เทพปีศาจหวนคืน 1339-1346
บทที่ 1339 กระแสโลหิต
“ครืน…ครืน…”
เสียงคลื่นซัดสาด กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่ว
ผู้อมตะสองคนจากตระกูลวู วูหยวนจือ และเหรินฮ่าวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าและมองทะเลเลือดเบื้องล่างด้วยการแสดงออกที่ขมขื่น
“กระแสเลือดไหลนองท่วมภูเขามากกว่าสิบลูก หากเราไม่สามารถหยุดมัน ภัยพิบัตินี้จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง” วูหยวนจือกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เดิมทีบ่อเลือดอยู่ภายใต้การดูแลของวูอี้เหริน ตอนนี้วูอี้เหรินตายไปแล้ว บ่อเลือดถูกรื้อค้น ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายเป็นเหตุให้กระแสเลือดไหลทะลักท่วมพื้นที่รอบๆ
เหรินห่าวกังวล “มันไม่ง่ายสำหรับเราสองคนที่จะสร้างค่ายกลวิญญาณใหม่และผนึกกระแสเลือดเหล่านี้ หากเรามีผู้อมตะระดับหกอีกคน เราอาจจะพอทำได้”
คนทั้งสองเป็นผู้อมตะระดับหก ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อวูหยงให้เวลาที่ค่อนข้างจำกัดกับพวกเขา
วูหยงไม่สามารถส่งคนอื่นมาจัดการปัญหานี้
ในยุคของวูตู๋ซิ่ว ตระกูลวูขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งกีดขวางเพราะวูตู๋ซิ่วสามารถจัดการทุกสิ่งเพียงลำพัง
เมื่อวูตู๋ซิ่วเสียชีวิต วูหยงอาจจะยอดเยี่ยม แต่เขายังไม่สามารถทำทุกสิ่ง
เนื่องจากแผนการของราชันภูเขาม่วง กองกำลังต่างๆไม่สามารถควบคุมแรงปรารถนาของตน นั่นทำให้ตระกูลวูเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย
วูหยงอยู่ในสำนักงานใหญ่เพื่อรักกษาสถานการณ์และตัดสินใจเรื่องต่างๆ
แต่หลังจากวูอี้เหรินเสียชีวิต ตระกูลวูเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นทันที
การส่งวูหยวนจือและเหรินฮ่าวออกมาคือขีดจำกัดของตระกูลวู
“ทุ่มสุดตัว เราต้องพยายามอย่างเต็มที่!” วูหยวนจือถอนหายใจและเริ่มดำเนินการ
เหรินฮ่าวให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้น
เขาไม่มีสายเลือดของตระกูลวู เขาป็นผู้อาวุโสสูงสุดนอกที่ได้รับการคัดเลือกมาโดยตระกูลวู
กองกำลังของภาคใต้ไม่ต้อนรับคนนอกมากนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตระกูลวูที่จะทำลายประเพณีและรับผู้อมตะจากภายนอก
ด้วยวิธีการของผู้อมตะทั้งสอง กระแสเลือดค่อยๆไหลกลับหลังเข้าสู่บ่อเลือด
สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม
มันเริ่มได้ดี
วูหยวนจือถอนหายใจ “หลังจากหยุดการไหลของกระแสเลือดและจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ เหรินฮ่าว เจ้าต้องรับหน้าที่ปกป้องสถานที่แห่งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำงานได้ดี ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลค่อนข้างตึงเครียด”
เหรินฮ่าวพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ข้าได้ยินมาว่าบ่อเลือดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนบ่อเลือดงั้นหรือ?”
วูหยวนจือพยักหน้า “บรรพชนบ่อเลือดทิ้งมรดกที่แท้จริงไว้เจ็ดมรดก นี่เป็นหนึ่งในเจ็ดมรดกที่แท้จริงที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างพิถีพิถัน ก่อนหน้านี้มันไม่สะดุดตา แต่เมื่อผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลเฉิงเข้ามา เขาได้รับมรดกที่แท้จริงและวิญญาณรอยเท้าเลือด คนผู้นี้คือผู้นำตระกูลเฉิงคนก่อน เฉินเยี่ยนเฟย เขาตายบนภูเขาอี้เทียน”
หลังจากเฉินเยี่ยนเฟยนำมรดกที่แท้จริงออกไป บ่อเลือดก็ปรากฏขึ้น
วูตู๋ซิ่วส่งผู้อมตะมาที่นี่และทำให้มันเป็นอาณาเขตของตระกูลวู
ด้วยการจัดการของตระกูลวู บ่อเลือดจึงกลายเป็นแหล่งผลิตทรัพยากรบนเส้นทางแห่งเลือดที่สำคัญของตระกูลวู ตระกุลวูลอบพัฒนาวิธีการบนเส้นทางแห่งเลือดอย่างลับๆ ดังนั้นแหล่งทรัพยากรนี้จึงเป็นตัวช่วยชั้นยอด
“เจ้าสองคนจะมีความสุขอย่างแน่นอน” เป็นเพียงเวลานี้ที่เหรินฮ่าวได้ยินเสียงดังขึ้นในใจของเขา
“ผู้ใด?” เหรินฮ่าวตกใจมาก
เขาต้องการกระตุ้นใช้วิธีการของตนเองเพื่อป้องกันตัว แต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน
เขารีบมองไปที่วูหยวนจือเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ในไม่ช้าเขาก็พบกับความสิ้นหวังเมื่อวูหยวนจือถูกตรึงเอาไว้ในสภาพเดียวกันกับเขา
ร่างเล็กๆปรากฏขึ้นบนไหล่ของเหรินฮ่าว
เขามีขนาดเท่านิ้วโป้งมนุษย์และมีปีกคล้ายแมลงปออยู่บนแผ่นหลัง
ราชันภูเขาม่วง!
“ผู้อมตะเผ่ามนุษย์จิ๋ว?” วูหยวนจือตกใจแต่เขาสามารถสงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะราชันภูเขาม่วงไม่ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดออกมา
เหรินฮ่าวกล่าวเสริม “ในฐานะมนุษย์กลายพันธุ์ เจ้าต้องรู้ว่ามนุษย์เป็นผู้ปกครองโลก ไม่ว่าผู้ใดจะบงการเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กระทำการหุนหันพลันแล่น เพราะเราไม่ได้เป็นเพียงผู้อมตะเผ่ามนุษย์ แต่เราเป็นสมาชิกตระกูลวู ตระกูลวูเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะในภาคใต้ หากเจ้าฆ่าพวกเรา ผลที่ตามมาจะรุนแรงมาก”
“เราไม่มีความแค้นต่อกัน ตระกูลวูไม่รังแกผู้ใด หากเจ้าร้องขอสิ่งใด เราสามารถช่วยเจ้าได้ เราสามารถเป็นสหายที่ดี” วูหยวนจือกล่าวต่อ
พวกเขาทั้งขู่และกระตุ้นในเวลาเดียวกัน
แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ เสียงของเขาก็เริ่มตะกุกตะกักขณะที่สายตาเปลี่ยนไป
เหรินฮ่าวตกตะลึง “ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา?”
เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาก็แทบไม่สามารถคิด
วิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วงรบกวนความคิดของคนทั้งสอง พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะคิดหรือกล่าวสิ่งใด
แน่นอนว่าคนทั้งสองไม่สามารถต่อต้าน
ราชันภูเขาม่วงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ขามองกระแสเลือดด้านล่างและเผยรอยยิ้ม
เป็นเพียงเวลานี้ที่กลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดปะทุออกมา
กระแสสงบลงทันที
ราชันภูเขาม่วงเปิดปากและพ่นลมหายใจออกไป
ลมหายใจของเขาลอยเข้าไปในบ่อเลือดและกลืนกินกระแสเลือดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นราชันภูเขาม่วงก็หันหน้ามองไปในระยะไกลและกล่าว “ถึงคราวของเจ้าแล้ว”
แสงเจ็ดสีปรากฏขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านเป็นผู้อมตะระดับแปด! ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่มีอุปสรรค เหตุใดท่านถึงต้องสร้างปัญหาให้ตัวละครเล็กๆเช่นข้า?”
“ข้ามีแผนของข้าเอง เจ้าต้องจ่ายหนี้ให้เจ้า ตั้งแต่เจ้าได้รับมรดกที่แท้จริงภาพลวงตาทั้งเจ็ด เจ้าก็ควรเตรียมใจไว้แล้ว” ราชันภูเขาม่วงกล่าว
“แต่ผู้สืบทอดคนก่อนข้าไม่เคยได้รับคำสั่งใดๆ เหตุใดต้องเป็นข้า?” ผู้อมตะลึกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ
ราชันภูเขาม่วงถอนหายใจและมองไปทางวังสวรรค์ “บางทีนี่อาจเป็นชะตากรรมของเจ้า เอาล่ะ ใช้วิธีการของเฉียวจื่อไคเพื่อสังหารคนเหล่านี้”
วูหยวนจือและเหรินฮ่าวยังอยู่ในอาการมึนงงและไม่สามารถเคลื่อนไหว
ราชันภูเขาม่วงจับคนทั้งสองทั้งเป็น แต่เขาต้องการให้ผู้อมตะลึกลับสังหารพวกเขา
ผู้อมตะลึกลับไม่กล้าต่อต้านราชันภูเขาม่วงและปล่อยแสงลึกลับไปยังสองผู้อมตะตระกูลวู ดวงวิญญาณของคนทั้งสองถูกทำลายขณะที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นรูปปั้นไม้
ราชันภูเขาม่วงปล่อยให้รูปปั้นไม้ทั้งสองตกลงไปในกระแสเลือด
“ไปกันเถอะ” ราชันภูเขาม่วงกล่าว
ผู้อมตะลึกลับจะกล้าต่อต้านราชันภูเขาม่วงได้อย่างไร แม้ชายชราจะไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปด แต่เขาก็ถูกผูกมัดด้วยข้อตกลงบนเส้นทางแห่งข้อมูล
ทั้งสองจากไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าราชันภูเขาม่วงไม่ลืมที่จะเก็บกวาดสนามรบ
ครู่ต่อมากลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดก็แผ่พุ่งเข้าปกคลุมพื้นที่เอาไว้ทั้งหมด
ดวงตาของวูหยงเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่เขาบินลงมา
มันคือผู้ใด?
ผู้ใดฆ่าพวกเขา?
วูอี้เหรินเสียชีวิตก่อนหน้านี้และตอนนี้วูหยวนจือกับเหรินฮ่าวก็ติดตามไป เนื่องจากป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของคนทั้งสองถูกทำลาย ตระกูลวูจึงได้รับข่าวการเสียชีวิตของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
วูหยงโกรธจัดและตัดสินใจออกมาด้วยตนเอง
ตระกูลวูสูญเสียผู้อมตะไปสามคนในคราวเดียว หนึ่งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและอีกสองเป็นผู้อมตะระดับหก นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่และทำให้วูหยงโกรธมาก
เขาต้องการเห็นว่าผู้ใดที่กล้ายั่วยุตระกูลวู
แต่หลังจากเห็นศพของวูหยวนจือและเหรินฮ่าว วูหยงกลับตกตะลึง
“รูปปั้นไม้?” รูม่านตาของวูหยงหดเล็กลง “เฉียวจื่อไค?”
ครู่ต่อมาเฉียวจื่อไคก็รีบร้อนมายังที่เกิดเหตุ
กระแสเลือดหยุดไหลแล้วขณะที่ซากศพของผู้อมตะสองคนของตระกูลวูยังอยู่
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งตระกูลเฉียว โปรดอธิบาย” วูหยงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบ
แต่ยิ่งเขาสงบเท่าใด เฉียวจื่อไคก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น
เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียว ท่าไม้ตายอมตะของเขาคือท่าไม้ตายรูปปั้นไม้ เมื่อผู้อมตะถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายนี้ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะถูกทำลายขณะที่ร่างกายของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นรูปปั้นไม้
เฉียวจื่อไคอธิบาย “ท่านวูหยง โปรดฟัง ข้าไม่ได้ทำเรื่องนี้ มีคนพยายามใส่ร้ายข้า ตระกูลเฉียวและตระกูลวูมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน เรามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด…”
วูหยงขัดจังหวะ “แน่นอน ข้าเชื่อใจท่าน ตระกูลเฉียวและตระกูลวูมีความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน เราเป็นพันธมิตร ความสัมพันธ์ของเราจะถูกทำลายโดยสิ่งนี้ได้อย่างไร?”
