ลำนำบุปผาพิษ 1337-1350
บทที่ 1337 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 6
ตี้ฝูอี ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น
เขาปรากฏตัวขึ้นในอากาศท่ามกลางความว่างเปล่า เบื้องหลังคือร่มเงาของต้นไม้สีเขียวเข้ม เขาสวมชุดขาวยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเทพที่เหาะเหินอยู่บนเมฆา ไอพลังรอบกายแผ่ไพศาล ราวกับถ้ามองเขามากไปสักแวบจะเป็นการหยามหมิ่นเอาได้ แรงกดดันที่ทรงพลังทำให้เหล่าสัตว์ร้ายกลั้นหายใจเช่นกัน…
คนทั้งหลายล้วนตะลึงงัน ศาตราวุธในมือที่ฟาดฟันอยู่หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าหายใจแรงไปชั่วขณะ
เคราะห์ดีที่เหยี่ยวนิลกาฬสองตัวนั้นไม่รู้ว่าถูกแรงกดดันอันทรงพลังของเขาสะกดข่ม หรือว่าถูกเสีงขลุ่ยปัดเป่าไอพยาบาททั้งหมดไปแล้ว จึงส่ายโงนเงนเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวาอยู่ตรงนั้นดั่งเมามายก็มิปาน โซซัดโซเซอยู่บนพื้น
ฝูงนกที่บินอยู่บนฟ้า เหล่าสัตว์ที่วิ่งอยู่บนพื้น เดิมทีไอพยาบาทบนร่างเข้มข้นยิ่งนัก นัยน์ตาแดงฉานปานโลหิต ท่าทีดุร้ายยิ่งนัก แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การกำราบของเสียงขลุ่ย จิตใจของพวกมันก็ราวกับถูกสายลมกระจ่างปัดเป่าให้ได้สติ นิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง นัยน์ตาแดงฉานค่อยๆ กลับเป็นปกติ
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ฝูงนกและเหล่าสัตว์ถูกเหยี่ยวนิลกาฬควบคุม ยามนี้พอได้สติกลับมาย่อมไม่เข้าร่วมการปิดล้อมโจมตีอีกต่อไป
ฝูงนกบินวนรอบตี้ฝูอีรอบหนึ่ง แล้วกระพือปีกจากไป
ฝูงสัตว์ก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึงประหนึ่งบูชา พยักเพยิดศีรษะให้ตี้ฝูอีที่อยู่บนฟากฟ้าไม่หยุดเสมือนพวกมนุษย์ยามกราบกราน จากนั้นก็หันหลังวิ่งไปทางภูเขาด้านหลัง…
….
เวลาผ่านพ้นไปชั่วระยะหนึ่งถ้วยชา ฝูงนกและฝูงสัตว์ร้ายล้วนหายไปแล้ว
แม้แต่เหยี่ยวนิลกาฬสองตัวล้มปวกเปียกอยู่ตรงนั้น พวกมันคิดจะหยัดกายขึ้นแล้วหลบหนี แต่ก็ถูกเสียงขลุ่ยสะกดไว้ บนร่างเริ่มมีไอดำผุดออกมาเป็นระลอก ร่างกายของพวกมันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็หดเป็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งแน่นิ่งไปแล้ว เมื่อสายลมพัดพา ร่างกายของพวกมันก็สลายเป็นเถ้าปลิวกระจัดกระจายไป
ฉากนี้น่าตกตะลึงเกินไป เดิมทีฝูงชนสิ้นหวังกันถ้วนหน้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเกิดช่วงเวลานี้ขึ้น
ทุกคนเงยหน้ามองตี้ฝูอีที่ยืนอยู่กลางอากาศดึงสติกลับมาไม่ได้ชั่วขณะ นี่สิถึงจะใช่เขา สูงส่งเหนือปวงชน ลึกลับอัศจรรย์ปานเทพเซียน ดังเทพเจ้าที่ก้มมองเหล่ามนุษย์
ตี้ฝูอีในรูปแบบนี้พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพียงรู้สึกได้รางๆ ไอพลังบนร่างเขาคล้ายจะแตกต่างไปจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่พวกเขาเคยพบในกาลก่อน แน่นอนว่าแตกต่างไปจากตี้ฝูอีที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกเขาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสภาพจนตรอกยิ่งนักด้วย…
บุคลิกเช่นนี้ของเขาทำให้คนอยากสักการะบูชายิ่งนัก กราบกรานลงไปโดยไม่คิดเลย
มีคนหมอบกราบลงไปแล้วจริงๆ ทำลงไปอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
กู้ซีจิ่วก็มองเขาอยู่เช่นกัน หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจห้ามปรามได้
ความคิดที่หนึ่ง ‘ในที่สุดเขาก็ออกมาแล้ว แถมยังออกมาก่อนกำหนดตั้งหนึ่งวัน!’
ความคิดที่สอง ‘ไม่น่าเชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆ พลังยุทธ์ของเขาจะฟื้นฟูได้ถึงเพียงนี้!’
ความคิดที่สาม ‘วรยุทธ์ที่เขาสำแดงออกมาเป็นของเทพศักดิ์สิทธิ์! ท่วงทำนองสีรุ้งที่หลั่งรินคือหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด’
หรือเขาคิดจะเผยฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาที่นี่?!
ขณะที่กู้ซีจิ่วค่อนข้างเหม่อลอย เขาก็ร่อนลงยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ถึงทำให้สติสติของเธอกลับคืนมา “ท่าน…พลังยุทธ์ของท่านกลับเป็นปกติแล้วหรือ?”
มุมปากตี้ฝูอียกขึ้นเล็กน้อย ร่างกายพลันส่ายโอนเอน มือข้างหนึ่งเกาะไหล่เธอไว้ “ยังหรอก ฝืนเอาเท่านั้น”
น้ำหนักทั้งหมดของเขาแทบจะกดทับบนร่างของกู้ซีจิ่ว เขากระซิบประโยคหนึ่งข้างหูเธอ “เด็กน้อย ข้าใช้แรงไปหมดแลว ยามนี้ค่อนข้างอ่อนแอ…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ฝูงชนก็เงียบงันเช่นกัน
จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์ก็มุดออกมาจากต้นไม้ยักษ์เสียงดังสวบ หมุนไปรอบๆ กู้ซีจิ่วอย่างยินดีปรีดารอบหนึ่ง อ้าฝาแล้วโอ้อวด “เจ้านายๆ ข้าทะลวงขั้นแล้ว!”
มันทะลวงขั้นแล้วจริงๆ เปลือกที่เดิมทีเป็นสีดำตุ่นๆ กลายเป็นห้าสีแล้ว รอบกายคล้ายจะส่องประกายระยิบระยับ
มันทะลวงขั้นแล้วจริงๆ เป็นขั้นแปด!
———————————————————–
บทที่ 1338 ความจริง
หมู่บ้านขนาดใหญ่ถูกทำลายจนเละเทะ กระท่อมของทุกคนส่วนใหญ่ล้วนถูกพังจนมีสภาพไม่ต่างกัน ยุ่งเหยิงไปทั่วแห่งหน
เพียงแต่ ครั้งนี้ทุกคนรอดพ้นจากความตายมาได้ สามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว สร้างบ้านเรือนขึ้นมาใหม่ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อย
เนื่องจากมีคนบาดเจ็บไม่น้อย บาดแผลที่ได้รับก็เป็นบาดแผลประหลาดที่มีวัชพืชมุดออกมาจากปากแผล มองแล้วทำให้หัวใจคนหนาวสะท้าน
บาดแผลเช่นนี้กู้ซีจิ่วก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน โชคดีที่ตี้ฝูอีเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง เขาหยิบโอสถออกมาสองสามเม็ดสั่งให้นำไปละลายน้ำ แล้วใช้คนใช้น้ำชนิดนี้ชำระล้างบาดแผล จะว่าไปก็แปลก วัชพืชที่งอกออกมาจากบาดแผลของคนเหล่านั้นเดิมทีเขียวชอุ่มปานทุ่งหญ้า แตะโดนเล็กน้อยก็จะเจ็บปวดคันคะเยอไปถึงหัวใจ ไม่อาจสัมผัสแตะต้องได้ แต่หลังจากใช้น้ำยาชนิดนี้ทาลงไป ‘วัชพืช’ เหล่านั้นก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาร่วงโรย กลายเป็นไอดำสลายหายไป เผยให้เห็นเนื้อหนังที่แท้จริงด้านใน…
ภัยพิบัติครั้งนี้สูญเสียประชากรไปทั้งสิ้นหกคน บาดเจ็บอีกกว่าหนึ่งโหล ถึงแม้จะมีผู้เสียชีวิตหนักหนาที่สุดครั้งหนึ่ง แต่ก็ดีกว่าถูกกวาดล้างกันทั้งบางมากนัก
ฝูงชนทั้งโศกศัลย์ทั้งยินดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดเริ่มสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง
ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซับซ้อนยิ่งนัก เคยชิงชังรังเกียจเป็นที่สุด แต่ครานี้เป็นเพราะการปรากฏตัวของเขาถึงช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้ ดังนั้นความเกลียดก็ดีความชังก็ช่าง ทั้งหมดสลายหายไปดั่งหมอกควัน
ดังนั้นยามที่พวกเขาสร้างบ้าน จึงช่วยกันสร้างบ้านให้เขาด้วยตัวเองหลังหนึ่ง งดงามเช่นเดียวกับหลังนั้นของกู้ซีจิ่ว
ในการฟื้นฟูบ้านเรือนทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกเหนือจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว แทบทั้งหมดล้วนมีส่วนในการก่อสร้างบ้านเรือนอย่างขะมักเขม้น
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วกับหลัวจั่นอวี่ก็ยุ่งง่วนกับการรักษาผู้คน…
ส่วนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเตร็ดเตร่อยู่รอบๆ คล้ายกำลังคำนวณอะไรอยู่
เนื่องจากครั้งนี้บ้านเรือนถูกพังยับเยิน คิดจะก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสี่วัน
ทุกคนยุ่งกันอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงสร้างบ้านเรือนเสร็จสิ้นไปครึ่งหนึ่ง นำผู้บาดเจ็บทั้งหมดเข้าพักฟื้นในที่ปลอดภัยแล้ว
ยามนี้ทุกคนย่อมเหนื่อยล้ากันเป็นธรรมดา นอกจากผู้ที่รับหน้าที่เฝ้ายาม คนที่เหลือล้วนกลับไปนอนรวมกันที่เรือน นอกจากคู่สามีภรรยาแล้ว ทุกคนที่เหลือล้วนนอนรวมกันสามสี่คน
เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายกับกู้ซีจิ่วเป็นที่เคารพ เรือนของพวกเขาจึงได้รับการซ่อมแซ่มเป็นอันดับแรก
กู้ซีจิ่วก็อ่อนล้าเช่นกัน เธอก็อยากกลับเรือนไปนอนก่อนสักงีบแล้วค่อยว่ากัน เพิ่งจะก้าวเข้าเรือนไปก็พบตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้น
เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีขาวนวลจันทร์ตัวนั้น เกศาดำดั่งน้ำหมึก ยามที่นั่งอยู่ตรงนั้นกู้ซีจิ่วรู้สึกว่ากระท่อมหลังนี้ของตนให้ทิวทัศน์ดั่งภาพวาดน้ำหมึกขึ้นมาในชั่วพริบตา
หัวใจเธอเต้นแรงเล็กน้อย หลุดปากโพล่งออกไปประโยคหนึ่ง “ท่านสวมชุดนี้ ไม่กลัวฐานะของท่านจะเปิดเผยหรือ?”
