ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1334-1345

 บทที่ 1334 ความซาบซึ้งของเปากง

 

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังพาพวกเด็กๆ เล่นกันวุ่นวายอยู่ทางนี้ วินนี่ก็กำลังเตรียมตัวไปเข้างาน ขับวนไปวนมาอยู่ๆ ก็มาถึงท่าเรือเสียแล้ว เธอตะโกนถามฉินสือโอวว่า “วันนี้คุณทำความสะอาดคอกม้าหรือยังคะ?”


ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ แล้วถามเธอกลับไปว่า “ยังต้องทำความสะอาดคอกม้าอีกเหรอ?”


วินนี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เธอจึงกะพริบตาปริบๆ แล้วถามเขากลับไปเหมือนกัน “คุณจะบอกว่าเปากงตี้หลูจะไม่อึไม่ฉี่ หรือจะบอกว่าพวกมันจะลงมือทำความสะอาดเองอย่างนั้นเหรอคะ?”


แอร์แบ็คที่อยู่ข้างๆ ไหวไหล่พูดว่า “บอส การเลี้ยงม้าไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เชื่อผมเถอะ ต่อไปม้าสองตัวนี้จะทำให้คุณลำบากแน่ๆ!”


ฉินสือโอวเลี้ยงสัตว์มาหลายปีแล้ว ทั้งเป็ดไก่ห่าน หมูป่ากวางป่าก็มี ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยลำบากเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าคอกของพวกมันก็ไม่ได้สกปรกอะไร


แต่เขากลับไม่ได้สังเกตว่าที่คอกเลี้ยงสัตว์ไม่สกปรกนั่นก็เป็นเพราะมีลำธารสายหนึ่งที่น้ำไหลได้เร็วพอไหลผ่าน พวกเป็ดไก่กวางนานๆ เข้าก็รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองด้วยการลงไปอาบน้ำในลำธาร


ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นประโยชน์จากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอย่างหนึ่ง


ฉินสือโอวให้แอร์แบ็คไปทำความสะอาด แอร์แบ็คจึงพูดกับเขาว่า “นั่นไม่เป็นปัญหาอยู่แล้วครับ แต่บอสครับ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการช่วยทำคอกสะอาดคอกและรักษาความสะอาดให้กับม้าเป็นวิธีเพิ่มพูนความผูกพันอย่างหนึ่ง แต่ถ้าผมเป็นคนไปทำความสะอาด ผมก็ไม่กล้ารับประกันว่าหลังจากนี้ม้าทั้งสองตัวจะคิดว่าผมเป็นเจ้านายของพวกมันไหม”


ฉินสือโอวกลอกตาอย่างจนปัญญา เขาทำได้แค่เปลี่ยนไปสวมรองเท้าบู๊ตแล้วขับรถคันเล็กไปจัดการปัญหาเรื่องความสะอาดให้ม้าทั้งสองตัว


ตลอดทั้งคืน ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวขับถ่ายไว้หลังก้นของพวกมันหนึ่งกอง อีกทั้งบนพื้นก็มีร่องรอยของปัสสาวะ เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องจัดการ คอกม้ามีพื้นรองคอกม้าที่มีความลาดเอียง ปัสสาวะจะไหลลงไปเอง


ฉินสือโอวลากม้าทั้งสองตัวออกมา แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำอุ่นเช็ดขนบนร่างกายให้พวกมัน


นี่ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย ต้องใช้แปรงหลายชนิดในการแปรงขนทำความสะอาด ทั้งแปรงขนนุ่ม แปรงขนแข็ง แปรงหัวสามเหลี่ยมเป็นต้น นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉินสือโอวได้แปรงขนให้พวกมัน เลยยังติดขัดอยู่นิดหน่อย


เชอร์ลี่ย์เดินมือไขว้หลังเข้ามาหา เธอหรี่ตากลมโตแล้วถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉิน อยากให้หนูช่วยไหมคะ?”


ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กสาวแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ต้องจ่ายเงินหรือเปล่า? พูดมาเลยดีกว่า เธอจะเอาเท่าไร?”


เด็กสาวเบะปากเล็กๆ เธอพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณคิดว่าหนูเป็นพวกขี้เหนียวแบบกอร์ดอนเหรอคะ? หนูไม่ได้คิดแต่เรื่องเงินสักหน่อย มาเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูช่วยคุณเอง”


ฉินสือโอวช่วยเปากง ส่วนเด็กสาวรับหน้าที่ดูแลตี้หลูต่อ เธอทำตามฉินสือโอวเริ่มแปรงตั้งแต่หน้าผาก ใช้แปรงขัดล้างตัวให้ตี้หลู


เมื่อแปรงขนให้เปากงตั้งแต่หัวจรดหางไปแล้วหนึ่งรอบ ก็เหมือนกับว่าติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ใหม่อีกครั้ง จนดูราวกับเพิ่งจะยกเครื่องใหม่ทั่วทั้งตัว


ฉินสือโอวตบลงบนหน้าหน้าผากของเปากงเบาๆ แล้วถอนหายใจออกมา “โอเค เพื่อน ถือว่าช่วยทำความสะอาดให้แกเรียบร้อยแล้วนะ”


ในตอนนี้นี่เองอยู่ๆ เปากงก็ยื่นหัวเข้ามา มันใช้ริมฝีปากดันหน้าของฉินสือโอวอย่างขวยเขิน ตาดวงโตจ้องมองเขาด้วยสายตาไร้เดียงสา


ขณะที่ฉินสือโอวกำลังจ้องตากับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ ในขณะนั้นเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาซะเฉยๆ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้หายไปอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจสิ่งที่แอร์แบ็คต้องการจะสื่อแล้ว เขาไม่ได้หลอกฉินสือโอว การช่วยดูแลความสะอาดให้ม้าเป็นวิธีการเพิ่มความผูกพันที่ดีมากจริงๆ


เขาใช้มือสางขนบนคอให้ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ พอสางขนเสร็จแล้วฉินสือโอวก็ตบลงไปบนคอของมันเบาๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ เด็กดี ออกไปเล่นเถอะ ตอนกลางคืนต้องเป็นเด็กดีแล้วกลับมาที่นี่นะ เข้าใจไหม?”


เด็กสาวทำงานด้วยความละเอียดและเอาใจใส่ เชอร์ลี่ย์ทำความสะอาดตัวให้ตี้หลูได้สะอาดกว่า ขนที่หลังคอของตี้หลูค่อนข้างยาว อายุยังน้อยแค่นี้แต่ขนกลับยาวจนห้อยลงมาข้างล่างแล้ว แบบนี้ไม่น่ามองเท่าไร เชอร์ลี่ย์จึงช่วยถักเปียสั้นแบบง่ายๆ เพื่อเก็บขนที่ห้อยลงมาให้มัน


ตี้หลูร้องออกมาอย่างร่าเริงอยู่สักพัก พอได้ใช้หน้าผากถูกับหน้าอกของเชอร์ลี่ย์แล้วมันถึงเพิ่งจะวิ่งตามเปากงไป ที่ขณะที่กำลังวิ่งก็ยังหันกลับมามองดูเชอร์ลี่ย์


นี่ทำให้เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอจึงพูดกับเขาด้วยความดีใจ “ฉิน ต่อจากนี้ส่งตี้หลูให้หนูนะคะ หนูจะช่วยดูแลเรื่องความสะอาดให้เธอเอง”


ฉินสือโอวพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ส่งพลั่วให้เชอร์ลี่ย์พร้อมกับพูดให้กำลังใจเธอ “เอาเลย ช่วยดูแลความสะอาดให้มันอย่างดีเลยนะ นับตั้งแต่วันนี้ไปมันเป็นเพื่อนคู่ชีวิตของหนูแล้ว”


เชอร์ลี่ย์ถือพลั่ววิ่งเข้าไปในคอกม้าด้วยความกระตือรือร้น แต่หลังจากนั้นก็วิ่งกลับออกมาทันที เธอส่งพลั่วคืนให้ฉินสือโอว แล้วพูดว่า “หนูแค่จะช่วยเธอทำความสะอาดร่างกาย ส่วนความสะอาดของคอกม้าคุณต้องจัดการเองนะคะ”


มูลสัตว์ในคอกม้าทำความสะอาดได้ง่าย นั่นเป็นเพราะเวลานอนลูกม้าจะยืนอยู่นิ่งๆ ตำแหน่งที่ปล่อยอุจจาระจึงอยู่ในที่เดียวกัน แค่แป๊บเดียวฉินสือโอวก็เก็บกวาดจนสะอาด หลังจากนั้นเขาก็ลากสายยางฉีดน้ำแรงดันสูงเข้ามาแล้วฉีดล้างพื้นรองคอกม้าจนสะอาดหมดจด


เมื่อทำความสะอาดคอกม้าเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวจึงกลับไปขุดหอยงวงช้าง


พวกชาวประมงลงมือทำงานกันแล้ว หอยงวงช้างหาได้ไม่ยาก พวกมันมุดลงไปอาศัยอยู่ในทราย ในเวลาปกติพวกมันจะยื่นท่อส่วนที่เป็นจมูกออกมานอกพื้นทราย หลังจากน้ำทะเลลดระดับลง พวกมันก็จะหดท่อจมูกกลับไป และจะทิ้งรูเอาไว้บนพื้นทรายที่เรียบเสมอกัน


ความรู้ความเข้าใจและเทคนิคในการขุดหาหอยงวงช้างอยู่ที่ตรงนี้ พวกชาวประมงต้องตัดสินว่าหอยงวงช้างตัวที่อยู่ข้างใต้เหมาะที่จะเก็บขึ้นมาหรือไม่จากขนาดของรู


ตลอดทั้งชีวิตหอยงวงช้างจะใช้ชีวิตอยู่ในรูแค่รูเดียว ถ้าออกห่างจากรูเมื่อไรมันก็จะหยุดกินอาหารแล้วหลังจากนั้นก็ตายลงไปในที่สุด หอยงวงช้างที่ขายได้ราคาสูงในตลาดต้องมีขนาดพอดี และไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป


จะจับหอยงวงช้างตัวใหญ่ขึ้นมาไม่ได้ ทั้งไม่มีราคารสชาติก็ไม่ดี แต่พวกมันมีความสามารถในการแพร่พันธุ์ที่ยอดเยี่ยมมาก จะต้องปล่อยทิ้งไว้ให้พวกมันขยายพันธุ์ต่อ ส่วนหอยงวงช้างตัวเล็กก็มีเนื้อไม่มาก ไม่เหมาะกับการนำมาประกอบอาหารเช่นกัน


หลังจากพวกชาวประมงตัดสินว่าหอยงวงช้างเหมาะที่จะจับขึ้นมาหรือไม่จากปากรูบนพื้นทราย พวกเขาก็จะใช้พลั่วอันเล็กๆ จ้วงลงไปจนถึงส่วนลึกของรูแล้วตักขึ้นมาเหมือนขุดรากของต้นไม้ขึ้นมาพร้อมกับดิน


ต้องดูแลหอยงวงช้างให้สมบูรณ์ เปลือกของพวกมันบางมากทำให้แตกได้ง่าย และถ้าหากเปลือกของหอยงวงช้างแตกเสียหายขึ้นมาพวกมันก็จะตาย เมื่อนำไปขายก็จะไม่ได้ราคา


พวกชาวประมงพกเอาหนังยางติดตัวมาด้วย หลังจากล้างหอยงวงช้างที่ขุดขึ้นมาจนพอจะสะอาดแล้ว พวกเขาก็จะใช้หนังยางรัดเปลือกของพวกมันเอาไว้


ฉินสือโอวรู้ว่าตรงไหนมีหอยงวงช้างอยู่เยอะที่สุด เขาจึงตรงไปยังบริเวณนั้น จนเจอรูที่ท่อจมูกของหอยงวงช้างตัวหนึ่งทิ้งเอาไว้ แต่พอพลั่วตักลงไปก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัก’ เขาจึงรู้ว่าตัวเองทำพลาดแล้วในทันที


เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากขุดหอยงวงช้างตัวนี้ขึ้นมา เปลือกข้างหนึ่งของมันก็ถูกพลั่วทุบจนแตกไปแล้ว


กอร์ดอนผ่านมาทางด้านข้าง เขามองดูแค่แวบเดียวก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉิน คุณนี่ทึ่มจริงๆ หอยงวงช้างถูกขุดขึ้นมาตั้งหลายตัวแล้ว มีแค่ของคุณคนเดียวที่เปลือกแตก”


ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “กอร์ดอน เมื่อก่อนก็มีเด็กที่มาอวดดีกับฉันแบบนี้เหมือนกัน นายรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเขาเป็นยังไง?”


“เป็นยังไงเหรอครับ?” เสี่ยวชาร์คถาม


กอร์ดอนจึงหันไปถลึงตาใส่เขาหนึ่งที “จุ้นจ้านจริงๆ”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดว่า “ในอนาคตยังไม่รู้ แต่ฉันพอจะรู้สภาพของเขาในตอนนี้นะ ตอนนี้หญ้าบนหลุมศพของเขาสูงตั้งครึ่งเมตรแล้ว!”


“ไม่นะ ฉิน คุณแช่งผมนี่!” กอร์ดอนพูดอย่างไม่พอใจ “คุณทำร้ายผม”


ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นนายจะหาวิธีเอาคืนฉันก็ได้นะ แต่ถ้านายแก้แค้นฉันไม่ได้ ก็อดทนต่อไปเถอะ”


ขุดหอยงวงช้างขึ้นมาอีกสองตัว ฉินสือโอวก็ยังขุดได้ไม่ดี ถ้าไม่เล็กเกินไปก็ใหญ่เกินไปหรือไม่ก็ขุดไปโดนเปลือกของพวกมันจนแตก จนทำให้หอยงวงช้างพวกนี้เสียของไปเปล่าๆ


แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ถือว่าเป็นค่าเรียนก็แล้วกัน เป็นบัตเลอร์เสียอีกที่รู้สึกเจ็บปวดใจ เขาร้องออกมาว่า “ฉิน นายพอได้แล้ว ปล่อยหอยงวงช้างพวกนี้ไปเถอะ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงไม่ทำต่อแต่ไปพักผ่อนแทนแล้ว”


ฉินสือโอวยังไม่ยอมแพ้ จึงตอบกลับไปว่า “ให้ฉันลองไปฝึกกับชาร์คก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นฉันต้องทำได้แน่ๆ”

 

 

 


บทที่ 1335 ราชาหอยผู้รอดชีวิต

 

ฝึกฝนด้วยความตั้งใจมาแล้วครึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่างานประเภทนี้ไม่เหมาะกับตัวเอง เขาเลยต้องล้มเลิกการขุดหอยงวงช้าง นี่จึงทำให้บัตเลอร์โล่งใจขึ้นมาได้


แต่ฉินสือโอวก็ยังมีงานที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งก็คือการตามหาที่ที่หอยงวงช้างอาศัยอยู่รวมกันนั่นเอง เขาทำสัญลักษณ์เอาไว้ แล้วค่อยให้พวกชาวประมงรีบมาขุด แบบนี้จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากยิ่งขึ้น


ตามกฎการทำงานของฟาร์มปลา ชาวประมงจะได้รายได้จากการขุดหอยงวงช้างด้วย โดยจะได้ส่วนแบ่งจากหอยงวงช้างหนึ่งปอนด์ถึงสี่ดอลลาร์


สาเหตุที่มีกฎเช่นนี้ก็เพราะปกติแล้วจะต้องดำลงไปขุดหอยงวงช้างขึ้นมาจากใต้น้ำ และบางครั้งยังต้องดำลงไปในทะเลลึก ดังนั้นพวกชาวประมงจึงได้รายได้เพิ่มจากงานส่วนนี้ ในการกำหนดราคา เงินที่ฟาร์มปลาในนิวฟันด์แลนด์แบ่งให้กับชาวประมงนับว่าน้อยมาก ถ้าเป็นที่รัฐบริติชโคลัมเบีย ชาวประมงจะได้ส่วนแบ่งจากหอยงวงช้างหนึ่งปอนด์ตั้งแต่หกถึงแปดดอลลาร์


รัฐบริติชโคลัมเบียมีหอยงวงช้างที่คุณภาพดีที่สุดในโลก และราคาก็สูงที่สุดเช่นกัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากอุณหภูมิของน้ำที่ค่อนข้างต่ำ จึงขุดขึ้นมาได้อย่างลำบาก


แน่นอนว่าที่บอกว่าคุณภาพดีที่สุดคือการพูดถึงโดยรวม หากจะพูดอย่างชี้เฉพาะเจาะจง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าหอยงวงช้างของฟาร์มปลาต้าฉินต่างหากที่มีคุณภาพดีที่หนึ่ง


สาเหตุที่บัตเลอร์รู้สึกเจ็บปวดใจที่ฉินสือโอวทำให้หอยงวงช้างเสียหายมากขนาดนี้ก็เป็นเพราะหอยงวงช้างเป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมของฟาร์มปลา ในภัตตาคารอาหารจีนชั้นนำ ของสิ่งนี้เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมที่สุด ยิ่งกว่าพวกปลิงทะเล หอยเป๋าฮื้อกับกุ้งมังกรเสียอีก


หอยงวงช้างที่ส่งออกจากฟาร์มปลาต้าฉินแตกต่างกับหอยงวงช้างทั่วไป โดยเนื้อสัมผัสจะนุ่มเด้งเป็นพิเศษ หอยงวงช้างธรรมดาจะมีท่อจมูกสีเหลืองอ่อน แต่ของที่ส่งออกจากฟาร์มปลาต้าฉินจะเป็นสีขาว


นอกจากนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันด้วย ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น แต่บัตเลอร์เล่าผลตอบรับจากลูกค้าชาวเอเชียบางส่วนให้เขาฟังว่า หอยงวงช้างที่มาจากฟาร์มปลาต้าฉินสามารถบำรุงหยินหยางในร่างกายได้จริงๆ


พวกชาวประมงเริ่มออกโจมตีด้วยความดุเดือด พวกเขาทำงานติดต่อกันตั้งแต่เช้าจนน้ำขึ้นตอนบ่ายสองพวกเขาถึงเพิ่งจะหยุดพักทานอาหาร


และด้วยเวลากว่าครึ่งวัน หอยงวงช้างที่พวกชาวประมงจับมาได้ก็มีน้ำหนักรวมกันถึงสองพันกิโลกรัมกว่าๆ แล้ว กล่องเก็บอุณหภูมิกองใหญ่ถูกวางซ้อนกันไว้บนชายหาดจนดูเหมือนภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่งเกิดเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการ


คนที่ขุดได้มากที่สุด คนเรายิ่งแก่ก็ยิ่งมีประสบการณ์ เขาทำงานนี้มาหลายสิบปีแล้วจึงมีความเชี่ยวชาญที่สุด ทั้งเร็วทั้งเสถียรทั้งแม่นยำ แค่เขาคนเดียวก็ขุดได้เจ็ดร้อยห้าสิบปอนด์ ในเวลาแค่แป๊บเดียวเขาสามารถหาเงินได้ถึงสามพันดอลลาร์


ฉินสือโอวโอนเงินเข้าบัญชีเขา แซ็กพอได้รับข้อความจากธนาคารก็ดีใจจนโบกโทรศัพท์แล้วพูดว่า “เพื่อนๆ มีใครอยากดื่มเหล้าสักแก้วไหม? พี่ใหญ่แซ็กเลี้ยงเอง เจอกันที่ผับดาราประกายแล้วกันนะ”


ขุดหอยงวงช้างเสร็จแล้วไปดื่มเหล้าก็เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง เนื่องจากช่วงที่น้ำลง พวกชาวประมงต้องดำน้ำลงไปขุดหอยงวงช้าง ซึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ง่าย ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มีรายได้ที่สูง ดังนั้นทุกครั้งหาเงินได้พวกชาวประมงก็จะพากันไปปลดปล่อยที่ร้านเหล้า


แน่นอนว่าการขุดหอยงวงช้างในทุกๆ ปีสามารถเพิ่มรายได้ให้กับชาวประมงที่ทำงานประเภทนี้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการหาขุดหอยงวงช้างที่หมู่เกาะอะเล็กซานเดอร์รัฐบริติชโคลัมเบียในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่มีชาวประมงบางรายสามารถทำเงินได้มากถึงวันละห้าพันดอลลาร์แคนาดา ทำงานแค่ครั้งเดียวก็หาเงินสำหรับค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปีได้แล้ว


ฉินสือโอวให้พวกชาวประมงหยุดงานครึ่งวัน ไม่ต้องทำงานช่วงบ่ายแล้ว พวกเขาจะได้ไปร้านเหล้าเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน


เขายืนอยู่บนท่าเรือแล้วมองออกไปยังเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้ามาจากที่ไกลๆ ราวกับเส้นสีขาวบนถนนที่ปรากฏตัวขึ้นบนผิวทะเล หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ กระแสน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง แฝงไปด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้


ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทุกๆ วันน้ำทะเลที่ลดลงจะมีระดับน้ำที่แตกต่างกัน ฉินสือโอวจะถือโอกาสนี้พาพวกชาวประมงจับหอยงวงช้างตรงริมชายฝั่งขึ้นมาอีกหนึ่งรอบ แต่ยิ่งขุดต่อไปหอยงวงช้างที่ได้ก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที


เช่นเดียวกันกับปลาหัวเมือก หอยงวงช้างเองก็เป็นสัตว์ทะเลที่เติบโตได้ช้าเช่นกัน อย่างหอยงวงช้างที่พวกฉินสือโอวขุดขึ้นมาส่วนใหญ่ก็มีอายุยืนห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีแล้วทั้งนั้น