เฉียวจื่อไคถอนหายใจและโค้งคำนับ “ท่านวูหยงฉลาดมาก”
วูหยงกล่าวต่อ “บางคนพยายามใส่ร้ายท่าน แต่มันชัดเจนเกินไป เขาเป็นผู้ใด แรงจูงใจของพวกเขาคือสิ่งใด? พวกเขามีแผนการใดและจะทำสิ่งใดต่อไป? นี่คือสิ่งที่ข้ากังวล รอสักครู่ ข้าเชิญผู้อมตะตระกูลไท่ ไท่เมี่ยนเฉินมาแล้ว”
บทที่ 1340 ไท่เมียนเฉิน
ภาคใต้ ตระกูลไท่ ภูเขาหว่านเจิ้ง
“ครืน…”
เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นจากหุบเขา
ที่ก้นเหวมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
นางดูกล้าหาญและว่องไว คิ้วของนางแหลมคมเหมือนดาบ ดวงตาส่องประกายราวกับดวงดาว ขณะที่ร่างกายของนางทั้งสูงและสง่างาม
นางมองขึ้นไปด้านบน
หินก้อนใหญ่เท่าบ้านกำลังตกลงมาจากหน้าผา
หญิงสาวสูดหายใจลึก ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย นางปิดเปลือกตาลง
ในจังหวะที่หินยักษ์กำลังจะทับร่างของนาง นางเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
แสงสีทองส่องประกายราวกับดวงตะวันในเสี้ยวพริบตาก่อนจะหายไป
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเศษฝุ่นควันที่กระจัดกระจายออกไปรอบๆ
ร่างของหญิงสาวถูกอาบด้วยฝุ่นละอองแต่ใบหน้าของนางยังแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่
“ดี ไท่รั่วหนาน เจ้าประสบความสำเร็จในการใช้ท่าไม้ตายที่ข้าสอน เจ้าผ่านการทดสอบสุดท้ายแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะติดตามข้าและฝึกฝน ข้าจะสอนวิธีการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะให้เจ้า” เสียงดังขึ้นในหุบเขา
หญิงสาวคุกเข่าลงบนพื้น “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ผู้อาวุโสสูงสุด”
“เจ้าเกลียดชังความชั่วร้ายมากและมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เจ้าเหมาะสมกับมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็กของข้า เดิมทีบิดาของเจ้าเป็นคนที่ข้าเลือก แต่ผู้ใดจะคิดว่าบุตรสาวของเขาจะมีพรสวรรค์มากกว่าเขา หือ?” เสียงสายเดิมหยุดลงอย่างกะทันหัน
แต่ในไม่ช้าไท่รั่วหนานก็ได้ยิน “มีเรื่องด่วน อยู่ที่นี่และฝึกฝนท่าไม้ตายที่ข้าสอนต่อไป ตอนนี้เจ้ายังไม่ชำนาญมากพอ เจ้าต้องฝึกฝนให้มากขึ้น เมื่อข้ากลับมา เราจะดำเนินการขั้นต่อไป”
“ทราบแล้ว” หญิงสาวโค้งคำนับด้วยความเคารพ ความตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างไม่สามารถปิดบัง
“ในที่สุดข้าก็ทำได้ ท่านพ่อโปรดมองข้าจากสวรรค์ ข้าจะกลายเป็นผู้อมตะและได้รับความแข็งแกร่งที่แท้จริง!”
“โลกนี้มืดมนและโกลาหลเกินไป มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้ข้าสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดและให้รางวัลแก่ผู้ที่กระทำความดี ความยุติธรรมจะชนะ โลกจะน่าอยู่มากขึ้น!”
…..
“จางลี่ นางสารเลวที่สังหารสามีของตนเอง ผู้ใดจะคิดว่าน้องชายของข้าจะหลงรักคนเช่นเจ้าและจบชีวิตลงเช่นนี้ เจ้าช่างโหดเหี้ยมนัก วันนี้ข้าจะตัดเจ้าออกเป็นชิ้นๆ เจ้าจะตายโดยปราศจากซากศพ!” ผู้อมตะหนุ่มตะโกนด้วยความโกรธและระเบิดกลิ่นอายของผู้อมตะระดับเจ็ดออกมา
ฟางหยวน “…”
ตั้งแต่เขาผ่านอาณาจักรแห่งความฝันเกี่ยวกับจ้าวเย่ฮุ้ย เขากลายเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งความมืด แต่หลังจากนั้นเขากลับพบอาณาจักรแห่งความฝันที่ไร้สาระมาตลอด
หลังจากรอสักพัก ในที่สุดเขาก็พบอาณาจักรแห่งความฝันที่เกิดจากประสบการณ์จริงของผู้อมตะ สุดท้ายเขากลายเป็นผู้อมตะหญิงในอาณาจักรแห่งความฝันนี้และค่อนข้างน่าขันเพราะผู้อมตะหญิงผู้นี้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งมนต์เสน่ห์
นี่เป็นสาขาย่อยของเส้นทางแห่งปัญญา มันใช้อารมณ์ในการต่อสู้และใช้มนต์เสน่ห์ในการล่อลวงศัตรู
ตอนนี้ฟางหยวนคือผู้อมตะหญิงในชุดสีชมพูที่มีร่างกายเย้ายวนใจ
ฟางหยวนรู้สึกพูดไม่ออก
นี่เป็นอาณาจักรแห่งความฝันที่มีปัญหาอีกครั้ง เขาต้องแสดงเป็นตัวละครนี้เพื่อคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝัน
แน่นอนว่าการกลายเป็นผู้หญิงไม่ใช่ปัญหาสำหรับฟางหยวน
และสิ่งที่ทำให้ฟางหยวนมีความสุขเล็กน้อยก็คือผู้อมตะหญิงผู้นี้มีวิญญาณอมตะมากมาย
‘ข้าต้องลองใช้วิญญาณเหล่านี้ก่อน’ ฟางหยวนส่งพลังวิญญาณให้กับวิญญาณอมตะดวงหนึ่ง
เสียงร้องที่เย้าย้วนดังขึ้นจากวิญญาณดวงนี้และทำให้ผู้อมตะหนุ่มรู้สึกอ่อนแรงขณะที่เจตจนาสังหารของเขาลดลง
เขากัดฟันกล่าว “หญิงแพศยา เจ้ากล้าเล่นลูกไม้กับข้างั้นหรือ? รับนี่!”
หลังกล่าวจบคำ เขาผลักฝ่ามือส่งพายุหมุนขนาดใหญ่เข้าโจมตีฟางหยวนทันที
ฟางหยวนถอยกลับพร้อมกับกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะดวงที่สอง
กระโปรงของฟางหยวนเปลี่ยนเป็นหมอกสีชมพูและพาฟางหยวนถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของมันน่าประทับใจมากเพราะมันไม่ด้อยกว่าวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ สิ่งที่น่าเสียใจเพียงอย่างเดียวคือยิ่งเขาใช้งานมันมากเท่าใด หมอกสีชมพูก็ยิ่งบางลงเท่านั้น ตอนนี้ต้นขาและต้นแขนของเขาถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
แต่ฟางหยวนไม่กลัวที่จะเปลือยกาย ความคิดเรื่องเขินอายไม่เหลืออยู่ในตัวเขาอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือความฝัน
สิ่งที่ต้องระวังก็คือวิญญาณอมตะดวงนี้ใช้งานได้ไม่นาน
“หลบหนีงั้นหรือ? แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตายในวันนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าและล้างแค้นให้น้องชายของข้า ข้าจะทำทุกวิถีทางโดยไม่สนใจค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น!”
ผู้อมตะหนุ่มตะโกนด้วยดวงตาสีแดงเลือด
ในเวลาเดียวกันเขาก็กระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ
สายลมสีเขียวควบรวมและกลายเป็นกริชเล็กๆอยู่ในมือของเขา
‘โอ้ ไม่’ หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง
‘วิญญาณอมตะหนึ่งหรือสองดวงนี้ไม่สามารถหยุดท่าไม้ตายอมตะ และข้าไม่รู้ว่าจางลี่ผู้นี้มีท่าไม้ตายอมตะใด’
ฟางหยวนรีบใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันเมื่อรู้สึกถึงความยากลำบาก
พลังงานลึกลับพุ่งเข้าสู่มิติช่องว่างของเขา วิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์หลายสิบดวงถูกกระตุ้นใช้งานภายใต้การควบคุมของพลังงานลึกลับสายนี้
‘นี่คือ?’ ฟางหยวนรู้สึกยินดี
ด้วยการใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน ท่าไม้ตายอมตะที่ไม่รู้จักถูกกระตุ้นใช้งานทันที
ฟางหยวนไม่รู้ว่าท่าไม้ตายอมตะนี้สามารถทำสิ่งใดหรือส่งผลกระทบอย่างไร
แต่ไม่มีเวลาให้คิดเพราะผู้อมตะหนุ่มส่งกริชหยกออกมาแล้ว
ฟางหยวนลอบถอนหายใจ ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่าไม้ตายนี้เท่านั้น
ภายใต้อิทธิพลของท่าไม้ตายอมตะ ฟางหยวนโบกมือและกระซิบ “อัญเชิญภูตผี!”
มันเป็นเสียงที่เย้ายวนมาก กระทั่งฟางหยวนยังรู้สึกขนลุก
หลังจากนั้นมีภูตผีปรากฏขึ้นจริงๆ
ดวงวิญญาณของผู้อมตะระดับเจ็ดบินเข้าเผชิญหน้ากับกริชหยกโดยตรง
การแสดงออกของผู้อมตะหนุ่มเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภูตผีตนนี้ เขาตะโกน “น้องชาย!”
ปรากฏว่าผู้อมตะหญิงจางลี่ฆ่าสามีของนางและปรับแต่งดวงวิญญาณของเขาให้เป็นนักฆ่า
ฟางหยวนเห็นสิ่งนี้และเกิดแรงบันดาลใจทันที เขาตะโกน “ตราบเท่าที่ข้าหยุดใช้ท่าไม้ตายนี้ ดวงวิญญาณของน้องชายเจ้าจะปลอดภัย ทำลายมันหากมีความกล้า!”
ผู้อมตะหนุ่มโกรธจัด แต่เขาเกรงว่าจะทำร้ายน้องชายของตน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าต่อสู้
ฟางหยวนมีความสุขมาก เขาเร่งโจมตีและทำให้สถานการณ์เกิดเสถียรภาพ
ครู่ต่อมาเขาก็สามารถกำจัดศัตรู
เขาประสบความสำเร็จในการคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝัน
ฟางหยวนกลับสู่โลกแห่งความจริง
“อาณาจักรแห่งความฝันนี้มีเพียงฉากเดียว” ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นี่เป็นอาณาจักรแห่งความฝันขนาดเล็ก
ฟางหยวนตรวจสอบและพบว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาและเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“เส้นทางแห่งมนต์เสน่ห์ไม่เคยถูกแยกออกจากเส้นทางแห่งปัญญา ไม่มีเส้นทางแห่งมนต์เสน่ห์อยู่บนโลกใบนี้ มีเพียงเส้นทางแห่งปัญญา ดังนั้นความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้าจึงเพิ่มสูงขึ้น”
“สำหรับเส้นทางแห่งภูตผี บางทีจางลี่อาจบ่มเพาะเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางรอง ภูตผีที่นางเรียกออกมาเป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ”
เขาวิเคราะห์และตรวจสอบความสำเร็จของตนอีกครั้ง
ตอนนี้เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแปดสายได้แก่ เส้นทางแห่งเลือด เส้นทางความแข็งแกร่ง เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เส้นทางแห่งดวงดาว เส้นทางแห่งปัญญา เส้นทางแห่งวารี เส้นทางแห่งความมืด และเส้นทางแห่งค่ายกล
เขาเป็นกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม เป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งโชค เส้นทางแห่งดาบอยู่ในระดับสามัญ เส้นทางแห่งจิตวิญญาณอยู่ในระดับสามัญเช่นกัน แต่หลังจากคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝันของจางลี่ เขากลายเป็นกึ่งผู้เชี่ยวชาญาบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ
“ท่าไม้ตายอมตะอัญเชิญภูตผีค่อนข้างน่าสนใจ แม้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้าจะไม่เพียงพอ แต่ข้าเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะสามารถใช้ท่าไม้ตายลักษณะนี้ ข้าสามารถเลียนแบบมันและสร้างท่าไม้ตายที่คล้ายคลึงกันได้”
“แต่กระทั่งข้าจะสามารถคิดค้นท่าไม้ตายอมตะนี้ มันก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับการพัฒนาท่าไม้ตายกระดองเต่าวัชระ”
ผู้อมตะทั่วไปจะมีความสุขหากมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างท่าไม้ตายอมตะใหม่ๆ
แต่ฟางหยวนแตกต่างออกไป
ระดับความสำเร็จที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เขามีแรงบันดาลใจใหม่ๆนับไม่ถ้วน เขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง
นี่เป็นปัญหาแต่ก็เป็นปัญหาที่ดี
ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งความมืดอนุญาตให้เขาสร้างท่าไม้ตายอมตะที่สามารถปกปิดตัวตนของเขา
ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลทำให้เขาได้รับแนวคิดใหม่เกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ
สิ่งนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกตื่นเต้นมาก
หลังจากอาณาจักรแห่งความฝันของจางลี่ อาณาจักรแห่งความฝันต่อไปไม่เหมาะสมที่จะสำรวจ
ฟางหยวนจึงหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ
ขณะที่ฟางหยวนกำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง ไท่เมี่ยนเฉินได้พบกับเฉียวจื่อไคและวูหยงในที่สุด
ผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้อยู่ในชุดเกราะเบาและมีหน้ากากเหล็กอยู่บนใบหน้า
ผู้อมตะทุกคนที่ฝึกฝนมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็กต้องมีหัวใจแห่งความยุติธรรมและผู้สืบทอดมรดกนี้จะมีทักษะในการสืบสวนสูงมาก
หลังจากเห็นซากศพของผู้อมตะตระกูลวูทั้งสอง ไท่เมี่ยนเฉินประกาศทันที “นี่ไม่ใช่เฉียวจื่อไค”
เฉียวจื่อไคถอนหายใจ
“มันคือผู้ใด?” วูหยงถาม
“มีคนเลียนแบบท่าไม้ตายอมตะของเขา นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์” ไท่เมี่ยนเฉินตอบ “ท่านวูหยง ข้าสงสัยว่าท่านเคยได้ยินชื่อปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ดหรือไม่?”
วูหยงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงมรดกที่แท้จริงภาพลวงตาทั้งเจ็ดงั้นหรือ? กล่าวกันว่าผู้อมตะที่สืบทอดมรดกนี้สามารถเลียนแบบท่าไม้ตายเกือบทุกชนิด”
ไท่เมี่ยนเฉินพยักหน้า “หอปราบมารของตระกูลไท่เคยมีปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ด เราไม่สามารถจัดการเขาและรับมรดกที่แท้จริงนี้ แต่เรารู้ความลับมากมาย มรดกที่แท้จริงนี้มีเจ็ดชั้น ผู้สืบทอดสามารถเลือกสืบทอดแต่ละชั้นหรืออาจรับสืบทอดทั้งหมด แต่หลังจากรับสืบทอดมรดก พวกเขาต้องรับเงื่อนไขหนึ่งในอนาคต พวกเขาต้องทำงานให้กับบางคน”
“ตระกูลของเราค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ด”
“น่าสนใจ” วูหยงพยักหน้าและขมวดคิ้วลึก
แม้จะรู้ความจริงแล้วอย่างไร?
ปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ดคือผู้ใด? กองกำลังหรือผู้ใดอยู่เบื้องหลังเขา?
วูหยงยังไม่รู้คำตอบของปัญหานี้!
แต่ในเวลาต่อมาคำกล่าวของไท่เมี่ยนเฉินกลับทำให้วูหยงเลิกขมวดคิ้ว
บทที่ 1341 วางกับดักวูหยง
“ข้าสามารถระบุตำแหน่งของปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ด” ไท่เมี่ยนเฉินกล่าว
ตั้งแต่ตระกูลไท่สามารถจับกุมปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ดได้ครั้งหนึ่ง พวกเขาก็พยายามรับสืบทอดมรดกนี้
ท่ามกลางกองกำลังใหญ่ของภาคใต้ ตระกูลไท่เป็นกองกำลังที่มุ่งเน้นเรื่องการกำจัดสมาชิกฝ่ายปีศาจ หอปราบมารของพวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นเสาหลักในการกวาดล้างปีศาจของฝ่ายธรรมะ
ตอนนี้ไท่เมี่ยนเฉินกำลังใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาเพื่อค้นหาเบาะแส
“ทางนี้” ไท่เมี่ยนเฉินบินไปทางทิศตะวันออก
เบาะแสถูกค้นพบตลอดทาง
หลังจากหนึ่งชั่วโมงพวกเขาก็กลับมาที่บ่อเลือด
เฉียวจื่อไคตกใจมาก “เหตุใดเราถึงกลับมาที่นี่?”
ไท่เมี่ยนเฉินเผยรอยยิ้มเย็นชา “สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
เฉียวจื่อไคยกย่อง “ช่างกล้าหาญนัก!”
วูหยงมองไปรอบๆก่อนจะหยุดสายตาที่บ่อเลือด
“บึม!”
บ่อเลือดที่เงียบสงบปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน
อสูรโลหิตระดับสัตว์อสูรเดียวดายจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นและยังมีอสูรโลหิตระดับสัตว์อสูรบรรพกาลอีกจำนวนหนึ่ง
กองทัพอสูรโลหิตพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มของวูหยงอย่างดุเดือด
อสูรโลหิตเป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งเลือด
อสูรโลหิตเป็นสัตว์อสูรประเภทเดียวกับอสูรหิมะ อสูรโคลน อสูรวิญญาณ และอสูรปี
“บ่อเลือดมีสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วยงั้นหรือ?” ไท่เมี่ยนเฉินกล่าวเบาๆและมองไปที่วูหยง
วูหยงแสดงออกด้วยความประหลาดใจ
บ่อเลือดแห่งนี้เป็นมรดกที่แท้จริงของบรรพชนบ่อเลือด หลังจากเฉิงเยี่ยนเฟยรับมรดก ตระกูลวูจึงเข้ายึดครองบ่อเลือดและทำให้มันเป็นแหล่งทรัพยากรของตน
“อสูรโลหิตจำนวนมากซุ่มโจมตี ไม่แปลกใจเลยที่ปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ดซ่อนตัวอยู่ที่นี่” เฉียวจื่อไคกล่าว
อสูรโลหิตอยู่ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน บางตัวมีศีรษะเป็นเสือมีร่างกายเป็นม้า บางตัวมีศีรษะเป็นอสรพิษมีร่างกายเป็นกระต่าย บางตัวร่างกายเป็นเต่าแต่มีหางเป็นมังกร บางตัวเหมือนต้นไม้ ขณะที่บางตัวเหมือนผลไม้ยักษ์
กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่ว
กองทัพอสูรโลหิตซุ่มโจมตีอย่างกะทันหัน กระทั่งกองกำลังใหญ่ยังต้องระวังตัว แต่การแสดงออกของเฉียวจื่อไคและไท่เมี่ยนเฉินยังไม่เปลี่ยน พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะถอยเพราะในขณะนี้มีวูหยงยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ขยะ” วูหยงสบถ
เขาโกรธมาก
เพราะในช่วงเวลานี้เขาต้องจัดการกับปัญหาจากทุกทิศทาง เมื่อปีศาจอมตะภาพลวงตาทั้งเจ็ดกระทำการเลวทรามและทำให้ผู้อมตะสองคนของตระกูลวูเสียชีวิต วูหยงจึงไม่สามารถอดทน
สายลมสีเขียวพัดมาอย่างแผ่วเบา
อสูรโลหิตไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ผู้อมตะทั้งสาม พวกมันก็เริ่มระเบิดราวกับฟองสบู่
อสูรโลหิตระเบิดตัวเองทีละตัวและไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้แก่ผู้อมตะทั้งสาม
เสียงคำรามและการโจมตีของพวกมันเหมือนเรื่องตลก
กองทัพสัตว์อสูระดับหกและระดับเจ็ดกลายเป็นเปราะบางราวกับของเล่นกระดาษต่อหน้าวูหยง
นี่คือพลังอำนาจของผู้อมตะระดับแปด!
‘ท่าไม้ตายอมตะชนิดใด…กลิ่นอายของมันถูกปกปิดไว้อย่างสมบูรณ์ ข้าตรวจไม่พบสิ่งใดเลย’ เฉียวจื่อไคตกใจ
ไท่เมี่ยนเฉินแสดงออกด้วยความเคร่งขรึมขณะจ้องมองแผ่นหลังของวูหยง
อสูรโลหิตไม่ได้กำเนิดขึ้นจากความว่างเปล่า เมื่อพวกมันปรากฏตัวขึ้น บ่อเลือดก็ค่อยๆเหือดแห้งลง
เฉียวจื่อไคถอนหายใจกับการสูญเสียนี้
แต่วูหยงไม่สนใจ
เขาค้นพบการคงอยู่ของร่างสีรุ้งในช่วงเวลานี้
“เจ้าคือผู้กล้าที่พยายามท้าทายอำนาจของตระกูลวูงั้นหรือ?” วูหยงกล่าวเสียงเรียบแต่ทุกคนตระหนักถึงเจตนาสังหารจากน้ำเสียงของเขา
ผู้อมตะลึกลับเผยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านวูหยง ข้าไม่มีทางเลือก ข้าถูกบังคับ โปรดเข้าใจข้าด้วย”
“หือ?” การแสดงออกของวูหยงเปลี่ยนไป
วินาทีต่อมาสภาพแวดล้อมของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
ท้องฟ้าและภูเขาเลือนหายไป มันถูกแทนที่ด้วยมิติสีม่วง
ผู้อมตะทั้งสามไม่สามารถรับรู้ทิศทางและระยะทาง
“ครืน…”
อสูรโลหิตที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้รวมตัวเป็นแม่น้ำเลือดไหลอยู่ด้านล่าง
คลื่นโลหิตและความคิดสีม่วงพุ่งเข้าโจมตีผู้อมตะทั้งสาม
“บัดซบ! อสูรโลหิตเป็นเพียงการจุดเริ่มต้น มันเป็นกับดัก ไม่ดีแล้ว!” เฉียวจื่อไคสาปแช่ง
ไท่เมี่ยนเฉินมองไปรอบๆด้วยความประหม่า “นี่เป็นท่าไม้ตายเขตแดนอมตะหรือค่ายกลวิญญาณ?”
เขาไม่สามารถทำความเข้าใจสถานที่แห่งนี้
วูหยงรู้สึกไม่มีความสุข เขาพ่นลมหายใจออกมาและโบกแขนเสื้อ
“ครืน!”
พายุหมุนขนาดใหญ่โอมล้อมผู้อมตะทั้งสามเอาไว้
ความคิดสีม่วงร่วงหล่นลงมาแต่ไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้
วูหยงไม่ขยับแต่สะบัดแขนขวาขึ้น
หนอนตัวน้อยบินออกจากปลายนิ้วของเขาและตกลงไปในแม่น้ำเลือดก่อนจะกลายเป็นมังกรวายุที่มีร่างกายยาวหนึ่งร้อยเมตร
แม่น้ำเลือดก่อตัวเป็นวังน้ำวนและพยายามกลืนกินมังกรวายุเข้าไป
ดวงตาของวูหยงส่องประกายแสงสีเขียว มังกรวายุคำรามและระเบิดดาบวายุออกไปทุกหนทุกแห่ง
ดวงตาของเฉียวจื่อไคและไท่เมี่ยนเฉินเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ทุกการโจมตีของวูหยงล้วนเป็นท่าไม้ตายอมตะที่โดดเด่นทั้งสิ้น หากพวกเขาต้องต่อสู้กับคนผู้นี้ พวกเขาจะไม่สามารถขยับเขยื้อนก่อนจะถูกสังหาร
วูหยงสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังได้อย่างง่ายดายราวกับการหายใจ
‘ทุกกระบวนท่าของเขาซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้’ หัวใจของเฉียวจื่อไคยังคงว้าวุ่น
‘ท่าไม้ตายอมตะมังกรวายุที่กลายเป็นดาบวายุจำนวนนับไม่ถ้วน…วูหยงไม่ได้ไร้ประโยชน์เหมือนในข่าวลือ เขามีพลังการต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่อ…คนผู้นี้ซ่อนความแข็งแกร่งได้ลึกนัก’ ดวงตาของไท่เมี่ยนเฉินส่องประกายแวววาว
เขามองแผ่นหลังของวูหยงและรู้สึกดีใจที่ตระกูลไท่เป็นพันธมิตรกับตระกูลวู ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตระกูลวู
วูตู๋ซิ่วและวูหยงเป็นแม่ลูก อดีตเหมือนสายลมกรรโชกแรงที่พัดผ่านยอดเขา ในขณะที่คลื่นลูกหลังเป็นพายุหมุนที่พัดอยู่ใต้หุบเขา พวกเขามีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาก็ครอบครองพลังอำนาจอันเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามแม้การโจมตีของวูหยงจะรุนแรงแต่สภาพแวดล้อมยังไม่เปลี่ยนแปลง
แม่น้ำเลือดแยกออกเป็นสองสายและขยายใหญ่ขึ้นยิ่งกว่าก่อนหน้า
การแสดงออกของเฉียวจื่อไคเปลี่ยนไป ท่าไม้ตายชนิดใดที่สามารถกักขังผู้อมตะระดับแปด?
ความสงสัยของเขาอยู่ได้ไม่นานเพราะในไม่ช้าร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นจากแม่น้ำเลือดและให้คำตอบแก่พวกเขา
“นี่คือค่ายกลแม่น้ำโลหิตสีม่วงของข้า วูหยง หากเจ้าไม่ใช้วิญญาณอมตะระดับแปดสองดวงที่เจ้าได้รับจากแม่ของเจ้า ด้วยวิญญาณอมตะสายลมอ่อนระดับแปดเพียงดวงเดียว เจ้าจะไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้” ราชันภูเขาม่วงกล่าว
เขาไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์จิ๋วแต่อยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดา
การแสดงออกของเฉียวจื่อไคและไท่เมี่ยนเฉินเปลี่ยนไป วูหยงก็เคลื่อนไหวเช่นกัน นี่เป็นเพราะราชันภูเขาม่วงไม่ได้ปกปิดกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปด
“เจ้าคือผู้ใด? เจ้าต้องการสิ่งใด?” วูหยงถาม
ราชันภูเขาม่วงยิ้มและมองวูหยงด้วยดวงตาสีม่วงสดใส “แน่นอนว่ามันคือการฆ่าเจ้า เมื่อเจ้าตาย ตระกูลวูจะตกสู่ความโกลาหล ตระกูลอื่นจะโจมตีมันและมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ”
วูหยงตะลึงก่อนจะเงยหน้าหัวเราะขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขาหัวเราะด้วยความโกรธ
หลังจากหัวเราะ เขาก็เปิดปากกล่าว “ช่างกล้าหาญนัก ในกรณีนี้ข้าจะฆ่าเจ้าและสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง”
กลิ่นอายที่ทรงพลังระเบิดออกมาจากร่างของวูหยง
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกระตุ้นใช้งาน
เฉียวจื่อไคและไท่เมี่ยนเฉิงเร่งล่าถอย พวกเขาตระหนักถึงภัยคุกคามร้ายแรง
รอยยิ้มของราชันภูเขาม่วงหายไป
ท่าไม้ตายอมตะของวูหยงก่อนหน้านี้ไม่สามารถตรวจจับได้ กลิ่นอายของมันถูกปกปิดเอาไว้ แต่ท่าไม้ตายนี้กลับตรงข้าม มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่น่าเหลือเชื่อ
พิจารณาจากมุมมองนี้ กล่าวได้ว่าวูหยงกำลังต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด
ท่าไม้ตายชนิดใดที่วูหยงไม่สามารถปกปิดกลิ่นอาย?
ไม่ว่ามันจะเป็นท่าไม้ตายชนิดใด มันก็มีพลังอันเป็นที่สุดและไม่อาจหยุดยั้ง
ด้วยเจตจำนงของราชันภูเขาม่วง ความคิดสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากความว่างเปล่า
…..
