปหามาก็ไม่เจอใครสักคน
ผ่านไปสักพัก แม้แต่เหมาเหว่ยหลงและคนอื่นๆ ก็หายไป ทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้จนต้องสบถออกไปจริงๆ
นี่เป็นราชาเหล็กกล้าแห่งอเมริกาเลยนะ แขกผู้มีเกียรติที่มาในงานแต่งงานครั้งนี้ ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่มาจากไหนก็ไม่กล้าพูดได้ว่าจะเทียบกับสามีภรรยาคู่นี้ได้ อย่างน้อยๆ พอพวกเจ้าชายเจอสามีภรรยาคู่นี้ก็ยังต้องพยักหน้าทักทาย ดังนั้นให้เพื่อนที่เรียนด้วยกันมารู้จักกับพวกเขาสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรเสียหาย
ตอนบ่าย คาเมรอนและสองพ่อลูกสเตราส์ก็มาด้วยกัน ฉินสือโอวรับพวกเขามาและเพิ่งจัดที่ทางให้พวกเขาได้สักพัก เฉินเจี้ยนหนานก็โทรมา บอกว่าพวกเขาซื้อของที่เมืองเซนต์จอห์น แต่มีปัญหาเล็กน้อย อยากให้ฉินสือโอวมาช่วยดูหน่อย
ฉินสือโอวมองท้องฟ้าเห็นว่าเวลาก็ดึกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงออกไปซื้อของเวลานี้ แต่เมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังมีปัญหา เขาจึงคิดว่ารีบไปจะดีกว่า พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานแล้ว จะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่ได้
ฉินสือโอวจงใจพาฮิวจ์คนน้องและเบิร์ดไปด้วย ฮิวจ์ก็เป็นอันธพาลอยู่ที่เมืองเซนต์จอห์น ส่วนเบิร์ดเป็นบอดี้การ์ดเก่งฉกาจและนักเลงมือฉมัง มีเพียงสองคนนี้ทุกเรื่องก็น่าจะสามารถผ่านไปด้วยดี
ตอนที่พวกเขาเพิ่งถึงท่าเรือก็มีรถซีตรองคันหนึ่งขับผ่านมา หน้าต่างรถเลื่อนลงโผล่ศีรษะใหญ่ๆ ออกมานอกหน้าต่าง “คุณฉินชาวจีน? คุณมีเพื่อนสมัยเรียนชาวจีนมาซื้อของใช่ไหม?”
เมื่อฮิวจ์เห็นคนคนนี้จึงรีบดึงฉินสือโอวออกมา แล้วกระซิบว่า “เชี่ยแล้ว เป็นไอ้นี่ได้ไงกัน? เขาเป็นอันธพาลคนหนึ่งในแก๊งเอธิโอเปีย ตั้งแต่ไอ้เลวนี่มาที่เมืองเซนต์จอห์น เมืองนี้ก็ไม่เคยสงบอีกเลย”
เบิร์ดล้วงมือถือออกมา แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “แบล็คไนฟ์? ตั้งจุดพิกัดบนมือถือของฉัน พวกเราอาจจะลำบากหน่อย เรียกพรรคพวกมาให้หมด อย่าลืมพกปืนมาด้วย”
ฉินสือโอวรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสอง ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้?
เมื่อยืนยันตัวตนของทั้งสามเป็นที่เรียบร้อย ชายร่างใหญ่ที่มีใบหน้าอวบก็ลงจากรถแล้วเปิดประตูหลังเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้พวกเขาขึ้นรถไป ฮิวจ์ห้ามไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ว้าว นี่พี่วาเรสไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้?”
ชายร่างใหญ่ดึงเสื้อคลุมขึ้นเผยให้เห็นด้ามปืนแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ ขึ้นรถ!”
บทที่ 1357 ค่ำคืนความโสด
ฉินสือโอวโดนเบิร์ดและฮิวจ์คนน้องประกบไว้อยู่ตรงกลาง ทั้งสามคนนั่งอยู่เบาะหลัง ตรงที่นั่งคนขับมีชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยสักทั้งตัวนั่งกินแซนด์วิชอยู่ เขาหันมามองคนทั้งสาม แล้วก็หัวเราะแปลกๆ ถามขึ้นว่า “พวกนายก็คือเพื่อนของพวกงี่เง่านั้นเหรอ? เอาเงินมาด้วยเปล่า?”
ชายร่างใหญ่สตาร์ทรถ หน้าต่างรถซีตรองมีผ้าสีดำคลุมลงมาโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นในรถก็เปลี่ยนเป็นมืดดำสนิท คนในรถมองไม่เห็นด้านนอก คนด้านนอกก็มองไม่เห็นในรถเช่นกัน
ฮิวจ์คนน้องถามอย่างร้อนใจว่า “เฮ้ พวกนาย นี่มันไม่สนุกเลยนะ ระหว่างเรามีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?”
เสียงแปลกๆ ของชายหนุ่มดังขึ้น “น่าจะ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกนายเอาเงินมาด้วยเท่าไร ถ้าเงินเยอะก็คงเข้าใจผิด แต่ถ้าเงินน้อย หึหึ”
รถซีตรองส่งเสียงคำรามแล้วขับพุ่งไปด้วยความเร็วสูง ทักษะการขับรถของชายร่างใหญ่ไม่ดีมาก รถจึงกระแทกอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ทำให้คนในรถรู้สึกย่ำแย่
หลังจากที่เงียบสงบแล้ว ฉินสือโอวถามอย่างใจเย็นว่า “ฉันถามหน่อยได้ไหมว่า ตอนนี้สถานการณ์ของเพื่อนฉันเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกนายเอาเงินมาเท่าไร ถ้าเงินเยอะก็สบายดีมาก แต่ถ้าเงินน้อย หึหึ” ยังคงเป็นชายหนุ่มที่พูดด้วยเสียงประหลาดๆ
ฉินสือโอวเงียบไปสักพักก็ถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องการเงินเท่าไร? สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ชายหนุ่มก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันใด “หุบปาก ไอ้โง่! หุบปากไปเลย สิ่งที่นายไม่ควรรู้ก็ไม่ต้องถาม!”
เบิร์ดพูดด้วยเสียงจริงจัง “ตอบคำถามบอสฉัน!”
“เชี่ย!” ชายหนุ่มสบถด่าแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมา ฟาดลงบนไหล่ของเบิร์ด หลังจากนั้นเบิร์ดก็ทำเสียงอู้อี้ พูดเสียงเบาว่า “ไอ้เวร!”
ฉินสือโอวร้อนใจ รถคันนี้ก็มืดจนมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เขามองเห็นแค่รางๆ ว่าของที่ชายหนุ่มถือเป็นเหมือนแส้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาลงมือหนักมาก เพราะปกติเบิร์ดเป็นชายที่แข็งแกร่งมาก การที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้แสดงว่าเป็นการโจมตีที่น่ากลัว
ชายหนุ่มยังคิดจะลงมืออีก ฉินสือโอวพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ถ้านายลงมืออีก เงินสักแดงเดียวก็ไม่มี!”
ในเวลานี้เองรถซีตรองก็หยุดกะทันหัน หยุดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนคนในรถพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับที่ชายหนุ่มชนกระจกตรงหน้าต่างและกรีดร้องออกมาในขณะที่กุมหัวไปด้วย
ชายร่างใหญ่ยิ้มเยาะและหัวเราะ “เจ๋งมั้ย? พวกนาย? ลงรถ!”
ประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก ฮิวจ์คนน้องถูกลากออกไป ตามด้วยฉินสือโอว มีคนดึงไหล่ของเขาอย่างไม่แยแส พอเขายื่นหัวออกไป ก็มีคนเอากล่องกระดาษมาคลุมปิดหัวเขาไว้ ทำให้ใจเขาตกไปอยู่ตาตุ่มทันใด
ตอนที่เขาเพิ่งลงจากรถ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงชกต่อยกันด้านหลัง หลังจากนั้นเบิร์ดก็เรียก “บอส รีบไป ไม่ต้องทะเลาะกัน! ไอ้เวรพวกนี้มันก่อ…โอว เชี่ย!”
พูดไปได้แค่ครึ่งเดียว เสียงของเบิร์ดก็ขาดหายไป จากนั้นก็มีเสียงของคนที่ถูกเหวี่ยงลงกับพื้นและมีเสียงเตะดัง ‘ปึง ปึง ปึง’ จากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คนพวกนี้ทำร้ายไปด่าไป “แกเก่งนักเหรอ? แกเก่งมากไม่ใช่เหรอ? ลงมือกับพวกพี่น้องเราต่อสิ!”
ฉินสือโอวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เชี่ย! ไอ้สารเลว หยุดลงมือ…”
พอเขาคิดจะลงมือ ก็ถูกคนเอากุญแจมือมาล็อกมือทั้งสองข้างไว้ แล้วก็ถูกผลักไปด้านหน้า
เดินไปได้แค่ 20 กว่าก้าว ระยะทางสั้นๆ ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าเขาเดินเข้าไปในห้องมืดๆ ห้องหนึ่ง เพราะแสงไฟหายไปเมื่อมองไปที่ด้านล่างของกล่องกระดาษที่คลุมหัวเขาอยู่
มีคนจัดให้เขานั่งลง แล้วก็มีท่อกลมเย็นๆ จ่ออยู่ตรงคอเขา ในห้องพลันเงียบสงัด ไม่มีคนพูด ไม่มีเสียงฝ่าเท้า ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น มีแค่ปืนที่จ่อเขาอยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที เสียงเพลงดีเจอยู่ดีๆ ก็ดังอึกทึกขึ้นมา ร่างกายของฉินสือโอวสั่น เพียงชั่วครู่เดียวเสียงเพลงก็หยุด แทนที่ด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้น “เจ้าหนุ่ม เจ้าชายแห่งอังกฤษจะมางานแต่งงานของแกใช่ไหม?”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงคำพูดของเบิร์ดที่ยังพูดไม่จบ คนพวกนี้ก่ออะไร? ว่าง่ายๆ คนที่ต้องการสืบหาข่าวเกี่ยวกับเจ้าชายเฮนรีจะก่ออะไรได้ เป็นพวกผู้ก่อการร้ายไง!
ความคิดของฉินสือโอวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่พูดอะไรทั้งนั้น แค่ก้มหัวลงเพื่อดูว่าเขาจะปลดกุญแจมือได้อย่างไร!
ซีรีส์อเมริกาสร้างความลำบากให้คนอื่น เพราะฮีโร่ในละครสามารถปลดกุญแจได้ภายในไม่กี่วินาที ฉินสือโอวพยายามมาสักพักแล้ว กลับรู้สึกว่าไอ้ของเล่นนี้ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ…
พอเห็นว่าเขาไม่ตอบ คนนั้นก็หัวเราะหึหึ “ดีมาก แกคิดจะแกล้งทำเป็นปากแข็งต่อหน้าฉันใช่ไหม? ฉันชอบไอ้คนแบบนี้ซะด้วย ครั้งก่อนคนที่ปากแข็งมีจุดจบแบบไหนกันนะ?”
มีคนพูดขึ้น “เราสับพวกมันเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปเลี้ยงจระเข้”
“ช่างแม่ง ไม่ต้องไปพูดมากกับมันล่ะ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา…”
พอได้ยินคำพูดนี้ หัวใจฉินสือโอวก็เต้นแรง และสาปแช่งต่อทันที “แม่งเอ๊ย ไอ้พวกเดรัจฉาน ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมดให้ได้!”
สองประโยคนี้พูดออกมาเป็นภาษาจีนกลาง น้ำเสียงที่พูดออกมาแปลกมากเหมือนพยายามดัดเสียง เห็นได้ชัดเลยว่ามีคนกลัวว่าเขาจะฟังเสียงออกจึงทำแบบนี้
แต่เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของหัวใจโพไซดอน ความสามารถในการฟังและแยกแยะเสียงของเขาจึงดีขึ้นมากจากเดิมไม่รู้กี่เท่า ถึงแม้ว่าเสียงนี้จะพยายามดัดออกมา แต่เขาก็ยังฟังออก นี่คือเสียงของเยียนเฟย คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนถึงแม้จะพยายามดัดเสียง แต่สำเนียงพื้นบ้านมันติดตัวมาตั้งแต่เดิมแล้ว
เมื่อเขาสบถไปแบบนี้ เสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วห้องก็ดังขึ้น มีคนเปิดไฟ และดึงกล่องกระดาษที่คลุมหัวเขาออก แล้วยังมีคนตะโกนอีกว่า “ฉินโซ่ว Happy Party!”
คนที่พูดประโยคนี้ก็คือเหมาเหว่ยหลง ฉินสือโอวคุ้นเคยกับเสียงเขามากที่สุด เขาเดินไปข้างหน้า มีบิลลี่ เยียนเฟย เฉินเจี้ยนหนาน หม่าจิน เฉินเหลย มีแม้กระทั่งเบลคและแบรนดอน คนทั้งกลุ่มต่างกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เชี่ย!” ฉินสือโอวด่าได้แค่นี้
ซ่งจวินเหมยอธิบายอย่างช่วยไม่ได้ว่า “อย่าโทษพวกเราเลยนะ โคโกโร่เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้เลย เขาบอกว่านายชอบเซอร์ไพรส์แบบนี้มากที่สุด ฉิน นายชอบจริงๆ เหรอ?”
ฉินสือโอวรู้สึกโกรธจัด จนหัวจะระเบิดออกมาแล้ว เบิร์ดขึ้นมาช่วยปลดกุญแจมือให้เขา แกว่งไปแกว่งมาแล้วพูดขึ้น “นี่เป็นกุญแจมือสำหรับคู่รัก บอสครับ จริงๆ แล้วบอสออกแรงอีกหน่อยก็หลุดออกมาแล้วครับ”
“หลุดบ้าอะไรล่ะ” ฉินสือโอวสบถ “ฉันตกใจหมดแล้วเนี่ย!”
เหมาเหว่ยหลงชี้ไปที่เขาแล้วพูดขึ้น “เฮ้ อย่าโกรธเลยนะ จะเล่นก็อย่าคิดมาก ตอนที่ฉันมาเมืองเซนต์จอห์นเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้ใครที่ลักพาตัวฉันเพื่อทำให้ฉันตกใจ?”
ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง
ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มเสียงประหลาดที่ก่อนหน้านี้ขับรถมารับพวกเขาก็อยู่ด้วย พวกเขากอดอกมองอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวไม่โดนกุญแจมือล็อกแล้ว ก็ไปหาฮิวจ์คนน้อง
ฮิวจ์คนน้องควักเอาธนบัตรออกมาม้วนหนึ่งแล้วแบ่งให้ทั้งสองคน ชายร่างใหญ่พูดด้วยเสียงดังทุ้มว่า “ครั้งหน้าถ้ามีงานแบบนี้เรียกพวกผมอีกนะครับ ครั้งนี้ผมเตรียมตัวไม่ค่อยพร้อมเท่าไร เลยแสดงไม่ค่อยดี”
ทั้งสองคนเดินผ่านด้านข้างของฉินสือโอวไป ตบไหล่ของเขาทีละคนแล้วพูดว่า “เพื่อน เที่ยวให้สนุกหน่อยคืนสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เป็นต้นไปนายก็จะเข้าไปอยู่ในโลงศพแห่งความรักแล้ว”
ทันใดนั้นฉินสือโอวพลันเข้าใจทุกอย่าง ไม่น่าเมื่อกี้มีคนตะโกนว่า ‘ปาร์ตี้’ นี่ก็คือปาร์ตี้สละโสดของเขานี่!
เป็นจริงดั่งคาด เสียงเพลงแดนซ์ของดีเจก็ดังขึ้น บิลลี่ให้เบียร์ขวดหนึ่งกับเขา พูดเสียงสูงว่า “จัดการมันเลย เมื่อกี้ก็เป็นไอ้ขวดนี้แหละที่จ่อคอของนายอยู่!”
บทที่ 1358 ไฮ high ไฮ
ปาร์ตี้สละโสดถือได้ว่าเป็นปาร์ตี้ที่มีความสุขที่สุดของคนหนุ่มสาวในอเมริกาและยุโรปเกือบทุกคน ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงาน โดยปกติเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวจะออกหน้าจัดกิจกรรมแบบนี้ให้
หลังจากที่เข้าใจแล้ว ฉินสือโอวก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มและยอมรับในชะตากรรม เขาจะไม่สนุกไม่ได้ และก็ไม่สามารถโทษทุกคนที่ทำให้เขาตกใจ เพราะจุดประสงค์ของงานนี้ก็คือฉลองค่ำคืนหนึ่งที่ยากจะลืมเลือนอย่างบ้าคลั่ง และคนที่มาร่วมงานก็ต้องเก็บความลับของเจ้าของงานไว้
ชาวต่างชาติไม่มีธรรมเนียมปลุกห้องเจ้าสาว แต่พวกเขาก็จะไม่ปล่อยเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไปง่ายๆ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเล่นกันก็คือปาร์ตี้สละโสด
โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะการจัดงานประเภทนี้มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งโดยพื้นฐานเพื่อนสนิทก็จะมารวมตัวกัน อยากทำอะไรก็ทำ
ฉินสือโอวเงยหน้ามองไปบรรยากาศรอบๆ ที่นี่น่าจะเป็นไนต์คลับแห่งหนึ่ง สุดท้ายก็ถูกพวกเหมาเหว่ยหลงเหมาร้านจัดปาร์ตี้ ทุ่มทุนจริงๆ
ไนต์คลับเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการจัดงานพวกนี้ที่สุดแล้ว แสงไฟมืดสลัว เหล้าทุกรูปแบบ เสียงเพลงอึกทึก ทุกคนคือความบ้าคลั่ง
ทันทีที่เขาถือขวดเบียร์ แบรนดอนก็ขึ้นมาดื่มกะเขา ฉินสือโอวพูดว่า “อย่าเลยเพื่อน ปล่อยฉันคนนี้ไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันยังต้องเข้าร่วมงานแต่งงาน เมาไม่ได้”
แบรนดอนยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ฉันรู้ ฉิน ฉันแค่ดื่มกะนายขวดเดียวเท่านั้น ไม่ทำให้นายเมาหรอก”
ในเมื่อเขารับปากแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่พูดอะไรมากอีก ยกขวดเบียร์ขึ้นเตรียมกรอกเข้าปาก
แบรนดอนบีบข้อมือเขาแล้วพูดขึ้น “แต่พวกเราต้องตกลงกันให้ดีก่อน นายต้องดื่มขวดนี้ให้หมดในคราวเดียว ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันไม่ปล่อยนายแน่ แล้วนายก็จะเลิกไม่ได้ด้วย”
ฉินสือโอวพูด “ถ้าฉันดื่มหมดขวดนี้ในคราวเดียว นายจะมาตอแยให้ฉันดื่มไม่ได้ละนะ? คำพูดลูกผู้ชาย ห้ามคืนคำ?!”