เขากำลังชงชาสำหรับดื่มอยู่ตรงนั้นอย่างคุ้นเคย มือยุ่งสาละวนปานเมฆเคลื่อนคล้อยวารีไหลริน ทว่าปากยังไม่ลืมที่จะเอ่ยตอบเธอ “โง่งม พวกเขายังไม่เคยพบตัวข้าผู้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เลย แล้วจะมองออกได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นการมองเสื้อผ้าแล้วระบุตัวคนก็ออกจะสุกเอาเผากินเกินไปหน่อยกระมัง?”
กู้ซีจิ่วจึงกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่ดูจากเสื้อผ้าเท่านั้นหรอก ดูจากกระบวนท่าที่ท่านสำแดงเมื่อครู่ก็มองออกได้”
ตี้ฝูอีเริ่มแยกชาแล้ว “ผู้ที่เคยเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์สำแดงกระบวนท่าทั้งแผ่นดินนี้มีอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน ในกาลก่อนเจ้าเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้ไม่มีวาสนาพอได้เห็นข้าลงมือหรอก”
เด็กเมื่อวานซืน..
กู้ซีจิ่วอดขำไม่ได้ จงใจเอ่ยว่า “นี่ก็ใช่ คนเหล่านี้ถ้านับกันตามอายุแล้ว เป็นชนรุ่นหลังของชนรุ่นหลังท่านอีกทีจริงๆ พวกเขาล้วนสมควรเรียกขานท่านว่าท่านปู่ ท่านเรียกพวกเขาว่าเด็กเมื่อวานซืนก็ไม่นับว่าเกินไป ดูเหมือนว่าข้าก็เป็นเด็กเมื่อวานซืนเช่นกัน ข้าอายุน้อยกว่าพวกเขาอีกนะ!”
มือของตี้ฝูอีที่กำลังแยกชาชะงักทันที เงยหน้ามองเธอแวบหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ดังนั้นข้าจึงเรียกเจ้าว่าเด็กน้อยอย่างไรเล่า”
บทที่ 1339 ความจริง 2
กู้ซีจิ่วนั่งลงตรงข้ามเขา กล่าวอย่างสบายใจ “เช่นนั้น ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าผู้อาวุโสตี้?”
ตี้ฝูอีวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะดังปัง ยิ้มมิเชิงยิ้มมองนาง “เจ้าลองเรียกแบบนี้ดูอีกครั้งสิ!”
น้ำเสียงของเขาน่ากลัว ยามจำเป็นกู้ซีจิ่วก็ไม่อยากกระตุกหนวดเสือ จึงส่งเสียงฮึ่มหนึ่งครา “ช่างเถิด ข้าเรียกท่านว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเหมือนเดิมก็แล้วกัน”
การเรียกขานเช่นนี้ดูห่างเหินยิ่งนัก ทว่าเธอก็เรียกเขาอย่างนี้จนเคยชินแล้วจริงๆ ทุกครั้งเมื่อเรียกชื่อนี้ เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ตี้ฝูอีไม่ได้บอกผิดถูก ยกมือผลักแก้วชามาให้นาง “ลองชิมชานี้ดู รสชาติดี อีกทั้งยังมีประโยชน์ ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าได้”
กู้ซีจิ่วกำลังกระหายน้ำอยู่พอดี จึงรับมาดื่ม ชารสชาติหวานละมุน และเห็นได้ชัดว่าเติมส่วนผสมอื่นลงไป หลังจากดื่มแล้วไม่เพียงแต่อุ่นท้อง แต่ยังอบอุ่นหัวใจ ความเหนื่อยล้าที่เคยมีพลันจางหายไปไม่น้อย
“ชาดี!” กู้ซีจิ่วชม
ตี้ฝูอีมองนางไม่พูดไม่จา ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ
ทันทีที่ห้องเงียบสงัด บรรยากาศคลุมเครือเล็กน้อย กู้ซีจิ่วตื่นตระหนกอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงหาหัวข้อสนทนามาพูดคุย “จริงสิ ท่านไปฝึกฝนที่ไหนกันแน่? ข้าตามหาท่านทุกที่ก็หาไม่เจอ”
ตี้ฝูอีเหลือบมองนาง “เจ้าตามหาข้าทำไม? ข้าทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้าแล้วไม่ไช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วชะงักงัน ใช่ เขาทิ้งจดหมายไว้ให้เธอแล้ว แต่เธอไม่วางใจนี่ เขาบาดเจ็บสาหัสแล้วยังหายตัวไปอีก…
เธอขบเม้มริมฝีปาก อมยิ้ม “ถือเสียว่าข้าจุ้นจ้านก็แล้วกัน…”
ตี้ฝูอียังคงเหลือบมองนาง ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย อธิบายอย่างช้าๆ “บาดแผลของข้าไม่อาจรอช้า จำเป็นต้องนั่งสมาธิฟื้นฟูภายในน้ำพุสวรรค์ ก่อนไปข้าไปหาเจ้า อยากบอกเจ้าไว้สักหน่อย แต่เจ้าออกไปเก็บสมุนไพร ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด ดังนั้นข้าเลยทำได้เพียงทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไป ข้าคิดว่าหลังจากเจ้าเห็นจดหมายจะไม่ตามหาข้าอีก”
เขาทำตามใจตนเองมาตลอดจนเคยชิน ไม่ว่าจะไปไหนแค่เพียงยกเท้าก็เดินออกไปได้เลย แม้แต่สี่ทูตยังไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดอยู่บ่อยครั้ง เขามีนิสัยไม่ชอบบอกใคร ครั้งนี้ เขาทิ้งจดหมายไว้ให้กู้ซีจิ่วก่อนจะไป ก็นับว่าคิดอย่างรอบคอบแล้ว
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเขาอธิบายได้ละเอียดถึงเพียงนี้ ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก้มหน้าจิบชาหนึ่งอึก
ตี้ฝูอีมองตาที่หลุบลงเล็กน้อยของนาง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ “ไม่ได้เตรียมว่าจะพูดอะไรกับข้าหรือ? หรือเจ้าไม่มีอะไรอยากถามข้า?”
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามอง “ข้าว่าท่านตามข้ามาถึงที่นี่ คงมีอะไรอยากพูดกับข้า”
“ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้าจริงๆ กู้ซีจิ่ว เหตุใดเจ้าต้องหนีการแต่งงาน?”
กู้ซีจิ่วพูดอย่างตรงไปตรงมา “คืนนั้นข้าได้ยินท่านกับประมุขเงือกคุยกัน ท่านเตรียมร่างเดิมของข้าไว้ให้อดีตประมุขเงือกใช่หรือไม่? ท่านตามหาร่างกายที่เหมาะสมเพื่อให้นางฟื้นคืนชีพมาตลอด สุดท้ายมาลงเอยที่ร่างเดิมของข้า ร่างเดิมนั้นเคยเป็นสวะไร้ค่า ข้าฝึกฝนอย่างลำบากยากเข็ญกว่าจะบรรลุขั้นแปดได้ และข้าก็ชื่นชอบร่างเดิมของข้า ไม่ชอบร่างโคลนนิ่ง ท่านไม่บอกเหตุผลอันใดให้ข้าฟัง แต่ไม่ให้ข้าสลับร่างกลับไป ท่านไม่เพียงไม่ช่วยเหลือข้า ซ้ำยังขัดขวางที่หลงซือเย่ช่วยเหลือ ข้าคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงของท่านมาตลอด แต่ตอนนั้นที่ข้าถาม ท่านมักพูดจาบ่ายเบี่ยง…หากข้าไม่บังเอิญไปได้ยินบทสนทนาของท่านกับพวกเขาสองพี่น้อง ข้าคงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร…”
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าร่างเดิมก็ไม่ใช่ร่างของข้า เป็นของคุณหนูจวนแม่ทัพคนนั้น ข้าแค่มาสิงสู่เข้าร่างโดยบังเอิญ และฝึกฝนจนมันบรรลุระดับสูงเท่านั้นเอง”
——————————————————
บทที่ 1340 ความจริง 3
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าร่างเดิมก็ไม่ใช่ร่างของข้า เป็นของคุณหนูจวนแม่ทัพคนนั้น ข้าแค่มาสิงสู่เข้าร่างโดยบังเอิญ และฝึกฝนจนมันบรรลุระดับสูงก็เท่านั้นเอง เดิมทีร่างนั้นไม่ใช่ร่างของข้า ที่ข้าฝึกฝนมันได้ดีก็เพราะความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย และข้าก็มีร่างใหม่อีก จึงทำให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่รู้สึกผิดอะไรเมื่อยกร่างเดิมให้คนรักเก่าฟื้นคืนชีพ ซ้ำยังได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถูกหรือไม่?”