ตระกูลวู
ห้องโถงบรรพชน
“นี่…นี่…นี่…นี่…” ใบหน้าของผู้อมตะของตระกูลวูที่ดูแลห้องโถงแห่งนี้กลายเป็นซีดเผือด
เขาตะโกนด้วยความตกใจ “ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของท่านวูหยงถูกทำลาย! ท่านวูหยง…ตายแล้ว!?”
บทที่ 1342 เมื่อพี่ชายตาย น้องชายก็รั...
ห้องโถงบรรพชน
ห้องโถงบรรพชนอยู่ในคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์บนยอดเขาวูอี้
โดยทั่วไปแล้วทุกกองกำลังจะมีห้องโถงบรรพชนเพื่อเก็บป้ายวิญญาณ โคมไฟวิญญาณ หรือสายป่านโลหิต
วิญญาณสายป่านโลหิตเป็นวิญญาณบนเส้นทางแห่งเลือดที่หายาก
กระทั่งนิกายใหญ่ของภาคกลางก็มีเพียงป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณเท่านั้น
วูป๋าชงยืนอยู่ในห้องโถงวิญญาณและมองเศษชิ้นส่วนของวิญญาณที่ถูกทำลายด้วยสายตาว่างเปล่า
ป้ายวิญญาณกลายเป็นเศษไม้ขณะที่โคมไฟวิญญาณแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
วูป๋าชงอายุมากแล้วแต่ร่างกายของเขาแข็งแรงราวกับหมี เส้นผมของเขาเป็นสีขาว จมูกกว้าง คิ้วหนา และมีดวงตาที่แหลมคม เขาเป็นผู้รับผิดชอบสถานที่แห่งนี้
เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของตระกูลวูและเป็นทหารผ่านศึก แต่ตอนนี้หน้าผากของเขายังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ท่านวูหยงตายแล้ว!?” วูป๋าชงมองชิ้นส่วนวิญญาณระดับมนุษย์สองดวงและยืนนิ่งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
“สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผู้อมตะระดับแปด เสาหลักของตระกูลวู เขาจะตายได้อย่างไร!?” วูป๋าชงไม่กล้าจินตนาการหรือเชื่อเรื่องนี้
“ท่านวูหยงตายจริงๆงั้นหรือ?” เขาถามตนเอง
หลังจากทั้งหมดป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณเป็นเพียงวิญญาณระดับมนุษย์ มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะถูกทำลายด้วยวิธีการบางอย่าง
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถติดต่อวูหยง ไม่ว่าตระกูลวูจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดสามารถติดต่อเขา นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธ
ไม่ว่าวูหยงจะตายหรือไม่สถานการณ์ของเขาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
“ผู้ใดสามารถทำเรื่องนี้?”
“ปีศาจอมตะระดับแปดหรือผู้บ่มเพาะสันโดษระดับแปด?”
“หรือตระกูลอื่นร่วมมือกันเพื่อจัดการตระกูลวูของเรา?”
วูป๋าชงยังคาดเดาต่อไป
ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งว้าวุ่นใจ
วูตู๋ซิ่วเสียชีวิต วูหยงหายตัวไป กองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ไม่มีผู้อมตะระดับแปดปกป้องอีกต่อไป
นี่เป็นสถานการณ์ร้ายแรง ตระกูลวูกำลังเผชิญหน้ากับหายนะและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกเขายังไม่รู้ตัวคนร้าย!
หลังจากปรับอารมณ์ ความหวาดกลัวยังเกาะกุมอยู่ในหัวใจของวูป๋าชง
โดยปกติวูตู๋ซิ่วหรือวูหยงจะเป็นผู้จัดการทุกสถานการณ์ แต่ตอนนี้พวกเขาควรทำอย่างไร?
วูป๋าชงตระหนักว่าเขาไม่สามารถแบกรับเรื่องนี้
ในยุคของวูตู๋ซิ่ว เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง หลังจากวูหยงเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม
ในแง่ของความอาวุโส เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดของภาคใต้ อย่างไรก็ตามมันไร้ความหมายเพราะเขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด พลังการต่อสู้ของเขาไม่โดดเด่น หากต้องต่อสู้กับเฒ่าพฤกษาปาเต๋อ เขาจะพบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แม้ตระกูลวูจะมีผู้อมตะระดับเจ็ดหลายคนที่สามารถต่อสู้กับปาเต๋อ แต่วูป๋าชงมีฐานะสูงที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้
ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิด ‘ข้าควรทำอย่างไร?’
‘แม้ท่านวูหยงจะยังไม่ตาย แต่เขาก็หายตัวไป ขณะที่ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของเขาแตกสลาย เมื่อข่าวรั่วไหลออกไป มันจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ หัวใจของทุกคนจะสั่นคลอน’
‘ข้าควรซ่อนข้อมูลนี้หรือไม่?’
วูป๋าชงส่ายศีรษะ
ผู้อมตะของตระกูลวูหลายคนรู้ข่าวนี้แล้ว
หากวูหยงตายจริง คนร้ายจะฉวยโอกาสโจมตีตระกูลวูอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปิดข่าวนี้แม้เขาจะต้องการก็ตาม
‘เราต้องตามหาท่านวูหยงอย่างเร่งด่วนหรือข้าควรเรียกผู้อมตะของตระกูลที่อยู่ข้างนอกให้กลับมาปกป้องตระกูล?’
วูป๋าชงขมวดคิ้ว
ทั้งสองตัวเลือกล้วนอันตราย
การตามหาวูหยงอันตรายอย่างแน่นอน ผู้อมตะระดับเจ็ดจะสามารถต่อสู้กับคนที่สามารถทำลายป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของวูหยงได้อย่างไร
ในทางตรงข้ามหากเรียกกลุ่มผู้อมตะกลับมา แหล่งทรัพยากรของตระกูลจะถูกฉกชิงไป ตระกูลวูจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่
แล้วเขาควรทำอย่างไร?
วูป๋าชงลังเล เขาติดอยู่ระหว่างสองทางเลือกที่ยากลำบาก
เมื่อเวลาผ่านไป เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากและตัดสินใจปัดทางเลือกทั้งสองทิ้งไป เขาจะจัดประชุมและจะดำเนินการตามมติของที่ประชุม
วูหยงหายตัวไปและไม่สามารถติดต่อ พายุใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
…..
ภาคใต้ ค่ายกลวิญญาณ
ฟางหยวนนั่งปิดเปลือกตาบ่มเพาะขณะฟังรายงานจากเทพธิดากระต่ายขาว
เทพธิดากระต่ายขาวได้รับมรดกที่แท้จริงกระต่ายขาว
นี่เป็นมรดกที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในภาคใต้ ผู้รับสืบทอดมรดกนี้ต้องมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อพวกเขาบ่มเพาะมันในอนาคต พวกเขาก็ยังต้องรักษาจิตใจที่บริสุทธิ์เอาไว้ มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถใช้ทักษะของมรดกนี้ หากฝ่าฝืน พวกเขาจะได้รับผลกระทบย้อนกลับ
แน่นอนว่าเทพธิดากระต่ายขาวมีคุณสมบัติดังกล่าวและได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วไป
วูอันสังเกตเห็นสิ่งนี้ตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวเทพธิดากระต่ายขาวให้เป็นคนกลางในการดำเนินธุรกิจซื้อขายโอกาส
เทพธิดากระต่ายขาวจะเข้ามาภายในค่ายกลวิญญาณและรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายโอกาสให้ฟางหยวนทราบเป็นครั้งคราว
แม้ฟางหยวนจะไม่ได้รับประโยชน์จากธุรกิจนี้ แต่เขาต้องรับฟังสถานการณ์ทางธุรกิจเพราะมันทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆอาณาจักรแห่งความฝัน
เสียงของเทพธิดากระต่ายขาวเหมือนสายน้ำที่ราบเรียบ นางกล่าวพร้อมกับมองหน้าฟางหยวน
ฟางหยวนอยู่ในรูปลักษณ์ของวูอี้ไห่ ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาและสง่างามมาก
เทพธิดากระต่ายขาวตกหลุมรักเขาอย่างหมดหัวใจ นางจงใจกล่าวช้าๆเพื่อใช้เวลาอันมีค่านี้กับฟางหยวน
น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่นางพบฟางยวนห เขาจะพูดเพียงสองประโยค ประโยคแรกคือขอให้เทพธิดากระต่ายขาวนั่งลงและรายงาน ประโยคที่สองคือบอกให้นางจากไป
แต่ถึงกระนั้นเทพธิดากระต่ายขาวก็พอใจมากแล้ว
นางรู้ดีว่าวูอี้ไห่มีสถานะสูงส่ง นางรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยและไม่สามารถเปรียบเทียบกับฟางหยวน นางมีความสุขมากแล้วที่ได้ใช้เวลากับเขาในลักษณะนี้
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงของเทพธิดากระต่ายขาวหยุดลง
เพราะนางเห็นการแสดงออกของฟางหยวนที่เปลี่ยนแปลงไป
สถานการณ์นี้หาได้ยากมาก หัวใจของเทพธิดากระต่ายขาวบีบรัดตัวแน่น เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่านวูอี้ไห่? เขากำลังพบกับปัญหาใดหรือไม่?
ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างอุกอาจ
“วูอี้ไห่ ตอนนี้เจ้ายังมีอารมณ์ผ่อนคลายและใช้เวลาอยู่กับผู้หญิงอีกงั้นหรือ?” ผู้อมตะหญิงผู้หนึ่งบุกเข้ามาในห้องโถง
เทพธิดากระต่ายขาวหันหลังกลับเพื่อพบกับหญิงสาวในชุดสีเขียว ผิวของนางขาวราวหิมะ ร่างกายของนางละเอียดอ่อนราวกับต้นหลิว
นางมีใบหน้าที่งดงามมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่ทรงเสน่ห์ของนางที่ซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตายาว
‘นางคือเฉียวซื่อหลิวของตระกูลเฉียว!’ เทพธิดากระต่ายขาวจำหญิงผู้นี้ได้ทันทีขณะที่นางกลายเป็นตื่นตระหนก
นางรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงผู้นี้กับฟางหยวน
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือเกี่ยวกับฟางหยวนและเฉียวซื่อหลิวที่แพร่กระจายออกไป
‘เทธิดาซื่อหลิวงดงามสมคำล่ำลือ’
‘มีเพียงคนเช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับท่านวูอี้ไห่’
เทพธิดากระต่ายขาวคิดเช่นนี้ขณะที่นางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เฉียวซื่อหลิวมองเทพธิดากระต่ายขาวที่กำลังก้มหน้าลงและดูเหมือนจะไม่สนใจแต่แท้จริงแล้วนางสนใจมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวซื่อหลิวได้พบกับเทพธิดากระต่ายขาว
นางพิจารณาร่างกายที่บอบบางของเทพธิดากระต่ายขาว ดวงตาสีทับทิม หูกระต่ายที่น่ารักและพบว่าหญิงผู้นี้ด้อยกว่านางเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ชายมักชื่นชอบสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่เต็มไปด้วยความน่ารักเช่นนี้เสมอ
‘แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจัดการเรื่องนาง’ เฉียวซื่อหลิวลอบถอนหายใจ นางเดินผ่านเทพธิดากระต่ายขาวและเดินเข้าไปหาฟางหยวน
ฟางหยวนเปิดเปลือกตาและลุกขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้ม “เทพธิดา การมาเยือนของท่านช่างน่ายินดีนัก”
เทพธิดากระต่ายขาวมองฟางหยวนและคิดด้วยความงุนงง ‘วูอี้ไห่ยิ้มอีกครั้ง ข้าไม่เห็นเขายิ้มมานานแล้ว เมื่อเขายิ้ม เขาดูเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ หากเพียงแค่เขาจะยิ้มให้ข้า!’
เฉียวซื่อหลิวมองฟางหยวนอย่างจริงจัง “ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้เรื่องจริงๆ! เห้อ…คำกล่าวต่อไปของข้าจะทำให้เจ้าตกตะลึงและไม่มีความสุข”
การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไป “เกิดสิ่งใดขึ้น?”
เฉียวซื่อหลิวไม่ตอบ นางหันหน้าไปทางเทพธิดากระต่ายขาวและกล่าว “เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องการคุยกับเจ้านายของเจ้า”
“อา…” เทพธิดากระต่ายขาวมึนงง
ฟางหยวนโบกมือ “กระต่ายขาว ออกไปก่อน”
เทพธิดากระต่ายขาวไม่กล้าไม่ทำตามและต้องจากไปเท่านั้น
เมื่อประตูปิดลง เฉียวซื่อหลิวก็เริ่มกล่าว “วูหยงหายตัวไป ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของเขาถูกทำลาย ข่าวยังไม่แพร่กระจายออกไป แต่ตอนนี้ตระกูลวูกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย”
“กระไรนะ!?” ฟางหยวนตกตะลึง
นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไป
ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณถูกทำลาย มันหมายความว่าวูหยงตายแล้ว
เขาเป็นเสาหลักของตระกูลวู หากเขาตาย ตระกูลวูจะปกป้องอาณาจักรของพวกเขาได้อย่างไร?
เฉียวซื่อหลิวกล่าวต่อ “อี้ไห่ ข้ามาที่นี่เพื่อยืมมือเจ้า เจ้าเป็นน้องชายของวูหยง เจ้าเป็นคนที่มีสายเลือดใกล้ชิดที่สุดของเขาและมีระดับการบ่มเพาะที่เพียงพอ เมื่อวูหยงหายตัวไป เจ้าต้องรับช่วงต่อและเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของตระกูลวู”
บทที่ 1343 ได้รับอำนาจ
ยึดครองตระกูลวู?