“ใช่ สาบานต่อพระเจ้า!” แบรนดอนพูดอย่างจริงจัง
พอได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็หัวเราะหึหึขึ้นมา เบียร์ขวดนี้ก็เป็นเบียร์บัดไวเซอร์ธรรมดาทั่วไป ขวดหนึ่งแค่ 280 มิลลิลิตร ดื่มให้หมดนั้นง่ายนิดเดียว
แต่ทว่าเมื่อเขาลิ้มรสเบียร์เข้าไปในปากแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด แม่งเอ๊ย เขาโดนหลอกแล้ว ในขวดไม่ใช่เบียร์ ใครจะรู้ว่านี่จะมาไม้ไหน? ใช่มันคือเหล้า แต่รสชาติแปลกมาก!
ตอนที่เขาจะยกขวดออกจากปาก คนกลุ่มหนึ่งก็ห้อมล้อมกันเข้ามา บิลลี่ล้วงปากกาบันทึกเสียงออกมาแท่งหนึ่ง หลังจากที่เปิดแล้วก็เป็นบทสนทนาระหว่างเขากับแบรนดอน
ฉินสือโอวแอบร้องไห้อยู่ในใจ ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว ทำได้แค่ซดขวดนี้เข้าไปอึกใหญ่ๆ ยังดีว่าปริมาณมันน้อย เหล้าก็ไม่ได้แรงมาก ไม่กี่อึกใหญ่ก็หมดแล้ว
โยนขวดเหล้าทิ้ง ฉินสือโอวชี้ไปที่แบรนดอนแล้วพูดว่า “เพื่อน นายหลอกฉันเหรอ?!”
แบรนดอนยักไหล่แล้วพูดว่า “ฉันหลอกอะไรนาย? คำสัญญาของเราทำขึ้นโดยมีพระเจ้าเป็นพยาน ไม่ใช่เหรอ?”
โอวหยางไห่ที่มาถึงฟาร์มปลาตอนบ่ายก็มาเข้าร่วมปาร์ตี้สละโสดนี้ด้วย เขาเดินขึ้นตบไปที่ไหล่ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “ช่างมันเถอะ พี่ฉิน นายก็ถูกละลาบละล้วงแล้ว นายรู้ไหมว่าปาร์ตี้สละโสดของฉันเป็นยังไง?”
ฉินสือโอวถามด้วยความเศร้าใจว่า “คงไม่แย่ไปกว่าฉันแล้วหรอก? ฉันถูกคนลักพาตัวมาเลยนะ”
โอวหยางไห่แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะย้อนคิดเรื่องในอดีตที่ไม่ดีสักเท่าไร โบกไม้โบกมือแล้วพูดขึ้น “แม่ง ตอนนั้นฉันอนาถกว่า ฉันถูกคนหลอกโดยใช้คิวคิวของแฟนเก่าฉัน! อีกอย่างตอนนั้นที่ฉันเล่นสนุกกันคือปาร์ตี้แบบกอล์ฟที่บาร์!”
กอล์ฟที่บาร์ก็เป็นสไตล์ปาร์ตี้รูปแบบหนึ่ง ความหมายก็ตามชื่อเลย เหมือนกับแข่งขันในกีฬากอล์ฟที่ต้องตีให้ลงหลุม 10 หลุม ผู้เข้าร่วมจะต้องดื่มเหล้าให้ครบ 10 บาร์โดยมีเพื่อนๆ ยืนล้อมวงไว้
การดื่มแบบนี้ไม่ใช่การดื่มธรรมดา เพราะแต่ละบาร์จะมีกำหนด ‘พาร์’ เอาไว้ก่อน เมื่อทำได้ตามกำหนดถึงจะผ่านด่านไปได้
ชาร์คแสยะยิ้ม “นี่ไม่ถือว่าเท่าไร? คืนก่อนวันแต่งงานของฉัน ของฉันเล่นท้าทาย 100!”
ท้าทาย 100 ง่ายนิดเดียวแต่กลับบ้าดีเดือดมาก ซึ่งก็คือการเทเบียร์ 100 มิลลิลิตรลงในแก้วเบียร์ แล้วเจ้าบ่าวต้องใช้ความเร็วในการดื่ม 1 แก้วภายใน 1 นาที ติดต่อกัน 100 นาที ก็เท่ากับดื่มเบียร์ 10,000 มิลลิลิตร ติดต่อกัน ตอนนี้เบียร์ขวดใหญ่ 1 ขวดมีปริมาณ 500 มิลลิลิตร ก็เท่ากับว่าต้องดื่มติดต่อกัน 20 ขวดให้หมดเกลี้ยง
เมื่อได้ยินที่เขาพูด ฉินสือโอวรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองเจอวันนี้ไม่น่าอนาถจนเกินไป ดังนั้นเขาถึงรู้สึกสุขใจขึ้นมา รีบกวักมือเรียก ตะโกนว่า “เหล้าล่ะ? เอามาเหล้ามาให้ฉัน? คืนนี้ฉันจะจัดการพวกนายให้หมด! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
เอ๋ นี้แผ่นดินไหวเหรอ? ทำไมพื้นถึงโยกไปโยกมา?”
เฉินเหลยถามเหมาเหว่ยหลง “แม่ง ทำไมฉินถึงคออ่อนขนาดนี้วะ? ต่อให้ซัดเหล้าขาวปริมาณ 280 มิลลิลิตรเข้าไป ก็ไม่น่าจะเป็นได้ขนาดนี้มั้ง?”
เหมาเหว่ยหลงยิ้มเยาะ “นั่นไม่ใช่เหล้าขาว แต่มีทั้งเหล้าขาว ไวน์แดง เบียร์ขาว เหล้าเหลือง ผสมอยู่ด้วย ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน”
ฉินสือโอวนับว่ายังมีสติอยู่ เพียงแต่หัวจะหนักๆ เท้าลอยๆ มีคนประคองเขาไปนั่งบนโซฟา มีคนยื่นเบียร์ให้เขาขวดหนึ่งแล้วพูดว่า “มา พี่น้อง มาล้างปากสักหน่อย จะได้ไม่มึน”
ฉินสือโอวซดเข้าไปเกลี้ยงอย่างสำราญใจ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าสติยิ่งเลือนรางเข้าไปทุกที ราวกับว่าหลังจากนั้นก็มีคนมายื่นเบียร์ให้เขาอีก มีคนถามว่าเล่นเกมอะไรดี แล้วเขาก็เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมีความสุข…
วันที่สองเมื่อตื่นขึ้นมา ฉินสือโอวรู้สึกสมองหนักๆ แต่ก็ยังทนไหว เพียงแต่ว่ามันไม่สดชื่นเท่าตอนที่เขาตื่นนอนยามปกติ
เขาลุกขึ้นมามองไปรอบๆ เขาอยู่บนเตียงใหญ่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บนเตียงยังมีอีกสองคน คือบิลลี่และเฉินเหลย เขามองลงไปที่พื้น ยังมีเฉินเจี้ยนหนาน เยียนเฟย และคนอื่นๆ นอนสลับเรียงรายกันบนพื้น
แบบนี้เขาก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ไอ้พวกนี้เล่นกันอย่างสนุกสนานมากเมื่อคืน ไม่ได้มอมเขาคนเดียว ยังมอมกันเองด้วย แต่เนื่องด้วยพวกเขาไม่มีสมรรถภาพทางร่างกายที่เหลือเชื่อเหมือนฉินสือโอว พวกเขาตอนนี้ถึงยังสลบไสลกันอยู่
ฉินสือโอวมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็ถึงตาฉันแก้แค้นแล้ว!”
