ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1342-1373
ตอนที่ 1342 พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก
เหมยซูหานเรียกให้เลขานุการโทรตามตัวหัวหน้าฝ่ายบุคคลมาอธิบายเรื่องหุ้นส่วน
“ผู้จัดการอู่…เอ่อ…คุณอู่…” หัวหน้าฝ่ายบุคคลนั้นฉลาดมาก แค่เหลือบไปเห็นจดหมายลาออกพร้อมลายเซ็นบนโต๊ะ เขาก็เปลี่ยนคำทันที
“ตอนที่มอบหุ้นให้แก่คุณอู่ คุณอู่และบริษัทได้ลงนามในข้อตกลงว่าตราบใดที่คุณอู่ทำเพื่อบริษัทมากกว่าสิบปี คุณอู่ถึงจะถือครองหุ้นพวกนี้ได้อย่างอิสระ ก่อนหน้านั้นคุณอู่มีสิทธิ์แค่ได้รับเงินปันผลเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของ คุณอู่ทำงานให้บริษัทแค่เพียงสี่ปี ดังนั้นหลังจากคุณออกจากบริษัทไปก็จะไม่ได้รับเงินปันผลอีก!”
อู่เจิ้งซือตกตะลึงไปชั่วขณะ เจ็บปวดเหมือนโดนมีดแทงเข้าที่หัวใจ
เนื้อชิ้นใหญ่หายวับไปแล้ว เขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?
แต่เขากลับยังไม่รู้ สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือเรื่องหลังจากนี้ต่างหากล่ะ!
เหมยซูหานให้คนอื่น ๆออกไปจากห้องทำงาน หยิบโถเถ้ากระดูกออกจากตู้ ถอนหายใจ เอาโถเถ้ากระดูกวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าอู่เจิ้งซือ
อู่เจิ้งซือตะลึงไปชั่วครู่ มองไปที่เหมยซูหานอย่างสงสัย แต่ในใจกลับรู้สึกแย่อย่างอธิบายไม่ได้ เขาหายใจเข้าลึก ๆ เอ่ยถามว่า “นายเอาโถนี่มาทำไม?”
“อู่เยวี่ยเกิดอาการป่วยทางจิตกำเริบกระโดดลงจากตึก นี่คือเถ้ากระดูกของเธอ คุณเอากลับไปเถอะ!” เหมยซูหานกล่าว
อู่เจิ้งซือตาเบิกกว้าง แคะหูอย่างสงสัย “นายพูดว่าอะไรนะ? เยวี่ยเยวี่ยเธอทำไมนะ?”
“อู่เยวี่ยเธอตายแล้ว” เหมยซูหานพูดใหม่อีกรอบหนึ่ง
“จะเป็นไปได้อย่างไร? เมื่อหลายวันก่อนเธอยังกระโดดโลดเต้นอยู่เลย อยู่ดี ๆจะมาตายได้อย่างไร? เหมยซูหานนายมันชั่วร้ายมาก ก็แค่เอาเงินนายไปนิดหน่อยเองไม่ใช่หรือ? ทำไมนายถึงต้องแช่งให้เยวี่ยเยวี่ยตายด้วย?”
อู่เจิ้งซือลุกพรวดขึ้นมาก่นด่า
เขายังไม่ได้เป็นพ่อตาของคุณชายเช่อเลย ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของชีวิตเลย อู่เยวี่ยจะตายได้อย่างไร?
ต่อให้อยากจะตาย ก็ต้องรอให้แต่งกับเฮ่อเหลียนเช่อคลอดลูกชายสักคนก่อน หลังจากนั้นค่อยตายก็ยังไม่สาย!
ตอนนี้ตายไปแล้วเขาจะทำอย่างไรต่อล่ะ?
เหมยซูหานเปิดฝาโถเถ้ากระดูก เผยให้เห็นเถ้ากระดูกสีเทาข้างใน มีเถ้ากระดูกหลายส่วนปะปนอยู่ด้านใน “นี่คือเถ้ากระดูกของเยวี่ยเยวี่ย เธอตายไปแล้วจริง ๆ เหอปี้อวิ๋นก็ตายแล้วเช่นกัน”
อู่เจิ้งซือราวกับถูกสายฟ้าฝาดผ่าน ขวัญหนีดีฟ่อไปหมด ไร้สติอยู่นาน
อู่เยวี่ยตายแล้ว?
ตายแล้วจริง ๆเหรอ?
บริษัทของเขาล่ะจะทำยังไง?
“เยวี่ยเยวี่ยเธอตายได้อย่างไร? ใครทำร้ายเธอ?” อู่เจิ้งซือถามอย่างร้อนใจ
“ไม่มีใครทำร้ายเธอ เป็นเพราะเธออาการป่วยทางจิตเกิดกำเริบแล้วกระโดดตึกลงไปตายเอง ตำรวจสรุปคดีแล้ว เดี๋ยวก็คงจะติดต่อแจ้งให้คุณทราบในเร็ว ๆนี้!”
ข่าวการตายของอู่เยวี่ยโดนเหยียนหมิงซุ่นปิดไว้ เขาได้ยินเฮ่อเหลียนเช่อพูดว่าวันนี้ควรปิดคดีเสียที คิด ๆดูแล้วสถานีตำรวจน่าจะแจ้งกับคนในครอบครัวเร็ว ๆนี้ และก็เป็นไปดังคาด ——
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของอู่เจิ้งซือดังขึ้น เขารับสายแค่ครู่เดียว สีหน้าของเขาก็ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก มองไปที่โถเถ้ากระดูกอย่างงง ๆ มันทิ่มแทงตาเขาจนปวดร้าวไปหมด
เป็นสถานีตำรวจโทรมา!
อู่เยวี่ยตายแล้วจริง ๆ!
เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?
งานก็ไม่มีแล้ว หุ้นก็ไม่มีแล้ว เงินที่มีอยู่ในครอบครองก็กลัวว่าจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว เป็นพ่อตายิ่งไม่ต้องหวังแล้ว หรือว่าสวรรค์อยากให้เขาตายหรือไง?
สถานีตำรวจไม่ได้เพียงแค่โทรหาอู่เจิ้งซือ แต่ยังไปหาเหมยเหมยที่โรงพยาบาลอีกด้วย ถึงอย่างไรคนสุดท้ายที่อู่เยวี่ยติดต่อก่อนเสียชีวิตก็คือเธอ ต่อให้จะเป็นแค่ทำแบบขอไปที แต่ก็ควรจะมาสักหน่อย
อิงตามที่เหยียนหมิงซุ่นสอน เหมยเหมยก็บอกไปว่าอู่เยวี่ยจิตไม่ปกติ ครั้งแรกร่วมมือกับเหอปี้อวิ๋นแต่เพราะฆ่าเธอและเหยียนซินหย่าไม่สำเร็จ ครั้งนี้จึงไม่ยอมแพ้ แฝงตัวเข้ามาในโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อต้องการฆ่าเธอ แต่โดนเธอมองออกเสียก่อนจึงลุกขึ้นตอบโต้ ภายใต้การต่อสู้กันไปมาอู่เยวี่ยก็ตกลงไปชั้นล่างเอง
นายตำรวจหนุ่มได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก คำโกหกนี้ช่างลื่นไหล มีบาดแผลถูกกรีดมากมายบนผู้ตาย ผู้ตายจะกรีดเองได้หรือ?
นายตำรวจที่มีอายุมากกว่าส่งสายตามองเขม็งเตือนเขา และสิ้นสุดการซักถาม หันไปทางเหยียนหมิงซุ่นและเหมยเหมยเพื่อขอตัวลาและจากไปด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า แสดงท่าทีนอบน้อมให้ยิ่งกว่าผู้กำกับที่สถานีเสียอีก
…………………………………………………..
ตอนที่ 1343 ตัดสินคดีแล้ว
ออกจากอาคารผู้ป่วยใน นายตำรวจหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะบ่น “จ้าวเหมยคนนี้ต้องโกหกแน่นอน ร่างของอู่เยวี่ยมีรอยบาดแผลมากมาย ทำไมจ้าวเหมยไม่เอ่ยถึง? ผมคิดว่าแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จ้าวเหมยต้องเป็นฆาตกรแน่ จุ๊ ๆ ที่แท้ใจที่โหดเหี้ยมที่สุดก็คือใจของผู้หญิง จ้าวเหมยคนนี้ก็คือซูต้าจีที่ยังมีชีวิตอยู่ดี ๆนี่เอง!”
นายตำรวจที่มีอายุมากกว่าเขกหัวหนัก ๆไปทีหนึ่ง นายตำรวจหนุ่มลูบศีรษะของเขาอย่างรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “อาจารย์ครับ ทำไมอาจารย์ต้องตีผมด้วยครับ? ผมก็ไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย คดีนี้เต็มไปด้วยช่องโหว่ ผมไม่เข้าใจ ทำไมผู้กำกับไม่ให้เราตรวจสอบ!”
“ตรวจบ้านนายสิ! นายเงียบไปเลยนะ คดีนี้สรุปคดีไปแล้ว นายอยากทำมากก็ไปสืบคดีผู้หญิงที่ตายอย่างไร้สาเหตุที่สวนสาธารณะเมื่อวันก่อน ถ้าสืบหาไม่ได้ความก็อย่ามาเรียกฉันว่าอาจารย์”
นายตำรวจที่มีอายุมากกว่าขี้เกียจจะอธิบายให้มากความแล้ว แต่ก็ไม่ได้ด่าลูกศิษย์
ใคร ๆก็มีเวลาเลือดร้อนเดือดพล่านเกลียดคนชั่วเข้ากระดูกดำกันทั้งนั้นแหละ ตอนที่เขายังอายุน้อยก็ไม่ยอมให้เรื่องไหนเล็ดลอดผ่านสายตาเขาไปได้หรอก แต่พออายุเยอะแล้ว เสียเปรียบมาก็มาก ความสามารถที่แสดงออกมาก็ถูกขัดจนราบเรียบ
ทำไมเขาถึงจะมองช่องโหว่ไม่ออก?
แต่มองออกแล้วอย่างไร?
ขนาดผู้กำกับยังไม่กล้าถามเรื่องคดีให้มากความ พวกเขาเป็นแค่เพียงตำรวจตัวเล็ก ๆเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตรวจสอบ?
อีกอย่างจะสืบหาได้ชัดเจนแน่หรือ?
แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยังจะดีเสียกว่า!
“พี่หมิงซุ่น…พี่รู้สึกไหมว่าฉัน…” เหมยเหมยอดไม่ได้ที่จะถาม พูดคำ ๆนั้นไม่ออกมาตลอด
ขนาดตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเมื่อวานเธอถึงได้ลงมือฆ่าอู่เยวี่ยได้อย่างโหดเหี้ยมแบบนั้น?
จะหวาดกลัวสักนิดก็ไม่มีเลย ต่อให้เป็นตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้สึกกลัว จะมีก็แต่ความสุขใจและการได้ระบายความแค้น
“อู่เยวี่ยชดใช้ผลกรรมที่ตนเองก่อ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหมยเหมย เรื่องมันผ่านไปแล้ววันหน้าจะไม่มีคนมาก่อกวนเธออีกแล้วล่ะ” เหยียนหมิงซุ่นตีเบา ๆเป็นการปลอบใจเธอ
เหมยเหมยเห็นเขาเป็นเหมือนวันปกติ สีหน้าท่าทางไม่มีอะไรผิดปกติถึงได้เบาใจลง
เธอให้เหยียนหมิงซุ่นช่วยทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล สภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลนี้ไม่ดีเท่าในเมืองหลวง อยู่รวมกับห้องผู้ป่วยทั่วไป กลิ่นแรงมาก อยู่อย่างทรมาน อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง กลับไปค่อย ๆพักรักษาตัวไปก็พอแล้ว
จ้าวเสวียหลินไม่รู้ว่าในบ้านเกิดเรื่องขึ้น เนื่องจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาจึงถูกส่งตัวไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี และคุณไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวได้ในช่วงเวลาดังกล่าว ทุกปิดการติดต่ออย่างสมบูรณ์
ตอนนี้เพิ่งไปได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ปีหน้าถึงจะสามารถกลับประเทศได้
เหมยเหมยรู้ว่าเพราะอะไรจ้าวเสวียหลินถึงถูกเลือก นอกจากผลงานที่โดดเด่นแล้ว เหยียนหมิงซุ่นคงออกแรงไปไม่น้อย คนที่โดดเด่นมีมากมายจริง ๆ โควต้านี้พูดได้ว่าแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากทีเดียว
เหยียนซินหย่ายังไม่ฟื้น แต่ร่างกายของเธอฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หมอบอกว่าน่าจะฟื้นในเร็ว ๆนี้หรืออาจจะเป็นไม่กี่วันนี้
เหมยเหมยไม่ได้พักรักษาตัวที่บ้าน วันต่อมาก็ไปโรงเรียนแล้ว อุดอู้อยู่บ้านคนเดียวมันน่าเบื่อ ไปสัมผัสบรรยากาศคึกคักและมีชีวิตชีวาที่โรงเรียนหน่อยจะดีกว่า
“เหมยเหมยทำไมถึงได้ไม่สบายอีกแล้วล่ะ? เฮ้อ…ทำไมล้มจนหน้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว?” เจียงซินเหมยเห็นรอยแผลนับไม่ถ้วนบนใบหน้าของเธอก็พลันตกอกตกใจ
“ไม่ทันระวังเลยกลิ้งลงมาตามทางลาดชัน อีกเดี๋ยวขอยืมสมุดโน้ตของพวกเธอมาให้ฉันลอกหน่อยนะ ฉันขาดเรียนไปตั้งหลายวัน กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว!” เหมยเหมยปวดหัวแทบจะระเบิด
“ไม่เป็นไร ฉันและอู่เชาจดไว้แล้ว เธอเอาไปลอกที่บ้านนะ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามพวกฉันสองคนได้” เจียงซินเหมยพูดยิ้ม ๆ
อู่เชากลับรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เมื่อวานเขาอยู่กับอู่เจิ้งเต้า อู่เจิ้งซือเองก็มาดื่มเหล้ากับอู่เจิ้งเต้า ทั้งสองดื่มจนเมาแอ๋ ทำให้เขาต้องทำความสะอาดตลอดทั้งคืน
แต่ว่าเขาก็ได้ยินอู่เจิ้งซือพูดเหมือนกันว่าอู่เยวี่ยตายแล้ว เหอปี้อวิ๋นก็ตายแล้ว ตอนนั้นเขาก็นึกถึงเหมยเหมย
เหมยเหมยไม่ได้มาเรียนหลายวัน แล้วเวลานั้นแม่ลูกอู่เยวี่ยก็ตาย?
มันจะบังเอิญมากเกินไปแล้ว!
ตอนที่ 1344 วิเคราะห์ข้อมูล
ตอนพัก อู่เชาดึงเหมยเหมยไปที่ลับตาคน ถามเสียงเบาว่า “อู่เยวี่ยตายแล้วจริงไหม?”
“ใช่ อีกทั้งตอนที่เขาตายฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย” เหมยเหมยคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดทั้งความจริงและโกหกไป แล้วคอยสังเกตสีหน้าท่าทางการเปลี่ยนแปลงของอู่เชาไปด้วย
อู่เชาตกใจยกใหญ่ รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เหมยเหมยเล่าเรื่องที่เหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยร่วมมือกันลักพาตัวเธอและเหยียนซินหย่า และเรื่องที่อู่เยวี่ยไปโรงพยาบาลเพื่อทำร้ายเธอ เล่าเหมือนที่เล่าให้ตำรวจฟังทั้งหมด
“อู่เยวี่ยบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วแน่นอน เหอปี้อวิ๋นดีกับเธอขนาดนั้น ทำไมเธอถึงได้โหดเหี้ยมฆ่าได้ลง? พระเจ้า…คนๆนี้ช่างน่ากลัวเสียจริงอๆ!”
ใบหน้าของอู่เชาซีดขาวราวกับกระดาษ ตัวสั่นเทิ้ม มักรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีลมพัดผ่านอยู่ด้านหลัง
เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าเหอปี้อวิ๋นน่ากลัวมากพอแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าอู่เยวี่ยน่ากลัวมากกว่าเหอปี้อวิ๋นเสียอีก ถ่ายทอดพันธุกรรมได้ร้ายกาจเหลือเกิน
เหมยเหมยหยิบช็อกโกแลตออกมาจากกระเป๋า ลอกกระดาษแล้วยัดเข้าไปในปากเขา “ไม่ต้องกลัว พวกเขาตายไปแล้ว”
“ใช่ ๆๆ ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว!”
ช็อกโกแลตถือว่าได้ผลเป็นอย่างมาก หลังจากกินช็อกโกแลตไปชิ้นหนึ่งอู่เชาก็สงบลงมาก เขาพูดกับเหมยเหมยว่า “คุณอารองของฉันไม่มีงานทำแล้ว ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับเหมยซูหาน”
นัยน์ตาของเหมยเหมยมีความสนใจพาดผ่าน นึกไม่ถึงว่าเหมยซูหานจะขัดแย้งกับอู่เจิ้งซือได้?
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่ว่าเขาค่อนข้างเชื่อฟังอู่เจิ้งซือหรอกหรือ?
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลก ๆแต่เหมยเหมยก็ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น บุญคุณความแค้นทั้งสองชาติได้จบลงแล้ว หลังจากนี้ไปเธอจะสนุกกับชีวิตของเธอ ชาตินี้เธอจะต้องกลายเป็นไข่มุกที่เปล่งประกายแน่นอน!
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เหยียนซินหย่าฟื้นได้สติ สอดส่องสายตาหาลูกสาว เห็นเหมยเหมยยังสบายดีอยู่ เธอก็พรูลมหายใจยาว คิด ๆไปแล้วแม้ว่าจะหมดสติไปแต่ก็ยังกังวลเรื่องนี้อยู่!
หลังจากฟื้นขึ้นมาเหยียนซินหย่าก็ได้รับการบำรุงด้วยยาของเหมยเหมยร่างกายจึงฟื้นตัวเร็วมาก หมอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่เนื่องจากใช้ยาน้ำของเหมยเหมยในปริมาณเล็กน้อยหมอจึงไม่ได้สงสัยอะไร นึกว่าเป็นเพราะเหยียนซินหย่ามีสุขภาพที่ดี บวกกับอาหารที่คนครอบครัวจัดสรรอย่างเหมาะสม อารมณ์ดี แน่นอนว่าจะต้องฟื้นตัวได้เร็วอยู่แล้ว
แต่กลับมีคนสงสัย นั่นก็คืออัจฉริยะลี่เมิ่งเฉิน
เขาไม่ได้สิ่งใดจากเหยียนหมิงซุ่นตอบแทนกลับมาเลยแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ คอบเฝ้าติดตามเหมยเหมยอยู่ตลอด เขาเก็บบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าในการฟื้นฟูร่างกายของเหยียนซินหย่า
วันนี้ลี่เมิ่งเฉินมาหาเหยียนหมิงซุ่น หยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งที่เขียนตัวเลขละเอียดยิบเอาไว้ ยิ้มอย่างลำพองใจ
“นี่คือข้อมูลร่างกายของว่าที่แม่ยายในอนาคตของคุณ นี่คือร่างกายของคนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเหยียนซินหย่า และนี่คือความคืบหน้าในการฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยยี่สิบรายที่มีอาการบาดเจ็บคล้ายกัน พวกเขาทั้งหมดอายุน้อยกว่าเหยียนซินหย่า สมรรถภาพทางกายดีกว่าหน่อย แต่เวลาฟื้นตัวของคนเหล่านี้กลับช้ากว่า กระทั่งช้ากว่าหลายวัน”
ลี่เมิ่งเฉินเปิดปากพูดยาวเหยียดด้วยแววตามุ่งมั่น
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วเบา ๆ ปวดหัวกับการคุกคามของเจ้าหมอนี่เสียจริง จะทำอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด
“อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ทำอะไรที่ขัดต่อผลประโยชน์ภรรยาของนายหรอก ยาวิเศษนี้มีเพียงนายกับฉันเท่านั้นที่รู้ และนายลองคิดดูสิขอเพียงแค่ฉันได้วิจัยยาวิเศษนั่นต้องลอกเลียนแบบออกมาได้แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเฮ่อเหลียนเช่อก็จะไม่รบกวนภรรยาของนายด้วย!”
ลี่เมิ่งเฉินพูดหว่านล้อมอย่างไม่ลดละ เหยียนหมิงซุ่นใจเต้น ถามว่า “นายผลิตยาได้ด้วยเหรอ?”
“บนโลกใบนี้นอกจากการคลอดลูก ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันทำไม่ได้!”
ลี่เมิ่งเฉินตบหน้าอกคุยโวจนตัวจะขึ้นฟ้าอยู่แล้ว!
เหยียนหมิงซุ่นแค่นเสียงหัวเราะ คลอดลูกไม่ได้งั้นเหรอ? อย่างนั้นก็รีบตัดเจ้านั้นทิ้ง แล้วแปลงกายเป็นผู้หญิงให้มันจบ ๆไปเถอะ!
แต่ว่าคำพูดของลี่เมิ่งเฉินดึงความสนใจของเขาไว้ได้ ให้เจ้าหมอนี่ตามตอแยอยู่เรื่อยก็ใช่เรื่อง แค่เอาให้เขาไปเบี่ยงเบนความสนใจของเฮ่อเหลียนเช่อก็ดีไม่น้อย!
…………………………………………..
ตอนที่ 1345 เหมยซูหานที่รู้ใจตัวเอง
เหยียนหมิงซุ่นขอยาน้ำหนึ่งขวดมาจากเหมยเหมย ปริมาณประมาณสามสิบหยดได้ ลี่เมิ่งเฉินพอใจมาก รับปากทำตามความต้องการของเหยียนหมิงซุ่น
ถึงอย่างไรเฮ่อเหลียนเช่อก็จับตาดูเขาอยู่ตลอดอย่างไม่เคยลดละเลยสักครั้ง!
เหาเยอะอยู่แล้วจะกลุ้มใจไปทำไมเล่า!
ลี่เมิ่งเฉินรับยาน้ำและกลับเมืองหลวงไปอย่างมีความสุข คุณตาเหลือเพียงลมหายสุดท้าย เขาต้องกลับไปช่วยโดยเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้คุณตาประกาศก่อนว่าเขาคือทายาทถึงจะไปรายงานตัวกับพญายมได้!
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน อีกไม่กี่วันเหยียนซินหย่าก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เหยียนหมิงซุ่นกลับไปเมืองหลวง เขาต้องไปขอรับโทษกับเฮ่อเหลียนชิง ถึงอย่างไรเขาก็ออกจากตำแหน่งหน้าที่โดยพละการ
ก่อนไปเหยียนหมิงซุ่นส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้คู่สามีภรรยาเหยียนโฮ่วเต๋อ ตำแหน่งสูงที่เหยียนโฮ่วเต๋อเฝ้าฝันรอคอยอยู่ตลอดเวลาก็ได้มา แต่ไม่ใช่ที่เมืองจิน ทว่ากลับเป็นอำเภอที่ยากจนที่สุดในเมืองจิน เหยียนโฮ่อเต๋อถูกย้ายไปเป็นอธิการบดีฝ่ายการศึกษา หรือพูดให้น่าฟังหน่อยก็ช่วยเหลือระดับรากหญ้า
ส่วนถานซูฟางก็ไม่มีโอกาสเช่นกัน อีกไม่กี่วันก็จะถูกส่งไปยังพื้นที่ในทิเบต โรงพยาบาลจะจัดส่งคนไปให้บริการในพื้นที่ทิเบตทุกปีซึ่งถือเป็นการไปโดยสมัครใจ แม้ว่าจะเป็นผลดีต่อการเลื่อนขั้นแต่ถานซูฟางไม่ยินดีที่จะใช้วิธีการของพวกนี้เพื่อเลื่อนตำแหน่ง จึงยังไม่เคยลงชื่อไปเลยสักครั้ง
แต่ครั้งนี้คงเป็นเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อถานซูฟางได้เห็นชื่อตัวเองลงชื่อเป็นจิตอาสาในใบสมัครก็ตกตะลึงในทันมี
จนถึงตอนขึ้นรถไฟ ถานซูฟางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเธอลงชื่อยื่นขอเป็นอาสาสมัครตั้งแต่เมื่อไร?
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเย็นชา ‘อยากเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่เหรอ? ได้ ไปพยายามด้วยตัวเองแล้วกัน!’
เฮ่อเหลียนเช่อก็กลับเมืองหลวงแล้ว เขากลับไปก่อนเพราะหนิงเฉินเซวียนโทรเรียกให้เขากลับไป เหมยซูหานยังอยู่ที่เมืองจิน วันหนึ่งหลังเลิกเรียนเหมยซูหานก็มาหาเหมยเหมย
เดิมทีเหมยเหมยไม่คิดจะสนใจเขา แต่พอเห็นมือซ้ายของเหมยซูหาน ก็ตกลง
“มาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ?” เหมยเหมยขึ้นรถของเหมยซูหาน ในรถมีคนขับรถอยู่ด้วย น่าจะเป็นลูกน้องของเฮ่อเหลียนเช่อ
เหมยซูหานมองเหมยเหมยเงียบๆ นัยน์ตาไร้ซึ่งความเสน่หาและความรู้สึกเหมือนในอดีตแล้ว ทำให้เหมยเหมยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ เหมยซูหานไปเจอเรื่องอะไรมานะ?
“ตอนนี้หวงอวี้เหลียนมีชีวิตที่น่าเวทนามาก เหมยเหมยอยากจะไปเห็นสภาพของเธอในตอนนี้ไหม?” อยู่ดี ๆเหมยซูหานก็เปิดปากพูด
เหมยเหมยนิ่งตะลึงไป เธอลืมหวงอวี้เหลียนไปเสียสนิท ได้ยินเหยียนหมิงซุ่นบอกว่าโดนเฮ่อเหลียนเช่อจัดการตัดมือตัดเท้าควักลูกตากลายเป็นมนุษย์หมูไปแล้ว แน่นอนว่าต้องมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานแน่นอน
“ช่างเถอะ ไม่ต้องดูหรอก ความแค้นของฉันและเขาก็ถือว่าแล้วต่อกันไปเถอะ” เหมยเหมยส่ายหัว
เหมยซูหานฉีกยิ้ม “ก็ดี ตอนนี้สภาพของเขาไม่น่าดูเอาเสียเลย อย่าไปดูให้เสียสายตาเธอเลย”
คาดไม่ถึงว่าเหมยเหมยจะไม่โกรธแค้นแล้ว เดี๋ยวหลังจากกลับไปค่อยส่งคนไปสร้างความสุขให้หวงอวี้เหลียนหน่อยแล้วกัน!
เหมยเหมยไม่ได้เปล่งเสียงอะไรอีก ภายในรถเงียบกริบ อากาศเย็นยะเยือกเหมือนแช่แข็งไว้ ตอนที่เหมยเหมยคิดจะเอ่ยขอตัว เหมยซูหานก็เปิดปากพูดอีกครั้ง “เหมยเหมย ขอโทษนะ!”
“หืม?”
เหมยเหมยเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ น้ำเสียงที่พูดว่าขอโทษของเหมยซูหานดูประหลาดมาก ชาตินี้เหมยซูหานไม่มีอะไรที่ทำผิดต่อเธอ ตรงกันข้ามยังช่วยเหลือเธอมาตั้งมากมาย ทำไมเขาถึงได้พูดแบบนี้นะ?
เหมยซูหานยิ้มอย่างอบอุ่น “เหมยเหมยเป็นเหมือนตอนนี้ดีมากจริง ๆ วันหลังก็ต้องมีความสุขแบบนี้ตลอดนะ”
เขาพลางลอบพึมพำกับตัวเองในใจว่า ‘ฉันจะปกป้องเธอเสมอ เพื่อชดเชยความผิดพลาดในชาติที่แล้ว’
เหมยเหมยยิ้มให้บางเบา “ขอบคุณนะ นายเองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ ฉันไปแล้ว ลาก่อน!”
“ลาก่อน!”
เหมยซูหานทอดสายตาส่งเหมยเหมยจากไป จนกระทั่งเงาลับสายตาไปแล้วถึงให้คนขับรถออกรถได้
หลังจากนี้เขาจะรักเดียวใจเดียวอยู่เคียงข้างเฮ่อเหลียนเช่อตลอดไป ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือว่าชาตินี้ คนที่เขารักก็คือเฮ่อเหลียนเช่อคนเดียวเท่านั้น!