เวลาราวๆ หนึ่งสัปดาห์ ฉินสือโอวขุดหอยงวงช้างขึ้นมาได้ห้าพันกิโลกรัม บัตเลอร์ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ช่วยกระจายหอยงวงช้างไปยังสาขาใหญ่หลายแห่งอย่างต่อเนื่อง


น้ำทะเลลดระดับวันสุดท้าย ในเวลานี้น้ำทะเลลดระดับลงไปได้ไม่มากแล้ว ถึงขั้นที่ว่าหากมองดูชายฝั่งทะเลก็แทบจะไม่เห็นร่องรอยของระดับน้ำทะเลที่ลดลงเลย


ฉินสือโอวนำชุดดำน้ำกับมีดขึ้นมาไว้บนเรือด้วย เมื่อหาตำแหน่งของไร่ไข่มุกเจอแล้วเขาก็จะดำน้ำลงไป


ผ่านการเพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอย่างต่อเนื่องมาหลายเดือน ในที่สุดราชาหอยนางรมลอยก็มีไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่ให้ฉินสือโอวแล้ว เม็ดที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากันกับไข่นกพิราบ เม็ดมีขนาดค่อนข้างเล็กก็มีประมาณสิบเม็ด


ฉินสือโอวต้องการเก็บไข่มุกสีดำพวกนี้กลับไป หลังจากนั้นนี่ก็จะเปลี่ยนมันเป็นวัสดุสำหรับแหวนแต่งงาน


ว่ายไปในน้ำอย่างช้าๆ ฉินสือโอวมาถึงด้านบนแนวปะการังที่เป็นที่อยู่ของหอยนางรมลอยแล้ว แค่แป๊บเดียวเขาก็หาราชาหอยที่โดดเด่นเหนือหอยธรรมดาๆ ได้พบ ต่อจากนั้นจึงดำน้ำลงไปข้างล่างทันที


เขาควบคุมให้มันเปิดฝาออก ภายใต้เนื้อหอยสีชมพู ไข่มุกสีดำกองโตก็ปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทีเขินอาย


ใช้มือลูบตัวส่วนลำตัวขนาดใหญ่ของราชาหอย เขารู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อยเนื่องจากไข่มุกสีดำพวกนี้มีขนาดใหญ่เกินไป เขาจึงต้องใช้มีดผ่าเนื้อของมันถึงจะนำไข่มุกออกมาได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ราชาหอยก็อาจจะต้องตาย


เขาถอนหายใจออกมา ในที่สุดฉินสือโอวก็หักใจแล้วลงมีดกับมัน หลังจากใช้มีดแหลมเล่มเล็กผ่าเสร็จแล้ว เขาก็ใช้มือลูบและบีบเนื้อของหอยเพื่อนำไข่มุกแต่ละเม็ดออกมาอย่างเบามือ


ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้กับภายในร่างกายของหอยอย่างเต็มที่ ส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายออกไปพร้อมกัน พวกมันพุ่งออกไปราวกับน้ำที่เปิดจากก๊อก


เขาพยายามผ่าเนื้อหอยให้มีปากแผลที่เล็กที่สุดเพื่อเอาไข่มุกสีดำออกมา โดยหวังว่าจะสามารถรักษาชีวิตของราชาหอยเอาไว้ได้


หลังจากเอาไข่มุกสีดำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดออกมาได้สิบกว่าเม็ด ภายในร่างกายของราชาหอยก็ยังมีไข่มุกขนาดค่อนข้างเล็กที่เรียงติดอยู่ด้วยกัน ทีแรกฉินสือโอวอยากเอาพวกมันออกมาให้หมด ทว่าเขาสัมผัสได้ว่าราชาหอยยังมีลมหายใจอยู่ เขาจึงรีบยั้งมือเอาไว้


ถ่ายทอดพลังโพไซดอนต่อ ฉินสือโอวก็พอจะสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของราชาหอยเสียหายอย่างรุนแรง จวนเจียนจะหมดลมหายใจทว่ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ


นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างมาก ไม่สามารถเก็บไข่มุกสีดำที่เหลือได้แล้ว หากลงมีดอีกครั้ง คาดว่านั่นคงทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของราชาหอยต้องขาดสะบั้นลง


เขาบังคับให้ราชาหอยปิดฝา ฉินสือโอวใส่ไข่มุกสีดำทั้งยี่สิบเม็ดไว้ในกระเป๋ากางเกง ตอนนี้เขาได้ของที่จะนำไปทำแหวนแต่งงานแล้ว


เขาว่ายวนไปรอบๆ ฝูงหอยนางรมลอยขยายใหญ่ขึ้นมาก อาศัยอยู่บนแนวปะการังอย่างแน่นขนัด มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก อยู่กระจัดกระจายกันอย่างอิสระ


ฉินสือโอวบังคับให้พวกมันเปิดฝาออกราวกับนายพลตรวจสอบพลทหาร ขอเพียงมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของเด็กทารก หอยนางรมลอยตัวนั้นก็จะมีไข่มุกสีดำอยู่ข้างใน ไข่มุกสีดำบางส่วนยังมีขนาดแค่เท่ากันกับเมล็ดงา ไข่มุกสีดำตามธรรมชาติเกิดขึ้นยากมาก


เขาทิ้งไข่มุกธรรมดาบางส่วนไว้ที่แนวปะการังผืนนี้ เพื่อที่จะได้ควบคุมให้หอยนางรมลอยรับเม็ดไข่มุกเข้าไป ซึ่งจะง่ายต่อการผลิตไข่มุกสีดำ และจะทำให้ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งร้อยเท่า


ก็จริงที่ว่านี่คือการทุจริต แต่อยู่ๆ คงไม่มีใครเอาไข่มุกสีดำมาทุบดูว่าข้างในเป็นอย่างไรหรอกใช่ไหมล่ะ?


เมื่อจัดการหอยนางรมลอยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็นำไข่มุกที่เก็บมาได้ว่ายขึ้นไปสู่ผิวน้ำอย่างมีความสุข ศีรษะเพิ่งจะโผล่พ้นผิวน้ำทันใดนั้นเงามืดขนาดใหญ่ก็เข้ามาโจมตีเขา


ฉินสือโอวรู้สึกเหมือนหมวกดำน้ำถูกอะไรสักอย่างชนเข้าอย่างจัง ออกซิเจนเหลวที่อยู่ข้างในก็สั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง จนเขาเกือบจะสำลัก


เขารีบกลับลงมาในน้ำอีกครั้ง ฉินสือโอวพยายามควบคุมการหายใจให้เป็นปกติ เพียงไม่นานเขาก็พบว่าการหายใจเป็นไปอย่างลำบาก เพราะมันฉุนขึ้นมาถึงหลอดลมของเขาอยู่หลายครั้ง


ปกติแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ หมวกดำน้ำจะมีการหมุนเวียนออกซิเจนเหลว ร่างกายของเขาสามารถปรับตัวเข้ากลับสภาวะแบบนี้


หลังจากนั้นเขาก็เดาสาเหตุได้ทันที ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะเมื่อสักครู่นี้หมวกคงจะถูกกระแทกจนแตก จนทำให้มีน้ำทะเลไหลเข้ามาหรือออกซิเจนเหลวที่อยู่ข้างในก็อาจจะไหลออกไปแล้วนั่นเอง!

 

 

 


บทที่ 1336 ตัดสินใจ

 

เพื่อการต้านทานแรงดันน้ำ หมวกของชุดดำน้ำรุ่นที่ฉินสือโอวซื้อมาจึงมีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ชั้นนอกทำมาจากโลหะส่วนชั้นในเป็นพลาสติกโพลีเมอร์ แต่กลับถูกกระแทกจนชำรุดเสียหาย ดังนั้นจึงทำให้ทราบได้ว่านกใหญ่ที่จู่โจมเขามีพละกำลังและกรงเล็บที่แหลมคมแค่ไหน


นอกจากนกตระกูลอินทรีทอง ก็นึกไม่ออกแล้วว่ามันคือตัวอะไร


เขารีบถอดหมวกออกราวกับถูกไฟจี้ไฟลาม ฉินสือโอวถึงค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้าง เขาแอบยื่นหัวออกไปมองดูเหนือผิวน้ำ นกอินทรีทองยักษ์ใหญ่ตัวนั้นยังคงบินวนอยู่บนอากาศตรงบริเวณเหนือศีรษะของเขา สายตาเฉียบคมจดจ้องผิวทะเลอย่างอาฆาตมาดร้าย


ทีแรกฉินสือโอวเดาว่านกอินทรีทองคงจะแค่เข้าใจผิดว่าหัวของเขาที่สวมหมวกดำน้ำคือปลาตัวใหญ่ จึงคิดจะเข้ามาจับ ตอนนี้ดูท่าว่าเขาคงจะคิดอะไรง่ายดายเกินไป


ฉินสือโอวโยนหมวกดำน้ำออกไป ส่วนตัวเขาก็หลบซ่อนอยู่ใต้น้ำทะเลต่อ ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่ออกไปเหนือผิวน้ำ เพราะเขารู้ว่านกอินทรีทองมีสายตาที่แหลมคมมาก หากผมของฉินสือโอวโผล่ออกไปแค่หย่อมเดียวมันก็คงหาเขาเจอแล้ว


พอหมวกดำน้ำลอยออกไปบนผิวน้ำ ในตอนนี้นี่เอง นกอินทรีตาเดียวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าก็บินดิ่งลงมาด้วยความรวดเร็วทันที กรงเล็บหยาบหนาทรงพลังดั่งมีดแหลมคมทั้งสองข้างจิกยึดหมวกดำน้ำไว้อย่างจัง ต่อจากนั้นก็ทุ่มแรงสะบัดปีกทั้งสองข้างบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า


เมื่อได้เห็นภาพนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง ไอ้นกเวรตัวนี้มันอยากจะฆ่าเขาชัดๆ!


เขาไปทำอะไรให้? ฉินสือโอวโมโหมากจริงๆ นกอินทรีทองทำกันเกินไปแล้ว มันกินปลาของเขา ทำร้ายนกที่เขาเลี้ยง ขโมยไก่ของเขาไปกิน แต่ก็ยังคิดจะฆ่าเขาอย่างนั้นน่ะเหรอ?


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ นกอินทรีทองก็อยากจะก่อกบฏ ทั้งๆ ที่อยู่ที่ฟาร์มปลามาแล้วตั้งปีครึ่ง แถมช่วงนี้เขาก็ไม่ได้ไปยั่วโมโหนกนิสัยดุร้ายพวกนี้เลย แล้วก็ที่จริงแล้วนอกจากเอาไข่นกอินทรีทองไปหนึ่งใบ เขาก็ไม่เคยไปแหย่พวกนกอินทรีทองเลย


และถ้าจะบอกว่านกอินทรีทองตัวนี้รู้แล้วว่าเขาเป็นคนเอาแคลร์ไป ฉินสือโอวก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว นกอินทรีทองไม่ใช่สัตว์มีสติปัญญาสูงด้วยซ้ำ ไม่มีทางนึกย้อนกลับไปได้เด็ดขาด


หรือจะบอกว่ามันเป็นสายลับของศัตรู? นั่นยิ่งเหลวไหลไปกันใหญ่…


หลังจากจิกหมวกดำน้ำบินวนอยู่บนท้องฟ้าไปสองรอบ นกอินทรีทองก็ทิ้งหมวกดำน้ำลงมาแล้วบินขึ้นไปข้างบนพร้อมกับใช้สายตาดุร้ายจับจ้องผิวน้ำอีกครั้ง


ฉินสือโอวเข้าใจแล้วว่านกตัวนี้ยังไม่ยอมแพ้ มันยังคิดที่จะจัดการกับเขาให้ได้


ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับหัวใจโพไซดอนฉินสือโอวจึงปฏิบัติต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างค่อนข้างให้ความเคารพอยู่เสมอ ถึงครอบครัวนกอินทรีทองจะขโมยปลาในฟาร์มของเขาไปกินแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะไล่พวกมันไป แต่แม้กระทั่งพระเจ้าก็มีโทสะ ถ้านกอินทรีทองคิดจะทำร้ายกันแบบนี้ เขาก็เองอดกลั้นต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว!


เขาส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป ฉินสือโอวอยากจะเรียกคราเคนแห่งทะเลเหนือให้มาที่นี่ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาสั่งให้นายพลอันดับหนึ่งภายใต้การบังคับบัญชาให้ไปคุ้มกันเรือขนแร่ทองคำที่มหาสมุทรอินเดีย ด้วยเหตุนี้จึงต้องเรียกพวกบอลหิมะ ไอซ์สเกตกับบีนมาแทน


ฉินสือโอวโผล่หัวพ้นผิวน้ำเพื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนกับที่เขาคิดไว้นกอินทรีทองหาเขาเจอจริงๆ มันกระพือปีกบินตรงเข้ามาเหมือนพายุหมุน กรงเล็บแหลมคมเล็งมาที่ยอดศีรษะของเขา


ในตอนนี้อยู่ๆ ฉินสือโอวก็นึกถึงกรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิมในตำนานกับเหมยเชาเฟิงคนสวยในเรื่องมังกรหยกภาคปัจจุบัน


รอจนนกอินทรีทองโผลงมาข้างล่างแล้ว เขาก็ดำน้ำลงไปให้ลึกกว่าเดิมทันที ขณะเดียวกันจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายก็ควบคุมน้ำทะเลรอบๆ ให้กลายเป็นคลื่นทะเลที่ซัดขึ้นลง คล้ายกับกำแพงทั้งสี่ด้านที่สาดซัดเข้าไปหาตรงกลาง


นกอินทรีทองที่บินโฉบลงมาจึงถูกคลื่นทะเลตีกระทบทันที มันร้องโหยหวนด้วยการส่งเสียงแหลมสูงออกมา แล้วหลังจากนั้นก็ถูกกดลงสู่น้ำทะเล


สามเกลอที่ได้รับคำสั่งกำลังรอคอยให้ศัตรูเข้ามาหา พอนกอินทรีทองร่วงลงมาในน้ำ ไอซ์สเกตที่กล้าหาญองอาจและชำนาญศึกที่สุดก็อ้าปากใหญ่ๆ แล้วงับลงไปทันที


ในตอนนี้เอง นกอินทรีทองมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รวดเร็วมากมันกระพือปีกทั้งสองข้างอย่างรุนแรง แล้วบินทะลุผ่านผืนน้ำออกไปอย่างเหนือความคาดหมาย หนีรอดจากปากขนาดใหญ่ของไอซ์สเกตไปได้ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด ทุ่มแรงตีบินหนีออกไปสู่ผิวน้ำ


แบบนี้ฉินสือโอวก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ต่อให้เขาจะควบคุมคลื่นทะเลอีกก็ไม่ทันแล้ว


แต่นกอินทรีทองที่ประสบเคราะห์ร้ายก็ไม่กล้ารั้งรอที่จะสู้ต่อเช่นกัน มันถึงกับไม่กล้าบินลงมาด้านล่างอีก บินวนอยู่ในชั้นอากาศสูงอีกไม่กี่รอบสุดท้ายก็ต้องบินจากไปอย่างไม่เต็มใจ


ฉินสือโอวขึ้นมาบนฝั่งแล้ว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่านกอินทรีทองตัวนี้จู่โจมเขาเพื่ออะไรกัน?


พวกชาวประมงเห็นชุดดำน้ำเสียหายจึงถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉินสือโอวเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังตามความเป็นจริง เมื่อได้ฟังที่เขาพูดพวกชาวประมงก็พากันประหลาดใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น


มีเพียงแซ็กที่คาดเดาเรื่องนี้แล้วพูดออกมาว่า “ตั้งแต่ที่นกอินทรีทองตัวนี้เสียดวงตาอีกข้างไป มันก็หาโอกาสแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา ที่เมื่อก่อนมันยังไม่ได้ลงมือสักที เกรงว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุผลสองอย่างนี้ หนึ่ง มันหาโอกาสตอนที่คุณอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้แถมยังเป็นตอนที่มันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สอง เมื่อเร็วๆ มานี้มันเพิ่งจะรู้ว่าคุณเป็นเจ้านายของพวกแร็ปเตอร์ หรือพูดได้ว่าเพิ่งจะเจอศัตรูที่แท้จริง”


ฉินสือโอวพูดงงงวยว่า “ให้ตายเถอะนกอินทรีทองก็มีความนึกคิดแบบนี้ด้วยเหรอ? มันรู้จักคำว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สายด้วยหรือไง?”


แซ็กจึงพูดกับเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “คุณอย่าดูถูกสัตว์พวกนี้นะครับบอส นกอินทรีทองอาจจะไม่ได้ฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก แต่มันมีใจอาฆาตรุนแรงที่สุดเลยล่ะ”


แอร์แบ็คที่เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันก็พยักหน้ารับแล้วพูดว่า “เคยมีข่าวใหญ่ในรัฐเท็กซัส ในข่าวเล่าว่ามีคาวบอยที่ใช้ปืนยิงนกอินทรีทองตัวหนึ่งตาย นกอินทรีทองอีกตัวที่เป็นคู่ของมันเลยมาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าเหนือบ้านพักของเขาอยู่เป็นประจำ ตลอดเวลาหนึ่งปีมันไม่เคยจู่โจมเขาเลยสักครั้ง แต่ต่อมาคาวบอยคนนั้นมีลูก พอถึงตอนที่ไม่มีคนคอยดูเด็ก มันก็บินลงมาแล้วทึ้งเด็กคนนั้นจนตาย!”


ในตอนนี้แม่ของฉินสือโอวพาเสี่ยวเถียนกวาออกมาเล่นข้างนอกพอดี ขณะที่กำลังมองดูลูกสาวตัวนุ่มนิ่ม พอฉินสือโอวได้ยินที่แอร์แบ็คพูดก็เกิดอาการหนาวสั่นขึ้นมาทันที เขาตัดสินใจแล้วพูดออกมาว่า “ถ้านกอินทรีทองเวรนั่นกล้ามาที่ฟาร์มปลาอีก ฉันจะเป็นคนจัดการมันเอง!”


จนถึงสิ้นเดือนนกอินทรีทองก็ไม่ได้มาที่นี่อีก และบัตเลอร์ก็จะกลับแล้ว ก่อนจะไปฉินสือโอวจึงตั้งใจไปหาเขาเพื่อคุยกันเรื่องโครงการขยายกิจการในต่างประเทศ


ร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินสาขาญี่ปุ่นเปิดตัวได้อย่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก พวกเขาใช้ปลาทูน่าเป็นผลิตภัณฑ์หลักในการแข่งขันเพื่อตีตลาดโตเกียว และกำลังค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในร้านอาหารชั้นนำรอบๆ


ถึงแม้ว่าคนญี่ปุ่นจะมีความเป็นชาตินิยมอย่างมาก แต่เมื่อพบว่ามีเพียงฟาร์มปลาต้าฉินเท่านั้นที่มีปลาทูน่าคุณภาพระดับดีเยี่ยม แล้วพวกเขาจะเลือกอะไรได้อีก?


ต่อให้เราไม่ใช้แต่คนอื่นก็อาจจะใช้ อีกทั้งลูกค้าก็ไม่ได้สนใจว่าปลาที่ร้านเป็นปลาทูน่าจากในประเทศหรือต่างประเทศ ร้านไหนทำอาหารอร่อยมีของคุณภาพดีพวกเขาก็ไปกินร้านนั้น นี่จึงบีบให้บรรดาเจ้าของร้านอาหารต้องนำเข้าอาหารทะเลต้าฉิน


บัตเลอร์ยังอยากเปิดตลาดต่างประเทศต่อ ครั้งนี้เขาเล็งที่ลอนดอนเอาไว้ โดยที่เขาวางแผนไว้ว่าจะใช้ลอนดอนเป็นสะพานเพื่อเชื่อมต่อกับทั่วทั้งทวีปยุโรป


ฉินสือโอวคิดว่าแบบนี้ก็เสี่ยงอยู่นิดหน่อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังครอบครองอัตราส่วนของตลาดในพื้นที่ได้ไม่มาก ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เปิดสาขาย่อยในแคนาดาเลยด้วยซ้ำ


บัตเลอร์กำหมัดเลียนแบบท่าทางของฮิตเลอร์ แล้วพูดด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่แผ่กระจายออกมา “พวกเราต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่นทะเยอทะยาน! ฉิน พวกเรามีกองทัพที่ดีที่สุดในโลก…เอ่อ ไม่ใช่สิ พวกเรามีอาหารทะเลที่ดีที่สุด สรุปได้ว่า พวกเราอยู่ในจุดที่ไม่มีวันพ่ายแพ้!”


ฉินสือโอวจึงพูดว่า “เพื่อน ที่นายพูดก็มีเหตุผล ฮิตเลอร์ก็คิดแบบนายนี่แหละ เขามีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่นายควรจะรู้ด้วยว่าแบบนี้จะทำให้เรามีคู่ต่อสู้มากที่สุดเหมือนกัน! เชื่อฉันสิ ไม่ต้องรีบรุกหรอก พวกเราคว้าตลาดอเมริกาเหนือมาให้ได้ก่อนดีกว่า!”