ก่อนอื่นให้เขาอาบน้ำร้อนให้ทั่วทุกส่วนก่อน รอเขาออกมาจากห้องอาบน้ำเมื่อไร สติก็จะกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ หัวใจโพไซดอนเก่งฉกาจไม่มีอะไรมาเทียบได้ มักจะทำให้ร่างกายคงไว้ซึ่งความแข็งแรงอยู่เสมอ
มองเวลาไปแค่ตอนเช้า 7.30 น. ยังห่างจากเวลางานแต่งงานอีกมาก ฉินสือโอวเดินออกไปและเริ่มตามแผน เขาใส่รองเท้าแตะแล้วเดินเหยียบไปมาบนคนที่นอนอยู่ แล้วตะโกนว่า “เชี่ย นอนบ้าอะไร! ลุกขึ้นมาสนุกสิ ลุกขึ้นมา! เฮ้ๆๆๆ! ขึ้นมาสนุกกัน ขึ้นมาสิ!”
พอเขาร้องเสียงดัง คนอื่นๆ ก็เริ่มตื่นขึ้นมาแบบมึนๆ งงๆ เว้นแต่บูลที่ยังนอนกรนอยู่
บิลลี่พึมพำ “หุบปาก! เชี่ย ออกไปเลย ให้ฉันนอนสบายๆ หน่อย…”
ฉินสือโอวเข้าไปดึงเขา ลากเขาไปทิ้งในห้องน้ำ ร้องขึ้นว่า “นอนๆๆ! นอนแข็งทื่อบ้าอะไร ลุกขึ้นมาสนุกกันสิ! หมดแก้ว! ดื่มต่อกัน! พี่น้องไม่เมาไม่กลับ!”
บิลลี่ดื่มน้ำที่ฉินสือโอวอาบไปสองอึก ในที่สุดก็ตื่นจนได้ เขาก่นด่า “ฉิน ไอ้หมาบ้า…”
“โอ้ พูดคำด่าของประเทศเราได้แล้วเหรอ?”
ฉินสือโอวลอบยิ้ม เขาหยิบฝักบัวขึ้นมา ปรับอุณหภูมิไปที่เย็นที่สุด เปิดน้ำแล้วก็ฉีดพ่นไปที่ตัวบิลลี่
บิลลี่กรีดร้องพร้อมกับวิ่งออกมา แล้วเขาก็ลากเฉินเหลยเข้าไปทันที พูดว่า “ฉีดน้ำใส่เขา ฉีดใส่เขา! อย่าให้ฉันเปียกคนเดียว!”
แล้วก็เป็นแบบนี้ พอเฉินเหลยตื่น เขากับบิลลี่ก็แบกเหมาเหว่ยหลงเข้ามา ไม่ต้องให้ฉินสือโอวลงมือเองเลย ทุกคนก็เปียกปอนไปหมด
สุดท้ายเหลือแค่บูล คนทั้งกลุ่มช่วยกันพยุงตัวเขาขึ้นมา ฉินสือโอวฉีดน้ำใส่เขาอย่างมีความสุข
ฉีดไปสักพัก บูลก็ยังคงนอนกรน น้ำเย็นๆ ถูกกรอกเข้าไปในปาก ในที่สุดเขาก็มีปฏิกิริยาโต้กลับ พึมพำว่า “เบียร์เย็นๆ เนี่ย สุดยอดโว้ย!”
บทที่ 1359 สวัสดี เจ้าสาว
ในที่สุดก็ทำให้บูลตื่นได้ โทรศัพท์ฉินสือโอวดังขึ้นมา เป็นพ่อของเขาที่ถามว่าเขาอยู่ไหน ทำไมยังไม่รีบกลับมา
ฉินสือโอวบอกว่าเขาจะกลับไปเดี๋ยวนี้ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดและบินกลับด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่เบิร์ดเตรียมไว้ให้
กลุ่มคนที่เหลือเรียกรถมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือ เรือยอชต์ของฟาร์มปลายังจอดอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ต้องรีบกลับไปเช่นกัน
เมื่อเขากลับไปถึงฟาร์มปลา เครื่องบินที่ตกแต่งลวดลายด้วยตราสัญลักษณ์สหราชอาณาจักรก็ร่อนลงที่สนามบินอย่างช้าๆ เหนือเครื่องบินลำนี้ยังมีเครื่องบินรบประกบอยู่ด้วย เท่โคตรๆ
เครื่องบินรบลำนี้รุ่น CF-188B ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่หลักของกองทัพแคนาดา ถึงแม้ว่าเครื่องบินลำนี้จะถือว่าล้าสมัยแล้วในสนามรบปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นอาวุธของประเทศ ก็เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวเห็นของเล่นชิ้นนี้ใกล้ขนาดนี้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เครื่องบินรบลำนี้คอยคุ้มกันเจ้าชายน้อยแห่งอังกฤษอยู่ การปรากฏตัวของเจ้าชายเฮนรีก็เล่นใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่ฉินสือโอว คนส่วนมากที่นี่ต่างเห็นเครื่องบินรบเป็นครั้งแรก จึงออกมาเยี่ยมชมด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่เครื่องบินรบก็แค่บินอยู่ที่ระดับความสูงต่ำหมุนวนรอบไปสองรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเสร็จภารกิจก็จากไปทันที
วันนี้เจ้าชายเฮนรีสวมสูทเรียบร้อย ดูสดชื่นและเปิดเผยไร้กังวล เขาเดินลงมาจากเครื่องบิน ฉินสือโอวรีบยื่นมือออกไปก่อน “ยินดีต้อนรับใต้ฝ่าพระบาท ยินดีต้อนรับครับ”
เจ้าชายน้อยพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดติดตลกว่า “ผมมาแบบนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าผมจะกลายเป็นจุดสนใจหรือเปล่า? ซีนที่ควรจะเป็นของเจ้าบ่าวถ้าถูกผมแย่งไป คงไม่สู้ดี”
ฉินสือโอวหัวเราะ แล้วพูดขึ้น “พระองค์นับวันจะเริ่มหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ นะครับ ผมชื่นชมพระองค์จริงๆ พระองค์รู้ไหมว่าตอนนี้สถานการณ์การจ้างงานในแคนาดาไม่ดีเท่าไร ถ้าพระองค์หางานไม่ได้ ผมมีตำแหน่งชาวประมงมาเสนอให้ครับ”
เจ้าชายเฮนรีมองไปที่เรือที่มาจอดอยู่ตรงท่าเรือ แล้วพูดขึ้น “ถ้าเช่นนั้นผมคงต้องพิจารณาดีๆ แล้ว นี่เป็นข้อเสนอที่ดึงดูดมากเลย ไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งคู่เดินพูดคุยไปหัวเราะไป เจ้าชายเฮนรีพาผู้ติดตามส่วนพระองค์มาด้วย ล้วนเป็นชายอังกฤษร่างกายแข็งแรงที่มีสายตาเฉียบคม มีคนกางร่มกันแดดให้กับเขาบนชายหาด ฉินสือโอวจึงให้เขาไปพักผ่อนก่อน เพราะงานแต่งงานเริ่มตอน 11 โมงตรง
ขณะนี้มีผู้คนหลายร้อยคนที่ฟาร์มปลา เพื่อนสมัยเรียนของเขา เพื่อนสมัยเรียนของวินนี่ ฝ่ายญาติของเขา ฝ่ายญาติของวินนี่ เจ้าหน้าที่สำคัญที่แฮมเล็ตพามา บุคลากรในเมือง รวมถึงแขกผู้มีเกียรติคนสำคัญที่ทั้งฉินสือโอวและวินนี่เชิญมา ยังดีว่าพื้นที่ในฟาร์มปลากว้างใหญ่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถรองรับคนได้พอ
คนเหล่านี้ล้วนมีที่นั่ง และก็มีที่สำหรับสนุกสนาน บริษัทออแกไนเซอร์งานแต่งแบ่งบุคลากรของเขาได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไวส์และกอร์ดอนกำลังเล่นกันอยู่ จอร์จมองฉากนี้ไปก็ยิ้มไป ฉินสือโอวเดินเข้าไปถาม “สวัสดีครับ จอร์จ ผมจะแนะนำเพื่อนสมัยเรียนผมสักหน่อย คุณสนใจไหม?”