ตอนที่ 1346 รายงานตัวมหาวิทยาลัย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็ผ่านไปสองปีแล้ว ผ่านเดือนมิถุนายนที่มืดมนมา เหมยเหมยก็ต้อนรับเดือนกันยายนอันรุ่งโรจน์ เธอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
เดิมทีเธออยากสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะท้องถิ่นในเมืองจิน แต่แผนที่วางไว้กลับมลายสิ้น เพราะเวลาสั้น ๆเพียงสองปี จ้าวอิงหัวก็ได้เลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง และยังถูกย้ายไปเป็นลูกน้องของผู้นำในเมืองหลวง กลายเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในเมืองหลวงแล้ว
แน่นอนว่าจ้าวอิงหัวไม่สามารถตัดใจทิ้งลูกสาวสุดที่รักเล็ดลอดสายตาไปได้ เขาพูดหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมจนสุดท้ายก็ทำให้เหมยเหมยตกลงมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองหลวงจนได้
ดังนั้นจึงความมุ่งมั่นของเหมยเหมยก็เปลี่ยนไปเป็นที่เมืองหลวง แต่เพราะว่าปีนั้นหลังจากที่เธอตัดขาดจากตระกูลจ้าว จ้าวอิงหัวก็ย้ายทะเบียนบ้านของเธอกลับไปที่เมืองจินอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเดิมทีเธอจึงมีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองหลวง แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเมืองจินเสียแล้ว
เนื่องจากว่าเธอไม่ได้มีทะเบียนเป็นคนในพื้นที่ ดังนั้นเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยในท้องถิ่นก็ถือว่าเปลืองแรงอยู่บ้าง ไม่สามารถสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะที่ดีที่สุดของเมืองหลวงได้ แต่ไปที่คณะศิลปกรรมศาสต์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแทน
แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเช่นกัน คณะศิลปกรรมศาสต์ก็ไม่แย่ ไม่เลวร้ายไปกว่าวิทยาลัยศิลปะของเมืองจินเท่าไร เพียงแต่ไม่ได้มุ่งเน้นด้านเดียวอย่างวิทยาลัยศิลปะของเมืองหลวงก็เท่านั้นเอง
จ้าวอิงหัวกลัวว่าลูกสาวจะเสียใจเลยถามว่าจะลองใช้เส้นสายดูไหม แต่ก็โดนเหมยเหมยตอบปฏิเสธไป
มหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว ขนาดชาติที่แล้วเธอจะคิดยังไม่กล้าเลย รู้สึกพอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เธอไม่อยากให้พ่อทำผิด อีกอย่างถ้าหากเธอได้ไปวิทยาลัยศิลปะเมืองหลวงก็ต้องมีนักศึกษาอีกคนโดนปัดตกไป
เธอไปเรียนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอาชีพในอนาคตของเธอสักนิด สำหรับเธอแล้ว การเรียนมหาวิทยาลัยเป็นเพียงการชดเชยความเสียใจในชีวิตชาติที่แล้ว
ไม่เหมือนนักศึกษาคนอื่น ๆ มหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นหลักประกันที่สำคัญสำหรับชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนจากครอบครัวธรรมดา
มหาวิทยาลัยเป็นโอกาสเดียวที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของพวกเขาได้!
ดังนั้นเธอจึงไม่อยากไปเปลี่ยนชะตาของนักเรียนผู้บริสุทธิ์หรอก!
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะไปเรียนที่ไหน โชคชะตาของเธอก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ สำหรับเธอแล้ววุฒิปริญญาก็เป็นเพียงสิ่งที่ช่วยเสริมให้ดูดีขึ้นเท่านั้นเอง
หนังสือ “การตอบโต้ของเจ้าหญิงอัปลักษณ์” ของเธอจบลงแล้วแต่ตอนนี้ยังขายดีมาก แม้กระทั่งบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์หลายแห่งแห่ทักติดต่อเธอมาบอกว่าอยากจะดัดแปลงการ์ตูนของเธอถ่ายออกมาเป็นละครทีวี แต่เธอไม่ได้ตอบรับไป
การ์ตูนเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นแรกของเธอ และเป็นผลงานที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณเติบโตมาพร้อมกับเธอ สำหรับเธอแล้ว มันไม่ใช่แค่หนังสือหนึ่งเล่มแต่มันเป็นลูกของเธอ
เธอต้องรับมืออย่างรอบคอบ ไม่สามารถทำให้เด็กคนนี้ต้องเสียใจเอาได้!
อีกอย่างเรื่องใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าคือเรื่องการเปิดเรียน รอหลังจากเปิดเรียนและทุกอย่างลงตัวแล้ว เธอค่อยคิดถึงเรื่องการดัดแปลงเป็นละครทีวี
“เหมยเหมย ไม่ต้องให้พวกพ่อไปส่งลูกที่โรงเรียนแน่นะ?” จ้าวอิงหัวถามรอบที่ร้อย เหยียนซินหย่าที่อยู่ด้านข้างก็มองเธอตาปริบ ๆ
ถึงแม้ว่าหนังสือการโยกย้ายตำแหน่งของจ้าวอิงหัวจะมาแล้ว แต่เขายังต้องอยู่ที่เมืองจินเพื่อส่งมอบให้กับหัวหน้าคนใหม่ที่มารับช่วงต่อ ประมาณเดือนตุลาคมถึงจะไปเมืองหลวงได้
เหมยเหมยคลึงหัวคิ้วเบา ๆ แล้วตบบ่าพ่อตัวเอง “ไม่ต้องหรอกค่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนูไปเมืองหลวงเสียหน่อย มีอะไรต้องให้ไปส่งกัน พ่ออยู่เป็นแม่ที่บ้านให้สบายใจใช้เวลาโรแมนติกด้วยกันเถอะ!”
เหยียนซินหย่ากรอกตามองบนใส่ หากให้อยู่บ้านกับผู้ชายล่ะก็ เธออยากไปโรงเรียนเป็นเพื่อนลูกสาวมากกว่า
หรือว่าคืนหนังสือรับตำแหน่งให้วิทยาลัยศิลปะเมืองจินไป แล้วไปเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงแทนดี?
เหยียนซินหย่ายิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ตัดสินใจว่าอีกครู่จะโทรหาอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยศิลปะเมืองจิน พูดเรื่องนี้ให้มันชัดเจน ไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าการได้อยู่กับลูกสาวแล้ว!
เหมยเหมยไม่ได้เอากระเป๋าเดินทางไปเยอะ เหยียนหมิงซุ่นซื้อบ้านให้เธอในเมืองหลวงแต่เนิ่น ๆแล้ว ของทุกสิ่งทุกอย่างมีครบครัน เธอหิ้วกระเป๋าเข้าไปก็อยู่ได้แล้ว เอาของติดตัวไปด้วยก็แค่แกล้งทำก็เท่านั้นเอง
เหยียนหมิงซุ่นปฏิบัติภารกิจอยู่ข้างนอก ไม่อย่างนั้นเขาต้องส่งเหมยเหมยด้วยตัวเองอยู่แล้ว อันที่จริงเหมยเหมยไม่อยากให้ใครไปส่งเลย เธอแค่อยากจะสัมผัสความรู้สึกการไปรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง แม้แต่อู่เชาและเจียงซินเหมยต่างก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน
สองคนนี้ก็สอบไปเมืองหลวงเช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้เรียนที่เดียวกัน เหมยเหมยให้พวกเขาไปด้วยกัน ส่วนตัวเธอไปรายงานตัวเพียงคนเดียว
ตอนบ่าย เธอหยิบกระเป๋าเดินทางสีแดงอ่อนลงจากรถแท็กซี่ ยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเมืองหลวงอันโด่งดัง ทันใดนั้นก็มีนักศึกษารุ่นพี่กระตือรือร้นมามุงล้อมต้อนรับเธอ!
…………………………………………..
ตอนที่ 1347 นางฟ้าตัวน้อย
นักเรียนที่ห้อมล้อมเหมยเหมยล้วนเป็นพวกผู้ชาย พวกเขาได้เห็นภาพเหมือนที่สวยงามของเหมยเหมยนานแล้ว ถึงแม้ว่าจะใส่แค่กางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตสีขาวและใส่กับรองเท้าผ้าใบสีขาวแบบเรียบง่าย แต่พอมาอยู่บนตัวของเหมยเหมย เสื้อผ้าที่เรียบง่ายก็เพิ่มสีสันให้ดูดีได้ไม่น้อย
มองหาเธอจากฝูงชนนับพันนับร้อย แต่ตัวคนดันอยู่บนรถแท็กซี่ !
นี่คือความรู้สึกที่อยู่ในใจของผู้ชายทุกคน !
เพิ่งจะได้เห็นขาอันเรียวยาวของเหมยเหมยก้าวลงจากรถ ในใจของพวกผู้ชายก็เหมือนโดนไฟช็อต พลันต่างพากันหยุดหายใจกันชั่วขณะแล้วก็ไม่รู้ว่าใครที่วิ่งพุ่งนำไปก่อน จากนั้นหนุ่มคนอื่น ๆก็ฮึกเหิมไล่ตามกันไปและไม่สนใจพวกเด็กใหม่อีกเลย
แม่เจ้า มีคู่เรียวขาที่งดงามเช่นนี้ หน้ารูปไข่ที่ตั้งอยู่บนคอก็คงไม่ขี้เหร่หรอก!
ไม่ว่าอย่างไร พุ่งขึ้นไปแย่งเนื้อก่อนค่อยว่ากัน !
ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะอาสามาทำงานต้อนรับนักศึกษาใหม่ให้ลำบากลำบนทำไมเล่า?
ก็เพื่อที่จะสามารถช่วงชิงอันดุเดือดนี้ได้ทันเวลา คว้านักเรียนใหม่สาวสวยมาไว้ในกำมือ!
หลังจากที่รอเธอลงมาจากรถ ยืนริมถนนแหงนหน้ามองใบหน้าที่แท้จริงของหญิงสาว เดิมทีอยากจะหยั่งเชิงรอดูนักศึกษาชายคนอื่นก่อน แต่นัยน์ตากลับผุดแสงสีเขียวขึ้นมาจึงกรีดร้องและวิ่งพุ่งตรงขึ้นไป
พระเจ้า นับว่าท่านทรงเมตตานักที่ได้โปรดส่งนางฟ้าที่สวยและอ่อนโยนมาช่วยชีวิตคนโสดอย่างพวกเขาสินะ?
ยิ้มแรกของคนงามล่มเมือง ยิ้มครั้งที่สองคงล่มทั้งประเทศ……
แต่นักศึกษาคนงามตรงหน้านี้ ต่อให้ไม่ยิ้มก็ดึงเอาจิตวิญญาณของพวกเขาไปหมดแล้ว โอ้ว…พระเจ้า…รีบดูซิว่าหัวใจของพวกเขายังอยู่ดีหรือเปล่า?
ตกกระเด็นหล่นมาที่พื้นบ้างไหม ?
เหมยเหมยยังไม่ทันได้มองประตูโรงเรียนให้ชัด ๆก็ถูกพวกผู้ชายที่กระตือรือร้นพวกนี้ห้อมล้อมไว้แล้ว ทำเอาเธอสะดุ้งตกอกตกใจ ชาติที่แล้วตอนที่เธอไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยไม่ได้ต้อนรับนักศึกษาใหม่อย่างอบอุ่นขนาดนี้ หรือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง คุณสมบัติก็ค่อนข้างสูงตามไปด้วยนะ!
“เธอ เธอเรียนคณะภาษาจีนใช่ไหม? “
“เธอ เธอเรียนคณะสาขาต่างประเทศเลย ตามผมมาได้เลยไม่ผิดแน่นอน!”
“เธอ อย่าฟังพวกเขาพูดไร้สาระ เธอต้องเรียนคณะปรัชญาของพวกเราแน่นอน……”
พวกผู้ชายพากันส่งเสียงแย่งกันพูดคณะของตนเองอย่างไม่มีใครยอมใคร มองเหมยเหมยตาปริบ ๆหวังว่าปากของเธอจะพูดคำตอบที่พวกเขาอยากได้ยิน
เหมยเหมยฉีกยิ้มเล็กน้อย รีบส่ายหัวให้พวกเขาแล้วพูด “ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละคะ ฉันเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ มีรุ่นพี่คณะศิลปกรรมศาสตร์ ไหมคะ?”
พวกผู้ชายได้ยินเสียงที่อ่อนหวานของเหมยเหมยก็สูดลมหายใจอย่างเคลิ้บเคลิ้ม นางฟ้าตัวน้อยไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาสวย เสียงก็เพราะมากเหมือนกัน!
น่าเสียดาย สวรรค์ไม่เห็นใจเรา นางฟ้าตัวน้อยไม่ใช่น้องในคณะของพวกเขา!
“มี…ต้องมีอยู่แล้วสิ…”
มีเสียงเรียบตะโกนดังขึ้นมา มีนักเรียนชายคนหนึ่งที่หน้าตาซื่อๆรูปร่างสูงใหญ่เบียดตัวเข้ามา น่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร สูงกว่าเหยียนหมิงซุ่นหน่อย สะบัดนักเรียนชายที่ห้อมล้อมตัวเหมยเหมยไปอีกด้านอย่างสบาย ๆราวกับสะบัดลูกไก่ก็ไม่ปาน
“เธอเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ เหรอ? ฉันชื่อฉางชิงซงเป็นรุ่นพี่ศิลปกรรมศาสตร์ปีสอง ฉันจะพาเธอไปรายงานตัวเอง!” สำเนียงของชิงซงเหมือนสำเนียงของคนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดูเป็นสุภาพบุรุษและกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ และปฏิบัติต่อคนอื่นแบบนี้จริง ๆ ทันทีที่เขาขึ้นมาก็หิ้วกระเป๋าเดินทางของเหมยเหมยเดินไปเลย
กระเป๋าเดินทางของเหมยเหมยไม่ได้ใส่ของอะไรมาก มีแค่เสื้อผ้าเอาไว้ใช้เปลี่ยนเพียงเล็กน้อย และอุปกรณ์อาบน้ำบางส่วน เธอใส่ทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่เก็บของของฉิวฉิวแล้ว และเวลานี้ฉิวฉิวก็นอนหลับสบายอยู่ในกระเป๋าเป้ของเธอ!
ฉางชิงซงหิ้วขึ้นมาดูก็รู้ว่าไม่ใช่กระเป๋าเดินทางราคาถูก แล้วก็หันไปมองเหมยเหมย ถึงแม้ว่าจะเป็นเสื้อธรรมดา แต่เขามีดวงตาที่ร้ายกาจ แค่แวบเดียวก็รู้เลยว่าเสื้อผ้ากางเกงยีนส์ทั้งหมดเป็นของแบรนด์ทั้งนั้น ชุดหนึ่งราคารวม ๆก็หลายร้อยหยวนแล้ว
ไหนจะหยกสีชา(ฉาฉา) ตรงข้อมือของหญิงสาวที่โผล่ให้เห็นหลังพับแขนเสื้อขึ้นและข้อมืออีกข้างใส่นาฬิกาลองจิ้น ทุกส่วนแสดงให้เห็นถึงความหรูหราดูดีมีระดับของนักศึกษาสาวมาใหม่คนนี้
ต้องไม่ใช่ครอบครัวคนมีเงินธรรมดาแน่นอน !
ตอนที่ 1348 ดาวมหาวิทยาลัยคนใหม่
ฉางชิงซงนึกว่ากระเป๋าเดินทางจะหนักแต่พอยกขึ้นถึงได้ค้นพบว่ากระเป๋าเบาหวิว จนเขาสามารถหิ้วมันได้ด้วยนิ้วเดียว อดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “เธอ เธอเอากระเป๋ามาแค่นี้เองหรือ?”
มองนักเรียนที่มาใหม่คนอื่น ๆ ทุกคนต่างแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่ไหล่ซ้าย แบกผ้าห่มกับที่นอนหนา ๆไว้ที่ไหล่ขวา ในมือยังถือเสื่อเย็นเอาไว้ มืออีกข้างแน่นอนว่าต้องถือกะละมังกาต้มน้ำจำพวกนั้น ดีที่ไม่ใช่สาวอินเดีย ไม่อย่างนั้นบนหัวจะต้องแบกของเอาไว้ด้วยนะ
แต่คนอย่างเหมยเหมยกลับลากแค่กระเป๋าเดินทางใบเล็กหนึ่งใบ แบกกระเป๋าเป้ใบเล็กหนึ่งใบ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว นี่คือการออกไปเที่ยวต่างหาก!
เหมยเหมยมองออกถึงความสงสัยของฉางชิงซง พูดยิ้ม ๆว่า “ใช่ค่ะ มีแค่นี้ เยอะไปมันวุ่นวาย พวกเราต้องรายงานตัวที่ไหนเหรอ?”
ในใจของฉางชิงซงคันยุบยิบไปหมด เสียงนี้ทำให้คนตายได้จริง ๆ มิน่าล่ะในหนังสือถึงกล่าวไว้ว่าภาษาอู๋จะไพเราะน่าฟัง น้ำเสียงช่างนุ่มนวลเสียจริง!
เขาแอบชำเลืองมองเอวเล็กบางที่สามารถโอบได้ด้วยมือเดียวของเหมยเหมย เขาแอบเอามาเทียบกับมือใหญ่ดั่งพัดของเขา เขารู้สึกว่าเอวเล็กนั่นบีบให้หักได้ด้วยมือเดียว ทำไมถึงได้บางขนาดนี้?
เขาต้องขอโทษคุณหญิงมาร์กาเร็ตแล้ว เอวของผู้หญิงบางได้ขนาดนั้นจริง ๆ เอวของนักเรียนใหม่ตรงหน้ากับเอวของสกาเร็ตเล็กบางเหมือนกัน คุณหญิงมาร์กาเร็ตไม่ได้โม้จริง ๆ!
อีกทั้งเขายังรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง สำเนียงของเหมยเหมยแค่ฟังก็รู้ว่าเป็นคนทางฝั่งเมืองอู๋ ทำไมถึงได้พกกระเป๋ามาแค่นี้ล่ะ? ขนาดผ้าห่มก็ไม่พกมาด้วย ตอนกลางคืนจะนอนได้อย่างไร?
“เธอ เมืองหลวงตอนกลางคืนหนาวอยู่นะ ไม่ร้อนเหมือนทางใต้ ตอนกลางคืนต้องห่มผ้า หรือว่าอีกเดี๋ยวจะไปซื้อผ้าห่มที่ร้าน ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนจะทนไม่ไหวนะ” ฉางชิงซงเตือนด้วยความหวังดี ยังคิดไปว่าเหมยเหมยมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกคงไม่รู้สภาพภูมิอากาศที่นี่
เหมยเหมยยิ้ม “บ้านฉันอยู่ที่นี่ ขาดเหลืออะไรกลับไปเอาก็ได้”
ฉางชิงซงนิ่งตะลึงก่อน ต่อมาถึงเริ่มหน้าแดงก่ำอายจนอยากหาที่มุดหัวหนีเสีย เขาเป็นคนในพื้นที่ เขาซึ่งเป็นคนนอกยังจะอวดดีต่อหน้าเขาอีก ไม่รู้ว่าคนสวยที่มาใหม่จะหัวเราะเยาะเขาไหม
“ขอบคุณรุ่นพี่ที่เตือนนะคะ อันที่จริงฉันก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองหลวงนี้มากนัก ไม่ได้พกเสื้อผ้าหนา ๆมาด้วย คาดไม่ถึงว่าตอนกลางคืนอากาศจะหนาว งั้นอีกครู่ฉันกลับไปหยิบเสื้อผ้าหนา ๆมาแล้วกันเนอะ” เหมยเหมยมองออกถึงความอึดอัดใจของเขาเลยจงใจพูดขึ้นมา
ฉางชิงซงผ่อนลมหายใจ รีบพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ๆ ๆ ต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าหนา ๆมา ที่นี่พอถึงตอนกลางคืนต้องใส่เสื้อคลุมเพิ่ม ไม่อย่างนั้นจะหนาวเอาได้”
เหมยเหมยอมยิ้ม นักศึกษาชายคนนี้ดูน่าสนใจมากทีเดียว รูปร่างหน้าตาเหมือนนักกีฬาแต่กลับมาเรียนศิลปะ
นักศึกษาชายคนอื่นได้แต่มองนางฟ้าตัวน้อยอย่างไม่พอใจที่ปล่อยให้ชายร่างใหญ่จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ ทำคะแนนนำลิ่วไปก่อน ลอบถอนหายใจเงียบ ๆพลางแอบเสียดายที่ทำไมตอนแรกถึงไม่สมัครสอบคณะศิลปกรรมศาสตร์นะ!
นางฟ้าตัวน้อยที่งดงามขนาดนี้ ทำได้แค่ทอดสายตามองอยู่ไกล ๆ ขนาดจะคุยด้วยสักประโยคก็ยังไม่ได้ ไหนเลยจะเหมืองฉางชิงซงที่ได้ตามติดปรนนิบัตินางฟ้าตัวน้อยอย่างใกล้ชิดอย่างนั้นเล่า!
“ตามที่ฉันคิด ดาวมหาวิทยาลัยปี้นี้ปรากฏตัวแล้ว จะต้องเป็นน้องใหม่คนนั้นแน่นอน” มีนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างมั่นใจ
“ยังจะต้องให้นายพูดหรือไง รุ่นพี่เซียวยังต้องหลีกทางให้ แล้วฉันรู้สึกว่าดาวมหาวิทยาลัยคนนี้น่าจะได้ครองตำแหน่งสี่ปีซ้อนแน่นอน”
“เฮ้ย คราวนี้สถิติต้องถูกทำลาย ฉันจำได้ว่าประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเรานานที่สุดคือสามปีเท่านั้น คนก่อนรุ่นพี่เซียวก็แซ่เซียวเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขายังเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย รุ่นพี่เซียวคนนั้นเป็นดาวมหาวิทยาลัยมาสามปีซ้อนจนปีสุดท้ายโดนรุ่นพี่เซียวเว่ยแย่งตำแหน่งไป”
“มา ๆ ๆ…พวกเรามาพนันกันไหม มาพนันกันว่าดาวมหาวิทยาลัยคนใหม่จะสามารถดำรงตำแหน่งได้กี่ปี?” มีคนตะโกนด้วยความสนใจ
“ฉันพนันเลย…สี่ปีซ้อน!”
“สามปีซ้อน…”
…
……………………………………………………
ตอนที่ 1349 เลี้ยงน้ำโค้ก
ฉางชิงซงพาเหมยเหมยไปลงชื่อรายงานตัวสำหรับนักศึกษาใหม่ เขาแอบเหลือบไปเห็นหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียนของเหมยเหมย เห็นชื่อด้านบน ——จ้าวเหมย อดไม่ได้ที่จะนิ่งตะลึง ชื่อนี้คุ้นมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ?
จากนั้นก็มองไปที่บ้านเกิดของเหมยเหมยก็แอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวที่มาจากเมืองใหญ่ ฐานะทางครอบครัวดี ไม่แปลกเลยที่นิสัยใจคอจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในบรรดาเด็กใหม่จำนวนมากแค่มองแวบเดียวก็มองออกแล้ว
เหมยเหมยกรอกแบบฟอร์มเสร็จ ทำตามขั้นตอนการรับสมัครเรียบร้อย ฉางชิงซงรีบพูดว่า “ฉันจะพาเธอไปที่หอพัก พวกเธออยู่บนชั้นสี่ แบกกระเป๋าเดินทางจะเหนื่อยมาก”
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณรุ่นพี่ด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นอีกครู่ฉันขอเลี้ยงข้าวกลางวันตอบแทนแล้วกัน”
เหมยเหมยรู้สึกว่าฉางชิงซงนั้นไม่เลว มองออกว่าเป็นผู้ชายที่กระตือรือร้นจริงใจไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ควรจะคบหาเอาไว้
“ไม่ต้องเปลืองเงินหรอก นี่คืองานของพี่ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงข้าวหรอก รุ่นน้องจ้าวเธอไม่ต้องเกรงใจไปนะ วันหลังเธอมีอะไรตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็แค่มาถามพี่ พี่เรียนด้านวาดภาพสีน้ำมัน เป็นพี่เธอแค่หนึ่งรุ่นเท่านั้นเอง”
ฉางชิงซงปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคงกระดากใจหากรุ่นน้องจ่ายเงินให้ อีกทั้งยังเป็นรุ่นน้องสาวสวยขนาดนี้ ขายขี้หน้าชะมัด
“ได้เลยค่ะ วันหลังคงรบกวนรุ่นพี่อีกแน่นอน อากาศค่อนข้างร้อน ไม่อย่างนั้นฉันเลี้ยงโค้กพี่ก็แล้วกัน”
เหมยเหมยเห็นว่ามีเครื่องโค้กอยู่ริมถนนตรงทางเข้าโรงอาหาร อดดีใจไม่ได้วิ่งแจ้นไปซื้อมาสองแก้ว แก้วใหญ่หนึ่งแก้ว แก้วเล็กหนึ่งแก้ว ไม่แพงด้วย แก้วใหญ่หนึ่งหยวน แก้วเล็กห้าสิบสตางค์ รวมทั้งหมดหนึ่งหยวนกับห้าสิบสตางค์เองแล้วยังได้เยอะกว่าซื้อโค้กกระป๋องอีก และยังสามารถเลือกรสชาติได้เองด้วย เหมือนกับเหมยเหมยที่ชอบดื่มสไปรท์ผสมโค้ก
ฉางชิงซงยังไม่ทันได้ห้ามเธอ เหมยเหมยก็กลับมาพร้อมกับโค้กสองแก้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้โค้กจะไม่ใช่ของหายากอะไร แต่ราคานี้สำหรับนักศึกษาหลายคนแล้วยังถือว่าแพงไปหน่อย
ถึงอย่างไรหมูตุ๋นน้ำแดงในโรงอาหารก็ราคาแค่ห้าเหมา วุ้นเส้นตุ๋นกับหมูและกะหล่ำปลีหนึ่งทัพพีใหญ่ ๆก็ราคาแค่สามเหมา มีเนื้อสัตว์มีผักและซุป จัดหมั่นโถวชิ้นใหญ่ไปอีกสามอันก็อิ่มจนพุงกางแล้ว เสียไม่ถึงหนึ่งหยวนด้วยซ้ำคุ้มค่ากว่าการดื่มน้ำอัดลมนี้อีก
“รุ่นน้อง เธอใช้เงินเปลืองเกินไปแล้ว…ไม่อย่างนั้นพี่ดื่มแก้วเล็กก็แล้วกัน!”
ฉางชิงซงรู้สึกเกรงใจถ้าจะรับแก้วใหญ่มา เหมยเหมยเอาแก้วใหญ่ยัดใส่มือของเขา “ฉันดื่มแก้วใหญ่ขนาดนั้นไม่ไหวหรอก รุ่นพี่ฉางอย่าเกรงใจเลย รีบ ๆดื่มเถอะ”
“ได้…ถ้างั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วนะ พูดถึงนี่เพิ่งเป็นครั้งที่สองที่พี่ได้ดื่มน้ำอัดลมนะเนี่ย!”
ฉางชิงซงไม่ได้วางมาดอีกต่อไปรับโค้กมาอย่างจำยอม แต่นั่นกลับทำให้เหมยเหมยรู้สึกดีกับเขามากขึ้นไปอีก
ไม่เคยดื่มโค้กมาก่อนก็ไม่เห็นน่าอายเลย ไม่มีอะไรต้องปิดบังเสียหน่อย
ทว่าบางคนที่คิดไม่ได้มักจะกังวลกลัวว่าคนอื่นจะดูถูกตัวเอง ทั้ง ๆที่เป็นของที่ไม่เคยเห็นไม่เคยกินมาก่อนก็ยังจะดึงดันบอกว่าตัวเองกินอยู่บ่อย ๆ มากไปกว่านั้นยังมีคนบางประเภทชอบแอบอ้างเอาของ ๆคนอื่นมาอวดเหมือนเป็นของตัวเอง
ยุคนี้เรียกว่าคนจนขี้อวด ยุคหลังถึงเรียกว่าคนจนตอแหล!
ตรงไปตรงมาเหมือนฉางชิงซงดีจะตาย ไม่มีใครหน้าไหนมาดูถูกเขา ในทางตรงกันกลับทำให้รู้สึกว่าคน ๆนี้ควรค่าแก่การคบหาผูกมิตรอีกด้วย!