นางพูดออกมารวดเดียวมากมายขนาดนี้ สายตาจ้องมองตี้ฝูอี ยามนี้ตี้ฝูอีเป็นผู้ฟังที่ดีมาก เขาไม่ได้ตอบคำถามของกู้ซีจิ่วทันที เพียงเคาะโต๊ะเบาๆ “พูดต่อไป”
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วเล็กน้อย ในเมื่อสิ่งต่างๆ เปิดเผยแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก “แล้วท่านเคยคิดไหมว่า หากตอนนี้ท่านแต่งกับข้า หลังจากอดีตประมุขเงือกท่านนั้นฟื้นคืนชีพท่านจะจัดการอย่างไร? ท่านเฝ้าปรารถนาให้นางฟื้นคืนชีพ ความรู้สึกของท่านกับนางคงไม่เลวทีเดียว หากนางฟื้นคืนชีพขึ้นมา ท่านคงไม่วางมืออย่างแน่นอนใช่ไหม? เช่นนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงท่านจะให้ข้าไปอยู่ที่ใด? อยากให้ข้ากับนางเป็นเอ่อร์หวงหนี่ว์อิง สองสตรีมีสามีคนเดียวกันงั้นรึ? หรือถึงเวลานั้นไม่ต้องการข้าแล้ว จะกลับมาครองคู่กับนางดังกระจกร้าวหวนประสาน? หรือบางทีการฟื้นคืนชีพของนางต้องใช้เวลานาน เป็นร้อยเป็นพันปี ซึ่งเป็นช่วงปลอดความรัก และช่วงเวลานี้ท่านก็มาอยู่ข้างกายข้า รอให้ข้าแก่ตายหรือเหนื่อยล้ากับความรู้สึกช่วงนี้แล้วค่อยปล่อยข้าไป…”
สายตาของตี้ฝูอีเกินคาดเดา พูดเข้าประเด็นหลักก่อน “เรื่องความรัก เจ้าเคยพูดไว้ว่าขอแค่เคยครอบครอง ไม่สนใจชั่วฟ้าดินสลายไม่ใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วคลึงหว่างคิ้ว “ข้าเคยพูดจริง แต่ข้าคาดหวังว่าความรู้สึกของคนทั้งสองตอนรักกันคือความบริสุทธิ์ ไม่มีใครหลอกใช้ใคร ซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้อื่นมาข้องเกี่ยว แต่ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแทน อีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นตัวแทนคั่นเวลาช่วงปลอดความรักของท่าน ท่านสัญญาจะแต่งงานกับข้าก็เพื่อชดเชยการใช้ร่างเดิมของข้า หรือไม่ท่านอาจจะชอบข้าจริงๆ และการแต่งงานกับข้าก็เป็นความปรารถนาของท่าน แต่เช่นนี้ข้ารับไม่ได้…ต่อให้ข้ากู้ซีจิ่วเป็นร่างโคลนนิ่ง แต่เมื่อมีชีวิตบนโลกใบนี้แล้วก็อยากมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรี ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องการความรู้สึกที่เหมือนเป็นการชดใช้ และยิ่งไม่ต้องการเป็นตัวแทนของผู้ใด…”
ในที่สุดเธอก็พูดความรู้สึกที่เก็บกดไว้ในใจมาหลายวันทั้งหมด รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัดขับข้องใจออกมาจนโล่งใจ “ท่านอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่รู้จักดีชั่ว อาจรู้สึกว่าข้าไม่มีเหตุผล แต่ข้ารับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ จึงทำได้เพียงเลือกเดินจากไป”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจเบาๆ “พูดจบแล้ว? แค่นี้หรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “ใช่!”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังสักหน่อย ข้อแรก อดีตประมุขเงือกไม่ใช่คู่หมั้นข้า ข้อสอง นางจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาอะไรทำนองนั้นได้ ร่างเดิมของเจ้าไม่ได้ยกให้นาง ข้อสาม ข้าไม่ได้มองเจ้าเป็นตัวแทนคั่นเวลาช่วงปลอดความรักอันใด ชั่วชีวิตนี้ข้าเคยมีความรักแค่ครั้งเดียว นั่นก็คือเจ้า ไม่เคยมีใครอื่น ระหว่างข้ากับอดีตประมุขเงือกไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด พวกเราเป็นแค่สหายกัน ข้อสี่ ข้าชอบเจ้าจึงอยากแต่งงาน เจ้าคิดว่าข้าจะแต่งกับผู้หญิงที่ตนเองไม่ได้ชอบเพื่อชดใช้อย่างนั้นหรือ? ดังนั้น สองสตรีต้องมีสามีคนเดียวกัน กระจกร้าวหวนประสานอะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นไม่เป็นความจริง”
เขาพูดออกมาหนึ่งสองสามสี่ห้าเช่นนี้ กู้ซีจิ่วตกตะลึงแต่ก็ยังไม่เชื่อ “แต่คืนนั้นข้าได้ยินอยู่ชัดๆ ว่าพี่น้องประมุขเงือก…”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดเองเออเองทั้งนั้น…”
บทที่ 1341 ความจริง 4
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดเองเออเองทั้งนั้น ร่างกายของเจ้าเหตุใดข้าต้องยกให้ผู้อื่น? ดินแดนเผ่าเงือกมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่เก็บศพชั้นดี ไม่เพียงแต่ทำให้ซากศพไม่เน่าเปื่อย ยังทำให้มันมีพลังชีวิตไม่แตกดับ แม้ในห้วงนิทราก็ยังพัฒนาพลังวิญญาณได้ ร่างเดิมของเจ้าเอาไปเก็บไว้ที่นั่นจะดีกว่า”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
เธอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ในเมื่อท่านไม่ได้ยกร่างนั้นให้อดีตประมุข เช่นนั้น เหตุใดไม่ให้ข้าสลับร่างกลับไปเล่า? ท่านก็รู้ว่าที่ข้าชื่นชอบคือร่างมนุษย์ที่แท้จริง…”
ตี้ฝูอีหลับตาลง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลิขิตสวรรค์ ข้าไม่อาจพูดได้ แต่ข้ารับรองได้ว่าร่างนั้นอย่างไรก็เป็นของเจ้า ไม่มีทางเป็นของผู้อื่น ไม่ช้าเร็วเจ้าจะได้กลับไปร่างนั้น แต่ไม่ใช่ตอนนี้…”
กู้ซีจิ่วกล่าวอันใดไม่ออก เธอนึกไม่ถึงว่าเขาปฏิเสธโดยสิ้นเชิง!
เธอสูดลมหายใจเข้า “ท่านบอกว่าอดีตประมุขเงือกไม่ใช่คู่หมั้นของท่าน แต่น้องสาวของนางกลับเรียกท่านว่าพี่เขยไม่ขาดปาก และท่านก็ไม่เคยปฏิเสธ…”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “เรื่องนี้…ข้าละเลยไปเอง เป็นเพราะความเคยชินหลายพันปี หลงลืมแก้ไขให้นางเรียกขานใหม่แล้ว”
กู้ซีจิ่วมองเขา “ความหมายของท่านคือ ท่านเคยเป็นว่าที่พี่เขยของนาง? มิเช่นนั้น นางไม่มีทางเรียกท่านโดยไม่มีเหตุผลได้หรอกกระมัง?”
ตี้ฝูอีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ทอดถอนใจเบาๆ “เดิมที เรื่องของข้ากับหลานจิ้งเคอกลายเป็นอดีตไปแล้ว และนางก็จากโลกนี้ไปแล้ว ควรจะให้เกียรติผู้ล่วงลับ ข้าไม่อยากอธิบายเรื่องของข้ากับนางให้ใครฟังมากมาย แต่ในเมื่อนี่เป็นประเด็นหลักที่ทำให้เจ้าเข้าใจผิด ดูเหมือนข้าต้องพูดเสียหน่อยแล้ว”
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย มองดูเขา “ข้าไม่ได้บังคับให้ท่านต้องเล่าเรื่องของท่านกับนางอย่างละเอียด เพียงแค่อยากมั่นใจความสัมพันธ์ที่แท้จริงของท่านกับนาง…”
“เช่นนั้นหากข้าบอกว่านางเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง คู่หมั้นอะไรนั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าเบาๆ สบตาของเขา “หากนี่คือการอธิบายของท่าน ข้าเชื่อ!”
ตี้ฝูอีกกลับยิ้มออกมา “ไม่ เจ้าไม่เชื่อ หากข้าไม่เล่าเรื่องนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นปมที่ติดอยู่ในใจเจ้าตลอดไป ข้าเองก็ไม่อยากให้เจ้าเข้าใจผิดข้าไปตลอด จะเล่าโดยสรุปก็แล้วกัน”
เขาเหมือนกำลังเรียบเรียงความคิด จากนั้นจึงถามออกมาก่อนหนึ่งประโยค “ซีจิ่ว เจ้าคิดว่าฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของข้ามาได้อย่างไร?”
กู้ซีจิ่วหยุดชะงัก “ตั้งแต่เกิดกระมัง? ท่านเป็นเทพนี่…”
ตี้ฝูอียิ้มเนือยๆ “ไม่มีใครเกิดมาเป็นเทพหรอก…กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต่อให้มีความเป็นเทพ ลิขิตให้เป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ แต่กว่าจะเติบใหญ่ขึ้นมาก็ต้องผ่านการนองเลือดมามากมาย…”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “เรื่องนั้นข้ารู้ สวรรค์มอบหมายภาระอันใหญ่ยิ่งให้คนผู้หนึ่ง ต้องลำบากกายาเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก อดอยากไปถึงเนื้อหนัง…ต้องข้ามผ่านความสูญเสียอันหนักหน่วงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านถามเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งใด?”
นิ้วมือตี้ฝูอีหมุนถ้วยชา กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ความหมายของข้าก็คือ ต่อให้เป็นข้า ในตอนนั้นก็เติบโตขึ้นมาจากชายหนุ่มผู้อ่อนแอ เคยถูกคนไล่ล่าเฉกเช่นเจ้า มีช่วงเวลาที่พลังวิญญาณเทียบเท่าผู้อื่นไม่ได้”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง เธอยังคิดว่าเขาเกิดมาก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เลย อย่างมากก็พบเจอความยากลำบากเป็นครั้งคราว ที่แท้เขาก็มีช่วงเวลาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน เธอไม่ปริปากพูดจาอะไรอีก ฟังตี้ฝูอีเล่าต่อ
ความจริงแล้ว เรื่องของตี้ฝูอีกับคนที่ชื่อหลานจิ้งเคอผู้นั้นไม่ซับซ้อนเลย ห้าพันปีก่อนหน้านี้ ตี้ฝูอีกำลังอยู่ในช่วงเติบใหญ่ เคยถูกศัตรูเล่นงานจนบาดเจ็บ ร่วงหล่นลงไปในมหาสมุทร และได้รับความช่วยเหลือจากหลานจิ้งเคอที่ออกมาเดินเล่นบนผืนสมุทร
ตอนนั้นบิดาของหลานจิ้งเคอเพิ่งล่วงลับไป เผ่าเงือกกำลังเกิดการแย่งชิงตำแหน่งประมุข
———————————————————
บทที่ 1342 ความจริง 5
