เทพปีศาจหวนคืน 1332-1337

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1332 มีความสุข


แปลโดย iPAT  


จื่อซานดื่มจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มพูดมาก


ดูเหมือนการเอาชนะฟางหยวนในครั้งนี้จะทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้น เขารู้สึกว่าเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตรัก


ผู้อมตะมีวิธีการมากมายในการป้องกันการเมาสุรา แต่ด้วยวิธีนี้ความสุขในการดื่มจะหายไปและเป็นพฤติกรรมที่หยาบคายต่อสหายร่วมดื่ม


ฟางหยวนยกถ้วยของเขาขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นกรณีนั้นข้าก็จะยอมรับว่าข้าโชคร้าย น่าเสียดายที่ข้ามีคู่แข่งเช่นเจ้า! เห้อ…”


ฟางหยวนถอนหายใจ เขาคร่ำครวญราวกับสวรรค์ส่งคนมีพรสวรรค์ลงมากีดขวางเขา


จื่อซานหัวเราะเสียงดังและยกมือขึ้นตบไหล่ปลอบโยนฟางหยวน


ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ภายใน


จื่อซานผู้นี้ช่างไร้เดียงสานัก


เรื่องนี้ถูกตัดสินมานานแล้ว


ตราบเท่าที่ฟางหยวนตกลง เฉียวซื่อหลิวจะพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเขา นี่คือสิ่งที่แน่นอน


แต่เฉียวซื่อหลิวไม่ได้แสดงเจตจำนงของนางออกมาชัดเจนเกินไปเพราะนางยังมีความภาคภูมิใจในตนเอง นางพยายามเล่นตัวเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวนางเอง


ฟางหยวนเข้าใจอย่างชัดเจน


เช่นเดียวกับครั้งนี้ จดหมายของเฉียวซื่อหลิวคือการแสดงออกถึงทัศนคติของนาง


‘เฉียวซื่อหลิวเห็นว่าจื่อซานและข้ากำลังแข่งขันกัน นางมีความสุขกับเรื่องนี้และเฝ้ามองจากด้านข้าง’


‘เมื่อข้าแพ้ นางจงใจบอกข้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจื่อซาน นางต้องการปลอบโยนข้าและบอกให้ข้ารู้ว่านางไม่มีความรู้สึกใดๆต่อจือซาน มันเป็นเพียงความรักข้างเดียวของเขา’


‘แต่หญิงที่ฉลาดผู้นี้ไม่ได้ระบุทัศนคติของนางอย่างชัดเจน นางกล่าวเพียงข้อเท็จจริงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเองขณะที่แสดงให้เห็นว่านางมีคุณค่าสำหรับการเป็นคู่ครอง’


‘ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเหนือกว่าผู้ชายทุกคนของนาง’


‘ไม่ว่าข้าจะพ่ายแพ้อีกกี่ครั้ง ไม่ว่าข้าจะไล่ตามผู้หญิงคนอื่น หรือข้าจะแสดงความอ่อนแอออกมาเหมือนเหตุการณ์วันไหว้พระจันทร์ แล้วอย่างไร?’


‘ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คือผู้ชนะ!’


‘ในความเป็นจริงกระทั่งข้าจะไปหาผู้หญิงคนอื่น เฉียวซื่อหลิวก็จะเป็นฝ่ายไล่ตามข้า’


‘แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความรัก มันคือการเมือง!’


ฟางหยวนเย้ยหยันอยู่ในใจ เขาเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน


แต่เขาไม่สามารถยอมรับความรักนี้จากเฉียวซื่อหลิว


หากเขายอมรับ เขาจะถูกลากเข้าสู่สงครามการเมืองที่ชั่วร้าย เขาจะไม่ใช่เพียงวูอี้ไห่อีกต่อไป แต่เขาจะเป็นตัวแทนของตระกูลเฉียวที่แทรกซึมอยู่ในตระกูลวูเพื่อแสวงหาผลประโยชน์


วูหยงจะไม่มอบสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายเช่นนี้กับเขาอีก เขาจะกำหราบและเก็บฟางหยวนเอาไว้ใกล้ตัว


หากเป็นเช่นนั้นฟางหยวนจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างไร?


เห็นได้ชัดว่าเขาทำไม่ได้ นอกจากนั้นตัวตนที่แท้จริงของเขาอาจถูกเปิดเผย


และนั่นจะนำไปสู่ปัญหาที่มากขึ้น


เมื่อตัวตนของฟางหยวนถูกเปิดเผย เขาต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทุกกองกำลัง


‘อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะไม่ยอมรับ ข้าก็ยังสามารถใช้ความรักนี้ให้เกิดประโยชน์’


เฉียวซื่อหลิวทำให้วูหยงระวังตัวและส่งฟางหยวนกลับมาที่ค่ายกลวิญญาณ


แน่นอนว่าในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ แม้วิธีนี้จะยอดเยี่ยม แต่มันยังมีข้อเสีย


การตื่นตัวของวูหยง ลั่วมู่ซือ หลุนเฟย และจื่อซาน รวมถึงคู่แข่งความรักคนอื่นๆจะสร้างปัญหาให้เขา


โลกใบนี้มีความรักที่บริสุทธิ์ แต่มันหายากจริงๆ


เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ยากลำบาก พวกเขาต้องพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่าง


ความงาม ภูมิหลัง ระดับการบ่มเพาะ และอื่นๆของเฉียวซื่อหลิวล้วนเป็นสิ่งยั่วยวนใจ


ท่ามกลางผู้ชายที่ชื่นชอบนาง จื่อซานไร้เดียงสาที่สุด แต่เขายังให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งค่ายกลโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผู้อื่น


สำหรับฟางหยวน เขาเป็นคนพิเศษ


การมาถึงของจื่อซานไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของฟางหยวน


แต่เขาเตรียมใจไว้แล้ว


แม้จื่อซานจะไม่มาที่นี่ ผู้ชายคนอื่นๆก็ต้องมาสร้างปัญหาให้เขา แม้พวกเขาจะไม่ได้มาตอนนี้แต่พวกเขาก็จะมาในอนาคต


เนื่องจากฟางหยวนกำลังเข้าใกล้เฉียวซื่อหลิวและได้รับผลประโยชน์จากนาง ท่ามกลางผู้ชายเหล่านั้น หลายคนมีกองกำลังใหญ่อยู่เบื้องหลังและพยายามกอบโกยผลประโยชน์เช่นกัน


ดังคำกล่าวที่ว่าหญิงงามมักมาพร้อมกับปัญหา


หญิงงามไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะครอบครอง


มีเพียงคนไร้เดียงสาเท่านั้นที่คิดว่าจะสามารถใช้ความรักและอารมณ์เพื่อพิชิตใจหญิงงาม


ในความเป็นจริงยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมาย


ความงามของหญิงสาวคือของขวัญตามธรรมชาติของพวกนาง


มันเป็นของขวัญที่มีคุณค่าและสามารถสร้างความมั่งคั่ง


แล้วผู้ใดจะไม่ต้องการความมั่งคั่งเช่นนี้?


แต่ทุกคนไม่สามารถได้รับความมั่งคั่งนี้


หากหญิงงามเต็มใจมอบความมั่งคั่งของนางให้กับชายคนรักด้วยความรักอันบริสุทธิ์ ผู้โชคดีคนนั้นก็ควรปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี


แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์ดังกล่าวมีน้อยเกินไป


หากมันเกิดขึ้น จงรักษามันไว้ หากไม่ อย่าฝากความหวังไว้กับมัน


นี่คือความจริง


ตั้งแต่ฟางหยวนตัดสินใจใช้ความรักของเฉียวซื่อหลิวเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง เขาก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ไว้แล้ว


หากเขาจัดการได้ไม่ดี จื่อซานจะเป็นเพียงคนแรกที่มาที่นี่และหลังจากนี้จะมีคนที่สอง คนที่สาม และคนต่อๆไป


นั่นจะส่งผลกระทบต่อการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของฟางหยวน


ฟางหยวนต้องแก้ปัญหานี้อย่างระมัดระวัง


เมื่อจื่อซานมาที่นี่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ฟางหยวนลอบมีความสุข


หลังจากตรวจสอบข้อมูลของจื่อซาน เขายิ่งมีความสุขมากขึ้น


จื่อซานเป็นเครื่องมือของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ


หลายคนคิดว่าจื่อซานจะสร้างปัญหาให้ฟางหยวน


แต่ในมุมมองของฟางหยวน เขารู้สึกว่านี่คือโอกาส


หากเขาจัดการเรื่องนี้ได้ดี เขาจะสามารถแก้ปัญหาในอนาคตได้ทั้งหมด เขาจะสามารถสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างสงบสุข


ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องพ่ายแพ้


หากเขาไม่พ่ายแพ้ เขาจะสร้างปัญหาร้ายแรงให้กับตนเอง


ขณะเดียวกันมันเป็นเรื่องง่ายที่จะวางแผนล่อลวงจื่อซาน


จากข้อมูล ฟางหยวนรู้ว่าจื่อซานชอบศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางแห่งค่ายกล เขามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้


ฟางหยวนใช้สิ่งนี้ท้าทายเขา


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แม้เขาจะสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งอื่น แต่เขาจะไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เพราะมันคือความหมายชีวิตของเขา


ฟางหยวนเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงแต่กลับใช้ปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกลท้าทายจื่อซาน นี่เป็นการตบหน้าจื่อซานครั้งใหญ่


แล้วจื่อซานจะทนได้อย่างไร?


แน่นอนว่าเขาไม่สามารถ


ดังนั้นเขาจึงตกลงสู่กับดักของฟางหยวนและไม่สามารถปีนขึ้นมา


ไม่เพียงเขาจะติดกับดักของฟางหยวน หลังจากนั้นเขายังรู้สึกว่าฟางหยวนเป็นคนจริงใจมาก!


