กระบี่จงมา 133.1-136

 ตอนที่ 133.1

 

ร่วมเดินทาง

เด็กหนุ่มไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย จึงเริ่มพูดจ้อล่อลวงอีฝ่าย “ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์ผู้อาวุโสอย่างเจ้าคงไม่วางใจ คิดว่าข้าเป็นพวกจิตใจต่ำช้าเจตนาชั่วร้าย แต่เจ้าสามารถสังเกตการณ์ข้าก่อนสักช่วงเวลาหนึ่งแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาหรือไม่ ข้าชุยตงซานน่ะ ตอนนี้ตบะยังไม่สูง แต่มีประสบการณ์โชกโชน ความรู้ก็กว้างขวาง สำหรับขนบธรรมเนียมความนิยมของชาวต้าสุยก็ยิ่งเข้าใจกระจ่างแจ้งดุจฝ่ามือของตัวเอง เดินทางไปต้าสุยในครั้งนี้ มีข้ากับไม่มีข้าอยู่ด้วยคือความแตกต่างหนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือเหว”


เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงยังคงไม่สะทกสะเทือน ชุยฉานก็ไม่ย่อท้อ พูดต่อเป็นน้ำไหลไฟดับ “อีกอย่างการมากราบอาจารย์ขอความรู้ของข้าในครั้งนี้ไม่ได้มามือเปล่า แต่เอาของขวัญกราบอาจารย์ชิ้นใหญ่มาด้วย ยกตัวอย่างเช่น ‘ภาพภูตประหลาดประทานบุญ’ ที่นักพรตห้าขอบเขตกลางซึ่งเดินทางท่องไปทั่วหล้าต้องมีในครอบครองกันแทบทุกคน และเล่มที่อยู่ในมือข้าก็ยิ่งล้ำค่าหายาก เพราะสามารถฟูมฟักภูตห้าหกชนิดได้เองตามธรรมชาติ”


เด็กหนุ่มแบนิ้วแล้วไล่นับ “นอกจากนี้ยังมีสี่สมบัติในห้องหนังสืออีกชุดหนึ่ง พู่กันคือพู่กันด้ามม่วงที่ซ่อนปลากินหมึกตัวหนึ่งเอาไว้ ใช้เขียนตัวอักษรก็ดี ใช้วาดภาพก็เยี่ยม ใช้เสร็จก็ไม่จำเป็นต้องล้างทำความสะอาด ปลาน้อยตัวนั้นจะช่วยกินหมึกจนสะอาดเกลี้ยงเกลา เป็นไง มหัศจรรย์มากเลยใช่ไหมล่ะ? นับว่าเป็นของประดับชั้นเยี่ยมของปัญญาชนเลยใช่ไหมล่ะ?”


“หมึกคือหมึกลมป่าสนสามแท่ง ใช้ปลายนิ้วดีดเบาๆ ก็จะเกิดเสียงลมที่พัดผ่านป่าสนดังเสนาะหู เมื่อเขียนออกมาเป็นตัวอักษร ต่อให้หมึกจะจางลงมากแล้ว กลิ่นหอมของหมึกก็ยังคงอวลค้างอยู่นานหลายปี แท่นฝนหมึกคือแท่นฝนหมึกโบราณที่หลวงจีนเฒ่าไร้นามผู้หนึ่งของทวีปอื่นทิ้งเอาไว้ มีชื่อว่า ‘บ่อไว้ชีวิต’ มีความลี้ลับสูงมาก เจ้าไม่อยากได้หรือ?”


“กระดาษนั้นคือกระดาษหินทอง เวลาที่ฮ่องเต้ของแคว้นหนึ่งคิดจะแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำภูเขาและแม่น้ำก็ยังหวังว่าจะได้ใช้กระดาษประเภทนี้เพราะจะได้ดูเป็นทางการน่าเลื่อมใส”


เด็กหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ก็สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “สมบัติก้นกรุที่สำคัญที่สุดๆๆๆ ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ใกล้ตายเต็มที! รูปร่างของมันงดงามอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังคมกริบ ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่ต้องหล่อหลอมปราณกระบี่ บุกเบิกปณิธานแห่งกระบี่ให้กับมันในทีหลัง เอาออกมาก็แทบจะใช้ได้ทันที ตอนนั้นข้าโชคดีได้มาครอบครองก็เก็บรักษาเป็นอย่างดีมาหลายปี แล้วก็ไม่เคยเอามามันชุบหลอม ใช่ว่าจะไม่ให้ความสำคัญ แต่เป็นเพราะข้าไม่ใช่คนที่เดินบนเส้นทางของผู้ฝึกกระบี่ กลัวว่าจะเป็นการเหยียบย่ำสมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์…”


กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เสียงของชุยฉานที่เดิมทีตื่นเต้นกระตือรือร้นกลับแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะเขาค้นพบว่ายิ่งตัวเองร่ายถึงของขวัญกราบอาจารย์มากเท่าไหร่ แววปฏิเสธในดวงตาของเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวมากเท่านั้น


ใบหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้มีไฝสีชาดกลางหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง กุมสองมือไว้ตรงหน้าอก ถามหยั่งเชิงอย่างน่าสงสาร “ไม่ได้จริงๆ หรือ? ข้าต้องการกราบเจ้าเป็นอาจารย์ด้วยความจริงใจ หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานก็ได้ หากข้าคิดร้ายกับเจ้าเฉินผิงอันแม้แต่นิดเดียวก็ขอให้ถูกฟ้าผ่าตาย!”


เฉินผิงอันส่ายหน้า กล่าวอย่างเฉียบขาด “ไม่ได้!”


ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ในเมืองเล็กคือที่ร้านตีเหล็กของช่างหร่วน เข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กรับใช้ที่ร่วมเรียนหนังสือของใต้เท้านายอำเภอ ครั้งที่สองเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า “อาจารย์อาชุยฉาน” เป็นฝ่ายเข้ามาพูดคุยตีสนิทกับเขาที่ซุ้มประตูหิน เล่าเรื่องประหลาดมากมายให้เฉินผิงอันฟัง จากนั้นก็เดินตามเฉินผิงอันไปที่ตรอกหนีผิง แถมยังขโมยกลอนคู่หน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซินไปด้วย


แม้เฉินผิงอันจะไม่เคยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอย่างไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองจากร่างของเด็กหนุ่ม แต่เฉินผิงอันไม่มีทางเชื่อใจคนผู้นี้แน่นอน หวังแค่ว่าจะให้ความเคารพอยู่ไกลๆ ไหนเลยจะคิดว่าขณะที่ใกล้จะเดินทางไปถึงชายแดนต้าหลี เด็กหนุ่มกลับหน้าหนาตามมาตอแย เฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่ พังพอนอวยพรปีใหม่ไก่ จะยังหวังดีได้หรือ?


ชุยฉานปรายตามองไปยังมวยผมของเด็กหนุ่มอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต พบว่าปิ่นหยกชิ้นนั้นหายไปแล้ว


ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าจะช่วยตนปูพื้นฐานไว้ก่อนสักเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่เปิดเผยสถานะราชครูต้าหลีของตน ยิ่งไม่แฉเรื่องที่ตนวางแผนเล่นงานเฉินผิงอันและฉีจิ้งชุน ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดตาเฒ่าถึงยอมปล่อยตนไปอย่างใจกว้างเช่นนี้ ถึงขั้นที่ว่าทำไมถึงเดินออกมาจากสวนป่ากงเต๋อในช่วงเวลาที่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว ชุยฉานก็คร้านจะวิเคราะห์อนุมาน แข่งเรื่องแบบนี้กับอริยะที่แท้จริง เป็นการกระทำที่ไม่ประมาณตนเกินไป โดยเฉพาะในเวลานี้ที่จิตแยกออกจากกัน ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือพลังจิตของชุยฉานล้วนเทียบไม่ได้กับในอดีต เกรงว่าหากตนอนุมานไปได้ถึงจุดที่ลึกซึ้ง จนไปแตะต้องรากฐานแห่งกฎเกณฑ์ที่ตาเฒ่าตั้งไว้โดยไม่ทันระวัง ก็อาจทำให้ตนเปลี่ยนจากแต่เดิมที่ได้เป็นเจ้าของเรือนกายนี้กลายเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างสิ้นเชิง


ชุยฉานเอ่ยถาม “เฉินผิงอัน ตอนที่พวกเจ้าอยู่จุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ไม่ได้เจอกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนคนหนึ่งหรอกหรือ? เขาไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังถึงต้นสายปลายเหตุคร่าวๆ หรือไร?”


เฉินผิงอันขมวดคิ้ว


ชุยฉานมองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียด รู้สึกว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้าดูไม่เหมือนคนเสแสร้ง “ก็ได้ ข้าคงได้แต่ใช้ท่าไม้ตายแล้ว แต่บอกไว้ก่อนนะว่า เฉินผิงอัน ข้าตั้งใจกราบไหว้เจ้าเป็นอาจารย์ขนาดนี้ แต่เจ้ากลับปฏิเสธไม่ยอมรับ ถ้าอย่างนั้นพิธีกราบไหว้อาจารย์ของข้าหลังจากนี้ก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้าอีกหนึ่งครั้ง!”


เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนี ชุยฉานรีบควักหมากสีดำเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วโยนสูงไปยังข้างทางที่ไม่มีคนยืนอยู่ “นี่คือข่าวที่หยางเหล่าโถวนำมามอบให้เจ้า เมื่อบีบมันแตกแล้ว เจ้าก็จะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องในครั้งนี้ จากนั้นเจ้าก็ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า บอกกับเฉินผิงอันว่าข้ากราบเขาเป็นอาจารย์โดยไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง แค่อยากจะสร้างความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์กับเขาเท่านั้น”


เทพหยินไม่ได้เผยร่างที่แท้จริง หมากสีดำที่สามารถเก็บเสียงพูดไว้ได้ระเบิดแตกกลางอากาศ พริบตาเดียวก็กระจายกลายเป็นฝุ่นควัน


เพียงไม่นานหลินโส่วอีที่มีสีหน้าประหลาดก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วกระซิบเสียงเบา “ผู้อาวุโสเทพหยินบอกว่าหยางเหล่าโถวแห่งร้านยาตระกูลหยางต้องการให้เจ้าเชื่อว่าเจ้าคนที่ชื่อชุยตงซานผู้นี้ไม่มีทางคิดร้าย ระหว่างที่เดินทางไปยังสำนักศึกษาต้าสุยก็สามารถใช้เขาเป็นวัวเป็นม้าได้ตามสบาย ลูกศิษย์แบบนี้ไม่รับไว้ก็เสียเปล่า ไม่ใช้งานย่อมเสียเปรียบ ยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้คนผู้นี้จะร่วมมีเกียรติยศและความอัปยศไปพร้อมกับเจ้า ความเป็นความตายเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่กล้าคิดไม่ซื่อต่อเจ้า”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แล้วพวกเขาล่ะ?”


ชุยฉานคลี่ยิ้มกว้าง “พวกเขาน่ะหรือ เจ้าคนโง่ตัวใหญ่นั่นชื่ออวี๋ลู่ ลู่ที่แปลว่าร่ำรวยเงินทอง ผู้หญิงตัวดำนั่นชื่อเซี่ยเซี่ย แซ่เซี่ยชื่อเซี่ย ก็ไม่รู้ว่าใครตั้งชื่อนี้ให้นาง สิ้นคิดจริง””


จากนั้นชุยฉานก็ทำหน้าเศร้าที่ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ไม่คิดจะเชื่อ แล้วถอนหายใจ “ทั้งสองคนต่างก็เป็นนักโทษลี้ภัยของราชวงศ์สกุลหลู ชาติกำเนิดน่าสงสารอย่างมาก ก่อนหน้านี้เซี่ยเซี่ยเคยไปขอเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยามาได้ช่วงเวลาหนึ่ง อวี๋ลู่โชคร้ายกว่านิดหน่อย จากบ้านเกิดมาได้มานาน ต้าหลีของพวกเราก็ทำสงครามครั้งใหญ่ คนทั้งสองจึงได้แต่หาทางกลับบ้านเกิด ทว่าตอนนี้แคว้นของพวกเขาล่มสลายแล้ว สถานะนักเรียนของสำนักศึกษาจึงกลายมาเป็นยันต์คุ้มกันกายของพวกเขา หากข้าไม่พาพวกเขาออกมา วันหน้าต้องตายอยู่ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของอำเภอหลงเฉวียนพวกเจ้าแน่ หากไม่ถูกเทพเซียนบนภูเขาบางคนฆ่าตายเพราะเกลียดขี้หน้า ก็คงต้องนอนกลางดินกินกลางทรายทุกวันจนกระทั่งเรี่ยวแรงหดหาย อายุไม่ถึงสามสิบปีก็เหนื่อยตายไปเสียก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงซาบซึ้งน้ำใจ ดึงดันจะเรียกข้าว่าคุณชายให้ได้ ไม่ว่าข้าจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง เฮ้อ”


คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผิวดำจะยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ในเมื่อคำเรียกขานของพวกเราทำให้คุณชายหนักใจ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าไม่เรียกเจ้าว่าคุณชายแล้วก็ได้”


ยังดีที่อวี๋ลู่ไม่ได้ซ้ำเติม ยังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเรียกว่าคุณชายต่อไปดีกว่า ชินซะแล้ว”


ชุยฉานหันกลับไปหัวเราะให้ “แม่นางเซี่ยเซี่ย ข้าต้องขอบคุณเจ้านะเนี่ย”


หลินโส่วอีหยุดไปชั่วครู่ก็คล้ายจะได้รับอุบายแยบยลในถุงไหม (เปรียบเปรยว่าเป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขเหตุการณ์คับขันได้ทันกาล) ที่เทพหยินแอบถ่ายทอดมาให้ จึงกล่าวเบาๆ ว่า “หยางเหล่าโถวบอกว่าทางที่ดีที่สุดควรรับคนทั้งสองนี้ไว้ มีแต่จะส่งผลดีไม่มีผลร้ายต่อพวกเรา หากไม่ชอบคนแซ่ชุยจริงๆ วันหน้าก็สามารถเอามาใช้เป็นตัวตายตัวแทนได้ ไม่ว่าจะเจอกับหายนะภัยพิบัติอะไรก็ให้เขาออกหน้าไปรับแทน บนร่างของเขามีวัตถุที่เป็นดั่ง ‘หัวใจ’ ชิ้นหนึ่งซ่อนอยู่ รากฐานหนาลึก ทนรับการถูกทำลายได้ไหว”


ชุยฉานที่เงี่ยหูแอบฟังมาตลอดพลันหน้าเปลี่ยนสี กระทืบเท้าแผดเสียงด่า “หยางเหล่าโถว เจ้ามันไอ้เต่าเฒ่า มีใครขุดหลุมฝังคนอื่นแบบเจ้าบ้าง?!”