คำกล่าวของเฉียวซื่อหลิวทำให้ฟางหยวนถูกล่อลวง
เขาจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?
ตระกูลวูเป็นมหาอำนาจ พวกเขาเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้มานานหลายปี
ตระกูลวูมีอาณาเขตกว้างใหญ่พร้อมกับทรัพยากรทุกประเภท พวกเขามีรากฐานที่ลึกซึ้งและมีคลังสมบัติที่อุดมสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ หากเขาสามารถควบคุมกองกำลังนี้ เขาจะมีทรัพยากรในการบ่มเพาะที่ไม่จำกัด
ตอนนี้ฟางหยวนมีทรัพย์สินมากมาย
แต่มันยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับทรัพยากรของตระกูลวู
เพียงบ่อเลือดของตระกูลวูก็ทำกำไรได้มากกว่าธุรกรรมปลามังกรของฟางหยวน
ตระกูลวูมีแหล่งทรัพยากรมากมากกว่ายี่สิบแหล่งที่คล้ายกลับบ่อเลือด นอกจากนั้นหลายแหล่งทรัพยากรยังมีค่ามากกว่าบ่อเลือด
นี่ยังไม่รวมทรัพยากรที่อยู่ในมิติช่องว่างของผู้อมตะตระกูลวูและแดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์ของบรรพชนตระกูลวู
แน่นอนว่ากองกำลังใหญ่เหล่านี้ย่อมมีค่าใช้จ่ายเช่นกัน แต่ในปัจจุบันตระกูลวูมีทรัพย์สินมากกว่ากำลังคน พวกเขาแทบไม่สามารถปกป้องแหล่งทรัพยากรเหล่านั้น หากวูหยงจากไป พวกเขาอาจต้องยอมแพ้แหล่งทรัพยากรบางแห่ง
แต่ถึงกระนั้นหากฟางหยวนสามารถควบคุมตระกูลวู เขาจะได้รับกำไรมหาศาลและเหนือกว่าการทำงานเพียงลำพังอย่างแน่นอน
ฟางหยวนสงบจิตใจลง
เขามองเฉียวซื่อหลิวและตระหนักถึงความตั้งใจของนาง
เป็นเช่นที่เฉียวซื่อหลิวกล่าว เมื่อวูหยงจากไป ตัวตนของวูอี้ไห่ซึ่งรับบทโดยฟางหยวนจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง
นี่เป็นโอกาสที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อ
ฟางหยวนไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำกล่าวของเฉียวซื่อหลิวเพราะมันง่ายที่จะตรวจสอบ
เฉียวซื่อหลิวรีบร้อนมาที่นี่และแสดงความจริงใจของนาง
ฟางหยวนขมวดคิ้วและเผยรอยยิ้มขมขื่น “นี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”
“เรื่องเร่งด่วนคือกลับไปที่ตระกูลวู วูป๋าชงเรียกประชุมผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ผู้อมตะจำนวนมากอยู่ที่นั้นแล้ว แต่ข้าสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่เรียกเจ้า พวกเขามีเจตนาใด?” เฉียวซื่อหลิวกล่าวด้วยความกังวล
การใช้วูอี้ไห่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของตระกูลเฉียวที่จะแทรกซึมเข้าสู่ตระกูลวู
ฟางหยวนถอนหายใจ “เห้อ…ข้าพึ่งกลับเข้าตระกูล ข้าไม่มีรากฐานหรือเครือข่าย มันยากเกินไปที่จะรับช่วงต่อและกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง พวกเขาจงใจทิ้งข้าเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าโอกาสของข้ามีน้อยมาก”
“ไม่ เจ้ามีโอกาสสูง อี้ไห่ อย่าลืมว่าเจ้ามีข้า ตระกูลเฉียวสนับสนุนเจ้าอยู่!” เฉียวซื่อหลิวมองฟางหยวนด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง
ฟางหยวนกระพริบตา “ตระกูลเฉียวจะช่วยข้าได้อย่างไร? ท่านเฉียวจื่อไคจะทำสิ่งใด?”
การแสดงออกของเฉียวซื่อหลิวเปลี่ยนไป นางลังเลอยู่ชั่วครู่แต่นางก็ไม่กล้าซ่อนมันจากฟางหยวน นางต้องพูดความจริง “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเราไปกับท่านวูหยง พวกเขาหายตัวไปพร้อมกัน ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของท่านถูกทำลายขณะที่พวกเราไม่สามารถติดต่อท่านได้เช่นกัน นอกจากพวกเขา ไท่เมี่ยนเฉินของตระกูลไท่ก็เป็นอีกคนที่หายตัวไป พวกเขากำลังสืบสวนการเสียชีวิตของวูหยวนจือและเหรินฮ่าว แต่ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง “เกิดสิ่งใดขึ้น?”
เฉียวซื่อหลิวเผยรอยยิ้มขมขื่น “เชื่อข้าเถอะ ข้ารู้เพียงเท่านี้”
ฟางหยวนลังเล “เหตุการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้เราไม่สามารถซ่อนมันจากโลกได้นานนัก นอกจากนั้นหากไม่มีท่านเฉียวจื่อไค แล้วตระกูลเฉียวจะช่วยข้าได้อย่างไร?”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ตระกูลเฉียวลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว ข้าเป็นตัวแทนที่ได้รับเลือก” เฉียวซื่อหลิวกล่าว
ฟางหยวนตกใจเล็กน้อย
ตระกูลเฉียวอ่อนแอที่สุดในบรรดากองกำลังใหญ่ของภาคใต้ อย่างไรก็ตามพวกเขามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว แม้เฉียวจื่อไคจะหายตัวไป พวกเขาก็ยังสามารถดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้ นี่เป็นความพิเศษที่ไม่ธรรมดาของตระกูลเฉียว
แต่ฟางหยวนไม่ต้องการไป
เขารู้สึกว่ามีคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ มีผู้บงการที่ทรงพลังอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!
แม้เขาจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง แล้วอย่างไร?
ไม่มีทรัพยากรใดสามารถเปรียบเทียบกับอาณาจักรแห่งความฝัน
ฟางหยวนไม่ต้องการทรัพยากรเพิ่มเติม เขาต้องการระดับความสำเร็จจากอาณาจักรแห่งความฝัน
อย่างหลังถือเป็นการเผชิญหน้าโดยบังเอิญที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง
แม้เขาจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงอำนาจของตระกูลวูและตระกูลวูก็มีประโยชน์ต่อเขา แต่ฟางหยวนรู้ว่ายังมีทางเลือกมากมายในชีวิต เขาต้องคิดว่าสิ่งใดสำคัญที่สุด
‘หากข้ากลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ข้าต้องกลับไปที่ตระกูลวูและประจำการอยู่ที่นั่น ข้าจะออกจากอาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างไร ข้าทุ่มเทความพยายามมากมายเพื่อมาที่นี่!’
‘แต่การปฏิเสธเฉียวซื่อหลิวไม่ใช่เรื่องฉลาด หากข้าทำให้ตระกูลเฉียวโกรธและทำลายความสัมพันธ์ของเรา ข้าจะไม่ได้สิ่งใดเลย’
‘แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือในสายตาของทุกคนหากข้าอยู่ที่นี่และไม่กลับไป มันจะน่าสงสัย นอกจากนั้นข้ายังแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานทางการเมืองมาก่อนหน้านี้อีกด้วย’
ฟางหยวนคิดและเดินไปรอบๆห้องโถง
เฉียวซื่อหลิวกระทืบเท้าด้วยความกังวล “อี้ไห่ เจ้ายังลังเลสิ่งใดอยู่อีก?”
“มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไป ข้าขอเวลาคิดเล็กน้อย” ฟางหยวนโบกมือ
“ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องไปเดี๋ยวนี้ ไปคิดระหว่างทาง” เฉียวซื่อหลิวกล่าว
“ไม่ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด!” ฟางหยวนส่ายศีรษะด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าตกลงสู่หลุมพรางของพวกเขาแล้ว”
เฉียวซื่อหลิวตะลึง “อันใด?”
ฟางหยวนกล่าว “หากเรากลับไปอย่างเปิดเผย ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูจะคิดอย่างไร พวกเขาไม่ได้โง่ หากข้าวูอี้ไห่กลับไปพร้อมกับคนตระกูลเฉียวและเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งโดยละทิ้งเรื่องของพี่ชายและนำคนนอกเข้าสู่การต่อสู้ภายในเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ ตระกูลวูจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ โดยปราศจากความแข็งแกร่งและชื่อเสียงที่เพียงพอ ข้าจะรับช่วงต่อในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งได้อย่างไร?”
เฉียวซื่อหลิวกระพริบตาและคิด ‘คำกล่าวของวูอี้ไห่มีเหตุผล’
“แล้วเราจะอยู่ที่นี่และปล่อยให้วูป๋าชงควบคุมสถานการณ์หรือรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งงั้นหรือ?” เฉียวซื่อหลิวโต้กลับ
เฉียวซื่อหลิวไม่ใช่ตัวตนที่สามารถจัดการได้โดยง่าย แต่ฟางหยวนยังเผยรอยยิ้ม “เรารอได้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
“ไม่รีบ?”
ฟางหยวนยิ้มกว้างและมองเฉียวซื่อหลิวด้วยสายตาแหลมคม “ข้าเชื่อว่าแม้ข้าจะไม่กลับไป วูป๋าชงก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ ข้ากล่าวผิดหรือไม่?”
เฉียวซื่อหลิวตกตะลึงอีกครั้ง
…..
ตระกูลวู ห้องประชุม
“ปัง!”
วูป๋าชงทุบโต๊ะ
เขาตะโกน “วูเฉียว เจ้าหมายความว่าอย่างไร!? ไม่ว่าข้าจะแนะนำสิ่งใด เจ้าก็คัดค้าน เจ้าพยายามหาเรื่องให้ข้าลำบากงั้นหรือ?”
วูเฉียวเผยรอยยิ้มเย็นชา เขายืนอยู่กลางห้องโถงและมองวูป๋าชง “ผู้อาวุโสที่สอง ท่านรีบร้อนเกินไป เรายังไม่รู้ว่าท่านวูหยงเสียชีวิตแล้วจริงหรือไม่ เพียงป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณที่พังทลายยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่ดูท่านสิ ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งของเขาแล้ว ข้าขอเตือนท่านด้วยความจริงใจ ท่านควรนั่งในตำแหน่งของตนเอง”
“ผู้อาวุโสวูเฉียว ตระกูลวูตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เราควรหารือเรื่องสำคัญและไม่ควรคิดเล็กคิดน้อย”
“ข้าคิดว่าไม่มีปัญหาที่ท่านวูป๋าชงจะเป็นผู้นำในการประชุม ท่านเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองและตอนนี้ตระกูลวูต้องการผู้นำ”
“เจ้าคิดว่าเราไม่รู้ว่าเจ้ามีเจตนาใดงั้นหรือ? วูเฉียว ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าเป็นสมาชิกตระกูลวู ไม่ใช่ตระกูลเฉียว!”
ในห้องประชุมผู้อมตะบางคนสนับสนุนวูป๋าชงและโจมตีวูเฉียว
วูเฉียวหัวเราะ “ในแง่ของสายเลือด ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งคือท่านวูอี้ไห่! ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองควรรับตำแหน่งหรือไม่? เราเป็นนิกายของภาคกลางงั้นหรือ?”
เงียบ…
“นั่นสมเหตุสมผล”
“ในฐานะตระกูล เราให้ความสำคัญกับสายเลือด”
“เหตุใดวูอี้ไห่ไม่มา? วูป๋าชง เจ้าแจ้งเขาหรือไม่?”
ผู้อมตะบางคนกล่าวออกมา ผู้อมตะในห้องประชุมส่วนใหญ่เป็นเจตจำนงของพวกเขา ร่างจริงของพวกเขายังอยู่ปกป้องแหล่งทรัพยากรของตระกูล
วูป๋าชงโกรธมากแต่ภายนอกเขายังสงบนิ่ง
‘ข้าทำไม่สำเร็จ’ เขาลอบถอนหายใจ
เขายืนขึ้นตบหน้าผากของตนเองและถอนหายใจ “ข้าพลาดไป ข้าเป็นห่วงตระกูลมากเกินไป เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ท่านวูอี้ไห่ควรเป็นผู้นำของเรา ข้าจะเชิญเขากลับมา ข้าเต็มใจที่จะฟังเขา!”
“อา…”
ผู้อมตะคนอื่นๆตกใจ
วูเฉียวรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
วูป๋าชงกำลังวางแผนใดอยู่?
หลังจากนั้นฟางหยวนก็ได้รับการติดต่อจากตระกูล
เฉียวซื่อหลิวดีใจมาก “เยี่ยม! แม้เราจะไม่กลับไป แต่เรายังสามารถยึดครองตระกูลวู”
ฟางหยวนแสดงออกอย่างเคร่งขรึม สถานการณ์กำลังดำเนินไปในทิศทางที่เขาไม่ต้องการ
การกระทำของวูเฉียวสามารถเข้าใจได้ แต่การกระทำของวูป๋าชงกลับยิ่งยอดเยี่ยมกว่า เขาทำให้ฟางหยวนค่อนข้างประทับใจ
“สถานการณ์ไม่ดีนัก” ฟางหยวนถอนหายใจ
บทที่ 1344 บ้านไม้ไผ่สายลม
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” เฉียวซื่อหลิวไม่เข้าใจ
ฟางหยวนไม่ตอบ เขาเดินไปรอบๆและใช้วิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาคิด
สถานการณ์ซับซ้อนมาก ผู้บงการอยู่เบื้องหลังยังซ่อนตัวอยู่ในขณะที่วูหยงหายสาบสูญ ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยชั้นเมฆหมอก แต่ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตัดสินใจดำเนินการบางอย่าง
เขาไม่มีทางเลือก
ผู้อมตะตระกูลวู ผู้อมตะตระกูลเฉียว รวมถึงสถานการณ์ของภาคใต้ ทั้งหมดราวกับถูกบังคับให้ออกจากค่ายกลวิญญาณ
นี่คือความไร้หนทางของฝ่ายธรรมะ
ฟางหยวนต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบที่ยากลำบาก
เขาไม่อยากเป็นตัวหมากของตระกูลวูและตระกูลเฉียว เขาต้องการรักษาผลประโยชน์ของเขาเอาไว้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้
แต่เขาจะทำอย่างไร?
