พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1341-1346
บทที่ 1341 ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้แล้ว!
Ink Stone_Fantasy
และก็เป็นเพราะคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว อย่าให้ความพยายามที่นางรับปากให้เขาแต่งงานกับพวกจีเหม่ยลี่ในปีนั้นสูญเปล่า
ดังนั้นเหมียวอี้จึงอยู่ต่อเพิ่มอีกสักระยะ ไปค้างกับพวกจีเหม่ยลี่คนละสองคืน เมื่อใกล้จะแยกจากกันแล้ว ท่านขุนนางเหมียวอี้ก็ปรนนิบัติแต่ละคนอย่างสุดกำลัง ทำแบบนี้ทุกวันก็เป็นงานที่ลำบากเหมือนกันนะ!
จู่ๆ เหมียวอี้ก็หายไปจากตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ไม่เห็นหน้าติดต่อกันหลายวัน เฟยหงจึงออกจากตำหนักนอนมาตามหา ทำให้เจอกับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ตรงประตู
“หรูฮูหยิน มีเรื่องอะไรเหรอ?” เหยียนซิวถามด้วยน้ำเสียเยือกเย็นพิศวง
“ทำไมไม่เจอนายท่านมาหลายวันแล้วล่ะ?” เฟยหงถาม
“นายท่านออกไปทำงานแล้ว ต้องส่งต่อเรื่องทางนี้ให้ชัดเจนก่อนจะไปขอรับ” เหยียนซิวตอบ
เฟยหงตอบ “อ้อ” แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ “ฮูหยินเจ้าคะ” สาวที่อยู่ข้างกายเตือนอย่างระมัดระวัง เฟยหงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พบว่ายังเหยียนซิวยังคงตามหลังนางอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดเดินและหันตัวมาถาม “เหยียนซิว เจ้าจะตามข้าทำไมเหรอ?”
“นายท่านสั่งไว้ก่อนจะไป ว่าตอนที่เขาไม่อยู่ให้ข้าน้อยดูแลความปลอดภัยของหรูฮูหยิน” เหยียนซิวตอบ
เฟยหงหมดความสนใจที่ตะ ‘เดินเพ่นพ่านไปทั่ว’ ทันที นางก็ไม่ชอบเห็นใบหน้าแบบนั้นของเหยียนซิวเหมือนกัน จึงเดินวนส่งเดชรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาตำหนักนอนอีกครั้ง
ในเวลานี้ หยางชิ่งเดินอ้อมอกอมาจากประตูพระจันทร์ด้านข้าง เดินช้าๆ ข้างกายเหยียนซิว พลางถามเสียงเบา “ต่อไปนี้ไม่ต้องตามติดเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้นางสงสัยได้ง่าย ทั้งยังนำอันตรายมาสู่เจ้าได้ง่ายด้วย ถ้านางมองว่าเจ้าเป็นอุปสรรคที่ใหญ๋ที่สุดในการรายงานข่าว เบื้องบนของนางจะต้องคิดหาทางกำจัดเจ้าแน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะต้านทานได้!”
เหยียนซิวพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว
ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว เหมียวอี้ลุกออกจากความอ่อนโยนของสาวงามแล้วเช่นกัน กลุ่มอนุภรรยาในบ้านที่เป็นผีมารปีศาจรวมทั้งฝาแฝด เขานับว่าปรนนิบัติทุกคนอย่างสมบูรณ์ตามหน้าที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่ผ่อนคลาย ก่อนจะออกเดินทางก็ให้อวิ๋นจือชิวสั่งให้ผีจวินจื่อทำลายทางใต้ดินทั้งหมดแล้วเช่นกัน
เดิมทีอวิ๋นจือชิวจะให้เหมียวอี้นำทรัพย์สินในบ้านส่วนใหญ่ไปด้วย แต่เหมียวอี้ปฏิเสธ ให้นางเก็บไว้กับตัว เขาไม่คิดที่จะพกทรัพย์สินจำนวนมากไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ตั๊กแตนก็พกไปแค่สิบห้าตัว เวลาที่จำเป็นต้องใช้ค่อยส่งคนมาขอที่นาง แต่กลับพาเฮยทั่นไปด้วยแล้ว
ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองก็มาที่ตำหนักคุ้มเมืองเพื่อรอส่งเช่นกัน สวีถังหรานไม่ได้ขอให้มาส่ง เขาต้องการจะพาครอบครัวไปด้วยกัน ไม่มีภาระทางด้านความรู้สึกแล้ว ในตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ผ่อนคลายที่สุด
เห็นสวีถังหรานสบายใจไร้กังวลแบบนั้น มู่หรงซิงหัวก็รู้สึกแปลกๆ พอเห็นเหมียวอี้นำเฟยหงและสาวใช้สองคนเดินออกมาจากตำหนักนอน และทำความเคารพพร้อมกลุ่มคนแล้ว นางก็เป็นฝ่ายก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้มั้ย”
ทุกคนรู้สึกแปลกใจ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนใจอยากจะตามไปด้วยแล้ว? เหมียวอี้ก็แปลกใจเหมือนกัน พยักหน้ายิ้มแล้วชี้ไปทางสวนดอกไม้ ก่อนจะเดินเข้าไปด้วยกัน
หยางชิ่งมองประเมินสองคนที่เดินจากไปครู่หนึ่ง แล้วก็โบกมือบอกใบ้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ก่อนที่ทั้งสามจะเดินไปถ่ายทอดเสียงคุยกันอีกด้านหนึ่ง
“ผู้การใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?” ฝูชิงถ่ายทอดเสียงถาม
คนที่มาจากทางพิภพเล็ก เวลาไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนนอกก็คุ้นชินกับคำเรียกหยางชิ่งเหมือนตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ถึงแม้ความจริงจะรู้ว่าหยางชิ่งถูกเหมียวอี้ถอดอำนาจทางทหารไปหมดแล้วก็ตาม แต่ภายนอกทุกคนก็ยังมองข้ามไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำเรียก
หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงตอบว่า “มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะเตือนพวกท่านสองคนสักหน่อย และอยากจะฝากบอกคุณชายใหญ่กับคุณชายสี่ด้วย”
“บอกมาได้เลย” ฝูชิงกล่าว
“เรื่องของเฟยหงในครั้งนี้ทำให้นายท่านกับบรรดาฮูหยินระหองระแหงกัน แผนที่เส้นทางไปกลับพิภพเล็ก นายท่านเก็บกลับมาจากมือฮูหยินแล้ว ต่อไปนี้เรื่องเดินทางไปกลับ นายท่านจะรับผิดชอบคนเดียว” หยางชิ่งบอก
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันอย่างเข้าใจ แต่ในใจกำลังสงสัยว่า นี่กำลังป้องกันไม่ให้พวกเขาลงมือกับพวกฮูหยินหรือเปล่า?
หยางชิ่งจึงบอกว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดหรอก นายท่านมีสิ่งหนึ่งที่ฝากข้ามาบอกพวกท่านสี่คน นายท่านบอกว่า ความผูกพันระหว่างพี่ชายทั้งสี่กับทะเลดาวนักษัตร เขาก็พอจะเข้าใจได้เหมือนกัน แต่ไม่สะดวกจะให้พาคนทางนั้นมาที่นี่จริงๆ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพาบุคคลที่เป็นแกนหลักมาแทบจะหมดแล้ว คนอื่นๆ ที่ควรจะตัดก็ตัดเถอะ ถ้าต้องการจะติดต่อนายท่านอีกจริงๆ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นายท่านต้องเตือนทั้งสี่ท่านเอาไว้ นายท่านใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อนำตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาให้ทั้งสี่ท่าน ย่อมเป็นเพราะเชื่อใจทั้งสี่ท่านได้ แต่ไม่ได้มีความมั่นใจกับลูกน้องของทั้งสี่ท่านมากนัก นายท่านอยู่ที่ตลาดสวรรค์มานานขนาดนี้ ก็ปีนป่ายขึ้นมาจากระดับล่างเหมือนกัน มีหลายเรื่องที่มองเข้าใจชัดเจน ทั้งสี่ท่านได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมีเพียงสี่คนเท่านั้น แต่พี่น้องที่อยู่ระดับล่างกลับมีไม่น้อย ใครจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็นก็คือปัญหาเช่นกัน ไม่ว่าจะให้ใครก็ดูไม่ดีทั้งนั้น ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันได้ง่าย แต่ลูกน้องพวกนั้นดันรู้กำพืดของท่านทั้งสี่เสียด้วย ถ้ามีใครที่ในใจรู้สึกไม่ยอมขึ้นมา นายท่านก็อาจจะจบเห่ไปด้วย นี่ก็เป็นสาเหตุที่นายท่านไม่อยากให้พาคนจากทะเลดาวนักษัตรมาอีก นายท่านฝากข้ามาบอก ว่าให้ทั้งสี่ท่านระวังตัวมากขึ้น”
เป็นหนึ่งปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ทั้งสองขมวดคิ้วพยักหน้า ตกอยู่ในภาวะครุ่นคิดไต่ตรองแล้ว
หยางชิ่งกำลังโยนปัญหาใหญ่ใส่พวกเขาชัดๆ!
เหมียวอี้แค่ให้เขามาบอกต่อพวกฝูชิง บอกเรื่องเก็บแผนที่เส้นทางกับปัญหาว่าอย่าพาคนที่ทะเลดาวนักษัตรมาอีก บางอย่างเขาไม่สะดวกจะพูดเองตรงๆ
แต่หยางชิ่งกลับใส่เครื่องปรุงเพิ่มนิดหน่อย ตอกตะปูป้องกันความผิดพลาดแล้ว…
ในสวนดอกไม้ เมื่อเดินเข้ามาลึกแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ”
มู่หรงซิงหัวกล่าวขอโทษว่า “ที่จริงครั้งนี้ข้าก็อยากติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายด้วยเหมือนกัน แต่ถึงยังไงข้าก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องของข้าคนเดียวอีกต่อไป ข้าต้องคำนึงถึงท่าทีของเฉาว่านเสียงด้วย เฉาว่านเสียงยืนกรานคัดค้านข้า ข้าได้แต่รู้สึกผิดต่อนายท่าน”
“ทำตัวลับๆ ลล่อๆ เพื่อจะพูดเรื่องนี้น่ะเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ
มู่หรงซิงหัวทำสีหน้าอับอาย “ขนาดสวีถังหรานยังติดตามนายท่านไปด้วยเลย ข้าน้อยรู้สึกอับอายจริงๆ ไม่ว่านายท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดที่มาจากใจข้าจริงๆ ในภายหลังถ้ามีอะไรที่ข้าน้อยสามารถช่วยได้ นายท่านก็เอ่ยปากมาได้เลย ข้าน้อยจะช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
เหมียวอี้จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะไม่รู้สถานการณ์ของเจ้าได้ยังไง ที่จริงตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดไว้หรอกว่าจะมีคนไปกับข้าด้วย การที่สวีถังหรานจะไปกับข้าด้วยถือเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่เกรงว่าเจ้าคงจะอยู่ที่ดาวเทียนหยวนได้ไม่นานเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้เฉาว่านเสียงย้ายเจ้าออกไปอยู่ใต้สังกัดเขาเถอะ”
เรื่องบางเรื่องเขาไม่สะดวกจะพูดเปิดเผยออกมา ฝูชิงมีลูกน้องของตัวเองเยอะขนาดนั้น สวีถังหรานมีมีปฎิภาณไหวพริบ ไม่โลภกับผลประโยชน์เล็กน้อยแต่เลือกหลบหายนะไว้ก่อน ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมีเพียงมู่หรงซิงหัวที่ยังอยู่ในตำแหน่ง เมื่อเวลานานไปมู่หรงซิงหัวก็จะกลายเป็นเป้าหมายให้ทุกคนโจมตี ตามที่ท่านโหวเทียนหยวนสูญเสียการควบคุมที่มีต่อปี้เยว่ เฉาว่านเสียงก็ไม่มีอิทธิพลอะไรกับทางตลาดสวรรค์แล้วเช่นกัน ถ้าลูกน้องฝูชิงต้องการครอบครองตำแหน่ง ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องลงมือกับมู่หรงซิงหัว ไม่มีสวีถังหรานคอยเป็นโล่ป้องกันอยู่ข้างหน้าแล้ว ถ้ามีคนลงมืออย่างฉับพลันขึ้นมา เกรงว่าต่อให้คิดจะหนีก็คงหนีไม่ทันแล้ว อาศัยความสามารถของนางก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์นี้ได้ กลุ่มปีศาจเฒ่าของทะเลดาวนักษัตรสามารถช่วยเหมียวอี้ควบคุมตลาดสวรรค์ไว้อย่างมั่นคงและรับมือการเปลี่ยนแปลงได้หลายครั้ง ฝืมือของพวกเขาไม่ได้อ่อนด้อย
มู่หรงซิงหัวทำท่าครุ่นคิด แล้วพยักหน้าเล็กน้อย เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่านางเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อหรือเปล่า เขาทำได้เต็มที่เพียงเท่านี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยมู่หรงซิงหัวสู้กับคนของทะเลดาวนักษัตร
ออกเดินทางแล้ว เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงล้วนสวมหมวกมุ้งปิดบังใบหน้าเอาไว้ ผู้หญิงถ้าสวยเกินไปบางครั้งก็เป็นปัญหายุ่งยากได้เหมือนกัน ไห่ผิงซินไม่อยู่ เหมียวอี้ส่งคนจับนางไปส่งที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก่อนแล้ว
ตอนที่กลุ่มคนออกจากตำหนักคุ้มเมือง บนถนนนอกตำหนักก็เต็มไปด้วยผู้คน เรื่องที่วันนี้เหมียวอี้จะออกไปจากที่นี่อย่างเป็นทางการไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
เหมียวอี้ที่เดินออกจากตำหนักคุ้มเมืองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกัน แต่หยุดฝีเท้าและหันกลับไปมองตำหนักที่เงียบขรึมข้างหลังด้วยสายตาลึกล้ำสองครั้ง ในใจรู้สึกปลงอยู่บ้าง ตั้งแต่เข้าแดนฝึกตนมา เขาก็อยู่ที่นี่มานานที่สุดแล้ว วันนี้นับว่าได้บอกลาอย่างเป็นทางการแล้ว
พอกลับมามองบนถนนอีครั้ง ผู้จัดการร้านจำนวนหนึ่งที่พอจะมีหน้ามีตาล้วนยืนอยู่ข้างหน้า คนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นลูกค้าขาจรที่มาตลาดสวรรค์ พอได้ยินข่าวความเคลื่อนไหวก็มาดูหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดัง ส่วนผู้จัดการร้านค้าเล็กๆ ไม่มาเลยสักร้าน ต้องการจะตัดขาดกับเหมียวอี้ให้ชัดเจน กลัวว่าตอนหลังจะโดนร้านค้าบ้างร้านล้างแค้น
ความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจยามตกอับและมีอำนาก็ดูออกกันตรงนี้ เหมียวอี้ช่วงชิงผลประโยชน์เพื่อร้านค้าในวงกว้าง แต่พอถึงเวลานี้กลับไม่มีใครมาส่งสักคน
เหมียวอี้ไม่แยแสกับสิ่งนี้ มีชีวิตอยู่มานานหลายปีขนาดนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็เห็นจนชินชา คนอื่นก็มีความลำบากของตัวเองเหมือนกัน พวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้มา เป็นเขาเองที่สั่งไว้ ภายนอกตัดสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนจะเป็นผลดีมากกว่า
สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร เขาก็ได้รับรายงานมาแล้วตั้งแต่อยู่ข้างใน รู้ว่าคนพวกนี้มาดูเพื่อหัวเราะเยาะ เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว เพียงแต่การปรากฏตัวของผู้หญิงสองคนตรงแถวหน้าทำให้เขารู้สึกผิดคาดมาก
คนหนึ่งคือหวงฝู่จวินโหรวที่สวมชุดกระโปรงสีม่วง อีกคนที่สวมชุดกระโปรงสีขาวก็คือจ้านหรูอี้ กำลังมองเขาด้วยใบหน้าเยาะเย้ยถากถากรางๆ
ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้วล่ะมั้ง มาตั้งไกลเพื่อมาดูเอาสนุกงั้นเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ ขณะพากลุ่มคนเดินลงจากบันไดสูง ก็มุ่งตรงไปตรงหน้าจ้านหรูอี้ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “จ้านคนสวย ถ่อมาตั้งไกลเพื่อเจอข้าเหรอ?” ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ข้างกัน เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง
ดวงตางามของหวงฝู่จวินโหรวจ้องอยู่บนใบหน้าเขา นางแค้นจนกัดฟันกรอด เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะโผเข้าไปกัดเขา สายตาเหลือบมองเฟยหงที่อยู่ข้างหลังเป็นระยะ สีหน้าบึ้งตึงลงเล็กน้อย ในใจมีเพียงคำสามคำ…นางจิ้งจอก!