เหมยเหมยหันไปยิ้มให้ฉางชิงซง “น้ำอัดลมนี้ฉันเองก็ไม่ได้ดื่มบ่อย ๆหรอก เคยดื่มแค่ไม่กี่ครั้งเอง”
เธอเคยดื่มแค่ไม่กี่ครั้งจริง ๆเพราะเธอดื่มน้ำเย็นน้อยมาก หน้าร้อนดื่มบ้างสามสี่ครั้ง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะฉางชิงซง ขนาดแก้วเล็กเธอก็จะไม่แตะเลย
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เหมยเหมยดื่มไปสองสามอึกก็ดื่มต่อไม่ลงแล้ว ฟองอากาศดันขึ้นมาจนทำให้เธออยากสะอึก และไม่ต้องให้เธอร้องเรียกฉิวฉิวที่อดทนไม่ไหวนานแล้วก็กลิ้งตัวออกมาจากกระเป๋า สไลด์เข้าไปในมือของเธอ กระดกหางขึ้นดื่มอึก ๆ ๆ
ดื่มไปหลายอึก คุณชายฉิวก็ยกอุ้งเท้าขึ้นเพื่อทำความสะอาดเครา หางสะบัดไปมา ขนปุกปุยเป็นก้อน ใครเห็นก็อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าไปสัมผัส
ตอนที่ 1350 ไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้าใกล้
ฉางชิงซงมองตะลึงเหมือนคนเอ๋อ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรับรู้ว่าบนมือของเหมยเหมยเป็นสิ่งมีชีวิต ตอนแรกคิดว่ามันเป็นแมว แต่ในไม่ช้าก็พบว่ามันไม่ใช่แมว แมวไม่ได้มีหางใหญ่ขนาดนั้น อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “นี่ตัวอะไรเหรอ? เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอเหรอ?”
“ใช่ เพื่อนสนิทฉันเอง ฉิวฉิว ทักทายรุ่นพี่ฉางหน่อยเร็ว”
เหมยเหมยยกหูของฉิวฉิวที่ตั้งอกตั้งใจดื่มโค้กอยู่ขึ้นมา คุณชายฉิวยกอุ้งเท้าปัดอย่างรำคาญใจ แต่ก็ยังหันไปยื่นอุ้งมือทักทายฉางชิงซงที่ยังนั่งทำหน้าเอ๋ออยู่ แล้วก็ก้มหน้าดื่มโค้กต่อไป
ฉางชิงซงมองอย่างฉงน “ที่แท้ก็เป็นกระรอกตัวหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นกระรอกขนสีขาวนะเนี่ย ดูท่าแล้วช่างแสนรู้เสียจริงมันสามารถฟังภาษาคนออกด้วยเหรอ?”
“เพราะว่ามันอยู่กับฉันมานานหลายปีเลยฟังออกอยู่บ้าง รุ่นพี่ฉาง หอพักของที่โรงเรียนสามารถเลี้ยงฉิวฉิวได้ไหม? มันเชื่อฟังเลี้ยงง่ายมากเลยนะ” เหมยเหมยลองไถ่ถาม
ถ้าหากโรงเรียนไม่ให้เลี้ยง เธอก็จะพักอยู่บ้านที่เหยียนหมิงซุ่นจัดหาเอาไว้ให้ จะทำให้ฉิวฉิวน้อยใจไม่ได้เด็ดขาด
ฉางชิงซงเกาหัวด้วยความลำบากใจ “ข้อนี่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามเลี้ยงนะ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเลี้ยงได้ งั้นเดี๋ยวพี่ค่อยไปถามอาจารย์ให้เอาไหม?”
เหมยเหมยรีบส่ายหัว “งั้นไม่ต้องถามหรอก ถามแล้วอาจารย์ต้องไม่ให้เลี้ยงแน่นอน ในเมื่อกฎไม่ได้บอกว่าห้ามเลี้ยง งั้นฉันก็เลี้ยงไปก่อนแล้วกัน”
ฉางชิงซงก็เห็นด้วย “น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ฉิวฉิวน่ารักขนาดนี้ ฉันเห็นยังชอบจะตายอยู่แล้ว ไม่มีใครรังเกียจมันลงหรอก”
ทันใดนั้นฉิวฉิวก็รู้สึกชอบตาโง่คนนี้ขึ้นมาเป็นสองเท่า ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูโง่ไปหน่อยแต่สายตาหลักแหลมไม่เบา มันยกอุ้งเท้าขึ้นและหันไปสั่นกระดุกกระดิกทางฉางชิงซง แถมยังส่งเสียงเรียกอยู่สองสามครั้ง เหมยเหมยช่วยแปลให้ “ฉิวฉิวกำลังชมพี่อยู่ค่ะ มันบอกว่าพี่สายตาหลักแหลมมาก”
ฉางชิงซงไหนเลยจะรู้ว่าฉิวฉิวพูดแบบนี้จริง ๆคิดไปเองว่าเหมยเหมยแปลเอง แต่เขาก็ยังรู้สึกดีใจ ยิ้มกว้างหัวเราะร่า ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงชั้นล่างของหอพักหญิง
ฉิวฉิวดื่มโค้กหมดก็กลับเข้าไปในกระเป๋าเป้อย่างว่าง่ายไม่ต้องให้เหมยเหมยสั่งเลย ฉางชิงซงที่มองอยู่ก็รู้สึกแปลกใจอีกครั้ง รู้สึกแค่ว่าสมแล้วที่เหมยเหมยมีกลิ่นอายของนางฟ้า สัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงก็ยังมีความเฉลียวฉลาดแสนรู้อีก
ห้องนอนของเหมยเหมยคือ 406 อาคารหอพักแห่งนี้กล่าวกันว่าสร้างขึ้นในสมัยสาธารณรัฐจีน พื้นไม้กระดานอิฐแดง ตรงกลางเป็นทางเดินหินอ่อน ทั้งสองด้านเป็นหอพักห้องเดี่ยวได้สัดส่วน ห้องน้ำและห้องซักล้างมีอยู่ทั้งสองฝั่งทั้งชั้นใช้ร่วมกัน
ฉางชิงซงกำลังจะส่งเหมยเหมยขึ้นชั้นบน ก็มีชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบคนหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล ตามด้วยหญิงวัยกลางคน พวกเขาสองคนหอบของพะรุงพะรัง วิ่งเสียงดังตึกตักเข้ามา
“คุณหนู หาคุณเจอเสียที คุณชายหมิงให้พวกเรามาช่วย” ชายวัยกลางคนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าไม่แดงและไม่หายใจหอบถี่เพราะความเหนื่อยสักนิด ผู้หญิงข้าง ๆก็เช่นกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าเหยียนหมิงซุ่นจะหาตัวสองคนนี้มาได้ สองสามีภรรยาต่างก็เป็นทหารผ่านศึกทั้งคู่ ทักษะดีมาก หลังจากกลับบ้านก็ไปทำงานในชนบท มีชีวิตที่ไม่ได้ดีมากเท่าไรแม้แต่พ่อแม่และลูกก็เลี้ยงไม่ไหว เหยียนหมิงซุ่นหาคู่สามีภรรยาเจอเข้าจึงส่งตัวพวกเขามาอยู่ดูแลข้างกายเหมยเหมย
สองสามีภรรยามีทักษะกังฟูที่ไม่เลว และผู้หญิยังมีทักษะการทำอาหารที่ดี เหมาะที่จะดูแลภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นที่สุด
เป็นครั้งแรกที่เหมยเหมยเจอหน้าสองคนนี้ แต่ก่อนหน้านั้นเหยียนหมิงซุ่นก็โทมาบอกเกริ่น ๆเอาไว้แล้ว จึงถามขึ้นว่า “ใช่คุณอาเหลากับคุณน้าฟางใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้ว คุณชายหมิงขอให้พวกเรามาดูแลคุณหนู พ่อหนุ่มน้อยกระเป๋าเดินทางฉันถือเองดีกว่า ลำบากนายแย่แล้ว!” คุณน้าฟางแย่งกระเป๋าเดินทางมาจากมือของฉางชิงซงแล้วเอาก้นเบียดจนฉางชิงซงตัวกระเด็น
คุณชายหมิงเคยสั่งเอาไว้ว่าจะต้องดูแลปกป้องคุณหนูอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะห้ามให้ผู้ชายที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตัวคุณหนูได้ หากเธอทำได้ก็เอาเงินเดือนสูง ๆไปเลย!
…………………………………………..
ตอนที่ 1351 ไม่ร่ำรวยก็เป็นตระกูลชั้นสูง
เหมยเหมยลูบหน้าผากป้อย ๆทั้งรู้สึกหวานจับใจ ทั้งรู้สึกโมโห ก็บอกไปแล้วว่าเธออยากจะมารายงานตัวคนเดียว เหยียนหมิงซุ่นก็ยังจะส่งสองคนนี้มาอีก จริง ๆเลย!
“ขอบคุณรุ่นพี่มาก ๆนะคะ เอาเป็นว่าวันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวพี่นะ!”
เหมยเหมยทำได้แค่ให้ฉางชิงซงกลับไป ดูท่าทางของอาเหลาน้าฟางทั้งสองคนแล้ว กลัวว่าต่อให้ของเยอะกว่านี้อีกหนึ่งเท่าพวกเขาสองคนก็แบกไหว
เวลานี้ฉางชิงซงมองออกเลยว่าเหมยเหมยถ้าไม่ใช่คนรวยก็ต้องเป็นพวกตระกูลชั้นสูง ครอบครัวคนธรรมดาที่ไหนจะเอาตัวคู่สามีภรรยาสองคนมาทำงานด้วยได้? อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้วเกรงว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะถูกเชิญมาเพื่อดูแลเด็กใหม่คนเดียวโดยเฉพาะ
คน ๆเดียวมีคนดูแลตั้งสองคน ดูท่าแล้วเทียบเท่ากับเจ้าหญิงได้เลย!
เดิมทีฉางชิงซงยังมีความคิดจะจีบเหมยเหมยอยู่บ้างแต่ตอนนี้กลับหายไปจนสิ้น เขาเข้าใจอยู่ลึก ๆว่าผู้หญิงอย่างจ้าวเหมยไม่ใช่ว่าคนธรรมดาอย่างเขาจะเอื้อมถึง
ไม่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดว่าเป็นคุณชายหมิงส่งตัวมาหรือไง!
ผู้ที่ได้รับการเรียกว่าคุณชาย** ในเมืองหลวง ไม่ใช่แค่มีเงินเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัตินั้น วงการแบบนั้นห่างไกลจากเขามากเกินไป ขนาดมองการณ์ไกลยังไร้หนทางจะทำได้เลย
“งั้นพี่ไปรับนักศึกษาใหม่คนอื่น ๆแล้วกันนะ วันหลังหากรุ่นน้องมีตรงไหนสงสัยก็ไปหาพี่ที่อาคารหก ห้อง 304 หรือโทรมาที่ตึกหอพักของพวกเราก็ได้” ฉางชิงซงแสดงท่าทีเป็นมิตร
“โอเค วันหลังค่อยติดต่อไปนะ” เหมยเหมยกลับไม่ได้ปฏิเสธ
น้าฟางและอาเหลาลอบส่งสายตากับอย่างลับ ๆลอบพึมพำกันในใจ ไม่น่าล่ะคุณชายหมิงถึงได้ส่งพวกเขามาดูแลคุณหนู หน้าตาสะสวยดึงดูดคนมากมายขนาดนี้ แมลงวันเพศผู้ยังอดไม่ได้ต้องบินเข้ามาตอมใกล้ ๆ พวกเขาจะต้องจับตาดูไว้ให้ดีหน่อยแล้ว จะทำให้คุณชายหมิงผิดหวังที่ให้เงินมาเยอะขนาดนั้นไม่ได้
คู่สามีภรรยาสองคนสามารถสร้างรายได้สองพันหยวนต่อเดือน รวมอาหารและที่พักด้วย แค่งานบ้านเล็ก ๆน้อย ๆทำอาหารซักผ้ากวาดพื้นจะหางานดี ๆแบบนี้ได้ที่ไหนอีกเล่า!
ระเบียงทางเดินมีคนเดินพลุกพล่านต่างก็เป็นเด็กใหม่ที่แบกกระเป๋าเดินทางมากับผู้ปกครอง วุ่นวายอลหม่านอยู่ไม่น้อย
“406 ถึงแล้ว!” น้าฟางเดินนำหน้า ไม่นานก็พบห้องนอนของเหมยเหมย ห้องพักไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะเก่าไปหน่อยแต่เก็บกวาดได้สะอาดมาก มีนักเรียนสองคนเข้ามาในห้องแล้ว มันไม่เหมือนห้องอื่นที่แน่นขนัดไปด้วยคน
“เหมยเหมย เตียงของหนูอยู่นี่ ทำเลที่ตั้งก็ค่อนข้างดี เตียงชั้นบนริมหน้าต่าง น้าจะจัดเตียงให้เอง!“ น้าฟางเคลื่อนไหวอย่างขะมักเขม้นและยังเป็นคนฉลาดเช่นกัน เมื่อครู่เหมยเหมยบอกเธอว่าต่อไปอย่าเรียกเธอว่าคุณหนู เธอก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
อาเหลาก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองว่างเช่นกัน นำอ่างไปที่ห้องน้ำเพื่อตักน้ำ เริ่มเช็ดโต๊ะและเตียง เหมยเหมยต้องการช่วย แต่พวกเขาปฏิเสธ “นั่งเฉย ๆก็พอแล้ว อีกครู่เดียวพวกเราก็ทำเสร็จแล้ว อย่าทำให้มือด้านเลย”
“พ่อแม่เธอช่างรักเธอจริง ๆ!”
มีหญิงสาวที่หน้าตาสวยหมดจดเอ่ยขึ้นอย่างอิจฉา เธอคือคนที่อยู่บนเตียงชั้นบนตรงข้ามกับเหมยเหมย บนเตียงมีป้ายชื่อติดไว้เป็นลายมือเขียนตัวเล็ก ๆที่แสนบรรจง ถังม่านลี่ น่าจะเป็นชื่อของผู้หญิงคนนี้
ชื่อนี้สอดคล้องกับความเป็นจริง ถังม่านลี่หน้าตาดูสบายตาเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าอวัยวะทั้งห้าจะไม่สวยสมบูรณ์มาก คิ้วหนาไปหน่อย จมูกแบนไปเล็กน้อย ปากใหญ่และหนาไปหน่อย แต่พออยู่รวมกันกลับสวยมาก มีอะไรบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
อีกทั้งรูปร่างสัดส่วนของถังม่านลี่ก็ไม่เลว สูงถึง 170 เซนติเมตร ส่วนโค้งส่วนเว้าก็ดูดีไปหมด ทุกสัดส่วนแผ่ซ่านความเป็นสาวโตเต็มวัยออกมาอย่างเต็มที่
เหมยเหมยหันไปยิ้มให้เธออย่างมีมารยาทพลางอธิบายว่า “พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ของฉันหรอก เป็นอากับน้า ตั้งใจมาส่งฉันรายงานตัว”
น้าฟางหันไปฉีกยิ้มให้ถังม่านลี่ปรากฏฟันซี่ขาว พูดเสียงดังว่า “สาวน้อยก็มาจากเจ่าจางใช่มั้ย? พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกัน เธอมาจากส่วนไหนของเจ่าจาง? ฉันมาจากเมืองต้าหวัง”
ตอนที่ 1352 ดูถูกคนชนบท
สีหน้าของถังม่านลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อยดูท่าทางไม่ค่อยชอบใจเท่าไร นั่งยืดตัวตรง พูดภาษาจีนกลางนุ่มนวลต่างจากเมื่อครู่ “ฉันมาจากเมืองจ่าวจวง ไม่ใช่คนชนบท”
ตอนที่พูดถึงคนชนบท นัยน์ตาของถังม่านลี่มีท่าทีดูถูกฉายวับมา ถึงแม้จะพาดผ่านแค่ช่วงเวลาสั้น ๆแต่เหมยเหมยกลับจับได้ จึงรู้สึกไม่ชอบถังม่านลี่คนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว
เธอมองไปที่เสื้อผ้าบนตัวของถังม่านลี่ก็เป็นแค่เพียงเสื้อผ้าราคาถูก วัสดุเกรดต่ำ คิด ๆดูแล้วต่อให้ถังม่านลี่เป็นคนในเมืองฐานะครอบครัวก็คงจะไม่ได้ดีมาก ไม่รู้จริง ๆว่าเธอเอาความรู้สึกหยิ่งผยองนี้มาจากไหน?
มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกคนชนบท?
แน่นอนว่าน้าฟางก็มองออกว่าถังม่านลี่เหยียดหยามคนชนบท ยิ้มอย่างเบิกบาน ตั้งใจพูดว่า “ที่แท้คุณก็เป็นคนในเมืองนี่เอง ไม่น่าล่ะหน้าตาถึงได้ดูดีขนาดนี้ ไม่เหมือนสาว ๆในชนบทของเรา ทำงานทุกวันจนมือด้านไปหมดแล้ว”
ถังม่านลี่หดมือกลับตามสัญชาตญาณ เหมยเหมยสายตาหลักแหลมจึงสังเกตเห็นนานแล้วว่ามือของถังม่านลี่เป็นส่วนที่น่าเกลียดที่สุดในร่างกายของเธอ ข้อนิ้วมือหนาและผิวหยาบกร้าน หากมองแวบแรกไม่ต่างจากมือผู้ชาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอทำงานมาไม่น้อยและไม่ใช่งานสบาย ๆอีกด้วย
“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่เด็ก ๆมาแม่ฉันก็ไม่ให้ฉันทำงานเลย บอกว่าลูกผู้หญิงต้องเลี้ยงดูอย่างดี”
เสียงของถังม่านลี่ฟังไม่รื่นหูสักนิด ทั้ง ๆที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักสดใส แต่กลับพูดเหมือนเสียงถูกบีบจมูกส่งเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนสาววัยใสเสียอย่างนั้น เหมยเหมยได้ยินแล้วขนลุกไปทั้งตัว
“นั่นก็เป็นเพราะฐานะครอบครัวของคุณดี บำรุงเลี้ยงดูได้ คนชนบทอย่างพวกเราไหนเลยจะเป็นแบบนั้นได้ เพียงแค่มีกินและได้สวมใส่เสื้อผ้าอุ่น ๆก็บุญโขแล้ว”
น้าฟางแอบหันไปขยิบตาให้เหมยเหมย เหมยเหมยก้มหน้าลงแอบหัวเราะ น้าฟางคนนี้ก็มีนิสัยชอบยียวนคนอื่นเล่นไม่เบา ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าถังม่านลี่กำลังคุยโวโอ้อวดแต่ก็ยังเล่นไปกับเธอด้วย
ถังม่านลี่กลับฟังไม่ออก ส่งเสียงฮึอย่างลำพองใจเบา ๆ แต่กลับรู้สึกชอบใจน้าฟางขึ้นมาหน่อย ทั้งยังรู้สึกว่าน้าจากชนบทคนนี้พูดจาเป็น
ตอนแรกเธอตกตะลึงกับความสวยของเหมยเหมยแต่ตอนนี้มันมลายหายไปหมดแล้ว ทั้งอาและน้าล้วนมาจากชนบทและยังเป็นถิ่นทุรกันดารอย่างเมืองต้าหวังซึ่งเป็นเมืองที่ยากจนที่สุดในจ่าวจวง คิด ๆดูแล้วเด็กใหม่คนนี้ฐานะทางครอบครัวก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไร ตอนแรกเห็นแต่งตัวแบบนี้จึงทำเอาเธอคิดไปเองว่าเด็กใหม่คนนี้น่าจะมาจากเมืองใหญ่อย่างเมืองจินเสียอีก!
เชอะ เด็กใหม่คนนี้จะต้องโอ้อวดมากกว่าเธอแน่นอน!
พระเจ้าไม่ยุติธรรม นึกไม่ถึงว่าจะบันดาลให้ผู้หญิงคนนี้มีใบหน้าสะสวยขนาดนี้ เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าตัวเองสวยพอสมควรแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าสวยยังไม่ได้ครึ่งของเด็กใหม่นั่นเลย ไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ!
มีสาวร่างสูง คิ้วหนาและดวงตากลมโตแววตาเป็นประกายอีกคน หันมาแนะนำตัวเองกับเหมยเหมยว่า “ฉันชื่อฉีฉีเก๋อ เป็นคนมองโกเลียในนะ”
“ฉันชื่อจ้าวเหมย เป็นคนเมืองจิน มองโกเลียในเป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ ทุ่งหญ้าใหญ่แถมยังขี่ม้าได้ด้วย!”
เหมยเหมยอิจฉามาก เมื่อก่อนเหยียนหมิงซุ่นเคยพาเธอไปเที่ยวที่ทุ่งหญ้าอยู่สองสามวัน นอนบนทุ่งหญ้า ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้นสวยมากจริง ๆ คนเลี้ยงสัตว์ก็กระตือรือร้นมีน้ำใจเช่นกัน เพียงแต่เธอไม่ชินกับอาหารที่นั่น ไปไม่กี่วันก็ผอมโซ ไม่งั้นคงอยู่เที่ยวได้อีกหลายวัน
ฉีฉีเก๋อยิ้มอย่างร่าเริง “ที่บ้านฉันมีม้าและฉันเองก็เติบโตมาบนหลังม้าตั้งแต่เด็ก หากเธออยากขี่ม้าวันหลังไปเที่ยวบ้านฉันได้เลย ฉันจะเลี้ยงชานม เต้าหู้นมเธอเอง”
เหมยเหมยดีใจก่อนเป็นอันดับแรกแต่ไม่นานเขาก็ยู่หน้าอีกครั้ง “ไปเล่นที่บ้านเธอรับรองว่าไม่มีปัญหา แต่ชานมและเต้าหู้นมฉันขอไม่กินแล้วกัน ฉันไปเที่ยวที่นั่นกลับมาทุกอย่างดีหมดแค่ไม่ชินกับอาหารการกินเท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าอาหารที่นั่นของพวกเธอไม่ดีนะ มันเป็นปัญหาของฉันเอง”
ฉีฉีเก๋อหัวเราะร่า “พวกเธอคนใต้ไม่คุ้นชินกับอาหารแบบนั้นอยู่แล้วก็เหมือนฉันที่ไม่ชอบกินผัก ไม่ชอบกินข้าวนั่นแหละ”
ถังม่านลี่รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เธอรู้สึกว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชา จึงพูดแทรกขึ้นว่า “จ้าวเหมยเธอไม่ใช่คนจ่าวจวงเหรอ? ทำไมถึงเป็นคนเมืองจินไปได้ล่ะ?”
…………………………………………….
ตอนที่ 1353 ดอกไม้งามมากเกินไป
เสียงของถังม่านลี่เล็กแหลม อีกทั้งยังซ่อนความสุขในใจอยู่ลึก ๆ อารมณ์ประมาณว่าจับผิดคนอื่นได้สำเร็จ เหมยเหมยอดมุ่นคิ้วไม่ได้ รู้สึกไม่ชอบถังม่านลี่มากขึ้นไปอีก
จะมาใส่ใจเรื่องที่ว่าบ้านเธออยู่ไหนไปทำไม?
“ฉันไม่ได้พูดเสียหน่อยว่าฉันเป็นคนจ่าวจวง ฉันเป็นคนเมืองจิน เกิดและเติบโตมาแต่กำเนิด”
เหมยเหมยพยายามอดกลั้นความไม่พอใจไว้แล้วอธิบาย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวันแรกของการรายงานตัว อีกทั้งวันหลังยังต้องอยู่ด้วยกันอีกสี่ปีดังนั้นจึงไม่อยากให้ผิดใจกัน
แต่ถังม่านลี่กลับไม่ปล่อยผ่านไป ชี้ไปที่คู่สามีภรรยาน้าฟางแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่ใช่คุณอาคุณน้าของเธอเหรอ? พวกเขาเป็นคนที่มาจากเมืองต้าหวัง เธอจะเป็นคนเมืองจินได้อย่างไร?”
ถังม่านลี่พอได้ฟังว่าเหมยเหมยเป็นคนเมืองจินก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเพิ่มเป็นทวีคูณ รู้สึกว่าเหมยเหมยช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง เห็นอยู่ชัด ๆว่าเป็นคนชนบทที่ยากจนแร้นแค้น นึกไม่ถึงว่าจะเสแสร้งเป็นคนเมืองจิน
เชอะ อย่าคิดว่าจะปิดบังความจริงจากสายตาที่เฉียบคมของเธอได้
น้าฟางรีบพูดขึ้นมาว่า “ผู้หญิงอย่างเธอนี่น่าสนใจจริง ๆ ใครบอกว่าหลานสาวจะต้องมาจากที่เดียวกันกับอาน้าเหรอ? อีกอย่างพวกเราเองก็ไม่ใช่อากับน้าแท้ ๆเสียหน่อย พวกเราสองคนทำงานให้กับคุณหนู ครอบครัวเธอจ้างคนมาทำงานยังต้องเลือกบ้านเกิดด้วยหรือไง!”
“พรืด”
ฉีฉีเก๋อกลั้นไว้ไม่อยู่จนพ่นออกมา รีบปิดปากแน่นฝืนกลั้นเอาไว้ มีความสุขเสียจริง
เธอและถังม่านลี่มากันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โอ้โหเฮ้ย…แค่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ทำเอาอึดอัดใจจะตายอยู่แล้ว คิดดูว่าสาวมองโกเลียในที่กินเนื้อคำโตและดื่มเหล้าชามใหญ่ ทางที่ดีทำอะไรควรทำให้สุด ทำอะไรก็อย่าก้มหัวให้ใคร ทำเปิดเผยตรงไปตรงมาเลยดีที่สุด
แต่ถังม่านลี่ก็จริง ๆเลย ในสิบประโยคถ้ามีสักประโยคเป็นเรื่องจริงก็ขอบคุณสวรรค์มากแล้ว ทั้ง ๆที่ฝีมือการโกหกแย่มาก คิดดูว่าขนาดเธอที่เป็นคนซื่อ ๆยังฟังออก
มีใจหวังดีอยากจะเตือน แต่เมื่อวานก่อนออกเดินทางพ่อได้กำชับเป็นพิเศษว่าชาวฮั่นจิตใจคับแคบเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว หากออกไปจะพูดจาหรือทำธุระอะไรต้องระมัดระวังให้มาก อย่าโผงผางเหมือนอยู่บ้านเพราะจะผิดใจกับคนอื่นได้ง่าย
เพราะเหตุนี้ฉีฉีเก๋อถึงได้อดกลั้นไว้ทั้งคืนจนทำเอาเธออึดอัดใจจนจะตายอยู่แล้ว พอตอนนี้ได้ยินน้าฟางถากถ่างถังม่านลี่แบบนั้น คนที่สุขใจที่สุดก็คือเธอแล้วล่ะ
เวลานี่ถังม่านลี่ถึงได้เข้าใจ อาเหลาและน้าฟางเป็นแค่คนงานในบ้านของเหมยเหมย เธอนึกว่าเป็นนักศึกษาเหมือนกับเธอ อันที่จริงคนมีฐานะและเป็นคนเมืองจินด้วยสิ่งเหล่านี้ต่อให้เธออ้อนวอนแทบตายก็ไม่ได้มาด้วยซ้ำ
“เมื่อครู่พวกเธอก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน ทำเอาฉันเข้าใจผิดหมด” ถังม่านลี่ยิ้มเจื่อน
มีเสียงฝีเท้าร้อนรนตรงระเบียงทางเดิน มีคนตะโกนส่งเสียงอยู่ข้างนอกว่า “พวกเธอทำงานให้มันเร็ว ๆหน่อย เลือกเตียงที่ดีที่สุดให้ฉัน ต้องเป็นเตียงชั้นบนนะ ฉันไม่อยากนอนบนเตียงชั้นล่าง ทั้งเสียงดังทั้งสกปรก”
เป็นเสียงของผู้หญิงค่อนข้างแหบพร่า ไม่ไพเราะเสนาะหู แค่ได้ยินเสียงก็พอจะรู้ว่าเป็นคนแบบไหน เธอจะต้องเป็นคุณหนูใหญ่ที่หัวแข็งเอาแต่ใจตัวเองแน่นอน สำเนียงคล้ายคนเมืองหลวงเล็กน้อยแต่ก็มีสำเนียงคล้ายกับคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หวังว่าจะไม่ใช่ห้องเดียวกันกับเธอ ทว่า ——
“406 ถึงแล้ว…”
เสียงถึงคนก็ถึง ชายคนหญิงคนเดินหอบแฮก ๆเข้ามา ด้านหลังตามมาด้วยสาวร่างเล็กน่ารักอวบอิ่ม ใบหน้าขาวเนียนนุ่มนิ่ม เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูหน้าตาอิ่มเอมโหงวเฮ้งดีไม่เบา แต่นิสัยใจคอแบบนี้ใครจะกล้าเข้าหา
“คุณหนู เตียงของคุณหนูอยู่ที่นี่ เป็นเตียงชั้นล่าง” หญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ ชี้ไปที่ชั้นล่างของเหมยเหมยด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เหมยเหมยร้องในใจว่าซวยแล้ว จะนอนร่วมเตียงเดียวกับคนแบบนี้ได้อย่างไร!