เฉินผิงอันหัวเราะถามเสียงเบา “หากรับสองคนนี้ไว้ วันหน้าก็ถือเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพวกเจ้าแล้วใช่ไหม?”


หลินโส่วอียิ้มเจื่อน “คงใช่กระมัง อันที่จริงข้ากับหลี่เป่าผิงต่างก็ไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของสำนัก ตอนนั้นที่ผู้เฒ่าหม่าพาพวกเราออกไปจากเมืองเล็กก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้”


หลี่ไหวแอบมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ชื่อว่าอวี๋ลู่ผู้นั้นตลอดเวลา รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่าย ต้องพูดง่ายกว่าหลี่เป่าผิงที่นิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด รวมไปถึงหลินโส่วอันที่เย็นชาแน่นอน อวี๋ลู่แบกสัมภาระหนักอึ้ง พอสังเกตเห็นสายตาของหลี่ไหว องค์รัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูผู้นี้ก็คลี่ยิ้มผงกศีรษะทักทาย


แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กกลับคอยเหลือบมองเด็กสาวร่างสูงโปร่งผู้นั้นอยู่เป็นระยะ มองประสานสายตากันครั้งแล้วครั้งเล่า สถานการณ์ในเวลานี้ตรงข้ามกับคราวก่อนที่ได้พบเจออาจารย์ตาบอดและศิษย์สองคนพอดี แค่เห็นแม่นางน้อยหน้ากลมที่มีฉายาว่าจิ่วเอ๋อร์ หลี่เป่าผิงก็ถูกชะตากับอีกฝ่ายทันที แต่สำหรับเด็กสาวที่มีชื่อประหลาดคนนี้ นางกลับรู้สึกชอบไม่ลงแม้แต่น้อย


แม้ว่าใบหน้าของเซี่ยเซี่ยจะประดับรอยยิ้ม แต่กลับมองอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออก ทว่าสำหรับหลี่เป่าผิงที่เตี้ยกว่าตนเกินครึ่งศีรษะ ในใจเด็กสาวก็ไม่รู้สึกชื่นชอบเช่นกัน


ระหว่างแม่นางน้อยกับเด็กสาวที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก อารมณ์ประหลาดเช่นนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลใดๆ


เฉินผิงอันมองไปทางชุยฉาน เอ่ยว่า “อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยสามารถมารวมกลุ่มกับพวกเราได้ แต่เจ้าไม่ได้”


ชุยฉานเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ถามเสียงแข็งกระด้าง “ทำไม?”


เฉินผิงอันตอบกลับ “เพราะข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คนดี”


ข้างทางเดินม้า ไม่มีใครที่รู้สึกว่าประโยคนี้น่าหัวเราะชวนขำขัน ต่อให้เป็นหลี่ไหวที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใดมากที่สุดก็ยังรู้สึกถึงความกดดันประหนึ่งอากาศก่อนพายุฝนกำลังจะมาเยือน


อวี๋ลู่หันไปมองด้านหลัง ห่างออกไปไกลมีฝุ่นตลบคละคลุ้ง เสียงกีบเท้าม้าย่ำพื้นดังเป็นระเบียบส่งผลให้พื้นดินเกิดแรงสะเทือนอื้ออึงเป็นระลอก พื้นดินเหมือนเรือนกายของชนชั้นล่างที่ถูกแส้โบยอย่างแรง ลมหายใจรวยริน ได้แต่ยอมรับอย่างเงียบเชียบ


อานุภาพหนาหนักน่าครั่นคร้ามจากกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพุ่งมาปะทะใบหน้า ต่อให้เป็นเพียงกลุ่มทหารขี่ม้าพกอาวุธเบาแค่สามสิบสี่สิบนายก็ยังคงแผ่กลิ่นอายแห่งการสังหารที่หยาบเถื่อนสยบขวัญ


นี่ทำให้เด็กหนุ่มสูงใหญ่หรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้


ส่วนชุยฉานที่อยู่ทางฝั่งนี้ก็ยื่นฝ่ามือสองข้างออกมาทำท่าเก็บโทสะลงไปในจุดตันเถียน พยายามพูดด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง “ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งต้องการให้ข้าเรียนรู้การเป็นคนจากเจ้า เจ้าไม่รับข้าเป็นศิษย์ ไม่เป็นไร ข้าก็จะใช้ตัวตนคุณชายของอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยติดตามพวกเจ้าไปขอศึกษาเล่าเรียนก็แล้วกัน พวกเจ้าก็ถือซะว่าไม่มีข้าอยู่ด้วย เป็นไง?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าไม่มาหาเรื่องข้า ไม่พูดอะไรประหลาดๆ ว่าอาจารย์ไม่อาจารย์ ก็ล้วนได้หมด”


ชุยฉานเตรียมจะอ้าปากพูด


กองทัพม้าของต้าหลีก็ควบทะยานผ่านไปพร้อมเสียงอึงอล


อวี๋ลู่ที่สังเกตทุกรายละเอียดของกองทัพม้ากองนี้ก้มหน้าลงต่ำอยู่นานแล้ว ยังไม่ลืมยกแขนขึ้นบดฝุ่นทรายที่ลอยคลุ้ง


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งขยับออกไปยืนนอกทางเดินม้านานแล้ว


ชุยฉานเด็กหนุ่มผู้มีไฝสีชาดแต้มกลางหว่างคิ้วหนึ่งเม็ดดันสวมอาภรณ์ชุดขาวสะอาดสะอ้านพอดี


กองทัพม้าของต้าหลีที่องอาจเกรียงไกรทะยานผ่าน ชุยฉานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทั้งเนื้อทั้งตัวของเด็กหนุ่มที่เหมือนมีเรื่องให้พูดไม่หยุดหย่อนเต็มไปด้วยคราบฝุ่น แถมยังอ้าปากกว้าง แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเขาแม้แต่คำเดียว


หลี่ไหวรู้สึกเพียงว่าภาพนี้น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็ค่อนข้างจะอนาถอยู่สักหน่อย”


เพิ่งรู้สึกตัว เด็กหนุ่มชุดขาวที่ฝุ่นเขรอะเต็มหน้าก็ยกมือขึ้นเช็ดถูทั่วหน้า สายตาเลื่อนลอย พูดพึมพำ “ชีวิตจบสิ้นแล้ว”


—–

 

 

 


ตอนที่ 133.2

 

ร่วมเดินทาง

ตามกฎที่หร่วนฉงตั้งไว้ เมื่อผู้ฝึกตนอิสระจะข้ามผ่านเขตแดนเข้ามา หากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการของต้าหลีเป็นพิเศษ ขอแค่ผ่านท้องฟ้าอันเป็นที่ตั้งเดิมของถ้ำสวรรค์หลีจูก็ล้วนห้ามทะยานกลางอากาศหรือควบคุมกระบี่บินให้บินผ่านทั้งสิ้น หลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณที่มีชื่อเสียงเลื่องลือกลุ่มนั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตคนแล้วคนเล่า ตอนนี้กองกำลังบนภูเขาทั้งหลายของต้าหลีต่างก็ต้องยอมรับกฎระเบียบที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลนี้ไปโดยปริยาย


หลิวป้าเฉียวนักพรตแห่งสวนลมฟ้าลดระดับกระบี่บินลงนอกเขต จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็โดยสารรถม้าหรูหราที่ให้เฉพาะนักพรตใช้เร่งรีบเดินทางเข้าไปในอำเภอ ไปเยือนโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินแห่งเมืองหลงเหว่ยก่อตั้ง ค้นพบว่าสหายสนิทอย่างเฉินซงเฟิงกำลังสอนหนังสือให้กับเด็กประถมหลายสิบคนด้วยตัวเอง หลังมองเห็นหลิวป้าเฉียวยืนอยู่นอกหน้าต่าง เฉินซงเฟิงก็เตรียมจะหาคนมาสอนหนังสือให้กับพวกเด็กๆ แทนตัวเอง หลิวป้าเฉียวรีบโบกไม้โบกมือ บอกเป็นนัยว่าตนรอได้


ครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อเหล่าเด็กนักเรียนทำความเคารพ อาจารย์เฉินซงเฟิงก็รีบเดินออกมาจากห้องเรียน เดินเคียงไหล่ไปพร้อมกับหลิวป้าเฉียว พอเห็นกระบี่ที่อีกฝ่ายพกมาก็ถามด้วยความประหลาดใจ “นี่ก็คือกระบี่อาญาสิทธิ์อันเลื่องชื่อของลัทธิเต๋า ‘ยันต์ศักดิ์สิทธิ์’ ที่กักขังไว้ในบ่อของเมืองหลวงต้าหลี?”


หลิวป้าเฉียวค้อนตากลับ ยกมือสองข้างขึ้นกุมท้ายทอย “เจ้าสารเลวซ่งจ่างจิ้ง บอกเองว่าจะยกกระบี่อาญาสิทธิ์ให้กับข้า รอให้ข้าไปดึงมันออกมา ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทางที่ข้าเดินทางขึ้นเหนือล้วนมีแต่คนพูดว่ามีคนดึงเอากระบี่อาญาสิทธิ์ไปได้แล้ว ข้ายังไม่เชื่อ นึกว่าเป็นวิธีตบตาตามตำรายุทธพิชัยที่ซ่งจ่างจิ้งเลือกมาใช้ จงใจช่วยปูทางให้กับข้า ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้าไปถึงเมืองหลวงกลับดีนัก ดันมีผู้หญิงร้ายกาจคนหนึ่งนามว่าหยางฮวาชิงตัดหน้าข้าไปก่อนแล้ว!”


ยิ่งพูดหลิวป้าเฉียวก็ยิ่งโมโห “ข้าไปหาซ่งจ่างจิ้งเพื่อขอคำอธิบาย เจ้ารู้ไหมว่าเป็นยังไง ซ่งจ่างจิ้งแค่ให้คนเอาความมาบอกข้าว่า หากมีความสามารถก็ให้ข้าไปหาหยางฮวาแล้วแย่งกระบี่อาญาสิทธิ์กลับคืนมาเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยเจอปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางคนไหนหน้าไม่อายอย่างนี้มาก่อน! ภายหลังได้ยินข่าวลือเล็กๆ บอกว่าตอนนี้สตรีผู้นั้นเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูพวกเจ้า รอเสวยสุขจากควันธูปและการกราบไหว้ของผู้คนแล้ว นี่ก็คือชะตาชีวิตแท้ๆ”


เฉินซงเฟิงอึ้งตะลึง “เจ้ามาอำเภอหลงเฉวียนครั้งนี้ก็เพราะคิดจะชิงยันต์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาจากมือเทพวารีผู้นั้นหรือ?”


หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ข้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนอย่างนั้นหรือ?!”


เฉินซงเฟิงยิ่งสงสัย “ไม่ได้มาพบเทพวารีที่เป็นสตรีผู้นั้น แล้วเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลงเฉวียน?”


หลิวป้าเฉียวถอนหายใจ “ก็แค่ระหว่างที่เดินทางกลับสวนลมฟ้าใช้เส้นทางที่อ้อมเล็กน้อยเลยมาถึงที่นี่ ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอำเภอหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่สกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของพวกเจ้ามาเปิดโรงเรียนอยู่ที่นี่จึงคิดจะมาพบหน้าเจ้าสักครั้ง ไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องหยางฮวาหรือชิงยันต์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นกลับคืนไปจริงๆ”


เฉินซงเฟิงคลี่ยิ้มบางๆ “ตอนนี้ข้ามาสอนหนังสือคอยไขข้อข้องใจให้กับพวกเด็กประถมอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็ยังปรับตัวไม่ได้สักเท่าไหร่ ร่ำๆ จะตบโต๊ะสะบัดแขนเดินจากไปอยู่ร่อมร่อ แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว พร่ำบอกตัวเองเป็นประจำว่า ถือเป็นการขัดเกลาจิตใจของตัวเอง”


หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ “สงบใจสั่งสอนความรู้ เป็นสิ่งที่ดีมาก ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแถวแถบเมืองหงจู๋ตลอดไปจนเมืองหลวงต้าหลี เจ้าได้ข่าวบ้างไหม?”


เฉินซงเฟิงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องได้ข่าวมาสารพัด แต่ฝ่ายในของตระกูลกลับพูดกันไปคนละทิศคนละทาง ข่าววงในที่ได้มาจากช่องทางแตกต่างกันล้วนขัดแย้งกันเอง สุดท้ายก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”


หลิวป้าเฉียวหัวเราะหึหึ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี เจ้าอยากรู้ความจริงไหม?”


เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยาก ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนสักหน่อย ไม่สนใจเรื่องชีวิตอมตะของพวกเจ้าสักเท่าไหร่หรอก”


ก่อนหน้านี้เฉินซงเฟิงก็เคยแบกหีบหนังสือเดินทางไกล ติดตามนักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาสูงไปแต่งกาพย์กลอนไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอ แต่ครานั้นที่ติดตามหญิงสาวสกุลเฉินแห่งอิ่งอินขึ้นเขา สุดท้ายพลังเท้าและพลังกายของเขากลับสู้เด็กหนุ่มยากจนคนหนึ่งไม่ได้ เป็นเหตุให้ถูกเฉินตุ้นสลัดทิ้ง


อุตส่าห์แสร้งทำเป็นอุบเรื่องสำคัญเอาไว้ แต่ไม่มีคนเออออรับช่วงต่อ หลิวป้าเฉียวย่อมไม่สบอารมณ์ จึงพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายเสียเลย “อายุยังน้อย แต่ทำตัวเป็นตาแก่ สมควรแล้วที่ถูกผู้หญิงอย่างเฉินตุ้ยนั่นดูแคลน”


เฉินซงเฟิงหัวเราะร่า “นี่ๆๆ ตีคนอย่าตบหน้า สะกิดแผลเป็นคนอื่นจะเรียกว่าเป็นลูกผู้ชายได้หรือ?”


หลิวป้าเฉียวกดเสียงลงต่ำทำสีหน้าลึกลับ “เจ้าอยากรู้เรื่องใหญ่เทียมฟ้าน่าตะลึงที่เกี่ยวกับภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”


เฉินซงเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล “ว่ามา!”


หลิวป้าเฉียวพูดหยอก “จุ๊ๆ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่อยากรู้เรื่องนี้กับเขาด้วยหรือ?”


เฉินซงเฟิงสีหน้าเหนื่อยล้า ใคร่ครวญถ้อยคำอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดที่ส่งมาจากภูเขาห้อยหัวล้วนเกี่ยวข้องกับใต้หล้าแห่งนั้นทั้งสิ้น และความเคลื่อนไหวใดๆ ของสถานที่แห่งนั้นล้วนสามารถตัดสินสถานการณ์ของตลอดทั้งใต้หล้าได้  ต่อให้แจกันสมบัติทวีปของพวกเราถูกกระทบเพียงริ้วคลื่นที่เล็กที่สุด แต่หากพวกเรารู้ไว้ก่อนก็ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้เตรียมหาทางรับมือที่ถูกต้องไว้ได้แต่เนิ่นๆ ต่อให้สุดท้ายแล้วจะได้รับผลประโยชน์เพียงน้อยนิดก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง”


สำหรับเรื่องนี้หลิวป้าเฉียวไม่มีความสามารถพอให้วิจารณ์ ต่างคนต่างมีสถานะและจุดยืนที่แตกต่าง บางครั้งต่อให้คำปลอบใจของคนอื่นจะน่าฟังแค่ไหน แต่หากเรื่องไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ไม่มีทางเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และหลิวป้าเฉียวเองก็ไม่ต้องการเป็นสหายที่ดีแต่พูดเท่านั้น ในใจของผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าผู้นี้ มิตรที่แท้จริงก็คือตอนที่เจ้าเจริญก้าวหน้ามองไม่เห็นเงาของข้าหลิวป้าเฉียว แต่ยามใดที่เจ้ามีปัญหาร้อนใจ ต้องการคนช่วยสนับสนุน ถึงขั้นที่ว่าเจ้าไม่ต้องพูดอะไร ข้าหลิวป้าเฉียวก็มายืนอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว


หลังจบเรื่อง ปัญหาคลี่คลายแล้ว ไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ และหากข้าหลิวป้าเฉียวตายอยู่ท่ามกลางปัญหาครั้งนี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องละอายใจ


หลิวป้าเฉียวยื่นนิ้วชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสุดของใต้หล้าเรา ซึ่งถือเป็นถิ่นสุดท้ายของผู้ฝึกกระบี่ ภายใต้คำสั่งเรียกรวมตัวของเซียนกระบี่ใหญ่สองท่านในพื้นที่ ผู้ฝึกกระบี่เกินครึ่งทวีปล้วนเร่งรุดเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่เซียนกระบี่เหล่านี้ทะยานผ่านท้องฟ้าเหนือถ้ำสวรรค์หลีจู เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านกลับถอนการอำพรางลมปราณไปชั่วคราว ถึงได้ทำให้บุรพแจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีโอกาสได้เห็นสุดยอดภาพเหตุการณ์แห่งโลกที่เซียนกระบี่รวมตัวกันดุจฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน”


เฉินซงเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ดุจฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน? นี่ไม่ใช่คำพูดที่ดีสักเท่าไหร่นะ”


หลิวป้าเฉียวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่น่าฟังแล้วจะทำไม เจ้าลองคิดดูสิว่ามีคำพูดที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้อีกหรือ?  ฝูงตั๊กแตนทะยานผ่านดินแดน หญ้าสักต้นไม่เหลือ พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามจะตายไป”


เฉินซงเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือกปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความจริงใจโดยเอ่ยความลับหนึ่งออกมา “เฉินตุ้ยเคยบอกว่า ทุกๆ ช่วงหนึ่งร้อยปีจะต้องมีสงครามใหญ่ระเบิดขึ้นใต้กำแพงเมืองแห่งนั้น”


หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว “ดังนั้นข้าถึงอยากจะออกแรงช่วยสักส่วนหนึ่งอย่างไรล่ะ ถอยไปพูดกันอีกก้าว ก็เป็นเพราะมีใจเห็นแก่ตัวอยากจะใช้สงครามมาหล่อเลี้ยงกระบี่ ผลกลับกลายเป็นว่าสวนลมฟ้าส่งกระบี่บินให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่อาจารย์ปู่ไปจนถึงอาจารย์ของข้าและลามไปยันศิษย์พี่ต่างก็พากันด่าข้าซะเละ”


เฉินซงเฟิงหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น


หลิวป้าเฉียวพลันถามขึ้นว่า “เจ้าเด็กที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นยังอยู่ในเมืองเล็กไหม?”


เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนี้ร้ายกาจนักล่ะ ว่ากันว่าในครอบครองภูเขาคนเดียวถึงสี่ลูก หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งราชสำนักต้าหลียังเพิ่งแต่งตั้งเทพภูเขาคนหนึ่งให้เข้ามาพิทักษ์ภูเขาลูกนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ เจ้าถูกชะตากับเขามากไม่ใช่หรือ วันหน้าถ้าพบเจอกันอีกครั้งก็ขอให้เขาเลี้ยงสุราอาหารเจ้าได้”


หลิวป้าเฉียวลูบปาก “ผักดองที่เขาพกไปไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนั้นเกือบจะทำให้ข้าผู้อาวุโสเค็มตาย แต่ยิ่งกินอาหารเลิศรสหายากของเมืองหลวงทุกมื้อก็ยิ่งคิดถึงรสชาติของผักดองนั้น”


เฉินซงเฟิงกล่าวเสียงขุ่น “งั้นเจ้าก็ลองกินผักดองทุกมื้อดูสิ ดูสิว่าเจ้าจะคิดถึงอาหารเลิศรสหายากของเมืองหลวงหรือไม่!”


หลิวป้าเฉียวหัวเราะขำ “ถ้าอย่างนั้นก็กินปลากินเนื้อทุกมื้อเหมือนเดิมดีกว่า กินผักดองเป็นครั้งคราวก็พอ หาไม่แล้วคงผอมแห้ง วันหน้าถ้าได้เจอกับเทพธิดาซูของข้าเข้าจริงๆ ข้ากลัวว่าจะทำให้นางตกใจ แบบนั้นคงขายหน้าแย่”


เฉิงซงเฟิงถาม “ข้าคิดยังไงก็คิดไม่เข้าใจ ด้วยชาติกำเนิดและตบะของเจ้าหลิวป้าเฉียว ต่อให้ซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นจะโดดเด่นแค่ไหน หากโยนความอาฆาตแค้นระหว่างสวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงทิ้งไป จะอย่างไรเจ้ากับนางก็ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน แต่ทำไมเจ้ากลับไม่กล้าแม้แต่ทักทายนางสักคำ?”


หลิวป้าเฉียวคิดอย่างตั้งใจ “อาจเป็นเพราะกังวลว่าหากนางเห็นข้าแล้วจะไม่ชอบข้ากระมัง”


เฉินซงเฟิงยิ่งฉงนสนเท่ห์ “แต่ถ้าเจ้ากับซูเจี้ยไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง นางก็คงไม่ชอบเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”


หลิวป้าเฉียวหันหน้ากลับมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินซงเฟิง กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่เหมือนกัน ขอแค่ยังไม่ได้พบเจอกัน ข้าก็เต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอยต่อการได้พบหน้ากันในอนาคต”


เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “เจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ ไม่กลัวว่าเจอกันคราวหน้า เจ้าจะได้ไปเข้าร่วมงานแต่งงานของเทพธิดาซู ซูเจี้ยของเจ้าหรือ?”


หลิวป้าเฉียวเหมือนถูกฟ้าผ่า ยื่นมือไปกุมคอเฉินซงเฟิง กล่าวดุดัน “เฉินซงเฟิงเจ้าอยากตายหรือ?! คำพูดของเด็กอย่าถือสา คำพูดของเด็กอย่าถือสา…เทพเทวาบนสวรรค์โปรดอย่าสนใจไอ้หมอนี่ เฒ่าจันทรา (เทพแห่งความรักของจีน) ก็ยิ่งอย่าคิดเป็นจริงเป็นจริงเลยนะ…”


……


ผ่านด่านเหย่ฟูไปก็ถือว่าออกจากดินแดนของต้าหลีแล้ว


ก่อนหน้าที่จะไปถึงต้าสุยยังต้องผ่านแถบตะวันตกเฉียงเหนืออันเป็นที่ตั้งของแคว้นหวงถิงที่ขึ้นตรงกับต้าสุยก่อน ระยะทางประมาณหนึ่งพันสองร้อยลี้


เมื่อเทียบกับภาษาทางการต้าหลีที่ชาวบ้านต้าหลีชอบพูดกันแล้ว สำหรับภาษาทางการดั้งเดิมของแจกันสมบัติทวีป ผู้คนมักไม่ค่อยคุ้นเคย ต้าสุยและแคว้นหวงถิงที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเข้มข้นกว่า แทบทุกคนล้วนพูดภาษาทางการของทวีปได้ ความต่างก็มีแค่สำเนียงท้องที่หนักเบาไม่เท่ากันเท่านั้น


รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนช้าๆ อยู่ด้านหลังกลุ่มคน สารถีคืออวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ ชุยฉานนอนหลับอุตุอยู่ในห้องโดยสารตั้งแต่เช้าจรดค่ำ


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มนักเรียนที่มีเฉินผิงอันเป็นผู้นำเต็มตัวแล้ว กลับเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอวี๋ลู่และชุยฉานกับนางที่ยิ่งห่างเหินมากขึ้นทุกวัน นางสามารถประลองฝีมือเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอี พูดว่าประลองฝีมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วคือการบดขยี้ การวางหมากของเด็กสาวที่หน้าตาไม่โดดเด่นมีพลังทำลายล้างสูงมาก เพียงขยับก็สังหารหมากอีกของฝ่ายได้อีกทั้ง ทำเอาหลินโส่อีแทบจะต้องทิ้งหมวกเหล็กโยนเกราะยอมศิโรราบทุกกระดาน และนางก็สามารถพูดคุยเรื่อยเปื่อยไร้แก่นสารกับหลี่ไหว ช่วยหลี่ไหวเอาหุ่นไม้ทาสีและหุ่นปั้นดินเหนียวห้าตัวมาจัดเรียงเป็นขบวนทัพ คนหนึ่งเด็กคนหนึ่งผู้ใหญ่เล่นสนุกเต็มคราบ มีเพียงหลี่เป่าผิงที่เซี่ยเซี่ยไม่ยอมคุยด้วย แน่นอนว่าฝ่ายหลังก็เป็นเช่นเดียวกัน


เฉินผิงอันเกรงใจนางและอวี๋ลู่ แต่กลับไม่สนใจเด็กหนุ่มชุดขาวแซ่ชุยแม้แต่น้อย ตลอดทางที่เดินทางร่วมกันมา ชุยฉานงัดเอาสารพัดวิธีมาใช้ ทั้งออดอ้อน โวยวาย เล่นเล่ห์ ขาดอย่างเดียวคือไม่ได้กอดขาเฉินผิงอันแล้วร้องไห้คร่ำครวญเท่านั้น อีกทั้งยังพยายามใช้ของขวัญมาหลอกล่อพวกหลี่ไหว “ให้รัฐบุรุษอาวุโสผู้บุกเบิกประเทศ” ทั้งสามคนช่วยขอร้อง คอยมาชวนคุยอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ใช้ความรู้สึกสร้างความประทับใจ ใช้เหตุผลสร้างความเข้าใจ มุมานะไม่หยุดหย่อน แต่กลับต้องกินแกงหน้าประตูปิด (เปรียบเปรยว่าเจ้าบ้านปิดประตูไม่ต้อนรับ แขกจึงได้แต่มารอเก้อ) ทุกครั้ง