จ้านหรูอี้ตอบอย่างสบายใจว่า “ใช่น่ะสิ! เจ้าไม่พอใจเหรอ?” เห็นได้ชัดว่ากำลังท้าทาย
เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ก็ไม่พอใจนิดหน่อย เจ้าเอาแต่ถ่อมาเกาะแกะข้า ข้าก็เลยต้องหลบไปไกลๆ หน่อย”
คำพูดหยอกล้อนี้ไม่ว่าใครก็ฟังออกทั้งนั้น จ้านหรูอี้หน้าบึ้งทันที “หลบเหรอ? ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหลบไปไหน หลุดออกจากการคุ้มครองของแม่ทัพภาพแล้ว ข้าก็อยากจะเห็นว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานได้สักกี่วัน!”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าพูดถึง ‘การคุ้มครอง’ ข้าก็เทียบเจ้าไม่ติดจริงๆ ถ้าท่านตาของเจ้าไม่ใช่อ๋องสวรรค์อิ๋ง เจ้าจะมีสิทธิ์มายืนพูดอยู่ตรงหน้าข้าเหรอ ก็เป็นคนที่แพ้ด้วยน้ำมือหนิวเท่านั้นเอง คนในใต้หล้าต่างก็รู้ ข้าจำเป็นต้องมาปะทะฝีปากกับเจ้าอยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ?”
“เจ้า…” จ้านหรูอี้โบกมือชี้ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง วู่วามอยากจะลงมือ
เหมียวอี้มองดูอย่างสบายใจ “ทำไม ยังคิดจะลงมือกับข้าอยู่อีกเหรอ? อาศัยว่ามีอ๋องสวรรค์อิ๋งหนุนหลัง คิดว่าคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายอย่างข้าโดนรังแกง่ายนักหรือไง?”
มีคนไม่น้อยที่พูดไม่ออก ตัวยังไม่ทันไปถึงหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเลย ก็เอาชื่อของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมากดดันคนอื่นราวกับเปลี่ยนหุ่นเชิดแล้ว
ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะไม่โมโหเพราะเรื่องนี้เลยสักนิด แต่กลับทำท่าเหมือนได้ฟังเรื่องที่ตลกมาก นางเงยหน้ากลั้นขำ ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกตลกอะไร
ผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างหลังนางรีบกล่าวเยาะเย้ยทันที “หนิวโหย่วเต๋อ รีบไสหัวไปดีกว่า ถ้าไปช้ากว่านี้แล้วโดนหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายลงโทษก็จะแย่เอานะ”
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะกวาดมองคนรอบๆ “ใจกล้าไม่เบา ไม่กลัวว่าข้าจะหวนกลับมาเหรอ? พวกเจ้าเชื่อมั้ยว่าครั้งหน้าข้าจะไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีอีกรอบ แล้วจะกลับมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนอีกครั้ง?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ทำให้คนกลุ่มนี้ตกใจทันที เจ้าเวรนี่คงไม่เอาจริงหรอกใช่มั้ย?
แต่ก็มีคนตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตะโกนว่า “อย่าไปฟังเขาพูดจาโอ้อวดเกินตัว ตลาดสวรรค์ไม่ใช่ของเขา ต่อให้ทดสอบผ่านกลับมา ก็อาจจะไม่ได้มารับตำแหน่งที่นี่ก็ได้”
ทุกคนย่อมตอบสนองแล้วเช่นกัน ต่อให้มาอีกเบื้องบนก็คงไม่ปล่อยให้เข้ามาก่อเรื่องที่นี่
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเหล่ตามองคนคนนั้นอย่างไม่สนใจใยดี “สงสัยคนพวกนี้จะยังไม่รู้ ว่ากำลังพลของหน่วยงานที่ข้าจะไปรับตำแหน่งนั้นประจำการอยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้ ยิ่งนับวันกำลังพลในมือก็ยิ่งเพิ่มขึ้นแล้ว กำลังทหารเข็มแข็งเกรียงไกร ไปไหนมาไหนก็สะดวก ถ้าว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ข้าจะดึงตัวมาล้างเลือดที่นี่อีกสักครั้งดีมั้ย?”
คนคนนั้นตะโกนทันที “เจ้ากล้าเหรอ!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ขุนนางทั้งราชสำนักข้าก็ล่วงเกินมาหมดแล้ว สักวันก็ต้องตายอยู่ดี อยู่รอดไปหนึ่งวันก็ถือว่าได้กำไรไปอีกวัน เจ้าว่าข้ากล้ารึเปล่าล่ะ? ข้าไม่กลัวที่จะบอกพวกเจ้าด้วย ว่าตั้งแต่ที่เห็นพวกเจ้ามายืนอุดทางอยู่แบบนี้ ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้แล้ว!”
ชั่วพริบตานั้น กลุ่มผู้จัดการร้านสีหน้าเปลี่ยนโดยฉับพลัน มีบางคนถึงขั้นตกใจจนหน้าซีด ถ้าเป็นคนอื่นพูดเขาอาจจะไม่เชื่อ แต่เจ้าบ้านี่พูดก็เกรงว่าจะทำจริงๆ…
บทที่ 1342 ฟ้าเปลี่ยนแล้ว
Ink Stone_Fantasy
ผู้บัญชาการใหญ่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ใต้สังกัดกุมกำลังพลหนึ่งแสนเป็นเป็นอย่างต่ำ กองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์บุกเหนือตีใต้เป็นระยะเวลานาน ล้วนเป็นทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกร บวกกับเครื่องมืออาวุธที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่คนที่ทหารของตำหนักสวรรค์จะเทียบติดเลย
ลองคิดดูสักนิดสิว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้อ้างข้อหา ‘ปราบโจร’ เข้าไปตรวจค้นที่ตำหนักสวรรค์ ใครจะกล้าต่อต้าน ต่อให้จะมีคนรู้ว่วาอีกฝ่ายจงใจหาเรื่อง แต่จะกล้าลงมือกับกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์เหรอ? อีกฝ่ายกุมอำนาจทางทหารมหาศาลไว้ในมือ ถ้าจงใจหาเรื่องทำร้ายเจ้า ยังกลัวเจ้าจะไม่ตายอีกเหรอ?
คนอื่นอาจจะไม่กล้าทำแบบนี้ แต่เรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำ เจ้าเวรนี่ทำมาแล้วสองรอบ ใครจะกล้ารับประกันว่าเจ้าบ้านี่จะไม่ทำเป็นครั้งที่สาม? ก็เป็นอย่างที่เขาบอก สักวันก็ต้องตายอยู่ดี อีกฝ่ายไม่แยแสแล้ว เป็นการปล่อยมือจากหม้อแตก[1]โดยแท้
กลุ่มผู้จัดการร้านตกใจแล้วจริงๆ มีคนไม่น้อยฉายแววหวาดกลัวในดวงตาแล้ว ตอนนี้นึกเสียใจทีหลังแล้ว
ก่อนหน้านี้ต่อให้รู้ข่าวว่าเหมียวอี้จะย้ายออกไป ทุกคนก็ไม่แสดงอาการเยาะเย้ยอะไรเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก กลับยิ่งสงบเสงี่ยมลงด้วยซ้ำ กลัวว่าเหมียวอี้จะพลิกกระดานแล้วตัวเองจะซวยได้ จนกระทั่งตอนนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้กำลังจะไป ทุกคนถึงได้เอวแข็งขึ้นมา วิ่งมา ‘ส่งเดินทาง’ แต่ใครจะคิดว่าล้วนเป็นการรนหาที่ตาย!
ทหารยามที่อยู่รอบๆ สังเกตเหตุการณ์ในสถานที่นั้น เมื่อเห็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวเอ่ยคำเดียวก็ทำให้กลุ่มผู้จัดการร้านตกใจจนกลายเป็นแบบนี้ ขณะที่แอบขำก็รู้สึกปลงอนิจจังอีกผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่แข็งกร้าวขนาดนี้ คาดว่าทั้งระบบตลาดสวรรค์คงจะมีท่านนี้แค่คนเดียวแล้ว ย่อมทำให้ทหารเล็กๆ ระดับล่างเป็นเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย ขนาดพวกร้านค้าใหญ่ๆ เห็นพวกเขาก็ยังต้องเกรงใจ แต่ถ้ารอให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว เกรงว่าทุกคนคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่ชุ่มชื้นเหมือนก่อนหน้านี้อีก
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ต่างก็แอบทอดถอนใจ ‘เจ้าห้า’ เอ๊ย เจ้าเหลือทางรอดให้พวกเราสองคนสักหน่อยได้มั้ย ขนาดจะไปแล้วยังขู่คนขนาดนี้ ต่อไปถ้าพวกลูกน้องเอาเราสองคนไปเปรียบเทียบกับเจ้า แล้วจะให้พวกเราจนความรู้สึกได้อย่างไร!
จู่ๆ สถานที่ตรงนั้นก็เงียบลง จ้านหรูอี้หันกลับไปมองข้างแวบหนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนโดนขู่จนตกใจกลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว นางก็ตะโกนทันที “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล กำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะระดมพลมาทำซี้ซั้วตามคำสั่งเขาได้ยังไง!”
ไม่รู้ว่าคำพูดเกลี้ยกล่อมของนางจะได้ผลหรือไม่ แต่เสียงตะโกนที่ตามมาติดๆ ของเหมียวอี้กลับได้ผลดีมาก “หลีกทางให้พ่อ!”
เสียงฝีเท้าดังไม่ขาดสายราวกับกระแสน้ำ เริ่มจากพวกผู้จัดการร้านที่อยู่แถวหน้า ไปจนถึงกลุ่มคนที่ดูเอาสนุกอยู่ข้างหลัง รีบแยกทางให้สองฝั่ง ไม่มีใครกล้าขวาง
พวกคนไม่ได้เรื่อง ไม่น่าเชื่อว่าจะทนคำขู่ไม่ได้ขนาดนี้ จ้านหรูอี้โมโหจนกัดฟันแน่น
เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตา สวีถังหรานเรียกได้ว่าแอบอิจฉา ถ่ายทอดเสียงบอกเสวี่ยหลิงหลงว่า “ถ้าแสดงบารมีแล้วไม่สามารถทำให้คนเชื่อฟังได้ก็ไม่เรียกว่าบารมีหรอก กล้าทำให้มันมีบทบาทขึ้นมาสิถึงจะเรียกว่าความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว! ฮูหยิน เห็นหรือยังล่ะ นี่ก็คือบารมีและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ผู้กุมอำนาจทุกคนหวังจะมี ที่อาณาเขตผืนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้!”
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้เสวี่ยหลิงหลงเห็นสิ่งที่ตัวเองเลือก ว่าการเลือกติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่ทางเลือกที่ผิด
เสวี่ยหลิงหลงมองดูเหมียวอี้ที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ในดวงตาสื่อแววหลากความรู้สึก ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็หวังให้คนที่ตัวเองแต่งงานด้วยเป็นวีรบุรุษไม่ใช่หมีควายทั้งนั้น…ถ้าไม่ใช่เพราะมีหมวกมุ้งปิดบังใบหน้า นางก็ไม่กล้าแสดงสายตาแบบนี้เช่นกัน ไม่ใช่เพราะว่านางมีความคิดอื่นใด เพียงแต่เคยคลาดผ่านกันมาก่อน ทำให้นางนึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในใจนางรู้ชัดเจน ว่ายามผู้ชายของตัวเองเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความเผด็จการจนพลิกสถานการณ์ได้แบบนี้!
เฟยหงที่สวมหมวกมุ้งคลุมใบหน้ามองดูทางที่แหวกออกเพราะเสียงตะโกนครั้งเดียว แล้วก็มองดูเหมียวอี้อีกครั้ง ในดวงตาสื่อแววหลากความรู้สึกเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้เหล่ตามองจ้านหรูอี้อย่างดูแคลน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
เหมียวอี้นำคนเหาะขึ้นฟ้าไป ไม่ได้เดินผ่านทางที่ทุกคนหลีกให้ เขาทำเพี่อให้จ้านหรูอี้ได้เห็นว่าคำพูดของใครกันแน่ที่ใช้ได้ผล เขากำลังตบหน้าจ้านหรูอี้
ไม่ได้เดินผ่านทางที่ทุกคนหลีกให้งั้นเหรอ? กลุ่มผู้จัดการร้านที่หลีกทางให้ทำสีหน้าเดือดพล่านเช่นกัน อับอายโมโหจนเกินทน ตอนนี้กำลังโดนตบหน้า
เดิมทีทุกคนมาเพื่อสร้างความอัปยศให้เหมียวอี้ ผลปรากฏว่าโดนเหมียวอี้ทำให้อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถนนว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าสายนี้ เหมือนกับเสียงตบหน้าที่ดังชัดเจน
หยางชิ่งที่เหาะขึ้นฟ้าตามไปก็แอบยิ้มเจื่อนเช่นกัน พบว่านี่คือจุดที่ตัวเองแตกต่างกับเหมียวอี้ที่สุด ท่านนี้ชอบทำอย่างหยาบคายไร้เหตุผล ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองคงพูดอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ สถานการณ์คือสิ่งที่ร้ายกาจกว่ากำลังคน อย่างมากก็กลับมาสะสางบัญชีอีกรอบ แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าความพาลหยาบคายของเหมียวอี้ ในบางครั้งก็ใช้ได้ผลดีกว่าแผนการที่รอบคอบของเขา ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ไง!