เผ่าเงือกก็มีจักรพรรดิเหมือนโลกมนุษย์ สืบทอดตำแหน่งโดยองค์รัชทายาท แต่ตอนนั้นหลานเหยากวงน้องชายของหลานจิ้งเคอยังเล็กอยู่ ไม่หลานจิ้งเคอก็ท่านอาสายตระกูลหลานจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขเงือก
หลานจิ้งเคอย่อมไม่อยากให้ตำแหน่งประมุขบ้านตนเองตกไปอยู่ในมือผู้อื่น นางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดตำแหน่งประมุขนี้ ทว่าการสืบทอดตำแหน่งของนางมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ก่อนนางจะสืบทอดตำแหน่งประมุขเผ่าเงือก ต้องมีคู่หมั้นที่มีความสามารถเป็นพิเศษคนหนึ่ง…
ถึงแม้หลานจิ้งเคองดงาม แต่มีนิสัยเยี่ยงบุรุษ อาจหาญสง่างาม แม้นางจะมีเพื่อนในเผ่าเงือกไม่น้อย ทว่าไม่อาจเฟ้นหาคู่หมั้นที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะได้สักคน
ในช่วงที่กำลังกระวนกระวายใจ ตี้ฝูอีที่บาดเจ็บสาหัสก็โผล่มาตรงหน้า
และเป็นเหตุบังเอิญที่ตี้ฝูอีสูญเสียความทรงจำ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ตี้ฝูอีเป็นคนมีความสามารถมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลานจิ้งเคอกำลังคร่ำเครียดคิดไม่ตกเรื่องคู่หมั้น เมื่อเห็นตี้ฝูอีที่สูญเสียความทรงจำหลังจากหายดีแล้วก็มีแผนการอยู่ในใจ นางหลอกตี้ฝูอีว่าตนคือคู่หมั้นของเขา อีกไม่กี่วันจะแต่งงานกัน
หลานจิ้งเคอมีความสามารถยิ่งนัก พูดจาโป้ปดปั้นน้ำเป็นตัวชุดหนึ่ง ผู้อื่นต้องเชื่ออย่างห้ามไม่ได้
ถึงแม้ตี้ฝูอีไม่มีความทรงจำ แต่เขาไม่ได้โง่งม ยังมีท่าทีสงสัยกับคำพูดเช่นนี้ของหลานจิ้งเคอ
เคราะห์ดีที่หลานจิ้งเคอบอกว่าเห็นเขาเป็นเพียงสหาย เขาแค่ช่วยเหลือนางให้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ ก็บอกเลิกการหมั้นหมายกับเขาได้แล้ว นางจะไม่ทำให้เขาเสียเวลานานเกินไป
อย่างไรเสีย นางก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเขาไว้ ตี้ฝูอีจึงยอมตกปากรับคำ แสดงละครฉากหนึ่งเป็นเพื่อนนาง
ในเมื่อแสดงละครแล้วก็ต้องทำให้สมบทบาท นับจากนั้นเป็นต้นมา หลานเหยากวงกับหลานจิ้งอี๋ในวัยเด็กจึงเริ่มเรียกขานเขาว่าพี่เขย เขาย่อมยินยอมไปโดยปริยาย
ท่านอาตระกูลหลานสาขาท่านนั้นย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว คอยเล่นลูกไม้สกปรกลับหลังไม่น้อย แต่ล้วนถูกตี้ฝูอีจัดการได้อย่างง่ายดาย เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนตี้ฝูอีค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากเผ่าเงือกทั้งหมด ผ่านไปสามปี ในที่สุดหลานจิ้งเคอก็ได้รับตำแหน่งประมุขเงือก…
หลานจิ้งเคอเชี่ยวชาญการต่อสู้ การออกรบ ให้นางเป็นแม่ทัพหญิงยังพอไหว แต่เป็นประมุขเงือกค่อนข้างทำให้นางลำบากใจจริงๆ มักจะคิดไม่ตกเรื่องบริหารราชกิจแผ่นดิน
แต่ตี้ฝูอีเชี่ยวชาญการจัดการสิ่งเหล่านี้ เขาจัดการเพียงนิดเดียว ก็มักจะเห็นแสงจันทร์สว่างท่ามกลางเมฆหมอกที่ปกคลุมได้
หลานจิ้งเคอมองเขาเป็นกุนซือ คอยขอคำแนะนำจากเขาอยู่บ่อยครั้ง
เป็นเช่นนี้เรื่อยมา ตี้ฝูอีกับหลานจิ้งเคอกลายเป็นสหายที่เหมือนพี่น้องกัน ทั้งสองคนแทบจะไม่มีความลับต่อกัน
และในตอนนี้เอง ตี้ฝูอีฟื้นคืนความทรงจำ ย่อมเข้าใจดีว่าถูกหลานจิ้งเคอหลอกลวง
ยังดีที่หลานจิ้งเคอไม่ได้หลอกเขาเรื่องอื่น ดีต่อเขาอย่างยิ่งเสมอมา และมองเขาเป็นพี่น้องที่ตายแทนกันได้จริงๆ ของมีค่าบางชิ้นของนาง ขอเพียงตี้ฝูอีปรารถนา นางก็ยกให้เขาได้โดยไม่ลังเล นางขอโทษด้วยความจริงใจอีกครั้ง ถึงขนาดคุกเข่าขอโทษ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องนี้ เพียงแต่ขอร้องให้แก้ไขเรื่องเข้าใจผิด บอกกล่าวชาวเผ่าเงือกคนอื่นให้ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คู่หมั้นของนาง
แต่หลานจิ้งเคอกลับลำบากใจมาก จำต้องตัดสินใจบอกความลับที่แท้จริงของตนไปอย่างเสียไม่ได้ นางมีรสนิยมทางเพศที่ไม่ปกตินัก คนที่นางชอบคือเงือกสาว…
และการนิยมชมชอบเพศเดียวกันเป็นสิ่งต้องห้ามในเผ่าเงือก ดังนั้นนางกับเงือกสาวผู้นั้นจึงทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดชีวิต ไม่สามารถเปิดเผยได้
ไม่อาจเปิดเผยได้อย่างน้อยเป็นเวลาสิบปี มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเผ่าเงือก ตำแหน่งประมุขของตระกูลหลานก็จะรักษาไว้ไม่ได้
นางอ้อนวอนตี้ฝูอีให้รับหน้าที่คู่หมั้นในนามของนาง ไม่ต้องจัดพิธีแต่งงานใดๆ ขอเพียงให้ประชาชนเผ่าเงือกคิดเช่นนี้ต่อไปก็พอแล้ว
แน่นอน นางบอกว่าการแต่งงานที่แท้จริงของตี้ฝูอีเป็นเรื่องอิสระ
บทที่ 1343 ความจริง 6
ถ้าหากเขามีคนในใจแล้ว ฐานะคู่หมั้นนี้จะเป็นโมฆะอย่างง่ายดาย เงื่อนไขที่ทำให้เขายอมช่วยเหลือคือ หลานจิ้งเคอสัญญาว่าจะให้เขายืมกองกำลังของเผ่าเงือกสิบครั้ง…
ตี้ฝูอีในยามนั้นไม่ได้เห็นการหมั้นหมายนี้สลักสำคัญ จึงตอบรับเงื่อนไขนี้ของหลานจิ้งเคอ ด้วยเหตุนี้น้องชายน้องสาวของนางจึงเรียกขานเขาว่าพี่เขยมาเกือบสิบปี ไปมาๆ ก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
หลังจากความทรงจำของเขากลับมา ย่อมต้องออกไปตามล้างแค้นพลางกรีธาทัพสยบใต้หล้า หลานจิ้งเคอก็รักษาสัจจะยิ่ง ให้เขายืมกองกำลังเผ่าเงือกจริงๆ นางถึงขั้นที่นำกองทัพออกรบด้วยตัวเอง เผ่าเงือกทั้งเผ่ากลายเป็นกองหนุนของตี้ฝูอี…
หลังจากสงครามนองเลือดผ่านพ้นไป ในที่สุดตี้ฝูอีก็เอาชนะศัตรูตัวฉกาจที่สุดได้ กลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ และในศึกครั้งสุดท้ายนั้น หลานจิ้งเคอก็ทรุดลงสิ้นชีพ ก่อนตายตี้ฝูอีก็อยู่ข้างกายนางพอดี นางขอร้องให้ตี้ฝูอีช่วยดูแลน้องชายน้องสาวของตน ช่วยให้น้องชายของนางหลานเหยากวงได้ขึ้นครองตำแหน่งประมุขเผ่าเงือกได้จะดีที่สุด…
แน่นอน นางขอร้องให้ตี้ฝูอีอย่าได้เปิดเผยเรื่องรสนิยมทางเพศของนางด้วย เนื่องจากนางไม่อยากตายแล้วก็ยังถูกคนในเผ่าชี้หน้าติเตียน
ยามนั้นน้องชายน้องสาวของนางยังเล็ก นับตามอายุขัยของชาวเงือกแล้วล้วนยังอยู่ในวัยแบเบาะ เนื่องจากบิดามารดาสิ้นบุญไปนานแล้ว หลานจิ้งเคอที่เป็นพี่สาวคนโตจึงเปรียบเสมือนมารดา ปฏิบัติต่อน้องชายน้องสาวเป็นอย่างดี น้องชายน้องสาวก็พึ่งพานางยิ่งนัก เห็นนางเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
ชาวเงือกเมื่อสิ้นชีพแล้วไม่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ หลานจิ้งเคอเกรงว่าน้องชายน้องสาวจะเสียใจจนเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น ดังนั้นนางจึงอ้อนวอนขอร้องตี้ฝูอีให้โป้ปดต่อหน้าน้องๆ ของนาง บอกว่าภายภาคหน้านางยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ เหลือความหวังไว้ให้น้องชายน้องสาว…
นางสิ้นชีพเพื่อศึกของเขา เงื่อนไขเหล่านี้ของนางก็ไม่ยากเกินจะตอบสนอง ดังนั้นตี้ฝูอีจึงตกปากรับคำ
เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของทวีปนี้ ทั่วหล้าสวามิภักดิ์ สำหรับเขาแล้ว การให้หลานเหยากวงขึ้นครองตำแหน่งประมุขมิใช่เรื่องยากเย็นเลย เนื่องจากหลานเหยากวงยังเล็ก หลังจากตี้ฝูอีช่วยขาขึ้นครองตำแหน่งแล้ว สักสองสามปีก็มักไปจะที่เผ่าเงือกสักคราอยู่เสมอ เพื่อสอนเขาให้จัดการงานราชกิจ จึงย่อมสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขาสองพี่น้องยิ่งขึ้น ทั้งสองเรียกขานว่าพี่เขยๆ อยู่ไม่ขาดปาก ตี้ฝูอีก็ได้ยินจนชินไปแล้ว จึงไม่เก็บมาใส่ใจเลย จวบจนยามนี้…
ตี้ฝูอีเล่าจบ กู้ซีจิ่วฟังแล้วตะลึงงัน จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีกับอดีตประมุขเผ่าเงือกจะมีความเป็นมาเช่นนี้
ตี้ฝูอีกับหลานจิ้งเคอเป็นทั้งสหายและพี่น้องที่ดีที่ต่อกัน ไม่เคยเกี่ยวข้องกันในเชิงชู้สาวเลย…
เป็นเธอเข้าใจผิดไปอย่างสิ้นเชิง
ภายในเรือนเงียบยิ่งนัก เงียบจนเข็มสักเล่มหล่นลงพื้นก็ได้ยินกันทั่ว
คงจะเป็นครั้งแรกที่ตี้ฝูอีเอ่ยวาจามากมายถึงเพียงนี้ ดังนั้นเขาจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่ววางหินก้อนใหญ่ในใจลงแล้ว พยักหน้าพลางเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ “เข้าใจแล้ว เป็นข้าเข้าใจท่านผิดไปเอง ขออภัยด้วย”
ตี้ฝูอีหลุบตาลง หมุนถ้วยชาในมือ “เพียงเอ่ยขออภัยประโยคเดียวงั้นหรือ?”
บนร่างเขาคล้ายมีไอเยียบเย็นเล็กน้อยแผ่ซ่านออกมา “กู้ซีจิ่ว เจ้ารู้ไหมว่าการที่เจ้าหนีงานแต่งครั้งนี้เกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อตระเตรียมงานวิวาห์ครั้งนี้ข้าทุ่มเทจิตใจปมากน้อยเพียงใด? เจ้ารู้ไหมว่าข้าแทบจะพลิกแผ่นดินเพื่อตามหาเจ้า? เจ้าเพียงได้ยินวาจาเหลวไหลไม่กี่ประโยคก็ไม่ถามไม่ไถ่ สลัดข้าทิ้งแล้วหนีงานแต่งไปดื้อๆ นึกถึงความลำบากใจของข้าบ้างหรือไม่? เจ้าเอาข้าไปวางไว้ที่ไหน?”