จอร์จพูดขึ้น “ไม่ต้องแล้วฉิน คุณไปเคลียร์งานคุณเถอะ จริงๆ แล้วผมก็เคยเจอแล้ว”
ฉินสือโอวผงะ แต่ในเมื่อพูดแบบนี้แล้ว เขาก็ถือว่าจบไปหนึ่งเรื่อง แล้วถามต่ออย่างสุภาพว่า “โอ้ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
จอร์จยิ้มแล้วตอบว่า “เป็นวัยรุ่นที่ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่าคุณไม่เหมือนกับพวกเขา”
ฉินสือโอวพูดล้อเล่นว่า “คุณจะคาดหวังสูงเกินไปไม่ได้ ฉินสือโอวที่ทั้งหนุ่มและหล่อมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ใครทุกคนจะมีความสามารถโดดเด่นเหมือนผม พอละ ผมโม้เรียบร้อยแล้ว ความหมายของผมก็คือ พวกเขาไม่มีฟาร์มปลาต้าฉิน ก็เลยอาจจะไม่มีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเก่งทุกคนเลยล่ะครับ”
จอร์จส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่นะฉิน สิ่งที่พวกคุณมีไม่เหมือนกันไม่ใช่ความแตกต่างด้านความสามารถ แต่เป็นจิตใจ”
เขาคิดเล็กน้อยแล้วก็พูดต่อ “ฉิน ครั้งแรกที่เราเจอกัน คุณก็พูดคุยกับผมเหมือนเพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อกี้ที่คุณพูดคุยกับเจ้าชายเฮนรี ก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นกับผมเหมือนกัน ในสายตาของคุณ ทุกคนในโลกเหมือนกันหมด ในสายตาของคุณ ตำแหน่งและเงินทองก็เหมือนกับเมฆที่ลอยอยู่ ซึ่งผมชื่นชมจิตใจแบบนี้ของคุณมากๆ แต่ต้องขอโทษด้วยนะที่พูดตรงๆ เพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนของคุณน่ะไม่มีหัวใจแบบนี้”
ฉินสือโอวยิ้ม เขาเข้าใจความหมายของจอร์จ ราชาแห่งเหล็กกล้าค่อนข้างจะพูดอ้อมๆ ความหมายจริงๆ แล้วก็คือ เขาเจอใครก็เย่อหยิ่งไม่กลัวใคร
แต่นี่แปลกอะไรตรงไหนล่ะ? ฉันคือโพไซดอน ฉันเป็นเพื่อนกับพวกคุณนี่ก็นับว่าให้เกียรติมากแล้วรู้หรือไม่? เจ้าชายน้อยอะไรนั่นก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเหรอ? ในสายตาของโพไซดอน มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เท่าเทียมตลอดชีวิต…
จากนั้นเรือยอชต์สีขาวเรียบๆ ก็ขับเข้ามา แมทธิว จินลงมาจากเรือ ข้างกายเขามีผู้คุ้มกัน 4 นายในชุดเครื่องแบบตำรวจ ตอนที่เขาลงจากเรือ เขากระซิบอยู่คำสองคำ ผู้คุ้มกันทั้งสี่ก็จับกระบอกปืนแล้วยืนอยู่รอบๆ
ในขณะที่ฉินสือโอวที่กำลังจัดหาที่ทางให้แมทธิว จินอยู่ ก็มีเครื่องบินลำหนึ่งบินมา ค่อยๆ ร่อนลงอย่างช้าๆ หัวของเครื่องบินลำนี้ใหญ่มาก ดัดแปลงมาจากแอร์บัส เกือบจะจอดลงบนสนามบินของฟาร์มปลาต้าฉินไม่ได้
แน่นอนว่า เครื่องบินที่ดูโอเวอร์ขนาดนี้เป็นได้แค่ของเศรษฐีทางตะวันออกกลางเท่านั้น เจ้าชายฮามานแดนและเจ้าหญิงซาลามาห์มาถึงแล้ว
เมื่อลงจากเครื่อง เจ้าชายน้อยก็ประทับรอยจูบบนหลังฝ่ามือของวินนี่ก่อนตามธรรมเนียม เมื่อเห็นแววตาของเจ้าชายที่ยังดูมึนๆ ฉินสือโอวก็คิดว่าเขาเหมือนยังสะลึมสะลืออยู่
การแสดงออกของเจ้าชายน้อยมันช่างน่าทรมานใจจริงๆ ฉินเอ๊ย นี่เป็นแววตาที่อกหักของเจ้าชาย โอเคไหม?
เมื่อแขกมากันครบแล้ว ฉินสือโอวและวินนี่ก็จัดให้คนมาดูแลต้อนรับแขก หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปเปลี่ยนชุด เตรียมงานแต่งที่จะจัดในโบสถ์ก่อน
ขั้นตอนงานแต่งงานแสนเรียบง่าย ฉินสือโอวมาถึงโบสถ์ที่รอบๆ ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สด ยืนอยู่บนพรมแดงหน้าประตูทางเข้า ด้านหน้าเป็นซุ้มประตูประดับประดาด้วยดอกไม้และเถาวัลย์เป็นซุ้มๆ ไล่ไป ด้านข้างของแต่ละซุ้มก็จะมีเพื่อนเจ้าบ่าวหรือเพื่อนเจ้าสาวยืนอยู่ ด้านซ้ายเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ด้านขวาเป็นเพื่อนเจ้าสาว
จากนั้นขบวนรถยี่ห้อต่างๆ ก็ขับเป็นขบวนๆ ตามกันมา ซึ่งจุดนี้ต่างจากงานแต่งงานที่ประเทศจีน ประเพณีของเมืองเซนต์จอห์น รถของเจ้าสาวจะถูกจัดหาให้โดยเพื่อนบ้านหรือญาติ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหรูหรา สง่างาม แต่กลับยิ่งเป็นรถเก่ายิ่งดี
ขบวนรถพวกนี้ต่างเป็นรถของพวกชาวประมง รถนำหน้าสุดของเจ้าสาวหรูหราที่สุด เป็นรถพอร์ช 918 แต่ไม่ใช่รถของฟาร์มปลา แต่เป็นรถที่เบลคขับมาจากโทรอนโต
เชอร์ลี่ย์ที่สวมชุดราตรียาวลากพื้นสีชมพูถือหางกระโปรง เดินอย่างสง่างามไปเปิดประตูรถ วินนี่ลงจากรถ เธอสวมชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาด นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวเห็นวินนี่ในชุดเจ้าสาว เพราะก่อนหน้านั้นจะถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด
ชุดแต่งงานนี้เป็นสีขาวราวกับหิมะ เนื้อผ้าเป็นผ้าไหมซาตินที่มีลวดลายลูกไม้สวยงาม ทั้งกุหลาบ ดอกแดฟโฟดิล ดอกลิลลี่ ดอกรักเร่ เป็นต้น เนื่องด้วยดอกไม้พวกนี้ถูกถักทอด้วยมือก่อนแล้วค่อยเย็บเข้ากับชุดแต่งงาน จึงรู้สึกได้ถึงความมีมิติมาก ขณะที่วินนี่เดินชุดแต่งงานก็แกว่งไปมา ดอกไม้พวกนี้จึงราวกับขยับพลิ้วไหวไปมาท่ามกลางสายลม
นอกจากนี้แล้ว ชุดแต่งงานนี้มีความอนุรักษนิยมอยู่ แขนเสื้อปักด้วยผ้าไหมแท้ วินนี่ยังสวมถุงมือแบบยาวอีกด้วย ซึ่งการใส่แบบนี้ก็เป็นการแสดงความเคารพต่อพระเจ้า เมื่อเข้าไปในโบสถ์แล้ว ไม่ควรจะเผยให้เห็นเนื้อตัวมากเกินไป
หลังจากที่วินนี่ลงจากรถ ฉงต้าก็ถือช่อดอกไม้เข้าไปอย่างว่าง่าย ในที่สุดมันก็ได้ใส่เสื้อกั๊กเหมือนกับหู่จือและเป้าจือสมดั่งใจ แถมยังมีสวมหูกระต่ายด้วย ถึงแม้ว่ารูปร่างจะดูแข็งแรง แต่สีหน้าที่แสดงออกดูทึ่มๆ น่ารักมาก
เมื่อรับดอกไม้จากฉงต้า วินนี่ก็สวมกอดฉงต้า และจูบบนหน้าผากของมัน ฉงต้ากอดวินนี่ตอบ ร้องเสียงเอ๋งๆ ออกมา
สีหน้ามีความสุขของวินนี่พลันหายไป “พระเจ้า ตอนเช้าลืมให้อาหารฉงต้าเหรอ?”
บทที่ 1360 ฉันยินดีค่ะ
สำหรับฉงต้าแล้ว มีเรื่องสำคัญอยู่สองเรื่องคือ เรื่องแรกคือ กินอิ่มท้อง เรื่องที่สองก็ยังเป็นกินอิ่มท้อง…
ตราบใดที่กินไม่อิ่ม ฉงต้าทำอะไรก็ไม่มีความสุข มันจะพยายามหาของกินอยู่ตลอด สำหรับการแต่งงาน ใครจะแต่งงานนั้น มันไม่สนใจหรอก เพราะมันก็แค่อยากกิน อยากกิน อยากกินเท่านั้น
มันกอดวินนี่อยู่ทำอยู่แบบนี้ ผู้อำนวยการบริษัทจัดงานแต่งงานร้อนใจขึ้นมาทันที แม่ง เนื้อเรื่องต้องไม่ดำเนินไปแบบนี้สิ ไอ้หมีตัวนี้ทำไมจู่ๆ ถึงมาโต้ตอบกับเจ้าสาวแบบนี้ได้? แล้วเดี๋ยวอีกสักพักเจ้าบ่าวจะทำอย่างไรล่ะ?