“เจ้าเป็นคู่แข่ง แต่เจ้ากล่าวได้ถูกต้ง มิตรภาพจะเกิดขึ้นหลังการต่อสู้ ฮ่าฮ่าฮ่า” จื่อซานหัวเราะและยกแขนขึ้นโอบไหล่ฟางหยวน


“พูดมากแล้ว ดื่มกันเถอะ!” ฟางหยวนกลืนน้ำลาย


จื่อซานมองฟางหยวนด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขายกนิ้วให้ “เยี่ยม! ไปดื่มกันเถอะ!”


ทั้งสองฝ่ายดื่มสุราจนหมดถ้วย


“สุราเลิศรส!” จื่อซานถอนหายใจ “เห้อ…กล่าวตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดื่มหนักเช่นนี้…”


ฟางหยวนหัวเราะอย่างเต็มที่ แต่ภายในเขาไม่รู้สึกสะทกสะท้าน


สุราคือวิถีของฝ่ายธรรมะ


วิถีของฝ่ายปีศาจคือการต่อสู้และเข่นฆ่า


งานเลี้ยงของฝ่ายธรรมะเต็มไปด้วยอุบายและเล่ห์กล ความคิดหลอกลวงทุกประเภทเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากที่จะกวาดเหยื่อผู้โชคร้ายลงสู่ขุมนรก


ฟางหยวนแพ้จื่อซานแต่เขามีความสุขมาก เขาเร่งกระจายข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป


แพ้แล้วอย่างไร?


บางครั้งความพ่ายแพ้ก็เป็นวิธีบรรลุเป้าหมาย


จื่อซานมีความสุขมากเช่นกัน เขารู้สึกว่านี่เป็นงานเลี้ยงที่เขามีความสุขมากที่สุด


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1333 ปล้นเงา


แปลโดย iPAT  


งานเลี้ยงที่รื่นเริงไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น


ฟางหยวนและจื่อซานกลายเป็นสหายที่ดี


ฟางหยวนมักเชิญจื่อซานมางานเลี้ยงที่อาณาเขตของตระกูลวูขณะที่ฝ่ายหลังก็ตอบรับ


การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเรื่องง่ายและยาก


กุญแจสำคัญคือการลดสถานะของตนเองและรองรับความต้องการของฝ่ายตรงข้าม


ฟางหยวนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์และด้วยวิญญาณทัศนคติที่เขาครอบครองอยู่ จื่อซานจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร?


จื่อซานเริ่มเรียนรู้และประหลาดใจมากกับความสำเร็จระดับกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวน


แต่ฟางหยวนบอกเขาว่า “ข้าสนใจเส้นทางแห่งค่ายกลอยู่เสมอ เมื่อข้ายังเป็นมนุษย์ ข้าศึกษาเส้นทางแห่งค่ายกลและบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางสายนี้เป็นหลัก แต่เนื่องจากการเผชิญหน้าโดยบังเอิญและสถานการณ์ในชีวิตที่พลิกผัน ข้าจึงกลายเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่มันก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว หลังจากทั้งหมดมีกี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ”


ความไร้หนทางนี้ทำให้จื่อซานถอนหายใจ เขารู้สึกสงสารฟางหยวนเป็นอย่างมาก


“หากเจ้าต้องการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งค่ายกล ข้าสามารถช่วยเจ้า ตระกูลจื่อมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลหลายคน ข้าสามารถเป็นตัวแทนในการเจรจาแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลให้กับเจ้า” จื่อซานเสนอ


มันไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะเสนอสิ่งนี้ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าการทำงานหนักของฟางหยวนได้ผลดี


เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนเส้นทางการบ่มเพาะ แต่วิญญาณอมตะเป็นเรื่องยากที่จะแลกเปลี่ยน


ฟางหยวนตื่นเต้นมาก “หากข้าต้องการเปลี่ยนเส้นทางในอนาคต ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้า”


จื่อซานพยักหน้า “เมื่อเวลานั้นมาถึง เพียงบอกข้า!”


เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้อมตะที่จะเปลี่ยนเส้นทางการบ่มเพาะเพราะต้องพิจารณาในหลายแง่มุม นอกจากนี้ยังมีผลกระทบในเชิงลงที่จะเกิดขึ้นกับมิติช่องว่างของพวกเขา


ฟางหยวนได้รับผลประโยชน์มากมายจะจื่อซาน


แม้ระดับความสำเร็จของเขาจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนก็เพิ่มขึ้น  มันช่วยเขาได้มาก


สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างค่ายกลวิญญาณกับท่าไม้ตาย?


จื่อซานบอกฟางหยวนว่า “ค่ายกลวิญญาณก็คือท่าไม้ตายประเภทหนึ่ง ท่าไม้ตายใช้วิญญาณหลายดวงพร้อมกัน ค่ายกลวิญญาณก็เช่นกัน แน่นอนว่าค่ายกลวิญญาณกับท่าไม้ตายมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด ตัวอย่างเช่นค่ายกลวิญญาณอยู่ได้นานกว่าและหลังจากประสบความสำเร็จในการกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณ ผู้ใช้วิญญาณก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตอีก…”


“แก่นแท้ของเส้นทางแห่งค่ายกลคือสิ่งใด?” ฟางหยวนถาม


จื่อซานส่ายศีรษะ “แม้ข้าจะเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล แต่ความสำเร็จของข้ายังไม่เพียงพอที่จะกล่าวถึงแก่นแท้ของมัน แต่ท่านจื่อชิวหยูเคยบอกข้าว่าแก่นแท้ของเส้นทางแห่งค่ายกลคือการสร้างสภาพแวดล้อม”


ฟางหยวนรู้สึกราวกับตรัสรู้


การสร้างค่ายกลวิญญาณในถ้ำขดด้ายก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้กับแมงมุมหน้าคน


“ข้าเคยได้ยินมาว่าปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลจะสามารถใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าตามธรรมชาติเพื่อทดแทนการใช้วิญญาณในค่ายกลวิญญาณของพวกเขา ในสถานที่บางแห่งมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมาก เพียงใช้วิญญาณระดับมนุษย์สนับสนุนก็สามารถสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะได้จริงหรือไม่?” ฟางหยวนถามอีกครั้ง


จื่อซานพยักหน้าและอธิบาย “นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ในความเป็นจริงยังสามารถใช้ทรัพยากรอมตะเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณ”


บทสนทนาเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับฟางหยวน


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มไปเยี่ยมจื่อซานบ่อยขึ้น


ในไม่ช้าฟางหยวนก็ตระหนักว่างานเลี้ยงไม่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาแต่เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางแห่งค่ายกล


บางครั้งบทสนทนาระหว่างพวกเขาก็กระตุ้นความคลั่งใคล้ในหัวใจของจื่อซานและทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับฟางหยวนมากขึ้น


แต่ฟางหยวนยังมีไพ่ตายอีกใบ นั่นเขาเฉียวซื่อหลิว


เขาเขียนจดหมายถึงเฉียวซื่อหลิว


ทุกครั้งที่เขาเขียนจดหมายถึงนาง เขาจะยกย่องจื่อซานและอุทานเกี่ยวกับความสามารถบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่น่าตกใจของจื่อซาน


จื่อซานรู้สึกเขินอายกับคำชมเหล่านี้ มันทำให้เขามองฟางหยวนในมุมที่แตกต่างออกไป เขาคิดว่าฟางหยวนเป็นสุภาพบุรุษตัวจริงและเป็นคนใจกว้าง


เพื่อตอบแทนน้ำใจ เขาก็เขียนจดหมายถึงเฉียวซื่อหลิวและยกย่องฟางหยวนอย่างสุดซึ้ง เขาบอกว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกชื่นชมและประหลาดใจมาก


เฉียวซื่อหลิว “…”


นางมองจดหมายที่ได้รับและรู้สึกว่าคนทั้งสองยกย่องกันจนลืมเรื่องของนางไปแล้ว!


นางไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นสถานการณ์นี้ นางกลอกตาก่อนจะเขียนจดหมายสรรเสริญกลับไป


ฟางหยวนและจื่อซานเปลี่ยนจากศัตรูเป็นสหาย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนที่มองจากด้านข้างรู้สึกตกใจอย่างมาก


…..


ภาคใต้ รอยแยกปล้นเงา


ที่นี่คือรอยแยกใต้พิภพที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ มันเต็มไปด้วยสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งความมืดโดยเฉพาะอสูรเงาที่มีชื่อเสียงในภาคใต้


ลึกลงไปในรอยแยกปล้นเงา ในถ้ำแห่งหนึ่ง


“อา…” ชายชราผมม่วงวิ่งเท้าเปล่าอยู่ในถ้ำและกรีดร้องเสียงแหลม


เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาล้มลงบนพื้นและเริ่มบิดตัวคลานราวกับไส้เดือน


หลังจากไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนและหัวเราะด้วยความเขินอาย


ครู่ต่อมาเสียงหัวเราะของเขาก็หยุดลง ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขากลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง


“ท่านสีม่วงตื่นแล้ว” อิงอู๋เซี่ยปรากฏตัวขึ้นในถ้ำ เขาถอนหายใจด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน


ชายชราผู้นี้ก็คือราชันภูเขาม่วง


กลุ่มนิกายเงาหายตัวไปหลังจากการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน พวกเขากลับมาภาคใต้และมายังรอยแยกปล้นเงาแห่งนี้


ราชันภูเขาม่วงสูดหายใจลึกและตบดินบนร่างกายออกไป ร่างของเขาหดเล็กลงและกลายเป็นมนุษย์จิ๋วอีกครั้ง


“เรียกข้าว่าราชันภูเขาม่วง” ราชันภูเขาม่วงกล่าว “ตอนนี้เจ้ามีข้อมูลใดเพิ่มเติมบ้าง?”