กู้ซีจิ่วกำมือแน่น ก้มหน้าเงียบงัน เป็นความจริงที่เธอไร้ซึ่งถ้อยคำจะเอ่ยแย้ง ในใจมีความรู้สึกผิดมหันต์เอ่อล้นขึ้นมา
ตี้ฝูอีวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “เจ้ากับข้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เผชิญความเป็นความตายด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรเจ้าน่าจะทราบชัดเจน แล้วเหตุใดเจ้าถึงมอบความไว้ใจให้ข้ามากขึ้นสักหน่อยไม่ได้เล่า?”
คำถามของเขาเสมือนค้อนทุบลงบนหัวใจของกู้ซีจิ่ว น้ำเสียงเธอเบาหวิว “เป็นความผิดของข้าเอง…”
—————————————————————
บทที่ 1344 เพราะใส่ใจถึงได้คิดเล็กคิดน้อย…
ประเด็นหลักคือถ้อยคำเหล่านี้เธอได้ยินสองพี่น้องพูดออกมาด้วยหูตัวเอง และตั้งแต่ต้นจนจบตี้ฝูอีก็ไม่ได้ปฏิเสธเลย ประกอบกับคืนนั้นเธอหยั่งเชิงเขาสารพัดอย่าง เขากลับอมพะนำเฉไฉอยู่ตลอด ทำให้กู้ซีจิ่วไม่อาจไม่เชื่อได้ ดังนั้นจึงหนีงานวิวาห์ครั้งนี้ จับผลัดจับผลูก่อเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ขึ้น ตี้ฝูอีก็เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่…
ตี้ฝูอีมองดูนาง แววตาค่อนข้างซับซ้อน เอ่ยเรียบๆ ว่า “ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าบางทีเจ้าอาจไม่ได้ชอบข้าจริงๆ มิเช่นนั้นคงไปหนีไปโดยไม่ถามไถ่ให้ชัดเจนก่อน…”
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นมาทันที “ข้า…”
เขาลุกขึ้นยืน น้ำเสียงแผ่วเบา “เหตุผลที่ข้าไล่ตามมาถึงที่นี่ เป็นเพราะไม่ยินดีถูกเจ้าเข้าใจผิดไปตลอด ดังนั้นจึงทุ่มสุดชีวิตเพื่อเข้ามาพบเจ้าที่นี่ อธิบายทุกอย่างให้กระจ่างชัด ส่วนงานวิวาห์นั้นดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย ล้มเลิกก็ล้มเลิกไปแล้ว ก็เอาเช่นนี้เถิด เจ้ารักษาตัวด้วย” เขาพลันหมุนกายหายลับไป
ปากจิ้มลิ้มของกู้ซีจิ่วอ้าออกเล็กน้อย ถึงขั้นที่ยังไม่ทันได้เอ่ยรั้งสักประโยค เขาก็หายไปดื้อๆ!
เธอไล่ตามออกไปตามสัญชาตญาณ ด้านนอกสายลมบริสุทธิ์พัดโชย รัตติกาลดั่งสายน้ำ ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของตี้ฝูอีอยู่?
วรยุทธ์ของเขาฟื้นฟูกลับมาแล้ว คิดจะไปจากที่นี่น่าจะง่ายดายยิ่งนักกระมัง?!
กู้ซีจิ่วร้อนใจขึ้นมาทันที
ในเมื่อทราบแล้วว่าในใจเขามีเธอเพียงคนเดียว เรื่องของประมุขสาวเผ่าเงือกเป็นความเข้าใจผิดมหันต์ เช่นนั้นเธอยังจะปล่อยมืออีกได้อย่างไรเล่า?
เธอชอบเขาถึงขนาดนั้น ใส่ใจเขาถึงขนาดนั้น เพราะใส่ใจถึงได้คิดเล็กคิดน้อย…
ตอนนี้ความเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว แต่เขาจากไปอีกครั้ง
เขาชี้แจงจบก็เบาตัวไป แล้วเธอล่ะ?
ถ้าหากเขาจากไปแล้ว ทว่าเธอกลับไปจากที่นี่ไม่ได้ แล้วจะไปตามหาเขาอีกได้อย่างไร?
เธอยืนอยู่ตรงนั้น ในใจคล้ายมีอะไรบิดม้วนอยู่!
หากว่าเขาต้องการหลบซ่อนขึ้นมาเช่นนั้นไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็หาไม่พบ เสมือนแปดวันมานี้ที่เขาหายไปอ่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเธอจะหาอย่างไรก็หาไม่พบเลย…
ขณะที่เธอกำลังตามหาไปรอบๆ หมู่บ้านอย่างไม่ถอดใจอยู่ ก็พบกับหลัวจั่นอวี่เข้าพอดี หลัวจั่นอวี่คล้ายจะมีเรื่องในใจ หวิดจะชนกับกู้ซีจิ่วที่เดินกระวีกระวาดเข้าอย่างจังแล้ว
“เสี่ยวจิ่ว ดึกขนาดนี้แล้วทำไมเจ้ายังไม่นอน?”
กู้ซีจิ่วตอบอย่างคลุมเครือ “เดี๋ยวก็นอนแล้ว ใช่แล้ว พี่ ท่านเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบ้างไหม?”
หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า “ไม่เลย คนผู้นั้นไปมาไร้ร่องรอยเสมอแตกต่างกับพวกเรา…” จากนั้นก็มองไปทางเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล “เขาน่าจะพักผ่อนอยู่ที่เรือนของตนกระมัง?”
กู้ซีจิ่งมองเรือนหลังนั้น เรือนหลังนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนรวมแรงร่วมใจกันสร้างให้เขาจริงๆ ใหญ่พอๆ กับเรือนของเธอเลย
แน่นอน เนื่องจากก่อสร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วน เครื่องเรือนด้านในจึงมีเพียงเตียงที่พอให้คนนอนได้หลังหนึ่งเท่านั้น เธอจำได้ว่าหลังจากสร้างเสร็จ มีคนเชิญเขาไปดู ผลคือเขาเพียงมองอยู่ด้านนอกแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาประโยคเดียวว่า “หยาบกระด้างเกินไปแล้ว ห้องสุขาในวังของข้าก็ยังงดงามกว่าเรือนนี้ร้อยเท่า”
ทำให้ทุกคนขุ่นเคืองไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสนใจอีก แถมมีบางคนมาฟ้องกับกู้ซีจิ่วเงียบๆ กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าสิ่งที่ตี้ฝูอีพูดเป็นความจริง แต่ในสถานที่เช่นนี้มีที่ให้ซุกกายก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว เขายังจะหวังให้ทุกคนสร้างวังหลังหนึ่งออกมาได้ภายในวันเดียวอีกหรือ?
ทุกคนล้วนอาศัยสองมือปลูกสร้างขึ้นมา มิได้ใช้เวทวิชาก่อสร้างขึ้นมาเหมือนสี่ทูตเสียหน่อย
กู้ซีจิ่วรู้ว่าตี้ฝูอีเป็นผู้ที่นิยมความสมบูรณ์แบบ ของที่เขาทำถ้าไม่ทำให้ดีที่สุด ก็จะไม่ทำไปเสียเลย เขาไม่เห็นเรือนเช่นนี้อยู่ในสายตานับเป็นเรื่องปกติ กล่าวมาถึงเพียงนี้ก็คือค่อนข้างจู้จี้นั่นแหละ
เพียงแต่โชคดีที่ทุกคนแค่ไม่พอใจความเรื่องมากของเขานิดหน่อย…
บทที่ 1345 ท่านมีเรื่องอะไรอยู่ในใจใช่ไหม?
เพียงแต่โชคดีที่ทุกคนแค่ไม่พอใจความเรื่องมากเขานิดหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด อีกทั้งช่วยเหลือทั้งหมู่บ้านไว้ในยามคับขัน ดังนั้นทุกคนจึงบ่นกันเป็นการส่วนตัวไม่กี่ประโยค ทว่าไม่มีใครไปต่อว่าเขาอย่างจริงจังเลย…
กู้ซีจิ่วมองไปทางเรือนหลังนั้น เรือนมืดสนิท แสงสว่างสักเสี้ยวก็ไม่มี เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาไม่ได้ไปพำนักที่นั่น
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ นึกไม่ออกชั่วขณะว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนอีก คนผู้นี้หากว่าจงใจหลบซ่อนขึ้นมา ต่อให้เธอมีสุนัขล่าเนื้อสิบตัวก็หาตัวเขาไม่พบอยู่ดี
เธอเคยถามเจ้าหอยยักษ์แล้ว ถามว่าสรุปแล้วหลายวันมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฝึกฝนอยู่ที่ไหนกันแน่?
เจ้าหอยยักษ์ทำตัวลับลมคมใน บอกว่าต้องรักษาความลับ แพร่งพรายแก่ภายนอกไม่ได้เด็ดขาด เพียงแต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยบอกไว้ ให้มันบอกแก่เจ้านายได้…เจ้าหอยยักษ์พล่ามจุกจิกเป็นกระบุง ในที่สุดก็เอ่ยเข้าประเด็น บอกว่ามันกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปฝึกฝนอยู่ใกล้ๆ รากอากาศใต้ต้นถันภังคี ตรงนั้นเป็นจุดรวบรวมแก่นแท้ของฟ้าดิน ความเร็วในการฝึกฝนจะรวดเร็วกว่าปกติถึงสิบกว่าเท่า…
เพียงแต่สถานที่แห่งนั้นเสมือนเขาวงกต อีกทั้งต้องใช้โลหิตสดๆ ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหยดลงบนเปลือกมันด้วย มันถึงมีความสามารถพอมุดเข้าสู่สถานที่แห่งนั้นได้
เจ้าหอยยักษ์เล่าอย่างมหัศจรรย์พันลึก เดิมทีกู้ซีจิ่วอยากรอนั่งลงแล้วพูดคุยถามไถ่กับเขาดีๆ ผลคือ…
ตอนนี้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นฟูแล้ว จะมุดเข้าไปฝึกฝนที่นั่นอีกหรือเปล่า หรือว่าจะจากไปทันทีเลย?
สองทางนี้ไม่ว่าจะทางไหน กู้ซีจิ่วล้วนอย่าคิดว่าจะตามหาเขาได้ ในยามนี้จึงไม่รับรู้อะไร
หลัวจั่นอวี่ก็คล้ายว่ามีเรื่องในใจเช่นกัน หยิบสุราออกมาไหหนึ่งแล้วชวนเธอไปร่ำสุราในเรือนเขา
กู้ซีจิ่วก็อยากใช้สุรามาปลดเปลื้องความโศกหมองกลัดกลุ้มที่ยุ่งเหยิงนี้ ดังนั้นจึงตามไปที่เรือนของเขา
ขณะที่กำลังร่ำสุรากัน หลัวจั่นอวี่ก็เอ่ยถามเธอ “ในเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้ามาได้ก็น่าจะมีวิธีออกไปได้กระมัง? บางทีพวกเราอาจจะได้ออกไปในไม่ช้า” สุ้มเสียงเขาแฝงความโศกหมองยิ่งนักเอาไว้
เขามีวิธีไหมน่ะหรือ?