หลังจากปรึกษากันไปแล้วพักหนึ่ง ท้ายที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจว่าก้าวต่อไปก็คือร้านสาขาในแคนาดา บัตเลอร์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับก้าวนี้เท่าไรนัก เขาคิดว่าแคนาดามีระดับการบริโภคสินค้าชั้นสูงที่ไม่ดีเท่าไรนัก


ตอนนี้คุยกันถึงแค่เท่านี้ก่อน บัตเลอร์กลับไปแล้ว เขาต้องรวบรวมกำลังคนเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านสาขา ฉินสือโอวขอติดเที่ยวบินไปด้วย เพราะเขาต้องไปนิวยอร์กเพื่อเตรียมแหวนแต่งงาน


ยิ่งกว่านั้น การไปนิวยอร์กครั้งนี้เขายังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง คำแนะนำของบัตเลอร์ชี้ให้เขาเห็นว่า ที่พวกเขาไม่สามารถขยายกิจได้ตามอำเภอใจก็เพราะพวกเขามีรากฐานธุรกิจที่ไม่มั่นคง แต่ถ้าเกิดว่าเขาสามารถหาคู่ค้าที่มีรากฐานมั่นคงได้ล่ะ?

 

 

 


บทที่ 1337 แหวนแต่งงาน

 

ตอนนี้คุยกันถึงแค่เท่านี้ก่อน บัตเลอร์กลับไปแล้ว เนื่องจากว่าเขาต้องรวบรวมกำลังคนเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านสาขา ฉินสือโอวจึงขอติดเครื่องบินไปด้วย เพราะเขาต้องไปนิวยอร์กเพื่อเตรียมแหวนแต่งงาน


เครื่องบินมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติจอห์นเอฟ เคนเนดีแล้ว รถโรลส์รอยซ์คันหนึ่งขับเข้ามาหา หลังจากนั้นคนขับรถก็เปิดประตูรถ คนที่ออกมาจากรถคันนั้นก็คือชายวัยกลางคนท่าทางดูมีภูมิฐานคนหนึ่ง และชายผู้นั้นก็คือวินเซนต์ ทิฟฟานี่ ผู้อำนวยการบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคนั่นเอง


“เฮ้ คุณวินเซนต์เองเหรอครับ? เป็นเรื่องบังเอิญจังเลยนะครับที่ได้พบกับคุณที่นี่” ฉินสือโอวเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายเขาก่อน


วินเซนต์แย้มรอยยิ้มแล้วตอบเขากลับมาว่า “แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ ผมเชื่อว่านี่เป็นเพราะเจตจำนงของพระเจ้าที่ทำให้พวกเราได้มาพบกัน”


ฉินสือโอวพูดว่า “บางทีก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ถึงยังไงผมก็คิดว่าคุณคงไม่มาที่นี่เพื่อมารับผมหรอกครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงรู้สึกทึ่งมากๆ”


บัตเลอร์จึงพูดว่า “ไม่ใช่หรอก ‘บางที’ ก็อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ แต่ฉันก็เชื่อว่าพระเจ้าคงจะดลใจให้นายโทรไปหาคุณลีฟล่วงหน้า หลังจากนั้นก็ดลบันดาลให้คุณลีฟโทรไปแจ้งคุณวินเซนต์ ดังนั้นเขาถึงได้บอกว่าการที่ได้พบนายที่นี่เป็นเจตจำนงของพระเจ้า ใช่ไหมละครับ?”


วินเซนต์จับมือกับเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วล่ะครับ คุณบัตเลอร์ คุณขยายความได้ชัดเจนมาก”


หลังจากฉินสือโอวขึ้นมาบนรถโรลส์รอยซ์แล้ว รถยนต์คันนั้นก็ขับตรงไปที่ร้านแฟล็กชิพสโตร์ของทิฟฟานี่แอนด์โคทันที ลีฟได้เตรียมชาเขียวแบบที่เขาชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายคุยกันอยู่สักพักก็ตัดบทสนทนาเข้าสู่เรื่องสำคัญ แล้วฉินสือโอวหยิบเอากล่องผ้าไหมออกมา


พอเขาเปิดกล่องขึ้น ไข่มุกสีดำขนาดใหญ่พิเศษก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาจนครบทุกเม็ด


เมื่อได้เห็นไข่มุกเหล่านี้ต่อให้เป็นคนที่มีประสบการณ์กว้างขวางอย่างวินเซนต์ก็ยังถึงกับร้องอุทานออกมา “พระเจ้า ผมรู้สึกอับอายกับความภาคภูมิใจที่ผ่านมาจริงๆ ที่แท้บนโลกใบนี้ยังมีไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วย!”


ไข่มุกเม็ดใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากันกับลูกวอลเลย์บอล แต่แน่นอนว่าพวกนั้นมักจะเป็นไข่มุกคุณภาพต่ำ ที่ขายเอาราคาจากขนาดเท่านั้น เป็นไข่มุกสำหรับนำไปทำงานแกะสลัก แท้ที่จริงกลับไม่ได้มีสุนทรียภาพของความงามแต่อย่างใด รูปร่างไม่กลมกลึง สีสันที่ได้ก็ไม่มีความสวยสดงดงาม


มีไข่มุกสีดำขนาดใหญ่อยู่ไม่มาก เนื่องจากหอยที่ให้กำเนิดพวกมันขึ้นมามีร่างกายเป็นของเพศเมีย หอยนางรมลอยจะเติบโตจนมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษได้ยากมาก แบบนี้จึงทำให้มันไม่สามารถสร้างไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาได้


ไข่มุกสีดำพวกนี้ที่ฉินสือโอวนำมา เม็ดใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่สามเซนติเมตร รูปร่างของมันไม่ได้กลมกลึงมากนัก มันมีขนาดค่อนข้างคล้ายกันกับไข่เบอร์ใหญ่สุดของนกพิราบที่เลี้ยงกันในปัจจุบัน


หากไข่มุกไม่มีความกลมกลึงมากพอ มูลค่าของมันก็จะลดลงมาถึงครึ่งหนึ่ง ทว่าไข่มุกสีดำเม็ดนี้มีสีสันสวยงามมาก เป็นสีดำสนิทหากแต่เกลี้ยงเกลาเงางาม ดูงดงามสว่างสดใสและแฝงไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา ดังนั้นมูลค่าของมันจึงยังสูงอยู่มาก


ไข่มุกสีดำอีกสิบกว่าเม็ดที่เหลือแม้จะมีขนาดใหญ่ไม่เท่าไข่มุกเม็ดนี้ ทว่าพวกมันก็กลมกลึงยิ่งกว่า ทั้งยังมีไข่มุกที่มีความกลมกลึงจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบอยู่ถึงสี่เม็ด ไข่มุกสีดำพวกนี้ล้วนแต่เป็นมีความล้ำค่าอย่างประเมินราคาไม่ได้


ได้เห็นไข่มุกพวกนี้วินเซนต์ก็ร้องอุทานด้วยความตกตะลึงไปพร้อมๆ กับความรู้สึกปีติยินดี โชคดีที่เขารู้ว่าฉินสือโอวจะมาที่นี่เลยตั้งใจไปรับเขาด้วยตัวเอง เพื่อแสดงออกถึงความเคารพ ถ้าดูแลลูกค้าอย่างเขาได้ไม่สมฐานะจนทำให้เกิดความไม่พอใจ ก็คงสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล


ลีฟร่วมงานกับฉินสือโอวมาหลายครั้งแล้ว พวกเขาค่อนข้างสนิทกัน เธอจึงเอ่ยปากถามเขาว่า “ฉิน นี่เป็นของของคุณทั้งหมดเลยเหรอคะ?”


ฉินสือโอวจึงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วครับ คุณก็รู้ว่าผมมีฟาร์มปลาที่ใหญ่มากอยู่หนึ่งที่ ผมชอบพูดคุยกับพวกคนแก่ที่หากินอยู่กับทะเล ที่จริงผมแค่อยากได้ประสบการณ์การดูแลฟาร์มปลาจากพวกเขา แต่หลายครั้งก็มักจะได้ของที่สร้างความประหลาดใจให้กับผมมาหลายอย่าง”


“อย่างเช่นปะการังน้ำลึกสีแดงชิ้นนั้นใช่ไหมคะ?” ลีฟถามด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม


“หรืออย่างเช่นไข่มุกสีดำพวกนี้” ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “พวกคุณจะช่วยเก็บความลับให้ผมใช่ไหมครับ? ผมว่าในเมื่อพวกคุณกล้าปฏิเสธการขอต่อราคาของประธานาธิบดี ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็คงกล้าปฏิเสธคนที่มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับไข่มุกสีดำใช่ไหมครับ?”


ไม่ต้องให้ลีฟเป็นคนตอบ วินเซนต์ก็ยืนยันกับเขาด้วยความหนักแน่น “เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงเลย ฉิน พวกเรายินดีที่จะปกป้องความลับของลูกค้าอย่างเต็มที่!”


ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับหันไปมองท่าทีของลีฟด้วยสายตาแฝงความนัย


วินเซนต์ถามเขาว่าจะจัดการไข่มุกสีดำพวกนี้อย่างไร ฉินสือโอวจึงหยิบไข่มุกเม็ดที่ใหญ่ที่สุดออกมาแล้วพูดว่า “เริ่มจากมันก่อนเลยครับ ผมอยากได้แหวนแต่งงานหนึ่งคู่ พวกคุณยังมีแบบจำลองนิ้วมือของผมกับภรรยาอยู่ใช่ไหมครับ? ก็เอาตามนั้นเลยแล้วกัน”


พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้จังหวะหัวใจก็เต้นช้าลงทันที เขาแผ่มือออกแล้วพูดว่า “หมายความว่าคุณต้องการจะให้ทุบมันใช่ไหมครับ? โอ้ ไม่นะ อย่าทำอย่างนั้นเลย ฉิน นี่เป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์ คุณจะทำแบบนี้กับมันไม่ได้!”


ฉินสือโอวตอบเขากลับไปด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นของขวัญสำหรับภรรยาของผม เป็นแค่ของที่ส่งให้เธอด้วยมือของผมเท่านั้นเองครับ”


เขาชี้ไปที่ไข่มุกสีดำเม็ดอื่นๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าใช้ไข่มุกสีดำเม็ดแรกแล้วทำไม่สำเร็จ จะใช้ไข่มุกสีดำพวกนี้ก็ได้ ผมคิดว่าด้วยขนาดของพวกมันก็น่าจะจัดให้เข้ากันได้ใช่ไหมล่ะครับ?”


วินเซนต์ส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไม่ครับ ไม่มีทางทำพลาดแน่ คุณฉิน คุณวางใจได้เลยครับ พวกเราไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดอย่างแน่นอน”


ฉินสือโอวจึงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยครับ ที่จริงแล้วผมก็เสียดายที่จะต้องทำลายไข่มุกสีดำมากขนาดนี้เหมือนกัน”


ที่เขาพูดคือเรื่องจริง เขาใช้พลังโพไซดอนไปกับไข่มุกสีดำล็อตนี้เป็นจำนวนมาก ใช้ทั้งพลังกายและกำลังสมองกว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้ หลังจากนี้เขาคงไม่ปล่อยให้พลังโพไซดอนเสียไปกับหอยนางรมลอยมากขนาดนี้ แบบนี้มันสิ้นเปลืองเกินไป


ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มคุยกันถึงค่าใช้จ่ายสำหรับทำแหวนแต่งงาน ลีฟแนะนำเขาว่า “ฉิน ฉันขอแนะนำคุณว่าอย่าใช้ไข่มุกสีดำอย่างเดียวเลยค่ะ แบบนั้นมันสิ้นเปลืองเกินไปแถมยังขาดความแปลกใหม่ แหวนหมั้นของคุณก็ทำมาจากปะการังสีแดงทั้งชิ้นเลยไม่ใช่เหรอคะ? แบบนี้จะทำให้มันดูซ้ำกันหรือเปล่าคะ?”


ฉินสือโอวจึงถามเธอกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าควรจะทำแบบอื่นใช่ไหมครับ?”


ลีฟกล่าวว่า “ใช่แล้วค่ะ ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะลองใช้ไข่มุกสีดำเพื่อเป็นโครงของแหวน ตกแต่งมันด้วยทองคำขาว แล้วใช้เพชรเม็ดเล็กๆ มาประดับตกแต่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ฉันคิดว่าแบบนั้นถึงจะออกมาเป็นผลงานศิลปะ”


ฉินสือโอวพูดว่า “แบบนี้ก็ได้ครับ หวังว่าพวกคุณจะออกแบบมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะต้องเสร็จก่อนสิ้นเดือนนี้นะครับ แบบนั้นพวกคุณทำได้หรือเปล่า?”


ลีฟพยักหน้ารับ ฉินสือโอวก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายในการออกแบบกับค่าใช้จ่ายในการผลิตละครับ?”


“เกรงว่าจะน้อยเลยนะครับ” วินเซนต์ไม่ได้บอกราคาออกมาตรงๆ แต่ตอบเขากลับมาแบบนี้พร้อมกับแย้มรอยยิ้ม


ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “แต่ผมเดาว่าบางทีพวกคุณอาจจะทำให้ผมฟรีๆ ก็ได้”


วินเซนต์พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ครับ ฉิน พวกเราเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักบุญ จะช่วยคุณออกแบบช่วยคุณทำแหวนฟรีๆ ได้ยังไงกันละครับ? คุณต้องรู้ด้วยว่าการทำแหวนแต่งงานแบบนี้ ทำให้พวกเราต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมหาศาลเลยล่ะ”


ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาต่อว่า “ใช่ครับ พวกคุณไม่ใช่นักบุญ แต่พวกคุณเป็นเพื่อนของผมไม่ใช่เหรอครับ?”


วินเซนต์ยื่นมือออกไปทำท่าจะชนหมัดกับเขา แล้วพูดว่า “เพื่อนเหรอ เพื่อน ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกัน ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว! ถ้าอย่างนั้นไข่มุกสีดำพวกนี้ที่เหลืออยู่ คุณจะฝากเพื่อนอย่างพวกเราให้ช่วยผลิตกับช่วยขายให้ด้วยใช่ไหม?”


ฉินสือโอวชนหมัดกับเขา แล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ผมคิดไว้อย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว”


วินเซนต์หัวเราะเสียงดังด้วยความพึงพอใจ ในตอนท้ายเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ได้คุยกับคนฉลาดแล้วมีความสุขมากจริงๆ มาเถอะ ฉิน ปล่อยให้ลีฟไปออกแบบแหวนเถอะ พวกเราไม่ต้องไปรบกวนเธอแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปเที่ยวดูรอบๆ เอง”


จัดการเรื่องหลักๆ ที่เกี่ยวกับแหวนแต่งงานเสร็จแล้ว ด้วยความสามารถในการผลิตของบริษัททิฟฟานี่แอนด์โค การออกแบบและผลิตแหวนแต่งงานสไตล์คลาสสิคภายในเวลาหนึ่งเดือนจึงไม่ใช่ปัญหา


หลังจากนั้นลีฟก็ตามเข้ามาคุยกับเขา แล้วใช้โอกาสตอนที่วินเซนต์ไม่อยู่พูดกับเขาว่า “คุณฉินคะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ คือว่าเรื่องปะการังสีแดงน้ำลึกชิ้นนั้นน่ะ ฉันไม่ใช่คนที่ทำให้ความลับเรื่องนั้นรั่วไหลนะคะ”


ฉินสือโอวสบตากับเธอ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ผมรู้ครับ ผมให้แหวนปะการังสีแดงเพื่อขอวินนี่แต่งงานไปแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทของพวกคุณก็มีปะการังสีแดงเพิ่มมาอีกชิ้น ใครๆ ก็คงคิดได้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไงใช่ไหมล่ะครับ?”


ลีฟแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ขอบคุณที่เห็นใจและให้อภัยกันนะคะ”

 

 

 


บทที่ 1338 เสนอให้เป็นพันธมิตร

 

เมื่อบอกลาลีฟเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็โทรศัพท์ไปหาฮิลตันคนน้อง เพื่อบอกเธอว่าตอนนี้เขาอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว ถ้าเธอจะคุยเรื่องการซื้อขายปะการังน้ำลึก ก็ให้เธอมาคุยกันวันนี้เลย


แต่จริงๆ แล้วในใจของเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องปะการังน้ำลึกเท่าไร เรื่องที่เขาอยากคุยกับฮิลตันคนน้องคือเรื่องการขยายกำลังการค้าของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินในต่างประเทศต่างหาก


หลังจากฮิลตันคนน้องได้รับสายโทรศัพท์จากเขา เธอก็รีบมาที่นี่ด้วยความเร่งร้อน ในฐานะที่เป็นสาวสังคมผู้มีชื่อเสียงกว้างขวางของอเมริกา เสื้อผ้าหน้าผมของฮิลตันคนน้องย่อมต้องใช้ของที่ดีที่สุด เธอเป็นผู้หญิงสูงหุ่นบอบบางแต่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ทั้งยังมีใบหน้างดงามและบุคลิกที่โดดเด่น หลังจากได้เจอเธอฉินสือโอวก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เชิญเธอมาที่ร้านกาแฟ


ทีแรกมันยังเป็นร้านกาแฟเงียบๆ แต่หลังจากฮิลตันคนน้องเดินเข้ามาเสียงของผู้คนที่กระซิบกระซาบกันก็เริ่มดังขึ้น พวกผู้ชายส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ในร้านต่างก็วางสายตาไว้ที่เธอกันทั้งนั้น


“ถ้ามีที่นั่งส่วนตัวก็คงจะดีใช่ไหมล่ะครับ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม


ฮิลตันคนน้องถอดแว่นกันแดดที่ปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ถึงครึ่งหนึ่งออก แล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ที่นี่ก็ไม่เลวนะคะ ฉันไม่ได้นั่งจิบกาแฟคุยกันกับเพื่อนมานานแล้ว”


ฉินสือโอวเห็นว่ามีคนสองคนที่ยกโทรศัพท์มือถือหันมาทางพวกเขาทั้งสองคน คาดว่าน่าจะรู้แล้วว่าฮิลตันคนน้องเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงรีบตัดเข้าประเด็นที่จะคุยกันทันที “คุณต้องการปะการังสีแดงชิ้นใหญ่ขนาดไหนเหรอครับ?”


หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก หลังจากนั้นฮิลตันคนน้องก็พูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบให้เขาดู “ฉันอยากทำเครื่องประดับศีรษะให้เพื่อนสนิทของฉันสักชุด มีต่างหู กิ๊บติดผมแล้วก็ปิ่นปักผม ดังนั้นอาจจะต้องใช้ปะการังขนาดใหญ่หน่อย ฉันเคยเห็นปะการังสีแดงชิ้นนั้นที่คุณฝากไว้ที่ทิฟฟานี่แอนด์โค อาจจะต้องใช้ประมาณครึ่งหนึ่งของก้อนนั้นนะคะ”


ฉินสือโอวพยักหน้ารับแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายเลย ผมกังวลว่าปะการังของผมชิ้นนั้นจะไม่เพียงพอสำหรับคุณเสียอีก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะโทรไปบอกลีฟ แล้วคุณค่อยไปหาเธอ เธอจะขายให้คุณเอง”


ฮิลตันคนน้องใช้มือจับผมที่ร่วงลงมาปรกกรอบหน้าของเธอไปทัดไว้ที่หู แล้วก็หันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เธอจ้องเขาตาแป๋วพูดแล้วเขาอย่างสบายๆ “แล้วเรื่องราคาละคะ? พวกเราต้องตกลงเรื่องราคาด้วยใช่ไหมล่ะ”


เขามองภาพนี้ด้วยสายตาชื่นชม ฉินสือโอวพูดกับเธอว่า “ผมคิดว่าบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคน่าจะตั้งราคาให้มันแล้วไม่ใช่เหรอครับ? แล้วผมก็เชื่อว่าทิฟฟานี่แอนด์โคคงไม่ตั้งราคาที่สูงเกินไปหรอก น่าจะไม่ต่างกับราคาในตลาดค้าขายสักเท่าไร”


“โน!” ฮิลตันคนน้อง เบะปากขึ้นมาทันที เธอยื่นมือออกไปจับข้อมือของฉินสือโอวพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ คุณขายมันในราคามิตรภาพไม่ได้จริงๆ เหรอ? คุณก็รู้ว่าปะการังสีแดงมันแพงมากๆ”


ฉินสือโอวลองคิดๆ ดูหลังจากนั้นก็บอกกับเธอว่า “โอเค ให้ราคามิตรภาพก็ได้ครับ ถึงยังไงคุณก็ช่วยผมจองโรงแรม ผมก็ต้องทำอะไรเพื่อตอบแทนคุณบ้างใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นก็ลดราคาให้ห้าเปอร์เซ็นต์ดีไหมครับ?”


ราคาของปะการังแดงอากะค่อนข้างสูง อีกทั้งปะการังของฉินสือโอวชิ้นนี้ยังมีคุณภาพดีที่สุดของที่สุดสินค้าคุณภาพยอดเยี่ยม ราคาที่บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคช่วยเขาตั้งอยู่ที่กรัมละ 6,200 ดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าราคาจะแตกต่างกับเพชรอยู่มาก แต่มันก็นับว่าเป็นอัญมณีที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง


อย่าคิดแค่ว่าปะการังสีแดงที่ฉินสือโอวขายมีขนาดใหญ่แค่ประมาณฝ่ามือ แค่ครึ่งหนึ่งของมันก็หนักราวๆ สองร้อยกรัมแล้ว อีกทั้งราคายังสูงถึงล้านดอลลาร์สหรัฐ!