“นี่ ฉันให้เธอร้อยหยวนเป็นการแลกที่กัน!”
สาวอ้วนควานหาแบงค์สีเขียวหนึ่งร้อยหยวนมาจากกระเป๋าของเธอ โบกอยู่เบื้องหน้าของเหมยเหมยอย่างลำพองใจ ถังม่านลี่มองตาเป็นมัน หนึ่งร้อยหยวนเพียงพอสำหรับเธอใช้จ่ายสองเดือนเลยนะ
ตอนที่ 1354 ใครมีเงินมากกว่ากัน
น้าฟางกระโดดลงมาขวางหน้าเหมยเหมย ยืดหลังตรงและตวาดใส่ “เบิกตาของคุณให้กว้างแล้วมองดูดี ๆสิว่าคุณหนูของพวกเราขาดแคลนเงินร้อยหยวนนี้หรือไง? ไม่อย่างนั้นฉันจะให้คุณสองร้อยหยวนแล้วรบกวนคุณไปนอนตรงระเบียงทางเดินแล้วกัน”
พูดไปน้าฟางก็ควานหาเงินสองร้อยหยวนใบใหม่เอี่ยมออกมาจากกระเป๋า สะบัดไปมาต่อหน้าสาวอ้วนอย่างกระหยิ่มใจ
สาวอ้วนหน้าถอดสี ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่ฐานะดีมาก ไม่เคยมีใครกล้าเอาเงินมาฟาดหน้าเธอแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ยายแก่นี่กลับ…
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ฉันไปนอนที่ระเบียงทางเดิน? นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!”
ถึงแม้ว่าสาวอ้วนจะโมโหมาก และถึงแม้เธอจะเป็นคุณหนูดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่อันที่จริงเธอก็พอจะมองคนออก เธอตามติดทำธุรกิจกับพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเด็ก จึงพอจะรู้วิธีการรับมือกับคนแต่ละประเภทได้อยู่บ้าง ตอนนี้เหมยเหมยดูไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย ๆ และคนที่จ้างมาทำงานก็ดูน่าเกรงขามกว่าคนของเธอมาก สาวอ้วนหดตัวลงและน้ำเสียงก็เบาลงเช่นกัน
น้าฟางส่งเสียงยิ้มเยาะ “งั้นเมื่อครู่เธอมีสิทธิ์อะไรมาขอให้คุณหนูของฉันเอาเตียงชั้นบนให้เธอ? เธอมีอำนาจบาตรใหญ่มาจากไหนเหรอ? อวดเงินหนึ่งร้อยหยวนของเธองั้นหรือ? หนึ่งร้อยหยวนก็ยังมีหน้าหยิบออกมาอวด!”
น้าฟางพูดไปก็ไม่ได้มองสาวอ้วนที่โกรธจนเดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าขาวเลยด้วยซ้ำราวกับแม่ไก่ที่เพิ่งออกไข่ หันมาขยิบตาใส่เหมยเหมยอย่างลำพองใจ เหมยเหมยมุมปากกระตุกช่างเหนื่อยใจเสียจริง
ดีเสียจริงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอทำให้เพื่อนร่วมห้องขุ่นเคืองไปแล้วสองคน ทั้งห้องมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น นอกจากเธอแล้วยังมีอีกหกคน ผิดใจไปแล้วสอง ฉีฉีเก๋อถือว่าไม่เลว ไม่รู้ว่าอีกสามคนที่เหลือจะเข้ากันได้ดีหรือเปล่า
น้าฟางยัดเงินสองร้อยหยวนกลับเข้ากระเป๋า นี่คือเงินที่เธอและสามีเพิ่งถอนออกมาจากธนาคาร อีกครู่จะส่งกลับบ้านเกิด คนแก่และเด็กที่บ้านกำลังรอเงินไว้ใช้จ่ายอยู่นะ!
“เอ่อ…ไม่งั้นมาแลกเตียงกับฉันไหมล่ะ ฉันก็เป็นเตียงบนอยู่ติดริมหน้าต่างด้วย” อยู่ดี ๆ ถังม่านลี่เอ่ยพลางจ้องไปที่แบงค์ร้อยหยวนในมือของสาวอ้วนอย่างกระหาย
สาวอ้วนกำลังกังวลอยู่พอดี พอเห็นว่ามีคนเต็มใจที่จะเปลี่ยนด้วย ไหนเลยจะไม่ยอมจึงยื่นเงินหนึ่งร้อยหยวนให้แก่ถังม่านลี่ทันที และขอให้พี่เลี้ยงของเธอช่วยจัดเตียงโดยเร็ว ถังม่านลี่ได้เงินหนึ่งร้อยหยวนก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฮัมเพลงเสียงเบาแล้วหอบผ้าปูที่นอนของตัวเองลงมาเปลี่ยนเป็นเตียงชั้นล่างของเหมยเหมย
“อันที่จริงฉันค่อนข้างที่จะชอบเตียงล่างกำลังกังวลอยู่เลยว่าจะไม่มีใครเปลี่ยนกับฉัน เพื่อนคนนี้มาช่วยคลายความกังวลของฉันพอดี” ถังม่านลี่แก้ตัว บางทีเธออาจจะไม่ต้องการใครคิดว่าเธอเปลี่ยนเตียงเพื่อเงินล่ะมั้ง
เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อทำเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปาก สีหน้าดูแคลนเล็กน้อย
นี่มันช่างเหมือนผู้หญิงขายบริการที่บอกว่าตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่แท้ ๆเลย!
น้าฟางหลุบตาลงเบะปาก เธอไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้คุณหนูอีก ไม่งั้นคนอารมณ์ร้อนอย่างเธอคงจะสวนกลับไปสักประโยคว่า “แน่จริงก็อย่าเอาเงินสิ!”
เป็นคนบ้านเดียวกันกับคนเช่นนี้ช่างทำให้คนจ่าวจวงอย่างพวกเขาขายหน้าเสียจริง!
ทำไมคนแบบนี้ถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะ?
คนคุมสอบตาถั่วหรือไง?
“ฉันชื่อเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เป็นคนเมืองหลวง” สาวอ้วนนั่งเบื่อ ๆจึงเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามอย่างมากที่จะพูดสำเนียงเมืองหลวง แต่ก็ยังปกปิดสำเนียงอีสานไว้ไม่ได้มักจะหลุดพูดออกมาอยู่เสมอ ดังนั้นเธอจะต้องไม่ใช่คนเมืองหลวงแท้ ๆอย่างแน่นอน
น่าจะย้ายมาเมืองหลวงได้ไม่กี่ปีสำเนียงเลยยังไม่เปลี่ยน!
ถังม่านลี่และเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดคุยถูกคอกันเป็นอย่างมาก ทัศนคติเข้ากันได้ดีจนเห็นได้ชัด บางครั้งก็ประจบนาฬิกาและเสื้อผ้าของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรวมไปถึงเครื่องประดับ เหมยเหมยกลับไม่รู้สึกอะไร แต่คนตรงไปตรงมาอย่างฉีฉีเก๋อกลับมุ่นคิ้วแน่น ทนไม่ไหวจนวิ่งออกไปอยู่หลายรอบ
ไม่อย่างนั้นเธอคงอกแตกตายได้!
หลังจากนั้นเพื่อนร่วมห้องที่เหลืออีกสามคนก็ทยอยตามมาติด ๆ มีคนหนึ่งชื่อสีอันน่าเป็นคนกว่างโจว นอกจากนี้ยังมีคนชื่อสวีจื่อเซวียนเป็นสาวหูหนาน คนสุดท้ายที่มาสายคือเจิ้งเสวี่ยซานเป็นคนหนานจิง
…………………………………………..
ตอนที่ 1355 มาครบแล้ว
ทั้งเจ็ดคนในหอพักมากันครบหมดแล้ว สีอันน่าหน้าตาสะสวย รูปร่างปานกลาง หุ่นก็ไม่เลว เพียงแต่ผิวค่อนข้างคล้ำ ดูท่าไม่เหมือนจะผูกมิตรยาก แต่ทันทีที่เธอเปิดปากพูดเหมยเหมยและฉีฉีเก๋อต่างก็ขมวดคิ้วกันอย่างพร้อมเพรียง
เสียงจะลากยาวเอื่อยไปถึงไหน น้ำเสียงสะบัดสะบิ้งเกินไป!
อีกทั้งยังจงใจพูดเสียงสะบัดสะบิ้งฟังไม่เป็นธรรมชาติเสียเลยสักนิด เธอเพิ่งพูดเพียงไม่กี่ประโยค เหมยเหมยก็สังเกตเห็นว่าฉีฉีเก๋อถู ๆบิด ๆตัวเองไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนวิ่งออกไปสูดอากาศข้างนอก
สีอันน่ามีพ่อของเธอมาส่ง พ่อของเธอไม่สูงนัก ตัวผอมบางผิวคล้ำ ดูฉลาดเฉียบเฉลียว แถมยังปฎิบัติต่อพวกเหมยเหมยอย่างสุภาพมาก ถึงแม้จะแค่พูดจาด้วยคำพูดสุภาพแต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้วางตัวเก่ง
สวีจื่อเซวียนน่าจะสวยที่สุดเป็นอันดับสองในเจ็ดคน ดูท่าทางเป็นคนเก็บตัวสำรวม เธอเองก็มีพ่อมาส่งเช่นกัน พ่อของเธอสวมแว่นตา ดูภูมิฐานสุภาพ สไตล์การพูดก็ดูมีความรู้มาก
เพียงแต่สวีจื่อเซวียนไม่สนใจใครเลยสักนิดแค่เดินตรงเข้ามาแล้วพยักหน้าทักทายพวกเขาเท่านั้น หลังจากนั้นก็เงียบกริบ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดเตียง แต่พ่อของเธอพูดคุยกับพ่อของสีอันน่าและน้าฟางอยู่หลายประโยค
จึงได้รู้ว่าพ่อของสีอันน่าเปิดบริษัท พ่อของสวีจื่อเซวียนเป็นครูโรงเรียนมัธยม เดิมทีเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุด แต่เพราะว่าคุณพ่อสวีหวังว่าจะได้มามหาวิทยาลัยที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงขอลางานมาส่งลูกสาวรายงานตัวโดยเฉพาะ ถือโอกาสเติมเต็มความเสียใจในวัยรุ่น
เจิ้งเสวี่ยซานเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง ถือว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยแต่ไม่สะดุดตา ไม่สวยเท่าสวีจื่อเซวียน ไม่มีความสดใสเท่าถังม่านลี่ ถ้าไม่แต่งตัวล่ะก็เจิ้งเสวี่ยซานก็แค่ดูดีในระดับปานกลาง
แต่ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวเก่งมาก อีกทั้งยังแต่งหน้าเบา ๆ และมีเครื่องประดับมาช่วยเพิ่มสีสัน ซึ่งยุคนี้ส่วนมากยังคงเป็นสีขาวสีเทาและสีน้ำเงิน อย่างเธอเขาเรียกว่ามีความงามแค่ห้าส่วนและอาจจะเพิ่มได้เป็นเจ็ดหรือแปดส่วนหากเพิ่มเติมแต่ง
ถึงอย่างไรนักศึกษาชายหลายคนคิดว่าหากมีแฟนสาวที่แต่งตัวทันสมัย ถือเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอีกเรื่องหนึ่ง
นิสัยของเจิ้งเสวี่ยซานอ่อนโยนมาก พูดจาเนิบนาบ มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ ขนาดสวีจื่อเซวียนที่มีนิสัยเงียบ ๆยังคุยด้วยสองสามประโยค ไม่ต้องพูดถึงพวกฉีฉีเก๋อและเหริ่นเขี่ยนเชี่ยนเลย ไม่นานก็พูดคุยกับเจิ้งเสวี่ยซานอย่างถูกคอ
“ฉันเป็นคนหนานจิง ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว น่าจะอายุเยอะที่สุดในห้องนี้ พวกเธอเรียกฉันว่าพี่สาวก็ได้นะ” เจิ้งเสวี่ยซานพูดยิ้ม ๆ สายตาหันไปมองเหมยเหมยที่ไม่พูดไม่จาแล้วก็รีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เธออายุเยอะขนาดนี้แล้วเหรอ งั้นก็ต้องเรียกเธอว่าพี่ใหญ่แล้วล่ะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างแปลกใจ แต่จู่ ๆก็แสดงท่าทีดีอกดีใจ เอาแต่เรียกพี่ใหญ่อย่างมีความสุข
เหมยเหมยสังเกตเห็นว่าตอนที่เจิ้งเสวี่ยซานได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่’ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง เหมยเหมยพลันไม่ชอบในทันที เธอยอมทะเลาะกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโต้ง ๆไปเลยดีกว่า และไม่อยากผูกมิตรกับคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างเจิ้งเสวี่ยซาน
“เหมยเหมย เตียงปูเสร็จแล้ว อย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”
น้าฟางกระโดดลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว เตียงถูกเธอจัดวางอย่างสวยงาม ไม่เพียงแต่แขวนม่านผ้าโปร่ง แต่ยังตกแต่งล้อมรอบด้วยผ้าลายดอกไม้ แบบนี้คนข้างนอกก็จะมองไม่เห็นว่าคนในกำลังทำอะไรอยู่
เหมยเหมยกำลังจะพยักหน้า พ่อสีก็พูดด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า “ในเมื่ออยู่ห่างไกลกันนับพันลี้ยังมีวาสนาได้มาพบกัน มือกลางวันอาเลี้ยงเอง วันหลังก็รบกวนทุกคนช่วยดูแลอันน่าของเราหน่อยนะ”
เดิมทีเหมยเหมยคิดว่าจะไปทานอาหารด้วยกันสักมื้อคงไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อเธอได้ยินว่าช่วยดูแลเขาหน่อยก็เกิดอาการไม่พอใจ มีใครบ้างไม่ใช่แก้วตาดวงใจของพ่อแม่ มีสิทธิ์อะไรมาให้คนอื่นเป็นสาวรับใช้ลูกตัวเอง!
ตอนที่ 1356 เคยออกโทรทัศน์มาก่อน
“ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวนะคะ คุณอาอย่าโกรธเลยค่ะ ตัวหนูเองยังต้องมีพี่เลี้ยงดูแลเลย ไหนเลยจะมีความสามารถดูแลสีอันน่าได้!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเป็นคนแรกที่กล่าวปฏิเสธก่อน
พ่อของสีอันน่าหน้าเสีย หัวเราะแห้งอยู่สองสามที “พ่อก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง อันน่าโตขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องให้ใครมาดูแลจริง ๆหรอก”
“พ่อคะ…”
สีอันน่าดึงแขนเสื้อพ่อสีอย่างไม่ชอบใจ ทำไมเธอจะไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ตอนนี้แค่คิดถึงว่าจะต้องตักน้ำไปกินข้าวและซักผ้าเอง…เธอก็รู้สึกราวกับหัวจะระเบิดแล้ว อยากจะกลับบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ด้วยซ้ำ
พ่อสีอันน่าถลึงตาใส่ลูกสาวอย่างไม่พอใจแล้วชื้อเชิญอีกครั้ง ถังม่านลี่ตอบรับอย่างรวดเร็วและยังขอบคุณพ่อสีเรียบร้อย เหมยเหมยสังเกตเห็นแล้วว่าขอแค่มีผลประโยชน์ต่อตัวเธอ ถังม่านลี่คนนี้ก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางเปลืองแรงแม้แต่นิดเดียว
พ่อสีดูจริงใจมาก อีกทั้งถังม่านลี่ก็ตอบรับก่อนแล้ว แน่นอนว่าคนอื่น ๆก็คงไม่ลังเลอีกต่อไป แม้แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็ยอมตอบตกลงไปด้วย
“ขอบคุณน้ำใจของคุณอาสีนะคะ แต่ที่บ้านฉันมีธุระนิดหน่อย ขอตัวกลับบ้านก่อน สวัสดีค่ะ!”
เหมยเหมยไม่มีทางไปกินข้าวมื้อนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าพ่อสีปากจะพูดว่าลูกสาวไม่ต้องการให้ใครดูแล แต่ในเมื่อเขาเคยให้ของคุณแล้วพอถึงเวลาเขาอยากให้เราช่วยเราก็ต้องทำ ดังนั้นในเมื่อเคยกินข้าวของตระกูลสีไปแล้ว หากวันหลังสีอันน่าขอให้ช่วยทำงานให้ จะเลือกได้ด้วยเหรอว่าจะไปหรือว่าไม่ไป?
แล้วอย่าถามว่าทำไมเธอถึงรู้ว่าสีอันน่าต้องหาใครช่วยงานแน่นอน แค่แวบเดียวเธอก็มองออกแล้วว่าสีอันน่าเป็นโรคคุณหนูขั้นรุนแรง คิดราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าหญิงทั้งวี่วัน หวังว่าทุกคนจะดูแลเธอ ตามใจเธอ ทำให้เธอพอใจในทุก ๆเรื่อง……
เธอคงไม่กระโดดลงหลุมพลางนี้หรอก!
ใครเป็นคนกินก็ไปสั่งคนนั้นสิ!
“ฉันก็ไม่ไปกินเหมือนกันค่ะ”
ฉีฉีเก๋อเอ่ยขึ้น ก่อนมาเรียนพ่อกำชับเธอไว้ว่าอย่ารับของจากคนแปลกหน้ามั่วซั่ว โดยเฉพาะอาหาร เธอต้องเชื่อฟังสิ่งที่พ่อพูด
เหมยเหมยหันไปยิ้มให้พ่อสีอย่างมีมารยาท สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกมา เวลานี้ฉิวฉิวกลับว่านอนสอนง่ายเป็นอย่างมาก นอนอยู่ในกระเป๋าตลอดไม่ออกมาเพ่นพ่าน
ฉีฉีเก๋อคิด ๆแล้วก็วิ่งตามออกมา เธอเห็นอะไรก็เรียนตามแบบนั้น จะได้ตัดปัญหาปฏิเสธคำเชื้อเชิญยากอีก
“เธออยากไปเที่ยวเล่นที่บ้านฉันไหม?” เหมยเหมยรู้สึกชอบฉีฉีเก๋ออยู่พอสมควร เห็นเธอวิ่งออกมาทำหน้าตาเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็พลันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ารักดี
ฉีฉีเก๋อตาเป็นประกาย พงกหัวไม่หยุด เธอกำลังกังวลว่าจะไม่มีที่ไปอยู่พอดี!
เพื่อนที่ชื่อจ้าวเหมยคนนี้เธอรู้สึกดีด้วยมาก และได้พูดคุยกันอยู่หลายประโยคคงไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าแล้วมั้ง!
อาเหลาขอให้พวกเหมยเหมยรออยู่ใต้หอพัก เขาจะไปขับรถมา พ่อสีนำกลุ่มคนเดินออกมา บังเอิญเห็นเหมยเหมยขึ้นรถที่อาเหลาขับ เขาเป็นคนสายตาดีแค่แวบเดียวก็มองออกว่าคือรถมาเซราติ ทุกวันนี้คนที่จะขับรถนี้ได้มีไม่เยอะ คนที่จะมีครอบครองได้ต่างหากยิ่งมีน้อย
อีกทั้งเพื่อนที่ชื่อจ้าวเหมยคนนี้ ถึงแม้ว่าจะแต่งกายเรียบง่ายแต่เป็นแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะกำไลข้อมือหยก น้ำดีชิ้นนั้น ไม่มีเงินแสนคงซื้อไม่ได้แน่นอน
แล้วเป็นคนเมืองหลวงอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าอยู่เหนือระดับกว่าคนเมืองหลวงตัวปลอมอย่างเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอยู่หลายขั้น
เพียงเวลาอันน้อยนิดพ่อสีก็สามารถวิเคราะห์วงศ์ตระกูลของเหมยเหมยได้ คิดไว้ว่าอีกเดี๋ยวจะกำชับลูกสาวให้ทำความรู้จักสนิทสนมกับเหมยเหมยไว้ อย่าผิดใจกันเด็ดขาด
“เฮ้ย ฉันนึกออกแล้ว ฉันก็ว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าจ้าวเหมยนัก เหมือนเธอจะเคยออกรายการโทรทัศน์มาก่อน” จู่ ๆเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ตบขาตัวเอง
ถังม่านลี่หูกระดิก รีบถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดขึ้นว่า “เป็นรายการวาไรตี้ชื่อว่าเด็กอัจฉริยะจัดทำโดยสถานีโทรทัศน์เมืองจิน ฉันดูทุกอาทิตย์ จ้าวเหมยก็อยู่ในนั้นด้วย ดูเหมือนเธอจะเขียนหนังสือที่โด่งดังมากชื่อว่าอะไรนะ?”
………………………………………………..
ตอนที่ 1357 เหลือคนวิ่งเต้นแค่คนเดียวแล้วล่ะ
เจิ้งเสวี่ยซานและสีอันน่าหน้าถอดสีอย่างพร้อมเพรียงกัน อันที่จริงสองคนนี้จำเหมยเหมยได้นานแล้ว แค่ไม่อยากพูดออกมาก่อนก็เท่านั้น แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ดันเป็นคนปากสว่างกลับตะโกนออกมา ช่างเป็นคนโง่เสียจริง
ตอนนี้เป็นเพียงช่วงต้นยุคเก้าศูนย์ อัตราการเข้าถึงโทรทัศน์ของคนในเมืองสูงกว่าหน่อย แต่ในพื้นที่ชนบทไม่ใช่ทุกครัวเรือนที่จะมีโทรทัศน์ บ่อยครั้งที่ทั้งหมู่บ้านมีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียวหรือสองเครื่องเท่านั้น
แล้วครอบครัวที่มีโทรทัศน์ พอถึงตอนกลางคืนก็จะคึกคักเพราะคนในหมู่บ้านจะนำม้านั่งมาเอง ลากคนในครอบครัววิ่งไปดูโทรทัศน์ เจ้าของบ้านก็จะเอาโทรทัศน์วางไว้ที่สนาม เช่นเดียวกับการเล่นหนังกลางแปลง สนุกสนานครื้นเครง
แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งไปดูโทรทัศน์ที่บ้านคนอื่นทุกวัน เด็กในชนบทจำนวนมากจึงไม่เคยดูโทรทัศน์ แล้วก็มีบางที่ที่รับสัญญาณสถานีโทรทัศน์เทียนจินไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นสวีจื่อเซวียน
เพราะว่าเป็นอำเภอเล็ก ๆ มากที่สุดก็รับสัญญาณได้แค่ช่องสถานีส่วนกลางและช่องสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ไม่สามารถรับสัญญาณสถานีอื่นได้ ซึ่งจะไม่รู้จักว่ารายการวาไรตี้เด็กอัจฉริยะที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดถึงคืออะไร เช่นเดียวกับถังม่านลี่ที่มีสีหน้างงงวย
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองไปที่ถังมานลี่อย่างดูถูก หน้าตาดีมีประโยชน์อะไร คนบ้านนอกคนหนึ่งที่เกรงว่าขนาดที่บ้านคงไม่มีโทรทัศน์เสียด้วยซ้ำ!
ถึงแม้ว่าเธอจะเหยียดหยามถังม่านลี่มาก แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย จนถึงตอนนี้เธอได้ประเมินสถานการณ์ของเพื่อนร่วมห้องโดยคร่าว ๆได้แล้ว
ฐานะทางสังคมของจ้าวเหมยไม่ธรรมดา ได้ยินมาว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้าวในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าครอบครัวตระกูลจ้าวจะตกอับแล้ว แต่ไม่ใช่ตระกูลที่นักธุรกิจอย่างครอบครัวของเธอจะไปหาเรื่องได้ ดังนั้นคนอย่างจ้าวเหมยเธอไม่กล้าที่จะล่วงเกินเธอแน่นอน
ก่อนหน้านั้นเคยหยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนเพื่อซื้อที่นอนชั้นบน ตอนนี้เธอเสียใจจนลำไส้บิดไปหมดแล้ว เธอวางแผนว่าวันหลังสักวันหนึ่งจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเหมยเสียแล้ว!
เจ้าหญิงทวีปแอฟริกาสีอันน่าคนนั้นที่พูดจาราวกับเสียงแมวร้องหาคู่ ฐานะทางบ้านคงจะไม่น้อยไปกว่าเธอ เธอควรจะอยู่ให้ห่างเสียหน่อย
สวีจื่อเซวียนทาซานสาว ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะยากจน แต่เป็นคนที่ไม่เห็นแก่เงิน กลัวว่าเงินตกอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่เก็บเลยมั้ง
เหอะ ขึ้นอยู่กับว่านิสัยเห็นแก่เงินเหมือนสิ่งของไร้ค่าของผู้หญิงคนนี้จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานแค่ไหน
ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกสวีจื่อเซวียน แต่เมื่อมาถึงเมืองหลวงสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยม แถมยังเป็นเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยอีก คนที่สามารถยืนหยัดอดทนต่อความตั้งใจเดิมได้มีไม่กี่คนจริง ๆ!
ฉีฉีเก๋อถือว่าไม่เลว นิสัยมุ่งมั่น ตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นสั่ง เธอเองก็ไม่กล้าใช้งานหญิงสาวที่เติบโตบนหลังม้าหรอกนะ ได้ยินมาว่าผู้หญิงที่นั้นใช้มีดเป็นตั้งแต่เด็ก เธอยังไม่อยากชีวิตสั้นนะ!
ส่วนเจิ้งเสวี่ยซาน ผู้หญิงคนนี้คือตัวอย่างของเสวี่ยเปาไช่ในเรื่องความฝันในหอแดง คำพูดนั้นน่าฟังก็จริงแต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญ คนที่แทงข้างหลังก็คือเธอคนนี้นี่แหละ ไม่ใช่แค่ห้ามผูกมิตรสนิทสนมแต่วันหลังควรอยู่ห่าง ๆเลยดีกว่า
มองไปมองมาก็เหลือแค่เพียงถังม่านลี่แล้ว แค่แวบเดียวเธอก็มองออกว่าฐานะทางครอบครัวของถังม่านลี่นั้นยากจนมาก เลวร้ายยิ่งกว่าครอบครัวของสวีจื่อเซวียนอีก วัสดุเกรดผ้าที่สวมใส่แย่กว่าที่สุนัขของเธอใส่เสียอีก
อีกทั้งผู้หญิงคนนี้หน้าหนา เห็นแก่ได้ แค่หนึ่งร้อยหยวนก็สามารถเป็นวัวเป็นม้าได้แล้ว คนแบบนี้เอาไว้ใช้งานได้ สิ่งที่เธอต้องการในฐานะคุณหนูใหญ่ก็คือคนแบบนี้ ไม่อย่างนั้นวันหลังใครจะทำงานวิ่งเต้นไปตักน้ำและไปซื้ออาหารให้ล่ะ?
แม้ว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะดูแคลนถังม่านลี่ แต่เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีคนรับใช้คงต้องอธิบายอย่างอดทนแล้วล่ะ เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในปากจำชื่อหนังสือนั้นไม่ได้สักที หงุดหงิดชะมัด
“เรียกว่าอะไรนะ? ทั้ง ๆที่เมื่อวานยังอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่เลยทำไมถึงจำไม่ได้นะ ใช่แล้ว เจ้าหญิงอะไรสักอย่างเนี่ยแหละเป็นหนังสือการ์ตูน ตีพิมพ์ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นเพื่อไล่ตามซื้อหนังสือชุดนี้ฉันถึงขนาดไปถามที่ร้านหนังสือทุกวันเลยนะ!”