กู้ซีจิ่วไม่รู้จริงๆ เธอยังไม่ทันได้ถามเลย…
“ทำไมล่ะ? ท่านไม่อยากออกไปหรือ?” น้ำเสียงของเขาทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างแปลกใจ สภาพแวดล้อมของสถานที่แห่งนี้แร้นแค้นถึงเพียงนี้ หลัวจั่นอวี่ยังอาลัยการอาศัยอยู่ที่นี่อีกหรือ?
หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า ดื่มสุราต่อเงียบๆ
กู้ซีจิ่วสะกิดใจเล็กน้อย “ท่านมีเรื่องอะไรอยู่ในใจใช่ไหม?”
มือของหลัวจั่นอวี่ที่กุมจอกอยู่ชะงักไปเล็กน้อย ไม่พูดอะไร เพียงเงยหน้ากรอกสุราลงไปอีกจอก
ประสาทสัมผัสของกู้ซีจิ่วยังคงค่อนข้างเฉียบไว “เป็นเพราะเมิ่งซู่เหยียนหรือ?”
หลัวจั่นอวี่ตกตะลึง เงยหน้ามองกู้ซีจิ่ว “เจ้ารู้ได้ยังไง…”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “ท่านเสแสร้งได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ เพียงแต่แววตาของท่านเปิดโปงท่าน…” พี่ชายคนนี้ของตนไม่ว่ามองผู้ใดล้วนมองอย่างซื่อสัตย์เป็นธรรม แต่บางครั้งเมื่อมองไปตามสายตาของเขา กู้ซีจิ่วทราบว่าเขามีความรู้สึกพิเศษให้แก่เมิ่งซู่เหยียนโฉมงามผู้เยือกเย็นนางนั้น แต่ผู้อื่นมีคนในใจอยู่แล้ว หลัวจั่นอวี่จึงทำได้เพียงกลบฝังความรู้สึกนี้ไว้ในใจ ถึงขั้นที่ไม่อยากใหอีกฝ่ายได้รับรู้
บางทีอาจเป็นเพราะกู้ซีจิ่วล่วงรู้ความลับเรื่องนี้แล้ว หรืออาจเป็นเพราะหลัวจั่นอวี่อยากหาคนที่ไว้ใจได้สักคนเพื่อระบายความในใจ ดังนั้นในที่สุดเขาจึงบอกล่าเรื่องราวในใจออกมา “เสี่ยวจิ่ว ข้าชอบนางจริงๆ เพียงแต่นางมีคู่หมั้นอยู่ด้านนอกแล้ว คนที่นางคะนึงหาก็คือบุรุษผู้นั้น ข้าไม่อยากเข้าไปแทรกระหว่างผู้อื่น…”
เขายิ้มอย่างขมขื่น “เพียงแต่เนื่องจากเมื่อก่อนทุกคนหาวิธีออกไปไม่พบมาโดยตลอด ข้าเองก็นึกว่าจะต้องแก่ตายอยู่ที่นี่ ในใจข้ายังคงโอบกอดความหวังเล็กน้อยที่มีต่อนางไว้ หวังว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงความคิดนาง บางทีอีกหลายสิบปีให้หลัง นางคงจะรับรักข้า…”
เขาดื่มสุราเข้าไปอีกจอก “เสี่ยวจิ่ว เจ้ารู้สึกว่าข้าเลวทรามมากใช่หรือไม่?”
————————————————————————————-
บทที่ 1346 คนแปลกหน้าอย่าได้เข้าใกล้โดยแท้
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ชมชอบคนผู้หนึ่งมิใช่ความผิด ยิ่งไปกว่านั้นคือท่านไม่ได้บังคับฝืนใจนาง นางถึงขั้นที่ยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่ท่านมีต่อนางด้วยซ้ำ…”
“ใช่ไหมเล่า?” หลัวจั่นอวี่คอไม่แข็งเท่าไหร่ สุราลงท้องไปกว่าสิบจอกแล้ว ดวงตาหรี่ปรือเล็กน้อยด้วยฤทธิ์สุรา “เมื่อครู่ข้าเห็นนางนั่งอยู่ที่สนามฝึกยุทธ์ ในมือถือปิ่นเล่มหนึ่งไว้อย่างใจลอย ข้าเดินเข้าไปคุยกับนาง ถึงได้ทราบว่าปิ่นเล่มนั้นเป็นของแทนใจที่บุรุษคนนั้นมอบไว้ให้นาง กว่าสิบปีมานี้นางพกติดตัวอย่างทะนุถนอมมาตลอด เมื่อกี้เป็นครั้งแรกที่นางยิ้มให้ข้า บอกว่าในที่สุดก็มองเห็นความหวังที่จะได้ออกไปแล้ว นางสามารถกลับไปอยู่กับคู่หมั้นของนางได้แล้ว ซ้ำยังถามข้าด้วยว่านางสวมชุดใดแล้วดูดีบ้าง ยามที่ออกไปได้นางอยากสวมไปให้บุรุษคนนั้นชม ให้เขาได้เห็นด้านที่ดูดีที่สุดของนาง…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอไม่รู้ว่าควรปลอบใจหลัวจั่นอวี่อย่างไร เมิ่งซู่เหยียนเป็นหญิงที่ดีคนหนึ่ง แต่นางกับหลัวจั่นอวี่กลับไร้วาสนาต่อกัน ผู้ชายอาจเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ แต่ปกติแล้วสิ่งที่ผู้หญิงปรารถนาคือการครองคู่กันไปชั่วชีวิต…
สองพี่น้องล้วนมีเรื่องในใจ ดื่มสุรากันอย่างผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วก็กรึ่มๆ นิดหน่อยแล้ว…
จู่ๆ เสียงขลุ่ยเอ้อระเหยสายหนึ่งแว่วก็แว่วมาจากที่ไกลๆ แผ่วหวิวล่องลอย ราวกับบุกตะลุยดั้นด้นมาจากสุดขอบฟ้า แว่วอยู่ในราตรี เสนาะหูยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นทันที
เป็นเขา! ตี้ฝูอี! เขาไม่ได้จากไป! เช่นนั้นเธอต้องไปหาเขา…
เนื่องจากร้อนใจเกินไป จึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปตรงๆ แต่เนื่องจากค่อนข้างกรึ่มๆ สุรา อาศัยเพียงเสียงไม่อาจกะระยะใกล้ไกลได้ การเคลื่อนย้ายครั้งนี้ของกู้ซีจิ่วจึงเลยไปไกล เคลื่อนย้ายไปโผล่ที่ในภูเขาด้านหลัง เกือบชนเข้ากับร่างของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่กำลังหาอาหารอยู่!
สัตว์ร้ายย่อมต้องการขย้ำ ‘เนื้อสดน้อย’ ที่หล่นลงมาจากฟ้าชิ้นนี้ จึงคำรามเสียงดังแล้วโจมตีเธออย่างรุนแรง กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง สร่างเมาขึ้นมาเล็กน้อย
สัตว์ร้ายตัวนั้นเป็นสัตว์ขั้นเจ็ด เนื่องจากหิวโหยจึงดุร้ายยิ่งนัก สู้สุดชีวิตเพื่ออาหารคำหนึ่ง
ส่วนกู้ซีจิ่วถึงอย่างไรก็เมามายอยู่บ้าง แข้งขาไม่ปราดเปรียว สุดท้ายถึงแม้จะซัดสัตว์ร้ายตัวนั้นจนตายไป แต่แขนของเธอก็ถูกคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายงับเข้า เจ็บแสบปวดร้อนยิ่งนัก
เธอสบถเสียงต่ำคราหนึ่ง พันแผลอย่างลวกๆ จากนั้นก็จับทิศทางเสียงขลุ่ยแล้วเคลื่อนย้ายกลับไปอีกครั้ง
ยามนี้ตี้ฝูอีนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมพัดพาอาภรณ์สีม่วงของเขาให้พลิ้วปลิวไสว เบื้องหน้ามีโต๊ะเล็กตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะเล็กมีสุราและมีกับแกล้ม
ไม่ง่ายเลยกว่ากู้จิ่วจับทางกลับไปได้ เสียงขลุ่ยที่อ้อยอิ่งกลับหยุดลงพอดี สตรีในชุดสีเงินอ่อนจางนางหนึ่งก้าวออกมาจากเงามืด ยืนชดช้อยอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี และทำความเคารพเขา “หวงซังเซียงคารวะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”
ตี้ฝูอีไม่เงยหน้าขึ้นมา เพียงตอบอืมคำหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือรินสุราให้ตนเอง
แววตาหวงซังเซียงวูบไหวคราหนึ่ง รีบก้าวไปทันที “ให้ข้าน้อยทำเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเลิศด้านการรินสุรา รินสุราให้เต็มปริ่มได้โดยไม่หก…”
ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีเยียบเย็นเล็กน้อย โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง หวงซังเซียงคล้ายถูกผลักออกไปโดยแรงที่ปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด มีคำพูดหนึ่งของตี้ฝูอีตามมาด้วย “ไสหัวไป!”
เห็นได้ชัดเจนนักว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอารมณ์ไม่ดียิ่ง คนแปลกหน้าอย่าได้เข้าใกล้โดยแท้
หวงซังเซียงหวิดจะถูกผลักล้มคว่ำ เซถอยไปหลายก้าวถึงยืนให้มั่นได้ สีหน้านางซีดเซียว ทว่ายังคงไม่ถอดใจ ยากนักที่จะมีโอกาสได้อยู่กับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตามลำพังเช่นนี้ นางไม่อยากพลาดไป “ทะ…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าน้อยมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงรู้สึกซาบซึ้งที่วันก่อนท่านช่วยเหลือทุกคนเอาไว้ ดังนั้นถึงอยากทุ่มเทกำลังอันน้อยนิดเพื่อทดแทนคุณ…”
นางยังคิดจะพูดพล่ามอีกหลายประโยค ตี้ฝูอีพลันชี้มือ เสียงของหวงซังเซียงหยุดลงทันใด
บทที่ 1347 เธอก็ยังเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
กลางอากาศราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอนางไว้ นางรู้สึกจุกในลำคอ หายใจไม่ออก ใบหน้าเล็กที่เดิมทีแดงระเรื่อถูกรัดจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ นางพยายามดิ้นรนแต่ไม่มีแรงต่อสู้ ตื่นตระหนกจนแทบปัสสาวะราดแล้ว…
หลังจากนั้นไม่นาน มือล่องหนที่บีบคอนางไว้กลางอากาศเพิ่งจะหายไป เสียงเยือกเย็นของตี้ฝูอีก็ดังขึ้น “ไสหัวไป! อย่าให้ข้าต้องพูดอีกเป็นรอบที่สาม!”
ในที่สุดหวงซังเซียงก็หายใจได้เฮือกหนึ่ง ไหนเลยจะยังกล้าพูดมากอีก หันกายวิ่งหนีไปดังโบยบิน พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายน่าเกรงขามยิ่งนัก อารมณ์ไม่ดีหรือ?” หลัวจั่นอวี่ก้าวเดินเข้ามา มองดูกับแกล้มตรงหน้าตี้ฝูอี “ข้าขอนั่งดื่มสักจอกได้หรือไม่?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่ได้!”