คนกลุ่มนี้มีห้าคนที่มีฐานะขุนนาง เหมียวอี้ สวีถังหราน หยางชิ่ง หยางเจาชิง เหยียนซิว คนในครอบครัวที่ติดตามไปด้วยมีแปดคน มีเฟยหงกับสาวใช้สองคน เสวี่ยหลิงหลงกับสาวใช้สองคน ชิงจวี๋ หลินผิงผิง
มีทั้งหมดสิบสามคน บวกกับทหารสวรรค์ที่ทางนี้ส่งไปคุ้มกันอีกยี่สิบคน เหาะผ่านประตูตะวันออกขึ้นไปบนฟ้ากว้างอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตากลุ่มคนที่มองส่ง
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ไม่ได้ออกจากเมืองไปส่ง เหมียวอี้ห้ามเอาไว้ เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชนจะต้องตัดขาดกันให้ชัดเจน ในภายหลังทั้งสองจะได้ควบคุมตลาดสวรรค์ได้สะดวก
ไปแล้ว…หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังมองส่งสายตาเลื่อนลอย
ข้างหูได้ยินจ้านหรูอี้ถ่ายทอดเสียงบอกมาว่า “ช่างมีสัจจะและจงรักภักดี! สามารถทิ้งปัจจัยใจที่อุดมสมบูณ์ของตลาดสวรรค์และจากไปได้ ในสังคมทุกวันนี้ ลูกน้องอย่างสวีถังหรานพบเห็นได้น้อยมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเดินทางผิดติดตามโจรสุนัขอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปอย่างสุดจิตสุดใจ น่าเสียดายจริงๆ!”
หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมามองจ้านหรูอี้ด้วยสีหน้าทอดถอนใจ เรียกได้ว่าค่อนข้างพูดไม่ออก เหมือนเพื่อนสาวคนนี้ไม่ได้ชื่นชมสวีถังหรานแบบธรรมดา หวงฝู่จวินโหรวอยากจะถามมากว่านางรู้จักสวีถังหรานมากเท่าไรเชียว แต่สวีถังหรานดันเป็นสามีของเพื่อนสาวอีกคนของนาง นางไม่สะดวกจะพูดถึงในทางที่ไม่ดี
ก่อนหน้านี้หลังจากจ้านหรูอี้มาถึงแล้วถามนางว่ามีใครติดตามเหมียวอี้ไปบ้าง นางก็ทอดถอนใจแล้ว ตอนนี้ก็เป็นแบบนี้อีก
จ้านหรูอี้มีตารางงานอื่นอีก ไม่มีอารมณ์จะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ผู้หญิงทั้งสองเดินนำไปก้าวหนึ่งก่อน รอจนทั้งสองเดินออกไปแล้ว เซียวฉีเจินผู้จัดการร้านภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็รีบเดินมาที่ตีนบันได กุมหมัดคารวะพร้อมถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ฝู เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อพูดแล้ว วันหลังหากเขาพาคนมาล้างเลือดตลาดสวรรค์ ท่านจะขัดขวางหรือไม่ขัดขวางกันแน่?”
“เอ่อ…” ฝูชิงเอามือลูบเครา ทำสีหน้าลำบากใจ จงใจจะกลั่นแกล้งสักหน่อย
กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างกรูเข้ามาทันที มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งแทรกผ่านมาขวางไว้ตรงหน้า กลุ่มผู้จัดการร้านต่างคนต่างแย่งกันพูดกับฝูชิงที่อยู่บนบันได
“ผู้บัญชาการใหญ่ฝู ตอนนี้ท่านได้คุมตลาดสวรรค์แล้ว จะให้คนข้างนอกมาทำกำเริบเสิบสานที่ตลาดสวรรค์ได้ยังไง!”
“ใช่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าโดนหนิวโหย่วเต๋อบุกมาก่อกวนในนี้จริงๆ ในฐานะที่ท่านเป็นขุนนางที่ประจำการที่นี่ ก็ยากที่จะพ้นโทษได้เหมือนกันนะ!”
“ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้าพาลกำเริบเสิบสานแบบนี้จริงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ควรจะปิดประตูของสี่เขตเมือง ตัดขาดไม่ให้เขาก่อหายนะที่ตลาดสวรรค์ได้”
“ใช่ ควรจะปิดค่ายกลใหญ่!”
ข้างล่างเรียกได้ว่าแย่งกันพูดเสียงดัง พวกเขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าถ้าเหมียวอี้จะนำทัพใหญ่มาล้างเลือดตลาดสวรรค์อย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ ร้านค้าในตลาดสวรรค์ก็ไม่มีทางโต้ตอบกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ ผู้ที่มีสิทธิ์จะปฏิเสธไม่ให้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายบุกเข้ามาในอาณาเขตตัวเองได้ ก็คือกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ประจำการอยู่ที่ตลาดสวรรค์ แต่ผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ดันเป็นลูกน้องเก่าของเจ้าบ้านั่น ถ้าเจ้าเวรนี่ให้ความร่วมมือปล่อยคนเข้ามา ทุกคนจะมีทางรอดชีวิตได้อย่างไร
พวกลูกค้าขาจรที่มาดูเอาสนุกได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานาน วันนี้นับว่าได้รู้ถึงอำนาจบารมีของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถึงแม้ตัวจะไม่อยู่ แต่อำนาจบารมีของขุนพลที่ซึมแทรกมาหลายปียังคงอยู่!
ขณะมองดูสายตาแสดงอาการหวาดกลัวค้างของกลุ่มผู้จัดการร้านที่อยู่ตรงหน้า ฝูชิงก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เจ้านายคนก่อนเพิ่งจะออกไป พ่อค้าพวกนี้ก็ยอมรับเขาเป็นเจ้านายทันที กลับทำให้เขาไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรมากแล้ว แต่นี่ไม่ได้เป็นเพราะตัวเขาเองมีบารมีความน่าเชื่อถืออะไรนัก แต่เป็นเพราะโดนเจ้าห้าขู่ไว้ ตอนนี้เจ้าพวกเวรกลุ่มนี้กำลังขอร้องเขา เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ก่อนจะจากไปเจ้าห้ากลับมอบความสบายใจให้เขา ช่วยเหลือเขาได้เยอะมาก
แต่จะว่าไปแล้ว แค่อาศัยสิ่งที่เหมียวอี้เคยทำไว้ที่ตลาดสวรรค์ ฝูชิงก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้พูดจริงหรือพูดเล่น ตามหลักการแล้วก็ไม่น่าจะทำให้เขาลำบากใจสิ
“พี่รอง พอเจ้าห้าขู่ไว้ก็ทำให้ท่านจัดการเรื่องต่างๆ ได้ราบรื่นทันที เรียกได้ว่าประหยัดแรงไปเยอะ เจ้าห้าก็คือกระบี่ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะพวกเขา ที่ตลาดสวรรค์ของข้าไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง” อิงอู๋ตี๋ถ่ายทอดเสียงบอก เหมือนจะอิจฉาอยู่บ้าง
ฝูชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ภายนอกกลับกดมือให้พวกผู้จัดการร้านที่อารมณ์เดือดพล่านอยู่ข้างล่าง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ทุกคนไม่ต้องกลัว ในเมื่อข้าคุมอยู่ที่นี่ ก็จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นที่นี่เด็ดขาด ข้าเองก็ไม่อยากเห็นที่นี่เกิดเรื่องทันทีที่ข้ารับช่วงต่อ เดี๋ยวกลับไปข้าจะต้องเจรจาแก้ปัญหากับผู้บัญชาการใหญ่หนิวแน่นอน ทุกคนกลับไปก่อน เลือกตัวแทนสมาคมร้านค้ามาก่อนจำนวนหนึ่ง รอให้ข้าได้รับคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แล้วก็ค่อยมาประชุมที่ตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง จะมอบกฎระเบียบตลาดสวรรค์ให้ร้านค้า!”
ตอนนี้เขายังเป็นตัวแทน คำสั่งแต่งตั้งของอิงอู๋ตี๋ยังไม่มา คำสั่งแต่งตั้งของผู้ที่เข้าร่วมทดสอบ ตอนนี้ยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ตอนนี้แต่ละที่กำลังอยู่ในระหว่างการปรับโยกย้าย
คนของร้านค้าขนาดกลางและเล็กไม่ได้มา ไม่อย่างนั้นถ้าได้ยินคำพูดนี้แล้วจะต้องรู้สึกหดหู่ใจแน่นอน การให้ผู้จัดการร้านที่มีอำนาจพวกนี้เลือดตัวแทนสมาคมร้านค้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการกลับไปอยู่ในระบบเดิมก่อนหน้านี้ ธุรกิจบางอย่างจะต้องถูกผูกขาดอีกครั้ง จะต้องทำให้ผลประโยชน์ของพวกเขาเสียหายอย่างหนักแน่นอน ทว่าต่อให้พวกเขามาก็ไม่มีประโยชน์ ฝูชิงยังประกาศอีกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมุทะลุดุดันเหมือนเหมียวอี้ต่อไป เขาไม่มีต้นทุนที่จะดันทุรังต่อต้านแบบนั้น
การยอมถอยให้นี้ได้แสดงท่าทีของเขาชัดเจนแล้ว ก่อนที่จะได้รับคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เขาไม่อยากล่วงเกินพวกผู้มีอำนาจมากเกินไป แต่เขาก็ต้องการรักษาระยะห่างกับทุกคน ให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาจะไม่ทำลายผลประโยชน์ของทุกคน จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องบนมีคนมาก่อกวน ทำให้การรับตำแหน่งของเขาแสดงตัวแปรออกมา
ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะรับประกันความปลอดภัยของทุกคน ก็เพราะอยากจะให้คนพวกนี้เข้าใจ ว่าถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมารับตำแหน่งนี้ ก็อาจจะห้ามปรามไม่ให้เหมียวอี้ทำซี้ซั้วไม่ได้
สรุปก็ก็คือต้องการจะรับประกันว่าคนของเขาที่อยู่ทางนี้จะขึ้นสู่ตำแหน่งได้อย่างราบรื่น กุมอำนาจของตลาดสวรรค์ได้โดยสมบูรณ์
กลุ่มผู้จัดการร้านสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขายังไม่ทันเอ่ยปากเจรจาเรื่องนี้เลย นึกไม่ถึงว่าฝูชิงจะเป็นฝ่ายปลดเครื่องจองจำที่อยู่บนตัวพวกเขาก่อน พวกเขากุมหมัดคารวะทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!”
มู่หรงซิงหัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เงียบงัน ได้เห็นกับตาว่าเหมียวอี้เพิ่งจะไปแต่ฝูชิงก็ล้มระบบที่เหมียวอี้สร้างไว้หลายปีแล้ว นับว่าทำให้นางรับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ก็เปลี่ยนราชำสำนักใหม่’ พอมองเห็นลูกน้องคนสนิทแต่ละคนของฝูชิงที่ทำสีหน้าดีใจ รอให้อิงอู๋ตี๋พาลูกน้องคนสนิทไปรับตำแหน่ง ที่นี่ก็คือโลกของฝูชิงแล้ว ในที่สุดนางก็เกิดความคิดที่จะยอมแพ้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าสวีถังหรานจอมประจบมที่นางดูถูกนั้นที่จริงแล้วฉลาดกว่านาง รู้จักรุกรู้จักถอยยิ่งกว่านาง เมื่อเปลี่ยนกษัตริย์ก็เปลี่ยนขุนนาง ฟ้าเปลี่ยนแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นางจะอยู่ได้นานอีกต่อไป…
…………………………
[1] ปล่อยมือจากหม้อแตก 破罐子破摔 อุปมาว่าไม่เสียดายเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
บทที่ 1343 ลูกลิงน้อย
Ink Stone_Fantasy
ในดาราจักร หลังจากเลี่ยหวนกับหูเฟยคำนับตรงหน้าเหมียวอี้ ก็หลีกทางไปอยู่ทางซ้ายและขวาอีกครั้ง ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังทั้งสองก็คือไห่ผิงซินที่จมูกเชิดและสะบัดหน้าหนีเนื่องจากยังไม่หายโกรธ
เมื่อเห็นเด็กสาวคนนี้ เหมียวอี้ก็ค่อนข้างพูดไม่ออกจริงๆ ทำให้สลบและส่งตัวไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว พอตื่นขึ้นมาแล้วนางจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมอยู่ที่นั่น ปี้เยว่ก็ทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน ถ้าปล่อยให้นางก่อเรื่องที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว สักวันก็จะมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติ จะมัดนางไว้ตลอดก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงส่งนางกลับมา ให้นางติดตามเหมียวอี้ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย
หยางชิ่งกับหยางเจาชิงสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ต่างก็มองออกถึงความสงสัยในดวงตาของทั้งสองฝ่าย ตอนที่ไห่ผิงซินคนนี้ปรากฏตัว ก็เรียกได้ว่าวรยุทธ์ไม่สูง ทั้งยังไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ แต่กลับเป็นคนเดียวที่กำเริบเสิบสานต่อหน้าเหมียวอี้มากที่สุด แต่เหมียวอี้ดันรู้สึกว่าไม่มีทางลงมือกับนางได้ด้วย เคยตัวแล้ว!
“นางหนู พ่อเจ้าน่าจะมีลูกน้องเก่าอยู่ข้างนอกบ้าง ให้แม่เจ้าติดต่อพ่อเจ้าแล้วส่งเจ้าไปอยู่กับลูกน้องเก่าพ่อเจ้าดีมั้ย?” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอก ใช้คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อม เขาไม่อยากพานางไปด้วยจริงๆ
ไห่ผิงซินเบะปากบอกว่า “ข้าอยู่ข้างกายท่านเพราะมีสถานะเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าไปโผล่อยู่ข้างกาย ‘โจรกบฏ’ แล้วมีคนเจอขึ้นมา ท่านไม่กลัวเหรอ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก
ไห่ผิงซินหันซ้ายหันขวามองข้างหลังเขาอีก นางฮึกเหิมลำพองใจ ถามด้วยแววตาเป็นประกายว่า “เฟยหงล่ะ? ท่านคงไม่ถึงขั้นไม่พาไปแม้แต่อนุภรรยาของตัวเองหรอกใช่มั้ย?”