โชคยังดีที่ฉินสือโอวมีเครื่องรับส่งวิทยุขนาดเล็กติดอยู่ที่เนกไท เขารีบยกเนกไทขึ้นมา เรียกหาชาร์ค “เชี่ย ชาร์ค พวกนายทำอะไรกันอยู่? ในมือมีของกินอะไรบ้าง? รีบให้ฉงต้า หลอกให้มันออกไปซะ!”
“บอส ผมคือบูล ไม่ใช่ชาร์ค” บูลหัวเราะแห้งๆ
“แม่งเอ๊ย! ฉันไม่สนหรอกว่านายเป็นใคร? รีบพาฉงต้าออกไป เดี๋ยวนี้!” อีกนิดฉินสือโอวก็จะโกรธจนพ่นลม บูลนายกำลังทำตัวน่ารักใส่ฉันเหรอ?
บูลถ่ายทอดคำสั่งของเขาออกไปต่อ ชาวประมงกลุ่มหนึ่งรีบหาของกินเท่าที่หาได้ โชคยังดีที่มีคนเอาช็อกโกแลตมาด้วย พวกเขารีบวิ่งเข้าไปยัดช็อกโกแลตใส่ปากฉงต้า ฉงต้าเคี้ยวหงึบหงับๆ ถึงผละออกแล้วจากไป
เมื่อฉากการขัดจังหวะจบลง ฉินสือโอวค่อยถอนใจโล่งอก แล้วก็ส่งจูบให้วินนี่เพื่อบอกว่าไม่ต้องกังวล ทุกอย่างควบคุมได้
พ่อฉินแม่ฉินมองดูอย่างมีความสุข พ่อฉินยังพูดอีกด้วยว่า “เหมือนงานแต่งที่บ้านเราเลย มีเด็กน้อยอยากได้ขนม”
การออกแบบของชุดเจ้าสาวของวินนี่ประณีตและงดงามมาก มีความซับซ้อนของชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม แค่ชายกระโปรงก็ยาว 10 กว่าเมตรแล้ว ตอนที่เธอลงจากรถมีฟอกส์ที่เป็นพี่สาวนั่งมาด้วยกันช่วยยกเอาไว้ให้ พอลงจากรถก็วางแผ่ไว้เหมือนเดิม ทำให้ฉินสือโอวที่เห็นเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตา
โดยปกติเวลานี้จะมีเด็กตัวเล็กๆ มาช่วยยกชายกระโปรง แต่วินนี่มีความคิดไม่เหมือนคนอื่น ใช้เป็นจิ้งจอกขาวและแลบราดอร์ จิ้งจอกขาวอยู่ตรงกลาง แลบราดอร์อยู่สองฝั่ง จงใจห่อชายกระโปรงไว้เป็นพิเศษ ทั้งสามตัววิ่งไปแล้วใช้ปากคาบก็โอเคแล้ว
สเตราส์และลูกชายของเขาชอบสุนัขมาก พอเห็นลักษณะท่าทางของแลบราดอร์ที่ดูเชื่อง แววตาก็เป็นประกาย คนอื่นๆ ต่างมองไปที่เจ้าสาวที่มีรัศมีงดงาม มีเพียงเขาสองคนเท่านั้นที่จ้องหู่จือและเป้าจือตลอด
ช่วงเวลานี้เอง พ่อของวินนี่ก็เดินเข้ามา วินนี่เอามือคล้องแขนเขา ทั้งสองคนเดินตรงไปหาฉินสือโอว
หลังจากยืนอยู่ด้วยกัน มาริโอ้ก็ตบเบาๆ ไปที่หลังมือของลูกสาวเขา และตบไปที่หลังมือของฉินสือโอวเช่นกัน เอามือของวินนี่วางไว้บนมือฉินสือโอวด้วยสีหน้าที่รู้สึกเสียดาย แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม ตอนนี้ฉันมอบสมบัติที่ฉันรักที่สุดให้กับนายแล้วนะ ขอให้ในอนาคตนายจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความอ่อนโยนนะ”
ฉินสือโอวให้คำสัญญา “ขอให้คุณพ่อเชื่อผมครับ ผมจะรักวินนี่ไปตลอดชีวิต”
ในเวลานี้เอง วงดนตรีที่อยู่ด้านซ้ายมือของพรมแดงก็เริ่มบรรเลงดนตรีขึ้นมาอย่างสนุกสนาน ได้ยินมาว่านี่เป็นวงดนตรีจากที่ราบแพร์รีแคนาดาที่มีชื่อเสียงมาก พ่อของวินนี่เป็นคนเชิญมา
ฉินสือโอวก้าวไปตามจังหวะดนตรี แล้วก็เปิดผ้าคลุมหน้าของวินนี่ออก ทั้งคู่สบตากันหวานซึ้ง แล้วพากันเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยกัน
แขกทุกคนรออยู่ในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว โบสถ์เล็กๆ เต็มไปด้วยผู้คน ยังมีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่รอบๆ แน่นอนว่าคนที่ยืนอยู่คือพวกบอดี้การ์ด งานแต่งงานนี้แค่บอดี้การ์ดกับผู้คุ้มกันก็มีมากกว่า 40 คนแล้ว
บาทหลวงคาบ็อทในชุดคลุมสีดำยืนรออยู่ตรงหน้าแท่น ฉินสือโอวและวินนี่เดินไปยืนต่อหน้าเขา เจ้าบ่าวอยู่ทางซ้ายมือ เจ้าสาวอยู่ทางขวามือ เมื่อยืนเรียบร้อยแล้วเขาก็ถือ ‘คัมภีร์’ เริ่มพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ
บาทหลวงคาบ็อทพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและทุ้มต่ำว่า “ในพิธีแต่งงานนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เจ้าบ่าว และก็ไม่ใช่เจ้าสาว ทั้งผมและคุณต่างรู้ว่า คือพระเยซู…”
”…พระเจ้า พวกเรามายืนต่อหน้าพระองค์ ได้โปรดเป็นพยานอำนวยอวยพรให้ชายหญิงคู่นี้ในพิธีแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์ ตามประสงค์ของพระเจ้า ทั้งสองจะกลายเป็นหนึ่งเดียวและจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ตราบฟ้าดินสลาย นับจากนี้จะก้าวเดินไปด้วยกัน รักซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สอนซึ่งกันและกัน และเชื่อใจซึ่งกันและกัน พระบิดาบนสวรรค์ทรงอวยพรให้กับสามีภรรยาคู่นี้ แรงบันใจจากพระเจ้า พระเจ้าที่เคารพ สรรเสริญต่อพระเจ้านิจนิรันดร์…”
บาทหลวงคาบ็อทอ่านตามคัมภีร์ใช้เวลา 15 นาทีเต็มๆ ฉินสือโอวยังคงยิ้มอยู่ตลอด เขาได้เตรียมใจมาแล้ว เพราะนี่เป็นขั้นตอนในพิธีแต่งงานของชาวคริสต์ จึงจำเป็นต้องอดทน
ในที่สุดก็อ่าน ‘คัมภีร์’ จบ และแล้วฉากสำคัญก็มาถึง บาทหลวงพูดว่า “เมื่อพิธีแต่งงานกำลังจะเริ่มขึ้น ข้าอยากถามทุกคนในนามของพระเยซูเจ้า ลูกศิษย์ของข้า หากมีความจริงใดที่ขัดกับจุดประสงค์ โปรดคัดค้านตอนนี้หรือเก็บไว้ในใจตลอดไป!”
ถัดมา เขาถามวินนี่ก่อนว่า “นางสาววินนี่ คุณยินดีที่จะรับผู้ชายคนนี้เป็นสามีของคุณหรือไม่? จะซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี จะรักเขา ดูแลเขาและให้เกียรติเขาตลอดชั่วชีวิตจะหาไม่หรือไม่?”
วินนี่หันหน้าไปยิ้มหวานให้ฉินสือโอว แล้วตอบว่า “ฉันยินดีค่ะ”
มีเสียงทอดถอนหายใจเบาๆ ในงานดังขึ้น เจ้าชายเฮนรีหันไปมองเจ้าชายฮามานแดนที่อยู่ข้างๆ ด้วยความตกใจ พี่น้องถอนใจแบบนี้หมายความว่าอะไรกัน?