อิงอู๋เซี่ยกล่าว “สถานการณ์ทางการเมืองของภาคใต้กำลังดำเนินไปตามแผนการของเรา แต่น่าเสียดายที่จื่อซานและวูอี้ไห่หยุดต่อสู้กันและกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน”


“โอ้?” ราชันภูเขาม่วงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


หลังจากตรวจสอบข้อมูล เขาพยักหน้า “วูอี้ไห่ผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นหลักแต่เขาก็มีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลเพียงพอที่จะได้รับคำชมเชยจากจื่อซาน”


“สิ่งนี้จะช่วยเขาได้ แต่เขาไม่ท้าทายวูหยงและถูกส่งตัวไปยังค่ายกลวิญญาณ”


อิงอู๋เซี่ยพยักหน้า “วูหยงเป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีอำนาจมากที่สุด วูอี้ไห่พึ่งกลับเข้าตระกูลได้ไม่นาน เขาไม่ร่วมมือกับตระกูลเฉียวและไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาอย่างเต็มที่”


“แต่สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าแม้วูอี้ไห่จะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษแต่เขามีความทะเยอทะยานอย่างมาก เขาเข้าใกล้เฉียวซื่อหลิวแต่เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับนาง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการแบ่งปันผลประโยชน์กับตระกูลเฉียว ความทะเยอทะยานของเขาเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่?”


“อืม…” ราชันภูเขาม่วงคิดก่อนกล่าว “เราอาจใช้สิ่งนี้ได้แต่เรารู้จักคนผู้นี้น้อยเกินไป ตอนนี้แผนการของเราเกี่ยวกับตระกูลวูควรมุ่งเน้นไปที่วูหยง ตระกูลวูเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ พวกเขาคือเสาหลักของฝ่ายธรรมะ หากพวกเขาล้มลง ภาคใต้จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะใช้ประโยชน์จากมันและทำลายค่ายกลวิญญาณเพื่อช่วยร่างหลักของเรา”


ปรากฏว่าปัญหาทางการเมืองของตระกูลวูไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากทั้งหมดนิกายเงาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้


“ฮืม หากภาคใต้เกิดความโกลาหลแล้วอย่างไร?” ไป่หนิงปิงปรากฏตัวขึ้นด้วยการแสดงออกที่เย็นชา “ด้วยพวกเราเพียงสี่คน แม้ค่ายกลวิญญาณจะมีผู้อมตะเพียงสี่คนปกป้องอยู่ มันก็ยังเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้พลังการต่อสู้หลักของพวกเราก็ไม่เสถียรนัก”


ไป่หนิงปิงกล่าวโดยไม่แสแย


นางไม่เกรงกลัวผู้อมตะระดับแปดผู้นี้เพราะข้อตกลงพันธมิตรใหม่ระหว่างนางกับนิกายเงาอยู่ในสถานะเท่าเทียม


และความวิกลจริตของราชันภูเขาม่วงทำให้ความเคารพในหัวใจของนางลดน้อยลง


ราชันภูเขาม่วงยิ้ม “แน่นอนว่าความไม่สงบทางการเมืองเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ กองกำลังฝ่ายธรรมะเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา แต่นี่เป็นเพียงการบั่นทอนความแข็งแกร่งของพวกเขาเท่านั้น เราสี่คนยังไม่เพียงพอเช่นกัน เรามีกำลังคนน้อยเกินไป ดังนั้นตอนนี้เราจึงต้องหาคนเพิ่ม”


“หาคนเพิ่ม?” อิงอู๋เซี่ยประหลาดใจ “ยังมีไพ่ซ่อนอยู่ในภาคใต้ที่ข้ายังไม่รู้อยู่อีกงั้นหรือ?”


เพราะเขารู้ว่ากองกำลังนิกายเงาของภาคใต้อยู่ในสภาพที่พิการอย่างหนัก หากพวกเขาต้องการโจมตีค่ายกลวิญญาณ สมาชิกใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องเป็นผู้อมตะระดับสูง ผู้อมตะทั่วไปไร้ประโยชน์


หากมีตัวตนเหล่านี้อยู่จริง พวกเขาย่อมถูกอิงอู๋เซี่ยใช้งานไปนานแล้ว


หรือย้อนกลับไปไกลกว่านั้น หากมีคนเหล่านี้อยู่จริง เมื่อเทพปีศาจจิตวิญญาณท้าทายสวรรค์ด้วยการหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ พวกเขาย่อมถูกใช้งานไปแล้ว


ราชันภูเขาม่วงพยักหน้าก่อนจะส่ายศีรษะ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดบางครั้งข้าถึงกลายเป็นคนบ้า?”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1334 หลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์


แปลโดย iPAT  


ราชันภูเขาม่วงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


ไป่หนิงปิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดขณะที่อิงอู๋เซี่ยถาม “มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจตจำนงสวรรค์งั้นหรือ?”


ราชันภูเขาม่วงพยักหน้า “มันเป็นเจตจำนงสวรรค์จริงๆ แต่ข้าเป็นคนริเริ่ม”


“หมายความว่าอย่างไร?” ไป่หนิงปิงตกใจ


จากคำกล่าวของราชันภูเขาม่วง ดูเหมือนเขาจะตั้งใจทำให้ตนเองวิกลจริต


ราชันภูเขาม่วงถอนหายใจ ฉากในอดีตปรากฏขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง “ในอดีตพวกเรากลุ่มร่างแยกรุ่นแรกพบว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเจตจำนงสวรรค์และพยายามหาทางรับมือมัน”


“ข้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา ข้าเป็นผู้นำกลุ่มร่างแยกรุ่นแรก ข้ามีหน้าที่หาวิธีรับมือเจตจำนงสวรรค์”


“โดยใช้มรดกที่แท้จริงส่วนหนึ่งของเทพอมตะกลุ่มดาวรวมกับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้า ข้าได้คิดค้นวิธีการหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์”


“หลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์?” ไป่หนิงปิงและอิงอู๋เซี่ยมองหน้ากับด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น


“ถูกต้อง เจตจำนงสวรรค์กว้างใหญ่และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ในเวลานั้นเราพึ่งเริ่มต่อสู้กับมัน เราไม่รู้ความลับและจุดอ่อนของมันเท่ากับตอนนี้ เวลานั้นเราถูกหยุดยั้ง สถานการณ์ของเราเลวร้ายลงและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ”


ราชันภูเขาม่วงกล่าวต่อ “ข้าไม่มีทางเลือกและถูกบังคับให้ใช้วิธีนี้ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา เนื่องจากศัตรูมีพลังอำนาจสูงมาก ข้าจึงแสร้งยอมจำนนและแทรกซึมเข้าไปเพื่อล้วงความลับของมัน ท้ายที่สุดรู้เขารู้เราจะไม่มีวันพ่ายแพ้”


ดวงตาของไป่หนิงปิงและอิงอู๋เซี่ยส่องประกายขึ้น


เจตจำนงสวรรค์ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน ราชันภูเขาม่วงต้องการแทรกซึมเจตจำนงสวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ


ราชันภูเขาม่วงอธิบาย “เจตจำนงสวรรค์ พวกเจ้าต้องเข้าใจมันอย่างชัดเจน เมื่อถ้ำสวรรค์กลืนกินสวรรค์ทั้งเก้า เจตจำนงสวรรค์จะสามารถเข้าไปขณะที่จิตวิญญาณสวรรค์จะสูญเสียสติสัมปชัญญะ เช่นเดียวกันในกรณีของผู้อมตะ ทุกครั้งที่เจตนำจงสวรรค์เข้ามาในร่างของข้า ข้าจะกลายเป็นบ้าและสูญเสียตัวตน”


“อย่างไรก็ตามนี่เป็นเหตุผลที่ข้าสามารถลดเจตจำนงสวรรค์ที่ต้องการฆ่าข้าลงได้มากและสามารถรักษาชีวิตมาจนถึงตอนนี้”


“ข้อดีอีกประการหนึ่งก็คือเมื่อข้าหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์ ข้าสามารถทำความเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนและสามารถเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของมัน”


“เมื่อรู้จักเจตจำนงสวรรค์มากขึ้น ข้าก็สามารถวางแผนต่อต้าน”


“หลักการของสวรรค์คือไร้ปรานี มันคิดว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นเพียงตัวหมากเบี้ย จากมุมมองของเจตจำนงสวรรค์ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้คือตัวหมากของมันและในกระดานหมากรุกแห่งโชคชะตานี้มีจุดที่น่าสนใจบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของข้า”


คำอธิบายของราชันภูเขาม่วงทำให้ไป่หนิงปิงและอิงอู๋เซี่ยสนใจมาก


เพราะพวกเขาตระหนักแล้วว่าคำกล่าวของราชันภูเขาม่วงมีความสำคัญมาก


ราชันภูเขาม่วงกล่าวต่อ “ข้าหลอมรวมกับเจตจำนงสวรรค์และพบว่าแผนการของเจตจำนงสวรรค์มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ ทุกครั้งที่ข้าเป็นบ้า ข้าจะฉวยโอกาสตรวจสอบจุดสำคัญเหล่านั้น เมื่อข้าได้สติกลับคืน ข้าจะพยายามใช้มันพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส”


“และในการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้ พวกเจ้าได้เห็นการใช้หมากเบี้ยตัวหนึ่งแล้ว”


ร่างของไป่หนิงปิงสั่นสะท้านขึ้น


อิงอู๋เซี่ยกล่าวอย่างเคร่งเครียด “นายท่านราชันภูเขาม่วง ท่านกำลังกล่าวถึงไท่เป่ยหยุนเฉิงงั้นหรือ?”