คนในครอบครัววรยุทธ์ไม่สูง ส่งผลต่อความเร็วในการเหาะเดินทาง จึงถูกเก็บเข้าใจกระเป๋าสัตว์แล้ว
พูดถึงเฟยหงอีกแล้ว! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที นางเด็กบ้านี่คิดถึงแต่เฟยหงไม่รู้จักลืมจริงๆ
ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองจะถูกย้ายไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็คงไม่จำเป็นต้องให้กลุ่มตาแก่ที่แดนอเวจีใช้ความพยายามมากขนาดนี้จนมีนางหนูคนนี้เกิดมาหรอก เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังแทบตาย ยังไม่ต้องสนใจว่าจะบีบจุดอ่อนปี้เยว่ได้มั้ย กลับกลายเป็นเหมือนได้บรรพบุรุษมาไว้ในมือด้วยซ้ำ เหมือนย้ายก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองแท้ๆ
“เหยียนซิว เก็บนางเข้าในกระเป๋าสัตว์!” เหมียวอี้หันกลับมาตะโกนสั่ง
ไห่ผิงซินโบกมือ “ข้าไปเองได้ อย่าเก็บข้าเข้าไป ข้า…”
พรึ่บ! เหยียนซิวถลันตัวมาข้างหลังนางแล้ว คว้าหลังคอนางจนนางตาเหลือก ถูกเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ของเหยียนซิวโดยตรง
เหมียวอี้พยักหน้าเลี่ยหวนและภรรยา พอโบกมือหนึ่งที ก็พาคนเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรต่อ…
“เหอะๆ ไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีอีกรอบแล้วกลับมารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์งั้นเหรอ การทดสอบที่นรกทำให้คนเปลี่ยนเป็นไม่เกรงกลัวอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร…เหอะๆ ทั้งยังจะพากำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดตลาดสวรรค์…ล่วงเกินขุนนางไว้เต็มราชสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ตายอยู่ดี รอดชีวิตไปได้หนึ่งวันก็ถือว่าได้กำไรหนึ่งวัน เจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่กล้าล่ะ? ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้ก่อนนะ ว่าตั้งแต่ที่เห็นพวกเจ้ามายืนอุดทางอยู่แบบนี้ ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้แล้ว…”
ในตำหนักดาราจักร ขณะที่ถือรายงานที่ซือหม่าเวิ่นเทียนส่งมาให้ ประมุขชิงก็อ่านพึมพำอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้มเจื่อน เขาเองก็ได้เห็นการรายงานข่าวที่น่าชื่นชมแบบนี้ไม่บ่อย ตอนที่เขาอ่านก็อดไม่ได้ที่จะขำเช่นกัน
ในใต้หล้ามีเรื่องราวใหญ่โตตั้งมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะสนใจตัวละครเล็กๆ เป็นเวลานานขนาดนี้ เดิมทีตัวละครต่ำต้อยแบบเหมียวอี้ ต่อให้จัดการเรียบร้อยแล้วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นมาให้ประมุขชิงรู้ เพียงเพราะครั้งก่อนประมุขชิงเคยตั้งใจถามเรื่องนี้ ครั้งนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนนับว่าให้คำตอบกับประมุขชิงได้แล้ว
พอมาดูตอนนี้แล้ว ข่าวนี้ก็มีผลดีอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน อย่างน้อยก็ทำให้ประมุขชิงหัวเราะได้ นับว่าไม่ทำให้ความพยายามของทูตซ้ายซือหม่าสูญเปล่าแล้ว
พอนึกถึงเหมียวอี้นั่น ซือหม่าเวิ่นเทียนก็รู้สึกเซ็งในใจอยู่บ้าง หมากตัวหนึ่งที่ใช้ความพยายามมากมายเพื่อเลี้ยงขึ้นมา แค่ยกประโยชน์ให้เหมียวอี้ก็ว่าแย่แล้ว เดิมทีต้องการจะทำให้เป็นฮูหยินเอกของเหมียวอี้ ถ้าเป็นแบบนั้นจะได้สืบข่าวได้สะดวกหน่อย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใจแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ไม่น่าเชื่อว่ายังจะกล้าเรียกกำลังพลมาล้อมแม่เฒ่าลวี่กับคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ช่างไม่สนใจกฎระเบียบธรรมเนียมเลยจริงๆ
ตอนหลังก็กดดันให้เขาไม่มีทางเลือด ทำได้เพียงยอมถอยให้ ทำให้หมากตัวหนึ่งที่เขาตั้งใจเลี้ยงอย่างดีกลายไปเป็นอนุภรรยา ไม่อย่างนั้นก็อาจจะทำให้เรื่องที่ทำสำเร็จอย่างยากเย็นพังลงได้ พอมาคิดดูตอนนี้ คาดว่าพื้นเพอาชีพในหอนางโลมของเฟยหงคงจะเกินทนจริงๆ
แน่นอน เขาเองก็อับอายที่จะต้องเขียนเรื่องประเภทนี้ไว้ในรายงาน
ประมุขชิงที่รู้สึกบันเทิงอยู่พักหนึ่งโยนแผ่นหยกกลับไว้บนโต๊ะ ยังคงกล่าวอย่างกลั้นขำไม่ไหวว่า “เจ้าลูกลิงน้อยที่กระโดดขึ้นกระโจนลงตัวนี้ตัวตลกจริงๆ กล้าประกาศว่าจะดึงกองทัพองครักษ์ของข้าไปล้างเลือดตลาดสวรรค์ ต่อไปราชินีสวรรค์จะไม่มาคิดบัญชีกับข้าหรอกเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนย่อมรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ราชินีสวรรค์จะกล้ามาคิดบัญชีกับเขาได้อย่างไร จึงกล่าวกลั้วหัวเราะตามด้วยว่า “เขาเป็นคนเท้าเปล่าที่ไม่กลัวว่าจะไม่มีรองเท้าใส่ เป็นตายที่ไม่กลัวน้ำร้อนลวก แต่กลับทำให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักตกใจแทบแย่”
ประมุขชิงผงกศีรษะด้วยใบหน้าที่เจือรอยยิ้ม “โดนล้างเลือดไปแล้วสองครั้ง ไม่กลัวก็แปลกแล้ว ชื่อเสียงไม่ดีดังไปถึงข้างนอก ลูกลิงน้อยตัวนี้ไม่ว่าจะวางไว้ที่ตลาดสวรรค์ไหนก็ทำให้ขู่ให้คนสะเทือนขวัญได้เป็นแถบ เฉิงอวี่ต้องการปรับปรุงตลาดสวรรค์ ในมือมีดาบดีขนาดนี้แต่ไม่รู้จักใช้ กลับปล่อยไปง่ายๆ สายตาสั้นไปหน่อยนะ ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุดก็ยังเจ่าเล่ห์เห็นแก่ตัว ไม่อยากทำลายผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว”
ปัญหานี้ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่สะดวกจะวิจารณ์แล้ว กล่าวเพียงคำพูดตอนแรก “ตอนนี้ข้าน้อยกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะทำตามที่พูด อีกประเดี๋ยวถ้าดึงดำลังพลไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์อีกครั้ง แบบนั้นเรื่องราวก็จะใหญ่โตแล้วขอรับ”
ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะโง่กันหมดเชียวหรือ ถูกเขาดึงไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้ง่ายๆ เหรอ? วางใจเถอะ! ต่อให้เขาจะทำแบบนี้จริงๆ ก็มีคนคอยห้ามอยู่แล้ว ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก อืม ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย…” สายตาเหลือบลงมองซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “ดูท่าแล้ว คนของเจ้าคงจะอยู่ข้างกายเขาแล้ว ครั้งก่อนถ่วงเวลาตั้งนาน ครั้งนี้ใช้เวลาไม่กี่วันก็ทำสำเร็จแล้วเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนฟังออกถึงความหมายอีกอย่างที่อยู่ในเสียงนี้ เหมือนกำลังตำหนิว่าก่อนหน้านี้ไม่เก็บคำพูดของข้าไปใส่ใจ ต้องให้ข้าเร่งรัดซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงจะไปปฏิบัติจริงงั้นเหรอ? เขาหัวใจกระตุกวูบทันที ภายนอกยังยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “เขาล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไป ทั้งยังเคยโดนลอบสังหาร จึงระวังตัวเองสูงมาก แทบจะไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลย ข้าน้อยนึกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะจัดการเรียบร้อย จะว่าไปก็บังเอิญเหมือนกัน ลูกน้องสองคนของเขากลับมาจากการทดสอบพอดี บังเอิญจัดงานเลี้ยงฉลอง ก็เลยคว้าโอกาสนี้ไว้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะต้องยังไต่ตรองอย่างระมัดระวังสักหน่อย ทางหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย ข้าน้อยกำชับพวกลูกน้องมาตลอด ยอมให้เรื่องราวล่าช้า ดีกว่ายอมให้ตัวเองโดนเปิดโปงขอรับ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนคนเจตนาไม่ดีอาศัยเบาะแสนี้สืบเรื่องอื่น ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่อยากจะคิด”
ประมุขชิงไม่ได้คัดค้านหรือคล้อยตาม มองแผ่นหยกบนโต๊ะแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ลูกลิงน้อยตัวนี้น่าสนใจอยู่บ้าง ต่อไปถ้ามีเรื่องน่าสนใจอะไรเกี่ยวกับเขา ก็รายงานขึ้นมาได้เลย คิดเสียว่าอ่านเพื่อความบันเทิงแล้วกัน”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ แล้วเตือนซ้ำอีกว่า “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ค่อนข้างต่ำ จับเขามาวางที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเพื่อรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ คนส่วนใหญ่ในกองทัพองครักษ์ล้วนเป็นทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกร เกรงว่าจะคุมคนได้ยาก ข้าน้อยกลัวว่าจะเกิดเรื่อง จะต้องบอกให้สายลับไปดูแลสักหน่อยมั้ยขอรับ”
ประมุขชิงตอบเสียงเรียบว่า “ไม่มีความจำเป็นนั้น ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น การจับโยนไปที่นั่นจะมีความหมายเหรอ? ดาบจะคมได้ก็ต้องผ่านการลับ ถ้าแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เล็กๆ ยังยืนให้มั่นคงไม่ได้ ก็แสดงว่าคนอื่นๆ ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแข็งแกร่งกว่าเขา แบบนั้นข้าจะต้องการเขาไว้ทำอะไร? ถ้าทำให้โอกาสที่ข้ามอบให้สูญเปล่าจริงๆ จะตายก็ตายไปเถอะ”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับเบาๆ เขารู้หลักการนี้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็ต้องพูดให้ชัดเจนไว้ก่อน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเจ้าจะได้โทษข้าไม่ได้
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน
โค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน สามพี่น้องยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ยังคงรายงานเรื่องที่เกี่ยวกับถายนอกและภายในตระกูลโค่วตามธรรมเนียม อ๋องสวรรค์โค่วหลิงซวีหลับตาพิงเก้าอี้นั่งฟัง
“ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้วเหรอ?”
หลังจากโค่วเหมี่ยนลูกชายคนที่สามรายงานว่าเหมียวอี้ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วก็พลันลืมตาเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับ ได้รับการยืนยันแล้ว กำลังจะไปรับตำแหน่งที่ทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ของผู้บัญชาการองครักษ์ฝ่ายซ้าย ระดับก็เหมือนเดิม ยังคงเป็นผู้บัญชาการใหญ่” โค่วเหมี่ยนพยักหน้า
กิจธุระสำคัญของจวนตระกูลโค่ว โค่วเจิงที่เป็นลูกชายคนโตเป็นคนดูแล ดังนั้นเรื่องสำคัญจึงถูกรายงานโดยเขา ส่วนน้องชายอีกสองคนก็รายงานเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวนี้ เป็นเพราะเหมียวอี้มีความสัมพันธ์อันดีกับโค่วเหวินหลาน เมื่อมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ย่อมอยู่ในขอบเขตการรายงานของโค่วเหมี่ยนผู้เป็นลูกชายคนที่สาม
สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพราะเหมียวอี้วรยุทธ์ต่ำเกินไป วรยุทธ์ไม่ได้สูงเท่าไรนัก ถ้าไม่ใช่เพราะก่อเรื่องบางอย่างขึ้น อ๋องสวรรค์โค่วจะรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นใคร ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อ๋องสวรรค์โค่วก็คงไม่มาสนใจตัวละครเล็กๆ ตลอดเวลา เพียงชี้แนะลูกชายทั้งสามโดยอิงจากมุมมองของสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น
เพียงแต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีเงื่อนงำบางอย่าง ในฐานะที่เคยผ่านการต่อสู้มายาวนาน ทำให้ได้กลิ่นที่ไม่ปกติทันที อ๋องสวรรค์โค่วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าเด็กนั่นอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดีๆ ทำไมถึงถ่อไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว?”
“ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์เขาชิงตัวลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่มาเป็นอนุภรรยา…” โค่วเหมี่ยนเล่ารายละเอียดคร่าวๆ
อ๋องสวรรค์โค่วใช้นิ้วทั้งห้าเคาะที่วางมือบนเก้าอี้เบาๆ หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “อวี่จ้งเจินตามนางหนูลวี่ไปด้วยกัน…ทางตลาดสวรรค์ใครเป็นคนยินยอมปล่อยตัว?”
โค่วเหมี่ยนตอบว่า “คนแรกคือหัวหน้าภาคที่อยู่เบื้องบน แต่โดนเมียของเทียนหยวนขัดขวางไว้ แต่หนิวโหย่วเต๋อล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไปจริงๆ ตอนหลังมีคนฟ้องพฤติกรรมชิงตัวอย่างเผด็จการของหนิวโหย่วเต๋อให้ราชินีสวรรค์รู้ ราชินีสวรรค์เดือดดาลจึงออกคำสั่งให้ตรวจสอบและลงโทษปลดตำแหน่งหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ทางด้านหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจึงถือโอกาสรับตัวไป”
อ๋องสวรรค์โค่วเงียบไปครู่หนึ่ง สายตากวาดมองสามพี่น้อง พร้อมถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “เรื่องนี้พวกเจ้าสามพี่น้องคิดว่าอย่างไร?”
สามพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าบิดากำลังทดสอบพวกเขาอยู่ โค่วเจิงพี่ชายคนโตลังเลครู่เดียว ก่อนจะตอบว่า “ข้อหาชิงตัวเป็นเพียงข้ออ้าง ถึงแม้แม่เฒ่าลวี่จะไม่มีอำนาจก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ในฐานะที่คนของวังสวรรค์อย่างแม่เฒ่าลวี่ได้รับความไม่ยุติธรรม หนิวโหย่วเต๋อไม่ไว้หน้าแม้แต่วังสวรรค์ ราชินีสวรรค์ย่อมไม่พอใจ จะต้องปกป้องศักดิ์หน้าตาของแม่เฒ่าลวี่ขอรับ”
อ๋องสวรรค์โค่วโบกมือชี้ “แล้วพวกเจ้าสองพี่น้องล่ะ?”
โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “คิดเหมือนพี่ใหญ่ขอรับ”
“เฮ้อ…” อ๋องสวรรค์โค่วถอนหายใจเบาๆ แล้วเอียงหน้ามองไปด้านข้างเล็กน้อย “ผู้เฒ่าถัง เรื่องนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าถังบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างกันพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองสามพี่น้องพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นางหนูลวี่นับว่าสำคัญอะไร! ตอนแรกมีขุนนางใหญ่มากมายไปขอคนจากราชินีสวรรค์ แต่ราชินีสวรรค์ก็ไม่ให้ ตอนนี้พอคนเฝ้าสวนคนหนึ่งได้รับความไม่ยุติธรรม ราชินีสวรรค์ก็ปล่อยคนไปโดยไม่กลัวว่าจะขัดใจคนอื่นแล้วเหรอ ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างทั้งสองฝ่ายสักหน่อย ประเด็นสำคัญคือแม้แต่กองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ก็เข้ามาร่วมด้วยแล้ว” เขาพูดถึงเพียงเท่านี้ ไม่เปิดเผยต่อแล้ว
บทที่ 1344 แสดงอำนาจบารมี
Ink Stone_Fantasy
โค่วเจิงพี่ชายคนโตเข้าใจในฉับพลัน ถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นประสงค์ของฝ่าบาท? เพียงแต่ฝ่าบาทจะสิ้นเปลืองความคิดเพื่อตัวละครเล็กๆ อย่างนั้นเหรอ?”
อ๋องสวรรค์โค่วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ฉวยโอกาสได้ดีเชียวล่ะ! เจ้าเด็กนั่นตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจในราชสำนักครั้งแล้วครั้งเล่า ประขวบเหมาะกับการงัดข้อของเบื้องล่างและเบื้องบนครั้งก่อน เกรงว่าจะเข้าตาประมุขชิงเข้าแล้ว กอปรกับมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ที่ต้องการโยนไปให้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็เพราะจะลับคม ถ้ายืนในตำแหน่งนั้นได้อย่างมั่นคงและสร้างผลงานการรบอีกสักหน่อย ในภายหลังเมื่อวรยุทธ์สูงขึ้น ถ้าประมุขชิงต้องการจะใช้ให้ไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญก็จะเรียกได้คล่องปากแล้ว เพียงแต่มีอยู่จดหนึ่งที่อาจจะมีลับลมคมใน ผ่านไปสักระยะแล้วหลังจากเกิดเรื่องนั้น ทำไมถึงถ่วงเวลามาจนตอนนี้กว่าจะโยนเจ้าเด็กนั่นไปไว้ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายล่ะ?”
ผู้เฒ่าถังที่อยุ่ข้างกันพูดเสริมส่วนที่ขาด “ท่านยังไม่รู้จักประพฤติตัวของประมุขชิงอีกหรือ คาดว่าช่วงนี้วรยุทธ์ของเจ้าเด็กนั่นคงใกล้จะบรรลุแล้ว หรือไม่ประมุขชิงก็อยากจะให้เขาตักตวงทรัพยากรฝึกตนอีกสักหน่อย ตอนนี้ความร้อนคงใกล้จะได้ที่แล้ว”
เป็นคนที่คลุกคลีกับประมุขชิงมานานจริงๆ ด้วย เดาเจตนาของประมุขชิงได้บ้างแล้วจริงๆ เพียงแต่เดาได้ไม่ถูกทั้งหมด เพราะประมุขชิงคิดว่าเหมียวอี้ตักตวงทรัพยากรฝึกตนได้เยอะตั้งนานแล้ว ถ้ารู้ว่าเป็นเพราะซือหม่าเวิ่นเทียนชักช้าลงมือไม่ได้เสียที ก็ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะคิดอย่างไร
“ประมุขชิงจะสนใจตัวละครเล็กๆ ต่อเนื่องนานขนานดี้เชียวเหรอ?” อ๋องสวรรค์โค่วลังเล
ผู้เฒ่าถังยิ้มพร้อมบอกว่า “ประมุขชิงเอ่ยคำเดียวก็พอ เบื้องล่างย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง เขาได้สิ้นเปลืองความคิดเสียที่ไหนกัน”
อ๋องสวรรค์โค่วพยักหน้าเล็กน้อย “ข้างบนกับข้างล่างห่างกันมากเกินไป ทั้งยังเล่นบทนั้นอีก ใช้ชั้นเชิงลึกลับเข้าใจยาก เจ้าเด็กนั่นคงเลอะเลือนไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่” เขายกมือขวาเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “ลูกชายทั้งสาม คนวัยหนุ่มสาวก็ควรจะมีเครือข่ายของตัวเองเหมือนกัน ต้องรีบคบค้ากับคนมีอนาคตตั้งแต่ตอนยังไม่ร่ำรวย ให้เหวินหลานซื้อน้ำใจเขาไว้ บอกเจ้าเด็กนั่นสักหน่อย ให้เจ้าเด็กนั่นมีข้อมูลอยู่ในใจ จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไร อย่าให้เมื่อถึงเวลานั้น พอตายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร”
“ขอรับ!” โค่วเหมี่ยนเอ่ยรับอย่างเคารพ
ดาวจูจื่อ หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำซึ่งอยู่ใต้สังกัดหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายประจำการอยู่ที่นี่ชั่วคราว
ตรงจุดที่ห่างไกลจากความเจริญของโลกมนุษย์ ยอดเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายยาวติดกันเป็นพืด บนยอดเขาที่สูงที่สุดมีเสาธงใหญ่ต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนธงผ้าไหมปักรูปมังกรดำที่ดุร้าน่ากลัวไว้หนึ่งตัว สมจริงทั้งยังดูมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ตั้งตรงสูงตระหง่าน โบกสะบัดรับลม
มีธงใหญ่ด้ามนี้เป็นสิ่งนำทาง พวกเหมียวอี้สังเกตเห็นมาแต่ไกล ทว่าก็ถูกทหารยามขวางไว้ตั้งแต่ไกลๆ เช่นกัน “ใครกันที่มาบุกที่นี่!”
“หนิวโหย่วเต๋อถือคำสั่งโยกย้ายมาที่นี่!” เหมียวอี้นำหน้าขึ้นมาตอบคำถาม ยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่งแล้ว
หลังจากทหารยามสงอคนตรวจสอบตัวตนของเหมียวอี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าได้ยืนชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานานมาก มองประเมินเขาศีรษะจดเท้าอย่างตั้งใจมาก จากนั้นถึงได้ปล่อยไป โดยให้คนคนหนึ่งนำทาง
แล้วก็ผ่านการตรวจสอบอีกสามด่าน พวกเหมียวอี้ถึงได้มาหยุดอยู่บนพื้นราบตรงตีนเขาที่มีธงมังกรดำปักอยู่ มารอเนี่ยอู๋เซี่ยวแม่ทัพภาคกองมังกรดำเรียกพบ เฟยหงและคนในครอบครัวถูกค้นเรียกออกมา พวกนางมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ที่พักของกองมังกรดำนั้นเลือกได้ไม่เลวเลย เขาสวยน้ำใส ยอดเขาประหลาดงดงาม ขุดเป็นทางหินคดเคี้ยวขึ้นไปตลอดทาง ในซอกเขาทั้งสองฝั่งมีน้ำตกที่ไหลตรงลงมาราวกับตกลงมาจากฟ้า ละอองหมอกพลิ้วไหวตามแรงลมอยู่ตรงตีนเขา เปลี่ยนแปลงเป็นแสงสีรุ้งราวกับภาพมายา
เมื่อสำรวจสภาพแวดล้อมคร่าวๆ ครู่หนึ่ง พวกเหมียวอี้ก็หันหน้าไปทางด้านขวา แล้วก็ค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ฝั่งขวามีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ตอนแรกคนที่อยู่หน้าสุดยืนหันหลังให้จึงเห็นไม่ชัด รอจนกระทั่งอีกฝ่ายหันหน้ามา ทุกคนถึงได้พบว่าเพิ่งแยกกับอีกฝ่ายไม่นาน
อีกฝ่ายสวมชุดกระโปรงสีขาว เอามือไขว้หลังยืนด้วยความภูมิใจ กำลังเหล่ตาจ้องมาทางนี้พลางแสยะยิ้ม จ้านหรูอี้นั่นเอง!
ข้างหลังนางทางซ้ายและขวามีหญิงรับใช้สองคน ข้างหลังมีทั้งชายทั้งหญิงยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง รวมๆ แล้วหลายสิบคน
เหมียวอี้แปลกใจอยู่บ้าง ผู้หญิงพวกนี้มาโผล่ที่นี่หมายความว่าอย่างไร?
จ้านหรูอี้ที่ยกมุมปากยิ้มถากถางหันกลับไปแล้ว ดูท่าแล้วเหมือนจะรอเข้าพบเหมือนกัน เหมียวอี้หันกลับมาส่งสายตาให้พวกหยางชิ่ง ในดวงตาฉายแววโดดเดี่ยว ไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัด
ตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงตรง รอตั้งนานไม่เห็นแม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยวเรียกพบสักที เห็นได้ชัดว่าคนฝั่งจ้านหรูอี้มาเร็วกว่าฝ่ายนี้ มีบางคนทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะเดินไปดูสักหน่อย ใครจะคิดว่าเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทหารยามที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่อีกด้านก็ตะโกนบอกแล้วว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างซื่อสัตย์ อย่าวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว”
เมื่ออยู่ใต้ชายคาของเขาก็จำเป็นต้องก้มหัว ถึงแม่จะมีจ้านหรูอี้หนุนหลัง แต่ถ้าอยากเคลื่อนไหวสักหน่อยก็จำเป้นต้องถอยกลับมา มิหนำซ้ำจ้านหรูอี้ก็หันกลับมาบอกใบ้ด้วยว่าไม่ให้เขาทำซี้ซั้ว
ผ่านไปไม่นานนัก บนทางขึ้นภูเขาก็มีชายวัยกลางคนที่สวมเกราะม่วงยศแม่ทัพสี่แถบเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบลงมา เดินวนคนทั้งสองฝั่งสองรอบ มายืนตรงหน้าเหมียวอี้แล้วมองสำรวจศีรษะจดเท้า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ใช่ขอรับ ขออนุญาตถาม…”
อีกฝ่ายขี้คร้านจะสนใจเขา หันตัวเดินตรงไปข้างๆ จ้านหรูอี้ แล้วมองประเมินจ้านหรูอี้ศีรษะจรดเท้าอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทั้งยังตั้งใจเอียงซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหน้าอกที่ตั้งตระหง่านของจ้านหรูอี้ ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยากจะใช้นิ้วจิ้ม ‘หมั่นโถว’ ดูสักหน่อย ทำเอาจ้านหรูอี้อึดอัดมาก บนใบหน้าฉายแววแค้นเคือง ถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
สามารถแน่ใจได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่แม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยว เนี่ยอู๋เซี่ยวมียศแม่ทัพห้าแถบ แต่คนคนนี้ยังมียศสี่แถบ ฐานะที่กองมังกรดำไม่ต่ำแน่นอน
คนคนนั้นไม่สนใจ ถามกลับว่า “เจ้าคือจ้านหรูอี้เหรอ?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ใช่! ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคจะเรียกพวกเราเข้าพบเมื่อไร”
“รอไปเถอะ! ท่านแม่ทัพภาคบอกไว้แล้ว เขากำลังนอนหลับอยู่ ให้พวกเจ้ารอไปก่อน” คนคนนั้นตอบอย่างสุขุมหนักแน่น
ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเหมียวอี้ หรือฝั่งของจ้านหรูอี้ ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วมุ่น ถ้านอนหลับแล้วยังพูดได้อีกเหรอว่าตัวเองหลับแล้ว ชัดเจนว่ากำลังปั่นพวกเขาเล่น
เพียงแต่อาศัยคำพูดนี้ก็ทำให้กลุ่มคนที่มาใหม่ได้รับรู้ถึงความหยิ่งผยองของกองมังกรดำแล้ว แม้แต่หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังกล้าละเลย
จ้านหรูอี้สีหน้าค่อนข้างแย่ ถามว่า “ถ้าท่านแม่ทัพภาคไม่พอใจอะไรพวกเรา ก็บอกว่าตรงๆ ได้เลย ทำไมต้องล้อเล่นแบบนี้?”
คนคนนั้นหัวเราะแห้งๆ ทันที ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าจ้านหรูอี้ แล้วถามว่า “ล้อเจ้าเล่นแล้วจะเป็นไรไป?” เขาเอามือชี้ไปด้านนอก “ถ้าไม่พอใจก็ไสหัวไปตอนนี้เลย ที่นี่ไม่มีใครรั้งเจ้าหรอก! รีบไสหัวไปตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ไม่อย่างนั้นตอนหลังถ้าอยากจะไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว กฎระเบียบกองทัพของกองมังกรดำไม่ได้มีไว้เฉยๆ นะ!”
จ้านหรูอี้กัดริมฝีปาก กำหมัดสองข้าง สุดท้ายก็อดทนไว้ และยกมือห้ามคนข้างหลังที่จะช่วยออกหน้าแทนนางเช่นกัน
คนคนนั้นมองกลุ่มคนข้างหลังจ้านหรูอี้ที่กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด แล้วก็ถ่มน้ำลายทันที พูดเหยียดหยามอีกว่า “ตัวปัญหา!”
ด่าเสร็จก็เอามือไขว้หลังเดินลงเขาไป
เหมียวอี้มองจ้านหรูอี้ที่กล้ำกลืนความโมโหเอาไว้ เขารู้สึกบันเทิงแล้ว พูดกับทางนี้ว่า “หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง!”
เห็นได้ชัดว่าคำเรียกนี้กำลังเยาะเย้ยถากถาง กำลังหยอกล้อว่าบารมีของหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่น่าเกรงขามสักเท่าไรหรอก จ้านหรูอี้กำหมัดสองข้างเอาไว้แน่น ไม่หันหน้ากลับมา เก็บกลั้นไฟโกรธไว้เต็มอกแล้ว นางกลัวว่าถ้าได้เห็นปากกับหน้าที่น่ารังเกียจของใครบางคนแล้วจะอดใจไม่ไหวพุ่งเข้าไปตบ
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเปลี่ยนคำเรียกอีก “จ้านคนสวย คนเมื่อครู่นี้คือใครเหรอ ทำไมไม่อ้างชื่อท่านตาของเจ้าขู่เขาให้ตกใจตายไปเลยล่ะ?”
จ้านหรูอี้หันขวับกลับมา แล้วตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าแซ่หนิว อย่าลำพองใจเร็วเกินไปนักเลย อีกเดี๋ยวได้ถึงคราวที่เจ้าร้องไห้แน่!”
ลูกน้องคนอื่นๆ ก็จ้องมาทางนี้ด้วยสายตาโมโหเช่นกัน สวีถังหรานที่อยู่ทางนี้เบิกตากว้างทันที ช่วยถลึงตาจ้องกลับแทนผู้บัญชาการใหญ่ ราวกับกำลังสู้กับคนกลุ่มหนึ่งด้วยตัวคนเดียว
ใครจะคิดว่าทหารยามที่อยู่ข้างๆ จะตะโกนถามว่า “เอะอะโวยวายอะไรกัน! เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อกันแล้วรึไง?”