ตอนที่ 1358 ไม่ใช่ว่าพึ่งพาพ่อแม่หรือไง
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก แน่นอนว่าเธอไม่ใช่แฟนคลับของเหมยเหมย คนที่เห็นแกเงินอย่างเธอนอกจากเงินก็ไม่มีอะไรเข้าตาเธออีกแล้ว เหตุผลที่ไล่ตามหนังสือการ์ตูนของเหมยเหมยก็เพราะทุกคนในชั้นเรียนอ่านกันหมด ถ้าเธอไม่อ่านจะขายขี้หน้าเอา
สำหรับคุณหนูใหญ่ผู้ที่ไม่เคยขาดแคลนเงินแล้ว เพียงแค่ของที่เพื่อนร่วมชั้นธรรมดามี (ยกเว้นคะแนน) คนอย่างเธอก็ต้องมีอย่างแน่นอน จะนับว่าเป็นการดีหากเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นไม่มีแต่เธอมีแบบนั้นถึงจะทำให้เธอภูมิใจ!
ถึงแม้เธอจะซื้อหนังสือการตอบโต้ของเจ้าหญิงอัปลักษณ์ของเหมยเหมยกลับมาแต่ไม่เคยเปิดอ่านเลยจริง ๆสักครั้ง พอนึกขึ้นได้จึงไปเปิดอ่านผ่าน ๆมาบ้าง ไม่งั้นคงจำชื่อหนังสือไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะต้องจำผิดแน่ ๆ “นักเขียนชื่อดังขนาดนั้นจะมาเรียนทำไม? หนังสือเล่มหนึ่งก็ทำรายได้ให้เขาตั้งหลายแสนแล้ว ยังต้องมาเรียนอีกเหรอ!” สีอันน่ากล่าวอย่างจงใจ
เธอก็แค่ไม่อยากให้คนรู้ว่าจ้าวเหมยเป็นนักเขียนที่โด่งดังมาก อีกทั้งภูมิหลังของครอบครัวก็ดีมากเช่นกัน หน้าตาก็สะสวยเสียขนาดนั้น คนที่สมบูรณ์แบบไม่มีใครเทียมแบบนี้ทำไมจะต้องมาอยู่ร่วมหอเดียวกับเธอด้วยนะ?
สีอันน่าที่เป็นดั่งดวงดาวที่ห้อมล้อมด้วยเดือนมาตั้งแต่เด็กและถูกปฏิบัติราวกับเจ้าหญิงมาโดยตลอด แค่เห็นจ้าวเหมยเธอก็ทอดถอนใจพลางคิดขึ้นว่า ‘ทั้งเก่งทั้งดีเลิศ ทำไมยังสวยอีกนะ’ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เธอไม่อยากเป็นคนขับให้จ้าวเหมยเด่น เธอเป็นเจ้าหญิงที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร!
เจิ้งเสวี่ยซานก็พูดเสริมขึ้นคล้อยตามอย่างนุ่มนวลว่า “ใช่แล้ว เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนน่าจะจำผิดแล้ว พวกเราไปทานอาหารกันเถอะ ตอนบ่ายยังต้องรวมตัวกันที่ชั้นเรียนอีก!”
“รู้ไหมว่าความจำฉันดีจะตายไปจะจำผิดคนได้อย่างไร มันเรียกว่าอะไรนะ…”เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนชักอารมณ์เสียแล้ว ต้องคิดชื่อหนังสือเล่มนั้นให้ออก
สวีจื่อเซวียนที่ใบหน้ากำลังครุ่นคิดอยู่ก็ส่งเสียงออกมา น้ำเสียงเยือกเย็น “ชื่อหนังสือว่าการตอบโต้ของเจ้าหญิงอัปลักษณ์ ใช่ไหม นามปากกาว่าเจ้าหญิงอัปลักษณ์”
“ใช่ ๆ ๆ…ชื่อนี้แหละ เจ้าหญิงอัปลักษณ์เป็นนามปากกาของเหมยเหมยเธอเคยกล่าวในรายการนั้น ดูเหมือนว่าตอนเธอยังเด็กคนอื่นมักเรียกเธอว่าคนอัปลักษณ์ หนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ของเธอเอง แม่เจ้า…จ้าวเหมยเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะ ตัวจริงดูดีกว่าในโทรทัศน์อีก แล้วตอนเด็ก ๆเธอน่าเกลียดขนาดไหนเนี่ย!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทำหน้าเหมือนเหลือเชื่อ ทั้งอิจฉาและริษยา ยิ่งไปกว่านั้นคือความขัดเคือง
ตั้งแต่เด็กเธอน่ารักกว่าตุ๊กตาเสียอีก ใครเห็นต่างก็เอ็นดูแต่กลับเป็นแบบนั้นอยู่ได้ไม่นาน แค่เวลาสั้น ๆเท่านั้น
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองลงไปที่พุงกลมดิกของเธอ ความอยากอาหารก็หายไปในทันที
อ้วนจนขนาดนี้แล้ว เธอยังจะกินอะไรอีกเล่า!
เดี๋ยวเธอจะกินแค่ผักใบเขียวและไม่แตะเนื้อสัตว์อย่างแน่นอน ไม่ผอมลงสักห้ากิโลเธอจะยอมเป็นหมาเลย!
พอถังม่านลี่ได้ยินว่าภูมิหลังของจ้าวเหมยยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไฟแห่งความริษยาในใจก็เหมือนมีลมพัดจนไฟลุกโหมพวยพุ่งขึ้นสุดหัว จนปรากฏให้เห็นบนใบหน้าอย่างชัดเจน แม้ว่าสวีจื่อเซวียนที่อยู่ข้าง ๆจะเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ก็มีท่าทีอิจฉาริษยาอยู่บ้างเล็กน้อย
เจิ้งเสวี่ยซานมองสองคนนี้อย่างไร้ท่าทีใด ๆ พลางแกล้งพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “มิน่าจ้าวเหมยถึงวางตัวแบบนั้นมันก็สมควรแล้วล่ะ ใครใช้ให้เธอมีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อยกันล่ะ และฉันยังได้ยินมาว่าพ่อของจ้าวเหมยเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองจิน แม่ยังเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ดูเขาแล้วหันมามองตัวเองสิ เฮ้อ……”
สวีจื่อเซวียนและถังม่านลี่รวมไปถึงสีอันน่าสามคนสีหน้าเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน แต่ในไม่ช้าสวียื่อเซวียนและสีอันน่าก็กลับสู่สภาวะปกติ
มีเพียงถังม่านลี่เท่านั้นที่แสดงท่าทีโมโห ตะโกนว่า “หากฉันมีพ่อที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ยังมีมีแม่เป็นจิตรกรชื่อดัง ฉันจะต้องเก่งกว่าจ้าวเหมยแน่นอน!”
เชอะ พึ่งพาพ่อแม่กินข้าวนับว่ามีความสามารถงั้นเหรอ?
ต้องเหมือนเธอต่างหากที่พึ่งพาความสามารถของตนเองล้วน ๆ สอบติดมหาวิทยาลัยเมืองหลวงจากเขตภูเขาอันไกลโพ้นได้ นี่สิถึงเรียกว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง!
…………………………………………………
ตอนที่ 1359 ดาวมหาลัยชนบท
ถึงแม้ว่าสวีจื่อเซวียนจะไม่แสดงท่าทีไม่ชอบใจออกมาแต่เธอก็เห็นด้วยกับถังม่านลี่อย่างชัดเจน จ้าวเหมยเป็นคนที่เธอมองแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมด ทุกคนต่างก็มาเรียนกันทั้งนั้นจะวางมาดอะไรนักหนา?
อีกทั้งเธอเองก็คิดว่าจากความสามารถของตัวเอง ต่อให้ไม่มีพ่อเป็นผู้นำที่มีอำนาจและมีแม่เป็นจิตกรชื่อดัง วันข้างหน้าจะต้องเก่งกว่าจ้าวเหมยแน่นอน!
วัยรุ่นสร้างตัวอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
หลักการของซางจ่งหย่ง[1]ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจกันเสียหมด!
ถึงแม้ว่าสวีจื่อเซีวยนจะเป็นสาวในอำเภอเล็ก ๆแต่เธอก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนสามขวบท่องบทกวีได้ ห้าขวบวาดภาพได้ ตอนอายุสิบขวบประพันธ์ร้อยแก้ว เธอเป็นสาวน้อยมากความสามารถที่โด่งดังไปทั่วเมืองเล็ก ๆของเธออย่างกว้างขวาง
และด้วยหน้าตาที่สะสวยครบเครื่องในด้านศิลปะรอบด้าน ตั้งแต่เด็ก ๆเธอก็มีฉายาว่า ‘ลูกของเขา’ แต่ก็ถูกเลี้ยงจนกลายเป็นสวีจื่อเซวียนที่มีนิสัยหยิ่งผยองจอมโอหังอยู่ดี
เป็นคนประเภทคล้าย ๆกับลี่เมิ่งเฉิน ที่คิดว่าทุกคนเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีใครสู้เธอได้ ขนาดคุยกับพวกคนธรรมดายังถือว่าเป็นเรื่องเสียเวลาเลย
แต่ลี่เมิ่งเฉินเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ คนพิลึกแบบนั้นในโลกนี้หาได้ไม่กี่คนหรอก ส่วนคนอย่างสวีจื่อเซวียนอย่างมากก็แค่มีพรสวรรค์บ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นบุคคลหายากในโลกใบนี้
แน่นอนว่าสวีจื่อเซวียนรุ่นเดียวกับเหมยเหมย ถ้าหากไม่มีเหมยเหมยมาขวางทาง สวีจื่อเซวียนต้องได้เป็นที่หนึ่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ทว่าตอนนี้…
เจิ้งเสวี่ยซานและสีอันน่าเห็นแววตาของถังม่านลี่ที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น ทุกคนต่างยิ้มอย่างมีนัยยะ ในห้องพักมีถังม่านลี่ที่เป็นคนหัวอ่อนและยังเป็นผู้หญิงที่ใจทะเยอทะยานสูงเทียมฟ้า หลังจากนี้ต้องมีเรื่องสนุก ๆให้ดูแน่นอน!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะเกาะขาของจ้าวเหมยเอาไว้ให้แน่น แน่นอนว่าต้องทุ่มเทความจริงใจออกมา เธอชำเลืองมองตาของถังม่านลี่แวบหนึ่งแล้วแค่นเสียงพูดขึ้นว่า “ต่อให้เธอจะมีพ่อแม่แบบจ้าวเหมย เธอก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
ถังม่านลี่โกรธจนคิ้วหนาเตอะชี้ตั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพึ่งได้รับเงินร้อยหยวนจากสาวอ้วนคนนี้ เธอจะต้องก่นด่ายัยอ้วนนี่แน่นอน!
“เธอยอมแพ้เถอะ จ้าวเหมยสวยอย่างกับนางฟ้า ต่อให้ไม่เขียนหนังสือแค่พึ่งหน้าตาสวย ๆก็ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายแล้ว เธอคิดว่าเธอจะเทียบได้เหรอ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะเยาะ
ถังม่านลี่หน้าเสียเหมือนลูกบอลที่ลมรั่วเลยทันที แต่ครู่เดียวก็กลับมามีกำลังใจอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมแพ้ว่า “ฉันก็ใช่ว่าจะไม่สวยนี่ ก็เป็นดาวโรงเรียนทุกปีอยู่นะ”
นี่เป็นเรื่องจริงไม่ได้โกหกเลยสักนิด สีหน้าท่าทางของถังม่านลี่ดูลำพองใจเป็นอย่างมาก
“ดาวโรงเรียนบ้านๆที่มีกลิ่นของหัวหอมใหญ่แรง ๆแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร?…มีความสามารถพอที่จะไปเป็นดาวมหาลัยเมืองหลวงนี้ได้ไหมล่ะ? ตอนนี้ฉันพนันได้เลยว่าดาวมหาลัยของเราปีนี้จะต้องเป็นจ้าวเหมยแน่นอน และน่าจะสามารถทำลายสถิติครองตำแหน่งสี่ปีซ้อนด้วย!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเปล่งเสียงดังขึ้นสูง ยิ่งเห็นสายตาของถังม่านลี่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจ ดาวโรงเรียนจากเมืองเล็ก ๆแล้วอย่างไรเล่า?
นึกถึงปีนั้นที่เธอเป็นดาวอันดับหนึ่งของโรงเรียนที่ใคร ๆต่างก็ชื่นชม!
คิดถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์สมัยตอนอนุบาล หัวใจของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็เหมือนโดนทิ่มแทง ตัดสินใจว่าอีกเดี๋ยวจะสั่งให้เจ้าของร้านอาหารทำผักต้มให้เธอทาน
ถ้าขนาดว่าเธอกินหญ้าหนึ่งเดือนเต็มแล้วยังไม่ผอมลงเธอก็คงยอมแพ้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว อยากกินอะไรก็กิน อยากดื่มอะไรก็ดื่ม เสพสุขกับชีวิตให้สุด!
“เชี่ยนเชี่ยนเธอนี่เป็นคนที่มีอคติกับความห่างไกลสินะ จ่าวจวงก็นับว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยนะ และอีกอย่างม่านลี่เองก็หน้าตาสวย หุ่นก็ดีขนาดนี้ ฉันเห็นแล้วยังรู้สึกอิจฉาเลย!” เจิ้งเสวี่ยซานพูดอย่างเนิบนาบ ถังม่านลี่ที่สีหน้าแย่เมื่อครู่ก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย
ถึงแม้ว่าท่าทางและคำพูดของเธอจะเหมือนดูถูกคนชนบทไปบ้างและไม่ได้สนใจบ้านเกิด แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนดูแคลนบ้านเกิดต่อหน้าเธอแบบนี้ ถังม่านลี่รู้สึกแย่อย่างมาก ทันใดนั้นเธอก็พลันรู้สึกซาบซึ้งที่เจิ้งเสวี่ยซานช่วยกู้หน้าให้เธอ
…………………………………………..
[1] ซางจ่งหย่ง เป็นเรื่องล่าในสมัยราชวงศ์ซ่ง ที่กล่าวถึงเด็กคนหนึ่งมีพรสวรรค์ในการประพันธ์บทกวีมาก แต่พอโตขึ้นเรื่อย ๆความสามารถจุดนี้ก็ค่อยๆ จางหายไปจนอายุยี่สิบปี พรสวรรค์ที่มีทั้งหมดก็มลายหายไปจนสิ้น
ตอนที่ 1360 ชีวิตฐานะปานกลาง
สวีจื่อเซวียนรังเกียจท่าทีดูหมิ่นของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่ชอบคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น จึงพูดออกไปอย่างเยือกเย็นว่า “จ่าวจวงมีชื่อเดิมว่าหลานหลิงเป็นพื้นที่ราบสำคัญ มีประวัติศาตร์และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน ในตอนที่เมืองหลานหลิงสร้างเมืองนั้น เมืองหลวงยังเป็นที่ว่างยังไม่มีใครมาลงหลักปักฐานสักคน!”
ถังม่านลี่ก็ยิ่งได้ใจ พยักหน้ารัว ๆ “ใช่สิ จ่าวจวงเป็นเมืองโบราณในประวัติศาสตร์ พื้นเพทางวัฒนธรรม ขนาดเมืองหลวงก็ยังเทียบไม่ได้”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนถูกสามคนนั้นรุมหมู่ ไฟโทสะก็ปะทุขึ้นเธอจึงยิ้มเย้ยพูดขึ้นว่า “พื้นเพทางวัฒนธรรมมีประโยชน์อะไร ตอนนี้ที่นี่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจหรือด้านศิลปะหรือการเมืองก็ถือว่าเป็นอันดับต้น ๆของประเทศทั้งนั้น พวกเธอเอาเมืองชั้นต่ำมาเทียบกับเมืองหลวงก็เท่ากับเอาหมาพันธุ์ผสมมาเปรียบเทียบกับหมาอัลเซเซียนพันธุ์แท้ มันเทียบกันได้หรือ?”
มันทำให้เธอโกรธมากจริง ๆ!
เมืองหลานหลิงมันเจ๋งขนาดนั้นเลยหรือ?
ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเป็นจ่าวจวงแล้วไง หลานหลิงก็ไม่มีอยู่แล้ว!
เชอะ จะมาอวดเบ่งอะไรหนัหนา?
เจิ้งเสวี่ยซานมองเห็นสีหน้าของถังม่านลี่ไม่ดีเอามาก ๆจึงพูดยิ้ม ๆอย่างนุ่มนวลว่า”พอแล้วพอแล้ว พวกเรารีบไปกินข้าวกันได้แล้ว แต่ว่าฉันก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอนะเชี่ยนเชี่ยน หมาเป็นเพื่อนที่แสนดีสำหรับมนุษย์เรา ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหน ในใจเจ้าของมันก็คือพันธุ์ที่ดีที่สุดแล้ว เอามาเทียบกันไม่ได้หรอก!”
“เชอะ วิธีการพูดแบบนี้เป็นคำพูดปลอบใจของพวกคนจนที่ไม่มีปัญญาซื้อหมาพันธุ์แท้ก็เท่านั้นเอง ไม่มีปัญญาเลี้ยงอัลเซเซียนฮัสกี้ มีปัญญาเลี้ยงแค่หมาพันธุ์ผสม แน่นอนต้องหาคำพูดมาทำให้ตัวเองดูดีไม่ให้ตัวเองเสียหน้า”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ชอบท่าทีที่เจิ้งเสวี่ยซานมักจะเป็นตัวกลางที่คอยห้ามศึกอยู่เรื่อย แล้วหลังจากนั้นก็พูดทับถมเธอแบบตั้งใจแต่แสร้งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ เชอะ คิดว่าเธอเป็นคนโง่หรือไง?
คุณหนูใหญ่เหริ่นอย่างเธอยอมทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมเสียเปรียบให้ใคร!
สีหน้าของเจิ้งเสวี่ยซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มที่อ่อนโยนเริ่มฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหว ในใจโกรธเกลียดเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างที่สุด ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนกัดไม่ปล่อยขนาดนี้เลย เติบโตมาฐานะร่ำรวย แต่นิสัยชอบพูดจาเสียดสีให้คนอื่นเจ็บปวดอยู่เรื่อย
ตบหน้าเธอสองครั้งติดต่อกันแล้วนะ สองบัญชีนี้เธอจะจำไว้ วันหลังต้องหาวิธีเอาคืนมาให้ได้!
“คำพูดของเชี่ยนเชี่ยนนี้…เธอคิดว่าทุกคนจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่เหมือนครอบครัวเธอหรือไง ดูเธอสิใส่ทองทั้งตัวจนนึกว่าจะเปิดร้านทองได้อยู่แล้ว”
เจิ้งเสวี่ยซานปิดปากและหัวเราะเสียงเบา คนอื่นต่างก็หันมามองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน สร้อยทองที่คอและข้อมือแถมยังใส่ทั้งสองข้างด้วย และปิ่นปักผมทองที่ปักอยู่บนหัว ทองเปล่งแสงระยิบระยับจนจะแยงตาคนอื่นบอดอยู่แล้ว
ทุกคนต่างก็มองด้วยแววตาดูถูก ช่างเป็นเศรษฐีใหม่ที่ไร้วัฒนธรรมเสียจริง มิน่าถึงได้หยาบคายเช่นนี่!
เหมยเหมยไม่รู้อะไรเลยว่าตัวเองเป็นสาเหตุของปัญหาจนพวกสาว ๆในห้องพักของเธอจะเริ่มตีกันแล้ว และเธอก็ยังไม่ได้เริ่มทำความรู้จักผูกมิตรกับใครเลย ก็ถูกทิ้งไว้ที่ห้องอย่างโดดเดี่ยวเสียแล้ว
บ้านที่เหยียนหมิงซุ่นซื้อให้เธออยู่ไม่ไกลจากมหาลัยเมืองหลวงมากนัก เป็นบ้านทรงสี่ประสานจีนขนาดย่อมที่มีลานบ้าน ภายในตกแต่งเรียบร้อย มีทั้งห้องน้ำและห้องอาบน้ำ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆก็แทบจะครบวงจรสะดวกสบายมาก
“บ้านของเธอสวยมากเลย ทำไมเธอถึงอยู่คนเดียวล่ะ?”
ฉีฉีเก๋อมองเห็นห้องรับแขกที่ตกแต่งด้วยสไตล์อบอุ่นและยังประดับประดาด้วยลวดลายดอกไม้อีกด้วย แค่ครู่เดียวก็ทำให้สาวน้อยอย่างเธอประทับใจแววตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว พ่อกับแม่ของฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขามีที่พักของพวกเขาเอง เธอจะดื่มอะไรเหรอโค้กหรือสไปรซ์?” เหมยเหมยเปิดตู้เย็นและถาม
ฉีฉีเก๋อมองเครื่องดื่มหลากหลายชนิดที่เรียงรายเต็มตู้เย็นไปหมด แล้วแอบแลบลิ้นปลิ้นตา เธอรู้สึกว่าเหมยเหมยเหมือนชาวต่างชาติที่อยู่ในโทรทัศน์พวกนั้นเลย ชีวิตดูเหมือนชาวยุโรปมากๆ
เข้าบ้านก็เปิดตู้เย็นที่แน่นขนัดไปด้วยเครื่องดื่มนานาชนิด หลังจากนั้นก็เปิดแล้วถามแขกว่า “คุณต้องการดื่มอะไรเหรอ?”
ดูดีมีระดับจริง ๆ!
ที่ฉีฉีเก๋อไม่รู้เลยว่าชีวิตแบบนี้หลังผ่านไปสักสิบปี จะมีชื่อเรียกที่น่าฟังว่าว่า ——ชีวิตฐานะปานกลาง
…………………………………………..
ตอนที่ 1361 กินทุกอย่างทั้งหมด
“งั้นฉันดื่มโค้กแล้วกัน? ฉันยังไม่เคยดื่มโค้กมาก่อนเลย ฉันเคยเห็นแค่ในโทรทัศน์ ได้ยินมาว่าอร่อยมาก ๆ!”
ฉีฉีเก๋อจะอายอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ควรจะพูดว่าคนเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน และพ่อของเธอก็มีฟาร์มสัตว์เป็นของตัวเอง มีวัวและแกะจำนวนนับไม่ถ้วน จะขัดสนเรื่องเงินได้อย่างไร?
มิเช่นนั้นเธอคงมาเรียนวาดรูปไม่ได้หรอก?
นี่ไม่ใช่สาขาที่ลูกครอบครัวยากจนจะเรียนได้เลย!
เพียงแต่ปัญหาของพวกเขาคือนอกจากทุ่งหญ้าแล้วก็มีแต่ทะเลทราย ในระยะร้อยกิโลเมตรไม่มีแม้กระทั่งเงาของคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบนท้องถนนและร้านค้า ขนาดเธอจะไปเรียนยังต้องขี่ม้าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อไปที่นั่นเลย!
เครื่องดื่มอย่างโค้กนี่ เพียงแค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ!
เหมยเหมยหยิบโค้กออกมาหนึ่งกระป๋องแล้วช่วยเธอเปิดกระป๋องถึงส่งให้ฉีฉีเก๋อ จากนั้นเดินกลับไปที่ห้องนอนและหยิบขนมออกมา เธอและเหยียนหมิงซุ่นมาพักที่นี่สองสามวันเมื่อเดือนที่แล้ว ดังนั้นจึงตุนของกินไว้ในบ้านมากมาย
“เธอกินตามสบายเลยนะ ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอชอบกินอะไร”
ฉีฉีเก๋อมองไปที่ขนมหลากสีที่กองเป็นคล้ายภูเขาเล็ก ๆบนโต๊ะน้ำชา มีหลายอันเป็นสัญลักษณ์คดเคี้ยวแปลก ๆ เธอไม่รู้จักเลยสักอัน แต่ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ดูท่าคงอร่อยหมดเลย!
“ฉันไม่เลือกกิน นอกจากไม่ชอบกินผักแล้ว อย่างอื่นก็ชอบกินหมด”
ฉีฉีเก๋อกลืนน้ำลายอีกครั้ง ฉีกช็อคโกแลตชิ้นหนึ่งเป็นอันที่ฉิวฉิวชอบมากที่สุด หักออกมาชิ้นหนึ่งและกิน ตาเป็นประกายอย่างช่วยไม่ได้แล้วเคี้ยวอย่างรวดเร็ว
ฉิวฉิวได้กลิ่นช็อคโกแล็ตไหนเลยยังจะเฉยได้อีก พุ่งออกมาจากในกระเป๋า แย่งช็อกโกแลตชิ้นใหญ่อีกครึ่งหนึ่งในมือของฉีฉีเก๋อไปแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
ฉีฉีเก๋อตกใจยกใหญ่ นี่มันตัวอะไรเนี่ย?
เหมยเหมยทำหน้าไม่ถูกรีบอธิบายว่า “ไม่ต้องกลัวนะ มันคือฉิวฉิวชอบแย่งของอร่อยจากคนอื่น ไม่ข่วนคนหรอก เธอแกะอันใหม่กินเถอะ”
พอฉีฉีเก๋อเห็นเจ้าฉิวขาวน้อยที่หมอบอยู่ข้างกายเหมยเหมยชัดแจ๋วก็ถูกตะปบไว้ทันที ไหนเลยจะยังคิดเล็กคิดน้อยกับแค่ช็อกโกแลตครึ่งอัน?
ต่อให้บอกให้เธอเอาเนื้อออกมาให้ยังได้เลย!
“น่ารักมาก สวยมากจริง ๆ ฉันลูบมันได้ไหม?” ฉีฉีเก๋อจ้องมองฉิวฉิวตาไม่กระพริบ ไม่สนใจเรื่องกินอีกต่อไป
เหมยเหมยพยักหน้า “ได้สิ ฉิวฉิวก็ชอบเธอเหมือนกัน”
ฉิวฉิวเลือกคนได้เข้มงวดมาก คนที่ไม่เข้าตาจะชำเลืองมองสักนิดก็ยังไม่มีแต่มันกลับกินของในมือของฉีฉีเก๋อ แสดงว่ามันมีความรู้สึกที่ดีต่อฉีฉีเก๋อ ลูบไม่กี่ครั้งแน่นอนว่าไม่มีปัญหา
ฉีฉีเก๋อยื่นมือออกมาด้วยความดีใจ ค่อย ๆลูบหลังของคุณชายฉิวเบา ๆอย่างระมัดระวัง ปรนนิบัติอย่างตั้งใจยิ่งกว่าแม่ตัวเองเสียอีก ฉิวฉิวโดนลูบจนสบาย ความรู้สึกดีต่อฉีฉีเก๋อก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น หรี่ตาดำขลับของมันชอบใจเป็นที่สุด
เหมยเหมยถือโอกาสวางฉิวฉิวไว้ในอ้อมกอดของฉีฉีเก๋อให้เธอดูแลไป ตัวเองก็วิ่งไปห้องครัวสั่งงานน้าฟางให้ทำอาหารมื้อเที่ยง “น้าฟาง มื้อเที่ยงน้าทำอาหารจำพวกเนื้อเยอะ ๆหน่อยนะคะ เพื่อนหนูเธอชอบกินเนื้อ”
“ทราบแล้วค่ะ รสชาติของทางนั้นน้าคุ้นเคยดี ย่างน่องแกะไปแล้ว รับรองเพื่อนคุณหนูชอบแน่นอน” น้าฟางยิ้มตาหยี
เมื่อก่อนตอนเธอไปปฏิบัติภารกิจเคยแฝงเข้าไปทำงานในโรงแรมใหญ่เป็นเวลาครึ่งปี ความสามารถในการทำความเข้าใจของเธอสูงมาก ทำอาหารทุกภาคได้หลากหลายประเภท รสชาติไม่เลว เหยียนหมิงซุ่นเห็นถึงทักษะการทำอาหารที่ดีของน้าฟางเป็นหลัก จึงเป็นเหตุผลที่เชิญพวกเขาทั้งคู่มาโดยเฉพาะ
น้าฟางทำอาหารคล่องแคล่วรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอาหารเลิศรสก็วางเต็มโต๊ะ โดยเฉพาะขาแกะย่างที่หนังเหลืองเกรียมกรอบเนื้อนุ่ม กลิ่นหอมตลบอบอวล ทำเอาดวงตาของฉีฉีเก๋อเบิกกว้าง
“ว้าว…น้าฟาง หนูรักน้าที่สุดเลยค่ะ คุณน้าย่างเนื้อแกะได้หอมกว่าแม่ฉันย่างอีก วันนี้ฉันไม่ลดน้ำหนักแล้ว ฉันจะกินทุกอย่างทั้งหมดนี่เลย!”