ฟางหยวนคาดเดาความตั้งใจและความปรารถนาของวูป๋าชงไว้แล้ว
‘บางทีข้าอาจใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้’ ฟางหยวนตัดสินใจ
เขาหยุดเดินไปรอบๆและเผชิญหน้ากับเฉียวซื่อหลิว “เมื่อพวกเขาต้องการให้ข้าเป็นผู้นำ ข้าก็จะออกคำสั่ง”
“อี้ไห่ นี่คือสิ่งที่วีรบุรุษจะกระทำ!” ดวงตาของเฉียวซื่อหลิวส่องประกายขึ้น
ฟางหยวนกล่าวต่อ “คนร้ายยังซ่อนตัวอยู่ เราต้องเดินหมากโดยคำนึงถึงความปลอดภัย ข้าจะสั่งให้ผู้อมตะของตระกูลวูสละแหล่งทรัพยากรที่อยู่ห่างไหลและกลับมาที่ภูเขาวูอี้ เราจะกระตุ้นใช้งานคฤหาสน์วิญญาณอมตะเพื่อป้องกันภัยมืด”
เฉียวซื่อหลิวพอใจกับการกระทำของฟางหยวน
ฟางหยวนบอกให้นางทราบถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องภายในของตระกูลวูและไม่ปฏิบัติต่อนางในฐานะคนนอก
เฉียวซื่อหลิวมีความสุขมาก นางกล่าว “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัย แต่มันก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ กองกำลังที่อยู่รอบๆจะบุกเข้ายึดครองแหล่งทรัพยากรเหล่านั้น”
“เราไม่มีทางเลือก ความแข็งแกร่งของตระกูลวูกระจัดกระจายเกินไป ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เราทำได้เพียงจัดขบวนทัพใหม่เพื่อป้องกันภัยคุกคามในอนาคต” ฟางหยวนถอนหายใจ
“นั่นสมเหตุสมผลแล้ว ไปกันเถอะ เราควรกลับภูเขาวูอี้” เฉียวซื่อหลิวเห็นด้วยกับความคิดของฟางหยวน
แต่ฟางหยวนกลับส่ายศีรษะ “ไม่ เราจะไม่ไป”
“มันอันตรายเกินไป”
“กระทั่งพี่ชายของข้ายังถูกซุ่มโจมตี เราเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด คนร้ายสามารถจัดการพวกเราได้อย่างง่ายดาย”
“หากผู้บงการคนนี้ต้องการทำลายตระกูลวู เป้าหมายต่อไปของพวกเขาก็คือข้า ข้าจะออกไปตอนนี้ได้อย่างไร? เส้นทางกลับตระกูลวูอันตรายเกินไป!”
ข้อแก้ตัวของฟางหยวนสมบูรณ์แบบมาก
การแสดงออกของเฉียวซื่อหลิวกลายเป็นเคร่งขรึม นางพยักหน้า “ถูกต้อง! เราต้องปลอดภัย จะดีกว่าหากพวกเขานำคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกมารับพวกเรา”
หลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวเฉียวซื่อหลิว นี่ทำให้ฟางหยวนสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เขายังขมวดคิ้ว
แม้เขาจะสามารถอยู่ในค่ายกลวิญญาณต่อไป แต่เขาจะอยู่ได้นานเพียงใด?
ความตายของวูหยงยังไม่แน่ชัด สถานการณ์นี้ทำให้แม้แต่ฟางหยวนที่รู้อนาคตบางอย่างยังรู้สึกหมดหนทาง
…..
ในค่ายกลแม่น้ำโลหิตสีม่วง
ตอนนี้มีแม่น้ำเลือดมากกว่าสิบสาย
ความคิดสีม่วงปะทุออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ไท่เมี่ยนเฉินตะโกนเสียงดังและส่งม่านทรายออกมาปกป้องตนเอง
แต่ความคิดสีม่วงเปลี่ยนจากของแข็งเป็นภาพหลอนและทะลวงผ่านการป้องกันของไท่เมี่ยนเฉินเข้าไปโดยปราศจากสิ่งกีดขวาง
“บัดซบ!” ไท่เมี่ยนเฉินกัดฟันแน่น เขาไม่สามารถต่อต้านการโจมตีชนิดนี้
แต่ในช่วงเวลาวิกฤต สายลมกลับพัดมาและทำให้ภาพหลอนเหล่านั้นแตกเหมือนฟองสบู่
“เกือบแล้ว…” ไท่เมี่ยนเฉินหันหน้าไปขอบคุณวูหยง
ความคิดสีม่วงก่อตัวเป็นพายุหมุนอยู่รอบๆวูหยงพร้อมกับอสูรโลหิตที่ปะปนอยู่ภายใน
แต่กระทั่งการต่อสู้จะดุเดือด วูหยงก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ เขายังมีพลังงานเหลือพอที่จะดูแลไท่เมี่ยนเฉินและเฉียวจื่อไคที่อยู่ห่างออกไป
“ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งภูตผี หากเราไม่กำจัดซากศพค้างคาวมรณะ มันจะไม่จบสิ้น” เฉียวจื่อไคตะโกน
เขาต้องตะโกนเพราะวิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาเช่นการถ่ายทอดความคิดใช้งานไม่ได้
ไท่เมี่ยนเฉินมองไปรอบๆและพบซากศพค้างคาวมรณะสามสิบถึงสี่สิบศพ ส่วนใหญ่เป็นค้างคาวมรณะระดับสัตว์อสูรเดียวดายแต่ยังมีค้างคาวมรณะระดับสัตว์อสูรบรรพกาลหลายตัวและกระทั่งค้างคาวมรณะระดับสัตว์อสูรแรกำเนิดหนึ่งตัว
ไท่เมี่ยนเฉินตระหนักถึงบางสิ่ง
ซากค้างคาวเหล่านี้ค่อยๆหลอมละลายไปกับแม่น้ำเลือด บางส่วนเปลี่ยนเป็นความคิดสีม่วง
แต่กระทั่งเขาจะรู้เรื่องนี้ แล้วอย่างไร?
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเริ่มต่อสู้ ราชันภูเขาม่วงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
วูหยงถูกขังอยู่ที่นี่และพยายามป้องกันการโจมตีทั้งหมด
‘ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะให้ท่านวูหยงทำลายซากค้างคาวมรณะที่ผู้อมตะผมม่วงพยายามใช้มันสร้างความได้เปรียบ’
‘ในสถานการณ์นี้ เฉียวจื่อไค่และข้าต้องร่วมมือกันกำจัดซากศพค้างคาวมรณะ’
‘หากผู้อมตะผมม่วงโจมตี ท่านวูหยงจะสามารถหยุดเขาและปกป้องพวกเรา…’
แต่หากวูหยงทำไม่ได้หรือการช่วยพวกเขาอาจทำให้สูญเสียโอกาสที่จะทำลายค่ายกลวิญญาณนี้ วูหยงจะทำอย่างไร?
ไท่เมี่ยนเฉินลังเลเพราะพวกเขาขาดความไว้วางใจซึ้งกันและกัน
อย่างไรก็ตามในจังหวะนี้กลิ่นอายที่แปลกประหลาดกลับปะทุออกมาจากใจกลางสนามรบ
แขนเสื้อของวูหยงกระพือขึ้นและทำให้เขาดูราวกับราชาแห่งสายลม
“เมื่อเจ้าต้องการเห็นวิญญาณอมตะระดับแปดที่แม่ข้าทิ้งไว้ ข้าก็จะแสดงให้เจ้าดู!” วูหยงคำรามเสียงเย็น
ความคิดสีม่วงถูกพัดออกไป แม่น้ำเลือดเกิดความปั่นป่วน
เฉียวจื่อไคตะลึงแต่ยังรู้สึกสนุนสนานอยู่ภายใน
ไท่เมี่ยนเฉินกรีดร้องด้วยความประหลาดใจ “นี่คือ…คฤหาสน์วิญญาณอมตะงั้นหรือ!?”
วูหยงโจมตีโดยปราศจากการแจ้งเตือน
เขาไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะแต่เขานำคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกมาจากมิติช่องว่างของเขาโดยตรง
คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ มันมีลักษณะเหมือนบ้านไม้ไผ่ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในภาคใต้และมักถูกสร้างขึ้นบนภูเขา
บ้านสองชั้นสร้างจากไม้ไผ่ทั้งหมด มันมีกระทั่งใบไผ่ที่แตกใบอยู่บนต้นไผ่และน้ำค้างที่หยดลงมา
วูหยงบินเข้าไปในบ้านไม้ไผ่หลังนี้
เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างและส่งน้ำค้างสิบหยดพุ่งออกจากหลังคา
ทุกที่ที่พวกมันเคลื่อนผ่าน ไม่ว่าจะเป็นความคิดสีม่วงหรือแม่น้ำเลือด ทุกสิ่งจะสลายไปตามสายลม
“น่าประทับใจมาก!” เฉียวจื่อไคชมเชย การเคลื่อนไหวนี้ช่วยคลี่คลายวิกฤตของเขา
‘เดิมทีตระกูลวูมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลัง แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะมีสี่! และคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้มีกลิ่นอายของวิญญาณอมตะระดับแปดสองดวง…วูหยงซ่อนมันไว้ลึกจริงๆ’ ไท่เมี่ยนเฉินคิดด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านขึ้น
ผู้อมตะทั้งสองได้รับการช่วยชีวิตและสามารถเข้าไปในคฤหาสน์วิญญาณอมตะของวูหยง
“นี่คือคฤหาสน์วิญญาณอมตะที่แม่ของข้าสร้างขึ้น บ้านไม้ไผ่สายลม” วูหยงอธิบาย
“ยอดเยี่ยมมาก! ด้วยคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ เราจะไม่เสียเปรียบและจะสามารถหลบหนี” เฉียวจื่อไครู้สึกยินดี
หากวูหยงใช้วิญญาณอมตะระดับแปดสองดวงของวูตู๋ซิ่วเพื่อปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะ เฉียวจื่อไคจะกังวลมากเพราะมันมีโอกาสล้มเหลว ยิ่งท่าไม้ตายทรงพลังเท่าใด มันก็ยิ่งมีโอกาสล้มเหลวและได้รับผลกระทบย้อนกลับเท่านั้น
วูหยงได้รับวิญญาณอมตะระดับแปดสองดวงนี้มาในระยะเวลาสั้น
โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องจัดการปัญหามากมายของตระกูลวู แล้วเขาจะมีเวลาฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะมากน้อยเพียงใด นี่เป็นปัญหาใหญ่
แต่ตอนนี้วิญญาณอมตะระดับแปดทั้งสองกลับถูกใช้สร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ทุกคนรู้ดีว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะใช้งานง่ายและไม่มีผลกระทบย้อนกลับ
อารมณ์ของไท่เมี่ยนเฉินซับซ้อนมากกว่า เขาคิด ‘ตระกูลวูมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะสี่หลังและนี่เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดที่เหนือกว่าวิญญาณอมตะอีกสามหลัง ตราบเท่าที่พวกเขามีพลังงานอมตะเพียงพอ มันก็เหมือนกับตระกูลวูมีผู้อมตะระดับแปดสามคน วูหยงเก็บเรื่องนี้ไว้ลึกจริงๆ!’
ด้วยวิธี้นี้ เขาจึงต้องประเมินวูหยงใหม่อีกครั้ง
ตระกูลวูเผชิญหน้ากับภัยคุกคามรอบตัว พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ แต่ตราบเท่าที่เขาใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดหลังนี้ ปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข ชื่อเสียงของตระกูลวูจะพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งและกองกำลังอื่นจะหยุดความโลภของพวกเขา
แต่วูหยงกลับไม่ทำ
เขาใช้กำลังของตนเองเพื่อจัดการปัญหาต่างๆและซ่อนคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้เอาไว้ กระทั่งผู้อมตะตระกูลวูก็ยังไม่รู้เรื่องนี้
หากพวกเขาไม่ติดอยู่ในค่ายกลนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าวูหยงมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดซ่อนอยู่
‘ด้วยสิ่งนี้ วูหยงก็ไม่ด้อยกว่าวูตู๋ซิ่ว โชคดีที่ตระกูลไท่ของข้าอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภาคใต้ ขณะที่ตระกูลวูอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียวใต้ เราอยู่ห่างกันและก่อนหน้านี้ตระกูลไท่ก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับตระกูลวู’ ไท่เมี่ยนเฉินลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กองกำลังใหญ่ของภาคใต้ปกครองอาณาเขตของตนมาอย่างยาวนาน พวกเขาเข้าใจกันอย่างชัดเจน แต่เมื่อวูตู๋ซิ่วเสียชีวิต ความสมดุลนี้จึงพังทลายลง ดังนั้นกองกำลังอื่นจึงพยายามฉกฉวยผลประโยชน์จากตระกูลวู
แต่ทันทีที่คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ถูกเปิดเผยออกไป มันจะเข้าแทนที่วูตู๋ซิ่วและสามารถปราบปรามภาคใต้อีกครั้ง
วูหยงวางแผนอย่างลึกซึ้ง เมื่อเขานำคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ออกมา ตระกูลอื่นจะพบกับความทุกข์ทรมานและการสูญเสียครั้งใหญ่!