นี่คือราคาของอัญมณีชั้นหนึ่ง แต่แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการที่มีปะการังสีแดงผืนนั้นจะทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับหนึ่งของโลก ราคาของอัญมณีพวกนี้ขึ้นอยู่กับการเก็งกำไรเท่านั้น ต้องเก็งกำไรให้ได้ราคา หากทำไม่ได้ก็ไม่มีทางที่จะได้ราคาสูงขนาดนั้น


และถ้าต้องการเก็งกำไร ก็ต้องเป็นของหายาก ถ้าฉินสือโอวนำปะการังแดงอากะกี่สิบกี่ร้อยตันที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นมาขายทั้งหมด ราคาของอัญมณีชนิดนี้ก็จะตกต่ำลงอย่างรุนแรงทันที


รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถอ้างอิงได้จากราคาของหยกเขียวบริสุทธิ์ในปัจจุบันที่นับวันก็ยิ่งต่ำลงไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าเพชรก็เป็นตัวอย่างที่ตรงกันข้ามได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าราคาของเพชรจะไม่ได้ตกต่ำลง แต่ก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว และด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงเท่ากับว่ามันเสื่อมราคาลงนั่นเอง


ปะการังสีแดงใต้ก้นทะเลผืนนั้น ถูกกำหนดให้เป็นความมั่งคั่งอันล้ำค่าให้กับครอบครัวของเขา ตลอดชีวิตนี้เขาจะขุดขึ้นมาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น


ฮิลตันคนน้องเบะปากเล็กๆ ของเธอพร้อมกับเขย่าข้อมือของฉินสือโอวอย่างแรง เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่ใสแจ๋ว ท่าทางของเธอทั้งดูอ้อนวอนและเขินอาย ทำให้หัวใจของคนเหล็กละลายได้เลย


ฉินสือโอวรีบดึงข้อมือกลับมา เขาไม่ใช่นักบวชทั้งยังรู้จักอาการหวั่นไหว และวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับสิ่งดึงดูดใจ ก็ต้องไม่ไปเผชิญหน้ากับมัน


ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตรงแล้วพูดว่า “อย่าทำท่าทางที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ อย่างนี้สิครับ คุณก็รู้ว่าผมกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่เกรงว่าคุณจะไม่รู้ว่าภรรยาของผมเป็นคนขี้หึงมาก”


ฮิลตันคนน้องหัวเราะคิกคัก “แล้วยังไงละคะ? เป็นเพื่อนกันจะใกล้ชิดสนิทสนมกันสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอคะ?”


ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “จริงจังหน่อยเถอะครับ คุณอยากให้ผมขายปะการังสีแดงให้คุณเท่าไร?”


ฮิลตันคนน้องรีบยื่นมือขวาออกไป เธอทำมือชูห้านิ้วพร้อมกับพูดว่า “ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ!”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมาแล้วยื่นมือออกไปบีบคางของเธอ “คนสวย ผมชอบท่าทางของคุณตอนล้อเล่นแต่ทำเหมือนจริงจังจริงๆ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหรอ? ผมให้คุณฟรีๆ ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”


ตอนนี้ถึงคราวของฮิลตันคนน้องต้องถอยบ้างแล้ว เธอปัดมือของฉินสือโอวที่ยื่นเข้ามาทิ้งแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “คราวนี้คุณไม่กลัวว่าว่าที่ภรรยาจะหึงคุณแล้วเหรอคะ?”


ฉินสือโอวพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ผมถูกคุณแกล้งจนอดเอาคืนไม่ไหวแล้วน่ะ จริงจังหน่อยครับ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์อะไรกัน คุณคิดว่านี่คือตลาดขายผักหรือไง? เห็นแก่ที่คุณช่วยผมจองโรงแรมผมจะลดให้คุณยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วกันนะครับ”


ลดราคายี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็จะเท่ากับห้าพันดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งกรัม ถือว่าใกล้เคียงกับปะการังน้ำลึกอากะเลย ราคาที่ฉินสือโอวเสนอให้เป็นราคาพิเศษแล้วจริงๆ


ฮิลตันคนน้องยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ฉินสือโอวจึงยกกาแฟขึ้นดื่มทันที หลังจากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นสวมเสื้อโค้ตแล้วพูดว่า “นี่คือราคาต่ำสุดแล้ว ถ้าคุณยอมรับได้ก็ไปหาลีฟได้เลย แต่ถ้ารับไม่ได้ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วละครับ”


พอเห็นแบบนี้ ฮิลตันคนน้องก็จ้องมองเขาแบบคนที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ฉิน คุณเป็นเหมือนไอรอนแมนจริงๆ ด้วย”


“แต่ไอรอนแมนเป็นคนเจ้าชู้มากไม่ใช่เหรอครับ?” ฉินสือโอวย้อนถามเธอกลับ


ฮิลตันคนน้องชี้ไปที่หน้าท้องของเขา “ฉันหมายถึงตรงนี้ของคุณต่างหากล่ะที่เหมือน”


ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ แล้วนั่งลงอีกครั้ง “คุณคิดว่าราคาเท่านี้ยังแพงไปอีกเหรอครับ?”


ฮิลตันคนน้องพูดว่า “แน่นอนสิ แค่หินก้อนเดียวแต่ราคาแพงเป็นล้านเลยเหรอ? พระเจ้า ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”


ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “ที่จริง มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะลดราคาให้คุณสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอกนะ จริงๆ แล้วผมจะให้คุณฟรีๆ เลยก็ยังได้”


พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฮิลตันคนน้องก็ตาเป็นประกาย มือสองประสานกันแล้วค้ำไว้ที่ใต้คางพร้อมกับพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “หมายความว่ายังไงคะ? คุณคงไม่ใช้เรื่องนี้เพื่อขอเดตกับฉันหรอกใช่ไหม? โอ้ อย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ ฉิน ฉันคิดแค่ว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดี แต่คุณกลับคิดที่จะ คิดที่จะ…”


พอพูดจบ สีหน้าท่าทางของเธอก็เริ่มเปลี่ยน แล้วเผยท่าทางเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา


ฉินสือโอวแอบด่าในใจว่าผู้หญิงตัวแสบแสดงละครเก่งจริงๆ หลังจากนั้นเขาก็กระแอมไอแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ครับ วางใจเถอะ รสนิยมความชอบของผมยังปกติดีครับ ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณยอมโน้มน้าวคนในตระกูลของคุณ เพื่อให้โรงแรมฮิลตันของพวกคุณร่วมมือกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของผมด้วยการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการสร้างแบรนด์ ถึงตอนนั้นผมจะมอบปะการังสีแดงให้คุณทั้งชิ้นก็ไม่มีปัญหา”


รอยยิ้มซุกซนบนใบหน้าของฮิลตันคนน้องถูกดึงกลับไปทันที เธอพูดกับเขาว่า “คุณว่ายังไงนะ?”


ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วพูดว่า “ถ้าร่วมมือกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ แต่ก็ไม่เห็นกับต้องโมโหเลยไม่ใช่เหรอ?”


“ฉันหมายถึงประโยคแรกที่คุณพูด คุณว่ายังไงนะ? รสนิยมของคุณยังปกติดีอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ? พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?” ฮิลตันคนน้องยกแก้วกาแฟไว้ในมือขึ้นมา แต่ฉินสือโอวคิดว่าเธอไม่ได้อยากดื่มมันเข้าไปหรอก คงอยากจะสาดใส่เขามากว่า


“ผมแค่ล้อเล่นน่ะ” ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “แล้วข้อเสนอของผมเป็นยังไงบ้างครับ?”

 

 

 


บทที่ 1339 วันรำลึกสงครามโลกครั้งที่สอง

 

ท้ายที่สุดฉินสือโอวก็ขายปะการังสีแดงให้กับฮิลตันคนน้องในราคาพิเศษลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์จริงๆ โดยมีเงื่อนไขคือฮิลตันคนน้องจะต้องคอยเป็นเส้นสายให้เขา หลังจากนี้เขาจะได้พบกับคนที่คุมอำนาจของตระกูลฮิลตันในปัจจุบันเพื่อพูดคุยถึงความร่วมมือสำหรับแผนงานนี้


ฮิลตันคนน้องตัดสินใจเรื่องความร่วมมือในระดับลึกแบบนี้ไม่ได้ เธอไม่มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะถือครองหุ้นส่วนหนึ่งของตระกูล ทว่าหากพูดกันตามความเป็นจริงก็นับว่าเป็นหุ้นเพียงจำนวนน้อยนิด เธอแค่ถือนามสกุลของตระกูลฮิลตันก็เท่านั้น


อย่าว่าแต่ฮิลตันคนน้องเลย แม้แต่พ่อกับบรรดาคุณลุงของเธอที่เป็นผู้ถืออำนาจที่แท้จริงของตระกูลฮิลตันในอเมริกาก็ยังมีอิทธิพลต่อกลุ่มโรงแรมฮิลตันในระดับนานาชาติเพียงผิวเผินเท่านั้น พวกเขาถือครองหุ้นแค่ส่วนหนึ่งในกลุ่มเครือค่ายนี้


แต่ถ้าตระกูลฮิลตันยอมร่วมงานกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน โครงการนี้ก็จะสามารถเข้าสู่กลุ่มเครือข่ายของโรงแรมฮิลตันในระดับนานาชาติได้แล้ว ดังนั้นฮิลตันคนน้องจึงมีประโยชน์กับเขามาก เธอคือตัวเชื่อมโยงสำหรับโครงการการร่วมมือในครั้งนี้


ฉินสือโอวหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพวกเขา ต้องรู้ว่าโรงแรมฮิลตันในระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมการบริการของโลก พวกเขาดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับไฮเอนด์ 403 แห่งทั่วโลก รวมถึงโรงแรมในเครือฮิลตันอีกกว่า 261 แห่ง


นอกจากนี้ยังร่วมกันกับบริษัทฮิลตันโฮเทลแมเนจเม้นท์ก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรด้านการตลาดเพื่อการโรงแรมระดับโลกโรงแรมที่ ทั้งสองฝ่ายมีการลงทุนในโรงแรมมากกว่า 2,700 แห่งทั่วโลก ในจำนวนนั้นมีโรงแรมมากกว่า 500 แห่งที่ใช้แบรนด์ฮิลตันร่วมกัน อีกทั้งยังมีพนักงานกว่าแปดหมื่นคนในแปดสิบประเทศ


ถ้าหากอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินสามารถยืมชื่อเสียงจากแบรนด์ของพวกเขาเพื่อเป็นลู่ทางในการค้าขาย แบบนั้นฉินสือโอวก็จะสามารถนำแบรนด์ของพวกเขาเข้าสู่ตลาดได้โดยตรง ใช้เวลามากที่สุดแค่สี่ห้าปีก็จะสามารถยึดครองตลาดอาหารทะเลระดับไฮเอนด์ในหลายประเทศทั่วโลกได้สำเร็จ


เมื่อคุยกันเรื่องธุรกิจ ฮิลตันคนน้องก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นมา เธอบอกกับฉินสือโอวอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจได้เอง ญาติของเธอก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเช่นกัน


ฉินสือโอวจึงไหวไหล่แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ขอแค่คุณช่วยแนะนำผมให้รู้จักกับพ่อของคุณก็พอแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ผมก็จะขายปะการังสีแดงชิ้นนั้นครึ่งชิ้นให้กับคุณในราคาลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม”


ฮิลตันคนน้องหัวเราะออกมา “ฉันว่าฉันได้กลิ่นแปลกๆ ล่ะ แต่ใครใช้ให้ฉันชอบปะการังสีแดงชิ้นนั้นกันล่ะ? ฉันยินดีรับข้อเสนอนี้ของคุณ แต่ถ้าคุณยอมมอบมันให้ฉันฟรีๆ ฉันก็คงจะช่วยคุณจัดการเรื่องนี้ได้เยอะมากขึ้นอีกหน่อย”


ฉินสือโอวโน้มตัวเข้าไปตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า “คนสวย ผมไม่ใช่คนโง่นะ ถ้าคุณคิดจะหลอกคน ผมว่าคุณไปหลอกพวกตะวันออกกลางจะดีกว่า คนที่นั่นรวยแต่ไม่ค่อยมีสมอง ให้ราคาพิเศษลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอสำหรับการแสดงความบริสุทธิ์ใจของผมแล้วไม่ใช่เหรอ?”


ฮิลตันคนน้องถอยไปข้างหลังครึ่งก้าวแล้วพูดว่า “คุณนี่เป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักความโรแมนติกเอาซะเลย”


ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับปัดมือ เขาวางแก้วกาแฟราคาหนึ่งร้อยดอลลาร์สหรัฐลง หลังจากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วเดินจากไป


เธอมองตามแผ่นหลังของเขาไป ฮิลตันคนน้องขมวดคิ้วเหมือนกับกำลังคิดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร


หลังจากออกมาจากร้านกาแฟฉินสือโอวก็โทรหาบัตเลอร์แล้วเล่าความคิดของเขาเกี่ยวกับเรื่องที่จะเป็นพันธมิตรกับโรงแรมฮิลตันให้บัตเลอร์ฟัง


บัตเลอร์ก็พูดกับเขาว่า “นี่เป็นความคิดที่ดีมาก แต่มันก็อาจจะไม่สำเร็จ เงื่อนไขข้อแรกของการร่วมมือกันคือทั้งสองฝ่ายจะต้องมีศักยภาพเท่ากัน แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับมังกรยักษ์ใหญ่อย่างฮิลตันแล้ว พวกเรายังเป็นเพียงหนอนตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารเท่านั้น”


ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “มีโอกาสให้ลองดูแล้ว จะลองสักหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ?”


บัตเลอร์ยอมรับความคิดของเขา “โอเค ตอนนี้นายยังอยู่ที่นิวยอร์กไหม? พวกเรามาเจอกันเพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยไหม ถ้าได้ร่วมงานกับโรงแรมฮิลตัน พวกเราทั้งคู่ก็จะไปได้สวยแล้ว”


ฉินสือโอวพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันดีกว่า ฉันต้องกลับแล้ว เดี๋ยวจะต้องไปร่วมกิจกรรมด้วย เป็นกิจกรรมที่สำคัญมาก”


กิจกรรมสำคัญที่ว่าก็คือกิจกรรมวันรำลึกการยุติสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง


ในแคนาดาระยะเวลาเวลาของสงครามโลกครั้งที่สองที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปคือการปะทุของสงครามในวันที่ 1 กันยายน 1939 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กันยายนในปี 1945 เมื่อเทียบกับประเทศจีนแล้ว ประเทศที่อยู่ห่างไกลจากยุโรปและเอเชียอย่างประเทศแคนาดาถือว่าได้รับความเสียหายจากสงครามน้อยมาก


แต่ชาวแคนาดาก็ให้ความสำคัญกับสงครามครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีกิจกรรมการรำลึกที่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้อยู่เป็นจำนวนมาก รัฐบาลในทุกระดับต้องจริงจังกับเรื่องนี้ เป็นเพราะพวกเขาคำนึงถึงผลลัพธ์จากสร้างมาตรการป้องกันร่วมกันนั่นเอง


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองประเทศแคนาดาก็ส่งกองกำลังทหารไปต่อสู้กับพวกนาซีเช่นกัน ทั้งยังสูญเสียไปไม่น้อย แต่แน่นอนว่า ‘ไม่น้อย’ ในที่นี้เปรียบเทียบตามความสามารถในการเข้าร่วมสงครามของแคนาดา ถ้าเทียบกับจีนแล้ว ความสูญเสียของพวกเขามันเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว


กิจกรรมรำลึกของนครเซนต์จอห์นในปีนี้ตั้งใจเพิ่มประเด็นหลักในการจัดกิจกรรมขึ้นมาอีกสองอย่าง ประเด็นแรกคือ ‘การอุทิศตนของสตรี’ ส่วนอีกหนึ่งหัวข้อก็คือ ‘การอุทิศตนของชาวจีน’ แฮมเล็ตเป็นผู้เสนอให้เพิ่มสองประเด็นนี้อย่างแข็งขัน โดยมีจุดประสงค์คือการเพื่อเพิ่มสิทธิ์และเสียงของชาวจีนในนครเซนต์จอห์นและยกสถานะของชาวจีนในนครเซนต์จอห์น


แท้ที่จริงแล้ว พูดกันตามจริงเขาต้องการจะใช้วิธีนี้เพื่อเอาใจฉินสือโอวมากกว่า ถึงอย่างไรฉินสือโอวก็เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งของเขา


จากกลับมาที่ฟาร์มปลาได้ไม่ถึงสองวัน เช้าของวันที่สอง ฉินสือโอวกับวินนี่ก็ต้องรีบเดินทางไปที่นครเซนต์จอห์นแล้ว เนื่องจากกิจกรรมจะจัดต่อเนื่องกันทั้งวัน


ตอนที่ขึ้นมาบนเรือ ชาร์คก็เข้ามารายงานกับเขาว่า “บอส พยายามกลับมาภายในวันนี้ให้เร็วที่สุดนะครับ เมื่อสักครู่เพิ่งจะได้รับข้อความจากกรมอุตุนิยมวิทยา ศูนย์กลางหย่อมความกดอากาศต่ำโคโลราโดจากฝั่งตะวันตกของอเมริกาเริ่มเคลื่อนตัวไปยังทางตอนเหนือของรัฐออนแทรีโอแล้ว นครเซนต์จอห์นจะได้รับอิทธิพลจากขอบของหย่อมความกดอากาศต่ำด้วย อาจจะทำให้มีพายุฝนตกหนัก”


ฉินสือโอวลองถามเขาถึงความเร็วลม ชาร์คจึงบอกว่าความเร็วลมสูงที่สุดอาจจะสูงถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าโดยเฉลี่ยก็ 50 กิโลเมตร


ฉินสือโอวแสยะปาก ความเร็วลมเท่านี้นับว่าไม่น้อยเลย ตามมาตรฐานการจำแนกระดับพลังงานลม 12 ระดับ ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เท่ากับลมแรงระดับ 10 พบได้น้อยบนบกซึ่งจะสามารถถอนต้นไม้ขึ้นมาได้เลย คลื่นทะเลจะร้องคำรามซัดสาดอย่างรุนแรง จนอาจจะถึงขั้นสร้างความเสียหายให้กับอาคารและสิ่งก่อสร้าง


ขณะที่กำลังขับเรือเขาลองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้ท้องฟ้าของนครเซนต์จอห์นยังไร้เมฆปกคลุม พระอาทิตย์ลอยสูงส่องแสงสว่างลงมา ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหลังจากนี้จะมีพายุลูกใหญ่พัดเข้ามาโจมตี


เรือยอชต์ออกเดินทางด้วยความรวดเร็ว ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือสัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็นสายหนึ่ง ลมทะเลพัดเข้ามาอย่างเอื่อยๆ ในตอนนี้เริ่มมีกระแสลมอากาศหนาวติดมาด้วยแล้ว


ทางเทศบาลเมืองส่งรถที่จัดขึ้นพิเศษเพื่อมารับพวกเขาทั้งสองคนโดยเฉพาะ แล้วพาพวกเขาตรงไปที่มหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ทันที ส่วนใหญ่กิจกรรมงานรำลึกแบบนี้มักจะถูกจัดขึ้นในโบสถ์เป็นประจำอยู่แล้ว


แฮมเล็ตพาบรรดาบุคคลสำคัญของในส่วนการปกครองของเมืองไปต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน เมื่อฉินสือโอวกับวินนี่เดินทางมาถึง คนแรกที่เข้ามาต้อนรับพวกเขาก็คือซิมมอนส์ผู้ช่วยของแฮมเล็ต พร้อมกับพาพวกเขาไปเดินชมรอบๆ งาน


ห้องหนึ่งของโบสถ์ถูกตกแต่งจนกลายเป็นห้องจัดนิทรรศการ ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการในหัวข้อ โลก สงคราม สตรี เพื่อบอกเล่าถึงการอุทิศตนของผู้หญิงแคนาดาในช่วงสงคราม


ซิมมอนส์กล่าวว่า “พวกเราต้องระลึกถึงทหารที่เสียชีวิตระหว่างการสู้รบในการทำสงคราม แต่จะมองข้ามอาการบาดเจ็บทางความรู้สึกของเหล่าสตรีผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามไม่ได้ กิจกรรมรำลึกที่พวกเราจัดขึ้นในครั้งนี้ จึงมุ่งความสนใจมาที่ด้านนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในนิวฟันด์แลนด์”


วินนี่แอบไหวไหล่ใส่เขาพร้อมกับพูดว่า “ครั้งแรกเหรอ? พวกคุณเอาแต่พูดถึงความเป็นอิสระของสิทธิสตรี คุณดูสิว่าพวกเรามีอิสระแล้วหรือยัง?”


หลังจากที่ซิมมอนส์นำเสนอข้อมูลต่างๆ ให้เขาฟัง ฉินสือโอวถึงได้จะรู้ว่า ถึงแคนาดาจะอยู่ห่างไกลจากสงคราม ทว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีผู้หญิงชาวแคนาดากว่าหมื่นคนที่ต้องสูญเสียสามี ลูกชายหรือไม่ว่าจะเป็นน้องชาย ให้กับสงคราม สงครามในครั้งนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศแคนาดาเพียงเล็กน้อยอย่างที่เขาเคยคิดไว้

 

 

 


บทที่ 1340 เพื่อนร่วมรบของปู่สอง

 

บรรยากาศในโบสถ์ค่อนข้างเงียบขรึม ในห้องแสดงนิทรรศการมีรูปภาพขาวดำอยู่เป็นจำนวนมาก โดยใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นหลัก ยุคปีห้าศูนย์หกศูนย์ก็มี แต่ยิ่งใกล้ยุคปัจจุบันภาพถ่ายก็น้อยลง


ฉินสือโอวมองดูรูปภาพพวกนี้ เพียงเพื่อที่จะเรียนรู้ประเทศแคนาดาในสมัยก่อนเท่านั้น เออร์บักเองก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ในนี้มีอะไรอยู่หลายอย่างเลย เป็นของที่ฉันไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้วทั้งนั้น”


ฉินสือโอวแย้มยิ้มพูดว่า “เวลาผ่านไปเร็วมาก ใช่ไหมครับ?”