ราชันภูเขาม่วงพยักหน้า “ถูกต้อง ไท่เป่ยหยุนเฉิงเป็นหมากตัวสำคัญในกระดานหมากรุกแห่งโชคชะตา แม้สวรรค์จะจัดเตรียมมันไว้ แต่ข้าก็สามารถพลิกสถานการณ์โดยใช้พลังของเขาเพื่อทำให้พวกเราสามารถหลบหนี”


ไท่เป่ยหยุนเฉินเคยพบกับราชันภูเขาม่วงเมื่อเขายังเป็นผู้ใช้วิญญาณและได้รับมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งกาลเวลาจากชายชรา


เจตจำนงสวรรค์และเจตจำนงของราชันภูเขาม่วงต่างส่งอิทธิพลต่อไท่เป่ยหยุนเฉิงอย่างลับๆ


ดังนั้นเมื่อฟางหยวนถูกใช้งานโดยเจตจำนงสวรรค์เพื่อกลับสู่อดีตและพลิกคว่ำแผนการของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ฟางหยวนจึงได้รับความช่วยเหลือจากไท่เป่ยหยุนเฉิงระหว่างกระบวนการนั้น


ไท่เป่ยหยุนเฉิงกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฟางหยวน


แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะสติปัญญาของฟางหยวนเอง


ต่อมาไท่เป่ยหยุนเฉิงแยกตัวจากฟางหยวนและหันมาช่วยเหลือนิกายเงา


นี่เป็นเพราะฟางหยวนทรยศต่อเจตจำนงสวรรค์ ในช่วงเวลาสำคัญ เขาไม่ได้ทำลายวิญญาณทารกอมตะ แต่กลับใช้มันกับตนเอง ไท่เป่ยหยุนเฉิงช่วยนิกายเงาเพราะอิทธิพลของราชันภูเขาม่วง


ไท่เป่ยหยุนเฉิงเสียชีวิตในการต่อสู้ หากพิจารณาอย่างผิวเผินอาจเป็นเพราะฟางหยวน แต่จากมุมมองอื่น นี่เป็นตัวหมากที่ถูกเขี่ยทิ้งโดยความขัดแย้งระหว่างนิกายเงากับเจตจำนงสวรรค์


อิงอู๋เซี่ยได้ยินเรื่องนี้และเข้าใจราชันภูเขาม่วงมากขึ้น


เขากรีดร้อง “ข้าเข้าใจแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นายท่านราชันภูเขาม่วงได้เดินทางไปทั่วโลกเพราะท่านต้องการส่งอิทธิพลต่อตัวหมากที่สำคัญเหล่านี้และตอนนี้พวกเขาจะเป็นกำลังเสริมให้กับพวกเรา!”


ราชันภูเขาม่วงเผยรอยยิ้มบาง “ถูกต้อง”


…..


ภาคใต้ ค่ายกลวิญญาณ


ฟางหยวนกำลังใช้สมาธิควบคุมวิญญาณจำนวนมาก


หนึ่งในนั้นคือวิญญาณอมตะสมบัติเลือดระดับหก


ฟางหยวนสูดหายใจลึก การจัดตั้งค่ายกลวิญญาณมาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว


วิญญาณอมตะสมบัติเลือดค่อยๆบินเข้าไปในเสาแสงสีมรกต


เสาแสงสีมรกตถูกอาบย้อนด้วยแสงสีแดงเลือดแทบจะในทันที


ฟางหยวนถอนหายใจ ขั้นตอนสำคัญจบลงในที่สุด


เสาแสงสีแดงเลือดค่อยๆอ่อนกำลังลงก่อนจะสลายไป กลิ่นอายของมันยังลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศและแทรกซึมลงไปในถ้ำด้านล่าง


มันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ลึกลงไปใต้พิภพเป็นระยะทางหลายลี้


มีรูระบายอากาศอยู่นับร้อยแห่งที่เชื่อมถ้ำใต้พิภพกับโลกภายนอก รูเหล่านี้ทั้งมืดและลึกแต่พวกมันส่งกลิ่นหอมออกมา


“ค่ายกลวิญญาณสำหรับถ้ำขดด้ายดำเนินการไปได้ครึ่งทางแล้ว”


“ต่อไปข้าต้องย้ายแมงมุมหน้าคนมาที่นี่และเริ่มเลี้ยงดูพวกมัน”


“กระบวนการนี้จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนค่ายกลวิญญาณในอีกหนึ่งหรือสองเดือนข้างหน้า จากนั้นทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ”


ฟางหยวนเต็มไปด้วยความสุข


จื่อซานออกจากค่ายกลวิญญาณและกลับตระกูลจื่อไปแล้ว ขณะที่ฟางหยวนดำเนินการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเขาต่อไป


ในอาณาจักรแห่งความฝันก่อนหน้านี้ มันเหลือเพียงสองฉาก พวกมันถูกคลี่คลายโดยท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันของฟางหยวนไปแล้ว


ดังคาดตอนนี้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนบรรลุระดับปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว


ด้วยความสำเร็จระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลและผลประโยชน์จากการพูดคุยกับจื่อซาน มันทำให้ฟางหยวนสามารถอนุมานค่ายกลวิญญาณใหม่สำหรับถ้ำขดด้าย


ค่ายกลวิญญาณนี้ใช้วิญญาณอมตะสมบัติเลือดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมันเป็นสองเท่า


แนวคิดเพิ่มประสิทธิภาพแปดเท่าของฟางหยวนไม่สามารถทำได้


ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสองเท่าทำให้ฟางหยวนพอใจแล้ว


ในช่วงเวลาที่ฟางหยวนกำลังสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ข่าวที่น่าตกใจก็ถูกเผยแพร่ออกมาและสามารถสั่นคลอนโลกของผู้อมตะทั้งห้าภูมิภาค


นั่นคือสิบนิกายโบราณของภาคกลางและวังสวรรค์พ่ายแพ้!


พวกเขาส่งกลุ่มผู้อมตะเดินทางไปยังภาคเหนือ แต่นอกจากพวกเขาจะไม่สามารถช่วยหม่าหงหยุน พวกเขายังพ่ายแพ้ยับเยิน


ท่ามกลางผู้อมตะระดับแปดสามคนของภาคกลาง เว่ยหลิงหยาง นักรบหมื่นมังกร และไป่เฉินเทียน สองคนตายและอีกหนึ่งหายสาบสูญ


ผู้ที่สังหารผู้อมตะระดับแปดคืออดีตม้าของเทพอมตะตะวันเดือด สัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนาน พังพอนหางสุนัข


แต่กลุ่มผู้อมตะภาคกลางยังมีผู้รอดชีวิต


จ้าวเหลียนหยุน อวี๋อี้เย่ซือ ซือเจิ้งอี้ และอีกหลายคนได้รับการช่วยเหลือจากเว่ยหลิงหยาง พวกเขาสามารถหลบหนีด้วยการสนับสนุนจากกำลังเสริมของภาคกลาง


ข่าวนี้ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง


รากฐานและความแข็งแกร่งของภาคกลางเป็นที่ยอมรับจากสาธารณชนว่าแข็งแกร่งที่สุดในห้าภูมิภาค


นิกายโบราณทั้งสิบเป็นกองกำลังใหญ่ที่ปกครองภาคกลางทั้งหมด แต่ละนิกายสามารถเอาชนะเผ่าหรือตระกูลของภูมิภาคทั้งห้า


และวังสวรรค์คือผู้นำของสิบนิกายโบราณที่ส่งอิทธิพลต่อทั้งห้าภูมิภาค


สถานะของมันในหัวใจของคนภาคกลางไม่เคยสั่นคลอน ในหัวใจของผู้คนอีกสี่ภูมิภาค มันยังได้รับการยกย่องว่าเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของโลกทั้งใบ


หลังจากทั้งหมดมีเทพอมตะสามคนเคยเป็นผู้นำวังสวรรค์มาก่อน แล้วกองกำลังใดจะสามารถแข่งขันกับมัน?


แต่วังสวรรค์ที่ทรงพลังกลับพ่ายแพ้ในภาคเหนือ


หลังจากตกใจ ทุกคนได้เรียนรู้บางสิ่งและเกิดความเข้าใจมากขึ้น


เพราะทุกคนรู้ว่าคนเหนือมีพลังการต่อสู้สูงที่สุดและครั้งนี้ถ้ำสวรรค์นิรันดรยังลงมือด้วยตนเอง


สำหรับความพ่ายแพ้ของวังสวรรค์ พวกเขายังไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดเพราะมันเป็นการต่อสู้ต่างภูมิภาค


ในความเป็นจริงกลุ่มผู้อมตะจากวังสวรรค์ที่เดินทางไปยังภาคเหนือไม่เพียงต้องต่อสู้กับถ้ำสวรรค์นิรันดรแต่พวกเขายังต้องต่อสู้กับปีศาจอมตะเซี่ยหูอีกด้วย


แต่โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล พวกเขาก็ทำให้วังสวรรค์และสิบนิกายโบราณของภาคกลางสูญเสียชื่อเสียง ขณะที่ชื่อเสียงของถ้ำสวรรค์นิรันดรและเทพอมตะตะวันเดือดเพิ่มสูงขึ้น


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1335 การตอบสนองของวังสวรรค์


แปลโดย iPAT  


“เว่ยหลิงหยางและไป่เฉินเทียนเสียชีวิตขณะที่นักรบหมื่นมังกรหลบหนี…”


ฟางหยวนพึมพำ


ข้อมูลถูกส่งมาถึงเขาในเวลานี้


“เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของวังสวรรค์เป็นอย่างมาก”


“พังพอนหางสุนัข…ม้าของเทพอมตะตะวันเดือด พลังการต่อสู้ของมันน่ากลัวจริงๆ”


“แม้สิ่งนี้จะช่วยยกขวัญกำลังใจของคนเหนือแต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับวังสวรรค์”


ด้วยประสบการณ์ชีวิตห้าร้อยปีและประสบการณ์ในสงครามห้าภูมิภาค ฟางหยวนรู้ว่าวังสวรรค์มีรากฐานที่ลึกล้ำ หากเปรียบเทียบ ถ้ำสวรรค์นิรันดรยังไม่ถือเป็นสิ่งใด


“เหตุการร์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตแรกของข้า”


“หลังจากนี้ภาคเหนือและภาคกลางจะเป็นศัตรูกัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้ำสวรรค์นิรันดรและวังสวรรค์ก็จะอยู่คนละฝ่าย”


“ตอนนี้วังสวรรค์จะแก้แค้นหรือไม่? หากพวกเขาทำ มันจะน่าสนใจมาก”