เหมียวอี้หัวเราะอย่างร่าเริง ไม่พูดอะไรแล้ว แต่กลับเล่นหูเล่นตาใส่จ้านหรูอี้อยู่อย่างนั้น
หยางชิ่งที่อยู่ข้างกันแอบส่ายหน้า แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้กำลังจงใจยั่วโมโหจ้านหรูอี้ อยากจะยืมดาบฆ่าคน
แต่เห็นได้ชัดว่าจ้านหรูอี้ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นางจะมาพาลเกเรได้ จึงกัดฟันแล้วหันกลับไป ฝืนอดกลั้นเอาไว้
แล้วก็เป็นแบบนี้ คนกลุ่มหนึ่งอดทนอยู่ที่นี่ต่อไป
เหมียวอี้เงยหน้ามองสีของท้องฟ้าเป็นระยะ กำลังคำนวณว่ารอมานานเท่าไรแล้ว จู่ๆ ก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “เนี่ยอู๋เซี่ยวคนนี้มีเจตนาอะไรกันแน่?”
“เกรงว่าจะแสดงอำนาจบารมี นายท่านชื่อเสียงโด่งดังไปถึงข้างนอก เป็นไปได้ว่าอาจจะกำลังทรมานจิตใจอันทระนงองอาจของนายท่าน ทำลายลักษณะอันน่าเกรงขามของนายท่าน” หยางชิ่งตอบว่า
เหมียวอี้ถามอีกว่า “แล้วพวกจ้านหรูอี้มาที่นี่หมายความว่าอะไร?”
หยางชิ่งตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระแล้วบังเอิญเจอกันพอดี ก็อาจจะพุ่งเป้ามาที่นายท่าน ครั้งแรกตระกูลอิ๋งทดสอบแพ้ นางก็มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งที่สองเพื่อกู้หน้าให้ตระกูลอิ๋งทันที ในการทดสอบตอนหลังนางเสียเปรียบให้นายท่าน จึงเป็นฝ่ายขอย้ายมาที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวเพื่อหาเรื่องนายท่าน จะเห็นได้ถึงความหยิ่งทระนงของผู้หญิงคนนี้ ตอนหลังก็เสียเปรียบให้นายท่านครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเป็นไปได้สูงว่าการมาครั้งนี้จะพุ่งเป้าไปที่นายท่าน นายท่านต้องระวังไว้หน่อย”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ
ดวงอาทิตย์เคลื่อนลงจากท้องฟ้าทีละนิด ตอนที่เวลาผ่านมาจนถึงครึ่งบ่าย จู่ๆ บนภูเขาก็มีทหารคนหนึ่งเหาะลงมา มองดูคนทั้งสองกลุ่ม แล้วประกาศว่า “ท่านแม่ทัพภาคประกาศให้หนิวโหย่วเต๋อ จ้านหรูอี้ขึ้นไปคารวะ”
คนทั้งสองกลุ่มกล่าวขึ้นปข้างหน้าทันที แต่ทหารคนนั้นตะโกนอีกว่า “คนที่ไม่ได้บอกให้ขยับก็อย่าขยับซี้ซั้ว”
พวกหยางชิ่งชะงักทันที จากนั้นก็หยุดฝีเท้า ทั้งสอฝั่งล้วนทำแบบนี้ สุดท้ายทหารคนนั้นก็นำเพียงเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ขึ้นเขาไป
จะบอกว่าเป็นฐานของกองมังกรดำชั่วคราวก็ไม่ผิดเลยสักนิด บนภูเขาไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไร มีเพียงเรือนมั่นคงแข็งแรงหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นจากไม้ซุง เหมือนเป็นตำหนักที่สง่างาม ไม่ฉูดฉาด หยาบเถื่อน เผยให้เห็นความองอาจน่าเกรงขามอีกแบบ ข้างกันเป็นธงมังกรดำทีสูงเสียดฟ้ากำลังปลิวสะบัดรับลม
พอเข้ามาข้างใน ด้านบนของตำหนักหลังก็เป็นบันไดสามขั้น มีโต๊ะยาวและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว ชายรูปร่างผอมสูงไว้หนวดสั้นคนหนึ่งกำลังใช้เท้าสองข้างไขว้วางพาดอยู่บนโต๊ะยาว ใบหน้าขาวทว่าเงียบขรึม บนตัวสวมเครื่องแบบเกราะรบยศแม่ทัพห้าแถบ กำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือผลไม้ มืออีกข้างถือมีดเล็กปอกเปลือกอย่างช้าๆ หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใช้ปลายดาบจิ้ม ป้อนเนื้อผลไม้เข้าในปากอย่างช้าๆ แล้วปอกเปลือกต่อไป ไม่เหลือบตามองคนที่เดินเข้ามาแม้แต่น้อย ไม่เห็นใครในสายตา
และคนที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา ก็คือทหารยศแม่ทัพสี่แถบที่เพิ่งลงเขาไปก่อนหน้านี้
“ท่านแม่ทัพภาค พาตัวหนิวโหย่วเต๋อกับจ้านหรูอี้มาแล้ว” ทหารที่นำคนเข้ามากุมหมัดคคาระ
รองเท้ายาวที่พาดไว้บนโต๊ะกระดิกเล็กน้อย คนที่อยู่หลังโต๊ะขานรับ “อืม” แสดงออกว่ารู้แล้ว จากนั้นทหารที่นำคนเข้ามาก็ถอยออกไป
จ้านหรูอี้กับเหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคาระวพร้อมกันว่า “หนิวโหย่วเต๋อ จ้านหรูอี้ คารวะท่านแม่ทัพภาค”
คนที่เอนกายอยู่ข้างบนไม่พูดอะไรตอบ มีมีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ จัดการปอกกินผลไม้ในมืออย่างช้าๆ ต่อไป
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ก้มหน้ารออยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองหันกลับมาสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ข้างบนไม่ได้บอกให้ยืนตรง ทั้งสองจึงทำได้เพียงรออยู่ในท่านี้ต่อไป
บทที่ 1345 ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ
Ink Stone_Fantasy
ผลไม้ที่กัดเคี้ยวไม่กี่คำก็หมดแล้ว แต่ท่านที่อยู่ข้างบนกลับกินอย่างอ้อยอิ่งราวกับกุลสตรีคนหนึ่ง
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้เหลือบมองด้านบนอยู่เป็นระยะ ในใจรู้สึกเซ็ง แต่กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจกลั่นแกล้ง หรือว่ามีแผนการสำรองอะไรจะใช้ ทำได้เพียงกัดฟันอดทนรอ
หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาได้ซักพัก ในมือของเนี่ยอู๋เซี่ยวก็เหลือเพียงเมล็ดผลไม่ที่สมบูรณ์หนึ่งเมล็ด เขาใช้คมดาบแทงทะลุ แล้วโยนขึ้นไปข้างบนอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้แอบมองตามเมล็ดผลไม้ที่ตกลงบนโต๊ะยาว คมดาบที่แทงทะลุเมล็ดเสียบปักตรงลงบนโต๊ะยาวแล้ว
ไม่รู้ว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวคว้าผ้ามาจากไหน เอามาเช็ดปากแล้ว จากนั้นก็ถูไม้ถูมืออย่างฉาบฉวย ก่อนโยนลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ ตอนนี้สายตาของเขาถึงได้มาหยุดอยู่บนตัวทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างล่าง ราวกับเพิ่งสังเกตเห็นว่าสองคนนี้มาถึง จึงถามอย่างแปลกใจว่า “คนที่ยืนอยู่ข้างล่างเป็นใครกัน?”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้หันกลับมาสบตากันอย่างรู้ใจ ทั้งสองด่าแม่ในใจพร้อมกัน แต่กลับต้องตะโกนอีกครั้งว่า “หนิวโหย่วเต๋อ จ้านหรูอี้ คารวะท่านแม่ทัพภาค!”
เนี่ยอู๋เซี่ยวดีดนิ้ว นายทหารยศแม่ทัพยศสี่แถบลงไปหยิบคำสั่งโยกย้ายของทั้งสองทันที เมื่อตรวจสอบตัวตนของทั้งสองคนแล้ว ก็ถือคำสั่งโยกย้ายขึ้นไปให้เนี่ยอู๋เซี่ยวตรวจอ่าน
เหมียวอี้เอียงหน้ามองจ้านหรูอี้อย่างงุนงงเล็กน้อย จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้พบว่า ผู้หญิงอย่างจ้านหรูอี้ก็มารับตำแหน่งที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเหมือนกัน
จ้านหรูอี้เอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วแสยะยิ้มมุมปาก เหมือนกำลังบอกว่า เจ้ามารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว
ตอนนี้ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มาทำไม เหมียวอี้ด่าแม่นางในใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้วกระมัง ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดีๆ ไม่ชอบ ไปอยู่ในแหล่งที่ทรัพยากรสมบูรณ์แต่ไม่ตักตวง จะถ่อมาเป็นศัตรูกับเขาที่นี่ให้ได้ คนอื่นยังคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่านางตัวแสบคนนี้ บทจะทิ้งตำแหน่งงานที่รายได้ดีก็ทิ้งได้เลย เขาพบว่าเด็กที่เกิดในตระกูลมีเงินมีอำนาจช่างแตะต้องไม่ได้จริงๆ ดื้อด้านมากทีเดียว
หารู้ไม่ว่าเป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกเลย นางเกิดมาเป็นผู้หญิงยโสโอหังโดยธรรมชาติ จิตใจหยิ่งผยอง เสียเปรียบให้เหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จ้านหรูอี้ต้องการจะกู้หน้ากลับมา นางไม่ต้องการทำอย่างหลบซ่อน เพราะนางมีจิตใจที่หยิ่งผยอง นางต้องการคว้าชัยชนะกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าทุกคน นี่ก็คือเหตุผลที่นางยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย
สิ่งที่คือปัญหาจริงๆ สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับนางแล้ว เหตุผลก็เรียบง่ายเช่นนี้
การจะมาที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สถานที่นี้ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ ตอนแรกคนในตระกูลนางก็ไม่เห็นด้วย ต้องทราบไว้ว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ อย่าว่าแต่ตระกูลจ้านเลย แม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่มีอิทธิพลอะไรต่อหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเช่นกัน ถ้ามาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีคนสามารถดูแลจ้านหรูอี้ได้
แต่ก็ทนความดื้อด้านของเด็กคนนี้ไม่ได้! ตระกูลจ้านรู้ดี ว่าถ้าไม่ให้จ้านหรูอี้ชนะกลับมา ทั้งชีวิตนี้นางก็จะไม่เลิกรา ทำได้เพียงหาเส้นสายช่วยไกล่เกลี่ยให้ กะว่าจะให้นางสมใจอยากแล้วค่อยย้ายนางกลับมา ถึงอย่างไรหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ไม่ใช่ที่ที่คนมีภูมิหลังอย่างจ้านหรูอี้จะอยู่ได้นาน
แต่ที่แปลกก็คือ ตระกูลจ้านที่เดิมทีนึกว่าจะต้องมีอุปสรรค แต่กลับพบว่าราบรื่นอย่างประหลาด ผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายอนุมัติให้ด้วยตัวเอง
เมื่อรับเอกสารจากแม่ทัพยศสี่แถบมาตรวจสอบแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวก็หย่อนเท้าสองข้างที่วางพาดอยู่บนโต๊ะยาวลงมา จากนั้นลุกขึ้นยืน แล้วโยนแผ่นหยกในมือลงบนโต๊ะ โยนไว้บนผ้าที่เพิ่งใช้เช็ดมือไว้ จากนั้นเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา เดินลงบันไดมาแล้ว ในตอนนี้ทั้งสองถึงได้พบว่าดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสามเหลี่ยมดุร้าย
เนี่ยอู๋เซี่ยวเดินมาตรงหน้าจ้านหรูอี้ แล้วจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จ้านหรูอี้…อ๋องสวรรค์อิ๋งคือท่านตาของเจ้าเหรอ?”
จ้านหรูอี้เม้มปาก นางรู้สึกขุ่นเคืองมากที่อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้านาง ทำให้นางดูเหมือนคนไร้ประโยชน์ที่ต้องพึ่งพาตาของตัวเอง และนางก็ยิ่งไม่ชอบที่เขาเอ่ยต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อ แต่นางจะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงพยักหน้าเบาๆ “ใช่ค่ะ!”
ฉากต่อมาก็ทำให้คนตกใจมาก หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวจ้องประเมินนางศีรษะจดเท้า ก็ยื่นมือออกมาช้อนคางที่ขาวละเอียดอ่อนของนาง
จ้านหรูอี้รีบเอียงหน้าแล้วถอยหลังหลบ พร้อมกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดสำรวมตัวเอง!”
ไม่ได้สำรวมตัวเองเลย ตรงหว่างคิ้วเนี่ยอู๋เซี่ยวพลันเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ด มือก็เคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นกัน บีบคางนางเอาไว้วรยุทธ์ที่แข็งแกร่งทำให้จ้านหรูอี้ยากจะต้านทานไหว จึงถูกดึงเข้ามาโดยตรง ดึงใบหน้าจ้านหรูอี้มาไว้ตรงหน้า แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่าตาเจ้าจะเป็นใคร เมื่ออยู่ที่นี่ อ๋องสวรรค์อิ๋งไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ข้ามีอำนาจตัดสินใจ ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็ผลักมือ
จ้านหรูอี้ถอยโซเซไปข้างหลังหลายก้าวกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น กัดริมฝีปากแน่น กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา
เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกบันเทิง
เนี่ยอู๋เซี่ยวเอามือไขว้หลังพร้อมกล่าวว่า “ว่ามาซิ ทำไมถึงมาที่นี่? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากจะมาเล่นก็มาเล่นได้ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นของตระกูลอิ๋ง!”
จ้านหรูอี้พลันตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยอยากจะมาสัมผัสสักหน่อยว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมีอะไรยอดเยี่ยมกันแน่ ฮึกเหิมเกรียงไรที่สุดจริงหรือเปล่า!”
“อ๋อเหรอ!” เนี่ยอู๋เซี่ยวจึงบอกว่า “กล้าหาญน่าชื่นชม แต่ที่นี่ไม่เหมาะกับลูกหลานผู้มีอำนาจอย่างพวกเจ้าจริงๆ ถ้าตอนนี้เสียใจแล้วถอยไปก็ยังทัน ไม่อย่างนั้นถ้าได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าก็จะถอนตัวตามใจชอบไม่ได้อีก!”
ในใจเขาก็เก็บกลั้นไฟโกรธเอาไว้เหมือนกัน จู่ๆ ก็มีสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่หนึ่งตกลงมาจากฟ้า เบียดให้ลูกน้องคนสนิทสองคนของเขาต้องออกไปจากที่นี่ ทั้งยังบอกให้เขาเข้าใจด้วย และเป็นไปได้สูงว่าจ้านหรูอี้คนนี้จะถ่อมาที่นี่เพื่อตามมาล้างแค้นส่วนตัวกับหนิวโหย่วเต๋อ เห็นกองมังกรดำของเขาเป็นอะไรไปแล้ว? จะไปไหนก็ไม่ไป ดันจะถ่อมาที่นี่!