สุดท้ายเด็กหนุ่มที่เป็นเดือดเป็นแค้นก็ถึงกับยังเคยข่มขู่เฉินผิงอัน บอกว่าหากยังไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ เขาก็จะสู้กับเฉินผิงอันให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ผลคือเฉินผิงอันแค่เอ่ยประโยคเดียวว่า “เจ้าจะลองดูก็ได้ เจ้าชื่อชุยตงซาน ข้าชื่อเฉินผิงอัน ป้ายหน้าหลุมศพมีได้แค่ป้ายเดียว ใครมีชีวิตรอด คนนั้นก็ช่วยเขียนชื่อของอีกฝ่าย” นี่ทำให้เด็กหนุ่มชุดขาวสะอึกอึ้งไปทันใด อัดอั้นจนแทบจะบาดเจ็บภายใน เขาคิดจะตบเจ้าเด็กแซ่เฉินนี่ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ แต่ขอแค่เขามีความคิดนี้เกิดขึ้น ฝ่ามือก็จะบวมฉึ่งเหมือนถูกไม้ขนไก่หวดเพราะเวทคาถาไร้ชื่อของซิ่วไฉเฒ่า


ขณะที่ยามสนธยากำลังเยื้องกรายมาเยือน รถม้าขับเคลื่อนเชื่องช้าอยู่บนทางภูเขา เด็กหนุ่มชุดขาวเลิกผ้าม่านออกมานั่งอยู่ด้านหลังอวี๋ลู่อย่างหาได้ยาก ก่อนกล่าวเสียงดัง “เฉินผิงอัน พี่ใหญ่เฉิน ท่านปู่เฉิน ท่านบรรพบุรุษเฉินที่อยู่ด้านหน้าท่านนั้น! ภูเขาลูกนี้มีชื่อเรียกว่าภูเขาเหิงซาน พวกเราต้องระวังกันสักหน่อย ก่อนหน้าที่จะถึงแคว้นหวงถิง สถานที่แห่งนี้ถือเป็นของแคว้นโฮ่วสู่ จากบันทึก ‘เกร็ดเรื่องเล่าแคว้นสู่’ ของกวีชื่อดังท่านหนึ่งในแคว้นโฮ่วสู่บอกว่า บนภูเขาเหิงซานมีวัดเจ้าแม่ชิงอยู่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าวัดมีต้นไป่ (ไม้ยืนต้นประเภทสน) โบราณที่ไม่รู้ว่ามีอายุกี่ปีต้นหนึ่งซึ่งศักดิ์สิทธิ์มากในการขอพร คนรุ่นหลังจึงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา เล่าลือกันว่าขุนนางใหญ่ของราชวงศ์ก่อนพลีชีพเพื่อประเทศชาติ คนในครอบครัวหลบหนีซ่านเซ็น มีเพียงบุตรสาววัยเยาว์ที่ไม่ยอมจากไป แต่หยิบกระบี่ขึ้นมาปาดคอฆ่าตัวตาย เลือดสดอาบย้อมรากของต้นไป่ ด้วยเหตุนี้วิญญาณของนางจึงสิงสู่อยู่ในต้นไป่โบราณ หลังจากนั้นมาก็มักจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น แต่ยังดีที่เรื่องเล่าลือทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องดี ทุกท่านไม่ต้องตึงเครียด ถือซะว่าเดินทางผ่านสถานที่ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีตำนานสืบต่อกันมาแห่งหนึ่งก็พอแล้ว”


หัวใจของเฉินผิงอันบีบรัดตัวแน่น นับตั้งแต่ครั้งที่ผีสาวชุดแต่งงานก่อความวุ่นวาย ตอนนี้พอเขามาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งหลายก็อดจะเป็นเหมือนคนที่โดนงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปีไม่ได้


อันที่จริงไม่ใช่แค่เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอี หรือแม้แต่เทพหยินผู้นั้นก็ล้วนไม่มีใครกล้าประมาท


ดังนั้นก่อนหน้าที่ม่านแสงโพล้เพล้จะปกคลุมลงมาบนแนวเขา พวกเขาก็หยุดเดิน เลือกค้างแรมตรงพื้นที่โล่งกว้างกลางภูเขาแห่งหนึ่ง


หลังมื้ออาหารเย็นที่เรียบง่ายแต่อบอุ่นผ่านไป หลี่เป่าผิงก็เริ่มพลิกเปิดบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มที่ตัวเองชอบมากที่สุดโดยอาศัยแสงสว่างจากกองไฟ โดยทั่วไปแล้วหลินโส่วอีจะไม่อ่าน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ต่อหน้าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย แค่เปิดดู ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่นักพรตเฒ่าตาบอดมอบให้ ชื่นชมกับภาพภูตผีผีศาจที่ดูมีชีวิตชีวาสมจริงเท่านั้น ส่วนหลี่ไหวก็จะต้องเอาของเล่นเหล่านั้นออกมาเล่นสนุกต่อ และก็มักจะมีแค่เซี่ยเซี่ยเท่านั้นที่ยินดีเล่นกับเขา วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


ทว่าวันนี้อวี๋ลู่กลับทำตัวแปลกไปจากเดิม เขาถึงกับเป็นฝ่ายเปิดปากขอเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอีด้วยตัวเอง แน่นอนว่าหลินโส่วอีย่อมไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังรู้สึกสนใจอย่างมาก ก่อนหน้านี้เวลานั่งตรงข้ามประลองฝีมือกับเซี่ยเซี่ย น่าจะเป็นเพราะฝีมือการเล่นหมากล้อมแตกต่างกันมากเกินไปจึงเหมือนถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับเหนือศีรษะ แม้หลินโส่วอีจะควบคุมอารมณ์ได้ดีมากมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งที่เซี่ยเซี่ยจากไป แล้วเด็กหนุ่มย้อนทวนการเล่นของตัวเองอยู่เพียงลำพังก็ยังรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเล่นหมากล้อมกับอวี๋ลู่ผู้มีนิสัยอ่อนโยน กลับค้นพบว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ลี้ภัยสกุลหลูผู้นี้เล่นหมากล้อมเหมือนกับนิสัยของตัวเอง อ่อนโยนนิ่มนวล ทั้งไม่ได้วางมากมั่วซั่วจนแทบทนมองไม่ได้ แล้วก็ทั้งไม่ได้มีฝีมือสูงส่งดุจเทพเซียนที่ทำให้คนตาเป็นประกาย เขาวางหมากอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เล่นกันสองตา หลินโส่วอีแพ้ทั้งสองตา เหมือนเป็นความต่างทางฝีมือแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เพราะก่อนที่อวี๋ลู่จะวางหมากเป็นครั้งสุดท้าย สถานการณ์บนกระดานยังคงสูสี ยากจะดูออกว่าใครแพ้ใครชนะทั้งสองครั้ง


ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนประลองฝีมือกัน ชุยฉานเด็กหนุ่มชุดขาวยืนเอาสองมือไพล่หลัง ปรายตามองกระดานหมากล้อมแล้วเหลือกตามองสูงหนึ่งที จากนั้นก็ไม่มีอารมณ์จะดูอีก ทว่าเดินวนรอบกองไฟครบรอบหนึ่งก็ไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ จึงได้แต่เดินวนกลับมาใกล้คนทั้งสองครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่เหลือกตามองสูงอยู่ด้านหลังหลินโส่วอีก็ไปยืนทำแบบเดียวกันที่ด้านหลังอวี๋ลู่ สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงพูดกับหลินโส่วอีที่กำลังย้อนทวนการเดินหมากของตัวเองอยู่เงียบๆ ว่า “เจ้าคนเลวอวี๋ลู่ที่มองดูเหมือนซื่อสัตย์ผู้นั้นจงใจอ่อนข้อให้เจ้าหรอกนะ แต่เจ้ากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย? คราวหน้าเจ้าอยากเอาชนะอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยไหมล่ะ? หากเจ้ามีความสามารถเหมือนข้าแค่ส่วนเดียวก็รับรองได้ว่าเล่นสิบตาชนะทั้งสิบตา!”


หลินโส่วอีเงยหน้าคลี่ยิ้มบางๆ “รอให้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันก่อนค่อยว่ากันเถอะ”


แต่หลินโส่วอีก็ยังอดเหลือบหางตาไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่อำพรางฝีมือผู้นั้นไม่ได้ ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ ให้เขา สายตาใสกระจ่าง จากนั้นก็ก้มหน้าลงจัดระเบียบสัมภาระจำนวนน้อยนิดอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย


ชุยฉานเด็กหนุ่มชุดขาวยกสองมือทุบอกด้วยความชิงชัง


ห่างไปไกล บนกิ่งไม้ที่ยื่นขวางออกมาจากลำต้นหนาใหญ่ มีเด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนอยู่ด้านบน กิ่งไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าถูกกดจนงอโค้งได้ระดับ เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วค่อยๆ หลับตาลง เริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งเฉกเช่นทุกวัน


ลมภูเขาโชยมาปะทะใบหน้า


ดั่งเสียงกระซิบแห่งขุนเขา ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่มีคำพูดตอบโต้


—–

 

 

 


ตอนที่ 134.1

 

 ปีนี้

โดย

ProjectZyphon

ภูเขาเหิงซานมีวัดขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีกรอบป้ายตัวอักษรทองแขวนไว้แม้แต่ป้ายเดียว นอกวัดมีต้นไป่โบราณสูงเสียดฟ้าหนึ่งต้น พุ่มใบดกหนา แผ่กลิ่นอายของความเก่าแก่เข้มข้น


ทั้งในและนอกวัดเล็กสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมหลายดวงที่แขวนไว้ นอกวัดมีชายหญิงลักษณะเหมือนข้ารับใช้หลายสิบคนยืนจับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน ต่างก็กำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันเบาๆ


ในวัดมีชายห้าหกคนกำลังร่ำสุรา อายุตั้งแต่ยี่สิบไปจนถึงสี่สิบปี พวกเขาดื่มเหล้าจนหน้าแดงก่ำ หัวเราะเสียงดังครื้นเครง ไหสุราที่ถูกเปิดฝาวางกองระเกะระกะหลายใบ ผู้ชายเหล่านี้น่าจะมีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นสูงที่แท้จริง หัวข้อที่พูดคุยกันไม่ธรรมดา วิจารณ์สังคมและการเมือง ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งที่ดื่มสุราเสียเต็มคราบ ถึงขนาดถลกเสื้อเปิดอกเผยหน้าท้อง ชูแก้วเหล้าขึ้นสูง หันตัวไปทางรูปปั้นดินของเจ้าแม่ชิงที่วางอยู่บนแท่นบูชา กล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเป็นเทพเซียนก็ดี เป็นภูตผีก็ช่าง ข้าล้วนไม่กลัว ขอแค่เจ้ากล้าเผยร่างจริง ข้าก็กล้าเชิญเจ้ามาดื่มเหล้าร่วมแก้ว! ฮ่าๆ เจ้าแม่ชิง หากวันนี้เจ้ายินดีเดินลงมาจากแท่นบูชาจริงๆ วันหน้าต้องกลายไปเป็นเรื่องเล่างดงามที่ผู้คนให้ความสนใจแน่ๆ ควันธูปก็มีแต่จะลุกขโมงไม่ขาดสาย ข้าดื่มคารวะก่อนเลยแล้วกัน!”


ชายที่ทั้งเนื้อทั้งตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราเรอดังเอิ้ก แล้วก็เงยหน้ากรอกสุราเข้าปากเอนไปเอนมา สุราเกินครึ่งจึงหกรดกายและบนพื้น


เพื่อนสนิทรอบกายหัวเราะแซวไม่หยุด ยิ่งมีคนเมาแล้วใจกล้ากล่าวว่าจะอุ้มเทวรูปเจ้าแม่ชิงนี้ลงมา คืนนี้จะนอนกอด ร่วมอภิรมย์สมรักกับเทพเซียนสักคืน นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องเล่าที่คนให้ความสนใจอย่างแท้จริง ถ้อยคำไร้ความเคารพยำเกรงนี้ยิ่งชักนำให้เกิดเสียงหัวเราะสนุกสนานครื้นเครง


ในวัดมีเสียงถอนหายใจเบาจนแทบไม่ได้ยินดังขึ้นหนึ่งที


ลมโชยเอื่อยๆ พัดผ่านมาระลอกหนึ่ง ทุกคนกำลังดื่มเหล้ากันอย่างเปรมปรีดิ์จึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ


……


กึ่งกลางภูเขา เฉินผิงอันที่กำลังฝึกท่าเจี้ยนหลูใจกระตุก ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าบนพื้นที่มีคนหนึ่งถือกิ่งไม้เดินตรงมาเอื่อยเชื่อย ก็คือผู้ลี้ภัยสกุลหลูนามว่าเซี่ยเซี่ย


เฉินผิงอันจึงเตรียมจะลงจากกิ่งไม้ แต่เด็กสาวกลับเงยหน้าส่งยิ้มกว้าง แกว่งกิ่งไม้ในมือ เอ่ยเสียงอ่อนหวานตามธรรมชาติ “เจ้าไม่ต้องลงมา พวกเราคุยกันข้างบนได้”


เห็นเพียงว่าเด็กสาวเริ่มวิ่งเหยาะๆ แตะปลายเท้าหนึ่งครั้ง กระโดดขึ้นสูง พอเหยียบลงบนลำต้นไม้ขนาดใหญ่ นางก็ดีดตัวไปด้านหลัง กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ต้นอื่น ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระโดดอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมาหยุดอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ กับต้นที่เฉินผิงอันอยู่ แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นผู้ฝึกตน


เซี่ยเซี่ยเบี่ยงตัวนั่งลงบนกิ่งไม้ แกว่งขาสองข้าง พูดพร้อมยิ้มน้อยๆ “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ข้าเป็นผู้ฝึกลมปราณ พวกเราไม่ค่อยเหมือนกัน ในสายตาของพวกผู้ฝึกลมปราณที่หยิ่งยโสแล้ว คนที่ฝึกการต่อสู้ ซึ่งก็คือพวกคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญตบะน่ะ ที่พวกเขาฝึกวรยุทธ์เป็นการเลือกอย่างจำใจเพราะไม่อาจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดได้ เนื่องจากวิถีการต่อสู้ของพวกเจ้าแบ่งออกเป็นเก้าขอบเขต จึงถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นเก้าสาขาล่าง (คือกลุ่มอาชีพที่ถูกมองว่าเป็นชนชั้นล่างของสังคมได้แก่อาชีพหมอผี หญิงคณิกา ม้าทรง ยาม ช่างตัดผม นักดนตรี นักแสดงปาหี่ ขอทานและคนขายน้ำตาลเป่า) คล้ายคลึงกับที่นักพรตเห็นตัวเองว่าขุนนางน้ำดี แต่มองว่าชาวบู๊เป็นพวกขุนนางชั้นต่ำ มาถึงท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายต่างก็ชิงชังกัน แค่เห็นหน้าก็รู้สึกขัดหูขัดตา”


เฉินผิงอันถาม “แม่นางเซี่ย เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม?”