ฟางหยวนไตร่ตรองและพยายามคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น


ถ้ำสวรรค์นิรันดรเป็นของเทพอมตะตะวันเดือด ขณะที่วังสวรรค์มีสามผู้อมตะระดับเก้า ทั้งสองต่างเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ แต่ผู้ใดจะคิดว่าพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างรุนแรง


ตอนนี้ผู้อมตะทั้งโลกกำลังให้ความสนใจกับเรื่องนี้


พวกเขากำลังรอดูการตอบสนองของวังสวรรค์


ตามตรรกะ วังสวรรค์ต้องตอบโต้เพราะพวกเขาเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของโลกใบนี้ หากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว ชื่อเสียงของพวกเขาจะร่วงหล่นลง


แต่กำแพงภูมิภาคยังเป็นปราการป้องกันสงครามใหญ่ระหว่างผู้อมตะ


และคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องวังสวรรค์แห่งโชคของเทพอมตะตะวันเดือด


มันยากเกินไปที่วังสวรรค์จะโจมตี


ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีหรือไม่ พวกเขาก็มีข้อแก้ตัวให้กับตนเอง


และไม่ว่าวังสวรรค์จะเลือกทางใด การเคลื่อนไหวของพวกเขาจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของทั้งห้าภูมิภาค


ฟางหยวนถอนหายใจ


เขาทำนายไว้นานแล้ว


หากวังสวรรค์ส่งผู้อมตะไปช่วยหม่าหงหยุน พวกเขาพบอุปสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาล้มเหลว พวกเขาจะหลบหนีกลับภาคกลางและการต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลานานมาก


แต่เมื่อฟางหยวนได้รับข่าวนี้ เขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง


มีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่เขายังไม่สามารถระบุได้ว่าปัญหาที่แท้จริงคือสิ่งใด


“บางทีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอาจเป็นเพราะการกระทำของข้า มันเกิดจากผลกระทบของการกำเนิดใหม่ของข้า นี่ทำให้ข้อได้เปรียบของการกำเนิดใหม่ลดน้อยลง ดังนั้นข้าจึงรู้สึกไม่สบายใจงั้นหรือ?”


การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม


“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น การเพิ่มความแข็งแกร่งก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”


“อาณาจักรแห่งความฝัน ข้ามาแล้ว!”


ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเป็นอย่างไร ตราบเท่าที่เขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น


ฟางหยวนเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันและพบว่าตนเองอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งหนึ่ง


เวลากลางคืน ดวงจันทร์ส่องประกายเย็นเยียบ


หมาป่าเห่าหอนขณะที่ฟางหยวนไม่สามารถเคลื่อนไหว เขาถูกคนสองคนแบกจากด้านหน้าและด้านหลัง


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’ ฟางหยวนตระหนักว่าตนเองไม่สามารถเคลื่อนไหวและเริ่มประเมินสถานการณ์


“อูด อูด”


เสียงคล้ายหมูดังเข้าหูฟางหยวน


ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่ามันเป็นเสียงของสองคนที่แบกเขาเอาไว้


คนทั้งสองแบกฟางหยวนขึ้นภูเขา


เมื่อเมฆสีดำบนท้องฟ้าลอยออกไป แสงจันทร์ก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ทั้งสองไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นมนุษย์อสูรที่มีศีรษะเป็นหมู!


‘ในยุคปัจจุบัน มนุษย์อสูรกำลังจะสูญพันธุ์ แต่พวกมันปรากฏตัวในอาณาจักรแห่งความฝัน นี่คือยุคสมัยใด?’ คำถามปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวน


ฟางหยวนรู้สึกผิดปกติและเริ่มดิ้นรน แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่าเขาอ่อนแอมากและยังได้รับบาดเจ็บสาหัส


เขาดิ้นรนอย่างหนักแต่เขายังขยับร่างกายได้เพียงเล็กน้อย


“กรอ…”


มนุษย์อสูรหัวหมูป่าเห็นการเคลื่อนไหวของฟางหยวนและเริ่มส่งเสียงคำราม


‘โอ้ ไม่!’ ฟางหยวนกรีดร้องอยู่ภายใน


แต่มนุษย์อสูรทั้งสองเร็วกว่า พวกมันโยนฟางหยวนลงบนพื้น


ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนทำให้เขาแทบหมดสติ


ด้วยความมุ่งมั่น ฟางหยวนพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นและเห็นมนุษย์อสูรหัวหมูป่ายกขาขึ้น


มันกระทืบใบหน้าของฟางหยวน


“บึม!”


ศีรษะของฟางหยวนถูกทุบราวกับผลแตงโม เลือดไหลออกมาพร้อมกับมันสมองที่กระจัดกระจายไปทั่ว


‘บัดซบ!’ การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันสิ้นสุดลง จิตวิญญาณของฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาถูกบังคับให้ออกมา


‘นี่หมายความว่าข้าต้องรอโอกาส ข้าไม่สามารถทำการผลีผลาม?’ ฟางหยวนคิดขณะใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวรักษาตนเอง


ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันมีจำนวนการใช้งานที่จำกัดเนื่องจากม้าปีศาจฝันร้ายถูกใช้ไปจนหมดแล้ว


แต่วิญญาณความเด็ดเดี่ยวแตกต่างออกไป ตราบเท่าที่มีภูเขาตงฮัน วิญญาณความเด็ดเดี่ยวก็ยังมีเพียงพอ


ดังนั้นฟางหยวนจึงยินดีรับอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณมากกว่าการใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน


คราวนี้ฟางหยวนไม่ขยับเขยื้อนและปล่อยให้มนุษย์อสูรหัวหมูป่าอุ้มไปถึงครึ่งทาง


“กรอ…” เมื่อถึงจุดหนึ่ง มนุษย์อสูรหัวหมูก็หยุดและคำราม


ภายใต้แสงจันทร์ ฟางหยวนเห็นมนุษย์อสูรหัวหมูป่าสองตัวนี้ยืนอยู่บนขอบหน้าผา


‘โอ้ ไม่’ ฟางหยวนกำลังจะต่อสู้เมื่อมนุษย์อสูรหัวหมูป่าโยนเขาลงจากหน้าผา


‘นี่คือ?’ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อมองเห็นหลุมศพขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง


ศพจำนวนนับไม่ถ้วนนอนและส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมารอบๆ


ร่างของฟางหยวนถูกบดขยี้และตายอยู่ท่ามกลางกองซากศพเหล่านั้น


เขาถูกบังคับให้ออกจากอาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


‘อาณาจักรแห่งความฝันนี้คือสิ่งใด?’


ขณะที่ฟางหยวนกำลังสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ที่ภาคกลาง ในวังสวรรค์


“ท่านราชันมังกร เชิญ” ผู้อมตะหญิงชราหลังค่อมก้มตัวลงเล็กน้อย


ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ต่อหน้าราชันมังกรด้วยความเคารพ


ราชันมังกรไม่ได้อยู่ในสภาพที่อ่อนแออีกต่อไป หลังจากดูดกลืนพลังชีวิตของมังกรปีศาจ ตอนนี้เขากลับมาแข็งแรงและกลายเป็นผู้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่ง


เขากำลังมองไปยังหอคอยที่อยู่ด้านหน้า “ยายชา เจ้าทำได้ดี”


มันไม่ใช่สิ่งใดนอกจากหอคอยดวงตาสวรรค์


คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเก้า!


แม้มันจะถูกทำลายที่ภาคใต้ แต่วิญญาณอมตะส่วนใหญ่ของมันยังถูกรักษาไว้ หลังจากพวกมันถูกส่งกลับมายังวังสวรรค์ ยายชาก็ตื่นขึ้นและพยายามซ่อมแซมมัน


ตอนนี้นางทำสำเร็จแล้ว หอคอยดวงตาสวรรค์ได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แบบ


“ท่านราชันมังกร เชิญ” ยายชานำทาง


ราชันมังกรและเทพธิดาจื่อเว่ยติดตามยายชาเข้าไปในหอคอยดวงตาสวรรค์


บันไดหยกขาวไม่ต่างจากเดิมแต่หอคอยดวงตาสวรรค์ไม่ได้ถูกกระตุ้นใช้งาน ดังนั้นมันจึงไม่มีภาพใดๆปรากฏขึ้นบนกำแพง


เมื่อสามผู้อมตะเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด พวกเขาก็พบกับวิญญาณอมตะดวงหนึ่งอยู่ที่นี่


วิญญาณอมตะดวงนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณระดับเก้าออกมา มันอยู่ในรูปลักษณ์ของแมงมุมสีขาวดำที่มีบาดแผลสีแดงพาดอยู่บนร่างกายและแทบจะแยกมันออกเป็นสองส่วน


มันก็คือวิญญาณชะตากรรม


วิญญาณชะตากรรมได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของเทพปีศาจบัวแดงที่หยิบยืมพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณชะตากรรมเกือบตาย แต่หลังจากการทำงานหนักมาหลายชั่วอายุคนของสมาชิกวังสวรรค์ ในที่สุดมันก็ฟื้นตัวขึ้นห้าสิบส่วน


เมื่อมาถึงจุดนี้ มันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ความเร็วในการฟื้นตัวของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า


ด้วยการทำงานอย่างหนักของยายชา ตอนนี้มันฟื้นตัวขึ้นหกสิบส่วนแล้ว


“ดีมาก ดีมาก ยายชา เจ้ามีความสำคัญอย่างมากต่อวังสวรรค์และมวลมนุษยชาติ ข้าแน่ใจว่าเมื่อวังสวรรค์ปกครองห้าภูมิภาค ชื่อของเจ้าจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และเป็นที่เคารพนับถือของบุตรหลานทุกคนในอนาคต” ราชันมังกรยกย่อง


ยายชายิ้ม “ขอบคุณท่านราชันมังกร ข้าช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นการซ่อมแซมหอคอยดวงตาสวรรค์ก็เป็นความปรารถนาของหญิงชราผู้นี้อยู่แล้ว ฮ่าฮ่า”