“ไม่ถอนตัว!” จ้านหรูอี้กล่าวอย่างมั่นใจ
นางไม่กลัวหรอก ในเมื่อนางมาที่นี่ได้ ถึงตอนนั้นถ้าอยากจะไปก็ไปได้เหมือนกัน แม่ทัพภาคต่ำต้อยคนหนึ่งจะมาขวางไว้ได้อย่างไร นอกเสียจากต่อไปนี้กำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะไม่อยากไปมาบนอาณาเขตของตระกูลอิ๋งอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นตระกูลอิ๋งก็มีวิธีการหาเรื่องอยู่แล้ว
เนี่ยอู๋เซี่ยวจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วก็กระดกนิ้วไปที่เหมียวอี้ เรียกให้เหมียวอี้มาอยู่ตรงหน้า แล้วถามว่า “เจ้าล่ะ? ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”
มารดาเจ้าเถอะ ข้าชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่รู้! เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกยังตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้าต่างกับจ้านหรูอี้ ข้าไม่อยากมาที่นี่ ถ้าท่านแม่ทัพภาครู้สึกว่าข้าไม่เหมาะสม และยินดีจะเตะข้าออกไป ข้าก็จะไปทันที ไม่สร้างปัญหาให้กองมังกรดำแน่นอน”
ในเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เขากลัวเสียที่ไหน อยากจะขู่ให้เขากลัวเหมือนที่ขู่จ้านหรูอี้งั้นเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก!
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา สีหน้าของเนี่ยอู๋เซี่ยวก็ราวกับโดนตะคริวกิน กระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาไม่อยากรับจ้านหรูอี้ไว้จริงๆ และไม่อยากรับเหมียวอี้ด้วยเช่นกัน แต่สถานการณ์ของเหมียวอี้นั้นต่างออกไป นายท่านหัวหน้าภาคมาบอกด้วยตัวเอง ถ้าเตะคนออกไปจริงๆ ตอนหลังเขาก็จะแก้ตัวไม่ได้
เดิมทีเนี่ยอู๋เซี่ยวอยากจะกลั่นแกล้งอีกสักหน่อย อยากจะแสดงอำนาจบารมีอีก แต่ใครจะคิดวว่าจะกลายเป็นหมัดที่ชกลงบนปุยฝ้าย อีกฝ่ายไม่ได้รับแรงกระแทกเลย
แม่ทัพยศสี่แถบที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะยาวทำสีหน้าเหมือนพูดไม่ออกเช่นกัน
จ้านหรูอี้หันขวับ เบิกตากว้างมองเหมียวอี้ รู้สึกเหมือนโดนเหมียวอี้เยาะเย้ย
ถ้าเหมียวอี้ปัดก้นหนีไปจริงๆ แล้วการที่นางถ่อมาที่นี่จะมีความหมายอะไรล่ะ? ถ้าเพิ่งมาถึงแล้วขอย้ายออกไป หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะปล่อยนางไปได้ก็แปลกแล้ว เห็นหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเป็นบ้านของนางรึยังไง? คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปเหรอ? เพื่อเป็นการแสดงบารมีความน่าเกรงขามของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยนางไป ดีไม่ดีอาจจจะคุมตัวนางไว้ทั้งชีวิต ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นท่านตาของนางก็อาจจะช่วยนางออกมาไม่ได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับให้เด็กเล่น ถ้าอธิบายเหตุผลไป ท่านตาของนางก็พูดอะไรไม่ได้เหมือนกัน!
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ ถ้าเหมียวอี้หนีไปอย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นการที่จ้านหรูอี้มาที่นี่ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ
ในตำหนักเรียกได้ว่าตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างประหลาด
จู่ๆ เหมียวอี้ก็พลันกุมหมัดคารวะทำลายความเงียบนี้ กล่าววิงวอนจากใจว่า “ข้าน้อยมีความสามารถจำกัด เกรงว่าจะทำลายบารมีชื่อเสียงของกองมังกรดำ ยังอยากจะกลับไปที่ตลาดสวรรค์ แม่ทัพภาคเนี่ยได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา ไม่รับข้าน้อยไว้ ส่งข้าน้อยกลับไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว!”
เนี่ยอู๋เซี่ยวยังไม่ไร้ความสามารถจนถึงขั้นรั้งคนที่เบื้องบนฝากฝังไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีแม้แต่ความสามารถนี้ เช่นนั้นตำแหน่งแม่ทัพภาคของเขาก็คงต้องเปลี่ยนคนทำแล้ว เขาจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ชื่อเสียงที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน แม่ทัพภาคคนนี้ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน มีผลงานการรบนี้ก็มาอยู่ที่กองมังกรดำของข้าได้”
เขาพลิกมือหยิบบัตรขุนนางออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนคำสั่งแต่งตั้งลงไป พอลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองแล้ว ก็โยนให้เหมียวอี้ “ไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์ดำเดี๋ยวนี้”
จ้านหรูอี้ที่กำลังกัดริมฝีปากรู้สึกเหมือนมีเลือดไหลในใจ การปฏิบัติเช่นนี้ ความแตกต่างนี้เห็นได้ชัดเจนเกินไปแล้ว อีกทั้งชื่อเสียงที่เจ้าเวรนั่นโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังเป็นการเหยียบบ่านางขึ้นไปด้วย น่าแค้นมาก!
เหมียวอี้รับบัตรขุนนางมาตรวจอ่านเนื้อหา ตำแหน่งของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมีผู้บัญชาการองครักษ์ หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ระดับไม่แย่ ไม่มีการลดตำแหน่งอะไรทั้งนั้น แต่เขายังกุมหมัดคารวะถามว่า “ท่านแม่ทัพภาค ผ่อนผันอีกหน่อยได้หรือไม่ นอกจากทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ข้าน้อยก็ไม่มีความสามารถอื่น ทำงานเล็กน้อยอยู่ที่ตลาดสวรรค์ยังพอไหว ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้มีกำลังพลมากมายขนาดนี้ รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ ขอรับ”
เนี่ยอู๋เซี่ยวทำหน้าเข้มทันที “เจ้ามองเห็นที่นี่เป็นอะไร? แม่ทัพภาคคนนี้เขียนคำสั่งแต่งตั้งทำแหน่งแล้ว เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้อย่างนั้นเหรอ อยากจะรู้ถึงกฎระเบียบกองทัพของกองมังกรดำสักหน่อยมั้ย?”
เหมียวอี้จ้องเขานานมาก สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าจนใจ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
พูดจบก็หันตัวมา ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครเห็น ถือบัตรขุนนางไว้ตรงหน้าอกพลางแกว่งให้จ้านหรูอี้ที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ ทั้งยังเลิกคิ้วเล่นหูเล่นตาด้วย เหมือนกำลังเตือนจ้านหรูอี้อีกครั้งว่า เห็นมั้ยว่าอะไรเรียกว่าความแตกต่าง ขนาดของที่ข้าไม่ต้องการ อีกฝ่ายก็ยังยัดมาใส่มือข้า เจ้าใฝ่หาแต่ยังไม่ได้เลย!
เขาทำท่าทางนี้ให้จ้านหรูอี้ดูคนเดียวเท่านั้น พอเดินกลับถึงตำแหน่งเดิมก็หันตัวยืนดีๆ หยุดเลิกคิ้วและเหลือบตาลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แบบนี้มันท้าทายกันซึ้งๆ หน้า! จ้านหรูอี้โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา
และคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งอีกฉบับ เนี่ยอู๋เซี่ยวก็เขียนเสร็จแล้วเช่นกัน โยนให้จ้านหรูอี้แล้ว “ไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน!”
เมื่อรับมาตรวจอ่านดูแล้วพบว่าไม่ผิดพลาด จ้านหรูอี้ก็กุมหมัดกล่าวว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
เนี่ยอู๋เซี่ยวไม่พูดอะไรมาก หันตัวเดินตรงไปที่ตำหนักหลัง ก่อนจะหายตัวไปก็โบกมือเรียกลูกน้อง แม่ทัพยศสี่แถบที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะยาวเดินเข้ามา รายงานสถานะของตัวเอง ที่แท้ก็เป็นรองแม่ทัพภาคของกองมังกรดำ ชื่อว่าโป๋เยว
ใต้สังกัดกองมังกรดำแบ่งเป็นธงพยัคฆ์ฟ้า ธงพยัคฆ์ม่วง ธงพยัคฆ์ขาว ธงพยัคฆ์ทอง ธงพยัคฆ์เขียวเงิน ธงพยัคฆ์ดิน ธงพยัคฆ์ดำ ธงพยัคฆ์แดง ธงพยัคฆ์เขียว ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ยามปกติห้าชื่อแรกถูกควบคุมโดยรองแม่ทัพภาคอีกคนที่ชื่อว่าเซี่ยงไป่กง ห้าชื่อหลังถูกควบคุมโดยโป๋เยว หรือพูดได้อีกอย่างว่า โป๋เยวก็คือผู้บังคับบัญชาของพวกเขาสองคน นี่ก็คือเหตุผลที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้
จู่ๆ ลูกน้องในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่สองคนก็โดดเบียดทิ้ง เว้นว่างไว้ให้สองคนนี้ โป๋เยวกับเนี่ยอู๋เซี่ยวอยู่ในอารมณ์เดียวกัน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาไม่สุภาพกับจ้านหรูอี้ตอนที่อยู่ตรงตีนเขาก่อนหน้านี้ หวังว่าจะขู่ให้จ้านหรูอี้ตกใจหนีไป
เมื่อเห็นว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรง เหมียวอี้ก็รีบทำความเคารพอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
ในเมื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว กลายเป็นลูกน้องของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว รองแม่ทัพภาคโป๋เยวก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน นำทั้งสองคนเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ มายืนอยู่ใต้ธงมังกรดำ หันหน้าเข้าหาฟ้าดินที่กว้างใหญ่ แล้วอธิบายกฏระเบียบรวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกองมังกรดำ
บทที่ 1346 แม้แต่ประตูก็เข้าไปไม่ได้
Ink Stone_Fantasy
หลังจากฟังคำอธิบายของโป๋เยว เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจถึงสาเหตุที่กองมังกรดำประจำการที่นี่ชั่วคราว บนอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนค้นพบเหมืองเหรียญผลึกแล้ว ไม่ใช่เหมืองแร่ใต้ดินในความหมายทั่วไป แต่เป็นสายแร่ระหว่างดวงดาว ตามสิ่งที่โป๋เยวบอก นี่คือเหมืองแร่ที่โดนพลังงานจักรวาลลึกลับทำลายตอนที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง มันแผ่กระจายอยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้ แฝงอยู่บนดาวเคราะห์บริเวณนี้ ตอนนี้สำรวจพบแล้วว่าดาวเคราะห์ที่แฝงไปด้วยเหมืองเหรียญผลึกมีสามดวง สุดท้ายจะมีดาวเคราะห์กี่ดวงที่มีเหมืองเหรียญผลึก ตอนนี้ก็ยังไม่ ตอนนี้กำลังพิสูจน์ยืนยันจำนวนการกระจายตัว ขนาด ชนิดเหรียญ
กำลังพลของตำหนักสวรรค์กำลังตรวจสอบยืนยัน ส่วนทัพเป่ยโต้วก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้เคลื่อนกำลังพล รีบมาประจำการที่นี่ มาควบคุมอาณาเขตดาวผืนนี้ ไม่อนุญาตให้อำนาจอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง ดาวเคราะห์ทุกดวงที่ถูกยืนยันว่ามีเหมืองเหรียญผลึก ทัพเป่ยโต้วก็จะส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าไว้ ป้องกันไม่ให้มีคนขโมยขุดไปใช้ส่วนตัว รอจนตรวจสอบจำนวน ขนาดและชนิดเหรียญได้คร่าวๆ แล้ว ถึงจะส่งต่ออาณาผืนนี้ให้อำนาจท้องถิ่น ทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนฮุบประโยชน์ไว้ส่วนตัวเกินไป
การขุดเหมืองเหรียญผลึกก็ค่อนข้างยาก เปลือกโลกที่ฝังเหรียญผลึกเอาไว้จะแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ถ้าใช้กำลังของคนธรรมดาขุดก็จะใช้เวลาเยอะเกินไป ที่สำคัญก็คืออาณาเขตผืนนี้มีดาวเคราะห์ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์อยู่ไม่กี่ดวง หมายความว่าดาวเคราะห์ที่มีเหรียญผลึกซ่อนอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นดาวเคราะห์ที่รกร้าง ไร้แรงโน้มถ่วง ไร้อากาศ เป็นดาวเคราะห์ที่เปลือยโล่งอยู่ในดาราจักรแท้ๆ เลย มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางมาขุดที่นี่ได้ ตามระเบียบปฏิบัติแล้วต้องให้สำนักฝึกตนบนพื้นที่นั้นส่งคนมาขุด
สำนักฝึกตนในท้องที่ที่ส่งมาก็ย่อมไม่ได้ขุดให้เปล่าๆ จะต้องมีค่าตอบแทนตามสัดส่วน ตำหนักสวรรค์ก็ต้องการได้ผลประโยชน์เหมือนกัน อำนาจท้องถิ่นก็ย่องต้องการส่วนแบ่งสักส่วน เหมืองเหรียญผลึกบนอาณาเขตของข้า จะไม่มีส่วนแบ่งของข้าเชียวหรือ?