หลัวจั่นอวี่อึ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ “ร่ำสุราดับทุกข์เพียงลำพังน่าเบื่อเพียงใด? มิสู้ให้ข้านั่งเป็นเพื่อนท่าน”
มือของตี้ฝูอีกุมใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง แลดูเหนื่อยหน่าย คำที่พูดออกมากลับโหดร้ายนัก “ยามนี้ข้าไม่อยากพูดคุยกับผู้ใด รวมถึงเจ้าด้วย!”
หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว ท่าทีเขากึ่งมีสติกึ่งสับสนงงงวย ทว่าเขาก็มีศักดิ์ศรี ในเมื่ออีกฝ่ายมีคำสั่งส่งแขกอย่างชัดเจน เขาก็ไม่มีจิตใจจะอยู่ต่อ “เช่นนั้น…ช่างมันเถิด! ความจริงข้าก็ไม่ได้อยากดื่มเป็นเพื่อนท่านสักเท่าใด จริงสิ ซีจิ่วเล่า?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเย็นชา “นางมีทางเดินของนาง ข้ามีทางเดินของข้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ที่ใด?”
หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว “เห็นๆ กันอยู่ว่านางวิ่งออกมา…หรือว่าไม่ได้ออกมาตามหาท่าน?”
ตี้ฝูอียกจอกเหล้าขึ้นดื่ม “นางตามหาข้า? นางไม่เคยตามหาหรอก…ฮึๆ!” เขาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าแดกดันหรือเย้ยหยัน “ข้าไม่ยักรู้ว่านางยังตามหาคนได้ด้วย…ช่างเถิด ข้าก็ไม่อยากเจอนาง หากเจ้าตามหานางก็ไปตามหาที่อื่น อย่ามาพูดมากที่นี่!”
รัศมีของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้ทรงอำนาจยิ่งนัก หลัวจั่นอวี่ไม่อยากเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของเขา จึงหันกายเดินจากไปโดยเร็ว
ใต้ต้นไม้เงียบสงัดดังเดิม มีเพียงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนั่งร่ำสุราเป่าขลุ่ยเพียงลำพังอยู่ตรงนี้
กู้ซีจิ่วยืนมองภาพฉากนั้นในเงามืดอยู่ไกลๆ ถึงแม้เธอดื่มเหล้าจนเมามาย แต่หูยังได้ยินชัดเจน ย่อมมองเห็นภาพฉากที่ตี้ฝูอีใช้วาจาจู่โจมไล่ทั้งสองคนออกไป
เนื่องจากเธอยังเมามายอยู่สามส่วน สมองยังไม่นับว่าปลอดโปร่ง เดิมทีเธอวิ่งออกมาเพราะอยากพูดคุยกับเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลา ตอนนี้เขาต้องการความเงียบสงบ ไม่อยากให้ผู้ใดมารบกวน…
ตอนแรกที่กู้ซีจิ่วว้าวุ่นใจ ก็เคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาเหมือนกัน อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่อยากให้ใครมารบกวน เธอรู้สึกว่าตี้ฝูอียามนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็จะไม่เข้าไปทำให้เขาต้องรู้สึกทุกข์ใจไปมากกว่านี้…
ยามจำเป็น เธอก็ยังเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
กู้ซีจิ่วที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นใคร่ครวญแล้ว จึงไม่เดินเข้าไป หันกายกลับไปที่เรือนของตัวเอง
เดิมทีเธอเหนื่อยล้า ซ้ำยังดื่มเหล้าเข้าไปอีก หลังจากกลับมาห้องก็ล้มตัวลงที่เตียง ยังดีที่เธอเป็นคนที่ดูแลตัวเอง ยังดึงผ้ามาห่มให้ตัวเองอยู่
คนที่ดื่มเหล้ามักจะนอนหลับได้ค่อนข้างเร็ว กู้ซีจิ่วหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับไปเลย
ภายในห้วงความฝันราวกับมีเสียงขลุ่ยดังตลอด…
สำหรับเธอ เสียงขลุ่ยเช่นนี้เสมือนเพลงกล่อมเด็ก ทำให้นอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น
การรับรู้ทางดนตรีของเธอดียิ่งนัก แม้เป็นในห้วงแห่งความฝันเธอก็ฟังออกว่าเพราะหรือไม่
———————————————————————–
บทที่ 1348 หากดื่มจนเมามายจริงๆ เล่า?
การรับรู้ทางดนตรีของเธอดียิ่งนัก แม้เป็นในห้วงแห่งความฝันเธอก็ฟังออกว่าเพราะหรือไม่ เธอรู้สึกได้รางๆ เสียงขลุ่ยหลังจากนั้นแปร่งๆ ไม่ได้นับว่าสมบูรณ์แบบ…
หลับจนถึงกลางดึก เธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงฝนเปาะแปะด้านนอก
ยามนี้เธอเริ่มสร่างเมาแล้ว สติก็ตื่นตัวไม่น้อย เธอรวบรวมสติอยู่บนเตียง มองดูหยาดฝนโปรยปรายด้านนอกหน้าต่าง
ฝนตกหนักมาก!
คนที่นี่บอกว่าสถานที่แห่งนี้ฝนไม่ตกง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าเธอมาไม่กี่วันก็ตกหนักเช่นนี้แล้ว นับได้ว่าเป็นฝนตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว!
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนนอนผุดขึ้นมาในใจของเธอ หัวใจพลันสั่นไหว
กู้ซีจิ่วแอบฟังเสียงด้านนอกโดยไม่รู้ตัว มีเพียงเสียงฝนเปาะแปะ ไม่มีเสียงขลุ่ยอีกแล้ว
เธอยิ้มเจื่อน สภาพอากาศเช่นนี้เขาไม่มีทางเป่าขลุ่ยอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่รู้ป่านนี้ไปหลบฝนอยู่ที่ใดแล้ว! เขาไม่ได้โง่งมเสียหน่อย!
ช่างเถิด พรุ่งนี้ค่อยไปหา แล้วพูดคุยกับเขาดีๆ อันที่จริงเขาเองก็ผิด ตอนแรกเขาพูดจาคลุมเครือ เช่นนั้นจะมาโทษที่เธอเข้าใจผิดได้อย่างไร? เธอยอมเป็นตัวแทนไม่ได้จริงๆ นี่! ดังนั้นจะบอกว่าเธอผิดไม่ได้…
ทว่าตอนนี้เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว ในใจของเขามีแต่เธอ กู้ซีจิ่วรู้สึกดีมาก เรื่องอื่นก็ปล่อยมันไปได้แล้ว
เธอหนีการแต่งงานทำให้เขาต้องลำบากยิ่งนัก เขาโกรธก็สมควรแล้ว
หากเธอเตรียมพิธีแต่งงานอย่างพิถีพิถันมีความสุข เทียบเชิญงานแต่งอะไรก็ส่งออกไปหมดแล้ว ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนรับทราบกันหมด ท้ายที่สุดเจ้าบ่าวหนีการแต่งงานไปเพราะเรื่องเข้าใจผิด ทิ้งเธอไว้ตรงนั้นให้ผู้คนรายล้อมดุจกล้องสลับลาย เธอก็คงโกรธเคืองยิ่งเช่นกัน ซ้ำยังรู้สึกว่าเจ้าบ่าวไม่ได้รักกันจริง ไม่แน่อาจจะอยากถลกหนังของอีกฝ่ายด้วยก็ได้!
อ่า ความจริงเปลี่ยนมุมมองความคิดสักนิดก็เข้าใจได้อย่างง่ายดายแล้ว
ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการอยู่ร่วมกันของคนรักกันทั้งสอง ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงคิดจะไปคุยกับเขาดีๆ พรุ่งนี้ อย่างมากก็ต้องปลอบใจเขาเสียหน่อย
จุดนี้ ถือได้ว่ากู้ซีจิ่วยังมีคุณธรรมลึกซึ้งนัก
กู้ซีจิ่วที่มีคุณธรรมลึกซึ้งวางแผนได้พอประมาณแล้วจึงเอนตัวลงนอนอีกครั้ง หลับตากำลังเตรียมตัวจะนอนหลับ ทว่าไม่รู้ทำไมถึงไม่รู้สึกง่วง เธอรู้สึกกระวนกระวายเมื่อฟังเสียงฝนด้านนอก
เขาอารมณ์ไม่ดีนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น หากเมามายไปจริงๆ เล่า?
คนเมาล้มลงได้ง่ายดาย ล้มตรงไหนก็นอนตรงนั้น
หากเขาเมามายเช่นนี้ใต้ต้นไม้ใหญ่…
ในหัวของกู้ซีจิ่วถึงขั้นปรากฏภาพฉากว่าเขานอนคว่ำหน้าอยู่ท่ามกลางสายฝนแวบหนึ่ง เธอตกใจภาพฉากนี้ทันที พลิกตัวลุกขึ้นมา!
ไม่ได้ เธอต้องไปดูสักหน่อยถึงจะวางใจ!
เธอสวมเสื้อผ้าแล้วเคลื่อนย้ายไปทางใต้ต้นไม้นั้นทันที
ฝนซาลงบ้างแล้ว ทว่ายังคงมีละอองฝนอยู่ มีหยาดฝนไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้กู้ซีจิ่วมีพลังวิญญาณขั้นแปดแล้ว เธอเพียงแผ่พลังวิญญาณปกคลุมร่างกาย หยาดฝนเหล่านั้นก็ไม่ตกใส่เธอ
ค่ำคืนมืดมิด แม้แต่โคมไฟที่แขวนไว้บนยอดไม้ยังถูกน้ำฝนโปรยดับไปหลายดวง ที่เหลือไม่กี่ดวงวูบไหวท่ามกลางสายฝน ปรากฏเป็นดวงไฟริบหรี่
กู้ซีจิ่วเดินวนใต้ต้นไม้ใหญ่รอบหนึ่ง ไม่พบแม้แต่เงาของตี้ฝูอี
เธอโล่งอกไปที ตีหน้าผากตัวเองเบาๆ และแอบหัวเราะเยาะความตื่นตระหนกของตัวเอง คนที่เฉลียวฉลาดอย่างตี้ฝูอีจะทำให้ตัวเองล้มลงท่ามกลางสายฝนได้อย่างไร? ตัวเองก็คิดกังวลไปเรื่อยเปื่อย! เขาต้องกลับไปหลบฝนที่ใดที่หนึ่งนานแล้ว ไม่แน่อาจนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้…
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะนอนที่ไหน กู้ซีจิ่วไม่เป็นกังวล ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้สร้างที่พักพิงของตนเองได้ตามใจ เขาย่อมไม่มีทางนอนกลางแจ้งอยู่แล้ว
บทที่ 1349 ข้าดื่มเหล้าไม่เคยเมา
สถานที่ที่เขานอนอยู่ตอนนี้อาจจะหรูหรากว่าเรือนของเธอก็ได้ กู้ซีจิ่วตัดสินใจไม่ตามหาแล้ว กลับไปนอนหลับให้สบายใจดีกว่า
ขณะที่เธอกำลังจะเคลื่อนย้ายในพริบตากลับ ก็พลันมีมือหนึ่งตบไหล่ เสียงแหบแห้งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “เจ้ากำลังตามหาข้าหรือ?”