ยายชาหัวเราะอย่างต่อเนื่องขณะที่ร่างของนางกลายเป็นฝุ่นควันและถูกลมพัดหายไปในอากาศ


ผู้อมตะระดับแปด ยายชา ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมเสียชีวิตลงแล้ว


นางเหลืออายุขัยเพียงเล็กน้อย นางตื่นขึ้นด้วยความตกใจจากการเสียชีวิตของเจ้าวังคนก่อนและตัดสินใจอุทิศตนเพื่อวังสวรรค์


นี่ทำให้วังสวรรค์สูญเสียผู้อมตะระดับแปดไปในลักษณะนี้


ดวงตาของเทพธิดาจื่อเว่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ


การแสดงออกของราชันมังกรไม่เปลี่ยน เขากล่าว “ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ ผู้อมตะมากมายของวังสวรรค์ต่างเสียสละตนเองในลักษณะนี้เพื่ออนาคตที่สดใสของคนรุ่นหลัง เว่ยหลิงหยาง ไป่เฉินเทียน พวกเขาเสียสละตนเองเช่นเดียวกับยายชา และในอนาคตเราสองคนก็จะทำเช่นเดียวกัน”


“เหตุใดวังสวรรค์ถึงเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งมาตลอด นอกจากสามเทพอมตะยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการ นั่นคือผู้อมตะของเราไม่กลัวที่จะเสียสละตนเอง เพราะเรารู้ว่ามนุษยชาติต้องการพวกเรา สวรรค์พิภพต้องการพวกเรา!”


เทพธิดาจื่อเว่ยสูดหายใจลึกและกลับสู่ความสงบ “หากเป็นเช่นนั้น ท่านราชันมังกร ตอนนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป?”


ราชันมังกรปิดเปลือกตาก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้ง “ยุคที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้นแล้ว บางคนไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”


“แต่ฟางหยวน อิงอู๋เซี่ย ราชันภูเขาม่วง และคนอื่นๆล้วนเจ้าเล่ห์ พวกเราไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด มันยากเกินไปที่จะอนุมานตำแหน่งของพวกเขาโดยเฉพาะกำแพงภูมิภาคที่กีดขวางอยู่” เทพธิดาจื่อเว่ยกังวล


“อย่าห่วง” ราชันมังกรโบกมือ “ไม่ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ที่ใด เราต่างรู้ว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คืออาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้”


“ลืมเรื่องของภาคเหนือและถ้ำสวรรค์นิรันดรไปได้เลย พวกมันเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ”


“เราต้องกำจัดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับแรก!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1336 จ้าวเย่ฮุ้ย


แปลโดย iPAT  


ดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือภูเขาที่รกร้าง


มนุษย์อสูรหัวหมูป่าสองคนแบกฟางหยวนขึ้นภูเขา


ฟางหยวนเฝ้าสังเกตต่อไปและไม่ได้หุนหันพลันแล่น


‘ร่างกายของข้าคือผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ ข้ามีทะเลวิญญาณและพลังวิญญาณแต่ข้าไม่มีวิญญาณ’


‘และข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ข้าจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ปราศจากวิญญาณ ข้าก็ไม่สามารถต่อสู้กับมนุษย์อสูรทั้งสอง’


‘อย่างไรก็ตามเมื่อเราไปถึงหน้าผา มนุษย์อสูรหัวหมูป่าทั้งสองจะโยนข้าลงไป ด้วยการตกจากที่สูงและไม่ได้รับการป้องกันโดยวิญญาณ ข้าจะตายอย่างแน่นอน’


‘ดังนั้น…ความหวังเดียวของข้าคือบนเส้นทางภูเขา?’


หลังจากวิเคราะห์ ฟางหยวนกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันทันที


เขารู้สึกราวกับนักเดินทางในทะเลทรายที่หิวกระหายและได้ดื่มน้ำไปสองสามหยด


‘ประสิทธิภาพของมันต่ำมาก!’


ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันอีกครั้ง


คราวนี้บาดแผลบนร่างกายของเขาเริ่มตกสะเก็ดทันที ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว


แต่หน้าอกและแผ่นหลังของขายังมีบาดแผลลึกอยู่อีกหลายจุด พวกมันยังไม่ฟื้นตัว


คลี่คลายความฝัน


คลี่คลายความฝัน


คลี่คลายความฝัน


ฟางหยวนต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะนี้อย่างต่อเนื่อง อาการบาดเจ็บรุนแรงของเขาหายดีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีเลือดไหลอีก ความแข็งแกร่งของเขาฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย ร่างกายของเขาเริ่มอบอุ่นขึ้น


แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ฟางหยวนมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น


เขายังเป็นมนุษย์ธรรมดา โดยปราศจากวิญญาณ เขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับมนุษย์อสูรทั้งสอง


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’


‘ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันยังไม่เพียงพอ?’


‘ข้าใช้มันไปแล้วห้าครั้ง แต่นี่คือสิ่งที่ข้าได้รับงั้นหรือ?’


ฟางหยวนมองไปที่หน้าผาและตัดสินใจ ‘ลืมมันไปซะ ข้าต้องลงมือเดี๋ยวนี้!’


เขาเริ่มดิ้นรนและหลุดออกจากพันธนาการในที่สุด


มนุษย์อสูรหัวหมูป่าประหลาดใจมาก


ฟางหยวนล้มลงบนพื้นและเกือบหมดสติจากความเจ็บปวด


มนุษย์อสูรหัวหมูป่าทั้งสองตอบสนองด้วยการพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน


ฟางหยวนใช้ทักษะการต่อสู้ของเขาหลบหลีกและวิ่งลงจากภูเขา


มนุษย์อสูรทั้งสองไล่ตาม


ไม่นานทั้งสองก็พบฟางหยวน


“ปัง!”


เขี้ยวหมูป่าแทงแผ่นหลังของฟางหยวนและทะลุออกจากหน้าอก


ฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว เลือดไหลออกมาจากปากของเขา ไม่นานหลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็มืดลง


เขาเปิดเปลือกตาขึ้นในห้องโถง


ฟางหยวนกลับสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง


ใบหน้าของเขาซีดขาว จิตวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บ แต่สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนประหลาดใจก็คืออาณาจักรแห่งความฝันนี้แปลกประหลาดมาก


‘อาณาจักรแห่งความฝันนี้เป็นอาณาจักรแห่งความฝันที่ยากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น’


‘ความยากของมันสูงจนไม่น่าเชื่อ’


‘ข้าไม่แม้แต่จะผ่านฉากแรกของมันและยังตายไปหลายครั้ง’


‘ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันมีประสิทธิภาพต่ำมาก มันเกิดสิ่งใดขึ้น?’


ปัญหานี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกงุนงง


เขาคิดเกี่ยวกับมันและไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้เลย เขาต้องถอยออกมาและคิดว่าจะจัดการมนุษย์อสูรทั้งสองอย่างไร


‘สัตว์อสูรหัวหมูป่ามีร่างกายใหญ่โต หากข้าสามารถเข้าไปในป่า มันจะง่ายกว่านี้ แต่ภูเขาลูกนี้ไม่มีต้นไม้อยู่เลย มันไม่มีแม้แต่กองหิน’


‘แม้ข้าจะใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันห้าครั้งแต่ความพยายามของข้ายังไร้ประโยชน์’


‘แม้มันจะช่วยให้พละกำลังของข้าฟื้นฟูขึ้น แต่มันก็มีประโยชน์ไม่มาก มันจะดีกว่าหากข้ามีวิญญาณ’


‘นอกจากนี้ต่อให้ข้ามีวิญญาณแต่พลังการต่อสู้ของข้าก็มีจำกัด ข้าไม่สามารถหนีไปได้ไกลนัก’


หลังจากวิเคราะห์ ฟางหยวนตระหนักถึงบางสิ่ง ‘อาณาจักรแห่งความฝันนี้บังคับให้ข้าต้องตกลงไปใต้หน้าผา?’’


เขาเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


มนุษย์อสูรทั้งสองโยนเขาลงไปใต้หน้าผา


แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือฟางหยวนสามารถจัดระเบียบร่างกายกลางอากาศ


หลายลมหายใจต่อมา เขาเห็นจงอยหินที่แปลกประหลาดยื่นออกมาจากกำแพง นอกจากนี้ยังมีต้นไม้บางต้นที่เกี่ยวพันอยู่บนกำแพงอย่างแน่นหนา


“ตุบ!”


ฟางหยวนตกลงบนก้อนหินและเสียชีวิต


‘ความเร็วของการตกรวมกับอาการบาดเจ็บของข้าทำให้ข้าตายทันทีที่ปะทะก้อนหิน ดูเหมือนข้าต้องลงจอดบนต้นไม้’


เขาเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


จากประสบการณ์ก่อนหน้า ฟางหยวนตกลงบนต้นไม้


กิ่งไม้หักแต่มันก็ช่วยให้ความเร็วในการร่วงหล่นของเขาช้าลงมาก


เขาใช้ฝ่าเท้าและแขนจับกำแพงหน้าผาเพื่อปรับทิศทาง


แต่เขากลับถูกกิ่งไม้ที่แหลมคมแทงทะลุร่างกายและเสียชีวิต


เขาถูกขับไล่ออกจากอาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


หลังจากตายไปสิบแปดครั้ง ในที่สุดฟางหยวนก็ลงไปถึงก้นเหวได้สำเร็จ


แต่อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป แขนขาทั้งสี่ของเขาไม่สามารถใช้งาน มีเพียงแขนขวาเท่านั้นที่ยังมีความรู้สึกอยู่บ้าง เลือดอุ่นๆไหลออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่กระดูกส่วนใหญ่ในร่างกายของเขาแตกหัก ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีเขา


แต่นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ฟางหยวนสามารถบรรลุถึงจุดนี้หลังจากความพยายามนับครั้งไม่ถ้วน