ตอนที่ 1362 ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ
เหมยเหมยมองไปที่รูปร่างสูงชะรูดที่ได้สัดส่วนของฉีฉีเก๋อ ถึงแม้ว่าเธอจะดูแข็งแกร่งกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไปเล็กน้อย แต่หุ่นอย่างฉีฉีเก๋อถึงจะเรียกว่าดีที่สุด กล้ามเนื้อกระชับ ไม่มีไขมัน กระทั่งมีกล้ามหน้าท้องที่เธออิจฉาอีกด้วย
“ฉีฉีเก๋อตอนนี้รูปร่างของเธอก็สมส่วนแล้วนะ ฉันยังอิจฉาจะตายอยู่แล้ว ทำไมยังต้องลดน้ำหนักอีก?” เหมยเหมยพูดโน้มน้าว
น้าฟางก็พยักหน้า “ใช่แล้ว อย่างสาวน้อยสองคนในห้องพักของคุณนั่นผอมบางจนลมพัดปลิวได้อยู่แล้ว ผอมเกินไปก็ใช่ว่าดีวันข้างหน้าจะคลอดลูกยากเอา เหมยเหมยก็ควรกินให้มากขึ้นหน่อย ดูแขนบาง ๆของหนูสิ”
น้าฟางหั่นขาแกะเป็นชิ้นบาง ๆแล้วแบ่งบางส่วนให้เหมยเหมย รวมถึงฉีฉีเก๋อด้วยที่กินอย่างมีความสุขนานแล้วโดยไม่ต้องให้เจ้าของบ้านเรียกด้วยซ้ำ น้าฟางชอบผู้หญิงแบบนี้ที่สุด ถูกใจเธอเป็นที่สุด
เหมยเหมยให้อาเหลาและน้าฟางมานั่งกินด้วยกัน พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้หาข้ออ้างมาปฏิเสธ นั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนคนในครอบครัว บรรยากาศมีความสุขชื่นมื่
ฉีฉีเก๋อสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า มือยาวและเท้ายาว ความอยากอาหารก็มีมาก ขาแกะหนึ่งขาเธอกินเนื้อแกะไปแล้วมากกว่าครึ่งขายังไม่รวมอาหารอื่น ๆอีก เหมยเหมยตกตะลึงนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผู้หญิงที่กินเก่งได้ขนาดนี้!
“ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงนี่เป็นมื้อแรกที่ฉันกินจนอิ่มท้อง รสชาติต้นตำรับของขาแกะย่างร้านอื่นสู้น้าฟางทำไม่ได้เลย ไม่อร่อยเลยสักนิด…เอิ่ก…อิ่มจังเลย!”
ฉีฉีเก๋อลูบหน้าท้องอย่างพึงพอใจ แถมยังเรออีกสองสามครั้ง ถูกใจเป็นอย่างมาก
เธอกับพ่อและแม่มาที่เมืองหลวงเมื่อสี่วันก่อน เพราะพ่อแม่ของเธอต้องการเห็นจัตุรัสเทียนอันเหมินและพระราชวังต้องห้าม เมื่อก่อนก็ไม่สามารถเจียดเวลาได้หาเวลาไม่ได้สักทีครั้งนี้มีโอกาสพอดีเลยมาเร็วหน่อย เดินเล่นไปรอบ ๆเมืองหลวง ถ่ายรูปไว้เยอะมาก เที่ยวอย่างมีความสุขมาก
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่ไม่พอใจก็คือของกินไม่อร่อย ร้านอาหารเหล่านั้นที่มีเครื่องหมายเนื้อย่างของมองโกเลียใน ทำออกมาไม่เหมือนรสชาติต้นตำรับเลยสักนิด รสชาติแตกต่างกันมาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเชฟแต่เป็นเพราะวัตถุดิบ คิดอยากจะกินขาแกะย่างต้นตำรับก็ต้องไปที่ทุ่งหญ้า ที่นั้นถึงจะมีเนื้อแกะสดที่อร่อย
“เหมยเหมย ขาแกะของบ้านเธอจะต้องมาจากทุ่งหญ้าเราแน่นอนและเพิ่งฆ่าได้ไม่ถึงวันแค่กินก็รู้เลยทันที” ฉีฉีเก๋อกล่าวอย่างมั่นใจ
น้าฟางหัวเราะร่า “ต้องเอามาจากแถวบ้านเธออยู่แล้ว มีคนไปทำธุระแถวนั้นเลยถือโอกาสฝากให้เขาเอามาด้วย เพิ่งจะฆ่าเมื่อเช้านี้เอง”
เหยียนหมิงซุ่นมีลูกน้องหลายคนที่ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจทุกวัน เดินทางไปทั่วโลก ทุกครั้งเมื่อลูกน้องเหล่านี้ไปที่ใหม่ก็จะนำเอาอาหารประจำท้องถิ่นมาด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกิน หรือพวกงานฝีมือดี ๆ เอามาทำอะไร?
แน่นอนว่าเอามาให้เหมยเหมย ปากต้องพูดว่าคุณชายหมิงให้พวกเขาเอามา เพื่อช่วยรักษาความรู้สึกที่ดีให้หัวหน้าพวกเขาไง!
ก็เพราะเหมยเหมยมีช่องมิติ ไม่อย่างนั้นบ้านของเธอคงจะเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับกองขนมและเนื้อแกะเมื่อครู่นี้ต่างก็เป็นของที่เหล่าลูกน้องมีน้ำใจเอามาให้ทั้งนั้น ทุกวันจะมีคนมาส่งของถึงประตู
“ฉันไม่มีอะไรมากหรอก แค่มีของกินเยอะไปหน่อย ฉีฉีเก๋อวันหลังเธอมาบ้านฉันบ่อย ๆนะ ช่วยฉันกำจัดของกินที!” เหมยเหมยพูดยิ้ม ๆ เธอกำลังกังวลอยู่ว่าจะกินอาหารพวกนี้ให้หมดได้อย่างไรดี!
ฉิวฉิวอ้วนจนกลายเป็นแบบนั้นแล้ว จึงไม่กล้าให้เจ้าหมอนี้กินเยอะเกินไป
ฉีฉีเก๋อแววตาเป็นประกายพลางพยักหน้ารัว ๆ สิ่งที่เธอชอบที่สุดก็คือการกิน มีของอร่อยมากมายขนาดนี้ เธอจะต้องมาทุกวันแน่ แต่ว่า ——
แต่จะมากินของเขาฟรี ๆก็ไม่ได้ !
“เหมยเหมย ไม่อย่างนั้นฉันให้ลูกม้าตัวเล็กกับเธอตัวหนึ่งดีไหม? ม้าตัวเมียถือเป็นลูกหลานของราชาม้าป่า ม้าตัวผู้เป็นม้าแชมป์เปี้ยนที่แสนภาคภูมิใจของเรา ตอนนี้มีลูกอยู่ในท้องของมันแล้ว ก่อนปีใหม่คงคลอดออกมาแน่นอน ฉันจะให้ม้าตัวน้อยนั้นกับเธอแล้วกัน!” ฉีฉีเก๋อสีหน้าจริงจัง
พวกเขาคนชนชาติมองโกเลียใน ถ้าต้องการผูกมิตรจะต้องปฏิบัติด้วยความจริงใจ การให้ของขวัญก็เช่นกันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นสู้ไม่ให้เสียยังดีกว่า!
……………………………………………
ตอนที่ 1363 ลูกม้าน้อยที่หาได้ยาก
ถึงแม้ว่าเหมยเหมยจะไม่เข้าใจเรื่องม้า แต่พอได้ยินว่าเป็นลูกหลานราชาม้าป่าและม้าแชมป์เปี้ยนก็รู้เลยว่าลูกม้าตัวนี้จะต้องมีค่ามาก แล้วเมื่อครู่สีหน้าของอาเหลาและน้าฟางดูตกใจเล็กน้อย เห็นได้ว่าม้าน้อยตัวนี้จะต้องหายากมากแน่
ปกติแล้วแม่ม้าจะให้กำเนิดลูกได้แค่เพียงตัวเดียว เธอจะแย่งของคนอื่นมาได้อย่างไร?
“ไม่ต้องหรอก ลูกม้าก็ได้แต่เธอเอาให้ฉันสักตัวก็พอแล้ว ลูกหลานของราชาม้าป่าคงได้มายากแน่นอน เอาม้าพันธุ์ดีมาให้ฉันก็เหมือนไก่ได้พลอย จะเป็นการทำลายมันเสียเปล่า ๆ!” เหมยเหมยปฏิเสธไปอย่างไม่เกรงใจฉีฉีเก๋อ
ฉีฉีเก๋อฉีกยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไร เธอเลี้ยงฉิวฉิวได้ฉลาดไหวพริบดีขนาดนี้ แสดงว่าเดิมทีเธอเองก็มีความสามารถอยู่พอตัวถึงเหมาะที่จะเป็นคนเลี้ยงลูกม้าตัวนั้นที่สุดแล้ว เอาตามนี้แล้วกัน”
ลูกม้าตัวน้อยเพิ่งจะตั้งท้องก็มีคนมากมายแวะเวียนมาหาพ่อไม่ขาดสาย เพื่อเสนอเงินราคาสูงเพื่อซื้อม้าที่หายากตัวนี้ แต่โดนพ่อปฏิเสธไป
พ่อได้พูดไว้นานแล้วว่าจะเลือกเจ้าของที่ดีจริง ๆให้เจ้าม้าน้อยตัวนี้โดยไม่เก็บเงินสักแดงเดียวก็ได้ เพราะว่าม้าที่ดีนั้นมีความฉลาดหลักแหลมจะเอาเงินมาทำให้มันมัวหมองไม่ได้!
ตอนที่เธอเห็นฉิวฉิวเมื่อครู่ ในใจก็มีความคิดที่คลุมเครือผุดขึ้นมา เธอยังรู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งในตัวเหมยเหมย สร้อยข้อมือที่แขนของเธอต้องไม่ใช่แค่สร้อยข้อมือธรรมดา แต่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร?
ในใจของเธอคันยุบยิบแต่ก็ไม่กล้าถาม คิดเอาไว้ว่ารอวันหลังสนิทสนมกันแล้วค่อยถามว่าคืออะไร!
และเพราะแบบนี้เธอถึงรู้สึกว่าเหมยเหมยจะต้องดูแลลูกม้าตัวนั้นได้ดีไม่ทำให้มันเสียใจแน่
อีกอย่างคนที่จับจ้องม้าน้อยตัวนั้นมีมากมายจริง ๆ มีหลายคนที่ครอบครัวเธอไม่ควรสร้างเรื่องบาดหมางด้วย พ่อของเธอคงปกป้องม้าตัวน้อยนี้ไม่ได้แน่แต่เหมยเหมยต่างออกไป จะรู้จักกันไม่นานแต่เธอก็มองออกว่าครอบครัวของเหมยเหมยเป็นข้าราชการชั้นสูงแน่นอน
“เหมยเหมย อันที่จริงฉันให้ลูกม้าตัวน้อยนี้กับเธอก็เพราะเจตนาที่เห็นแก่ตัว” ฉีฉีเก๋อกระดากใจอยู่บ้าง เธอคิดว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้องแต่เธอจริงใจจริง ๆ “ฉันแค่ไม่อยากให้ลูกม้าตัวนั้นกลายเป็นของเล่นของบรรดาข้าราชการพวกนั้น พวกเขาไม่ได้ชอบม้าจริง ๆก็แค่ไว้อวดเท่านั้น พอเบื่อก็คงไม่เหลียวแลชีวิตของม้าอีกต่อไป คนเช่นนี้ไม่สมควรเลี้ยงม้าเลย”
ฉีฉีเก๋อรู้สึกเจ็บใจ ม้าเป็นเพื่อนที่มีค่าที่สุดของชาวมองโกเลียในเสมือนครอบครัว พ่อของเธอปฏิบัติต่อม้าทุกตัวในฟาร์มด้วยความจริงใจ ทุกครั้งที่ม้าถูกขายออกไปพ่อจะเสียใจมาก เอาแต่โทษตัวเองว่าไม่สมควรเลี้ยงม้าอีก
เหมยเหมยคาดไม่ถึงว่าลูกม้าตัวนี้จะมีเรื่องราวซับซ้อนขนาดนี้ เธอรู้ดีว่าฉีฉีเก๋อหมายถึงอะไร พวกคุณชายในแวดวงเหล่านั้นมีเงินมีเวลาและยังมีอำนาจ มีของเล่นสนุกมากขึ้นทุกปีเหมือนการละเล่นแปดกองธงในสมัยราชวงศ์ชิง ทุกวันเอาแต่คิดว่าจะเล่นอย่างไร เล่นอะไร?
นกสู้กัน ไก่สู้กัน หมาสู้กัน วัวสู้กัน แข่งม้า จิ้งหรีดสู้กัน เอาหยกอวดแข่งกัน ร่วมรักกับผู้หญิง ร่วมรักกับหนุ่มขายบริการ…
ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เล่นทุกรูปแบบที่คิดได้ เบื่อแล้ว เอียนแล้วก็เปลี่ยนวิธีการเล่น ได้ยินมาว่าพนันมวยผิดกฎหมายกำลังเป็นที่นิยมอีกครั้ง
เหมยเหมยได้ยินมาจากเหยียนหมิงซุ่นว่ามีพนันมวยผิดกฎหมายขนาดใหญ่ในเมืองหลวง ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ต่อยตายต่อยบาดเจ็บไม่นับ เจ้ามือบ่อนการพนันก็คือพี่เฉิน ตอนแรกพี่เฉินก็ดึงเหยียนหมิงซุ่นให้เข้าสู่แวดวงนี้ด้วย
พี่เฉินเป็นอิสระ หลุดพ้นจากคุณหนูใหญ่เฝิงนานแล้วจึงมาตั้งบ่อนการพนันและสนามมวย เปลี่ยนเจ้ามือทุกวันเงินไหลเข้าดั่งสายน้ำ แน่นอนว่าส่วนใหญ่เข้ากระเป๋าของเหยียนหมิงซุ่น นี่คือกฎข้อตกลงที่พี่เฉินต้องทำตาม
แต่ค่าเหนื่อยที่เหลือก็มากพอให้พี่เฉินเปิดบัญชีธนาคารยูบีเอสได้หลายบัญชีแล้ว
ถึงอย่างไรตอนนี้หากพี่เฉินเบื่อหน่ายก็ให้เสี่ยวกัว (นักสืบเอกชน) ช่วยสืบเรื่องไม่สำคัญเล็ก ๆน้อย ๆให้เขา หลังจากนั้นก็แวะเยี่ยมเยียนโรงน้ำชาของเถ้าแก่เนี้ย อย่าให้พูดเลยว่าชีวิตสุขสบายแค่ไหน
ตอนที่ 1364 ให้แจ้งชื่อของฉัน
เหมยเหมยเข้าใจความหมายของฉีฉีเก๋อ ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่บอกเหตุผลหากเธอรู้เข้าคงไม่คบเพื่อนคนนี้แล้วแน่นอน แต่ในเมื่อฉีฉีเก๋อพูดออกมาเธอก็ยังเต็มใจที่จะช่วย
“เอาอย่างนี้นะ เธอบอกว่าลูกม้าจะเกิดในฤดูหนาวไม่ใช่หรือ? รอหลังคลอดฉันจะหาเวลาไปเยี่ยมเจ้าม้าตัวน้อยนั่นแล้วกัน หากมีวาสนาต่อกันถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน ส่วนคนพวกนั้นหากมาถามหาลูกม้าอีก เธอก็แค่ให้พ่อบอกว่ามอบให้ฉันแล้ว บอกชื่อของฉันไปก็พอ”
ชื่อของเธอแน่นอนว่าไม่มีประโยชน์อะไร แต่ใครใช้ให้ผู้ชายของเธอมีฝีมือกันล่ะ!
คุณชายพวกนั้นไม่กล้ามีเรื่องกับเหยียนหมิงซุ่น!
สำหรับลูกม้าของฉีฉีเก๋อเธอไม่คิดอยากได้ ม้าควรอยู่ในทุ่งหญ้าเช่นเดียวกับที่ปลาขาดน้ำไม่ได้ ม้าที่ออกจากทุ่งหญ้า ยังจะวิ่งได้อยู่อีกไหม?
ดังนั้นเจ้าของที่เหมาะสมกับลูกม้าน้อยที่สุดก็คือพ่อของฉีฉีเก๋อ
ฉีฉีเก๋อกระพริบตาปริบ ๆถามอย่างสงสัยว่า “เหมยเหมย ครอบครัวของเธอสุดยอดมากเลยใช่หรือไม่?”
ไม่สุดยอดจริงจะกล้ามั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร?
พวกคุณชายพวกนั้นวางอำนาจบาตรใหญ่จะตายไป ไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว!
เหมยเหมยยิ้มบางพลางขยิบตาทำหน้าทะเล้นแต่ไม่ตอบอะไร น้าฟางหัวเราะร่า “เด็กบื้อ เธอสามารถอ้างชื่อคุณหนูของฉันได้อย่างสบายใจเลย รับรองว่าไม่มีใครกล้ามาฉกลูกม้าน้อยของเธอแน่”
ฉีฉีเก๋อไหนเลยจะไม่เข้าใจ รู้สึกทั้งแปลกใจทั้งดีใจ คาดไม่ถึงว่าเพื่อนที่เธอบังเอิญคบหาจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
มิน่าล่ะพ่อเธอถึงพูดอยู่บ่อย ๆว่าเธอเป็นคนโง่ที่มีโชค!
ไม่ใช่หรือไง!
“ขอบคุณมากนะเหมยเหมย เดี๋ยวกลับไปฉันจะเขียนจดหมายหาพ่อของฉันนะ” ฉีฉีเก๋อพูดอย่างเบิกบากใจ ตอนนี้พ่อของเธอก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
เหมยเหมยก็ฉีกยิ้ม เห็นฉีฉีเก๋อชอบขนมที่เธอเอาออกมาจึงให้น้าฟางเอาถุงใหญ่ ๆมาใส่ของยัดให้เธอจนแน่นถุง
“เธอเอากลับไปที่หอพัก ค่อย ๆกิน ฉันกินน้อย ถ้ายังไม่จัดการให้หมดจะหมดอายุแล้ว”
ฉีฉีเก๋อกระพริบตาปริบ ๆพลันซาบซึ้งใจมาก เพื่อนใหม่ช่างดีจริง ๆมีน้ำใจเหมือนคนมองโกเลียในอย่างพวกเขาเลย สิ่งที่พ่อพูดก็อาจจะไม่ถูกทั้งหมด ในหมู่ชาวฮั่นนั้นก็มีคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและมีน้ำใจเช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะน่าอึดอัดเหมือนถังม่านลี่และสีอันน่า
“เหมยเหมย วันหลังฉันจะให้แม่ของฉันทำเนื้ออบแห้งรสชาติต้นตำรับ ถึงตอนนั้นฉันจะเอามาให้เธอกินนะ มันอร่อยมาก” ฉีฉีเก๋อตัดสินใจหาของมาให้เป็นการตอบแทน
“ได้สิ ฉันจะรอนะ” เหมยเหมยตอบรับด้วยความยินดี
นอนงีบตอนเที่ยงอยู่ครู่หนึ่งเหมยเหมยและฉีฉีเก๋อก็ไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน เธอไม่ให้คุณอาเหลาขับรถไปส่งแต่ขี่จักรยานมาแทน เดิมทีคิดจะให้ฉีฉีเก๋อขี่ไปด้วย แต่คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่ขี่ม้าคล่องกลับขี่จักรยานไม่เป็นจึงให้เธอซ้อนเหมยเหมยมาอย่างจนปัญญา
“วันหลังเธอต้องหัดขี่จักรยานให้เป็น เมืองหลวงไม่ใช่ทุ่งหญ้านะที่จะมีม้าให้เธอขี่?” เหมยเหมยออกแรงปั่น ร่างสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรทำเอาเธอเกือบจะอ้วกแตกอยู่แล้ว
ฉีฉีเก๋อที่นั่งอยู่ก็เหนื่อย มีอยู่หลายครั้งที่ทนไม่ไหวอยากจะกระโดดลงมา ให้สาวน้อยน่ารักที่ร่างเล็กบอบบางอย่างเหมยเหมยออกแรงขนาดนี้ จะถูกฟ้าผ่าเอาได้!
จนสุดท้ายเหมยเหมยจูงจักรยาน ทั้งสองคนเดินมาถึงมหาวิทยาลัย โชคดีที่ไม่ไกล
พวกเจิ้งเสวี่ยซาล่วงหน้าไปห้องเรียนก่อนแล้ว นึกศึกษาหญิงขาดแค่เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อเท่านั้น สีอันน่าไม่ได้อยู่สาขาเดียวกับพวกเขาแต่อยู่สาขาการออกแบบโฆษณา เนื่องจากห้องพักนักศึกษาหญิงของสาขาเธอเต็มจึงจัดมาลงห้องพักสาขาวาดรูปของเหมยเหมย
ทั้งสาขาวาดภาพมียี่สิบแปดคน เป็นนักศึกษาหญิงหกคนส่วนที่เหลือเป็นนักศึกษาชายทั้งหมด เพราะเหตุนี้นักศึกษาชายทั้งยี่สิบสองคนต่างกำลังชะเง้อยืดคอเหมือนห่าน เพียงแค่อยากเห็นว่าเพื่อนนักศึกษาหญิงที่เหลืออีกสองคนหน้าตาเป็นอย่างไร
……………………………………………
ตอนที่ 1365 เลือกคณะกรรมการนักศึกษา
พวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว ดาวมหาวิทยาลัยของเมืองหลวงในปีนี้จะตกเป็นของสาขาวาดภาพจีน ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นสวีจื่อเซวียน แต่ตอนที่ได้เห็นเหมยเหมย พวกเขาถึงเพิ่งจะเข้าใจ ——
“คิ้วเหมือนขนนก ผิวเนียนเหมือนหิมะสีขาว เอวบางเหมือนมัดผ้าไหม ฟันขาวราวเปลือกหอย รอยยิ้มที่งดงามราวดั่งต้องมนต์สะกด สวยจนน่าหลงไหล…
มีนักศึกษาชายคนหนึ่งพึมพำกับตัวเอง คนอื่น ๆต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
สวีจื่อเซวียนก็ถือว่าสวยแต่เมื่อเทียบกับจ้าวเหมยแล้วก็โดนเปรียบเป็นดั่งสาวรับใช้
ต่างกันราวฟ้ากับดิน!
แววตาของพวกนักศึกษาชายทุกคนกลอกไปมาตามท่วงท่าเหมยเหมย ตั้งแต่ระเบียงทางเดินยันห้องเรียนจ้องอย่างไม่ละสายตา ถังม่านลี่รู้สึกโกรธอยู่ในใจ ก่อนหน้าจ้าวเหมยยังไม่มายังมีเพื่อนนักศึกษาชายหลายคนมาเอาอกเอาใจเธอต่อหน้า แต่พอจ้าวเหมยมาคนพวกนั้นก็วิ่งหายไปหมด เธอโมโหจะตายอยู่แล้ว
อาจารย์ประจำชั้นเป็นผู้ชายวัยสี่สิบเศษ ๆที่ดูภูมิฐาน ร่างกายแผ่กลิ่นอายของคนมีความรู้ออกมาทำให้รู้สึกสบายตัวแม้แต่เขายังตกตะลึงในความงามของเหมยเหมย แต่แค่ครู่เดียวก็ดึงสายตากลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ประจำชั้น ไม่สามารถปล่อยไก่ให้ตัวเองขายขี้หน้าต่อหน้าพวกนักศึกษาได้
“ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่สาขาศิลปะจีน ฉันชื่อเจียงจื้อหรู่เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอ หากเป็นไปตามคาด ฉันคงติดตามช่วงเวลาสำคัญทั้งสี่ปีนี้ของเธอ หากวันหน้าพวกเธอมีปัญหาเรื่องการเรียนหรือปัญหาการใช้ชีวิตอะไรก็มาหาฉันได้ นี่คือหมายเลขเพจเจอร์ของฉัน และยังมีที่ห้องทำงานและโทรศัพท์บ้านของฉันด้วย”
น้ำเสียงของเจียงจื้อหรู่เป็นน้ำเสียงวัยกลางคนที่แสนน่าฟัง ช้า ๆเนิบ ๆออกเสียงดังฟังชัด มีสำเนียงของคนเมืองหลวง น่าจะเป็นคนในพื้นที่ มองกำไลหยกบนมือของเขารวมถึงแบรนด์เสื้อผ้าที่สวมใส่ เห็นได้ว่าอาจารย์ประจำชั้นคนนี้มีภูมิหลังครอบครัวที่ดี ไม่ขัดสนเรื่องเงิน
จากนั้นก็มีธรรมเนียมต้อนรับนักศึกษาใหม่โดยให้ออกมาแนะนำตนเอง เหมยเหมยพูดแค่เพียงชื่อและบ้านเกิดของเธอธรรมดา ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมเลือกคณะกรรมการนักศึกษา เหมยเหมยไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยสักนิดแต่เจียงจื้อหรู่กลับสนใจเธอมาก ข้อมูลเอกสารรับสมัครของนักศึกษาใหม่แต่ละคนเขาได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว คนที่ทำให้เขาสนใจมากที่สุดคือจ้าวเหมยคนนี้ แหละ
ฐานะทางสังคมสูงมาก มีชื่อเสียงตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมีหน้าตาสะสวย และยังเป็นคู่หมั้นของคุณชายหมิงผู้ลึกลับอีกด้วย ไม่ว่าจะมองจุดไหนก็อยากจะพิจารณาผู้หญิงคนนี้
แน่นอนว่าเขาไม่กล้ายุ่งกับเธอหรอก แม้ว่าในเมืองหลวงตระกูลเจียงจะไม่ใช่ตระกูลเล็ก ๆ แต่ก็แค่เหนือกว่าคนทั่วไปหน่อย ไหนเลยจะกล้าไปยุแหย่แก้วตาดวงใจของคุณชายหมิงได้ เกรงว่าวันหน้าต้องดูแลมากกว่านี้อีก!
ช่วงเวลานี้การคัดเลือกคณะกรรมการนักศึกษายังไม่มีสิทธิ์ออกสิทธิ์ออกเสียง ซึ่งต้องได้รับการแต่งตั้งจากอาจารย์เท่านั้น เจียงจื้อหรู่ชี้ไปที่เจิ้งเสวี่ยซานให้เป็นหัวหน้าห้อง เพราะว่าเธอเคยเป็นหัวหน้าห้องทั้งตอนมัธยมต้นและมัธยมปลาย จัดการสิ่งต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม มีประสบการณ์มาก
ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของนักศึกษาชายรับผิดชอบไป คณะกรรมการศิลปะวรรณกรรมเจียงจื้อหรู่อยากให้เหมยเหมยมารับหน้าที่ แต่ดูท่าทางของจ้าวเหมยแล้วเธอไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เท่าไรจึงชี้ไปที่สวีจื่อเซวียน ผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่าไม่เลว
เพียงแต่ผลงานโดดเด่นของเหมยเหมยมีมากมาย จุดนี้ทำให้เธอยังมีไม่มากพอ!
วันที่สามของการเข้าเรียนก็ฝึกรด.(นักศึกษาวิชาทหาร)เป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้นจะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับ ทุกสาขาต้องมีการแสดง ยังมีตัวแทนนักศึกษาใหม่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์และอีกหลายเรื่อง!
“ฉันได้ยินมาว่าตัวแทนนักศึกษาใหม่มีแค่คนเดียวในมหาวิทยาลัย ไม่รู้จะเป็นของสาขาเรารึเปล่า!” ถังม่านลี่อยากรู้เหลือเกิน จุดนี้เธอรู้ตัวเองดีว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองหลวงได้ก็นับเป็นโชคดีของเธอมากแล้ว ผลเกือบหลุดไปจากท้าย
นักศึกษาใหม่ที่เป็นตัวแทนที่สูงส่งแบบนี้ ไม่มีทางเป็นเธอได้แน่นอน
สวีจื่อเซวียนดวงตาเป็นประกาย อดถามไม่ได้ว่า “เงื่อนไขของตัวแทนนักศึกษาใหม่มีอะไรบ้าง?”