เออร์บักตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ดังนั้นนายต้องเห็นคุณค่าของวันเวลาในตอนที่ยังเยาว์วัย ฉันคิดว่าครั้งหน้าที่พูดประโยคนี้ บางทีตอนนั้นนายอาจจะมีอายุเท่าฉันในตอนนี้แล้วก็ได้ ฮ่าๆ”


หลังจากชมนิทรรศการในห้องแรกไปแล้ว ซิมมอนส์ก็พาพวกเขาไปยังห้องจัดแสดงนิทรรศการห้องที่สอง ในตอนนี้แฮมเล็ตก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขาแล้ว “เฮ้ ฉิน คุณเออร์บัก วินนี่ที่รัก เมื่อสักครู่ไม่ได้เข้ามาต้อนรับทุกคนให้ดี ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”


ฉินสือโอวจับมือกับเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย หลังจากนี้แค่ทำดีกับลูกน้องของคุณให้มากๆ ก็พอ”


ซิมมอนส์นึกว่าเขาหมายถึงตัวเอง เขากังวลว่าจะทำให้ฉินสือโอวเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “ไม่นะครับ คุณแฮมเล็ตดีกับผมมาก”


ฉินสือโอวดึงวินนี่เข้ามาแล้วพูดว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วละครับ คุณซิมมอนส์ ผมหมายถึงภรรยาของผมน่ะ เธอก็ถือว่าเป็นลูกน้องของคุณแฮมเล็ตเหมือนกันใช่ไหมใช่ไหมล่ะ?”


หลังจากมาพบกับแฮมเล็ตแล้ว หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาอีก ซึ่งก็คือเอี๋ยนตงเหล่ยผู้ควบคุมหางเสือของสมาคมช่วยเหลือชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์นั่นเอง งานแบบนี้จะขาดเขาไปไม่ได้เลย


หลังจากที่เอี๋ยนตงเหล่ยได้พบกับฉินสือโอว พวกเขาทักทายกันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นเอี๋ยนตงเหล่ยก็พาพวกเขาไปที่ห้องจัดแสดงนิทรรศการอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับที่ซิมมอนส์กำลังจะพาพวกเขาไป ห้องจัดแสดงนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงการอุทิศตนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองของชาวจีน


ในห้องนี้มีคนจีนผิวเหลืองตาดำอยู่หลายคน บางส่วนเป็นทหารเก่าที่สวมเครื่องแบบทหารกับห้อยเหรียญตรา มีชายชราแบบนี้อยู่ทั้งหมดห้าคน ทุกคนเป็นชายชราที่มีอายุอยู่ระหว่าง 70 ถึง 90 ปีที่มีคนคอยติดตามอยู่ข้างกาย


ฉินสือโอวค่อนข้างมีชื่อเสียงในนิวฟันด์แลนด์ คนเหล่านี้แทบจะรู้จักเขากันทุกคน และถึงจะไม่รู้จักเขาแต่ก็ยังรู้จักเอี๋ยนตงเหล่ย เและหมือนว่าคนหลังก็แทบจะรู้จักกับคนจีนทั่วทั้งแคนาดาแล้ว


คนเหล่านี้ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสอง ฉินสือโอวก็แสดงการทักทายเป็นมารยาทตอบกลับไป ทำให้เขาได้รู้จักกับทุกๆ คนผ่านการแนะนำของเอี๋ยนตงเหล่ย


ตอนเขาเดินเข้ามาในห้อง ก็มีชายชราที่กำลังยืนพิงไม้เท้าหัวมังกรคนหนึ่งหันมาพินิจมองเขาอย่างละเอียด รอจนกระทั่งได้ยินเอี๋ยนตงเหล่ยแนะนำว่าเขาเป็นใคร ชายชราผู้นั้นก็ชิงเข้ามาถามเขาก่อนคนอื่นๆ “พ่อหนุ่ม นายใช้แซ่ฉินเหรอ?” เป็นลูกหลานของพี่ฉินหงเต๋อหรือเปล่า?”


ฉินสือโอวได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็รีบยืดตัวตรงแล้วปรับท่าทางให้ดูสุภาพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้รู้จักกับคุณปู่สองของเขา เท่านี้ก็นับว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่แล้ว “ใช่แล้วครับ คุณปู่ ผมเป็นหลานของเขาครับ”


ชายชราหัวเราะออกมา ดูท่าทางเขาน่าจะมีอายุประมาณเก้าสิบกว่าปี บนศีรษะมีเส้นผมสีขาวบางตา ทว่าเสียงพูดกลับยังก้องกังวานชัดเจน เพียงแต่ว่าสำเนียงจีนกลางของเขาไม่ค่อยลื่นไหลเท่านัก สำเนียงคล้ายกับคนทางเหนือมากกว่า ซึ่งฉินสือโอวเองก็ฟังรู้เรื่อง


ชายชราควานหากระเป๋าตังค์ออกมา ข้างในนั้นมีภาพถ่ายรูปหมู่อยู่หนึ่งใบ ในนั้นเป็นภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ยังหนุ่มยังแน่น เขาชี้ให้ดูชายหนุ่มตัวสูงที่อยู่ตรงกลางพร้อมกับพูดว่า “คนนี้ นายจำได้ไหมว่าคนนี้คือใคร?”


ฉินสือโอวเคยเห็นรูปถ่ายของปู่สองมาหลายครั้ง พวกเขาทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมระหว่างรุ่น ดังนั้นแค่มองแวบเดียวเขาก็จำได้แล้ว คนที่ชายชรากำลังชี้ให้ดูก็คือปู่สองของเขานั่นเอง


ฉินสือโอวประคองชายชราเพื่อไปหาที่นั่ง หลังจากนั้นก็ถามเขาว่า “สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คุณปู่เป็นเพื่อนร่วมรบกันเหรอครับ?”


ชายชราหัวเราะออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “ใช่แล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรบกันนั่นล่ะ ถึงจะไม่เคยเข้าร่วมสงครามด้วยกัน แต่ก็เคยร่วมฝึกด้วยกันมาก่อน”


เอี๋ยนตงเหล่ยเล่าให้เขาฟังว่า “ผู้อาวุโสเฉินเป็นวีรบุรุษในสงครามคราวนั้น ท่านเป็นนายทหารที่สมัครเข้าร่วมกับกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 ของกองทัพอังกฤษ ในตอนนั้นมีนายทหารชั้นเยี่ยมอยู่แปดสิบนาย แต่ตอนนี้เหลือท่านแค่คนเดียวแล้ว”


ได้ยินอย่างนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกเคารพและเลื่อมใสในตัวชายชราขึ้นมา ก่อนจะมาที่นี่เขาตั้งใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกองทัพลับ 136 มาโดยเฉพาะ กองกำลังหน่วยนี้จัดตั้งขึ้นโดยคนจีนทั้งหมด โดยมีภารกิจคือการเข้าไปสอดแนมข้าศึกในแนวลึกและก่อภารกิจทำลายล้าง ถ้าใช้คำแบบสมัยปัจจุบัน พวกเขาก็คือหน่วยรบพิเศษนั่นเอง


สาเหตุที่กองกำลังทั้งกองมีแต่ทหารชาวจีน ก็เพราะสนามรบเอเชียในตอนนั้นจำเป็นต้องใช้ทหารที่มีลักษณะแบบคนเอเชีย เพื่อให้ง่ายต่อการส่งไปปฏิบัติภารกิจในแนวหลังของกองทัพญี่ปุ่นที่เป็นศัตรู และในสมัยนั้นคนเอเชียส่วนใหญ่ที่อยู่ในแคนาดาส่วนมากก็มีแต่ชาวจีน


ชายชราตบลงไปบนมือของฉินสือโอวเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันได้รู้จักกับปู่ของนายตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราทุกคนถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 กองฝึกแวนคูเวอร์ แต่ต่อมานายทหารชั้นผู้ใหญ่ของอังกฤษรู้ว่าพี่ฉินมีทักษะในการว่ายน้ำที่ดี จะให้ไปรบที่เอเชียตะวันออกก็จะเป็นการเสียเปล่าเกินไป ดังนั้นพวกเราก็เลยต้องแยกจากกัน”


เรื่องนี้ฉินสือโอวเคยได้ยินที่เออร์บักเล่าให้ฟังมาก่อนแล้ว ปู่สองของเขาไม่ได้สมัครเข้าร่วมกับกองทัพ แต่รับผิดชอบภารกิจด้านการขนส่งของกองกำลังพันธมิตรที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ปู่ของเขาเคยมีเรือขนส่งอยู่ในมือถึงหนึ่งขบวนเรือ


ก่อนช่วงปีแปดศูนย์ เป็นช่วงที่ชาวจีนในแคนาดาใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก พวกเขาถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง การที่ชาวจีนจะเปิดฟาร์มปลาส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะปู่สองของเขาเคยสร้างคุณูปการในช่วงสงคราม อีกทั้งยังมีขบวนเรือขนส่งที่ช่วยเก็บเงินตั้งตัว ปู่สองของเขาจึงสามารถสร้างฟาร์มปลาต้าฉินขึ้นมาได้


คนแก่ชอบพูดถึงเรื่องในอดีต ต่อจากนั้นชายชราจึงเริ่มเล่าเรื่องราวบางส่วนของเขากับฉินหงเต๋อในสมัยนั้นรวมถึงประสบการณ์ในสนามรบของตัวเองให้ฉินสือโอวฟัง


จากคำบอกเล่าของชายชราทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามที่คนจีนในสมัยนั้นต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี ในช่วงแรกของการทำสงคราม คนหนุ่มชาวจีนที่อยากจะสมัครเข้าร่วมกับกองทัพล้วนแต่ได้รับการปฏิเสธกลับมาทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับกองทัพทหารอากาศ ตลอดทั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศของแคนาดาไม่เคยรับชาวจีนเข้าไปในกองทัพเลยแม้แต่คนเดียว


แต่ด้วยสงครามที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แนวหน้าจึงต้องการกำลังทหารมากยิ่งขึ้น ในปี 1940 ถึงเพิ่งจะเริ่มรับชาวจีนเข้าไปเป็นทหารให้กอง ในช่วงแรกพวกเขาส่วนใหญ่จะติดตามกองทัพแคนาดาไปเข้าร่วมสมรภูมิรบในยุโรป แต่หลังจากนั้นก็พบว่าพวกเขามีประโยชน์กับสมรภูมิรบในเอเชียมากกว่า ต่อแต่นั้นจึงจัดตั้งกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 ขึ้นมา


“ตอนนั้นคุณปู่ทำหน้าที่อะไรเป็นหลักเหรอครับ?” ฉินสือโอวถาม


ชายชราจึงอธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้ม “ส่วนใหญ่ก่อนกองทัพใหญ่จะเริ่มปฏิบัติภารกิจ ก็จะต้องทำภารกิจสอดแนมแนวหลังของข้าศึก เพื่อตรวจดูการจัดวางแนวป้องกันของพวกญี่ปุ่น พอเริ่มปฏิบัติการแล้ว ถึงจะเริ่มภารกิจทำลายล้าง ฉันเคยไปพม่าเพื่อเป็นล่ามให้คนอเมริกากับกองทัพของนายพลไต้อันหลานด้วยนะ ก็ตอนนั้นพวกเราเป็นพันธมิตรกันใช่ไหมล่ะ”


พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่ออีกว่า “นายพลไต้อันหลานเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เขากล้าต่อสู้ในสงครามที่ดุเดือด ผู้บัญชาการชาวอเมริกาของเราในตอนนั้นให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก น่าเสียดายจริงๆ”


ชายชราถึงกับส่ายหัวขึ้นมา ไต้อันหลานเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการสูงสุดในกองกำลังเดินทัพทางไกลของพม่าในเวลานั้น กองกำลังเดินทัพทางไกลมีอัตราการเสียชีวิตในต่างประเทศที่สูงมาก แม้กระทั่งนายพลไต้อันหลานที่เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 200 ก็ไม่มีชีวิตรอดกลับบ้านเกิดเช่นกัน


เอี๋ยนตงเหล่ยอยากพาฉินสือโอวไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชาติชาวจีนที่มาร่วมกิจกรรมงานวันรำลึกต่อ ทว่าฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจเท่าไรจึงบอกกับเขาว่าเดี๋ยวก็มีเวลาทำความรู้จักกันอยู่แล้ว ตอนนี้เขาขออยู่คุยกับผู้อาวุโสเฉินก่อน


คนเราพอแก่ตัวลงแล้วงานอดิเรกอย่างเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการพูดคุย คาดว่าปกติชายชราก็คงจะไม่ใช่คนช่างพูดเท่าไรนัก ตอนที่ได้เจอกันเอี๋ยนตงเหล่ยก็เล่าให้ฉินสือโอวฟังว่า หลังจากปลดประจำการท่านก็ไม่ได้แต่งงาน อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด


พอเอี๋ยนตงเหล่ยเดินจากไป ก็เหลือแค่ฉินสือโอวกับชายชราที่อยู่คุยกันเพียงลำพัง โดยที่เขาเป็นคนหาเรื่องคุย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่คุยกันเรื่องเหรียญตราที่อยู่บนตัวของชายชราก็พอแล้ว


คุยกันไปแล้วหนึ่งชั่วโมง คราวนี้เอี๋ยนตงเหล่ยก็เข้ามาหาเขาแล้วบอกว่ากิจกรรมจะเริ่มแล้ว ให้พวกเขาไปร่วมกิจกรรมด้วยกัน


ฉินสือโอวประคองชายชราให้ลุกยืนขึ้น ตอนที่กำลังจะเดินออกไป ชายชราก็ตบหน้าผากเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “อั๊ยย๊า ตอนนี้หัวสมองของฉันมันเริ่มใช้การได้ไม่ดีแล้ว เมื่อก่อนฉันเคยเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้พี่ฉิน เฮ้อๆๆ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะได้เจอหลานของพี่ ฉันคงเอามันมาให้เขาด้วยแล้ว”

 

 

 


บทที่ 1341 แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม

 

“ขอบคุณครับ ปู่เฉิน ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่ามันคือของขวัญอะไร?” ฉินสือโอวกล่าว


นายทหารเก่าพูดพึมพำกับตัวเองว่า “กี่ปีแล้วนะ ผ่านมากี่ปีแล้ว ฉันเก็บมันไว้ตลอดเลย ตอนที่ฝึกทหารอยู่ที่แวนคูเวอร์ พี่ฉินดูแลฉันดีมากๆ น่าเสียดาย หลังจากกลับมาจากหนานหยางฉันก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเลี้ยงปลาอยู่ที่นิวฟันด์แลนด์”


พอพูดจบเขาก็หันมามองฉินสือโอว “ถ้าไม่ใช่เพราะเทศบาลนครเซนต์จอห์นเชิญฉันให้มาที่นี่ ฉันอาจจะได้ไปพบพี่ฉินอีกทีตอนตายเลยก็ได้ แล้วถึงตอนนั้นคงจะเพิ่งได้รู้ข่าวคราวของเขา”


เอี๋ยนตงเหล่ยพูดอย่างทอดถอนใจด้วยความรู้สึกเสียดาย “ใช่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตก็ไม่มีแถมยังอยู่ในยุคสงครามอีก แบบนี้ถ้าขาดการติดต่อกันก็คงไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต”


ฉินสือโอวก็พูดว่า “คิดไม่ถึงว่าปู่เฉินจะยังจำปู่ของผมได้ สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะความวุ่นวายจากการทำสงคราม บางทีตอนนั้นปู่ของผมก็อาจจะคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีเพื่อนร่วมรบคนหนึ่งที่ยังระลึกถึงตัวเองอยู่”


นายทหารเก่าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องจำพี่ฉินได้อยู่แล้ว ฉันยังจำงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใครของเขาได้อยู่เลย ฮ่าๆ พี่ชายคนนี้ชอบกินอำพันทะเลล่ะ”


เอี๋ยนตงเหล่ยใช้สายตาแปลกๆ มองไปที่ฉินสือโอว ฉินสือโอวเองก็รู้สึกสับสนอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แต่พอเขาลองนึกถึงอีกชื่อหนึ่งของอำพันขี้ปลา เขาก็ใจกระตุกขึ้นมาทันที แล้วจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจว่า “ปู่หมายถึงอำพันทะเลใช่ไหมครับ?”


อำพันทะเลแท้จริงแล้วของชนิดนี้คืออะไรกันแน่ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบอย่างละเอียด รู้เพียงว่ามันเกิดขึ้นในทะเลลึก ในปัจจุบันมีคำอธิบายเชิงตัวแทนว่ามันคือสารคัดหลั่งของวาฬหัวทุย เนื่องจากมันไม่สามารถย่อยหมึกและคอราคอยด์ของหมึกยักษ์ได้ เมื่อผสมกับของเหลวในทางเดินอาหารจึงแข็งตัวจนกลายเป็นก้อนแล้วจะคายออกมาอีกที


แต่ฉินสือโอวรู้ว่ายังมีคนบางส่วนที่เรียกของสิ่งนี้ว่าอำพันขี้ปลาด้วย…


นายทหารเก่าพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ตอนที่พวกเราฝึกอยู่ที่แวนคูเวอร์ เขาพกติดตัวไว้ก้อนหนึ่ง ก่อนจะเข้านอนเขาจะเอามันออกมากินทีละนิด เขาบอกว่าร่างกายของเขามีอาการผิดปกติ อำพันขี้ปลาประเภทนี้เป็นยาสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้”


ในใจของฉินสือโอวรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าปู่สองรับพลังจากของสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่แค่ได้พบมัน เขาก็สามารถซึมซับพลังมาได้แล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ “ปู่เฉินครับ อำพันขี้ปลาก้อนนั้น ปู่ยังเก็บไว้ตลอดเวลาเลยใช่ไหมครับ?”


นายทหารเก่าพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว มันเหมือนกับก้อนหินเลย ไม่มีทางเสียหายแน่นอน ฉันเก็บมันไว้ตลอดแหละ คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสได้เจอพี่ฉินอีกฉันจะมอบมันเป็นของขวัญให้กับเขา”


ฉินสือโอวจึงถามว่า “แล้วปู่ได้มันมายังไงเหรอครับ?”


นายทหารเก่าขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วใช้น้ำเสียงราวกับกำลังรำลึกถึงอดีตพูดให้เขาฟังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ตอนอายุประมาณ 42 ปี ตอนไปรบที่สิงคโปร์ฉันบังเอิญได้มาหนึ่งก้อน หลังจากนั้นเลยเอามันกลับมาที่แคนาดาด้วย แต่ก็หาพี่ฉินไม่เจอแล้ว”


ได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน เอี๋ยนตงเหล่ยก็ถามพวกเขาด้วยความประหลาดใจว่า “อำพันขี้ปลาพวกนี้มีเรื่องเล่าอะไรอย่างนั้นเหรอ? ผมเห็นว่าพวกคุณดูจะให้ความสำคัญกับมันมาก”


ฉินสือโอวถึงกับตกใจ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองแสดงอาการตื่นเต้นออกไปมากเกินไป จึงหัวเราะออกมาแล้วพูดเบาๆ ว่า “ก็คุยกับผู้ใหญ่นี่ อีกอย่างคุณปู่เขาก็เตรียมของขวัญไว้ตั้งครึ่งศตวรรษแล้ว คุณไม่รู้สึกว่ามันมีกลิ่นอายของความเป็นตำนานบ้างเหรอ?”


เอี๋ยนตงเหล่ยยกมือขวาชี้นาฬิกาบนข้อมือให้เขาดูแล้วพูดว่า “เป็นตำนานก็จริง แต่ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อพวกเราจะพากันไปสายแล้วนะ”


ฉินสือโอวพยักหน้ารับ ช่วยเอี๋ยนตงเหล่ยประคองนายทหารเก่าไว้คนละฝั่งแล้วพาไปที่โถงใหญ่ของโบสถ์ ที่นั่นเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมในวันนี้


บรรดานายทหารเก่าชาวจีนนั่งอยู่ตรงแถวหน้าสุด พร้อมกับภรรยาทหารเก่าอีกหลายคน พวกเธอสวมเครื่องแบบทหารแบบเก่า ติดเหรียญตราไว้บนเสื้อผ้าเยอะบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป


ฉินสือโอวเป็นตัวแทนของคนจีนที่นั่งของเขาอยู่ในแถวที่สอง หลังจากตามมานั่งกับวินนี่และเออร์บักแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณผู้หญิงพวกนั้น พวกเธอเป็นทหารหญิงที่เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองเหรอ?”


วินนี่จึงตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ พวกเธอคือเป็นแม่หม้ายที่สามีเคยเป็นทหาร ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมการรำลึกแทนสามี พวกเธอมางานนี้ทุกปีอยู่แล้วค่ะ คุณหันไปมองทางนั้นสิคะ คนพวกนั้นคือญาติพี่น้อง ลูกชายลูกสาวของทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทั้งนั้นเลยค่ะ”


ฉินสือโอวหันไปมองเออร์บักที่อยู่ข้างๆ กัน แล้วพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ปู่สองของผมก็เป็นทหารที่เคยสร้างคุณงามความดีเหมือนกัน ทำไมถึงไม่เชิญปู่เออร์ไปนั่งตรงนั้นบ้างล่ะ?”