บทที่ 1345 สถานการณ์บีบบังคับ
ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า รุ่งเช้าอากาศยังชื้นแฉะ
ผู้อมตะสองคนของตระกูลฮั่วยืนอยู่บนก้อนเมฆและมองลงไปยังหุบเขาด้านล่าง
หุบเขาเมฆาสีทอง!
หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ในยามค่ำคืนหมอกจะบดบังการมองเห็นทั้งหมด แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น แสงแดดจะทำให้หมอกเปลี่ยนเป็นสีทอง
“นี่คือหุบเขาเมฆาสีทอง มันสร้างทรัพยากรบนเส้นทางแห่งโลหะและเส้นทางแห่งเมฆา ตระกูลวูพรากมันไปจากเราเมื่อนานมาแล้ว” ผู้อมตะตระกูลฮั่วถอนหายใจ “แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะทวงคืนทรัพย์สินของเราแล้ว!”
ผู้อมตะตระกูลฮั่วอีกคนที่ดูคล้ายปีศาจอมตะพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะบินไปยังหุบเขาเมฆาสีทองอย่างเงียบๆ
ก่อนหน้านี้หุบเขาเมฆาสีทองอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลวู แต่การหายตัวไปของวูหยงทำให้ฟางหยวนออกคำสั่งเรียกผู้อมตะทุกคนกลับตระกูล
ข่าวนี้อาจถูกปิดได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่สุดท้ายทุกคนก็สังเกตเห็น
อย่างไรก็ตามตระกูลฮั่วเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ พวกเขาไม่สามารถโจมตีได้โดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเอ่ยอ้างว่ากำลังไล่ล่าปีศาจอมตะที่บุกเข้ามาในหุบเขาเมฆาสีทองอย่างอุกอาจ
เมื่อพวกเขายึดหุบเขาเมฆาสีทอง มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตระกูลวูจะทวงคืน
เมื่อเวลานั้นมาถึงตระกูลฮั่วจะหาข้ออ้างมากมายเช่นเราจะช่วยตระกูลวูปกป้องหุบเขาเมฆาสีทอง
ข้ออ้างคือสิ่งสำคัญที่สุดของฝ่ายธรรมะ
เว้นเพียงตระกูลวูจะมีความแข็งแกร่งอันเป็นที่สุดและบังคับให้ตระกูลฮั่วล่าถอยออกไป
ปีศาจอมตะของตระกูลฮั่วโจมตีหุบเขาเมฆาสีทองอย่างต่อเนื่อง
แม้ผู้อมตะตระกูลวูจะจากไปแต่ค่ายกลวิญญาณยังถูกทิ้งไว้เพื่อปกป้องแหล่งทรัพยากรของพวกเขา
ในเวลานี้มันกำลังปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาเพื่อป้องกันตัวมันเอง
ผู้อมตะตระกูลฮั่วคำรามและส่งดาบพลังปราณออกมาทำลายทุกสิ่งกีดขวาง
เห็นได้ชัดว่าตระกูลฮั่วเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ค่ายกลวิญญาณของตระกูลวูเป็นเพียงค่ายกลวิญญาณระดับมนุษย์ แล้วมันจะสามารถต่อต้านผู้อมตะระดับเจ็ดได้อย่างไร?
ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายในการโจมตีเดียว หมอกสีทองแยกออกและเผยให้เห็นลักษณะที่แท้จริงของหุบเขาแห่งนี้
ผู้อมตะตระกูลฮั่วมองมันด้วยดวงตาส่องประกายก่อนที่คนหนึ่งจะตะโกน “จอมวายร้าย เจ้าจะไปที่ใด?”
ผู้อมตะตระกูลฮั่วอีกคนที่ดูเหมือนปีศาจอมตะพุ่งลงไปยังหุบเขาด้านล่าง
…..
น้ำตกสีม่วงไหลลงมาจากความสูงเกือบร้อยเมตร
มันคือน้ำตกพิษ!
บนภูเขาใกล้กับน้ำตกแห่งนี้มีหมู่บ้านที่ตระกูลวูดูแลอยู่
“ตาย ตาย!” ผู้ใช้วิญญาณจำนวนมากพุ่งเข้าสู่ภูเขา
ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลวูล่าถอยไปถึงแนวป้องกันสุดท้าย
หัวหน้าหมู่บ้านผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ของตระกูลวูตะโกน “ตระกูลหยางช่างน่ารังเกียจนัก พวกเจ้ากล้าโจมตีตระกูลวูจริงๆ!”
“ฮืม เราอดทนกับพวกเจ้ามานานแล้ว พ่อแม่ของข้าเพียงต้องการวิญญาณเพื่อนำไปรักษาพิษ แต่พวกเขากลับเสียชีวิตบนภูเขาลูกนี้ วันนี้พวกเราจะทวงบัญชีแค้น!” ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลหยางพุ่งเข้าโจมตีด้วยความโกรธ
“บัดซบ!” ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลวูอยู่ในตำแหน่งป้องกันขณะที่ตระกูลหยางเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและนำกองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้ามา
ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลวูพ่ายแพ้และทำได้เพียงหลบหนีเท่านั้น
ผู้ใช้วิญญาณตระกูลหยางโห่ร้องอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง
บนท้องฟ้าผู้อมตะตระกูลหยางกำลังเฝ้ามองสิ่งนี้ด้วยใบหน้าที่มีความสุข
นี่คือพื้นที่ทับซ้อนของตระกูลหยางและตระกูลวู ตระกูลหยางวางแผนมานานแล้ว พวกเขาส่งกลุ่มผู้ใช้วิญญาณของตระกูลหยางมาที่นี่เพื่อสร้างความขัดแย้ง
ด้วยเหตุนี้ตระกูลหยางจึงสามารถบุกเข้ายึดครองอาณาเขตของตระกูลวูได้อย่างเปิดเผย
ด้วยกฎของฝ่ายธรรมะ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความขัดแย้งของมนุษย์
น้ำตกพิษเป็นแหล่งทรัพยากรระดับมนุษย์ มันสร้างวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งพิษ สิ่งนี้ไม่มีความสำคัญต่อผู้อมตะ
แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรก ตระกูลหยางต้องการก้าวต่อไปจนถึงแหล่งทรัพยากรที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง นั่นคือภูเขาซากศพ!
…..
“ครืน…”
เสียงคลื่นน้ำดังเข้าหูของผู้อมตะตระกูลเหยา
เขายืนอยู่บนยอดเขาจักรพรรดิผีดิบและมองไปที่แม่น้ำมังกรแดง
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นของผู้อมตะระดับแปดจักรพรรดิผีดิบหยูติงเทียนมาก่อน หลังจากเขาเสียชีวิต มันกลายเป็นสถานที่รกร้าง
แต่ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นภูเขาผีดิบ
มีผีดิบจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่ พวกมันยังให้กำเนิดวิญญาณผีดิบบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงตลอดไปถึงวิญญาณปราณผีดิบบนเส้นทางแห่งพลังปราณ
ก่อนหน้านี้กองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคใต้ต้องการซื้อภูเขาลูกนี้จากตระกูลวู แต่ตระกูลวูปฏิเสธ
“ตอนนี้มันเป็นของตระกูลเหยาแล้ว!” ผู้อมตะตระกูลเหยาตื่นเต้นมาก
ข่าวเรื่องวูหยงเสียชีวิตแพร่กระจายออกไป
หลังจากนั้นกองกำลังใหญ่หลายกองกำลังจึงร่วมมือกันและกระทำการเหล่านี้
ตระกูลเหยา ตระกูลหยาง และตระกูลฮั่ว พวกเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
…..
สำนักงานใหญ่ของตระกูลวูตกอยู่ในความโกลาหล
“บัดซบ! สามตระกูลนี้ช่างกล้าหาญนัก!”
“เราสูญเสียทรัพยากรไปสามแห่งในครั้งเดียว โดยเฉพาะภูเขาผีดิบ นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ในอดีตตระกูลวูต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มันมา”
“ตอบโต้ เขาต้องตอบโต้! เรามีคฤหาสน์วิญญาณอมตะ เราต้องเกรงกลัวสิ่งใด?”
ผู้อมตะตระกูลวูตะโกนด้วยความวิตกกังวล บางคนถกเถียง บางคนคัดค้าน บางคนเงียบ
ผ่านไปมากกว่าสิบวันตั้งแต่วูหยงหายตัวไปโดยไม่ทราบชะตากรรม
ตระกูลวูพยายามปกปิดข้อมูลนี้ แต่ดังคาด คนร้ายเผยแพร่ข่าวเรื่องนี้ออกไปแล้ว
แรกเริ่มกองกำลังใหญ่ปฏิเสธที่จะเชื่อ แต่หลังจากนั้นพวกเขาจึงตระหนักว่ามันเป็นเรื่องจริง
เนื่องจากฟางหยวนคาดเดาสถานการณ์นี้ไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเผยแพร่ข้อมูลเท็จมากมายออกไปเพื่อหลอกลวงกองกำลังเหล่านั้น
แต่การกระทำของเขายังไร้ประโยชน์
กองกำลังใหญ่ไม่ได้โง่ หลังจากสังเกตการณ์ ในที่สุดพวกเขาก็ลงมือ ทันทีที่พวกเขาลงมือ ตระกูลวูตกอยู่ในจุดที่ยากลำบาก พวกเขาสูญเสียแหล่งทรัพยากรมากมาย
ในห้องประชุม ที่นั่งหลักว่างเปล่า วูป๋าชงนั่งอยู่ในตำแหน่งของเขาและคอยสังเกตการแสดงออกของกลุ่มผู้อมตะอย่างเงียบๆ แม้เขาจะหนักใจ แต่เขาก็รู้สึกพอใจเล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปที่วูเฉียว ริมฝีปากของเขาก็ขดตัวขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เพราะวูเฉียวเป็นผู้รับผิดชอบภูเขาผีดิบ
วูเฉียวแสดงออกอย่างเย็นชา
แม้เขาจะตระหนักถึงรอยยิ้มยั่วยุของวูป๋าชง แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้และนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น
“หยุดโต้เถียง” วูป๋าชงกล่าว
คราวนี้ไม่มีผู้ใดตำหนิเขา ห้องประชุมเงียบลงอย่างรวดเร็ว
วูป๋าชงพอใจกับสิ่งนี้ ภายใต้สายตาที่วิตกกังวลของกลุ่มผู้อมตะ เขาถอนหายใจ “เรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นกับตระกูลวูแต่เรายังไม่สามารถตัดสินใจ ไปขอให้ท่านวูอี้ไห่ตัดสินกันเถอะ”
วูเฉียวขมวดคิ้ว
ผู้อมตะตระกูลวูมองหน้ากัน
บางคนไม่พอใจและบ่น “เรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นกับตระกูล แต่ท่านวูอี้ไห่ยังอยู่ในค่ายกลวิญญาณ”
“ข้าได้ยินว่าเทพธิดาซื่อหลิวไปที่นั่นเมื่อสิบกว่าวันก่อน ข้ายังได้ยินว่ามีเทพธิดากระต่ายขาว…” ผู้อมตะบางคนกล่าวด้วยเจตนาร้าย
วูเฉียวขมวดคิ้วลึก เขาต้องการพูดแทนฟางหยวน แต่เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่กล่าวสิ่งใด
ไม่นานจดหมายจากตระกูลวูก็ไปถึงฟางหยวน
ฟางหยวนไม่แปลกใจ เขาคาดเดาไว้แล้ว
“ดูเหมือนข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว” ฟางหยวนมองอาณาจักรแห่งความฝันและถอนหายใจ
หลายวันที่ผ่านมาเขาต้องการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันต่อไป แต่โชคไม่ดีที่มันยังเป็นอาณาจักรแห่งความฝันที่ไร้สาระ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สำรวจมัน
บทที่ 1346 ปัญหาของตระกูล
แน่นอนว่าหลายวันที่ผ่านมาฟางหยวนไม่ได้ไม่ทำสิ่งใดเลย
แมงมุมหน้าคนจำนวนมากถูกขายออกไป ตอนนี้เขาไม่ขาดแคลนลูกพลัมแดงอมตะอีกต่อไป
สำหรับท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ ฟางหยวนพัฒนามันเสร็จแล้วและเหลือเพียงการทดสอบเท่านั้น
เนื่องจากความสำเร็จบนเส้นทางแห่งความมืดที่ก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ เขาจึงประสบความสำเร็จในการสร้างท่าไม้ตายอมตะเพื่อเพิ่มพลังอำนาจในการปกปิดตัวตน
ในเวลานี้เฉียวซื่อหลิวมาพบเขา
ประตูเปิดออกตามความประสงค์ของฟางหยวน
เฉียวซื่อหลิวแสดงความกังวลบนใบหน้า
นางนำข่าวร้ายมาด้วย
นอกเหนือจากตระกูลเหยา ตระกูลฮั่ว และตระกูลหยางที่บุกเข้ายึดครองแหล่งทรัพยากรของตระกูลวู ตระกูลปาและตระกูลเซี่ยก็เคลื่อนไหวเช่นกัน แต่มันเป็นการโจมตีตระกูลเฉียว
ตระกูลปาและตระกูลเซี่ยอยู่ทางเหนือของตระกูลเฉียว
ตระกูลเฉียวสูญเสียทะเลสาบชุดแต่งงานและหลุมแห่งความว่างเปล่า
หลังจากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวหายตัวไป ตระกูลเฉียวใช้กลยุทธ์รวบรวมผู้อมตะเพื่อปกป้องฐานที่มั่นเช่นเดียวกับตระกูลวู