นางวางกิ่งไม้ที่อยู่ในมือพาดบนขาแนวขวาง กล่าวตรงไปตรงมาว่า “คาดว่าชุยตงซานคงอับจนหนทางแล้วจริงๆ แค่เจอศาลเจ้าก็ปักธูปไหว้มั่วซั่ว เขามาหาข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าขอแค่ช่วยพูดถึงเขาต่อหน้าเจ้าดีๆ สักสองสามคำ ต่อให้เจ้าจะยังไม่รับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่ก็จะยังมอบสมบัติให้ข้าชิ้นหนึ่ง แน่นอนว่าข้าอยากได้กระบี่บินไร้เจ้าของเล่มนั้นของเขา ชุยตงซานไม่ยอม บอกแค่ว่าหากทำสำเร็จจะมอบขลุ่ยไผ่ให้ข้าเลาหนึ่ง เขาให้ข้าดูขลุ่ยเลานั้นแล้ว มันคือขลุ่ยไรน้ำที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง เคยถูกเก็บรักษาไว้ในวังหลวงของราชวงศ์สกุลหลูอย่างลับๆ เป็นหนึ่งในวัตถุทำสัญญาเป็นพันธมิตรที่พรรคบนเขาแห่งหนึ่งทำร่วมกับฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของสกุลหลู ข้าเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าต้องชอบของสวยงามน่ามองทั้งหมดบนโลก ก็เลยมาหาเจ้านี่ไงล่ะ”


มีคนมารบกวน เฉินผิงอันจึงไม่ฝึกยืนนิ่งอีกต่อไป เขาเองก็นั่งลงบนกิ่งไม้เหมือนกับนาง ท่านั่งตัวตรงผึ่งผาย หันมามองสบตานางตรงๆ “แม่นางเซี่ยเจ้าพูดต่อได้เลย ข้ากำลังฟังอยู่”


เซี่ยเซี่ยคลี่ยิ้ม “พูดจบแล้วไงล่ะ ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงความแตกต่างของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวกับนักพรตบนภูเขาก็แค่กลัวว่าบรรยากาศจะเงียบงันเกินไป จึงคิดจะโยนอิฐล่อหยก บอกตามตรง เวลาที่เห็นชุยตงซานชนตอทุกครั้งที่พูดกับเจ้า แม้ข้าจะมองดูอยู่เฉยๆ แต่กลับรู้สึกสะใจอย่างมาก ทว่าพอมาถึงคราวที่ตัวเองต้องพูดกับเจ้าจริงๆ กลับปวดหัวไม่น้อย กลัวว่าเจ้าจะปฏิเสธข้าโดยไม่ฟังอะไรสักอย่าง ขลุ่ยไรน้ำที่กำลังจะมาถึงมือก็อาจติดปีกบินหนีข้าไป”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากชุยตงซานถามเรื่องนี้ ข้าจะช่วยยืนยันให้ว่าแม่นางเซี่ยเคยมาขอร้องแทนเขาก่อนแล้ว หากเป็นไปได้ แม่นางเซี่ยช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิถีการต่อสู้อีกหน่อยได้หรือไม่?”


เด็กสาวหรี่ตามองประเมินใบหน้าของเด็กหนุ่มคล้ายต้องการจะมองให้ทะลุไปถึงแก่นแท้ของคนตรงหน้า แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องการฝึกยุทธ์ ข้าเองก็แค่เคยได้ยินคนอื่นพูดมาบ้างเท่านั้น ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ และการที่ข้ารู้เรื่องผิวเผินพวกนี้ก็เพราะว่าห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณอย่างการหล่อเลี้ยงลมปราณ หลอมลมปราณนั้น แท้จริงแล้วยังไม่หลุดพ้นจากขอบเขตของเนื้อหนังมังสา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเรียก ‘ห้าขอบเขตล่าง’”


นางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาแล้วชี้ไปตามจุดต่างๆ บนร่างของเฉินผิงอันผ่านความว่างเปล่า “ร่างกายมนุษย์มีช่องลมปราณสามร้อยกว่าช่องโพรง เชื่อมโยงถึงกันเหมือนเทือกเขาที่ทอดยาว ตัวอ่อนโคลนขอบเขตที่หนึ่งในการฝึกวิถีการต่อสู้ของพวกเจ้าก็คือการหาลมปราณนั้นให้เจอ จากนั้นก็ช่วยมันหาช่องโพรงที่เหมาะสมที่สุดในการพักพิงและบำรุงด้วยคามอบอุ่น และนี่ก็จะแสดงให้เห็นว่าใครมีพรสวรรค์สูงต่ำ เรื่องพวกนี้น่าจะเคยมีคนพูดให้เจ้าฟังมาก่อนกระมัง?”


เฉินผิงอันกำลังรวบรวมสมาธิรับฟังคำบรรยายจากสาวน้อย พอได้ยินนางถามก็ตอบว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีคนเรื่องพวกนี้ให้ฟังคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่ข้าไม่ถือสาหากจะต้องฟังอีกหลายๆ รอบ แม่นางเซี่ยเจ้าพูดต่อได้เลย ไม่ต้องสนใจว่าข้าเคยได้ยินมาหรือไม่”


เด็กสาวตบกิ่งไม้เบาๆ โดยไม่รู้ตัว เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองไปยังตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าเฉินผิงอัน “คำว่าผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ก็คือ หนึ่งต้องหาปราณขุมนั้นเจอตั้งแต่อายุยังน้อย สองช่องโพรงลมปราณที่มันเลือกต้องไม่ได้อยู่ในตำแหน่งห่างไกล แต่เป็นช่องโพรงที่สำคัญบางช่องซึ่งจะยึดครองความได้เปรียบมาตั้งแต่เกิด ก็เหมือนกับที่มีคนได้ยึดครองเนินดินขนาดเล็กในป่ารกร้างหรือไม่ก็ได้ครอบครองสุสานไร้ญาติที่ไม่มีคนสนใจ ส่วนบางคนก็ได้ครอบครองเมืองหงจู๋ที่เป็นเมืองท่าสำคัญทางน้ำ และยังมีบางคนที่ได้ยึดครองเมืองหลวงต้าหลีโดยตรง สถานการณ์ของสามฝ่ายนี้ย่อมไม่เหมือนกัน ข้อสามก็คือความหนาบาง ความข้นจาง ความสั้นยาวของลมปราณขุมนี้ซึ่งต่างก็มีการแบ่งสูงต่ำ หาไม่แล้วต่อให้เจ้าได้ยึดครองเมืองหลวงต้าหลี แต่กลับไม่มีความสามารถในการขุดค้นก็ไม่มีความหมาย อธิบายอย่างนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”


เฉินผิงอันตอบ “พอจะเข้าใจ”


“กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ชุยตงซานพูดถึงก่อนหน้านี้ก็คือกระบี่บินที่ฟูมฟักมาจากช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเรา ซึ่งได้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ เมื่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตบินออกจากช่องโพรงมาสังหารศัตรูก็จะกลายเป็นกระบี่ที่จับต้องได้จริง แต่พอกลับเข้าไปในช่องโพรงจะกลายเป็นวัตถุมายา มหัศจรรย์อย่างมาก อาจารย์ของข้าเคยบอกว่า อันที่จริงแล้วช่องโพรงลมปราณของมนุษย์เราสามารถมองเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เกิดมาก็มีการเชื่อมโยงทาง ‘จิตใจ’ ดังนั้นเมื่อผ่านการฝึกตนอย่างยากลำบากในภายหลัง เมื่อรอยต่อทั้งหมดถูกเปิดออก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ดี หรือสมบัติอาคมอื่นๆ ก็ช่าง ก็ล้วนสามารถบรรจุไว้ในเรือนกายที่เป็นดั่งเทือกเขาใหญ่ของเจ้าได้ทั้งหมด”


“ขอบเขตที่สองของวิถีการต่อสู้ของพวกเจ้ามีช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นก็เริ่มขยับขยายบุกเบิกเส้นทางออกไปรอบทิศ ทำให้เส้นชีพจรที่แต่เดิมเล็กแคบลาดชันเปลี่ยนมาเป็นดั่งถนนหลวงทางเดินม้าที่กว้างขวาง เหตุใดบนโลกถึงได้มีวิชาการต่อสู้หลายแขนง? นั่นก็เป็นเพราะวิธีการเปิดภูเขาบุกเบิกเส้นทางไม่เหมือนกัน เริ่มต้นที่ตำแหน่งไหน เดินไปบนเส้นทางใด เดินทางลัดเช่นไร แต่ละลัทธิล้วนมีวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นเส้นชีพจรที่ชาวบู๊ผู้ฝึกหมัดบุกเบิกจะไม่เหมือนกับคนที่ฝึกดาบฝึกทวน เฉินผิงอัน ข้ามองออกว่าตอนนี้เจ้ากำลังสร้างรากฐานให้กับขอบเขตที่สอง มิน่าเล่าถึงได้มานะฝึกท่าเดินนิ่ง ยืนนิ่ง ท่าหมัดทุกวัน ด้วยความเร็วของเจ้า ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานก็ขยับไปยังขอบเขตที่สามได้ ใช่แล้ว ข้าถามได้หรือไม่ว่าช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตของเจ้าอยู่ที่ไหน?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”


เด็กสาวย่นจมูก พึมพำกับตัวเอง “ขี้เหนียว”


แต่เมื่อนึกถึงสภาพการณ์น่าสลดหดหู่ที่ชุยฉานราชครูหนุ่มแห่งต้าหลีต้องเผชิญ นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าด้วยนิสัยอย่างเฉินผิงอัน ปฏิเสธตนถือเป็นเรื่องปกติ นิสัยอย่างเฉินผิงอันนี้ หากจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็เรียกว่าก้อนหินในหลุมส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็ง อีกทั้งจิตใจยังเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่เคลื่อนคลอน


เฉินผิงอันพลันถามว่า “แม่นางเซี่ย ทำไมเจ้าถึงบอกว่าอีกไม่นานข้าก็จะถึงขอบเขตที่สามล่ะ?”


เซี่ยเซี่ยหลุดปากพูดว่า “คนฝึกวรยุทธ์อย่างพวกเจ้าอาศัยแค่ลมปราณเฮือกเดียว สืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็คือใช้การบาดเจ็บของร่างกายและจิตวิญญาณมาแลกเปลี่ยนกับพลังในการสังหาร หากคิดจะมีอายุขัยยืนยาวก็ต้องเลื่อนไปถึงขอบเขตที่หกให้ได้ในเร็ววันถึงจะได้ ต้องบำรุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ หล่อเลี้ยงเรือนกายในทุกๆ วัน หากติดค้างอยู่ในขอบเขตที่สองหรือสามนานเกินไป ปราณแท้จริงที่มีมาตั้งแต่เกิดเฮือกนั้นก็จะค่อยๆ แห้งขอดลง ทุกครั้งที่ต่อสู้กับคนอื่น เมื่อได้รับบาดเจ็บก็เท่ากับพลังต้นกำเนิดทะลักทลายหายไปครั้งหนึ่ง ดังนั้นคนโง่บนโลกนี้ที่ฝึกวิชาหมัดจนตัวตายจึงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในตระกูลเศรษฐีร่ำรวย สามารถแช่กายอยู่ในตัวยาราคาแพงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ก็ยังเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ ไม่อาจบำรุงจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง แม้จะบอกว่าฝึกวรยุทธ์ได้ไม่สูงพอก็ไม่อาจพิสูจน์มรรคาแห่งความเป็นอมตะ แต่หากเดินไปถึงจุดสูงสุดแห่งการฝึกวรยุทธ์ เลื่อนสู่ขอบเขตที่เก้าหรือแม้แต่ขอบเขตปลายทางที่แท้จริง ซึ่งก็คือขอบเขตที่สิบในตำนาน ถ้าเช่นนั้นหากคิดจะมีชีวิตอยู่สักหนึ่งร้อยสองร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”


เฉินผิงอันโต้กลับ “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกทั้งหมด คนที่พรสวรรค์ดีสามารถฝึกได้อย่างรวดเร็ว แต่คนที่พรสวรรค์แย่อย่างข้า ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งผิดพลาดได้ง่าย ไม่สู้เดินไปทีละก้าวอย่างไม่คง ไม่พลาดแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเช่นนั้นทุกก้าวย่อมมีประโยชน์ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ใช่เพื่อแสวงหาขอบเขตที่สูงส่ง ก็แค่เพื่อ…บำรุงร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงเท่านั้น”


คำพูดมารอตรงปากของเฉินผิงอันแล้ว แต่เขากลับเปลี่ยนไปพูดด้วยประโยคที่คลุมเครือแทน อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเพื่อต่อชีวิตให้ตัวเอง