ทว่าเออร์บักกลับทำตัวอย่างสบายๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทหารผ่านศึกพวกนั้นเขาขึ้นทะเบียนกันหมดแล้ว ปู่ของนายไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียน ฉันก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ปู่ฉินไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตอนที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง บางทีสงครามอาจจะทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา”


ส่วนสำคัญของกิจกรรมงานรำลึกก็คือการประมูล ชาวอเมริกาและชาวแคนาดาชอบที่จะจัดการประมูลไว้ในช่วงท้ายของงาน และในช่วงเวลานี้พวกคนมีเงินที่มาเข้าร่วมกิจกรรมก็ไม่เคยหวงเงินในกระเป๋าตังค์ของตัวเองเลย


เงินทุนที่ได้จากการประมูลในครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในสองด้าน ด้านที่หนึ่งจะถูกใช้สำหรับเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของทหารผ่านศึกและบรรดาแม่หม้ายให้ดีขึ้น ส่วนด้านที่สองก็คือการนำไปบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือสุสานทหารผ่านศึกเพื่อเป็นทุนสำหรับการบำรุงรักษา


ทีแรกฉินสือโอวคิดว่าตัวเองมาเข้าร่วมงานแค่พอเป็นพิธีเฉยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกคนอื่นเข้าใจว่าเป็นตัวแทนชาวจีนจากนครเซนต์จอห์นจนได้ ปู่สองของเขาก็เคยสร้างคุณงามความดีไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงอย่างไรเขาก็ควรจะเข้าร่วมกิจกรรมนี้จริงๆ นั่นล่ะ


แต่ปรากฏว่าพอเข้ามาถึงบริเวณงานประมูล คนที่ทำหน้าที่ดำเนินงานประมูลกลับกลายเป็นวินนี่เสียได้


ฉินสือโอวรู้สึกสับสนงงงวยขึ้นมาทันที เขาถามเธอว่า “คุณเป็นพิธีกรเหรอ? ทำไมผมถึงไม่รู้ล่ะ?”


วินนี่ไหวไหล่พูดกับเขาว่า “เทศบาลนครเชิญให้ฉันเป็นนะคะ ฉันคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแถมยังไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ก็เลยไม่ได้บอก”


ฉินสือโอวแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “ทำไมถึงพูดว่าไม่เกี่ยวกับผมล่ะครับ? เกี่ยวกันมากๆ เลยต่างหากล่ะ!”


วินนี่ยิ้มแล้วตบหลังมือของเขาเบาๆ เธอเดินขึ้นไปบนเวทีประมูลท่ามกลางเสียงปรบมือ ต่อจากนั้นแฮมเล็ตก็แนะนำทุกคนให้รู้จักเธอ หลังจากนั้นการประมูลจึงเริ่มต้นขึ้นแล้ว


เมื่อวินนี่มีฐานะเป็นพิธีกรดำเนินการประมูล ฉินสือโอวก็ต้องจริงจังกับการมูลในครั้งนี้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องไม่ปล่อยให้เกิดความเงียบขึ้นในงาน


ของประมูลชิ้นแรกถูกนำมาโชว์บนเวทีแล้ว วินนี่จึงเอ่ยแนะนำว่า “วันนี้เราได้เรียนรู้ว่าผู้หญิงแคนาดามีส่วนร่วมอย่างมหาศาลในการสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลานั้น พวกเธอต้องดูแลครอบครัวและเลี้ยงดูลูกๆ อย่างยากลำบากและยังต้องอดทนต่อความวิตกกังวลที่กดทับอยู่ในใจโดยลำพัง  ตอนนั้นพวกเธอกลัวว่าสักวันหนึ่งจะได้รับโทรเลขหรืออาจสายโทรศัพท์ที่ไม่อยากรับโทรเข้ามาที่บ้าน เนื่องจากหลายๆ ครั้งมันมักจะหมายความว่าคนที่พวกเธอกำลังรออยู่จะไม่กลับมาหาพวกเธออีกตลอดกาล…”


“และการสนับสนุนของเหล่าสุภาพสตรีในช่วงสงครามยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่พวกเธอยังได้ระดมเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อการทำสงครามในครั้งนี้อีกด้วย สินค้าประมูลชิ้นแรกที่ถูกนำมาจัดแสดง มีชื่อว่า ‘แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม’ เริ่มตั้งแต่ปี 1993 คนเป็นแม่เป็นพี่สาวน้องสาวหรือลูกสาวจำนวนนับไม่ถ้วนยืนขายแสตมป์ชนิดนี้อยู่ตามริมถนน ซึ่งสามารถระดมเงินเป็นเงินทุนในการทำสงครามให้กับกองทัพของเราได้มากถึง 500 ล้านดอลลาร์แคนาดา…”


แสตมป์ที่แสดงจำนวนตั้งแต่ 5 จนถึง 25 ดอลลาร์จำนวนหนึ่งชุดก็ปรากฏขึ้นบนจอใหญ่ประกอบกับการนำเสนอของวินนี่ นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายอีกหนึ่งชุด เป็นภาพของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สวมผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันไว้ที่เอว ในภาพถ่ายเหล่านั้นพวกเธอกำลังเร่ขายแสตมป์ชนิดนี้ให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา


หลังจากนำเสนอแสตมป์ชุดนี้ไปแล้วเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นวินนี่จึงเริ่มประกาศราคาประมูล “ราคาประมูลขั้นต่ำของการประมูลครั้งนี้อยู่ที่ 4,500 ดอลลาร์แคนาดา โดยทุกครั้งที่เสนอราคาจะเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 ดอลลาร์ ทุกๆ ท่านเริ่มเสนอราคาได้เลยค่ะ!”


ฉินสือโอวยกหนังสือแนะนำในมือขึ้นเป็นคนแรก แล้วพูดว่า “4,600 ดอลลาร์!”


วินนี่แย้มรอยยิ้มหวานๆ พร้อมกับผายมือไปทางเขาแล้วพูดว่า “สุภาพบุรุษท่านนั้นเสนอราคาประมูลครั้งแรกที่ 4,600 ดอลลาร์…”


“4,700 ดอลลาร์!” มีคนเสนอราคาขึ้นอีกครั้ง


“4,800 ดอลลาร์” เสียงเสนอราคาประมูลดังขึ้นติดต่อกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามและท่าทางสง่าผ่าเผยของวินนี่หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ในตอนนี้การแข่งขันประมูลก็เริ่มดุเดือดขึ้นแล้ว

 

 

 


บทที่ 1342 ไม่รู้ว่ากลายเป็นผู้นำไปได...

 

การเสนอราคาประมูลแสตมป์ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจมาก เขาจึงกระซิบถามเออร์บักเสียงเบาว่าทำไมทุกคนถึงได้กระตือรือร้นขนาดนี้


เออร์บักตอบว่า “อาจจะมีเหตุผลอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือทุกคนกระหายกิจกรรมประเภทนี้ อย่างที่สองอาจจะเป็นเพราะแสตมป์ชุดนี้มีมูลค่ามาก จากที่ฉันรู้มาตอนนี้ในตลาดของนักสะสม แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงครามที่สมบูรณ์ครบชุดมีราคาอย่างต่ำอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์”


เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากราคาขึ้นมาถึง 5,000 ดอลลาร์ ระดับความดุเดือดของการแข่งขันก็เริ่มลดต่ำลง และเมื่อราคาประมูลขึ้นไปถึง 6,000 จำนวนของคนที่เสนอราคาประมูลก็ยิ่งลดน้อยลง


เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนหลังจากนั้นก็มีคนเสนอราคาเพิ่มอีกสี่คน ราคาประมูลขึ้นมาอยู่ที่ 6,400 ดอลลาร์ พอถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเสนอราคาเพิ่มแล้ว


ฉินสือโอวมองดูวินนี่ที่กำลังดำเนินรายการอยู่บนเวที เขายิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นพูดว่า “7,000 ดอลลาร์!”


ผู้เข้าร่วมการประมูลหันมามองเขาเป็นตาเดียว แสตมป์ชุดนี้ไม่คุ้มค่ากับราคาที่สูงขนาดนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่มีใครแข่งขันกับเขาอีก ต่างคนก็ต่างส่ายหัวแล้วล้มเลิกความคิดไป


วินนี่ประกาศราคาออกมาสามครั้ง ไม่มีใครเสนอราคาต่อแสตมป์ชุดนี้จึงตกเป็นของฉินสือโอว


ตามกฎของการประมูลเพื่อการกุศล ฉินสือโอวลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือไปรอบๆ เพื่อเป็นการแสดงมารยาทให้กับทุกคน หลังจากนั้นทุกคนก็จะปรบมือให้เขากลับ


ที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจากคนบางพวก ที่ประมูลสินค้าไปแล้วแต่สุดท้ายกลับปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน ซึ่งแบบนี้เมื่อผู้ประมูลยืนขึ้นให้คนอื่นได้รู้จักตัวตนแล้ว หลังจากประมูลชนะก็จะเป็นฝ่ายไปชำระเงินเอง นอกเสียจากว่าจะเป็นพวกหน้าไม่อายจริงๆ


หลังจากนั้นสินค้าประมูลก็ถูกนำออกมาจัดแสดงทีละชิ้น คาดไม่ถึงว่าในนั้นจะมีปืนกลเบรนด้วยหนึ่งกระบอก รูปโฉมภายนอกของปืนรุ่นนี้ดูคล้ายคลึงกับปืนกลสาธารณรัฐเช็กที่คนจีนคุ้นชินกันดี เป็นปืนดีที่องอาจดุดันเป็นอย่างยิ่ง


วินนี่ประกาศราคาออกไป ปืนกลกระบอกนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งชาติแคนาดาอีกทั้งยังได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และเป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกนำออกมาร่วมประมูลเพื่อสนับสนุนงานที่ระลึกในพื้นที่ต่างๆ โดยมีราคาขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 22,000 ดอลลาร์แคนาดา


ฉินสือโอวให้ความสนใจกับการสะสมสิ่งของประเภทนี้ที่สุด เขาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับปืนกลเบรนที่อยู่บนจอใหญ่อย่างพินิจพิจารณา คาดไม่ถึงว่าปืนกระบอกนี้จะยังมีกำลังในการสู้รบเหลืออยู่ อีกทั้งยังไม่เคยถูกดัดแปลงมาก่อน พูดได้ว่าแค่ใส่จานกระสุนเข้าไป ก็จะสามารถใช้ปืนกระบอกนี้เป็นปืนกลหนักได้เลย


ราคาประมูลของปืนกระบอกนี้จะเพิ่มขึ้นครั้งละ 500 ดอลลาร์ แต่ชาวแคนาดาที่ชอบของพวกนี้กลับมีอยู่แค่นิดเดียวเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากปกติทุกคนก็สามารถเข้าถึงปืนได้อยู่แล้ว สำหรับพวกเขาอาวุธปืนจึงไม่ได้มีความลึกลับน่าค้นหาและแรงดึงดูดแต่อย่างใด คนที่ร่วมแข่งขันประมูลจึงเป็นพวกนักสะสมยุทโธปกรณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเสียส่วนใหญ่


ฉินสือโอวเองก็ร่วมเสนอราคาเช่นกัน ไม่ว่าใครจะเสนอราคามา เขาก็จะเสนอราคาเพิ่มอีก 500 ดอลลาร์ทุกครั้ง หลังจากบวกเพิ่มไปแค่สี่ครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็สามารถคว้าปืนกระบอกนี้มาได้ในราคา 26,500 ดอลลาร์


เออร์บักกระซิบบอกกับเขาว่า “ถือว่านายได้ของถูกแล้วนะ ปืนกลสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแบบนี้เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นการประมูลระดับนานาชาติ จะขายในราคาห้าหมื่นดอลลาร์หรือขายราคาเป็นแสนก็ทำได้ง่ายๆ!”


ฉินสือโอวกะพริบตาแรงๆ แล้วพูดว่า “ที่ผมซื้อมันมา ไม่ใช่เพราะจะเก็บไว้เป็นของสะสมเพียงอย่างเดียวหรอกนะครับ”


ตามบทบัญญัติกองทัพบก กองกำลังพิทักษ์ชาติเรนเจอร์ที่เขาเป็นผู้บัญชาการ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกเขาถูกจำกัดให้สามารถใช้ได้เฉพาะอาวุธเบาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น ซึ่งได้แก่ ปืนพกลูกโม่เว็บเล่ย์ขนาด .445 ปืนไรเฟิลเอ็นและปืนกลเบรนฟิลด์รุ่นนี้


สินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายคือเครื่องเพชรชิ้นหนึ่ง มันเป็นเครื่องประดับแบบจีนที่หญิงชราคนหนึ่งเป็นผู้จัดหามา เรียกว่าลูกปัดพู่ระย้ามรกตสีม่วงประดับเงินชุบสีเขียวมรกต


พู่ระย้าเส้นนี้ทำขึ้นจากเงินประสานและสร้อยไข่มุกที่ถูกย้อมเป็นสีม่วงสามเส้น ส่วนบนของเงินประสานถูกตกแต่งเป็นลายค้างคาวและชุบด้วยสีเงินสีเขียวมรกต ฝังทับทิมไว้ที่ส่วนปลายทั้งสองฝั่ง ตรงบริเวณลายค้างคาวถูกเจาะให้เป็นรูเพื่อเชื่อมติดกับลูกปัดไข่มุกทั้งสามเส้น ลูกปัดไข่มุกทุกเส้นมีลูกปัดตัวอักษรมงคลสองเม็ดที่ทำมาจากปะการัง และห้อยทับทิมไว้ที่ส่วนปลายด้านล่างของลูกปัดไข่มุก ดูสวยงามตระการตา


ขณะนำเสนอวินนี่ตั้งใจสวมมันให้ทุกคนดูเป็นกรณีพิเศษ ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ผู้ประมูลหลายคนเริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะประมูลของชิ้นนี้อย่างดุเดือด


ถึงแม้ว่าวินนี่จะสวมชุดเดรสที่ดูทันสมัย แต่เธอมีความสง่างามอย่างหญิงยุคโบราณ ดังนั้นพู่ระย้าเส้นนี้จึงดูเหมาะสมกับเธอมาก ยามที่เธอหมุนตัวให้ทุกๆ คนได้ดู พวกผู้ชายทั้งหลายก็จ้องเธอเป็นตาเดียวจนแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว


ทว่าราคาของพู่ระย้าชิ้นนี้ก็ไม่ได้น้อยเลย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองแสนดอลลาร์ ราคาประมูลเพิ่มครั้งละสองพันดอลลาร์ ราคาเริ่มต้นของสินค้าทุกชิ้นที่ผ่านมารวมกันแล้วก็ได้เท่ากับเงินจำนวนนี้


แต่แน่นอนว่าเครื่องประดับชิ้นนี้ก็มีมูลค่าสมกับราคาของมัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่วัตถุโบราณจากราชสำนักจีน แต่ข้อมูลนำเสนอบอกไว้ว่าเครื่องประดับชิ้นนี้มีอายุกว่าหนึ่งร้อยปีเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นหากขายในราคาสามสี่แสนก็คงจะไม่เป็นปัญหา


รอบๆ ตัวเอี๋ยนตงเหล่ยมีคนกำลังมองวินนี่ที่กำลังดำเนินรายการประมูลอยู่บนเวทีด้วยสายตาร้อนแรงพร้อมกับกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้ เอ่อไม่สิ พู่ระย้าชิ้นนี้สวยจริงๆ พี่ตงเหล่ยสนใจจะประมูลมันสักหน่อยไหม? เอากลับไปให้พี่สะใภ้ไงพี่ มันต้องเป็นของขวัญที่ดีมากแน่ๆ”


เอี๋ยนตงเหล่ยหัวเราะออกมา เขาชี้ไปหาฉินสือโอวที่อยู่อีกฝั่งแล้วพูดว่า “เห็นเขาหรือยัง? นายรู้จักเขาไหม?”


“รู้จักสิ เสี่ยวฉินไง ตอนนี้เขาเป็นที่รู้จักในบรรดาคนจีนแบบเราๆ แถมยังรวยที่สุดอีกต่างหาก”


“ผู้หญิงที่อยู่บนเวทีน่ะเป็นภรรยาของเขา เสี่ยวฉินคนนี้เป็นเศรษฐีที่ชอบซื้อของไร้สาระคนแรกตั้งแต่ที่ฉันเคยเจอมา ต่อให้ฉันอยากจะประมูล แต่นายคิดว่าฉันจะประมูลได้สำเร็จไหม?”


การแข่งขันประมูลเริ่มต้นขึ้นแล้ว ฝูงคนต่างก็กำลังเสนอราคาอย่างดุเดือด เออร์บักจึงพูดด้วยความตื่นตกใจว่า “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจในนครเซนต์จอห์นไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกเหรอ? ที่จริงแล้วทุกคนๆ ก็ยังมีเงินอยู่เยอะเลยนี่”


ฉินสือโอวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่เสนอราคาประมูลได้ก็มีแต่ชนชั้นกลางขึ้นไปทั้งนั้นแหละครับ ต่อให้เป็นเรื่องเศรษฐกิจพวกเขาก็ได้รับผลกระทบไม่มากเท่าไรหรอก”


ราคาพุ่งสูงขึ้นถึงสามแสนดอลลาร์แล้ว แต่ก็ยังมีคนที่กำลังเตรียมตัวสู้ราคาอยู่ นั่นเป็นเพราะราคาประมูลในตอนนี้ยังไม่ถึงราคาปกติของเครื่องประดับชิ้นนี้ คาดว่าการแข่งขันประมูลคงยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อีกสักพัก


ฉินสือโอวไม่อยากรอแล้ว เขาจึงยกมือขึ้นเสนอราคาทันที “สี่แสน!”


ราคาถูกปัดขึ้นหนึ่งแสนดอลลาร์ภายในชั่วพริบตาเดียว ทันใดนั้นภายในห้องโถงใหญ่ก็มีสูดหายใจด้วยความตกตะลึงดังขึ้นมาทันที เอี๋ยนตงเหล่ยหันไปมองผู้คนที่อยู่รอบตัวเขาพร้อมกับพูดว่า “เป็นไงล่ะ ไม่ได้ผิดจากที่ฉันพูดเลยใช่ไหม? เสี่ยวฉินตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะต้องชนะ”


เครื่องประดับที่เหมาะกับวินนี่ถึงขนาดนี้ ฉินสือโอวจะปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้อย่างไรกัน?


ราคาสี่แสนไม่ถือว่าสูงมาก ต่อจากนั้นจึงมีคนประมูลเพิ่มอีกหนึ่งหมื่น ฉินสือโอวเลยเสนอราคาเพิ่มเป็นสี่แสนห้าหมื่นทันที จากเดิมที่เขาคิดไว้ว่าจะเดินเกมไวด้วยการประมูลเพิ่มครั้งละแสน เท่านี้ก็นับว่าเขาให้ความเกรงใจมากพอแล้ว


ราคาประมูลขึ้นมาอยู่ที่ห้าแสนแต่ก็ยังคงมีคนร่วมประมูลแข่งกับเขา ฉินสือโอวทนไม่ไหวแล้ว เขาจึงเพิ่มเงินไปอีกหนึ่งแสน “หกแสน!”


คราวนี้ทั่วทั้งห้องโถงจึงสงบลงแล้ว คนบางส่วนที่สนใจเครื่องประดับชิ้นนี้หันไปมองมันด้วยความอาลัยอาวรณ์ก่อนจะวางป้ายประมูลที่อยู่ในมือลง ถ้ายังสู้ต่อราคาก็จะสูงเกินไปแล้ว


วินนี่เคาะค้อนไม้สำหรับการประมูลพร้อมกับแย้มรอยยิ้มงดงาม การประมูลสิ้นสุดลงแล้ว จึงมีพนักงานบริกรเดินมาติดต่อผู้ชนะการประมูลให้เดินไปที่หลังเวทีเพื่อชำระเงินและรับของประมูลกลับไป


ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ วินนี่พกบัตรเครดิตมาด้วย เธอจะเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้เอง


ต่อจากนั้นเป็นช่วงเวลาของกิจกรรมอิสระ เอี๋ยนตงเหล่ยพาชาวจีนกลุ่มใหญ่มาหาฉินสือโอว พอได้พบกันหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็คำนับให้เขาพร้อมกับพูดว่า “ยินดีด้วยๆ เสี่ยวฉินเป็นผู้ชนะใหญ่ในการประมูลครั้งนี้ ออกฝีมือได้องอาจผ่าเผยจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้นำชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์ของพวกเรา”


พอได้ยินคำพูดประโยคแรกของเขา ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา ทว่าเมื่อได้ยินประโยคหลังเขากลับหัวเราะไม่ออกแล้ว ผู้นำชาวจีนอะไรกัน? เขาเป็นผู้นำชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์ตั้งแต่เมื่อไร?

 

 

 


บทที่ 1343 ต้นกล

 

รอยยิ้มของฉินสือโอวเปลี่ยนเป็นเก้อเขินทันที เขารีบพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านนี้ล้อกันเล่นแล้ว ผมเป็นแค่น้องชายตัวเล็กๆ ในวงสังคมของพวกเราคนจีนเท่านั้นเอง ใช่ไหมพี่ตงเหล่ย?”