รอบด้านมืดสนิท แสงไฟริบหรี่ หยาดฝนโปรยปราย ถูกตบไหล่จากด้านหลัง แม้กระทั่งสุ้มเสียงยังคล้ายมีกลิ่นอายชั่วร้ายยิ่งนัก…
อย่างไรก็ดูเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ กู้ซีจิ่วตกใจ ขนลุกไปทั้งตัว!
เธอกระโจนไปด้านหน้าตามสัญชาตญาณ หลีกหนีมือนั้น ยังดีที่ไม่ได้ใช้หลังมือตีกลับไป!
เคราะห์ดีที่การตอบสนองของเธอว่องไว ก่อนที่จะลงมือ เธอรู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นหูมาก…
เธอรีบหันหน้ากลับมาดู ก่อนจะอึ้งงัน
ตี้ฝูอียืนอยู่ด้านหลังดั่งพรายน้ำ เปียกปอนไปทั่วทั้งร่าง เส้นผมลีบติดหนังหัว น้ำหยดติ๋งๆ ลงมา สภาพนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก ในมือเขายังถือเหล้ากาหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นพลางมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่าน…อยู่ตรงนี้มาตลอดเลยหรือ!” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็คืนสติ เดินไปจับมือข้างหนึ่งของเขา
มือของเขาเย็นเฉียบ เธอจับมือเขาแล้วราวกับจับไอศกรีมแท่งหนึ่ง กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้ว ไม่พูดไม่จาดึงเขาไป “ไป กลับไปกับข้าก่อน!”
ตี้ฝูอีไม่ได้ปฏิเสธ ทว่าก็ไม่ได้เดินไปกับนาง เขามีความมุ่งมั่นของเขา “ไปเรือนข้า”
กู้ซีจิ่วตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ “เรือนของท่าน เรือนที่ไหน?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองนาง “เรือนของข้าที่นี่ก็มีอยู่ที่เดียวไม่ใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วเข้าใจแล้ว “อ้อ? ท่านอยู่ที่นั่นจริงๆ แล้วหรือนี่”
ตี้ฝูอีขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปอยู่ที่ไหนได้?”
เอาเถอะ กู้ซีจิ่วไม่อยากโต้เถียงกับเขาตรงนี้ พาเคลื่อนย้ายในพริบตาไปยังเรือนของเขา
หลังจากเข้าเรือนมา กู้ซีจิ่วก็ได้รู้ว่าที่ตี้ฝูอีพูดเป็นความจริง เขาอยู่ที่นี่จริงๆ
ผ้าห่มบนเตียงในห้องนอนยังไม่ได้พับ บนโต๊ะมีชาที่ยังดื่มไม่หมด
ดูเหมือนหลังจากที่เขาโกรธออกมาจากเรือนของเธอ ก็ตรงกลับมาที่นี่ แต่เธอนึกไม่ถึง…
ตัวเขาเปียกปอนยิ่งนัก ทั่วทั้งตัวมีน้ำหยด เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ กู้ซีจิ่วถามเขา “ท่านใช้วิชาชำระล้างทำให้ตัวเองแห้งได้หรือไม่?”
ตี้ฝูอีมองเธอราวกับฟังไม่เข้าใจ จึงย่อมไม่ใช้วิชาชำระล้าง
กู้ซีจิ่วไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาดี มารู้ตัวอีกทีก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง ตี้ฝูอีเมาแล้ว!
เขาเมาไม่เหมือนคนผู้อื่นเมา คนอื่นเมาไม่นอนหลับก็โวยวาย แต่เขากลับนิ่งเงียบเหมือนคนไม่สนใจ ถึงขั้นกริยาท่าทางก็ดูไม่ออกถึงความผิดปกติในทันที ทว่าตอนนี้มาดูอย่างละเอียด ก็มองออกว่าความจริงแล้วการตอบสนองของเขาช้าลงไประดับหนึ่ง…
กู้ซีจิ่วไม่เคยเห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเช่นนี้มาก่อน ทั้งปวดใจทั้งขบขันอยู่บ้างอย่างห้ามไม่ได้
เธอดึงมือเขา “เมาหนักขนาดนี้เลยหรือ? ท่านใช้วิชาชำระล้างไม่ได้กระมัง?”
ตึ้ฝูอีมองนางครู่หนึ่ง พูดออกมาว่า “ข้าไม่เมา!” ยังพูดต่ออีกหนึ่งประโยค “ข้าดื่มเหล้าไม่เคยเมา!”
กู้ซีจิ่วกล่าวอันใดไม่ออก หากเขาไม่เมาไยต้องทำให้ตัวเองเปียกปอนเป็นพรายน้ำเช่นนี้? ทั้งที่เขาแผ่พลังวิญญาณออกมาปกคลุมตัวเองได้
ทว่าปกติคนเมาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเมา ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่อยากทะเลาะกับเขาเรื่องนี้ เธอพยายามฝืนใช้คาถาชำระล้างให้ ทว่าพลังวิญญาณยังไม่ถึงขั้น คาถาชำระล้างนี้ใช้ได้ไม่ดีนัก เพียงฝืนทำให้ผมและเสื้อผ้าเขาไม่มีน้ำหยด แต่ยังเปียกชื้นอยู่ ดูแล้วไม่สบายตัวยิ่งนัก
————————————————————————–
บทที่ 1350 ขอแต่งงานในอ่างอาบน้ำ
เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกไปทั้งตัวของเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่เช่นนั้น เขาอาจจะไม่สบายหนักได้…
“ท่านคงมีเสื้อผ้าแห้งชุดอื่นติดตัวมาบ้างกระมัง? เอามาเปลี่ยนเสีย สวมเสื้อผ้าเปียกๆ นอนไม่ได้” กู้ซีจิ่วรู้ว่าตี้ฝูอีมีถุงเก็บของจุสรรพสิ่งติดตัวมา ด้านในครอบจักรวาล สรรพสิ่งใดล้วนมีหมด ดังนั้นเขาต้องมีเสื้อผ้าแห้งอย่างแน่นอน
ตี้ฝูอีเบือนหน้ามองเธอ ดวงตานั้นลึกล้ำ ราวกับต้องการถลกหนังเธอออกเพื่อให้มองเห็นกระดูก
กู้ซีจิ่วถูกเขามองจนหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านหยิบออกมาสิ”
“เหตุใดไม่ตามหาข้า? ข้าไม่ตามหาเจ้า เจ้าก็ยอมแพ้ไปเสียอย่างนั้นใช่ไหม?” ตี้ฝูอีเหมือนหัวเราะเยาะเย้นตนเอง เอ่ยปากช้าๆ “ทุกครั้งที่เจ้าทิ้งข้าไปช่างง่ายดาย…”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เบ้าตาร้อนผ่าว เขาที่เป็นแบบนี้ทั้งแข็งแกร่งและเปราะบาง
“ข้าไม่ได้ทิ้งท่าน ข้าตามหา ข้าคิดว่าท่านออกจากที่นี่ไปหรือเข้าไปยังที่ฝึกฝนอะไรนั่น ข้าไปตามหาในหมู่บ้านแล้ว”
“โกหก” ตี้ฝูอีเม้มริมฝีปากบางไว้แน่น “ข้าอยู่ที่นี่ แค่เจ้าตามหาก็เจอ…”
กู้ซีจิ่วเอามือกุมขมับ “ข้าคิดว่าท่านรังเกียจที่นี่แล้วจะไม่มา…”
เธอดึงสาบเสื้อของเขา “พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องอื่น หืม?”
ตี้ฝูอีกลับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “ข้าเสียใจยิ่งนัก เจ้ายอมแพ้ได้ง่ายกว่าข้าเสมอ…” เขาหยิบชาที่เย็นชืดแล้วบนโต๊ะมากำลังจะยกดื่ม
กู้ซีจิ่วรีบหยุดยั้งเขา แย่งชาที่เย็นชืดในมือเขามา “ถ้วยนี้ดื่มไม่ได้แล้ว”
ตี้ฝูอีไม่คุ้นชินกับการที่คนอื่นแย่งของของเขา ย่อมต้องหลบหลีกไป แต่อย่างไรกู้ซีจิ่วก็ไม่ยอมลดละ ขณะที่ทั้งสองคนเล่นไล่จับ น้ำชาที่เย็นชืดก็หกรดตัวของพวกเขา
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน คราวนี้ไม่เพียงแต่เขาที่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน!
ตี้ฝูอีก้มลงมองคราบน้ำชาเป็นจุดๆ ตรงหน้าอกตัวเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สกปรก!”
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจ รีบเอ่ย “ใช่สิ สกปรกแล้ว พวกเราต้องเปลี่ยนมัน หืม?”
ครั้งนี้ ตี้ฝูอีไม่สร้างปัญหาอีก ไม่รู้ว่าเขาหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากตรงไหน กำลังจะสวมทั้งชุดเข้าไป…
กู้ซีจิ่วรีบหยุดเขา ตี้ฝูอีมุ่นคิ้ว ดูไปแล้วเหมือนยังคงมีสติยิ่งนัก “อะไรอีก?”
เส้นเลือดที่ขมับของกู้ซีจิ่วเต้นเล็กน้อย กดเขานั่งลงบนเก้าอี้ “ถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกก่อนค่อยสวมชุดใหม่!”
ยามนี้เขาเมาหนักมาก เธอพูดคุยกับเขาก็เหมือนไก่คุยกับเป็ด ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีกแล้ว ตัดสินใจถอดเสื้อผ้าเขาด้วยตัวเอง เขากลับยอมแต่โดยดี ดวงตาดำขลับดุจน้ำหมึกจ้องมองเธอ โอนอ่อนตามการเคลื่อนไหวของเธอ ให้ยกมือเขาก็ยกมือ ให้ยกขาเขาก็ยกขา ตอบสนองรวดเร็วนัก
เสื้อผ้าบนตัวเขาถอดออกได้อย่างง่ายดาย เสื้อคลุมด้านนอก เสื้อคลุมด้านใน ล้วนถอดออกจนหมด สายตาของกู้ซีจิ่วจดจ้องไปที่กางเกงของเขา
กางเกงของตี้ฝูอีก็เปียกชื้น ย่อมต้องถอดออกเช่นกัน
ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาสวมกางเกงชั้นในไว้หรือไม่ เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยสวม
เธอยื่นมือออกไปถอดกางเกงเขา ข้อมือพลันแข็งเกร็ง ก่อนเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาที่คล้ายมีน้ำหมุนวนของเขา
สายตาเช่นนี้ทำให้เธอขนลุกซู่ หัวใจเต้นดั่งฟ้าร้อง อธิบายออกไปตามจิตใต้สำนึก “ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่าน…”
กู้ซีจิ่วไม่ทันได้พูดคำด้านหลัง เพราะเขาพลันดึงเธอเข้าไป พละกำลังของกู้ซีจิ่วตอนนี้ไม่อาจสู้เขาได้ จึงถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดทันที เธอกอดเอวเขาไว้โดยไม่รู้ตัวพลางส่งเสียงร้องแผ่วเบา
เมื่อถอดเสื้อผ้าท่อนบนของเขาออกแล้ว กู้ซีจิ่วจึงสัมผัสถึงเอวบางที่ทรงพลังได้อย่างชัดเจน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น