หลังจากถูกไช่จินเจี่ยนใช้วิธีการอำมหิตทุบทำลายสะพานแห่งความอมตะอย่างลับๆ นอกจากเส้นทางการฝึกตนจะถูกตัดขาดแล้ว เรือนกายของเฉินผิงอันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ภายหลังเมื่อเดินทางไปถึงเขาฉีตุนยังเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง อายุขัยเล็กน้อยที่กว่าจะเพิ่มเติมขึ้นมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ หายเกลี้ยงในคราวเดียว ยังดีที่การเดินทางลงใต้หลังจากนั้น อาศัยการฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งปริมาณมากในทุกๆ วัน เฉินผิงอันจึงสั่งสมพื้นฐานให้กับตัวเองได้บ้าง สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสุขภาพดีขึ้น ร่างกายที่เป็นเหมือนบ้านทรุดโทรมเต็มไปด้วยรูโหว่รอบด้านได้รับการปะชุนซ่อมแซม ทำให้ยังพอจะใช้งานได้


เด็กสาวกล่าวยิ้มๆ “การพัฒนาช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปตามบุคคล เจ้ารู้สึกว่าการสร้างรากฐานอย่างมั่นคงนั้นดีกว่า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร”


ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ เดิมทีเซี่ยเซี่ยก็รู้เรื่องการฝึกวรยุทธ์แบบงูๆ ปลาๆ อยู่แล้ว หลายๆ ครั้งจึงมักจะติดเอาวิธีการฝึกตนมาใช้กับการฝึกยุทธ์ แม้ว่าโลกทัศน์ของนางจะกว้างไกลกว่าจูเหอ แต่รายละเอียดหลายอย่างย่อมเข้าใจไม่กระจ่างแจ้งเท่าจูเหอที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่ห้า แล้วนับประสาอะไรกับที่จูเหอยังถูกบรรพบุรุษสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ขนานนามให้เป็น “วิสุทธิ์อาจารย์” เป็นคำวิจารณ์ที่เหนือกว่าอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงทั่วไป มากพอจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความร้ายกาจของจูเหอ แต่เนื่องด้วยได้รับขีดจำกัดจากรากฐานตระกูลหลี่ที่อยู่ในเมืองเล็กอันห่างไกล จูเหอจึงไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในยุทธภพใต้ภูเขา เขาเชื่อว่าปรมาจารย์วิถีการต่อสู้ขอบเขตที่เก้าคือขอบเขตสุดท้ายแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกขอบเขตที่เก้าว่าขอบเขตปลายทาง


ทว่าในความเป็นจริงแล้วเหนือขอบเขตที่เก้าขึ้นไปยังมีขอบเขตที่สิบ ระหว่างขอบเขตที่เก้าและสิบมีช่องว่างต่างกันมาก มากยิ่งกว่าความห่างระหว่างขอบเขตที่หกกับขอบเขตที่เก้าเสียอีก


เรียนวรยุทธ์เรียนการต่อสู้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหามรรคาเลย ต่อให้การหล่อหลอมเรือนกายจะแข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่าร่างวัชระไม่พ่ายของลัทธิพุทธ แต่ก็ยังยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ อย่างนั้นอายุขัยที่น้อยนิดก็คือคอขวดอันเป็นอุปสรรคใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง คิดจะฝ่าไปให้ได้ก็เรียกว่าเป็นความฝันของคนปัญญาอ่อน แล้วก็ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น


แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณถึงได้มองว่าผู้ฝึกยุทธ์ล่างเขาต่ำต้อยกว่าพวกเขาอย่างมาก ตลอดชีวิตก็ได้แค่ต่อยตีอยู่ตรงตีนเขา หรืออย่างมากสุดมาเดินเที่ยวช่วงกึ่งกลางภูเขาของพวกเราก็คือปลายทางของพวกเขาแล้ว และชั่วชีวิตนี้จะเป็นใหญ่เป็นโตกับใครเขาได้? กลับมาดูที่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน มีใครบ้างที่ไม่มีอายุขัยยืนยาวไร้ขีดจำกัด มีหวังที่จะประสบความสำเร็จบนมหามรรคา?


เรียนวรยุทธ์เรียนการต่อสู้ หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหามรรค ต่อให้หล่อหลอมเรือนกายจนแข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่าวัชระไม่พ่ายของลัทธิพุทธ ก็ยังยากที่จะได้ดิบได้ดี ต่อให้ร้อยปีแล้วยังไม่แก่หง่อม แต่มากสุดไม่เกินสองร้อยปีก็ยังต้องกลายมาเป็นเพียงโครงกระดูกที่ไม่มีค่าโครงหนึ่งอยู่ดี


เฉินผิงอันถามด้วยความสงสัย “แม่นางเซี่ยเซี่ย ผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้าที่เป็นเทพเซียนบนภูเขาผู้มีอิสระเสรีก็จำเป็นต้องหล่อหลอมเรือนกายเหมือนผู้ฝึกยุทธ์ด้วยหรือ?”


ตอนนั้นที่อยู่ในเมืองเล็ก หนิงเหยาเคยเตือนเขาไว้ต่อให้พวกไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรือง ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า ฯลฯ จะได้รับพันธนาการจากกฎเกณฑ์ห้ามใช้คาถาอาคมของเมืองเล็ก แต่ระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายก็เหนือกว่าคนทั่วไป ต่อยเฉินผิงอันให้ตายด้วยหมัดเดียวเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก และหากเฉินผิงอันไม่โจมตีจุดอันตรายของพวกเขาก็ยากที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ

 

 

 


ตอนที่ 134.2

 

ปีนี้

โดย

ProjectZyphon

พอได้ยินคำว่าอิสระเสรี เด็กสาวก็เบ้ปาก ดวงตาคู่ที่มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยความขมขื่น หลังจากซุกซ่อนอารมณ์เศร้าหมองนี้ลงไปได้แล้ว นางก็อธิบายอย่างใจเย็น “เลี้ยงลมปราณหลอมลมปราณถึงจะสำคัญที่สุด เรือนกายเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้น อืม พูดอย่างนี้ก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ถ้วยกระเบื้องถ้วยหนึ่งบรรจุเหล้าสิบจินไม่ได้ แต่ถ้าเป็นวัตถุตารางนิ้วที่มีค่าควรเมือง ไม่ว่าถ้วยกระเบื้องจะเล็กใหญ่แค่ไหนกลับสามารถบรรจุเหล้าได้เป็นร้อยเป็นพันจิน ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราก็ต้องชักดึงปราณต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินมาราดรด หล่อหลอมและขัดเกลาเนื้อหนัง กระดูกและเลือดของเรือนกายตัวเอง ทำให้ถ้วยกระเบื้องถ้วยนั้นแข็งแรงทนทานเพิ่มขึ้นอีกนิด หากเนื้อหนังของผู้ฝึกลมปราณนุ่มนวลเปราะบางเกินไปย่อมต้องส่งผลต่อการเป็นอมตะ”


กล่าวประโยคเหล่านี้จบ เด็กสาวที่ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยก็เริ่มเงียบเสียงลง หันหน้ามองไปยังทัศนียภาพของภูเขาเหิงซานโดยอาศัยแสงจันทร์


เฉินผิงอันไม่รบกวนความคิดของเด็กสาว


ประโยคที่ว่าพูดความในใจกับคนไม่สนิทถือเป็นความโง่เขลา เฉินผิงอันที่ไม่เคยเล่าเรียนมาก่อนย่อมไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพังเพยสวยหรู แต่เขากลับเข้าใจในหลักการนี้


ดังนั้นเรื่องช่องโพรงและทิศทางการไหลเวียนของลมปราณในร่างกายเขาทุกวันนี้ เฉินผิงอันจะไม่มีทางเปิดเผยแก่คนนอกแม้แต่ครึ่งคำ


และวิธีโคจรลมปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ก็ยิ่งต้องปิดปากให้แน่นสนิท


ในความเป็นจริงแล้ว ลมปราณในร่างของเขาที่เหมือนมังกรไฟว่ายวนขุมนั้น ในที่สุดก็เปลี่ยนจากท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้ก่อนหน้านี้มาเป็นเลือกช่องโพรงลมปราณสองแห่งเป็นที่พักพิง หนึ่งล่างหนึ่งบน “จวน” หนึ่งในนั้นก็คือช่องโพรงที่ว่างเปล่าหลังจากปราณกระบี่ขุมหนึ่งถูกนำไปใช้สังหารงูขาวบนเขาฉีตุน เมื่อปราณกระบี่จากไป ลมปราณขุมนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปพักอาศัยอย่างรวดเร็วราวกับคนได้รับสมบัติล้ำค่า ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งยังนานกว่าช่องโพรงด้านล่างที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งจุดตันเถียนด้วย


จากนั้นเมื่อเฉินผิงอันใช้วิธีการหายใจเข้าออกที่ได้รับสืบทอดจากหยางเหล่าโถวเมื่อนานมาแล้ว พยายามให้ลมหายใจที่ใช้ในการเดินนิ่งยืนนิ่งทุกครั้งไหลเวียนผ่าน หรือไม่ก็ขยับเข้าใกล้ช่องโพรงใหญ่แต่ละแห่งที่คาถาสิบแปดหยุดต้องผ่านให้ได้มากที่สุด


ทุกครั้งที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนนอกจะมองออกได้ในปราดเดียว


แต่กลับไม่แน่เสมอไปที่คนนอกจะสามารถมองออกว่า วิธีการหายใจที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายึดติดตายตัวของเฉินผิงอันนั้นต้องผ่านความมานะพยายามมากมายเท่าไหร่


คำพูดประโยคหนึ่งของผู้เฒ่าเหยาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ทำให้เด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงจดจำได้ขึ้นใจไปตลอดชีวิต


อะไรที่เป็นของเจ้า จงรักษาไว้ให้ดีอย่าทำหาย อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า ก็อย่าแม้แต่จะคิดถึง


เมื่อก่อนเฉินผิงอันยากจนข้นแค้น จึงคิดถึงประโยคหลังมากกว่า ตอนนี้เริ่มมีสมบัติเป็นของตัวเองจึงเริ่มมีการแสวงหา ดังนั้นประโยคแรกจึงเริ่มถูกนำมาใช้


เฉินผิงอันต้องการทำทุกเรื่องให้ออกมาดี ดีที่สุด!


เขามักจะบอกตัวเองเช่นนี้


ตลอดทางที่มุ่งหน้าลงใต้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเปลี่ยนรองเท้าไปคู่แล้วคู่เล่า ต่อให้ได้เห็นทัศนียภาพแปลกใหม่สวยงามมากมาย ทว่าหลักการและเหตุผลที่เคยได้รับรู้มาในอดีต ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ไปๆ มาๆ แล้วก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยโยนทิ้งไปสักข้อ


ราวกับว่าความยากจนที่ต้องเผชิญมาตั้งแต่เด็กทำให้เกิดความหวาดกลัว หลักการที่อาจจะว่างเปล่าไร้ประโยชน์ในสายตาคนอื่น กลับมีคุณค่าสำหรับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่สองมือว่างเปล่า เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมูลค่า เวลาที่อยู่ท่ามกลางผู้คนจะต้องคิดถึงพวกมัน เวลาที่รอบกายไม่มีผู้ใดก็ชอบที่จะเอาออกมาขบคิด


ใน ‘มารยาทพิธีการ’ หนึ่งในตำราของเด็กประถมลัทธิขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ‘ชีพญาณจากฟ้ามาอยู่ในตัวเราเรียกว่าธรรมญาณคล้อยตามความเป็นธรรมญาณเรียกว่าธรรมะ  เรื่องราวเพื่อการบำเพ็ญธรรมะเรียกว่าศาสนา อันธรรมะนั้น มิอาจออกห่างได้แม้ชั่วขณะ ออกห่างได้มิใช่ธรรมะแล’


เมื่อวันก่อนหลี่เป่าผิงอธิบายคำสอนของอริยะท่อนนี้ให้เฉินผิงอันฟัง บางครั้งเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไม่ค่อยปรากฎตัวก็จะเดินออกจากรถม้า เดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสองเงียบๆ พอฟังเสร็จก็จากไปเงียบๆ


แต่ว่าตอนนั้นแม่นางน้อยสอนตามตำรา อธิบายเป็นแบบแผนตายตัว เฉินผิงอันฟังแล้วก็เมหือนยืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกหนาชั้น และไม่นานคนทั้งสองก็กระโดดข้ามขั้นตอนนี้ไป


เวลานี้อยู่ดีๆ เด็กสาวก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจข้า เฉินผิงอันเจ้าไปก่อนเลยก็ได้”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชุยตงซานบอกว่าภูเขาเหิงซานลูกนี้น่าจะมีภูตผี ดึกมากแล้ว แม่นางเซี่ยระวังตัวด้วย”


เด็กสาวคลี่ยิ้มตอบ “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็นแค่นักพรตน้อยห้าขอบเขตล่าง แต่ก็ยังพอมีวิธีรักษาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญวิกฤตความเป็นความตาย ไม่ต้องเป็นห่วง”


เฉินผิงอันไถลตัวตามลำต้นของต้นไม้ลงมาบนพื้นดิน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าด้วยท่าเดินนิ่งของตำราเขย่าขุนเขา เดี๋ยวตึงเดี๋ยวผ่อนเป็นจังหวะจะโคน


มวยภายนอกที่เดิมทีเรียบง่ายอย่างมากกลับถูกเด็กหนุ่มฝึกฝนจนกลายมามีลักษณะไหลรื่นต่อเนื่องดุจมวยภายใน


เด็กสาวถือกิ่งไม้ตบลงบนเข่าตัวเองเบาๆ


เด็กหนุ่มชุดขาวมาโผล่บนกิ่งไม้สูงบริเวณใกล้เคียงอย่างลึกลับ ซึ่งก็คือตำแหน่งเดียวกับที่เฉินผิงอันใช้ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูก่อนหน้านี้ กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าเขาส่ายไหวเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มจึงขยับขึ้นสูงขยับลงต่ำตามไปด้วย


ชุยฉานหันหน้าไปทางด้านนอกภูเขา โบกมือหนึ่งครั้ง ขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่งก็บินเข้าหาเด็กสาวเซี่ยเซี่ย ฝ่ายหลังยื่นมือออกไปรับเอาไว้ ก้มหน้าลงมองด้วยสายตาซับซ้อน


เซี่ยเซี่ยเอ่ยถาม “ตลอดเวลาที่เดินทางมาเกือบยี่สิบวัน ขนาดใต้เท้าราชครูก็ยังมองจิตใจของเฉินผิงอันไม่ออกงั้นหรือ? เจ้าสั่งให้ข้าพูดคุยกับเฉินผิงอันไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงเรื่องอะไรก็พูดถึงเรื่องนั้น แต่นี่จะได้ผลอย่างไร?”