รอจนกระทั่งจัดการของพวกนี้เสร็จหมดแล้ว ภารกิจประจำการของทัพเป่ยโต้วถึงได้นับว่าเสร็จสิ้น ถึงจะสามารถส่งต่องานและจากไปได้
ส่วนเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของทัพเป่ยโต้วเช่นกัน ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่บัญชาการทหารด้วย คำอธิบายที่กล่าวมาด้านบนก็คือหน้าที่ของทั้งสองคน
หลังจากอธิบายแล้ว โป๋เยวก็เรียกคนมา นำลูกน้องที่เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้พามาด้วยไปลงทะเบียนเข้าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย จ้านหรูอี้ก็มีรายชื่อผู้ติดตามสิบคนเช่นเดียวกัน สมาชิกของนางเต็มหมดแล้ว แต่เหมียวอี้มีเพียงหยางชิ่ง สวีถังหราน หยางเจาชิง เหยียนซิว ไห่ผิงซิน รวมจำนวนแล้วได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนคนของจ้านหรูอี้พอดี
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างอิจฉาก็คือ พอเห็นลูกน้องของจ้านหรูอี้เหาะขึ้นเขามาแล้วเผยสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักพรตบงกชรุ้งทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กำลังพลที่พามาจากตลาดสวรรค์ แต่เป็นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนางให้การสนับสนุน นี่ก็คือความแตกต่างของภูมิหลังวงศ์ตระกูล ทำให้เจ้ามีสิทธิ์แค่อิจฉา
จากนั้นรองแม่ทัพภาคโป๋ก็เตรียมให้คนส่งเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไปรับตำแหน่งที่ฐานของตัวเอง
“หนิวโหย่วเต๋อ!” คนกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปถึงดาราจักร จู่ๆ ก็ได้จ้านหรูอี้ตะโกนเสียงดัง พวกเหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงจ้านหรูอี้ชี้นิ้วมาพร้อมทำหน้าแสยะยิ้ม “วันหลังจะต้องไปเยี่ยมแน่ ไม่รู้ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ต้องมาเยี่ยมจะดีกว่า ข้ากับเจ้าไม่ค่อยสนิทกัน ไม่ต้อนรับ!” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่เกรงใจเลย ขี้คร้านจะสนใจอีก โบกมือนำทุกคนเหาะไปข้างหน้าต่อ
จ้านหรูอี้ที่ได้รับความอัปยศอีกครั้งกัดฟันจนฟันแทบแตก ความรู้สึกเวลาโดนตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่ามันเจ็บแสบไร้ที่สิ้นสุด คนนอกยากจะรับรู้ความรู้สึกนี้ได้…
ดาวหกนิ้ว สถานที่ประจำการของธงพยัคฆ์ดำ
ถึงแม้อาณาเขตดาวผืนนี้จะมีดาวเคราะห์ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่มาก แต่สถานที่ประจำการของผู้บัญชาการใหญ่ก็ย่อมต้องเลือกที่ดีๆ สักหน่อย
ในทางตรงกันข้าม สามารถเลือกได้สถานที่ที่ค่อนข้างดีเท่านั้น ถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็มีที่ให้เลือกไม่เยอะ
สำนักหกนิ้ว สำหนักแห่งหนึ่งที่มีลูกศิษย์ฝึกตนเกือบหมื่นคน เดิมทีดาวหกนิ้วเป็นดาวเคราะห์ไร้ชื่อที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายมาก บนดาวเคราะห์ไม่มีคนอยู่อาศัย ไม่มีพืชพรรณขึ้นเลย และไม่มีอากาศสำหรับหายใจตามปกติด้วย ตอนหลังปรมาจารย์หกนิ้วที่บุกเบิกสำนักหกนิ้วมาที่นี่ ทำการแก้ไขปรับปรุงครั้งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นใช่ไฟเผากำจัดธาตุอากาศที่เป็นพิษ ละลายน้ำแข็งให้กลายเป็นแม่น้ำ ทั้งยังปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ที่นี่จำนวนมาก ทำให้มีการหมุนเวียนของสภาพอากาศในโลก ต้องใช้ความพยายามเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนดำรงชีวิตอยู่ได้
ตามกฎของตำหนักสวรรค์ ดาวเคราะห์สำหรับอยู่อาศัยที่บุกเบิกขึ้นเพื่อตำหนักสวรรค์ นี่คือคุณูปการและคุณธรรม ตามหลักการแล้วต้องตบรางวัลอย่างงาม แต่พอตำหนักสวรรค์ส่งคนมาดูสภาพแวดล้อมที่นี่ ก็ไม่มีการตบรางวัลอีก ยกดาวดวงนี้ให้ปรมาจารย์หกนิ้วเพื่อเป็นยกย่องสดุดีโดยตรงเลย
เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะขนาดตำหนักสวรรค์ส่งขุนนางมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่มีใครอยากมาเลย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่จับมาโยนไว้เพียงเทพคงคาสองคนกับเทพแห่งภูผาสองคนเท่านั้น มองแค่จุดนี้จุดเดียวก็เห็นภาพรวมแล้ว
สถานที่เกินเก้าส่วนของทั้งคาวเคราะห์รกร้างไร้ผู้คนดำรงชีวิต มีเพียงสองฝั่งที่แม่น้ำไหลผ่านเท่านั้นถึงจะมีพืชพรรณเขียวขจี สถานที่อื่นไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือขาดแคลนน้ำ แม่น้ำสายเดียวที่มียังคงเป็นแม่น้ำที่เกิดจากการวางค่ายกลแสงอาทิตย์เหนือเขตน้ำแข็งให้น้ำแข็งละลาย สถานที่เลวร้ายแบบนี้ หลังจากน้ำระเหยแล้วก็จะกลายเป็นเมฆฝนอยู่เหนือเขตน้ำแข็งเท่านั้น หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทั้งดาวเคราะห์ดวงนี้มีเพียงเขตน้ำแข็งเท่านั้นที่มีฝนตก สถานที่อื่นยังไม่เคยเห็นมีน้ำฝนสักเท่าไรเลย สามารถปลูกพืชได้ก็แปลกแล้ว
เดิมที่ปรมาจารย์หกนิ้วอยากจะอาศัยผลงานนี้เพื่อขอตำแหน่งขุนนางที่ตำหนักสวรรค์สักตำแหน่ง ใครจะคิดว่าจะได้เพียงดาวเคราะห์เส็งเคร็งดวงเดียว ถ้าปล่อยดาวเคราะห์ดวงใหญ่ให้สูญเปล่าไปก็น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้าไม่มีใครดูแลจัดการ ในภายหลังจะต้องทิ้งให้เสียเปล่าแน่นอน สิ้นเปลืองต้นทุนความพยายามขนาดนี้ก็ไม่อยากปล่อยให้เสียเปล่าเหมือนกัน ตอนหลังเขาจึงตั้งสำนักที่นี่เสียเลย รับลูกศิษย์ไปทั่วทุกที่ ในที่สุดก็มีสำนักหกนิ้วเหมือนอย่างทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นสำนักแห่งเดียวของที่นี่ ถ้าไม่อยากให้พวกเทพแห่งภูผากับเทพคงคาที่ประจำอยู่ที่นี่ผูกสัมพันธ์กับสำนักหกนิ้วก็คงยาก สถานที่อื่นรกร้างเกินไป เทพพวกนี้แทบจะกินอยู่ที่สำนักหกนิ้วในระยะยาว ทำตัวเหมือนเป็นลูกศิษย์ของสำนักหกนิ้ว การถูกจับมาเป็นขุนนางที่นี่แสดงว่าไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไรแน่นอน สถานที่ที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายจนนกไม่อยากบินมาอุจจาระแบบนี้ ไม่มีใครอยากจะมาควบคุมดูแลเช่นกัน และไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งพกเขาเช่นกัน แค่รายงานสถานการณ์ของดาวหกนิ้วตามกำหนดเวลาก็พอแล้ว และขุนนางตำแหน่งเทพแห่งภูผา เทพคงคา ต่อให้ต่ำต้อยอย่างไรแต่ก็ยังเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ มีหนังเสือแบบนี้คลุมอยู่ โดยทั่วไปไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องสำนักหกนิ้วที่นี่ การที่สำนักหกนิ้วอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลกลับเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้ายด้วยซ้ำ
แต่หลังจากปรมาจารย์หกนิ้วบรรลุวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง ในที่สุดก็ถูกตำหนักสวรรค์รับไว้จนสปรารถนาแล้ว
ตอนนี้เมื่อมองดูจากบนท้องฟ้า บริเวณเขียวขจีสองฝั่งแม่น้ำก็เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น โดดเด่นสะดุดตามาก สถานที่อื่นส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินหัวโล้นที่ไม่มีพืชพรรณ หรือไม่ก็เป็นที่ราบดินเหลือง
ตอนที่สำนักหกนิ้วเลือดสถานที่ ก็จะต้องเลือกจุดที่ดีที่สุดของที่นี่แน่นอน ภูเขาเขียวชอุ่มที่มีแม่น้ำแยกสายไหลผ่านล้อมรอบ ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า ในนั้นมีทุ่งดอกไม้ละลานตาราวกับลายผ้าแพร ทั้งยังตั้งใจสร้างน้ำตกหลายสายด้วย ทั้งยังมีศาลางดงามบนภูเขา ถ้ามองแค่บริเวณนี้ก็ยังนับว่าไม่เลว อย่าย้ายสายตาไปมองที่อื่นก็พอ
ในตอนนี้สถานที่แต่ละแห่งถูกธงพยัคฆ์ดำยึดใช้ชั่วคราวแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนของธงพยัคฆ์ดำหาที่พักที่เหมาะสมจากอาณาเขตที่ถูกแบ่งให้ควบคุมไม่เจอ ก็เลยยึดสำนักหกนิ้วให้เป็นฐานยึดใช้ชั่วคราว
ศิษย์สำนักหกนิ้วทั้งหมดถูกไล่ให้ลงไปกินน้ำล้างเท้าแล้ว ธงพยัคฆ์ดำไม่ตอบตกลงให้อยู่ต้นน้ำ จะให้พวกเราดื่มน้ำล้างเท้าของศิษย์น้ำหมื่นของสำนักหกนิ้วไม่ได้หรอกมั้ง? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าน่าน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน! สำนักหกนิ้วทำได้เพียงบีบจมูกทนไว้ ต่อให้เทพแห่งภูผา เทพคงคาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าอวดอ้างบารมีต่อหน้ากองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์
ทว่าผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนเพิ่งจะเป็นคนน่ารังเกียจได้ไม่นาน จู่ๆ เบื้องบนก็มีคำสั่งโยกย้าย ย้ายเขาออกไปอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังต้องมารับตำแหน่งต่อจากเขา
พอกลุ่มของเหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงนอกประตูใหญ่ของสำนักหกนิ้ว ทั้งสำนักหกนิ้วถูกธงพยัคฆ์ดำวางค่ายกลใหญ่เพื่อปกป้องไว้ คนนอกห้ามบุกเข้ามา ค่ายกลใหญ่นี้มีขนาดเท่ากับค่ายกลที่ตำหนักคุ้มเมืองตลาดสวรรค์ เพียงแต่ค่ายกลใหญ่ที่ตำหนักคุ้มเมือง หลังจากวางไว้แล้วก็ไม่เคยย้ายเลย แต่ค่ายกลใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำกลับย้ายบ่อยตามการเคลื่อนกำลังพล
“รองผู้บัญชาการใหญ่หู ลมอะไรหอบท่านมาได้ล่ะ?” ทหารยามธงพยัคฆ์ดำที่เฝ้าอยู่นอกประตูใหญ่สำนักหกนิ้วกล่าวทักทายหูโกวอวี้อย่างร่าเริง แต่สายตากลับมองสำรวจพวกเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลังหูโกวอวี้ไม่หยุด
หูโกวอวี้ ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมซูบผิวดำ เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำ ได้รับคำสั่งจากโป๋เยวให้มาส่งเหมียวอี้รับตำแหน่ง รองผู้บัญชาการใหญ่อีกคนโดนโป๋เยวสั่งให้ไปส่งจ้านหรูอี้รับตำแหน่งแล้ว
หูโกวอวี้ยิ้มเรียบๆ “อย่ามาแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ อยู่ดีๆ จะมาปิดประตูค่ายกลทำไม? ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำคนใหม่ของพวกเจ้ามาแล้ว ยังไม่รีบเปิดประตูค่ายต้อนรับอีก”
“อ้อ! รอสักครู่ ตอนนี้เครื่องมือค่ายกลใหญ่อยู่ที่รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นก่อนส่งต่องาน ถึงได้ปิดประตูค่ายกลเอาไว้ ข้าจะติดต่อให้เดี๋ยวนี้” ทหารยามรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ แต่สายตากลับเหลือบมองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลังหูโกวอวี้ไม่หยุด
พูดไปก็หน้าอับอายใจ! หลังจากมาถึงทุกคนล้วนเปลี่ยนสวมเกราะรบอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้ที่โดนลดยศตอนนี้เป็นทหารเลวหกแถบ พวกหยางชิ่งที่อยู่ข้างหลังก็ยิ่งอับอายเกินทน สวีถังหรานรู้สึกอับอายมาก เขาเป็น…แม่ทัพหนึ่งแถบ เกราะรบสีทองบนตัวสะดุดตากว่าเกราะรบสีทองของเหมียวอี้ตั้งเยอะ เดิมทีสวมเกราะทองทหารเลวห้าแถบ เหมียวอี้เห็นแล้วกลับบอกว่าไม่จำเป็น ทำให้เขายึดหลักความเป็นจริง กดดันให้เขาไปเปลี่ยนกลับมาให้ได้
ตำแหน่งของหูโกวอวี้ไม่สูงเท่าเหมียวอี้ เป้นรองผู้บัญชาการใหญ่ แต่ยศของเขาคือแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบ
ประตูค่ายกลปิดสนิท เข้าไปไม่ได้ ทุกคนทำได้เพียงรออยู่ข้างนอก
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เมื่อไม่เห็นรองผู้บัญชาการใหญ่ออกมา หูโกวอวี้ที่เอามือไขว้หลังก็ขมวดคิ้วอยู่หน้าค่ายกลป้องกัน “คังจือลวี่ เหยาหย่วนชู นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมยังไม่ออกมาอีก หลับไปแล้วรึไง?”
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูที่เขาเรียกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองของธงพยัคฆ์ดำนั่นเอง
ทหารยามสองคนหัวเราะเบาๆ คนที่พูดก่อนหน้ากุมหมัดขออภัย “รองผู้บัญชาการใหญ่หู จะโทษรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองก็ไม่ได้ นายท่านทั้งสองลาดตระเวนจุดสำรวจสายแร่ จะรีบกลับมาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง นายท่านทั้งสองกำลังรีบกลับมาแล้ว”
หูโกวอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอียงหน้ามองพวกเหมียวอี้ที่อยู่ด้านหลัง แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ให้พวกเขาสองคนรีบๆ หน่อย ข้ายังมีธุระอีก ไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองอยู่กับพวกเจ้านะ”
“ใช่ๆๆๆ!” ทหารยามหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
หูโกวอวี้หันตัวมายิ้มเจ้าเล่ห์ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว สงสัยจะทำได้เพียงพอต่อไป”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรขอรับ!” รอยยิ้มค่อนข้างแฝงความหมายลึกซึ้ง
หยางชิ่งที่อยู่ข้างหลังขมดคิ้วเล็กน้อบ ก่อนที่จะมารองแม่ทัพภาคโป๋เยวก็ติดต่อทางนี้ไว้แล้ว บอกแล้วว่าวันนี้หนิวโหย่วเต๋อจะมา ตอนนี้กลับเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูบ้าน
หยางเจาชิงกับสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง ขนาดไห่ผิงซินยังเม้มปากเล็กน้อย สังเกตได้ว่ามีคนเล่นตุกติก ชัดเจนเกินไปจริงๆ
เหยียนซิวไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนี้ ยังคงเฝ้าอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่างเงียบๆ เขาติดตามเหมียวอี้มาหลายปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะกังวล เพราะเหมียวอี้ย่อมแก้ไขปัญหาได้
เฟยหงกับกับเสวี่ยหลิงหลงสวมหมวกมุ้ง ทำให้คนมองไม่ออกว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เพียงแต่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายแอบสบตากันเงียบๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น