ถึงเขาจะคิดว่าตัวเองไม่เหมือนกับคนธรรมดา แต่เขาก็คงไม่โง่จนหลงคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้นำของคนจีนในนิวฟันด์แลนด์ได้หรอกนะ พูดอีกอย่างก็คือ ทำไมเขาต้องเป็นผู้นำด้วยล่ะ? เป็นผู้นำของคนจีนก็ไม่ทำให้เขาเสียภาษีน้อยลงหรอก แถมยังต้องปวดหัวกับปัญหาหลายๆ เรื่องอีก


เอี๋ยนตงเหล่ยพูดอย่างยิ้มๆ “สังคมคนจีนของพวกเราอยู่กันอย่างเรียบง่าย พวกเรามีผู้นำอะไรที่ไหนกัน?”


ฉินสือโอวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เอี๋ยนตงเหล่ยก็พูดต่ออีกว่า “แต่จะว่าไป ในหมู่ของพวกเราเสี่ยวฉินก็เป็นคนที่มีคนติดต่อคบหาด้วยเยอะที่สุดจริงๆ เส้นสายที่มีก็กว้างขวางที่สุด เหมาะที่จะเป็นแกนหลักในวงสังคมของพวกเราที่สุดแล้ว”


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตคนเราก็คือคำว่า ‘แต่’ นี่แหละ ฉินสือโอวแอบถอนใจอยู่ในใจ ปากก็ฝืนยิ้มออกไป “พี่ตงเหล่ยอย่าหยอกผมเล่นเลย ตรงนี้มีพี่ใหญ่ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ตั้งหลายคน พี่ตงเหล่ยจะแนะนำให้ผมรู้จักสักหน่อยไหม?”


เอี๋ยนตงเหล่ยช่วยแนะนำให้เขาฟังว่า คนเหล่านี้ล้วนแต่เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมช่วยเหลือชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์แล้ว พอพูดถึงตรงนี้เขาก็เชียร์ให้ฉินสือโอวเข้าร่วมสมาคมอีกครั้ง


ฉินสือโอวจึงกล่าวว่า “พี่ตงเหล่ยก็รู้จักผมดี ผมไม่ค่อยชอบเข้าไปอยู่ในวงสังคมเท่าไร แต่ถ้าทุกๆ คนมีอะไรให้ผมช่วย แล้วถ้าผมพอจะช่วยได้ ก็เอ่ยปากบอกกันได้เลย ผมจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”


สำหรับสมาคมประเภทนี้ฉินสือโอวรู้จักและเข้าใจเป็นอย่างดี พวกเขามักจะจัดกิจกรรมเพื่อขยายวงสังคมกับหาคอเนคชั่นใหม่ๆ อยู่เป็นประจำ ถ้าเขาเข้าสมาคมด้วย จะต้องมีคนมาขอทำความรู้จักกับคนอย่างตระกูลสเตราส์ หรือสองสามีภรรยาบรูซผ่านเขาไม่เว้นวันแน่ๆ และเขาก็ไม่อยากทำเรื่องพวกนี้ด้วย


เอี๋ยนตงเหล่ยมีความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงมาก เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวไม่อยากคุยเรื่องนี้ เขาจึงเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น ด้วยการแนะนำชายวัยกลางคนผิวสีคล้ำรูปร่างอวบอ้วนคนหนึ่งให้เขาได้รู้จัก “น้องเพ่าไห่คนนี้ย้ายมาจากมณฑลเจ้อเจียง เมื่อก่อนเขาเคยเปิดกิจการประมงในจีน พวกนายทำความรู้จักกันไว้สักหน่อยเสียสิ”


ฉินสือโอวจับมือทักทายกันกับเขา คนคนนี้ดูจากหน้าแล้วก็เหมือนจะอายุประมาณสี่สิบปี แต่ตอนที่แนะนำตัวฉินสือโอวถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วเขาคนนี้เกิดหลังปีแปดห้าพอดี ตอนนี้เพิ่งจะสามสิบกว่าๆ แก่กว่าเขาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น


เพ่าไห่เป็นคนตรงไปตรงมาและมีอารมณ์ขัน พอมองออกว่าฉินสือโอวประหลาดใจกับเรื่องนี้ เขาจึงเอารูปร่างหน้าตาของเขามาพูดให้กลายเป็นเรื่องตลก “ฉันน่ะ เป็นคนใจร้อนหน้าตาก็เลยรีบร้อนเกินอายุไปด้วย บวกกับตากแดดตากลมทะเลทุกวันตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแบบนี้นี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเสี่ยวฉินจะดูแลผิวพรรณได้ดีเลยนะ”


ฉินสือโอวคิดว่าเรื่องนี้ก็น่าจะต้องยกความดีความชอบให้หัวใจโพไซดอนเช่นกัน เป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คนที่ทำงานหาเงินอยู่บนทะเลจะยิ่งดูมีอายุได้ง่าย นั่นเป็นเพราะลมทะเลกับแสงแดดแผดเผาที่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ดูอย่างพวกชาร์ค ผิวหนังของพวกเขาดูเหมือนกับว่าเคยถูกกระดาษทรายขัดมาก่อนไม่มีผิด พอกลับมาจากออกทะเล ผิวหนังก็จะขึ้นสีเป็นสีแดงเหมือนกุ้งมังกรต้ม


เมื่อมองดูเพ่าไห่ ฉินสือโอวจึงรู้สึกคุ้นชินเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าสีผิวแบบนี้ก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังดูดีกว่าผิวของคนขาวที่ถูกแดดเผา ครั้งแรกที่ออกทะเลพวกชาร์คถูกแดดเผาอย่างรุนแรง พอกลับเข้าฝั่งก็ทำเอาฉินสือโอวตกใจจนแทบเต้น เขายังนึกว่าถูกใครเอาสีทามาเสียอีก


คุยกันไปคุยกันมาพอทั้งสองคนพูดถึงเรื่องสมัยก่อน ฉินสือโอวถึงเพิ่งได้รู้ว่าเพ่าไห่กับเขาเป็นนักศึกษาเก่าสถาบันเดียวกัน พวกเขาต่างก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสมุทรศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่


“บังเอิญมากจริงๆ ผมรุ่น 08 นะ แล้วพี่ล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้มดีใจ


เพ่าไห่บอกว่า “แก่กว่าไม่เท่าไรเอง ฉันรุ่น 04 หลังจากเรียนจบก็ไปทำงานอยู่บนเรือเดินสมุทรเลย หลังจากนั้นก็คิดว่าทำงานบนเรือเดินสมุทรไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร หาคนมาแต่งงานด้วยยากไปหน่อย ต่อมาเลยอยากเปิดฟาร์มแล้วหาแฟนสักคน”


“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ?” ฉินสือโอวถามเขาด้วยความสนอกสนใจ


“เฮ้อ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรต่อแล้ว จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังหาเมียไม่ได้เลย…” เพ่าไห่พูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ จนคนทั้งกลุ่มพากันหัวเราะออกมา


เอี๋ยนตงเหล่ยพูดว่า “เสียวไห่ต้องรีบแล้วล่ะ ดูเสี่ยวฉินสิ ตอนนี้เขาเป็นพ่อคนแล้วนะ”


ฉินสือโอวจึงพูดปลอบเพ่าไห่ว่า “ไม่เป็นไรหรอก พี่ไห่ เรื่องนี้น่ะต่อให้รีบร้อนไปมันก็ยังไม่มาหาเราหรอก เมื่อก่อนตอนที่ผมยังเป็นพวกขี้แพ้ผมก็หาแฟนไม่ได้เหมือนกัน”


ทุกๆ คนหัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้ง เอี๋ยนตงเหล่ยพูดว่า “เสี่ยวฉินลงมีดได้อำมหิตเกินไปแล้ว”


ฉินสือโอวจึงพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวรุ่นพี่ของผมก็ยกโทษให้ผมเองนั่นแหละ ใช่ไหมครับ รุ่นพี่?”


“นายช่วยฉันหาเมียก่อนสิแล้วเดี๋ยวฉันจะยกโทษให้” เพ่าไห่พูดกับเขาอย่างระทมทุกข์


ฉินสือโอวยิ้มแล้วตอบเขากลับไปว่า “เงื่อนไขข้อนี้ยากเกินไปแล้ว ผมช่วยพี่นำเข้าลูกพันธุ์ปลาคุณภาพดีสักสองสามพันธุ์แทนได้ไหม?”


เอี๋ยนตงเหล่ยบอกว่าเพ่าไห่ก็ทำฟาร์มปลาเหมือนกัน ฉินสือโอวเลยอยากช่วยเขาสักหน่อย และการส่งลูกพันธุ์ปลาไปให้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้แล้ว


ชื่อเสียงของฟาร์มปลาต้าฉินดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวคิดว่าเพ่าไห่ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของฟาร์มปลาของเขามาก่อนอยู่แล้ว ถ้าให้ความช่วยเหลือเขาด้วยวิธีนี้ เขาต้องดีใจมากแน่ๆ


ผลปรากฏว่าเรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ เพ่าไห่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อนว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่จีนฉันเคยทำฟาร์มเพาะพันธุ์ปลา แต่ฉันมาแคนาดาด้วยการเป็นแรงงานอพยพที่มีทักษะน่ะ ตอนนี้ไม่ได้ทำฟาร์มแล้วล่ะ ฉันไม่ได้มีเงินทุนเยอะขนาดนั้น”


เมื่อปีก่อนแคนาดาระงับการย้ายถิ่นฐานด้วยการลงทุน แล้วเปลี่ยนมาใช้การนำเข้าทรัพยากรคนที่มีความสามารถ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของแคนาดาในช่วงสองปีที่ผ่านมาต้องตกต่ำลง ที่จริงแล้วประเทศแคนาดามีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ถูกนโยบายการอพยพด้วยการลงทุนครอบคลุมเอาไว้ เนื่องจากการลงทุนที่สม่ำเสมอก่อให้เกิดโอกาสในการทำงานและเงินภาษีที่มากขึ้น


ฉินสือโอวถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ใช้ทักษะทางด้านไหนในการอพยพมาที่นี่?”


เพ่าไห่กล่าวว่า “ด้านการเดินสมุทรนั่นแหละ พอเรียนจบฉันก็ออกทะเลไปทำงานในมหาสมุทรไกลชายฝั่งเลยใช่ไหมล่ะ? หลังจากนั้นเพราะความขยันฉันเลยได้ตำแหน่งต้นกล ก็ใช้ตำแหน่งหน้าที่นี้ในการขออพยพนั่นล่ะ”


พอฟังถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกแปลกใจมาก เขาจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “พี่เป็นต้นกลเหรอ?”


เพ่าไห่พูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว เพราะขยันทำงานบวกกับดวงค่อนข้างดีก็เลยกลายเป็นแบบนี้นี่แหละ”


เขารู้ว่าทำไมฉินสือโอวถึงรู้สึกประหลาดใจ โดยทั่วไปกว่าลูกเรือธรรมดาจะได้เป็นต้นกลก็ต้องใช้เวลาถึงสิบห้าปี แถมเขาหลังจากเรียนจบเขาก็ทำงานเป็นลูกเรือทันที จะได้เป็นต้นกลก็ต้องใช้เวลาสักสิบปี เวลาที่เขาแนะนำตัวว่าเป็นต้นกล ก็จะมีคนตกใจทุกครั้งจนเขาชินกับมันแล้ว


ตามกฎข้อบังคับของอุตสาหกรรม กะลาสีระดับอาวุโสจะต้องปฏิบัติงานเป็นเด็กฝึกงานในตำแหน่งนายช่างกลเรือที่ 4 อยู่บนเรือก่อนเป็นเวลา 12 เดือน ถ้าปฏิบัติงานได้ดี ก็สามารถขอใบรับรองเพื่อทำงานในตำแหน่งนายช่างกลเรือที่ 4 ได้เลย เมื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นนายช่างกลเรือที่ 4 จนครบ 18 เดือนแล้ว และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ก็จะได้เลื่อนไปทำหน้าที่นายช่างกลเรือที่ 3 พอทำงานเป็นนายช่างกลเรือที่ 3 จนครบ 12 เดือนและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี หลังจากผ่านการสอบวัดคุณลักษณะจากสำนักงานความปลอดภัยทางทะเลถึงสามารถเลื่อนขั้นเป็นรองต้นกลได้


และเมื่อปฏิบัติหน้าที่รองต้นกลได้ครบ 18 เดือนเต็ม หากสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีและผ่านการสอบวัดคุณลักษณะแล้วก็จะสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นต้นกลได้ในที่สุด


เมื่อลองคำนวณแบบนี้ ถ้าจะเป็นต้นกล ต่อให้เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึงห้าปีอยู่ดี และนี่ยังเริ่มต้นด้วยตำแหน่งลูกเรืออาวุโสอีกต่างหาก


ฉินสือโอวเดาว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเพ่าไห่น่าจะมีความสามารถที่โดดเด่นมาก เขามีใบปริญญาบัตรจากมหาลัยทางด้านอุตสาหกรรมทางทะเลที่ดีที่สุดของจีน คาดว่าเขาน่าจะเข้าไปทำงานในบริษัทด้วยตำแหน่งกะลาสีระดับอาวุโสนั่นเอง


นี่ถือว่าบังเอิญมาก เรือปริ้นเซสเมล่อนของฉินสือโอวกำลังขาดต้นกลอยู่คนหนึ่ง เพ่าไห่ก็ปรากฏตัวขึ้นได้ถูกเวลาพอดี เขาวางแผนไว้คร่าวๆ ว่าจะออกเรือในช่วงฤดูหนาวของปีนี้หรือไม่ก็ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า หากเจิ้งอวี้ฮุยเห็นว่าเหมาะสม จะได้ให้เขาเข้าไปทำงานในตำแหน่งนั้นเลย


แต่เรื่องแบบนี้จะทำอย่างรีบร้อนไม่ได้ ต้นกลเป็นตำแหน่งสำคัญที่รับผิดชอบหน้าที่ในการดูแลเครื่องยนต์ของเรือกลทั้งลำ สิ่งสำคัญในการเดินเรือไกลชายฝั่งคือจะต้องไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับเรือโดยเด็ดขาด ถ้าเรือไม่มีปัญหาก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาสิ่งที่ต้องสูญเสียอาจจะไม่ใช่แค่เงิน

 

 

 


บทที่ 1344 พวกมันจะกลัวนะ

 

ฉินสือโอวลองถามเพ่าไห่ว่าใบประกอบอาชีพต้นกลของเขามีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม การเดินเรือในแคนาดาจะต้องมีใบรับรองของแคนาดาวถึงจะสามารถดำเนินการได้


แต่นอกจากเรื่องนี้ยังมีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกนับถือพ่อแม่ของเพ่าไห่มาก และสิ่งแรกก็คือแซ่ของพวกเขา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในหนังสือร้อยแซ่จะมีแซ่แบบนี้อยู่ด้วย ตอนแรกที่เจอยังไม่คุ้นเคยกัน จะถามเรื่องแบบนี้ก็คงไม่ดีนัก


และอีกสิ่งหนึ่งก็คือปัญหาเรื่องการตั้งชื่อ เพ่าไห่ไม่ได้หมายถึงหนีออกทะเลหรอกเหรอ? หรือว่าพี่ชายนายช่างร่างท้วมผิวดำคล้ำคนนี้จะเลือกทำงานในแวดวงนี้เพราะชื่อของเขากันนะ


เพ่าไห่บอกว่าเรื่องที่เขาทำเป็นอย่างแรกหลังจากมาถึงแคนาดาก็คือการตรวจสอบเอกสารประกอบอาชีพต้นกลให้ผ่านอีกรอบ และจัดการแปลงเอกสารรับรองจากจีนให้เป็นเอกสารที่ได้รับการยอมรับจากกรมประมงและมหาสมุทรแคนาดา ด้วยเหตุนี้เมื่อพูดกันตามระเบียบการปฏิบัติก็ถือว่าเขาสามารถออกทะเลได้แล้ว


ฉินสือโอวลังเลอยู่สักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้ชวนเพ่าไห่ให้มาทำงานด้วยกัน เขาต้องถามเอี๋ยนตงเหล่ยเรื่องเกี่ยวกับคนคนนี้ให้ดีก่อน ต้องรู้จักนิสัยใจคอของเขาก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยชวนให้เขามาเที่ยวที่ฟาร์มปลา เพื่อให้พวกชาวประมงทดสอบความสามารถของเขา เมื่อมั่นใจแล้วค่อยตัดสินใจอีกที


ในการเดินเรือออกทะเล จะต้องเลือกลูกเรือทุกคนอย่างระมัดระวัง คนที่จะมารับตำแหน่งต้นกลก็เช่นกัน เนื่องจากฉินสือโอวต้องรับผิดชอบต่อตัวเองและลูกน้องที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องรับผิดชอบทางฝั่งของเพ่าไห่ด้วย ถ้าชวนให้มาทำงานด้วยกันแล้วแต่หลังจากนั้นกลับพบว่าเพ่าไห่ไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ถึงตอนนั้นแล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะ?


เป็นคนบ้านเดียวกันทั้งนั้น จะเอาแต่บอกว่าธุรกิจก็คือธุรกิจอย่างนั้นไม่ได้


หลังจากที่ฉินสือโอวคุยกับคนกลุ่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็กลับไปหาคุณปู่นายทหารเก่าเฉินทั้งยังคอยอยู่กับเขาตลอดเวลา ที่เขาทำอย่างนี้ย่อมไม่ใช่เพียงเพราะอำพันทะเลก้อนนั้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพื่อนร่วมรบของปู่สอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึกก็ทำให้เขาต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนชายชรา


เขาแนะนำวินนี่กับเออร์บักให้ชายชราได้รู้จัก เออร์บักเคยได้ยินเรื่องเขามาก่อน หลังจากนายทหารเก่าเล่าเรื่องของเขากับฉินหงเต๋อให้ฟัง เออร์บักก็ถามเขาด้วยความสงสัยว่า “คุณคือนายเฉินเส้นใหญ่ใช่ไหม? นายเฉินเส้นใหญ่จากคาลการีใช่ไหม?”


หลังจากนายทหารเก่าได้ยินชื่อฉายาของตัวเองก็เกิดอาการน้ำตาคลอขึ้นมา “ใช่แล้วเฉินเส้นใหญ่ เฉินเส้นใหญ่! พี่ฉินยังไม่ลืมฉันแน่ๆ เขาเป็นคนพูดถึงฉายานี้ให้คุณฟังใช่ไหม?”


อยู่ๆ ชายชราก็หลั่งน้ำตา ฉินสือโอวก็ตกใจจนสะดุ้ง เขาจึงรีบเอ่ยปลอบชายชรา


นายทหารเก่าพูดทั้งน้ำตาว่า “นายไม่เข้าใจหรอก พ่อหนุ่มน้อยแซ่ฉิน เฉินเส้นใหญ่เป็นฉายาที่พวกเพื่อนๆ ตั้งให้ฉันสมัยฝึกอยู่ในกองทัพ 136 เพราะฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ของบ้านเกิดมากๆ สมัยที่ฝึกทหารกองทัพของเราไม่เคยขาดแคลนอาหารการกิน ตัวฉันเองก็ทำก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่กินทุกวัน”


เขากุมมือเออร์บักไว้แล้วพูดว่า “สิบปีแล้ว ผ่านมาตั้งสิบปีแหนะ สุดท้ายหลังจากบานี่ย์จากไปก็ไม่เคยมีใครเรียกฉันด้วยชื่อนี้อีกเลย”


ฉินสือโอวยืนอยู่ข้างๆ ชายชราอย่างเงียบๆ เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตอนนี้ชายชรากำลังรู้สึกอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พอจะเข้าใจได้


เออร์บักพูดกับเขาว่า “เมื่อก่อนพ่อของผมมักจะเล่าเรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่สองให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ ผมสัมผัสได้เลยว่าวันเวลาในช่วงที่เขาฝึกทหารอยู่ที่แวนคูเวอร์พร้อมกับพวกคุณ เป็นความทรงจำที่งดงามที่สุดสำหรับเขา”


ฉินสือโอวหันไปมองคุณปู่เออร์แวบหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ชายชราเรียกฉินหงเต๋อว่าพ่อต่อหน้าเขา


นายทหารเก่าพูดด้วยความเจ็บปวดใจว่า “แล้วทำไม หลังจากนั้นพี่ฉินถึงไม่เคยตามหาพวกเราเลยล่ะ? หลังจากกลับมาจากหนานหยาง พวกเราก็อยู่ที่แวนคูเวอร์ต่ออีกตั้งหลายปี”


เออร์บักส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “พ่อของผมอาจจะเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจแต่บอกให้ใครฟังไม่ได้ หลังจากรับเลี้ยงผมแล้วพ่อก็มาอยู่ที่เกาะแฟร์เวลเลย ในความทรงจำของผม พ่อออกจากบ้านไปที่ไกลๆ แค่ตอนที่ผมเรียนจบมหาลัย นอกเหนือจากนั้นปกติแล้วเขาจะไม่ไปไหนเลย”


ฉินสือโอวพอจะเดาสาเหตุได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าปู่สองกังวลว่าความลับเรื่องหัวใจโพไซดอนจะถูกเปิดเผย จึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษโดยที่แทบจะไม่มีใครรู้จักเขาเลยสักคน ไม่มีแม้กระทั่งจะแต่งงานหาภรรยา สุดท้ายจึงส่งต่อหัวใจโพไซดอนมาให้เขา


ย้อนกลับไปครึ่งศตวรรษตอนที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้รับการพัฒนาเหมือนในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ยังมีความรู้น้อย ทั้งยังเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ หัวใจโพไซดอนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของปู่สองเป็นอย่างมาก ถ้าพวกเขาสังเกตเห็นก็คงคิดถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าคนในยุคปัจจุบัน