เสียงถอนหายใจแผ่วเบาจึงไม่ส่งผลกระทบใดๆ บาทหลวงคาบ็อทจึงถามฉินสือโอวต่อว่า “นายฉินสือโอว คุณยินดีที่จะรับผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของคุณหรือไม่? จะซื่อสัตย์ต่อเธอทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี จะรักเธอ ดูแลเธอและให้เกียรติเธอตลอดชั่วชีวิตจะหาไม่หรือไม่?”
ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ขอสาบานต่อพระเจ้า ผมยินดีครับ!”
ถ้าหากคิดว่าพิธีแต่งงานได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เป็นความคิดที่ผิดมากๆ เลยทีเดียว เพราะมันเพิ่งแค่เริ่มต้น
หลังจากนั้นบาทหลวงก็ถามกับแขกผู้มีเกียรติในงานทุกท่านว่า “พวกคุณยินดีที่จะเป็นพยานสำหรับคำปฏิญาณในพิธีแต่งงานของพวกเขาหรือไม่?”
แขกทั้งหลายต่างได้รับการซ้อมมาเรียบร้อยแล้วจากบริษัทจัดงานแต่งงาน จึงตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า ‘ยินดี’ แน่นอนว่าภาษาต่างๆ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาถิ่นบ้านเกิดของฉินสือโอวดังผสมปนเปไปหมด ทำให้ดูวุ่นวาย แต่ก็ดูครึกครื้น
บาทหลวงถามต่อ “ใครให้เจ้าสาวแต่งงานกับเจ้าบ่าว?”
มาริโอ้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “พระเจ้าของผม เธอสมัครใจแต่งให้เขาเองครับ”
บาทหลวงมองไปที่พ่อฉิน พ่อฉินไม่ได้นับถือคริสต์จึงไม่ต้องถามแล้ว แค่ยิ้มให้ก็เพียงพอแล้ว
พิธีดำเนินมาจนถึงช่วงพิธีสาบาน ฉินสือโอวและวินนี่จึงสาบานต่อกัน หลังจากนั้นบาทหลวงคาบ็อทจึงกล่าว “พระเจ้าเสกแหวนสองวงนี้เป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองได้ให้คำปฏิญาณไว้ โปรดสวมแหวนให้กัน”
ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวกิตติมศักดิ์ จึงถึงคราวเหมาเหว่ยหลงออกหน้า เขายื่นตุ๊กตาหมีขนปุกปุยให้กับฉินสือโอว
หมีนี้เรียกว่าริงแบร์ แปลออกมาตรงๆ ก็คือ หมีผู้ถือแหวน ข้างใต้คอของเขามีถุงอยู่ใบหนึ่ง ในนั้นมีแหวนอยู่
ในมือของวินนี่ก็มีแหวนอีกวงหนึ่งซึ่งเป็นแหวนที่ฉินสือโอวคุกเข่าขอแต่งงานที่ซิโน เปค คริสทัล พาเลซแล้วมอบให้เธอเมื่อสองสามวันก่อน
เมื่อเปิดกล่องแหวน ทั้งสองก็แลกแหวนกัน บาทหลวงคาบ็อทยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ในตอนนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกาศในนามพระบุตร พระบิดาและพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ฉินสือโอวและวินนี่เป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พระเจ้าโปรดประทานพรให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครสามารถทำให้แยกจากกันได้!”
“วินนี่ ฉินสือโอว ผมได้เป็นประจักษ์พยานในการกล่าวคำสาบานว่าจะรักกันและกันของทั้งคู่แล้ว ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศให้แขกผู้มีเกียรติในที่นี้ทราบว่าพวกคุณเป็นสามีภรรยากันแล้ว ตอนนี้เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้ อาเมน!”
บทที่ 1361 คุยธุระสักหน่อย
หลังจากเตรียมงานแต่งงานมาหนึ่งเดือน พิธีแต่งงานเพียงวันเดียวก็เสร็จสิ้น ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขายังไม่มีสติกลับมา เขาและวินนี่เข้าร่วมพิธีแต่งงานไปเรียบร้อย กินเค้ก เลี้ยงแขก ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก
แต่ถึงอย่างนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกเหนื่อยไม่น้อย คนที่มาร่วมงานเยอะเกินไป ผู้ทรงอิทธิพลจากทั่วทุกมุมโลก ยังมีเจ้าชาย รัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งระดับสูงเช่นนี้อีก ความปลอดภัยของพวกเขาทำให้ฉินสือโอวรู้สึกตึงเครียด
หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ เจ้าชายน้อยทั้งสองก็ขอตัวกลับก่อน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาแค่งานของฉินสือโอวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกันอีก จึงกลับไปที่ห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีทที่เมืองเซนต์จอห์นเพื่อเล่าเรื่องราวเก่าๆ และพูดคุยธุระกัน
ทั้งสองนำของขวัญมาให้มากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเจ้าชายมหาเศรษฐี มีทั้งถุงเล็ก ถุงใหญ่ไม่รู้ว่าคืออะไรบ้าง มากมายจนห้องเก็บของขวัญของฉินสือโอวเต็มล้น
เจ้าชายฮามานแดนทิ้งเจ้าหญิงซาลามาห์ไว้ที่นี่ เขาไม่ได้กลับประเทศแต่ไปคุยธุระต่อเลย ตารางงานของเขายังยืดหยุ่นได้มากกว่าของเจ้าชายเฮนรี
แน่นอนว่าเจ้าหญิงโลลิต้าเที่ยวเล่นด้วยกันกับเชอร์ลี่ย์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาจนจะกลายเป็นเพื่อนสนิทแล้ว โลลิต้าพาเจ้าหญิงโลลิต้าไปดูม้าด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ม้าตัวน้อยสองตัวคือม้าที่เธอโปรดปรานมากที่สุดแล้ว
น่าเสียดายที่เจ้าหญิงโลลิต้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หลังจากที่เธอมองผ่านๆ ก็ถามขึ้น “เธอชอบม้าเหรอ เชอร์ลี่ย์? ที่ดูไบเรามีม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตอยู่หลายตัว แล้วพอดีว่ามีตัวหนึ่งเป็นม้าเหงื่อโลหิต คุณลุงให้ฉันมา ฉันยกให้เธอได้นะ”
เชอร์ลี่ย์ส่ายหัวไปมา กอดคอตี้หลูแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันชอบเพียงตี้หลูของบ้านเราเท่านั้น…”
หัวสีถ่านดำที่อยู่ด้านข้างพอได้ฟังคำพูดนี้ก็ยื่นหัวออกมาอย่างไม่พอใจร้องเสียง ‘ฮี่ฮี่’ ขึ้นมา พอเห็นแบบนี้เชอร์ลี่ย์ก็ยิ้มออกมา แล้วรีบวิ่งไปกอดมันพร้อมพูดว่า “แน่นอนว่ายังมีเปากงลูกน้อยของพวกเราด้วย”
จากนั้นเปากงก็ส่งเสียงขึ้นจมูกด้วยความพึงพอใจ ตี้หลูที่อยู่ด้านข้างก็มองด้วยสายตาเย็นชา คิดว่า ไอ้ตัวเล็กนี่เรียนรู้ที่จะแย่งความรักเป็นแล้วเหรอ? ดี วันหลังก็คงเป็นเพื่อนกันอย่างสบายใจไม่ได้แล้ว
ปฏิสัมพันธ์ที่รักใคร่ระหว่างม้าตัวน้องสองตัวและเชอร์ลี่ย์ทำให้เจ้าหญิงโลลิต้ารู้สึกอิจฉา เธอยื่นมือไปลูบคอของตี้หลูเพื่อปลอบประโลมอย่างเบามือ ซึ่งตี้หลูก็ให้เธอลูบ แต่ไม่ได้เขยิบเข้าใกล้เหมือนกับที่ทำกับเชอร์ลี่ย์
เจ้าหญิงโลลิต้าแอบสาบานอยู่ในใจเงียบๆ ว่าพอกลับไปบ้านเธอจะต้องไปเล่นกับพวกม้าตัวน้อยสักหน่อยแล้ว และต้องมีความรู้สึกรักใคร่แบบนี้ด้วย
งานเลี้ยงอาหารค่ำในงานแต่งงานสิ้นสุดลงในช่วงสายยามบ่าย พนักงานบริกรที่บริษัทจัดงานแต่งงานจ้างมาเริ่มเข้ามาเก็บหน้างาน ทำความสะอาด เพื่อนสมัยเรียนที่ดื่มจนหน้าแดงคอแดงไปหมดหาฉินสือโอวจนเจอ วินนี่จึงชงชาเขียวให้พวกเขาเพื่อแก้เมาค้าง
งานเลี้ยงงานแต่งงานทางตะวันตกจะไม่มีการมอมเจ้าบ่าว ดังนั้นทางฉินสือโอวจึงยังมีสติครบถ้วน ซึ่งทำให้คนทั้งกลุ่มอิจฉา เหมาเหว่ยหลงพูด “ไม่ได้ คืนนี้ต้องดื่มให้เต็มที่ ต้องล้มไอ้ฉินให้ได้สักครั้ง”
ฉินสือโอวไม่กลัวเพราะอยู่ในถิ่นตัวเอง เขามองไปที่กลุ่มคนแล้วเผยรอยยิ้มแอบแฝงอะไรไม่ดีอยู่ถามขึ้นว่า “นี่พูดเรื่องจริงเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงคุ้นเคยกับนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาดี พอเห็นสีหน้าที่เขาแสดงออกมา ในใจก็บ่นพึมพำ แต่เฉินเหลยใจร้อนรีบชิงตอบก่อน “แน่นอนสิ ครั้งนี้ที่พวกเรามา จะต้องให้นายได้ชดใช้แน่”
ฉินสือโอวหัวเราะออกมา ดี ถ้าอย่างนั้นก็ชดใช้เลย เขาส่งสัญญาณโดยการทำเสียงดังร้องเรียกพวกชาวประมงและเหล่าทหารที่กำลังสนุกสนาน ถามขึ้นว่า “เพื่อนผอง กลางวันดื่มพอไหม?”