ตอนที่ 1366 แน่นอนว่าต้องเป็นจ้าวเหมย
ถังม่านลี่มองเธอแวบหนึ่งนัยน์ตาฉายแววดูหมิ่นเล็กน้อย เธอไม่ชอบจ้าวเหมยแต่ก็ไม่ชอบสวีจื่อเซวียนเหมือนกัน ใครก็ตามที่ดูดีกว่าเธอก็ไม่ชอบทั้งนั้น
ในห้องเธอรู้สึกว่าเจิ้งเสวี่ยซานและฉีฉีเก๋อพอจะเข้าตามากหน่อย เหริ่นเขี่ยนเชี่ยนก็โอเค ถึงแม้ว่าจะพูดจาไม่น่าฟัง แต่เป็นคนมีเงิน ใจกว้างพอควร สี่ปีในรั่วมหาวิทยาลัยถ้าเธออยากมีชีวิตอู้ฟู่ นอกจากการจับผู้ชายรวย ๆแล้ว เกาะติดเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไว้ก็สำคัญ
“แน่นอนว่าต้องมีเกรดดี ความสามารถเป็นที่ประจักษ์ยอดเยี่ยม ตัวอย่างเช่นเคยได้รับรางวัลระดับชาติหรือระดับระดับมณฑลมาก่อน” หลังจากที่สวีจื่อเซวียนได้ฟัง สีหน้าก็ดูมีความสุขเล็กน้อย คุณสมบัติของเธอตรงตามทั้งสองข้อนี้เลย
เธอสอบได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์ในมณฑลหูหนาน คะแนนของมณฑลหูหนานอยู่ในอันดับต้น ๆของประเทศ เธอมั่นใจว่านักศึกษาใหม่ที่มีคะแนนสูงกว่าเธอมีไม่เกินหนึ่งฝ่ามือด้วยซ้ำ
อีกทั้งเธอยังได้ตีพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์และนิตยสารรายใหญ่ในมณฑลหูหนาน และยังมีภาพวาดของเธอที่ได้รับรางวัลที่สองของมณฑลเลยนะ!
สวีจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น บางทีเธออาจจะได้เป็นตัวแทนของนักศึกษาใหม่ก็ได้?
แบบนี้แล้วพ่อของเขาคงเชิดหน้าชูตาในโรงเรียนได้มากกว่าเดิม!
ถังม่านลี่เห็นสีหน้าท่าทางของสวีจื่อเซวียนแวบเดียวก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะพูดด้วยเสียงยุแหย่ว่า “พวกเราที่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดาอย่าไปคิดเลย ต่อให้ยอดเยี่ยมโดดเด่นแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่ต้องเป็นหน้าเป็นตาแบบนี้ ทางมหาวิทยาลัยต้องสงวนไว้ให้สำหรับนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมดีอยู่แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ถังม่านลี่ก็เหลือบมองจ้าวเหมยที่อยู่ไม่ไกลเหมือนจะตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจ สวีจื่อเซวียนปวดใจจี๊ด ๆ ถึงนึกขึ้นได้ว่าในชั้นยังมีสิ่งขัดขวางอยู่ ใบหน้าสะสวยนั้นก็อดทำหน้าบึ้งตึงไม่ได้
จ้าวเหมยก็แค่อาศัยวงศ์ตระกูลผู้ดีถึงได้มีชื่อเสียงขึ้นมาหน่อย เปลี่ยนใครมาเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่ก็ได้แต่ห้ามเป็นจ้าวเหมยเด็ดขาด!
เจิ้งเสวี่ยซานก็มีความคิดเช่นเดียวกับสวีจื่อเซวียน เธอก็อยากเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่ เรื่องที่ได้หน้าขนาดนี้มีใครบ้างไม่ต้องการ?
เจิ้งเสวี่ยซานขบฟันแน่นตัดสินใจว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะไปหาคุณปู่ให้เขาหาเส้นสายในมหาวิทยาลัย ดูสิว่าพอจะช่วยให้เป็นเธอได้ไหม
อีกทั้งต้องเล่าเรื่องจ้าวเหมยให้คุณปู่ฟัง เผื่อให้คุณปู่ช่วยคิดหาหนทาง
“คุณจ้าวเหมย มาหาฉันที่ห้องทำงานหน่อย” เจียงจื้อหรู่เรียกหาเหมยเหมย
สวีจื่อเซวียนและเจิ้งเสวี่ยซานต่างก็หน้าถอดสี ลางสังหรณ์บอกพวกเธอว่าเจียงจื้อหรู่เรียกจ้าวเหมยในเวลานี้ อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องตัวแทนนักศึกษาใหม่ แต่ถังม่านลี่ก็ยังพูดว่า “อาจารย์เจียงจะให้จ้าวเหมยเป็นตัวแทนของนักศึกษาใหม่เหรอ?”
เจิ้งเสวี่ยซานรู้สึกจุกอยู่ในอก อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ตัวแทนของนักศึกษาใหม่ถูกกำหนดโดยผู้นำของมหาวิทยาลัย อาจารย์เจียงเป็นแค่อาจารย์ประจำชั้น มีอำนาจจัดการที่ไหน!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ชอบเจิ้งเสวี่ยซาน จงใจพูดเพื่อให้เธอกลุ้มใจมากขึ้นกว่าเดิม “ก็ไม่แน่หรอกนะ บางทีทางมหาวิทยาลัยอาจจะจัดการไว้นานแล้ว ตอนนี้เลยให้อาจารย์เจียงมาแจ้งให้จ้าวเหมยรู้ก็ได้!”
เห็นสีหน้าของเจิ้งเสวี่ยซานและสวีจื่อเซวียนดูไม่ค่อยได้ อารมณ์ของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ดีขึ้นมาก ถึงอย่างไรทั้งคณะกรรมการนักศึกษาหรือตัวแทนนักศึกษาใหม่เธอล้วนไม่สนใจทั้งนั้น การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเพียงเพื่อได้รับประกาศนียบัตรที่ดูดีก็เท่านั้นเอง จะสนใจว่าใครจะเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่ไปทำไม!
ให้สวีจื่อเซวียนและเจิ้งเสวี่ยซานสองคนนั้นเป็น สู้ให้จ้าวเหมยได้เป็นเสียยังดีกว่า!
“ฉันว่านะถ้าจ้าวเหมยเป็นตัวแทนของนักนักศึกษาใหม่ก็ดีจะตายไป เธอเป็นถึงนักเขียนชื่อดังที่มีหนังสือจำหน่ายในต่างประเทศ อีกทั้งภาพวาดก็ยังได้รับรางวัลระดับประเทศ แถมยังเคยออกทีวีอีก การเต้นก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ใช่แล้ว ครูสอนเต้นของจ้าวเหมยเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการเต้นอันดับหนึ่งของประเทศด้วย โอ้โฮ……ถ้าจ้าวเหมยได้เป็นตัวแทนของนักศึกษาใหม่นะ ฉันยอมซูฮกให้เลย!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างจงใจ
ฉีฉีเก๋อได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจ เธอยังไม่รู้เรื่องของเหมยเหมยก็เลยถามเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน
เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่อยากจะสนใจเธอ แต่เห็นผู้หญิงคนนี้เพิ่งมาก็สนิทสนมกับจ้าวเหมยแล้วจึงไม่กล้าสร้างเรื่องขุ่นเคืองใจ เลยเล่าเรื่องของเหมยเหมยทั้งหมดให้ฟัง ฉีฉีเก๋ออุทานด้วยความประหลาดใจ ยกนิ้วโป้งให้
“เหมยเหมยเก่งมากเลย ถ้าหากเธอเป็นตัวแทนของนักศึกษาใหม่จริง ๆ ฉันก็ยอมรับ สุดยอดไปเลย!”
…………………………………………..
ตอนที่ 1367 เชอร์ล็อก โฮมส์
เจิ้งเสวี่ยซานและสวีจื่อเซวียนรู้สึกจุกเข้าที่อกอีกครั้ง ใจคิดอยากจะหนีไปไม่อยากฟังผีเน่าน่ารังเกียจสองคนนี้พูดอีก แต่อีกใจพวกเธอก็อยากรอให้จ้าวเหมยออกมาก่อน ในเวลานั้นปากสว่างถังม่านลี่จะต้องถามอาจารย์เจียงอย่างแน่นอนว่าเขาพูดอะไรกับจ้าวเหมย
ด้วยใจที่ใคร่รู้ถึงแม้ว่าเจิ้งเสวี่ยซานและสวีจื่อเซวียนจะไม่สบายใจอย่างที่สุด แต่เท้ากลับไม่ขยับเขยื้อนเหมือนตะปูยังไงอย่างนั้น
“ฉันรออันน่า ก่อนหน้านั้นตกลงกันแล้วว่าจะไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกัน” เจิ้งเสวี่ยซานเหมือนกลัวว่าคนอื่นจะคิดเยอะจึงจงใจอธิบาย
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพ่นเสียงฮึออกมา ใจจริงอยากประชดสักคำว่า ‘ตอแหล’ แต่พอมาคิด ๆดูแล้วตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าห้อง ถ้าหากวันหลังเกิดขัดแข้งขัดขาเธอขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดี จึงต้องกลั้นเสียง ‘ฮึ’ นั้นเอาไว้ แต่กลับอัดอั้นจนแทบทนไม่ไหว
คิดดูแล้วคุณหนูใหญ่เหริ่นอย่างเธอต้องมาอัดอั้นอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์อยู่เบื้องหน้าของเธอเสียด้วย ไม่ได้การ…เธอต้องหาทางจัดการหาจุดอ่อนของเจิ้งเสวี่ยซาน วันหน้าถึงจะรับมือกับพวกผู้หญิงเหล่านี้ได้ง่ายหน่อย ดูสิว่าวันหลังหล่อนจะกล้าตบตาทำเป็นใจกว้างต่อหน้าเธออีกไหม!
เหมยเหมยตามเจียงจื้อหรู่ไปที่ห้องทำงานเป็นห้องเดี่ยวที่ตกแต่งอย่างหรูหรามาก มีภาพวาดหลายภาพแขวนอยู่บนผนัง การวาดไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญแต่ทักษะฝีมือก็ไม่ธรรมดา ตรงกลางห้องห้อยต้นเศรษฐีเรือนในที่แตกกิ่งก้านเขียวชอุ่ม ขอบหน้าต่างยังเต็มไปด้วยกล้วยไม้นานาชนิด
มีตู้เย็นขนาดเล็กวางอยู่มุมห้อง คาดไม่ถึงว่าใต้ผ้าม่านจะมีเตียงเตียงเหล็กที่ประกอบไว้แล้ววางอยู่ ซึ่งไม่ปิดบานประตูให้ดีปรากฏให้เห็นผ้าคลุมเตียงสีฟ้าอ่อน แสดงให้เห็นว่าอาจารย์เจียงคนนี้บางทีก็นอนค้างที่ห้องทำงาน เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาโสดหรือแต่งงานแล้ว?
แต่ดูจากอายุของเขามีแนวโน้มที่จะแต่งงานแล้ว รวมไปถึงอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับภรรยา อยู่ในสถานะสงครามเย็นหรือการแยกกันอยู่ ไม่งั้นเขาคงจะไม่นอนที่ห้องทำงาน
เพราะว่าหนังสือการ์ตูนเรื่องใหม่เล่มที่สองของเหมยเหมย ค่อนข้างจะเลียนแบบการ์ตูนการไขคดีด้วยการอนุมานชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นไม่รู้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้ทำเงินกับคนในประเทศได้เท่าไหร่ แน่นอนว่าเธอไม่สามารถลอกเลียนได้ คดีต่าง ๆในหนังสือเป็นความคิดของเธอเองหรือเค้าโครงคดีจากประวัติศาสตร์ที่มีให้เห็นมาก่อน
เธอหาข้อมูลมากมายทุกวัน ดังนั้นเธอจึงเหนื่อยกับการวาดเล่มสองมากแต่กระแสตอบรับก็ดีมากเช่นกัน เพิ่งออกมาได้สามอาทิตย์ก็ขาดตลาด อาหลินฮั่นเหวินรับเงินจนมือไม้อ่อนไปหมดแล้ว
อีกทั้งตอนนี้สำนักพิมพ์สตาร์ก็ได้เป็นอันดับหนึ่งในสำนักพิมพ์ฮ่องกงแล้ว วันพลัสกับโฉวฉินตกอันดับถอยไปอยู่อันดับสองแล้ว ตอนนี้สู้สำนักพิมพ์สตาร์ไม่ได้หรอก
และด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เหมยเหมยไปที่ใหม่หรือเจอคนแปลกหน้าก็จะทำการวิเคราะห์โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับเชอร์ล็อก โฮมส์
เวลานี้เหมยเหมยวินิจฉัยชี้ขาดเรียบร้อยแล้วว่าอาจารย์ประจำชั้นคนใหม่ของเธอคุณเจียงจื้อหรู่ มีแนวโน้มที่จะอยู่ในสถานการณ์ทำสงครามเย็นกับภรรยาแยกกันอยู่ อีกทั้งในบ้านน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจารย์ประจำชั้นตัวเล็ก ๆอย่างเขาที่ไม่ได้เป็นรองศาสตราจารย์ด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะมีสวัสดิการห้องทำงานเดี่ยว
“นั่งสิ อยากจะดื่มอะไรไหม?”
เจียงจื้อหรู่ไหนเลยจะรู้ว่าถูกนักเรียนขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัวจนเกลี้ยง เดินไปเปิดตู้เย็นเอ่ยถาม
“ขอบคุณอาจารย์เจียง หนูไม่ดื่มค่ะ อาจารย์เรียกหาหนูมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
เหมยเหมยยิ้มปฏิเสธในใจกลับฉงน มองดูแล้วอาจารย์เจียงคนนี้เหมือนพวกหนอนหนังสือ ตามหลักการแล้วน่าจะชอบชงชาอะไรจำพวกนั้นมากกว่า ไม่คิดเลยว่าจะชอบพวกเครื่องดื่มน้ำอัดลม
เมื่อครู่เธอแอบมองอยู่แวบหนึ่ง ในตู้เย็นเต็มไปด้วยโค้กและสไปรท์มากมาย ที่แท้ก็มองคนจากภายนอกไม่ได้จริง ๆ!
“ฉันไม่ชอบดื่มชา คงต้องลำบากเธอดื่มน้ำเปล่าแล้วล่ะ”
สีหน้าของเจียงจื้อหรู่ขยับเล็กน้อยดูเหมือนจะคิดบางอย่างได้ เขาเทน้ำร้อนหนึ่งแก้วส่งให้เหมยเหมย ตัวเองหยิบโค้กมาหนึ่งกระป๋องแล้วนั่งลงหน้าเหมยเหมย
ตอนที่ 1368 เธอคือตัวแทนนักเรียนใหม่
เจียงจื้อหรู่ดื่มโค้กไปหนึ่งอึกก่อนกระแอมเสียงแล้วพูดว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้ปรึกษาตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วว่าจะมอบหมายให้เธอเป็นตัวแทนของนักศึกษาใหม่ในปีนี้ พรุ่งนี้นักศึกษาที่เข้าเรียนใหม่จะต้องกล่าวสุนทรพจน์ในพิธี ดังนั้นเธอจะต้องเตรียมคำพูดที่จะพูด”
เหมยเหมยนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง ถามว่า “ตัวแทนนักศึกษาใหม่ต้องพูดในงานเลี้ยงต้อนรับไม่ใช่เหรอคะ?”
เมื่อครู่ถังม่านลี่ยังพูดว่าจะกล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับหลังการฝึกรด. ทำไมถึงได้กลายเป็นพรุ่งนี้ไปได้ล่ะ?
เจียงจื้อหรู่ยิ้ม “งานเลี้ยงต้อนรับก็คืองานเลี้ยงต้อนรับ พิธีปฐมนิเทศก็คือพิธีปฐมนิเทศ งานสองอย่างนี้แตกต่างกันซึ่งนั่นก็คือพรุ่งนี้ เอาเป็นว่าเธอกลับไปเตรียมตัวเอาไว้อย่างน้อยต้องสิบนาที!”
เหมยเหมยกลับไม่ได้ตื่นเต้นจนเกินไป ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอออกโทรทัศน์ แจกลายเซ็น นอกจากนี้ยังมีงานประชุมสัมนากับผู้อ่าน…จะพูดอย่างไรก็เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ก็แค่พูดกล่าวในงานเท่านั้นเองซึ่งไม่ทำให้เธอหนักใจเลย
“อาจารย์เจียง ฉันขอถามหน่อยทางมหาวิทยาลัยมีข้อกำหนดมุ่งเน้นให้พูดเช่นไรหรือไม่คะ?” เหมยเหมยถาม
เจียงจื้อหรู่ยิ้มอีกครั้ง สายตาฉายแววชื่นชมจ้าวเหมยคนนี้ช่างมองโลกได้กว้างจริง ๆ หากเป็นเด็กใหม่คนอื่นกลัวว่าตอนนี้จะตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูก แต่สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สงบนิ่งมาก
“แน่นอนว่าเธอพูดได้อย่างอิสระ แต่จะดีกว่าถ้าพูดสิ่งที่เป็นพลังบวกและสร้างแรงบันดาลใจ และอย่าพูดถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเมือง…เธอเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?” เจียงจื้อหรู่ขยิบตาอย่างขบขำ
เหมยเหมยก็ยิ้มพลางพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับการต่อต้านมนุษยชาติต่อต้านสังคมต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านโรงเรียนแม้แต่คำเดียว อาจารย์เจียงวางใจได้ค่ะ!”
เจียงจื้อหรู่อดไม่ได้ที่จะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เด็กคนนี้น่าสนใจจริง ๆ
“เธอมีในใจแล้วก็ดี ผมพูดแค่เรื่องนี้แหละ เธอกลับไปเตรียมตัวให้ดีเถอะ เธอยังเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่คนแรกของคณะศิลปกรรมศาตร์ของเรา อย่าลืมว่าต้องทำให้คณะสาขาอื่นอึ้งและยอมจำนนในความสามารถ”
เจียงจื้อหรู่ทำมือบอกให้เธอสู้ ๆ เหมยเหมยก็ยิ้มตอบกลับไป
เธอกำลังจะขอตัวเจียงจื้อหรู่ก็เรียกรั้งเธอไว้อีกครั้ง เหมือนจะแสดงท่าทีลำบากใจอยู่บ้าง “อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันเอง ฉันชื่นชมภาพวาดของคุณตาเหยียนของเธอมาก แต่ตอนนี้หายากมากขาดตลาดมาก……”
พูดถึงตรงนี้เจียงจื้อหรู่ก็ชะงักไป คงจะเป็นเพราะว่าตัวเขาเองลำบากใจที่จะเอ่ยปากล่ะมั้ง
แต่พอนึกถึงผลงานสไตล์ของปรมาจารย์เหยียน เขาจึงทำหน้าหนาพูดต่อไปว่า “ฉันอยากสะสมภาพวาดของปรมาจารย์เหยียนมาโดยตลอด แต่เสาะหามาสิบกว่าปีก็ไม่มีวาสนาจะได้มันมาสักที ดังนั้นฉันคิดจะซื้อภาพจากแม่ของเธอ ฉันยินดีที่จะให้ราคาสูงกว่าตลาดยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
ถึงตรงนี่เหมยเหมยถึงได้เข้าใจความหมายของเจียงจื้อหรู่ ก็คืออยากจะซื้อภาพวาดของคุณตาจากแม่ของเธอนั้นเอง!
เจียงจื้อหรู่ไม่สามารถหาซื้อรูปภาพของคุณตาได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสักนิด คุณตามีชื่อเสียงในต่างประเทศ อีกทั้งสไตล์การวาดภาพของคุณตาแปลกใหม่หลากหลาย มีภาพสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เกือบทุกปี เหยียนซินหย่ายังมีภาพวาดสีน้ำมันที่คุณตาของเธอวาดไว้เมื่อเธอยังเด็กอยู่ไม่กี่ภาพ!
ตอนวัยรุ่นภาพวาดของเหยียนตานชิงถูกนักสะสมชาวต่างชาติซื้อไปหมด หลังจากกลับประเทศจีนสไตล์การวาดภาพของเหยียนตานชิงก็ค่อย ๆมั่นคงขึ้น แต่จำนวนกลับลดลงอย่างมาก ปีหนึ่งสามารถวาดได้แค่ไม่กี่ภาพ ส่วนใหญ่เป็นการแจกหรือสร้างความบันเทิงให้ตนเอง ดังนั้นตลาดภายในประเทศจึงมีผลงานภาพวาดของคุณตาน้อยมาก
แม้แต่ในมือของเหยียนซินหย่ามีแค่สามสิบกว่าภาพเท่านั้น ที่เหลือยังมีผลงานศิลปะการเขียนตัวอักษร รวมถึงภาพร่าง ตัวอย่างตราประทับต่าง ๆ
“อาจารย์เจียง ต้องขออภัยจริง ๆค่ะ ในมือแม่ของฉันมีภาพวาดของคุณตาก็จริงแต่เธอไม่คิดจะขาย” เหมยเหมยปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
เจียงจื้อหรู่ถอนหายใจอย่างเสียดาย “ก็เข้าใจความรู้สึกของแม่ของเธออยู่หรอก หากเป็นฉันก็คงไม่คิดจะขาย”
เหมยเหมยเลิกคิ้วเจตนาถามขึ้นว่า “อาจารย์เจียง เท่าที่หนูรู้มามีภาพวาดสไตล์คล้ายคุณตาของหนูเยอะมาก อย่างภาพวาดของเจิ้งซื่อหลินและหร่วนฮวาไช่ทั้งสองคนต่างก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นเช่นกัน”
…………………………………………..
ตอนที่ 1369 ขอภาพวาด
ยุคฟื้นฟูศิลปะวรรณคดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศิลปะการเขียนตัวอักษรภาพวาดพวกนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในตลาด โดยเฉพาะของคุณตาของเธอ ท่านโด่งดังไปทั่วโลกก่อนเสียชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือคุณตาของเธอจากไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เคารพต่อท่านเท่าไร แต่นี่ก็เป็นสาเหตุที่ภาพวาดของคุณตาของเธอมีราคาสูงมาก การตายถึงจะเป็นเหตุผลหลัก
บนเส้นทางศิลปะการเขียนตัวอักษร คนที่มีชีวิตอยู่ไม่สามารถสู้คนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ตลอดกาล!
กล่าวได้ว่าสไตล์การวาดภาพของจิตรกรในยุคร่วมสมัยที่เก็งกำไรได้สูงที่สุดก็คือผลงานของคุณตาของเธอ
นี่ก็เริ่มจะมีภาพวาดปลอมของปรมาจารย์เหยียนขึ้นมา มีสองสามภาพที่แนบเนียนเหมือนจริงมาก มีบางครั้งถ้าเหยียนซินหย่าไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดก็ยังแยกแยะไม่ออก
อีกทั้งเจิ้งซื่อหลินและหร่วนฮวาไช่คนไร้ยางอายสองคนนี้ทำข้อตกลงกับตานเหอเจิ้ง ตอนนี้คาดว่าจะสร้างสัญลักษณ์ของคุณตาของเธอขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับไม่กล้าพูดว่าเป็นลูกศิษย์ของคุณตา พูดแค่ว่าพวกเขาเคยได้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์เหยียนอยู่หลายครั้ง คุณตาและพวกเขามีมิตรภาพระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์
ช่างไร้ยางอายที่สุด!
เหยียนซินหย่าแถลงการณ์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่หลายครั้ง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหร่วนฮวาไช่และเจิ้งซื่อหลินไม่มีความสัมพันธ์ใดกับคุณตาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังมีประโยชน์ มีผู้หวังดีได้เปิดเผยเรื่องด่างพร้อยของสองคนในอดีต เขียนบทความและด่าในหนังสือพิมพ์ ด่าว่าสองคนนี้เป็นปัญญาชนที่ไร้ยางอายไม่มีจุดยืนแน่วแน่……
แต่ตอนนี้ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตข้อมูลถูกปิดกั้นมาก ฮวาเซี่ยใหญ่มากขนาดนี้มีข่าวมากมายที่จนปัญญาที่จะแพร่กระจายออกไปให้ทั่วถึง ธาตุแท้ของสองคนนี้มีคนที่รู้มีน้อยจนเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงแบกหน้าอยู่ในวงการวาดภาพได้อยู่
เหยียนหมิงซุ่นเคยเสนอว่าเขาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องเจ้าคนไร้ยางอายพวกนี้ได้โดยตัดทางหนีทีไล่ แต่เหยียนซินหย่าไม่เห็นด้วย
เหยียนซินหย่าเธอมุ่งมั่นที่จะพึ่งพาความสามารถของตัวเอง เพื่อลบล้างมลทินให้พ่อเธอและแก้นแค้นเอาคืนด้วย
เธอรู้สึกว่านี่เป็นหน้าที่ของเธอในฐานะลูกสาว
ทุกคนรู้ดีถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมของเหยียนตานชิงในปีนั้น อีกทั้งรัฐบาลแก้คำข้อกล่าวหาบอกว่าใส่ความคุณตาของเธอแล้ว แต่การแก้ไขครั้งนี้ทำกันเพียงภายในเท่านั้นจึงมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบ
ปีนั้นคุณตาคุณยายของเธอต้องทนทุกข์ทรมานรับโทษโดยไม่มีใครรู้สักคน และพวกตานเหอเจิ้งสารเลวสามคนนั้น และยังมีอีกมากมายที่ไม่รู้แน่ชัด ซึ่งไม่ใช่ว่าเหยียนซินหย่าไม่ต้องการความเป็นธรรมกอบกู้ชื่อเสียงให้กับคุณตา
แต่เรื่องนี้อ่อนไหวมาก เหยียนซินหย่ามีใจที่มุ่งมั่นแต่ไร้ซึ่งกำลัง เธอมีหลายอย่างที่ไม่สามารถพูดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้จ้าวอิงหัวทำงานในรัฐบาล ดังนั้นทุกคำเธอต้องคิดไตร่ตรองให้ดีจนถี่ถ้วนแล้วถึงจะกล้าที่จะพูดออกไป
ถึงอย่างไรเสียเพื่อความสุขของตัวเองแล้วเธอไม่สามารถละเลยสามีและลูกสาวได้!
เจียงจื้อหรู่ได้ยินคำพูดของเหมยเหมย เขาก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมาอย่างเห็นได้ชัด พูดเย้ยหยันว่า “สองคนนี้เทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วเท้าของปรมาจารย์เหยียนด้วยซ้ำ ดีแต่ลอกเลียนรูปแบบของสำนักเหยียน แต่กลับไม่มีจิตวิญญาณ ไม่เข้าตาฉันหรอก”
เหมยเหมยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชอบอาจารย์ประจำชั้นของเธอมากขึ้น คิด ๆแล้วก็พูดขึ้นว่า “ภาพวาดของคุณตาหนูคงจะขายให้ไม่ได้แน่นอน แต่อีกไม่นานแม่ของหนูจะจัดนิทรรศการภาพวาดให้คุณตา โชว์ผลงานศิลปะก่อนเสียชีวิตทั้งหมด ถึงตอนนั้นถ้าอาจารย์เจียงสนใจหนูสามารถมอบให้อาจารย์ได้สักสองสามใบค่ะ”
เจียงจื้อหรู่รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว นิทรรศการจัดแสดงเมื่อไรและที่ไหน? ถ้าหากจัดที่เมืองหลวงแล้วล่ะก็ ฉันรู้จักเพื่อนในพื้นที่มากมายน่าจะช่วยได้บ้าง”
“สถานที่ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ น่าจะเลือกระหว่างเมืองหลวงไม่ก็เมืองจินสองที่นี้แหละ หนูจะกลับไปถามแม่ดู เมื่อตัดสินใจแล้วฉันจะบอกอาจารย์เจียงนะคะ”
“ได้ ๆ ๆ เรื่องนี้ไม่รีบ ถ้าหากว่าจัดที่เมืองหลวงล่ะก็ ฉันหวังว่าจะได้ช่วยอย่างเต็มที่” เจียงจื้อหรู่พูดถึงเรื่องช่วยเหลืออีกครั้ง มองออกเลยว่าเขามีใจอยากจะช่วยจริง ๆ
เหมยเหมยพูดยิ้ม ๆว่า “ฉันจะต้องบอกแม่แน่ ๆค่ะ ถ้าหากว่าจัดที่เมืองหลวงจริงคงต้องรบกวนอาจารย์เจียงแล้ว”
“ไม่เลย ๆ สามารถช่วยเหลืองานนิทรรศการภาพวาดของปรมาจารย์เหยียนได้นับว่าเป็นบุญของฉันสามชาติเลย!” เจียงจื้อหรู่ลูบฝ่ามือสีหน้าดูเลื่อมใสศรัทธามาก
ตอนที่ 1370 ได้รับการเหน็บแนม
เหมยเหมยออกจากห้องทำงานก็เดินลงไปชั้นล่าง แต่กลับเห็นพวกเจิ้งเสวี่ยซานอยู่ใต้อาคารห้องทำงานครบทุกคน แม้แต่สีอันน่าก็อยู่ที่นี่
“พวกเธอทำไมยังไม่กลับหอพักอีกเหรอ?” เหมยเหมยถามอย่างสงสัย
ฉีฉีเก๋อเป็นคนตรงไปตรงมาจึงพูดเสียงดังว่า “พวกเขาอยากจะรู้ว่าอาจารย์เจียงเรียกหาเธอไปคุยเรื่องอะไร!”