คลี่คลายความฝัน


คลี่คลายความฝัน


คลี่คลายความฝัน


ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันหลังจากไปถึงก้นเหว


มันช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขา เขาสามารถใช้แขนข้างขวา ขาข้างซ้ายของเขาเริ่มมีความรู้สึก แต่ขาข้างขวาหักไปแล้ว ข้อเท้าของเขาบิดเบี้ยวและดูไม่น่ามอง


ฟางหยวนตรวจสอบสภาพแวดล้อม


มีกองซากศพถูกทิ้งไว้เหมือนภูเขา


‘ข้าต้องทำสิ่งใดต่อไป?’ ขณะที่ฟางหยวนกำลังมึนงง เขารู้สึกถึงกลิ่นอายของผู้อมตะมาจากด้านบน


ผู้อมตะระดับเจ็ดเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์สองคนลอยอยู่บนท้องฟ้า


พวกเขาต่างเป็นมนุษย์อสูร ตัวหนึ่งมีศีรษะเป็นหมูป่าและมีร่างกายเป็นมนุษย์ อีกตัวมีร่างกายเป็นอสรพิษแต่มีศีรษะเป็นมนุษย์


“ระวัง เจ้าตัวโตอยู่ด้านล่าง” ผู้อมตะร่างอสรพิษศีรษะมนุษย์กล่าวเสียงเย็น


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าตัวโต เจ้ากำลังหลับอยู่งั้นหรือ? ตื่นเดี๋ยวนี้!” ผู้อมตะร่างมนุษย์ศีรษะหมูป่าหัวเราะเสียงดัง


ทั้งสองจงใจขยายเสียงของพวกเขา


ด้วยเสียงนี้ กลิ่นอายที่ทรงพลังปะทุขึ้นมาจากกองซากศพทันที


ร่างที่ใหญ่โตปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฟางหยวน


มันเป็นยักษ์ที่มีความสูงเท่ากับตึกเจ็ดถึงแปดชั้น


ร่างกายของมันเป็นสีดำและมีเส้นผมสีดำราวกับเสื้อคลุม


มันตื่นขึ้นแล้ว!


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์อสูรทั้งสองตกตะลึง พวกเขาไม่กล้ายโสอีกต่อไปและกระทั่งแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว


ฟางหยวนก็เช่นกัน


เพราะกลิ่นอายของสัตว์ประหลาดตัวนี้แสดงให้เห็นว่า ‘มันเป็นกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปด! แต่มันดูเหมือนมนุษย์และสัตว์อสูรแรกกำเนิดในเวลาเดียวกัน’


“เจ้าตัวโต ไปกิน!”


“ถูกต้อง เลือดและเนื้อเหล่านี้ถูกนำมาโดยตระกูลของพวกเรา”


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์อสูรทั้งสองกระตุ้น


“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว ข้ามีชื่อ ข้าคือจ้าวเย่ฮุ้ย!” ยักษ์ดำกล่าวแต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มกินอาหาร


มันกางแขนออกและคว้าซากศพยัดเข้าไปในปาก


‘ไม่ดีแล้ว!’ ฟางหยวนคิดขณะที่เขากำลังจะถูกกิน


…..


ภาคใต้ ถ้ำปีศาจดำ


ภาคใต้มีภูเขาและถ้ำอยู่มากมาย


ถ้ำปีศาจดำมีขนาดเล็กและไม่สะดุดตา


มันผลิตทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความมืด แต่สำหรับกองกำลังใหญ่ มันไม่มีประโยชน์ และสำหรับกองกำลังขนาดกลาง การสำรวจมันเป็นเรื่องยากเกินไป


ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดมาที่นี่


แต่ในเวลานี้ราชันภูเขาม่วงและคนอื่นๆกลับมายังถ้ำปีศาจดำแห่งนี้


“เรามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?” ไป่หนิงปิงมองไปรอบๆและตรวจสอบโดยใช้วิธีการจากมรดกที่แท้จริงของไป่เซียง อย่างไรก็ตามนางยังไม่พบสิ่งใด


ราชันภูเขาม่วงไม่ตอบแต่กล่าว “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ทำตามข้อตกลงของเรา ก่อนหน้านี้ข้ามอบมรดกที่แท้จริงให้เจ้า เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า”


“หนี้บุญคุณ? หนี้บุญคุณใด?” เสียงดังออกมาจากถ้ำ


หลังจากนั้นกลิ่นอายที่ทรงพลังก็ปะทุออกมา นี่ทำให้การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆเปลี่ยนไป


มีเพียงราชันภูเขาม่วงที่ยังสงบนิ่ง “เจ้าอยากเป็นมนุษย์มาตลอดมิใช่หรือ จ้าวเย่ฮุ้ย!”


“มนุษย์? โอ้ ข้าจำได้แล้ว เจ้าคือชายผู้นั้น”


“ถูกต้อง ข้าช่วยเจ้าไปแล้ว เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า”


“ถูกต้อง ข้า จ้าวเย่ฮุ้ย อยากเป็นมนุษย์ ข้าต้องตอบแทนเจ้า บอกมา เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”


“สิ่งที่เจ้าเชี่ยวชาญที่สุด กินมนุษย์!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเบื่อที่จะกินมนุษย์ธรรมดาแล้ว”


“ไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเขาเป็นผู้อมตะ อาจมีกระทั่งผู้อมตะระดับแปด” ราชันภูเขาม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1337 ปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งความมืด


แปลโดย iPAT  


ภาคใต้ อาณาจักรแห่งความฝัน


‘จ้าวเย่ฮุ้ย!?’ เมื่อได้ยินชื่อของสัตว์ประหลาดตัวนี้ หัวใจของฟางหยวนสั่นไหวอย่างรุนแรง


นี่คือสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่มีต้นกำเนิดที่ลึกลับ มันคงอยู่มาตั้งแต่หนึ่งล้านปีก่อน


ทุกครั้งที่มันปรากฏตัวจะเกิดการต่อสู้อย่างไม่รู้จบสิ้น หากเปรียบเทียบในแง่ของความอาวุโส พังพอนหางสุนัขของภาคเหนือยังถือเป็นเด็กน้อยที่มีอายุเพียงสามแสนปี


จ้าวเย่ฮุ้ย โหย่วเทียนกวง ทั้งสองชื่อนี้เป็นฝันร้ายของมวลมนุษยชาติมาตลอด


พวกมันเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดแต่พวกมันมีร่างกายของมนุษย์


กระทั่งวังสวรรค์ของภาคกลางก็ไม่สามารถทำลายล้างพวกมัน


พวกมันมีสติปัญญาและทำงานร่วมกัน เมื่อใดก็ตามที่เทพอมตะหรือเทพปีศาจถือกำเนิดขึ้น พวกมันจะซ่อนตัวอยู่อย่างสงบ


โชคดีที่เทพอมตะสวรรค์พิภพมุ่งมั่นที่จะกำจัดความชั่วร้ายเหล่านี้ เขาใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ในที่สุดเขาก็พบที่ซ่อนตัวของสัตว์อสูรในตำนานทั้งสอง


หลังการต่อสู้ที่ดุเดือด โหย่วเทียนกวงเสียชีวิตขณะที่จ้าวเย่ฮุ้ยได้รับบาดเจ็บสาหัสและสามารถหลบหนี


‘จ้าวเย่ฮุ้ย…ข้าได้พบกับสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่เป็นตำนานในอาณาจักรแห่งความฝันจริงๆ’ ฟางหยวนตะลึง


จ้าวเย่ฮุ้ยกำลังกินซากศพทั้งหมดที่อยู่รอบๆอย่างตะกละตะกลาม กองซากศพถูกดูดเข้าไปในปากของมันด้วยความเร็วสูง


ท่าไม้ตายอมตะ!


เห็นได้ชัดว่ามันคือท่าไม้ตายอมตะ


การเคี้ยวทั่วไปไม่อนุญาตให้มันกินด้วยความเร็วสูงถึงระดับนี้


ฟางหยวนกำลังพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วนัก ความเร็วในการหลบหนีของเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับแรงดูดของมัน นั่นทำให้ฟางหยวนถูกลากดึงเข้าไป


สุดท้ายร่างของฟางหยวนก็ถูกดูดเข้าไปในปากของจ้าวเย่ฮุ้ย


มันกัดกินฟางหยวนด้วยคมเขี้ยมอันแหลมคม


‘ข้าตายอีกแล้ว!’ ฟางหยวนกลับสู่โลกของความจริงด้วยอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ


‘ข้าจะผ่านอาณาจักรแห่งความฝันนี้ได้อย่างไร?’ ปัญหานี้เหมือนหินขนาดใหญ่ที่กีดขวางเส้นทางของเขาเอาไว้


เขาครุ่นคิด


ขณะที่เขาถูกนำขึ้นไปบนภูเขาโดยมนุษย์อสูรหัวหมูป่า ฟางหยวนพยายามหลายวิธีแต่ยังไม่สามารถหลบหนี


ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอาณาจักรแห่งความฝันกำลังบังคับให้เขาไปหุบเหว แต่หุบเหวนี้อันตรายกว่ามนุษย์อสูรหัวหมูป่าเพราะมีสัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนานอยู่ที่นั่น


สัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปดแต่พวกมันมีสติปัญญาต่ำกว่า


อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นสำหรับทุกสิ่ง ท่ามกลางสัตว์อสูรแรกกำเนิด มีหลายตัวที่ได้รับสติปัญญาและสามารถเรียนรู้การใช้ท่าไม้ตายอมตะ


สัตว์อสูรแรกกำเนิดลักษณะนี้ถือเป็นสัตว์อสูรในตำนานและมักมีชื่อเป็นของตนเอง


เช่นเดียวกับพังพอนหางสุนัขเหมาหลี่ชิวของภาคเหนือ มังกรปีศาจไต่เจิ้งเฉิงของภาคกลาง ตลอดไปถึงจ้าวเย่ฮุ้ย และโหย่วเทียนกวง


ตัวตนเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้อมตะระดับแปดส่วนใหญ่


นี่สามารถเห็นได้จากวิธีที่พังพอนหางสุนัขเหมาหลี่ชิวสามารถสังหารสองผู้อมตะระดับแปดของวังสวรรค์


มนุษย์มีร่างกายที่อ่อนแอและไม่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่น หากพวกเขาไม่ได้ใช้วิญญาณ ความสามารถทางกายภาพของพวกเขาจะอ่อนด้อยกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอย่างมาก


สัตว์อสูรแรกกำเนิดมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมากอยู่บนร่างกาย พวกมันมีอายุขัยมากกว่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัว ความแข็งแกร่ง และอื่นๆ พวกมันล้วนเหนือกว่ามนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อพวกมันมีสิติปัญญาเหมือนมนุษย์และสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ ความแข็งแกร่งของพวกมันจึงเหนือกว่าผู้อมตะระดับแปดโดยธรรมชาติ


‘อาณาจักรแห่งความฝันนี้ต้องการให้ข้าหลบหนีจากการถูกจ้าวเย่ฮุ้ยกินงั้นหรือ?’


ฟางหยวนเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันตลอดทางและหลบอยู่ใต้กองซากศพ


จ้าวเย่ฮุ้ยเริ่มดูดกลืนซากศพขณะที่ฟางหยวนพยายามหลบหนี


แต่ในไม่ช้าเขาก็ยังถูกดูดเข้าไปในปากของจ้าวเย่ฮุ้ยอีกครั้ง


‘บัดซบ!’ สิ่งสุดท้ายที่ฟางหยวนมองเห็นคือคมเขี้ยวของจ้าวเย่ฮุ้ยที่แทงเข้าไปในร่างกายของเขา


เขาเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


‘ข้าต้องขุดลงไปให้ลึกมากขึ้น’ ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันเพื่อค้นหาตำแหน่งที่ดีที่สุด


จ้าวเย่ฮุ้ยดูดกลืนซากศพอยู่เป็นเวลานานก่อนจะหยุดลง


ฟางหยวนยังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกองซากศพ


‘ในที่สุดข้าก็ผ่านมาได้’ ในขณะที่ฟางหยวนกำลังยินดี หนึ่งในสองผู้อมตะเผ่ามนุษย์อสูรที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เปิดปากกล่าว “จ้าวเย่ฮุ้ย เจ้าช่างกินจุนัก”


ยักษ์ดำกล่าว “น้อยเกินไป ข้าต้องการกินมนุษย์มากกว่านี้ ยิ่งข้ากินมนุษย์มากเท่าใด ข้าก็ยิ่งเข้าใกล้การเป็นมนุษย์มากเท่านั้น!”


“อย่ากังวล ยังมีอีก” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์อสูรหัวเราะและนำซากศพของผู้ใช้วิญญาณออกมาจากมิติช่องว่างของเขา


‘บัดซบ!’ ฟางหยวนลอบสาปแช่ง


ในเวลาต่อมา เขาถูกกองซากศพทับตาย


เขาเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


ฟางหยวนขุดลงไปในกองซากศพแต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด


หลังจากการดูดกลืนจบลง เขาก็อยู่ชั้นบนสุดของกองซากศพ


ศพจำนวนมากร่วงหล่นลงมาขณะที่ฟางหยวนพยายามปีนขึ้นไปด้านบน


‘ข้าควรทำอย่างไรต่อไป?’ ฟางหยวนมองกองซากศพที่อยู่ข้างหน้าและคิดอย่างรวดเร็ว


ปัจจุบันเขายังถูกฝังอยู่ในกองซากศพ เขาอยู่ห่างจากชั้นบนสุดประมาณหกเมตร


เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาเริ่มรู้สึกชาที่หน้าอก


เขาใช้มือสัมผัสและรู้สึกว่ามันเหมือนอสรพิษหรือตะขาบ


‘ข้าตายอีกแล้วงั้นหรือ?’ คำถามนี้ปรากฏขึ้นในใจของเขาเมื่อเขาถูกขับไล่ออกจากอาณาจักรแห่งความฝัน


‘ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นวิญญาณ?’ ฟางหยวนคิด


‘มีซากศพของผู้ใช้วิญญาณจำนวนมาก ดูเหมือนพวกเขาจะผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ขณะที่วิญญาณระดับมนุษย์บางดวงยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นเรื่องปกติ แม้ผู้อมตะจะพบพวกมัน แต่วิญญาณระดับมนุษย์ไร้นัยสำคัญสำหรับพวกเขา’


‘แน่นอนว่าในสภาพแวดล้อมเช่นทะเลซากศพ วิญญาณป่าอาจถือกำเนิดขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก’


ฟางหยวนตระหนักอย่างชัดเจนว่าวิญญาณดวงนี้เป็นโอกาสของเขา


หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ เขาก็เข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


การปรับแต่งวิญญาณล้มเหลวเพราะการแทรกแซงของจ้าวเย่ฮุ้ย เขาเสียชีวิต


ในความพยายามครั้งต่อมาเขาสามารถปรับแต่งวิญญาณดวงนี้และตระหนักว่ามันเป็นวิญญาณระดับสองที่ใช้โจมตี ฟางหยวนสาปแช่งอีกครั้ง เขาตาย


อีกครั้ง เขาเสียชีวิต


และเสียชีวิต


และเสียชีวิต


‘อาณาจักรแห่งความฝันบัดซบอันใด!?’


สิ้นหวัง


ในอาณาจักรแห่งความฝัน ฟางหยวนอ่อนแอเกินไป


อุบัติเหตุเล็กๆก็สามารถมอบความตายให้เขาได้ทันที


‘ข้าควรทิ้งอาณาจักรแห่งความฝันนี้หรือไม่?’ ความคิดนี้ปรากฏขึ้นหลังจากล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง


ฟางหยวนลงทุนกับอาณาจักรแห่งความฝันนี้ไปมากแต่เขายังไม่เห็นโอกาสประสบความสำเร็จ


อาณาจักรแห่งความฝันนี้ยากเกินไป!


‘มาลองอีกครั้ง!’


‘ข้าสามารถอดทนได้อีกครั้ง’


‘ข้าตายอีกแล้ว…ข้าควรยอมแพ้หรือไม่?’


ฟางหยวนลงทุนไปมากแล้ว เขาไม่ต้องการยอมแพ้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยพบอาณาจักรแห่งความฝันเช่นนี้มาก่อน หากเขาประสบความสำเร็จ เขาอาจได้รับผลประโยชน์มหาศาล


ฟางหยวนกัดฟันอดทน


เหลือซากศพอยู่ประมาณหกสิบศพ ฟางหยวนดิ้นรนรักษาชีวิตมาจนถึงเวลานี้


ค่ายกลวิญญาณปรากฏขึ้น


ฟางหยวนค้นพบว่าจ้าวเย่ฮุ้ยติดอยู่ในค่ายกลวิญญาณนี้ ร่างกายส่วนล่างของมันถูกฝังอยู่ใต้ดิน มีเพียงส่วนบนเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหว


‘ค่ายกลสี่ธาตุ ข้าจะทำลายเจ้า!’ จ้าวเย่ฮุ้ยคำรามและระเบิดแสงสีเทาออกมาจากร่างกาย


“โอ้ ไม่ นี่คือท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทา! ถอย!” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์อสูรทั้งสองรีบบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


ค่ายกลสี่ธาตุสะกดข่มแสงสีเทาเอาไว้และทำให้จ้าวเย่ฮุ้ยคำรามด้วยความโกรธ


‘อันใด ข้าจะหลบมันได้อย่างไร?’ ผู้อมตะเผ่ามนุษย์อสูรสามารถบินหนีแต่ฟางหยวนไม่สามารถ


เขาถูกแสงสีเทากลืนกินเข้าไป


ฟางหยวนตกอยู่ในความสิ้นหวัง ‘นี่คืออาณาจักรแห่งความฝันที่ไม่สามารถคลี่คลาย! แสงสีเทาไม่สามารถหลบเลี่ยง! หากข้ารู้เช่นนี้ ข้าคงยอมแพ้ไปนานแล้ว นั่นเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดกว่า!’


ฟางหยวนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งขณะถูกส่งออกมา


อาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณของเขารุนแรงกว่าทุกครั้ง


แต่…


สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนมีความสุขและประหลาดใจก็คือความสำเร็จบนเส้นทางแห่งความมืดของเขาพุ่งขึ้นสู่ระดับปรมาจารย์ในครั้งเดียว


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’ ฟางหยวนเร่งตรวจสอบ


เขาตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าอาณาจักรแห่งความฝันนี้หายไปแล้ว


‘ข้าประสบความสำเร็จ! มันคืออาณาจักรแห่งความฝันที่ต้องเอาตัวรอดจนถึงที่สุด’


‘อาณาจักรแห่งความฝันนี้มีเพียงฉากเดียว แต่หลังจากผ่านมาได้ ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งความมืดระดับสามัญของข้าก็ก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ทันที!’


‘นี่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของจ้าวเย่ฮุ้ยงั้นหรือ?’


คำถามมากมายถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้รับคำตอบ


หลังจากทั้งหมดความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความฝันของฟางหยวนยังตื้นเขินเกินไป


ในเวลาเดียวกันไป่หนิงปิงและไห่ลั่วหลันก็เต็มไปด้วยคำถาม


“ที่นี่ที่ใด?” ไห่ลั่วหลันมองโลกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ


“นี่คือสวรรค์ของมนุษย์เห็ด” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ปรากฏตัวขึ้น


“ผู้อมตะเผ่ามนุษย์เห็ด?” รูม่านตาของไป่หนิงปิงหดเล็กลง


มนุษย์เห็ดเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ประเภทหนึ่ง พวกเขามีร่างกายของมนุษย์แต่มีหมวกเหมือนเห็ดอยู่บนศีรษะ


“สวรรค์…มนุษย์เห็ด?” ไห่ลั่วหลันพึมพำสองคำนี้ “อย่าบอกว่านี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพอมตะสวรรค์พิภพ…”


 —————

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)