ชาร์คพูดอย่างเสียดายว่า “ไม่ครับบอส พูดจริงๆ เลยครับ พวกเรายังดื่มไม่ได้เต็มที่ เพราะกลัวอะไรผิดพลาดแล้วทำให้บอสขายขี้หน้า”
ฉินสือโอวตบไปที่แขนของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ดีใจจริงๆ ที่มีลูกน้องที่ดีแบบนายอย่างนี้ ชาร์ค บอกเพื่อนๆ เลยว่า ใครที่ยังดื่มไม่เต็มที่คืนนี้อยู่ก่อน พี่น้องของฉันไม่พอใจกับปริมาณเหล้าที่พวกเขาดื่มไป บอกว่าอยากจะเทียบขั้นกันสักหน่อย”
ทันใดนั้นดวงตาของชาร์คพลันสว่างขึ้นทันใด ประเมินคนกลุ่มนั้นโดยกวาดไล่ทีละคนราวกับหมีที่ประเมินกระต่าย แล้วก็รีบวิ่งกลับไปอย่างร่าเริงพร้อมตะโกนว่า “รีบมาทางนี้ รีบมาทางนี้เร็ว คืนนี้มีสงครามระดับชาติ เตรียมปกป้องศักดิ์ศรีของชาวไวกิ้ง”
“เชี่ย! ใครมันช่างกล้านัก?”
“ฉันชอบการท้าทายแบบนี้ แต่ฉันสงสัยความจริงเรื่องนี้ เพื่อนชาวจีนกล้าขนาดนี้เลยเหรอ?”
หลังจากนั้นเฉินเหลยและคนอื่นๆ เห็นพวกชาวประมงยกนิ้วโป้งให้พวกเขา บทสนทนาระหว่างชาร์คกับฉินสือโอวดำเนินเร็วเกินไป ภาษาอังกฤษของพวกเขาธรรมดา จึงไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่ตอนนี้พอได้ยินพวกชาวประมงตะโกนคำพูดประมาณว่า ‘คือคนจีน’ ‘คืนนี้เจอกัน’ ‘จะต้องนอนแผ่กลับบ้านให้ได้’ จึงเดาได้เลยว่าฉินสือโอวกำลังเล่นตลกอะไรกับพวกเขาอยู่
เหมาเหว่ยหลงลูบจมูกแล้วเหล่มองเพื่อนๆ สมัยเรียน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนอง เขาจึงเดินจากไปอย่างเงียบๆ เขาเดินไปหาพวกชาวประมงและพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “เฮ้ พี่น้องชาวไวกิ้ง พวกเราก็อยู่ฝั่งเดียวกัน ทุกคนก็รู้จักหน้าค่าตากันดี คืนนี้พวกเรามาดื่มกันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง พวกพี่ๆ น้องๆ พร้อมไหม?”
บูลมองไปที่เหมาเหว่ยหลงด้วยความสงสัย พูดขึ้น “เหมา พวกเราไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกันนะ”
เหมาเหว่ยหลงตบไปที่หน้าอกตัวเองแล้วพูดขึ้น “ใช่ พวกเราเป็นฝั่งเดียวกัน ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติ แต่ฉันมีบัตรกรีนการ์ดของแคนาดาแล้ว และที่สำคัญ ฉันโหยหาวัฒนธรรมของชาวไวกิ้งมาตลอด โจรสลัดในใต้หล้านี้ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกเหรอ?”
คำพูดนี้ของเขาทำให้พวกชาวประมงรู้สึกยินดี แต่สุดท้ายชาร์คก็ยังคงผลักเขาออกไปอย่างโหดร้าย “เหมา นายคือพี่น้องของพวกเราแล้ว แต่จำนวนคนฝั่งนั้นมีน้อยเกินไป ถ้านายจะมาฝั่งเราอีก ก็คงไม่สนุกแล้วล่ะ คืนนี้พวกเราอยากดื่มให้สนุกเต็มที่ไปเลย”
เหมาเหว่ยหลงตกตะลึงในทันใด ซีมอนสเตอร์ลูบเคราที่ถักไว้ใต้คางเขาแล้วพูดขึ้น “อย่าทำแบบนี้เลยเพื่อนผอง ไว้คราวหน้าเถอะ คราวหน้าเมื่อพวกเราจัดกิจกรรมไวกิ้ง พวกเราจะเรียกนายละกัน”
บูลพูดอย่างมีความสุข “ไม่เลวเลย ครั้งที่แล้วที่เราดื่มกับพวกเอธิโอเปียที่เมืองเซนต์จอห์น ตอนนั้นคนเราน้อยจึงดื่มชนะพวกเขาไม่ได้ แต่ครั้งนี้รวมเหมาไปด้วย รับรองต้องจัดการได้สาสมแน่!”
เหมาเหว่ยหลงฝืนยิ้ม “พวกนายคุยกันไปก่อน ฉันไปก่อนละ”
หลังจากกลับไป สายตาเย็นชาของเฉินเหลย เฉินเจี้ยนหนาน หม่าจินและคนอื่นๆ จ้องไปที่เขา เหมาเหว่ยหลงถามอย่างไม่พอใจว่า “มองแบบนี้คืออะไร?”
“คนทรยศ!” “คนขี้โกง!” “สารเลว!” “เดรัจฉาน!” “ฉินโซ่ว!”
“ใครเรียกฉัน?” ฉินสือโอวถามขึ้นด้วยความตกใจ
เรื่องนี้ก็จบลงแบบนี้ ตอนเย็นฉินสือโอวและวินนี่จึงมองคนสองกลุ่มที่แข่งกันดื่มเหล้าด้วยรอยยิ้ม เนื่องด้วยเหมาเหว่ยหลงมีพฤติกรรมกบฏในตอนบ่าย เขาจึงถูกผลักไสให้ออกมาเป็นผู้นำตลอด
เมื่อมองเห็นเหมาเหว่ยหลงเดินออกมา บูลพูดด้วยความชื่นชมว่า “เหมาเป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ! เพื่อแสดงความเคารพของพวกเราที่มีต่อเขา เพื่อนผอง พวกเราทุกคนจงอย่าออมมือ ทำให้เต็มที่ไปเลย!”
เหมาเหว่ยหลงเอ่ยขึ้น “คนดีต้องไว้ชีวิตสิ…”
ฉินสือโอวทางด้านนี้ยังมีธุระให้ทำอีกมากในช่วงเย็น เรื่องแรกเลย แมทธิว จินยังไม่ได้กลับไป บอกว่ามีธุระจะคุยกับเขาสักหน่อย สามีและภรรยาบรูซพาผู้นำด้านธุรกิจมากลุ่มหนึ่ง และยังอยากกินข้าวอย่างเป็นทางการกับเขาด้วย ท้ายสุดพิธีแต่งงานของเขาและวินนี่ยังมีสิ่งสุดท้ายที่ต้องจัดการด้วย
มิแรนดาเอาชุดแต่งงานชุดหนึ่งมอบให้กับวินนี่ ลักษณะของชุดแต่งงานชุดนี้เป็นแบบเรียบง่าย เป็นชุดสมัยที่เธอใช้ในงานแต่งงาน
โดยปกติแล้วชาวแคนาดาเวลาแต่งงานจะซื้อชุดแต่งงานมากกว่าเช่าชุด คนที่มีลูกสาวจะต้องส่งต่อให้ลูกสาวเมื่อพวกเขาแต่งงาน เช่นเดียวกับชาวจีนที่พ่อแม่จะมอบแหวนที่เป็นมรดกตกทอดให้กับลูกๆ ต่อไป
หลังจากที่ฉินสือโอวยุ่งกับงานของแม่ยายเสร็จ เขาก็ถูกแมทธิว จินเรียกไปหา บอกว่าอยากคุยธุระสักหน่อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น