สีหน้าของเจิ้งเสวี่ยซานตึงชะงักเล็กน้อย แอบโมโหฉีฉีเก๋อยัยโง่นี่ หัวเราะด้วยท่าทีเกินจริง “อากาศร้อนเกินไป ที่นี่ค่อนข้างร่มรื่นมีเงาต้นไม้อยู่พอดี”
“เมื่อครู่เธอยังพูดอยู่เลยว่ารออันน่าไปกินข้าวด้วยกันไม่ใช่เหรอ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดแดกดันอย่างไม่เกรงใจ
รอยยิ้มของเจิ้งเสวี่ยซานเจื่อนลงเรื่อยๆจนแทบจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ อยากจะชักสีหน้าใส่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน นังอ้วนสมควรตายคนนี้เป็นอริกับเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่ใช่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของเธอแล้วล่ะก็ เธอปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอากรรไกรแทงลงไปที่ร่างของนังอัวนนี่ให้พรุนเลย
นังอ้วนสมควรตาย สมน้ำหน้าที่มีเนื้อไขมันเยอะขนาดนี้!
สีอันน่าแสร้งทำเป็นถามเหมยเหมยโดยไม่ได้เจตนา “อาจารย์เจียงเรียกหาไปคุยเรื่องอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไร แค่ถามว่าปรับตัวใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยได้หรือเปล่าก็แค่นั้น” เหมยเหมยปิดบังอย่างเฉียบแหลม ทำไมเธอจะมองสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนพวกนั้นไม่ออก
ถ้าเธอพูดความจริงรับรองข่าวลือคงแพร่ไปทั่วมหาวิทยาลัยแน่ ถึงแม้ว่าหลังจากพรุ่งนี้ข่าวลือก็จะยังคงแพร่กระจายไป แต่ตอนนี้หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง
ถังม่านลี่เบียดเข้ามา สายตาเป็นประกายพูดอย่างสงสัยว่า “ไม่มีทาง ทำไมอาจารย์เจียงไม่ถามฉันบ้างล่ะ แล้วก็ไม่ถามคนอื่นเหมือนกัน ทำไมถึงเรียกเธอไปถามไถ่อยู่คนเดียว?”
“เพราะว่าเธอดูบึกบึนมาก อาจารย์เจียงเห็นว่าต่อให้เธอจะกินหัวไชเท้าทุกวันก็เติบโตได้เป็นอย่างดี จะเสียเวลาไปทำไม” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
แต่ละคนกินอิ่มอยู่สบายไม่มีอะไรทำ ก็แค่เรื่องตัวแทนนักศึกษาใหม่ไม่ใช่เหรอ!
ไม่ใช่ภูเขาทองภูเขาเงินเสียหน่อย มีอะไรดีให้แย่งชิงกันนัก!
“ฮ่า ๆ…”
ฉีฉีเก๋ออดหัวเราะเสียงดังไม่ได้เอามาเทียบกล้ามแขนของตัวเอง “ใช่แล้ว เธอดูสิฉันร่างบึกบึนขนาดนี้ อาจารย์ก็ไม่ได้เรียกหาฉัน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็ด้วย”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกรอกตามองบน พูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันไม่บึกบึนเท่าเธอหรอก ฉันคือคนอ้วน หิวสามวันก็ร่วงแล้ว ของเธอเป็นกล้ามเนื้อแน่น ๆ อดข้าวสามสามสิบวันก็ไม่เป็นไรหรอก”
แม่เจ้า ถ้าหากไม่เห็นแก่ว่าจ้าวเหมยชอบผู้หญิงบึกบึนคนนี้ล่ะก็ เธอคงพุ่งตรงเข้าซัดผู้หญิงคนนี้แล้วหาพวกผู้ชายมาจับผู้หญิงคนนี้แขวนเป็นกระสอบแน่นอน!
ไม่รู้หรือไงว่าคุณหนูใหญ่เหริ่นไม่ชอบให้คนอื่นพูดว่าเธอบึกบึนเป็นที่สุด!
ก่อนหน้านั้นสีอันน่าและถังม่านลี่ได้พูดถึงตัวแทนนักศึกษาใหม่ก็โดนสองคนนี้ทำเอาเจ็บใจแทบตาย บรรยากาศมาคุ สีหน้าของถังม่านลี่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาเธอมักจะคุยโวว่าเธอเป็นคนสวย แน่นอนว่าเธอไม่ชอบที่จะได้ยินคนอื่นพูดว่าเธอบึกบึน
ในความเป็นจริงเธอบึกบึนกว่าจ้าวเหมยจริง ๆ ช่วยไม่ได้…เธอต้องทำงานตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่ามือเท้าก็ต้องใหญ่และแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว
ถังม่านลี่ชี้ไปที่ร่างเล็กบางของสีอันน่าอย่างไม่ยอมรับ ตะโกนเสียงดังว่า “งั้นทำไมอาจารย์ไม่เรียกหาอันน่าด้วยล่ะ อันน่าก็ไม่ได้แข็งแรงบึกบึนเหมือนกันนี่ใช่ไหม?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกำลังโมโหอยู่พอดี เวลานี้เธอมองใครก็ไม่เข้าตาทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่ผอมกว่าเธอ ชำเลืองมองสีอันน่าแล้วก็กรอกตามองบนพูดว่า “ไม่บึกบึนแต่ดำ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเลี้ยงง่าย”
หน้าอกของสีอันน่าเหมือนโดนมีดแทงเลือดไหลออกซิบๆ จ้องเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างเคียดแค้น เกลียดที่สุดก็คือคนอื่นพูดว่าเธอดำ
ถังม่านลี่เป็นคนชอบดันทุรัง อาจจะเป็นเพราะเธอหวังว่าทุก ๆคนจะเหมือนกับเธอ นั่นก็คือโดนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแดกดันใส่สักที แบบนี้ใจของเธอถึงจะรู้สึกสงบลงได้บ้าง ชี้ไปหาทีละคน และนี่ก็สองคนแล้ว
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง ชี้แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ทีละคน
เจิ้งเสวี่ยซาน ——อายุเยอะแล้ว หากยังไม่ดูแลตัวเองไม่ได้ เสียเวลาที่เกิดมาได้ตั้งหลายปีแล้ว
สวีจื่อเซวียน ——โตมาจากมณฑลเล็ก ๆจะดูแลตัวเองไม่เป็นได้อย่างไร? (ในความคิดของคุณหนูใหญ่เหริ่น สถานที่พวกเล็ก ๆนั้นก็เหมือนวัชพืช ที่สามารถเติบโตได้แม้ว่าเจอลมเจอแดดก็ตาม)
หลังจากที่ได้เหน็บแนมไปทีละคนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็หายหงุดหงิดแล้ว จึงไปกินอาหารเลิศรสที่ร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข ทิ้งสองสามคนนั้นที่กำลังโมโหหน้าดำหน้าเขียวไว้ด้านหลัง!
…………………………………………..
ตอนที่ 1371 ไม่ได้ตั้งใจจะเสียบ
เหมยเหมยรู้สึกดีกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมากขึ้นไม่น้อย แม้จะมีอุปนิสัยขี้วีนขี้เหวี่ยงเอาแต่ใจและมักแสดงตนเหนือกว่าใครในฐานะคนจากเมืองกรุง ไหนจะปากคอเราะร้ายไปบ้าง
แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือความตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ปิดบังซึ่งความจริง ที่จริงคนแบบนี้ผูกมิตรด้วยไม่ยาก
ชอบก็คุยด้วยเยอะหน่อย ไม่ชอบก็เถียงกลับไปไม่ก็ตีตัวออกห่าง ง่าย!
ไม่เหมือนคนอย่างเจิ้งเสวี่ยซานที่จะพูดอะไรต้องคิดแล้วคิดอีก กลัวผู้หญิงคนนี้หาจุดอ่อนแล้วเอามีดมาแทงข้างหลังวันใดวันหนึ่งเหมือนอู่เยวี่ยในอดีต
เดิมทีเธอตัดสินใจจะนอนค้างที่หอพักแต่เพราะต้องเตรียมคำร่างสุนทรพจน์กล่าวในพิธีเลยต้องกลับบ้าน ในหอพักมีคนมากมายจับจ้องอยู่คงสงบใจไม่ลง
“คืนนี้ฉันไม่นอนค้างที่หอ พรุ่งนี้ฉันจะมาร่วมพิธีปฐมนิเทศน์ให้ตรงเวลา” เหมยเหมยบอกต่อเจิ้งเสวี่ยซาน
ผู้หญิงคนนี้สงสัยจะเสพติดตำแหน่งหัวหน้าห้องไม่พอ ยังอาสาเป็นหัวหน้าหอพักอีกด้วย
เจิ้งเสวี่ยซานขมวดคิ้วพูดเสียงอ่อนโยน “แบบนี้ผิดกฎนะ กฎของมหาลัยเขียนไว้ว่าต่อให้เป็นนักเรียนในพื้นที่ นอกจากวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ต้องพักที่มหาลัย จ้าวเหมยทางที่ดีเธออย่าทำตัวเหนืออภิสิทธิ์ดีกว่า”
“ฉันบอกคุณครูเจียงไว้แล้ว ครูเจียงบอกว่าเขาจะแจ้งครูหอพักเอง”
เหมยเหมยคาดไว้แล้วว่าเจิ้งเสวี่ยซานจะพูดเช่นนี้เลยจงใจไม่พูดให้จบในทีเดียว เป็นไปตามคาดเมื่อเจิ้งเสวี่ยซานแสร้งทำท่าเหมือนผู้ผดุงความถูกต้องหาว่าเธอทำตัวเหนืออภิสิทธิ์
เสี้ยมให้แตกคอกัน!
เธอไม่สนหรอกนะ!
ให้พวกเธอว่าไปเถอะว่าเธอทำตัวเหนืออภิสิทธิ์ แน่จริงพวกเธอก็ทำบ้างสิ!
เจิ้งเสวี่ยซานรู้สึกอัดอั้นเต็มอกเพราะอยากด่าคนเหลือเกิน ในเมื่อคุยกับคุณครูไว้แล้วจะมาบอกเธอทำไมอีก?
ช่วยพูดทีเดียวให้จบเลยไม่ได้หรือไง?
เหมยเหมยยิ้มคิกคักให้ฉีฉีเก๋อก่อนจะหันหลังเดินตัวปลิวไปที่โรงเก็บจักรยาน แผ่นหลังอ้อนแอ้นนั่นทำเอาพวกเจิ้งเสวี่ยซานมองจนตาแทบลุกเป็นไฟ
เหมยเหมยใช้เวลาไม่มากสำหรับการเตรียมบทสุนทรพจน์ ความจริงไม่เขียนก็ไม่เป็นไรเพราะเธอมีประสบการณ์กล่าวสุนทรพจน์โดยฉับพลัน การกล่าวสุนทรพจน์แบบฉับพลันสิบนาทีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ แต่เตรียมล่วงหน้าสักหน่อยก็จะดูจริงใจกว่า
เพิ่งร่างบทพูเสร็จเหยียนหมิงซู่นก็โทรมาพอดี เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องออกไปทำภารกิจบ่อยครั้ง ทว่าเรื่องในครั้งนี้ท่าทางจะยุ่งยากเสียหน่อย เฮ่อเหลียนชิงเลยให้เขาไปด้วยตัวเองและดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับอาวุธ
“พี่หมิงซุ่น…” เหมยเหมยร่าเริงราวกับนกจาบฝน หัวคิ้วที่ย่นเป็นขดของเหยียนหมิงซุ่นถึงคลายลงบ้าง
เรื่องทางนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาจริงจังจนเขาปวดหัวแทบแย่ อารมณ์หงุดหงิดเหลือเกินถึงได้โทรหาภรรยาตัวน้อยเพราะอยากได้ยินเสียงของเธอ
“ทำอะไรอยู่? เพื่อนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง? มีใครรังแกเธอไหม?”
“ไม่เลยค่ะ ตอนนี้ฉันเก่งมากเลยนะใครกล้ารังแกฉัน พี่หมิงซุ่น ฉันจะบอกพี่ให้นะว่า…ฉันรู้จักเพื่อนใหม่คนหนึ่งล่ะ เธอชื่อฉีฉีเก๋อ กินเก่งเป็นพิเศษและเป็นคนตรงไปตรงมา เธอบอกว่าจะให้…”
เหมยเหมยเล่าเรื่องที่ฉีฉีเก๋อจะให้ลูกม้าแก่เธอเสียงเจื้อยแจ้ว พอเหยียนหมิงซุ่นได้ฟังประวัติความเป็นมาของเจ้าลูกม้าตัวน้อยเลยรู้ว่าฉีฉีเก๋อเป็นลูกใครแล้ว
คุณพ่อของฉีฉีเก๋อนั้นเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดของทางมองโกลเลียในและเป็นผู้ฝึกม้าที่ยอดเยี่ยมที่สุด ม้าชั้นดีได้ถูกเลี้ยงดูจากมือเขานับไม่ถ้วนและม้าแข่งส่วนมากในประเทศก็มาจากฟาร์มของฉีฉีเก๋อ
ลูกม้าตัวน้อยนี้เขาเองก็รู้เช่นกัน อีกทั้งเขายังรู้ว่าเฮ่อเหลียนเช่อตั้งใจจะครอบครองลูกม้าตัวน้อยนี้ให้ได้เพราะหนิงเฉินเซวียนชื่นชอบม้า เฮ่อเหลียนเช่อตั้งใจจะซื้อลูกม้าตัวน้อยเป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดครบรอบหกสิบปีให้หนิงเฉินเซวียน
เฮ่อเหลียนชิงสั่งเขาไว้นานแล้วต้องจัดการฆ่าลูกม้าตัวน้อยนั่นให้ได้ จะปล่อยให้หนิงเฉินเซวียนได้ลูกม้าตัวนั่นไปไม่ได้เด็ดขาด
กลับคิดไม่ถึงว่าคนตั้งมากมายหวังอยากได้แต่เหมยเหมยของเขากลับได้มาครองโดยไม่ได้ตั้งใจ!
ตอนที่ 1372 ความลำบากใจของเหยียนหมิงซุ่น
“พี่หมิงซุ่น ฉีฉีเก๋อบอกว่าที่เมืองหลวงมีคุณชายตั้งมากมายอยากได้ลูกม้าตัวนั้น ฉันให้ฉีฉีเก๋อบอกชื่อของฉันไปคงไม่เป็นไรใช่ไหม?” เหมยเหมยคิดว่าถามสักหน่อยจะดีกว่าและไม่รู้ว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้เหยียนหมิงซุ่นหรือเปล่า
เหยียนหมิงซุ่นอมยิ้มน้อย ๆ “ไม่เป็นไร ลูกม้าตัวนั้นเธอก็ไม่ต้องปฏิเสธหรอก รับไว้เถอะ ถึงตอนนั้นค่อยเอาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านพ่อบุญธรรม”
ให้เฮ่อเหลียนชิงคอยดูทุกวันสงสัยจะได้ทานข้าวเพิ่มหนึ่งถ้วยทุกมื้อ
“งั้นฉันต้องไปเยี่ยมม้าถึงที่นู้น ฉันก็ต้องทะเลาะกับเขาอีกแล้ว…” เหมยเหมยพูดเสียงกระเง้ากระงอด
ตาแก่โรคจิตนั่นตอนนี้สุขภาพกายแข็งแรง พอมีพละกำลังดีหน่อยเลยคิดหาทางทรมานเหยียนหมิงซุ่นกับเธอและชอบแย่งฉิวฉิวของเธอด้วย น่ารำคาญจริงๆ!
เหยียนหมิงซุ่นพูดเอาอกเอาใจดี ๆไม่กี่ประโยคเหมยเหมยก็ตามใจทันที ความจริงเธอไม่ได้เกลียดเฮ่อเหลียนชิงเหมือนที่ปากพูด ไม่ว่าอย่างไรก็รู้จักกันมาหลายปี แม้จะขัดหูขัดตาไปหน่อยแต่ต่อให้ทะเลาะกันก็ก่อให้เกิดความสัมพันธ์จากการทะเลาะได้นี่นา!
“ก็ได้ งั้นฉันถอยให้แล้วกัน ไม่ถือสาเขา!” เหมยเหมยแค่นเสียงกล่าว คิดว่าตัวเองช่างใจกว้างเหลือเกิน
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอีกครั้ง หัวคิ้วคลายลงมาก แต่น้ำเสียงที่แหบแห้งก็ปกปิดเหมยเหมยไม่สำเร็จ
“พี่หมิงซุ่น ฝั่งพี่ราบรื่นดีมั้ย? ฉันว่าเสียงพี่แหบไปแล้วนะ!” เหมยเหมยปวดใจอย่างมากได้แต่นึกเกลียดที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้
“ไม่เป็นไร ทางนี้อากาศแห้งไปหน่อย เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายคอเท่าไร เหมยเหมยไม่ต้องห่วง”
เหยียนหมิงซุ่นหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำอึกหนึ่งเพื่อให้ลำคอชุ่มฉ่ำ ภารกิจในหลายวันนี้หยุดชะงักไปแล้วหลังจากเขากับลูกน้องปรึกษาหารือถึงแผนการมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีแผนการไหนจะรับประกันความสำเร็จได้ ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจสักครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
พวกเขาไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตายเพราะการมาที่แห่งนี้ต้องทำใจไว้แล้ว ต่อให้ต้องสละชีวิตตัวเองไปก็ต้องทำภารกิจให้เสร็จสิ้นอาจถึงขั้นราบเป็นหน้ากอง นี่จึงเป็นเหตุผลที่เหยียนหมิงซุ่นไม่กล้าลงมือสักที
ครั้งนี้เขามาโจรกรรมข้อมูลขีปนาวุธรูปแบบใหม่ของประเทศ Y ซึ่งประเทศนี้ได้ตกลงขายข้อมูลให้ฮวาเซี่ยแล้ว ทั้งยังรับเงินมัดจำไว้แล้วแต่กลับเปลี่ยนใจกลางคันไม่ยอมขาย ทั้งกล่าวว่าจะชดใช้ค่ามัดจำคืนเป็นเงินสองเท่า
เดิมทีไม่ขายก็ไม่เป็นไร หากไม่ได้จริง ๆ เราค่อยทำการวิจัยไปเรื่อยๆ แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับได้ข่าวว่าเหตุผลที่ประเทศ Y เปลี่ยนใจเพราะพวกเขาคิดจะขายให้กับอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านของฮวาเซี่ยอย่างประเทศ C ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างที่เลวร้ายอย่างมาก
วิถีผิดสัจจะแบบนี้กระตุ้นให้รัฐบาลโกรธเคือง นายใหญ่สั่งการมาว่าต้องโจรกรรมข้อมูลนี้มาให้ได้โดยห้ามตกไปอยู่ในมือประเทศ C เด็ดขาด
ไม่อย่างนั้นขอเพียงประเทศ C ได้สร้างขีปนาวุธรูปแบบใหม่ออกมาต้องสร้างอันตรายและคุกคามฮวาเซี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม อีกทั้งเพื่อความมั่นคงของประเทศและประชาชนต่อให้ต้องสังเวยชีวิตก็ต้องทำ
แต่พวกเขาจะสละชีวิตไปอย่างไร้ค่าไม่ได้!
เหยียนหมิงซุ่นเองก็ไม่มีทางให้ลูกน้องที่ตนตั้งใจเลี้ยงดูมาอย่างดีไปตายสุ่มสี่สุ่มห้า!
“ฉิวฉิวกลับมานะ…นี่แกชักจะเหิมเกริมขึ้นแล้วนะ…ฉันซ่อนไว้มิดชิดขนาดนี้แกยังตามหามันเจอ ฉันนับถึงสาม คายออกมาดี ๆ หนึ่ง…สอง…สาม…”
เสียงที่เหมยเหมยคุยกับฉิวฉิวดังแว่วออกมาจากปลายสายคล้ายว่าเจ้าตัวน้อยจะขโมยอะไรบางอย่างไปจนเหยียนหมิงซุ่นอดขำไม่ได้เลยถามไปว่าเกิดอะไรขึ้น
เหมยเหมยเอาช็อกโกแลตกองโตที่ฉิวฉิวคายออกมายัดใส่ถุงก่อนจะฟ้องด้วยความโมโห “ฉันให้ฉิวฉิวลดความอ้วนอยู่ไง มันอ้วนจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว แต่เจ้าหมอนี่จมูกไวนัก ไม่ว่าฉันจะซ่อนช็อกโกแลตไว้ตรงไหนมันก็หาเจอตลอด…จะบ้าตาย!”
ฉิวฉิวที่ทำหน้าละห้อยอยู่ข้างๆ กลอกตาอย่างขุ่นใจทีหนึ่ง เธอยังโกรธอยู่หรือ?
คุณชายฉิวอย่างเขาต่างหากที่ควรโกรธไหม?
หนึ่งวันให้แค่ช็อกโกแลตสามชิ้น เอามาป้อนกระรอกหรือไง!
เพื่อนยากเอ๋ยลืมไปแล้วหรือ ว่าแกคือกระรอกไงเล่า!
…………………………
ตอนที่ 1373 ฉันจะกลับไป
เหมยเหมยฟ้องเสียงเจื้อยแจ้วอีกยาวเหยียดเมื่อเห็นฉิวฉิวที่ทำหน้าไม่พอใจอยู่ข้างโทรศัพท์เลยตบมันไปทีหนึ่งด้วยความโมโห “ด่าแล้วยังยอมฟังสินะ? แกดูสารรูปตัวเองสิว่าอ้วนขนาดนั้น มุดรั้วระเบียงหน้าต่างเข้ามาไม่ได้แล้ว ถ้ายังกินต่อไปแม้แต่ต้นไม้แกก็จะปีนไม่ขึ้น!”
ฉิวฉิวบิดตัวหันหลังด้วยความขุ่นเคือง ส่ายหางฟูไปมาคร้านจะสนใจเหมยเหมย
ก็แค่มุดเข้ามาไม่ได้ครั้งเดียวเองนี่นา ถึงขั้นต้องเอามาพูดอยู่เรื่อยเลยหรือ?
ปีนต้นไม้ครั้งไหนบ้างที่คุณชายฉิวอย่างเขาจะปีนได้ไม่ลื่นไหล?
พอเถอะ เขาไปหาเฮ่อเหลียนชิงเองดีกว่า ตาแก่นั่นใจกว้างพอสมควรไม่ขี้เหนียวเหมือนนายผู้หญิง!
เหยียนหมิงซุ่นคอยฟังเสียงถกเถียงในโทรศัพท์แล้วกระตุกยิ้มมุมปาก แม้จะไม่เห็นแต่เขาพอจะจินตนาการได้ว่าในยามนี้ภรรยาตัวน้อยของเขาต้องกำลังหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ส่วนเจ้าก้อนอ้วนนั่นกำลังนั่งหันหลังให้เหมยเหมยแล้วกลอกตาใส่ไม่หยุด
“ฉันเตือนแกไว้เลยนะอย่าคิดไปจะหาของกินจากต้าหวง ครั้งนี้ถ้าแกไม่ผอมกว่านี้สักรอบตัวหนึ่งหลังจากนี้ฉันจะให้แกแทะแต่ต้นผัก แกคอยดูแล้วกันว่าฉันจะทำได้ลงคอไหม!”
เหมยเหมยคำรามใส่ฉิวฉิวที่แสนเย่อหยิ่งอย่างเดือดดาล ครั้งนี้เธอจะต้องทำให้ฉิวฉิวลดความอ้วนสำเร็จ เธออ่านจากหนังสือมาว่าสัตว์เลี้ยงไม่เหมือนมนุษย์ ห้ามเลี้ยงจนอ้วนเกินไปเพราะนำมาสู่โรคประจำตัวต่าง ๆ
ฉิวฉิวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เธอจะต้องให้ฉิวฉิวมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงห้ามป่วยเป็นอันขาด
เมื่อรู้ความในใจของเหมยเหมยฉิวฉิวทั้งซาบซึ้งใจทั้งโมโห เธอไม่ใช่สัตว์ทั่วไปสักหน่อยแล้วจะป่วยได้อย่างไรกัน?
เฮ้อ แต่เรื่องนี้คุยกับนายผู้หญิงผู้แสนโง่เขลาคนนี้ไม่รู้เรื่องหรอก!
เหยียนหมิงซุ่นคุยโทรศัพท์ในโรงแรมซึ่งเขากับลูกน้องต่างปลอมตัวเป็นนักธุรกิจที่แยกย้ายกันพักตามโรงแรมระดับห้าดาว เมื่อกี้เพิ่งประชุมเสร็จลูกน้องจึงยังไม่สลายตัว พวกเขากำลังปรึกษาแผนการปฏิบัติภารกิจ ตอนแรกเสียงยังค่อนข้างเบาแต่พออารมณ์ฮึกเหิมเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ประเทศ Y กับประเทศ C จะนัดเจอกันอีกสามวันหลังจากนี้ พอข้อมูลถึงมือประเทศ C เมื่อไหร่คงได้มายากแล้ว”
“เหตุผลเรารู้ดีแต่ประเทศ Y ซ่อนข้อมูลไว้มิดชิดมาก ไม่ต้องพูดถึงด่านกับดักที่วางเอาไว้เลย แต่ประเด็นหลักคือสถานที่เก็บข้อมูลมีเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กถึงจะเข้าไปได้ ผู้ใหญ่คิดอยากจะเข้าไปก็นอกเสียจากจะระเบิดประตูบานนั้นทิ้ง แบบนี้จะสะเทือนถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งตึกแล้วสั่งปิดประเทศ ต่อให้เราได้ข้อมูลมาก็หนีออกจากประเทศ Y ไม่ได้”
“ให้ตาย…รู้งี้แต่แรกฉันก็เรียนวิชาหดกระดูกแล้ว…”
“อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระพวกนี้เลย เท่าที่ฉันดูมีแค่วิธีเดียวก็คือบุกเข้าไปสู้กับเขาซึ่ง ๆหน้า เราเจ็ดคนคุ้มกันลูกพี่บุกเข้าไป ขอแค่ได้ข้อมูลก็ส่งกลับประเทศ เรา…”
ประโยคท้ายไม่ได้พูดให้จบแต่ทุกคนกลับเข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร
แน่นอนว่าไม่มีวันหวนกลับมาได้ แต่พวกเขาไม่เสียใจ!
ทั้งเจ็ดคนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังและความเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก แม้พวกเขาไม่กลัวตายแต่พอนึกถึงพ่อแม่หรือลูกเมียที่บ้านพวกเขาก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี!
เหมยเหมยตำหนิฉิวฉิวเสร็จเลยได้ยินเสียงปรึกษาของคนพวกนี้ พอจับใจความได้คร่าว ๆ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรแต่เธอรู้ว่าต้องเป็นเรื่องยากเอาการมากแน่ ๆ มิน่าเหยียนหมิงซุ่นถึงได้เสียงแหบขนาดนี้
อีกทั้งฟังดูแล้วภารกิจในครั้งนี้เสี่ยงอันตรายอย่างมาก นี่ต่างหากที่เหมยเหมยกังวลที่สุด!
“พี่หมิงซุ่น…พวกพี่จะขโมยของใช่มั้ย? ขโมยยากมากเลยเหรอ?” เหมยเหมยอดถามไม่ได้ แม้เธอรู้ว่าไม่ถูกกฎแต่เธอไม่สนใจอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ในเมื่อโทรศัพท์ในบ้านของเธอติดตั้งเครื่องป้องกันการดักฟังที่มิดชิดที่สุด ไม่เป็นอะไรหรอก
เหยียนหมิงซุ่นคิดจะบอกปัดแต่เหมยเหมยกลับพูดเสียงพึมพำว่า “ฉันรู้ว่าใช่แน่ ๆ พี่อย่าคิดจะโกหกฉันเลย พี่หมิงซุ่น พี่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ!”
“…เข้าใจแล้ว…”
เหยียนหมิงซุ่นเว้นช่วงไปครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดคำว่า ‘วางใจได้’ เหมือนแต่ก่อนแต่กลับพูดแค่ว่า ‘เข้าใจแล้ว’
เพราะเขาเองก็ไม่กล้ารับปากว่าครั้งนี้เขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น