สิ่งนี้ทำให้ตระกูลปาและตรกูลเซี่ยประสบความสำเร็จในการฉกฉวยผลประโยชน์
ตระกูลเฉียวพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
ทะเลสาบชุดแต่งงานและหลุมแห่งความว่างเปล่าเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีค่ายิ่งกว่าบ่อเลือด
ตระกูลเฉียวเป็นกองกำลังใหญ่ฝ่ายธรรมะที่อ่อนแอที่สุด หลังจากสูญเสียแหล่งทรัพยากรทั้งสอง พวกเขาโกรธมาก
ฟางหยวนเคยได้ยินเกี่ยวกับแหล่งทรัพยากรทั้งสองเช่นกัน
มีนิทานเกี่ยวกับทะเลสาบชุดแต่งงาน มันกล่าวว่าชายใดที่ได้รับชุดแต่งงานของเทพธิดา คนผู้นั้นจะกลายเป็นสามีของนาง
หลังจากเทพธิดาตัดเย็นชุดแต่งงานเสร็จ นางโยนมันลงไปในทะเลสาบแห่งนี้ ชายชาวประมงที่อาศัยอยู่ริมทะเลสาบหยิบมันขึ้นมา
หลังจากนั้นมนุษย์กับผู้อมตะก็ครองรักกันอยู่ที่ทะเลสาบแห่งนี้อย่างมีความสุขตลอดไป
นี่เป็นเพียงนิทาน แต่ทะเลสาบชุดแต่งงานก็เป็นแหล่งผลิตวิญญาณประเภทชุดคลุมทุกประเภท ตัวอย่างเช่นวิญญาณอาภรณ์เพลิง วิญญาณเกราะวารี วิญญาณเกราะไม้ และอื่นๆ
ในประวัติศาสตร์ มันผลิตวิญญาณอมตะให้กับตระกูลเฉียวถึงสามดวง
สำหรับหลุมแห่งความว่างเปล่า ตำนานกล่าวว่ามันเป็นประตูสู่โลกหลังความตาย เมื่อพวกเขาโยงศพของมนุษย์ลงไป ศพเหล่านั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งห้วงมิติ
ดังนั้นมนุษย์ผู้โง่เขลาเหล่านี้จึงคิดว่ามันเป็นประตูสู่โลกหลังความตาย
ความจริงก็คือสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งผลิตทรัพยากรบนเส้นทางแห่งห้วงมิติ ตระกูลเซี่ยต้องการแหล่งทรัพยากรนี้มาอย่างยาวนาน แม้ตระกูลเฉียวจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา แต่ตระกูลเฉียวก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลวู
ตอนนี้เมื่อเฉียวจื่อไคและวูหยงหายตัวไป แล้วตระกูลเซี่ยจะทิ้งโอกาสนี้ได้อย่างไร
ตระกูลเฉียวและตระกูลวูเป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนาน โชคชะตาของพวกเขาเชื่อมต่อกัน
ดังนั้นตระกูลเฉียวจึงถูกรุนรานโดยตระกูลปาและตระกูลเซี่ยไม่ต่างจากตระกูลวู
สถานการณ์เลวร้ายอย่างที่สุด
หากพวกเขาไม่สามารถหยุดสิ่งนี้ ตระกูลวูและตระกูลเฉียวจะสูญเสียอาณาเขตมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าจะดำเนินการเดี๋ยวนี้ วูเฉียวจะส่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะมาที่นี่เพื่อนำพวกเรากลับไป!” ฟางหยวนกล่าวกับเฉียวซื่อหลิว
เฉียวซื่อหลิวพยักหน้า นี่คือเหตุผลที่นางมา ด้วยสถานการณ์ของตระกูลเฉียว เฉียวซื่อหลิวต้องขอความช่วยเหลือจากฟางหยวน
ในความเป็นจริงความล่าช้าของฟางหยวนทำให้เฉียวซื่อหลิวไม่มีความสุขนัก หากไม่ใช่เพราะตระกูลเฉียวมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะเพียงหลังเดียว พวกเขาจะส่งมันออกมาเพื่อนำฟางหยวนออกไปนานแล้ว
“เราต้องร่วมมือกัน รวบรวมผู้อมตะตระกูลเฉียว เราจะไปพร้อมกัน” ฟางหยวนกล่าวอีกครั้ง
เฉียวซื่อหลิวตะลึง “ร่วมมือกัน แล้วที่นี่…”
“เราต้องปล่อยมันไปชั่วคราว” ฟางหยวนตัดสินใจโดยไม่ลังเล
“แล้ววิญญาณอมตะที่พวกเราใช้สร้างค่ายกลวิญญาณนี้จะทำอย่างไร?” เฉียวซื่อหลิวขมวดคิ้ว
“เราจะนำพวกมันออกไปเช่นกัน มิฉะนั้นผู้อมตะบางคนที่มีเจตนาร้ายจะพยายามปรับแต่งพวกมันหรือกระทั่งทำลายพวกมัน เรารู้ว่าคนเหล่านี้สามารถทำสิ่งใด ข้อแก้ตัวหาง่ายเกินไป” ฟางหยวนกล่าวอย่างชัดเจน
“อย่าลืมว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของข้าไม่ต่ำต้อย ข้าสามารถนำวิญญาณอมตะบางดวงออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา” ฟางหยวนกล่าวเสริม
นี่ทำให้เฉียวซื่อหลิวคิดถึงการแข่งขันระหว่างฟางหยวนและจื่อซาน ‘ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของวูอี้ไห่ไม่ต่ำต้อยแน่นอน จื่อซานยังเคยยกย่องเขาในเรื่องนี้’
แท้จริงแล้วนางยังประเมินฟางหยวนต่ำเกินไป
ตอนนี้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนบรรลุระดับปรมาจารย์ซึ่งเทียบเท่ากับจื่อซานแล้ว
ในอดีตฟางหยวนไม่เข้าใจค่ายกลวิญญาณนี้ แต่หลังจากกลายเป็นปรมาจารย์และอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ฟางหยวนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกลวิญญาณนี้
เขาอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่ายกลวิญญาณนี้ แต่การนำวิญญาณอมตะบางดวงออกไปไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลังจากตัดสินใจ เฉียวซื่อหลิวเรียกผู้อมตะตระกูลเฉียว เฉียวป๋อ เข้าพบ “เก็บสัมภาระ เมื่อคฤหาสน์วิญญาณอมตะของตระกูลวูมาถึง เราจะออกเดินทางและกลับฐานทัพของเรา”
เฉียวป๋อตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาถามต่อ “พวกเขาจะมาเมื่อใด ข้าต้องจัดการคนของตระกูล”
เฉียวซื่อหลิวมองฟางหยวน
ฟางหยวนโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าพึ่งติตต่อพวกเขา มันต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง”
เฉียวป๋อแสดงความยินดีบนใบหน้าก่อนจะจากไปด้วยความเคารพ
‘แม้ฐานทัพของตระกูลวูจะอยู่ไม่ไกลจากภูเขาอี้เทียน แต่การส่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกมายังต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวัน ในกรณีนี้ข้ายังสามารถทำธุรกิจรอบสุดท้าย’ เฉียวป๋อจากไปและเริ่มแผนการของตนเอง
มันคือธุรกิจซื้อขายโอกาส
ตระกูลเฉียวและตระกูลวูตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน สิ่งนี้ทำให้ผู้อมตะตระกูลเฉียวและตระกูลวูรู้สึกวิตกกังวล ธุรกิจซื้อขายโอกาสกำลังเจริญรุ่งเรือง เดิมทีเฉียวป๋อไม่พอใจที่ถูกส่งตัวมาที่นี่ แต่ธุรกิจซื้อขายโอกาสทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป
‘ตอนนี้พวกเรากำลังจะกลับไป ธุรกิจซื้อขายโอกาสไม่สามารถดำเนินการต่อ มันอาจเกิดการต่อสู้ขึ้นหลังจากนี้ ตั้งแต่พวกเขาต้องจากไป ข้าก็จะทำกำไรครั้งใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย!’ เฉียวป๋อกัดฟันตัดสินใจ
วันต่อมา
เฉียวป๋อไปพบเทพธิดาเมี่ยวหยิน
“เทพธิดา เราพบกันอีกแล้ว” เฉียวป๋อแสดงออกด้วยความตื่นเต้น
แม้เทพธิดาเมี่ยวหยินจะเป็นปีศาจอมตะ แต่ความแข็งแกร่งและรูปลักษณ์ของนางก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถดูแคลน นางเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามที่สุดของภาคใต้เทียบเท่ากับเฉียวซื่อหลิว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเทพธิดาเมี่ยวหยินเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แม้จิตวิญญาณของนางจะได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็สามารถรวบรวมทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันมาได้ไม่น้อย
แม้ตระกูลวูและตระกูลเฉียวจะพยายามขอซื้อทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันจากนาง แต่นางปฏิเสธทั้งหมดโดยไม่ลังเล
“เข้าไปคุยกันเถอะ” เฉียวป๋อชำเลืองมองผู้อมตะอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังเทพธิดาเมี่ยวหยิน
ตามกฎ ปีศาจอมตะหรือผู้บ่มเพาะสันโดษจะเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น
แต่คราวนี้เนื่องจากเฉียวป๋อกำลังจะจากไป เขาจึงต้องการทำธุรกรรมครั้งใหญ่และนำผู้อมตะสามคนเข้าไปพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกัน พื้นที่ของตระกูลวู
เทพธิดากระต่ายขาวมองวูอัน “ท่านวูอัน จริงหรือไม่ที่ทุกคนกำลังจะจากไป? เหตุใดจึงกะทันหันนัก?”
วูอันพยักหน้า “สถานการณ์ไม่ดีนัก ข้าแน่ใจว่าเจ้าได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา อย่ากังวล ตระกูลวูจะไม่ร่วงหล่นลง อยู่ที่นี่จัดการธุรกิจซื้อขายโอกาสต่อไปและรอพวกเรากลับมา”
เทพธิดากระต่ายขาวครุ่นคิดก่อนถาม “ก่อนที่พวกท่านจะจากไป ข้าขอพบท่านวูอี้ไห่อีกครั้งได้หรือไม่?”
“นี่…” วูอันรู้สึกลำบากใจ “ท่านวูอี้ไห่กำลังปิดประตูฝึกตน ท่านกำลังคิดค้นท่าไม้ตายอมตะ ท่านอาจไม่มีเวลาให้เจ้า”
เทพธิดากระต่ายขาวแสดงออกด้วยความโศกเศร้า “ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงรู้สึกไม่ดี ข้าอยากพบท่านวูอี้ไห่ ข้าเพียงต้องการเห็นหน้าเขาอีกครั้ง ข้าจะรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านวูอี้ไห่จะออกมาได้หรือไม่?”
วูอันถอนหายใจ
เห็นได้ชัดว่าเทพธิดากระต่ายขาวหลงรักวูอี้ไห่
‘น่าเสียดายที่มันอาจเป็นรักข้างเดียว ข้าเกรงว่าในสายตาของท่านวูอี้ไห่ เทพธิดากระต่ายขาวจะเป็นเพียงเครื่องมือของเขาเท่านั้น’ วูอันรู้สึกเห็นใจ
เขาพยักหน้าตอบ “เอาล่ะ เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ ท่านวูอี้ไห่จะพบเจ้าหลังจากท่านออกจากการปิดประตูฝึกตน”
“ขอบคุณ” เทพธิดากระต่ายขาวดีใจมาก
ในห้องลับ ฟางหยวนถือวิญญาณอมตะระดับเจ็ดไว้ในมือ
วิญญาณความระมัดระวัง!
นี่เป็นวิญญาณอมตะหนึ่งในสองดวงที่ฟางหยวนได้รับจากตระกูลวูหลังจากวูอี้ไห่กลับเข้าตระกูล
ดังชื่อของมัน วิญญาณอมตะดวงนี้จะช่วยปกป้องผู้อมตะ
มันเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกฎ แต่มันมีจุดอ่อนอยู่หนึ่งประการ นั่นคือเมื่อมันถูกกระตุ้นใช้งาน มันต้องใช้เวลาสิบลมหายใจก่อนจะสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจออกมา
สิบลมหายใจไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆสำหรับผู้อมตะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ที่ดุเดือด เวลาสิบลมหายใจเพียงพอสำหรับการต่อสู้หลายรอบ
สิ่งสำคัญที่สุดคือหากผู้อมตะถูกลอบโจมตี ชีวิตและความตายของพวกเขาจะถูกตัดสินทันที เมื่อเวลานั้นมาถึง การพึ่งพาวิญญาณอมตะความระมัดระวังจะช้าเกินไป
อย่างไรก็ตามหลังจากสิบลมหายใจ พลังป้องกันที่มันปลดปล่อยออกมาจะน่าเหลือเชื่อมาก มันเป็นหนึ่งในวิญญาณอมตะระดับเจ็ดสายป้องกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด มันมีสถานะเทียบเท่ากับวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ
ไม่นานมานี้ฟางหยวนเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ เขาต้องการผสานวิญญาณอมตะความระมัดระวังเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ
และตอนนี้เขาประสบความสำเร็จในการพัฒนามันเรียบร้อยแล้วและเหลือเพียงการทดสอบเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น