โดยเฉพาะตอนที่ยังฝึกอยู่ในกองทหารถ้าหากปู่ฉินเคยเปิดเผยความลับบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องที่เขาแตกต่างกับคนอื่นออกไป และถ้าปู่เคยใช้พลังวิเศษทำอะไรสักอย่างก็จะยิ่งทำให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น


ฉินสือโอวมาลองคิดๆ ดูก็พบว่าชีวิตของปู่สองช่างยากลำบากจริงๆ


นายทหารเก่าส่ายหัวไปมาพร้อมกับพูดพึมๆ พำๆ ว่า “เฮ้อ ก็อาจจะใช่ พี่ฉินดีทุกเรื่องเลย เสียก็แต่ว่าเขาเย็นชาเกินไป แต่ฉันรู้ว่าเขาแค่ดูเย็นชาแต่ที่จริงแล้วข้างในนั้นเขาเป็นคนอบอุ่น ตอนที่อยู่ในค่ายฝึกทหาร ถ้าไม่ใช่เพราะได้เขาช่วยฉันไว้หลายครั้ง ฉันคงถูกนายพลอังกฤษซ้อมจนตายไปตั้งแต่แรกแล้ว แล้วไม่ใช่แค่ฉันนะ ตอนนั้นเพื่อนๆ ของเราหลายคนก็ติดค้างน้ำใจเขาด้วยกันทั้งนั้น”


หลังจากนั้นเออร์บักก็เป็นคนคอยอยู่คุยกับนายทหารเก่า ทั้งสองคนมีเรื่องให้คุยกันมากกว่า ทั้งเรื่องวันเวลาเก่าๆ และนิสัยของฉินหงเต๋อ


หลังจากกิจกรรมงานรำลึกสิ้นสุดลง ฉินสือโอวก็ถือโอกาสเชิญนายทหารเก่ารไปที่ฟาร์มปลาของเขาด้วยกันเสียเลย หลังจากนั้นเขาก็จะกลับไปส่งชายชราอีกครั้ง เพื่อหาวิธีนำอำพันทะเลก้อนนั้นมาไว้ในมือ เนื่องจากเขาไม่ได้พบของสิ่งนี้มาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว


นายทหารชราตอบรับด้วยความยินดี ฉินสือโอวจึงพาเขากลับไปที่ฟาร์มปลา ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เป็นเออร์บักเสียอีกที่คอยอยู่กับชายชรา และทั้งสองคนก็เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้นเนื่องจากนายทหารชราเดินไม่ค่อยไหวแล้ว และวันต่อมาหลังจากกลับไปถึงฟาร์มปลา สภาพอากาศก็ย่ำแย่กว่าเดิม


ความกดอากาศต่ำทางตอนเหนือของประเทศอเมริกาเริ่มส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศทางตอนใต้ของแคนาดา เริ่มตั้งแต่ในช่วงเช้า คลื่นทะเลในนครเซนต์จอห์นก็เริ่มกรีดเสียงคำราม ซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะมาถึงแล้ว


ฉินสือโอวพาเหล่าชาวประมงเข้าไปยึดเรือไว้กับท่าเรือ พร้อมกับลาดตระเวนตรวจดูฟาร์มปลาอีกรอบ เพิ่งจะเช็กจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร กลุ่มเมฆมืดครึ้มก็ลอยเข้ามาปกคลุมแล้ว ต่อจากนั้นก็เกิดเป็นฟ้าแลบฟ้าร้อง พายุฝนเดินทางมาถึงตามกำหนดเวลาของมัน


ฝนตกเทลงมาอย่างหนัก ทันใดนั้นเชอร์ลี่ย์ก็พกเอาร่มคันหนึ่งจะวิ่งออกไปข้างนอก


ฉินสือโอวรีบดึงเธอไว้แล้วถามว่า “เธอจะไปทำอะไร? จะออกไปอาบน้ำเหรอ?”


เชอร์ลี่ย์พูดกับเขาด้วยความรีบร้อนว่า “เปากงกับตี้หลูต้องพากันกลัวแน่ๆ มีแต่พวกมันสองตัวที่อยู่ในคอก พวกมันยังเด็กอยู่เลยยังไงก็น่าจะต้องกลัวแน่ๆ ใช่ไหมล่ะคะ?”


ฉินสือโอวปลอบเธอว่า “ไม่เป็นไรหรอก ม้าน่ะหูหนวกอยู่แล้ว พวกมันไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหรอก…”


เด็กสาวจ้องเขาด้วยท่าทางถมึงทึง เธอพูดกับเขาด้วยเสียงที่ลากเสียงยาวว่า “ฉิน หนูไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนเสี่ยวเถียนกวานะ ตอนนี้หนูอายุสิบสี่แล้ว! หนูกำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลายอยู่แล้วด้วย มาหลอกกันแบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไรนะคะ?”


ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ เธอไม่ต้องไปอยู่กับพวกมันหรอก พวกมันก็ต้องเติบโตขึ้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ไม่เคยผ่านลมผ่านฝนแล้วจะได้พบกับสายรุ้งได้ยังไงกัน!”


เชอร์ลี่ย์ก็พูดอย่างดื้อรั้นว่า “คุณน่ะเร่งรัดแต่จะให้พวกมันรีบเติบโต พวกมันยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ หนูจะไปอยู่เป็นเพื่อนพวกมัน ถ้าคุณจะไม่ไปก็ไม่ต้องมาขวางทางหนู”


ฉินสือโอวสูดอากาศลอดไรฟัน เขาหันกลับไปหาวินนี่ วินนี่ที่กำลังดูแลเสี่ยวเถียนกวาอยู่ก็พูดด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “เชอร์ลี่ย์ทำดีแล้วค่ะ ที่รักคะ คุณไปเป็นเพื่อนเธอหน่อยเถอะ”


“ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงกางร่มแล้วพาเชอร์ลี่ย์เดินออกไป ปรากฏว่าพอก้มหน้าลงเขาก็พบว่าเชอร์ลี่ย์พกไวโอลินตัวน้อยมาด้วย อยู่ๆ ฉินสือโอวไม่รู้เลยว่าต้องพูดอย่างไรดี “เธอสะพายของพวกนี้มาทำไม?”


เชอร์ลี่ย์ก็ตอบเขาด้วยความมั่นใจว่า “คุณฟังสิคะ เสียงฟ้าร้องเสียงลมพัดดังขนาดนี้ ตี้หลูกับเปากงก็อาจจะพากันกลัวใช่ไหมละคะ เพราะอย่างนั้นหนูจะสีไวโอลินให้พวกมันฟัง ใช้เสียงไวโอลินกลบเสียงลมพัด แบบนี้พวกมันก็ไม่ต้องกลัวแล้วล่ะ”


ฉินสือโอวจ้องมองเชอร์ลี่ย์ “โกรธแค้นอะไรกัน? หนูตั้งใจจะไปขู่พวกมันให้เสียขวัญใช่ไหม?”

 

 

 


บทที่ 1345 เสียงไวโอลินลอยล่อง

 

ฉินสือโอวเดินกางร่มออกมา หลังจากนั้นร่มของเขาก็บินไปเสียแล้ว…


ช่วยไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่หาเสื้อกันฝนตัวใหญ่ๆ มาใส่แทน หลังจากนั้นก็ดึงมันไปคลุมเชอร์ลี่ย์ไว้ด้วย แบบนี้ถึงจะกันฝนได้ดีที่สุด


จัดการแบบนี้แล้ว หลังจากฉินสือโอวกลับรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ทางด้านหลัง พอเขาหันกลับไปมองก็เป็นอย่างที่คิดไว้ วินนี่กำลังใช้สายตาราวกับมีดจ้องมองมาทางนี้ “ที่รักคะ คุณคิดว่าระยะห่างระหว่างคุณกับเชอร์ลี่ย์มันใกล้กันเกินไปไหมคะ?”


กอร์ดอนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “พวกเขาจะรวมร่างกันอยู่แล้ว”


วินนี่ ฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ “ไปให้พ้น!”


กอร์ดอนจึงหอบเอาไอแพดวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างหงอยเหงาเศร้าซึมทันที เขาวิ่งไปด้วยบ่นพึมพำไปด้วยว่า “ห้ามปากประชาชนยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ! พวกคุณกักขังร่างกาย ควบคุมคำพูดของผมได้ แต่พวกคุณกักขังหัวใจที่โหยหาอิสระของผมไม่ได้หรอก!”


พ่อของฉินสือโอวกล่าวว่า “โห เด็กคนนี้พูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วจริงๆ สำเนียงจีนกลางของเขาดีกว่าของพ่อกับแม่แกเสียอีก”


ฉินสือโอวยังอยากอยู่คุยต่ออีกสักพัก ทว่าเชอร์ลี่ย์รอไม่ไหวแล้ว เธอใช้มือน้อยๆ ภายใต้เสื้อกันฝนดึงข้อมือของเขาเอาไว้แล้วสะบัดไปมาแรงๆ สะบัดจนสายตาของวินนี่หมุนขึ้นลงไม่หยุด


ช่วยไม่ได้ รู้หลบรู้หลีกคงจะดีกว่า ฉินสือโอวจึงทำได้แค่เอาหัวดันเสื้อกันฝนแล้วเดินออกจากบ้านมา


เสียงลมพายุคลั่งกรีดเสียงร้องหวีดหวิวพัดเข้ามา จนฉินสือโอวต้องโอบเด็กสาวเอาไว้เพื่อที่จะต้านลมได้อย่างเต็มที่ แถมเขายังไม่กล้าเดินเร็วเพราะกลัวว่าถ้ายกเท้าขึ้นแล้วจะถูกลมพัดจนปลิวขึ้นไปข้างบน


ตอนนี้แรงลมยังไม่ถึงระดับสิบ แต่ฉินสือโอวคาดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณระดับแปดถึงระดับเก้าแล้ว ถ้าถึงระดับสิบเขาจะไม่เดินออกมาแน่นอน ลมแรงระดับนั้นมันสามารถพัดคนให้ปลิวได้จริงๆ


เป็นอย่างที่เชอร์ลี่ย์กังวลจริงๆ ตอนนี้ตี้หลูกับเปากงที่อยู่ในคอกม้ากำลังพากันกลัวจนอกสั่นขวัญหาย ถึงจะมีหญ้ารสเลิศวางอยู่ตรงหน้า แต่พวกมันก็ไม่สนใจจะกิน แล้วเอาแต่สูดหายใจเข้าไปอย่างแรง ลมฝนจากทางด้านนอกพัดคอกม้าจนเกิดเป็นเสียงที่ทำให้พวกมันร้อนรุ่มกลุ้มใจ


ขณะที่พวกมันกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น ฉินสือโอวกับเชอร์ลี่ย์ก็เข้ามาหาพอดี ลูกม้าทั้งสองตัวก็ส่งเสียงร้องออกมา อั๊ยหยาซี้แล้ว เข้ามาทำไม? พวกหนูตกใจหมดเลย


พอฉินสือโอวถอดเสื้อกันฝนออก ตี้หลูกับเปากงถึงพึ่งจะสงบลง ลูกม้าทั้งสองตัวอยากจะยกเท้าถีบพวกเขาจริงๆ สภาพอากาศสภาพแวดล้อมแบบนี้ พากันเข้ามาแบบนี้เหมือนจังหวะผีเป่าเทียนเลย


เชอร์ลี่ย์เห็นท่าทางตื่นตกใจขอพวกลูกม้า หลังจากถอดเสื้อกันฝนออกแล้วเธอก็วิ่งไปที่ห้องเก็บอาหารแล้วหยิบแครอทออกมาประมาณสองสามหัว หลังจากนั้นก็ป้อนมันให้กับตี้หลูก่อนแล้วค่อยป้อนให้เปากงกินบ้าง แค่แป๊บเดียวก็ปลอบประโลมลูกม้าทั้งสองตัวได้แล้ว


แครอทเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ และหากแครอทพวกนี้เป็นพืชที่ได้รับการปรับปรุงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แบบนั้นก็จะกลายเป็นของกินที่พวกมันโปรดปรานที่สุด ไม่ใช่แค่หนึ่งในอาหารที่ชอบกินแล้ว


เมื่อปลอบลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ได้แล้ว เชอร์ลี่ย์เปิดกล่องไวโอลินออกแล้วหยิบไวโอลินขึ้นมา ฉินสือโอวเอนตัวพิงประตูทางเข้า พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ที่รัก ไม่ต้องเล่นไวโอลินได้ไหม? พวกเราแค่อยู่คุยเป็นเพื่อนพวกมันไม่ได้เหรอ?”


เชอร์ลี่ย์รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจึงหันกลับไปขมวดคิ้วนิ่วหน้าพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา “หนูจะเล่นๆ ฉินคุณแย่มาก อย่ามาทำลายความตั้งใจของหนูได้ไหม?”


ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วควักมือถือออกมาเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง เชอร์ลี่ย์ยื่นมือออกไปลูบคอของตี้หลูอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางไวโอลินไว้บนไหล่ เธอสะบัดแขนขวาเบาๆ หลังจากทดลองปรับเสียงเสร็จแล้วจึงวาดแขนบรรเลงมันให้เป็นเพลง


ฉินสือโอวจงใจทำท่าทีมองไปรอบๆ เพื่อหาอะไรมาอุดหู แต่ปรากฏว่าพอเสียงไวโอลินดังขึ้นมา เขาก็นิ่งงันไปทันที


มันเหนือกว่าความคาดหมายของเขา เสียงบรรเลงไวโอลินของเชอร์ลี่ย์งดงามมากจริงๆ


แน่นอนล่ะว่า ทักษะการเล่นไวโอลินของเด็กสาวยังไม่ได้ลึกล้ำถึงขั้นนั้น แต่หากเทียบกับเมื่อก่อน เสียงไวโอลินที่เธอกำลังเล่นอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับเสียงดนตรีของทูตสวรรค์เลยล่ะ ถึงแม้ว่าหลักๆ แล้วจะเป็นเพราะเสียงดนตรีที่เธอเล่นเมื่อก่อนมันแหลมบาดหูก็ตาม


เสียงไวโอลินดังขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่วงทำนองที่เชื่องช้า เสียงสูงต่ำดังขึ้นต่อกันไม่ขาด ฉินสือโอวจำได้ว่านี่คือเพลงแคนอนที่วินนี่เคยเล่น และบางทีอาจจะน่าฟังกว่าที่วินนี่เคยเล่นด้วยซ้ำ


ผมสีบลอนด์ของเด็กสาวสะบัดพลิ้ว เสียงไวโอลินดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ฉินสือโอวรู้สึกว่าเสียงลมที่พัดตีคอกม้าดังอื้ออึงก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเท่าไรแล้ว


ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวพากันยื่นหัวออกมาพักไว้บนรางหญ้าออกมาพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดกันไว้ ใช้ตาโตสดใสจ้องมองเด็กสาวตาปริบๆ ทันใดนั้นฉินสือโอวก็นึกถึงรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยอ่านขึ้นมา จากการวิจัยพบว่าม้าฟังเสียงดนตรีรู้เรื่อง


เพลงแคนอนถูกบรรเลงจนจบ เชอร์ลี่ย์ก็หันกลับมามองฉินสือโอว คนหลังเก็บโทรศัพท์มือถือตั้งนานแล้ว เขาปรบมือให้เธอเบาๆ พร้อมกับพูดอย่างจริงใจว่า “ขอโทษด้วยนะ เชอร์ลี่ย์ ที่พูดไปเมื่อสักครู่ฉันผิดเอง”


เขาเอาใจใส่พวกเด็กๆ ไม่มากพอ เชอร์ลี่ย์ฝึกซ้อมไวโอลินมาครึ่งปีกว่าแล้ว ทว่าจิตสำนึกของเขายังคงหยุดอยู่ในตอนที่เด็กสาวเพิ่งจะได้สัมผัสกับไวโอลินเป็นครั้งแรกๆ


เด็กสาวแย้มรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเธอสั่นสะบัดข้อมือเบาๆ เพลงบทใหม่ก็ถูกบรรเลงขึ้น


เพลงที่ดังขึ้นมาในคราวนี้ก็เป็นเพลงที่ฉินสือโอวคุ้นชินเช่นกัน มันมีชื่อว่า ‘คู่รักผีเสื้อ’ มีระดับความยากมากกว่าเพลงแคนอนอยู่นิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะเล่นเพลงนี้เป็นแล้ว


เชอร์ลี่ย์นำโน้ตเพลงมาด้วย หลังจากเล่นเพลงผีเสื้อคู่รักจบเธอก็พลิกหน้าแผ่นโน้ตแล้วเริ่มเล่นเพลงต่อ แต่เนื่องจากมีลมทะเลพัดเข้ามา โน้ตเพลงจึงเอาแต่พลิกไปพลิกมาอยู่เรื่อย ฉินสือโอวเข้าไปช่วยเธอทับแผ่นกระดาษไว้ เพื่อให้เธอบรรเลงไวโอลินต่อได้อย่างไม่มีอะไรมารบกวน


ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นกัน พวกมันไม่ได้ส่งเสียงรบกวนแล้ว มีแค่นานๆ ครั้งเท่านั้นที่มันจะทำเสียงสูดจมูก ราวกับว่าพวกมันต้องการจะปรบมือให้กำลังใจอย่างไรอย่างนั้น


เชอร์ลี่ย์อยู่ในคอกม้าเป็นเพื่อนพวกมันทั้งสองตัวตลอดทั้งวัน พอเหนื่อยเธอก็พักฟังเพลง หลังจากพักผ่อนได้ครู่หนึ่งค่อยกลับมาสีไวโอลินต่อ ดำดิ่งเข้าไปในเสียงดนตรี ส่วนลูกม้าอเมริกัน เพนต์ก็เหมือนว่าจะดำดิ่งอยู่ในเสียงเพลงเรียบร้อยแล้ว


ช่วงพลบค่ำแรงลมและแรงฝนอ่อนกำลังลงแล้ว วินนี่เข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคน เมื่อเห็นท่าทางเชอร์ลี่ย์การบรรเลงไวโอลิน เธอก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ถ้าเธอยินดีที่จะพัฒนาไปสู่ด้านดนตรี ในอนาคตเด็กคนนี้จะกลายเป็นนักดนตรีระดับโลกได้แน่นอน”


ฉินสือโอวจึงพูดกับเธอว่า “ไม่ใช่แค่นี้หรอกครับ ที่รัก เชอร์ลี่ย์ยังสามารถกลายเป็นทหารม้าหญิงที่มีความยอดเยี่ยมได้ด้วยนะครับ”


ทุกวันเชอร์ลี่ย์จะปล่อยลูกม้าทั้งสองตัวออกไปจากคอก ทุกวันนี้ตี้หลูกับเปากงผูกพันกับเธอมากกว่าฉินสือโอวกับวินนี่เสียอีก สัตว์เลี้ยงในฟาร์มปลาแห่งนี้ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกันทั้งนั้น


นายทหารชราอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฉินสือโอวเริ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานแล้ว จึงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนชายชราเท่าไร พอชายชราพูดว่าอยากกลับบ้าน เขาถึงได้รีบหาเวลาว่างไปส่งชายชรากลับบ้าน


ตอนนี้ชายชราอาศัยอยู่ในเมืองแคมลูปส์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของรัฐบริติชโคลัมเบีย อยู่ห่างจากเมืองแวนคูเวอร์ประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรหากเดินทางด้วยรถยนต์ ฉินสือโอวต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่แวนคูเวอร์เป็นเพื่อนเขาก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปโดยสารรถยนต์


ชื่อของเมืองแคมลูปส์มาจากภาษาอินเดียนแดง หมายถึงจุดที่แม่น้ำไหลมาบรรจบกัน แม่น้ำที่อยู่ทางตอนเหนือคือแม่น้ำนอร์ธทอมป์สัน ทางตอนใต้มีแม่น้ำเซาท์ทอมป์สัน เป็นเส้นทางการจราจรทางน้ำที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ที่เคยรุ่งเรืองในช่วงยุคตื่นทองตอนต้นอีกด้วย


ปัจจุบันเมืองนี้มีบทบาทสำคัญคือการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและแหล่งผลิตโสมอเมริกา ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตโสมอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ


นายทหารเก่าอาศัยอยู่ในตึกเก่าหลังหนึ่งในเขตชานเมือง ทำให้ทราบได้ว่าสภาพการเงินของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เขาไม่มีลูกอีกทั้งยังไม่มีเงินบำนาญ ทำได้สามารถอยู่ได้ด้วยเงินช่วยเหลือทหารผ่านศึกเพียงเล็กน้อยอย่างเดียวเท่านั้น


เขาพาฉินสือโอวกับเออร์บักเดินขึ้นมายังชั้นบนสุด นายทหารชราหัวเราะกับตัวเองแล้วพูดขึ้นมาว่า “ห้องนี้มันเก่าเกินไปหน่อยแล้ว เกรงว่าฉันน่าจะต้องเรียกมันว่าพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ แต่ไม่ต้องกังวลนะ มันยังทนทานใช้งานได้ดีอยู่”


ห้องชั้นบนสุดห้องนี้มีพื้นที่ประมาณห้าสิบหกสิบตารางเมตร มันเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนอาศัย และยังรักษาความสะอาดได้อย่างดี หลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้วชายชราก็เปิดตู้เสื้อผ้าออก เขาหยิบกล่องไม้เรียบๆ กล่องหนึ่งออกมา แล้วเปิดกล่องออก ข้างในคือของที่มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอลหนึ่งลูกที่ถูกกระดาษห่อไว้เป็นชั้นๆ


เมื่อเข้าไปใกล้กล่องไม้ ฉินสือโอวก็สัมผัสได้ถึงความหิวโหยที่เคยได้พบเมื่อนานมาแล้วทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)