เด็กหนุ่มชุดขาวทอดสายตามองไปไกลพลางเอ่ยเสียงเบา “เวลาเฉินผิงอันเห็นข้า จิงชี่เสินตลอดทั้งร่างจะหดตัวลงตามสัญชาติญาณ คล้ายหน้าด่านแห่งหนึ่งที่พอเห็นควันสัญญานเตือนภัยก็จะปิดด่านอย่างแน่นหนา เวลาปกติที่เขาพูดคุยกับพวกหลี่เป่าผิงจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาบ้าง แต่ก็นั่นก็ยังไม่พอ จำเป็นต้องมีคนพูดคุยเรื่องทั่วไปที่มีน้ำหนักกับเขาบ้าง”


เซี่ยเซี่ยถามหยั่งเชิง “ใต้เท้าราชครูอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าเส้นขีดจำกัดที่แท้จริงของเฉินผิงอันอยู่ตรงไหนกันแน่?”


สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตอบไม่ตรงคำถาม “ตาแก่นาบประทับอักษรบางอย่างลงบนวิญญาณของข้า ตอนนี้ข้ารู้แค่ว่าพวกมันจะปลดปล่อยอารมณ์บางอย่างของข้าออกมาอย่างเต็มที่ อารมณ์รักใคร่เหล่านั้นมองดูเหมือนเป็นธรรมชาติ แต่พอย้อนกลับไปดูกลับทำให้คนขนลุกขนชัน หากหยางเหล่าโถวไม่ได้เตือนข้าไว้ก่อน จนถึงทุกวันนี้ข้าก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว”


เด็กสาวคลี่ยิ้ม “เพราะต้องการให้ท่านราชครูเรียนรู้การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจงั้นหรือ?”


ชุยฉานสีหน้าเย็นชา แต่ไม่ได้หันกลับไปมองนาง “นังหนู ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้พูดจากระทบกระเทียบคนอื่นไปเรื่อย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าทำอะไรเขาเฉินผิงอันไม่ได้ หาไม่เขาคงตายไปเป็นร้อยครั้งนานแล้ว ส่วนเด็กตัวน้อยที่ทำตัวล่องไปตามกระแสคลื่นอย่างเจ้า ตายไปก็เป็นได้แค่แมลงน่าสงสารที่ไม่มีคนตั้งป้ายหน้าหลุมศพให้ หากตอนนี้ข้าคิดจะบดขยี้เจ้าให้ตายจริงๆ ก็เป็นเรื่องง่ายดายเพียงแค่ยกฝ่าเท้าเท่านั้น”


เด็กสาวเงียบงัน


ชุยฉานยืนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งบิดข้อมือ “อวี๋ลู่ฉลาดและน่าเอ็นดูกว่าเจ้ามากนัก”


เด็กสาวไม่กล้าพูดเหลวไหลอีก


อาจเป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่เดินทางกันมาเป็นไปด้วยความราบรื่น อีกทั้งพฤติกรรมของราชครูต้าหลีที่ห่มหนังของเด็กหนุ่มยังไร้แก่นสารเกินไป ถึงได้ทำให้ใจของนางเกิดความดูแคลนอย่างไม่ประมาณตน


สายตาของเด็กหนุ่มเลื่อนลอย พึมพำเสียงแผ่วเบา “กถามรรคสูงส่ง ธรรมะไกลห่าง กฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างตั้งรากฐานเป็นของตัวเองแล้ว เมธีร้อยสำนักที่เหลือจะแก่งแย่งกับสามลัทธินี้ได้อย่างไร? จะก่อตั้งลัทธิได้อย่างไร? หรือว่าจะไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเลยจริงๆ? ต้องการให้ข้าเรียนรู้จากฉีจิ้งชุน เรียนรู้จากความรู้ความเข้าใจของตาเฒ่า แล้วอาศัยความรู้และประสบการณ์ของตัวเองตั้งตนเป็นอิสระให้ได้? แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่า ตอนนั้นข้าก็ทำแบบนี้ ถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ทว่าตาเฒ่าฝ่ามือเดียวของเจ้าก็ตบข้าให้ตายได้ เจ้าต้องการให้ข้าทำยังไงกันแน่? เจ้าก็บอกมาตรงๆ เลยสิ!”


เป็นอีกครั้งที่เขาน้ำตาไหลอาบเต็มหน้าอย่างที่เด็กหนุ่มไม่อาจยั้งตัวเองได้


เมื่อภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏตรงหน้าเด็กสาวเซี่ยเซี่ย นางกลับไม่มีความคิดว่าอีกฝ่ายน่าหัวเราะเยาะอีกแล้ว กลับกันนางยังอยากให้ตัวเองเป็นคนหูหนวกจะได้ไม่ต้องได้ยินอะไรด้วยซ้ำ


เด็กหนุ่มหันหน้ามาทั้งที่น้ำตายังหลั่งริน เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “นังหนูน้อย เจ้าติดค้างชีวิตข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว จำไว้ว่าวันหน้าต้องชดใช้คืน”


……


เฉินผิงอันกลับไปที่กระโจมหนังแล้วก็พลันปวดหัว


ในกลุ่มของเขามีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง


นางสวมกระโปรงสีขาว ผิวพรรณนวลเนียนยิ่งกว่าหิมะ ริมฝีปากดำคล้ำ แผ่กลิ่นอายมืดทะมึนไม่เหมือนคนมีชีวิต


สตรีผู้นี้นั่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอี ส่วนเทพหยินที่ใบหน้าเลือนรางผู้นั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง ดวงตาจับจ้องไปยังสถานการณ์บนกระดานหมาก


หลี่เป่าผิงก็นั่งยองอยู่ด้านข้าง แม่นางน้อยไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ที่ว่าเวลาดูคนเล่นหมากล้อมไม่ควรพูด ไม่ว่าจะเป็นหลินโส่วอีหรือสตรีแปลกหน้า ใครก็ตามที่วางตัวหมากนางจะต้องวิจารณ์สักคำสองคำ


มีเพียงอวี๋ลู่ที่เฝ้ารถม้าคันนั้น ไม่ได้เข้ามาใกล้กองไฟแถบนี้


เฉินผิงอันอึ้งงันเล็กน้อย นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่?


หลี่ไหววิ่งเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วพูดเสียงเบาว่า “พี่สาวท่านนี้เปิดเผยอย่างมาก แค่เจอหน้ากันก็บอกตามตรงว่าตัวเองคือภูตผีที่มาจากวัดเจ้าแม่ชิงบนยอดเขา เพราะตอนมีชีวิตอยู่ชอบเล่นหมากล้อมมากที่สุด บวกกับที่ตอนนี้ที่วัดเล็กมีพวกปัญญาชนที่มาค้นหาความแปลกใหม่ ร่ำสุราแต่งกลอน นางถูกรบกวนจนหงุดหงิดใจจึงลงจากเขามาเดินเล่น พอดีเห็นว่าหลินโส่วอีกำลังย้อนเล่นหมากล้อมทบทวนก็อดไม่ไหวอยากจะแข่งด้วยสักตา นางยินดีนำตำราหมากล้อมที่มีเพียงเล่มเดียวมามอบให้หลินโส่วอีเพื่อแทนคำขอบคุณ พอผู้อาวุโสเทพหยินลองสอบถามดูแล้ว เขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากจึงรับปากนาง”


เฉินผิงอันไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อม บวกกับที่กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดจึงชอบที่จะวางหมากอย่างเชื่องช้า ดังนั้นหลังจากที่หลินโส่วอีมีเซี่ยเซี่ยและอวี๋ลู่เป็นเพื่อนเล่นหมากล้อมด้วยแล้วจึงไม่ค่อยมาขอให้เฉินผิงอันเล่นด้วย เฉินผิงอันรู้ดีว่าตนไม่ถนัดด้านการเล่นหมากล้อมจึงไม่คิดจะศึกษาอย่างลึกซึ้ง กลับเป็นหลินโส่วอีที่ชอบจะศึกษาอยู่กับตัวเองเพียงลำพังเวลาพักผ่อน ท่าทางอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเหมือนหลวงจีนเฒ่า แค่มองก็รู้แล้วว่าได้รับการกล่อมกลืนมาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่กับบ้าน


เฉินผิงอันเดินไปถึงข้างกองไฟ ไม่ได้เข้าใกล้กลุ่มคนที่กำลังเล่นหมากล้อม แต่หยิบฟืนกำหนึ่งเติมเข้าไปในกองไฟ ทว่าต่อให้เป็นหลินโส่วอีที่กำลังตั้งใจเล่นก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองเฉินผิงอัน สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้เย็นชามีแววขออภัยเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะเทพหยินที่ติดตามพวกเขาออกเดินทางไกลในครั้งนี้ก็เคยอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดหลังเหตุการณ์มรสุมของผีสาวสวมชุดแต่งงานว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ได้รับควันธูปจากเส้นทางต่างๆ ซึ่งไม่ได้ถูกรับเข้าทำเนียบภูเขาแม่น้ำ ต่อให้ตบะสูงแค่ไหน ชื่อเสียงดีเท่าไหร่ก็ได้แต่ถูกจัดให้เป็นพวกภูตผีปีศาจวัตถุธาตุหยินเท่านั้น ไม่ได้ดีไปกว่าผีเร่ร่อนไร้ที่พึ่งพิงกว่าเขาสักเท่าไหร่


เฉินผิงอันโบกมือยิ้มๆ “ไม่เป็นไรๆ พวกเจ้าเล่นกันต่อเถอะ”


ผีสาวเล่นหมากล้อมอย่างมุ่งมั่นจนลืมตน สองนิ้วคีบหมากสีดำตัวหนึ่ง เอามือเท้าคาง ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น


เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการเล่นหมากล้อมของผีสาวก็ไม่ได้สูงสักเท่าไหร่ หาไม่แล้วก็คงไม่ถึงขั้นถูกหลินโส่วอีนำไปแบบขาดลอยเช่นนี้


เฉินผิงอันนั่งอยู่ห่างจากกองไฟค่อนข้างไกลอยู่เพียงลำพัง สายตาแอบหลอบมองไปยังเทพหยิน ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ แสดงให้รู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง สตรีผู้นี้ไม่อาจสร้างเรื่องก่อราวอะไรได้


เฉินผิงอันถึงได้วางใจอย่างแท้จริง


เดิมทีเมื่อไปถึงนอกด่านเหย่ฟูต้าหลี เทพหยินก็ต้องแยกทางกับพวกเขา จากนั้นก็ย้อนกลับทางเดิมไปที่อำเภอหลงเฉวียน แต่เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน บอกว่าจะไปส่งต่ออีกสักหน่อย ไม่ได้ทำตามคำสั่งของหยางเหล่าโถว แต่เกิดจากความต้องการส่วนตัว


เฉินผิงอันไม่เข้าใจ แต่เห็นท่าทางยืนกรานหนักแน่นของเทพหยินจึงยอมรับแต่โดยดี


จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลูอีกครั้ง


รอจนเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาก็ค้นพบว่าเทพหยินมานั่งอยู่ข้างกาย หันหลังให้กับคนและผีที่เล่นหมากล้อมกันอยู่ ส่งยิ้มมาให้เฉินผิงอัน


เฉินผิงอันถาม “มีธุระอะไรหรือ?”


วัตถุหยินอืมรับหนึ่งทีแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าใกล้จะต้องกลับไปแล้ว จึงมาบอกลาเจ้าก่อน”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


วัตถุหยินพลันเอ่ยเรียกเฉินผิงอัน


ในขณะที่เด็กหนุ่มยังงุนงงไม่เข้าใจอยู่นั้น เขาก็พลันเบิกตากว้าง เพราะมองเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นเคย เทพหยินที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงรีบยกนิ้วทำมือเป็นท่าเงียบเสียง และไม่นานก็กลับคืนรูปลักษณ์ประหลาดหน้าตาพร่าเลือนอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง เทพหยินใช้เวทลับสื่อสารกับเด็กหนุ่มทางจิต เสียงของเขาที่ดังในหัวใจเฉินผิงอันอ่อนโยนยิ่ง “เสี่ยวผิงอัน ขอบคุณที่ตลอดหลายปีมานี้เจ้าช่วยข้าดูแลเสี่ยวช่าน ข้าซาบซึ้งใจมาก อีกทั้งเจ้ายังยกปลาหนีชิวตัวนั้นให้กับเสี่ยวช่าน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบแทนเจ้าอย่างไร จริงๆ นะ หากเป็นไปได้ ข้ายินดีมอบชีวิตนี้ให้กับเจ้า แต่ข้าทำไม่ได้…”


ดวงตาของเฉินผิงอันแดงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกว้าง


เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจงดงามรู้สึกดีใจแทนกู้ช่านจากใจจริง


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ข่มกลั้นความเสียใจของตัวเองเอาไว้ไม่ได้


เทพหยินชูหมัดทำท่าทุบลงบนหัวใจของตัวเอง เอ่ยกลั้วรอยยิ้ม “เฉินผิงอัน ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดและไกลที่สุด!”


เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ร่างของเทพหยินก็สลายหายไปแล้ว


ปีนี้เฉินผิงอันอายุสิบสี่ปี


เด็กหนุ่มชุยฉานอายุสิบห้า หลินโส่วอีอายุสิบสอง หลี่เป่าผิงเก้าขวบ หลี่ไหวเจ็ดขวบ อวี๋ลู่สิบสี่ เซี่ยเซี่ยสิบสาม

 

 

 


ตอนที่ 135

 

 สะบัดเสื้อ

โดย

ProjectZyphon

เซี่ยเซี่ยกลับมาที่ข้างกองไฟ หลินโส่วอีกับเจ้าแม่ชิงกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการแข่งขัน เด็กสาวเหลือบมองสถานการณ์บนกระดานหมากล้อมก็พลันไม่สบอารมณ์ ยื่นมือขยับเข้าใกล้กองไฟ


เฉินผิงอันผ่ากิ่งไม้ออกเป็นท่อนๆ เมื่อสร้างกระโจมหยาบๆ สามหลังเสร็จก็มาเรียกหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยจึงอ้าปากหาวหวอดแล้ววิ่งไปนอนในกระโจมหนึ่งหลัง นอกจากนี้หลี่ไหวกับหลินโส่วอีนอนด้วยกันในกระโจมหลังหนึ่ง เด็กสาวเซี่ยเซี่ยเองก็มีกระโจมเป็นของตัวเองหลังหนึ่ง อวี๋ลู่มักจะนอนตรงตำแหน่งที่นั่งของสารถีขับรถม้าโดยเอาพรมปูพื้นครึ่งผืน อีกครึ่งผืนใช้ห่อตัวก็สามารถผ่านค่ำคืนหนึ่งไปได้แล้ว


แน่นอนว่าในเวลาส่วนใหญ่คนทั้งกลุ่มมักจะหาที่พัก โรงเตี๊ยมหรือไม่ก็วัดในภูเขาเจออย่างราบรื่นเสมอ


เคยมีคืนหนึ่งที่พายุฝนฟ้าคะนอง อาศัยแสงตะเกียงที่ริบหรี่ กว่าพวกเขาจะหาบ้านของคนรวยหลังหนึ่งเจอได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าของบ้านเป็นถึงอดีตซื่อหลางกรมครัวเรือนของแคว้นหวงถิง ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีที่มาสร้างบ้านตากอากาศซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาขมีขมันในการต้อนรับแขกอย่างยิ่ง ได้เห็นปัญญาชนน้อยที่แบกหีบหนังสือทัศนาจรไกลอย่างพวกหลี่เป่าผิง ผู้เฒ่าก็ดีใจเป็นล้นพ้น ต่อให้จะรู้ว่าพวกเขามาจากแคว้นต้าหลีที่ถือได้ว่าเป็นแคว้นศัตรูครึ่งหนึ่ง ซือหลางเฒ่าก็ยังต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น สำหรับเรื่องอาหารการกิน ผู้เฒ่าก็ยิ่งยึดปฏิบัติในหลักของอริยะอย่าง “อาหารชั้นเลิศต้องปรุงอย่างพิถีพิถัน” ทำให้พวกเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่


หลังจากนั้นเมื่อได้ทำความรู้จักกันก็ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะถูกชะตากับแม่นางน้อยหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่มากเป็นพิเศษ พอรู้ว่าแม่นางน้อยชอบอ่านบันทึกการเดินทางก็ไม่เพียงแต่มอบบันทึกการเดินทางที่ตัวเองเก็บไว้มาให้หลายเล่ม ยังยืนกรานว่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวชมสถานที่แห่งหนึ่งด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือหน้าผาใหญ่ริมแม่น้ำสายหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก พื้นผิวของหน้าผาราบเรียบดุจกระจก ด้านบนยังมีหินแก่สลักโบราณที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานกี่ปี ตัวอักษรที่แก่สลักไม่เคยมีสืบทอดในตำรา ยากจะทำความเข้าใจ ในประวัติศาสตร์มีนักกวีและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนมาชื่นชมภาพอัศจรรย์ของที่แห่งนี้ กระดาษลอกลายหินแกะสลักของที่นี่จึงเป็นที่นิยมมากในแคว้นหวงถิงและแคว้นต้าสุยที่อยู่เหนือขึ้นไป แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ความหมายที่แท้จริงของตัวอักษรเหล่านั้น แต่ละคนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป ไม่มีใครหาข้อสรุปที่ทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้เจอ


ตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยแนที่เพียงแค่ปรายตามองหินหน้าผาไกลๆ ก็เอ่ยว่านั่นคือ “ฝีมือแกะสลักจากมหาเทพแห่งสายฟ้า คือถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์”


ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ เมธีและปราชญ์หลายรุ่นหลายสมัยตั้งใจศึกษาค้นคว้ากันถึงขนาดนั้นก็ยังไม่กล้าตั้งข้อสรุป การที่ซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงไม่เห็นคำพูดส่งเดชของเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าคนหนึ่งเป็นสำคัญก็มีเหตุผลพอจะเข้าใจได้


หลังออกจากบ้านพักของซือหลางเฒ่ามาแล้ว ทุกครั้งที่เฉินผิงอันทำอาหารกลางดินกลางทรายบนป่าเขาก็จะค้นพบว่าสายตาของทุกคนไม่ค่อยจะปกตินัก โดยเฉพาะแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ยังเอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งอยากจะปกปิดกลับยิ่งเป็นการเปิดเผยความคิดที่แท้จริงว่า “อาจารย์อาน้อย กับข้าวที่ท่านทำอร่อยมาก จริงๆ นะ ไม่แย่ไปกว่าอาหารของที่บ้านหม่าซือหลางเลยแม้แต่นิดเดียว!”


หลี่ไหวเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน หลังจากบอกกล่าวกับหลินโส่วอีหนึ่งคำก็ไปนอนในกระโจม หลินโส่วอียังไม่ง่วงจึงเล่นหมากล้อมกับเจ้าแม่ชิงผู้นั้นต่อไปเพื่อตัดสินให้รู้แพ้รู้ชนะ


หลินโส่วอีบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปที่วัดเล็กบนยอดเขากับเจ้าแม่ชิงเพื่อไปเอาตำราหมากล้อมอันล้ำค่าที่สอดไว้ในซอกผนังของวัดเล็กมา คงเพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะเป็นห่วง เด็กหนุ่มจึงอธิบายยิ้มๆ ว่าเดิมทีเจ้าแม่ชิงจะเดินทางไปกลับเพียงลำพัง เป็นเขาที่เสนอตัวว่าจะไปด้วย


เฉินผิงอันไม่สะดวกให้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หลินโส่วอีระมัดระวังเวลาเดินทางตอนกลางคืน


เด็กหนุ่มและภูตผีแห่งวัดเล็กที่ได้รับควันธูปจากการกราบไหว้ของชาวบ้านจึงขึ้นเขาไปพร้อมกัน เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของหนึ่งคนหนึ่งผีที่ค่อยๆ ห่างไปไกล อาจจะด้วยกฎเกณฑ์ที่มีเฉพาะบนภูเขา เท้าทั้งสองข้างของเจ้าแม่ชิงจึงไม่ติดพื้น ร่างลอยล่องไปด้านหน้า อีกทั้งเบื้องหน้ายังมีไฟผีพุ่งใต้สีเขียวเรืองรองอยู่จุดหนึ่งที่ส่องสว่างไปสี่ทิศ บวกกับข้างกายคือบัณฑิตสวมชุดเขียว คนทั้งสองจึงพูดคุยกันถูกคอ เป็นเหตุให้ภาพเหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้คนหวาดผวา กลับยิ่งดูคล้ายคลึงกับบทกลอนที่บันทึกไว้ในบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำของหลี่เป่าผิงเล่มที่ว่า “ฉวยโอกาสที่อารมณ์ฮึกเหิม ถือเทียนส่องสว่างท่องเที่ยวยามราตรี ” หลายส่วนด้วย


……


หลังจากเด็กสาวเซี่ยเซี่ยจากไป เด็กหนุ่มชุยฉานก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงเพียงลำพัง บางครั้งนกกลางคืนก็ร้องเสียงดังชวนเศร้าสลดใจขึ้นมาท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ชาวบ้านแคว้นหวงถิงเรียกนกชนิดนี้ว่า “นกพลัดถิ่น” ไม่เป็นมงคลนัก เพราะมักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับการ “แจ้งข่าวคนตาย” “ฝันร้าย” เป็นต้น


ควันดำกลุ่มหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ผ่านแมกไม้ บินโฉบมาหยุดข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วหยุดนิ่งกลางอากาศ


เด็กหนุ่มหยุดความคิดสะระตะวุ่นวายในหัวลง เอ่ยปากถาม “จะไปแล้วหรือ?”


เทพหยินที่มาจากเมืองเล็กพยักหน้ารับ “ยันต์คุ้มกันกายที่หยางเหล่าโถวมอบให้สามารถป้องกันลมพายุปราณหยางและอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณที่มาจากหน้าด่านของเมืองต่างๆ ได้จริง แต่เมื่อมีด่านเหย่ฟูของต้าหลีเป็นจุดหมายปลายทาง ไปกลับก็ใช้หมดพอดี ข้าตัดสินใจมาส่งถึงภูเขาเหิงซานแคว้นหวงถิงเองโดยพลการก็ถือว่าเกินกำลังของตัวเองมากแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงแถบของแม่น้ำซิ่วฮวาและอำเภอหว่านผิงอาจจะเริ่มเจอกับความยากลำบาก”


ใบหน้าของเทพหยินเหมือนริ้วน้ำบนทะเลสาบที่กระเพื่อมไหว เหมือนเปลวเพลิงที่แกว่งไว เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง พร่าเลือนมองไม่ชัดเจน เขากล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “แม้ไม่รู้ว่าหยางเหล่าโถวตกลงอะไรกับเจ้า แต่ข้าหวังว่าก่อนหน้าที่จะไปถึงสำนักศึกษาแห่งนั้นของต้าสุย ใต้เท้าราชครูจะปฏิบัติต่อพวกเฉินผิงอันอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ”


เมื่ออยู่กับเทพหยิน เด็กหนุ่มชุดขาวก็ยังพอจะมีความเกรงใจอยู่บ้าง “ข้าจะพยายามเต็มที่ก็แล้วกัน”


เทพหยินพลันถามยิ้มๆ “ใต้เท้าราชครูเชื่อหรือไม่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว?”


เด็กหนุ่มชุยฉานส่ายหน้า “ไม่เคยเชื่อ หากเจ้าคิดจะโน้มน้าวให้ข้าสร้างบุญกุศลให้มากล่ะก็ ข้าก็ขอเตือนเจ้ากลับแล้วกันว่า เดินบนวิถีที่แตกต่างไม่อาจคบค้าสมาคม แทนที่จะเป็นกังวลว่าข้าจะคุ้มครองเฉินผิงอันที่เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเจ้าหรือไม่ ไม่สู้เป็นกังวลว่าลูกเมียที่อยู่ห่างไปไกลในที่ซึ่งเจ้ามองไม่เห็นจะถูกสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบเจี่ยนซูมองเป็นหมากสองตัวที่นำมาจับวางตามอำเภอใจหรือไม่ดีกว่า”


 เทพหยินถอนหายใจ กล่าวอย่างจนใจว่า “กำลังของคนเรายังต้องมีวันที่หมดสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับข้าซึ่งเป็นวัตถุธาตุหยินที่ฟ้าดินรังเกียจเดียดฉันท์?”


ชุยฉานคลี่ยิ้มกล่าว “มหามรรคาไม่มีทางตัน ต่างก็แค่ว่ายากหรือง่ายเท่านั้น รวมธาตุหยินเป็นผี รวมธาตุหยางเป็นเทพ ไม่เกี่ยวกับว่าจะใช่คนหรือไม่ อีกทั้งตอนนี้ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทพ ลองนึกถึงภูตผีในหนองบึงในภูเขาพวกนั้นดู เส้นทางการฝึกตนของพวกเขาต่างหากที่เรียกว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคอย่างแท้จริง”


เทพหยินหัวเราะเสียงแหบพร่า “เป็นเช่นนี้จริง”


เทพหยินเงียบไปนาน แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีท่าทีว่าจะย้อนกลับไปต้าหลี


เด็กหนุ่มชุยฉานจึงถามว่า “ทำไม ยังมีเรื่องอยากพูดหรือ? ข้ารู้ว่านอกจากตอบแทนบุญคุณแล้ว ตัวเจ้าเองยังเห็นดีในตัวเฉินผิงอัน แต่เจ้าคงไม่รู้ว่า ข้าเองก็เห็นดีในตัวเด็กหนุ่มคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ทั้งยังรู้ก่อนใครเสียอีก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องภายในของมหามรรคา ไม่อาจอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด เจ้ารู้ไว้แค่ว่า แม้ว่าตอนนั้นตัวข้าจะอยู่เมืองหลวงต้าหลี แต่กลับให้ความสนใจในตัวเฉินผิงอันไม่ได้ช้าและไม่ได้น้อยไปกว่าหยางเหล่าโถวเลย”


เทพหยินส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”


เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี มีลมก็รีบๆ ผายออกมา”


เทพหยินไม่ถือสา เอ่ยเนิบช้าว่า “คำกล่าวเรื่องกิจการและความดีความชอบ ผลประโยชน์แห่งแคว้น ผลประโยชน์ของประชาชน ข้านับถืออย่างมาก แม้ว่าภายในของลัทธิขงจื๊อจะมีคำตำหนิในทางร้ายมากกว่าคำชม แต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ข้าก็เชื่อแล้วว่า ไม่ว่าอีกร้อยอีกพันปีให้หลังจะเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องที่ลูกหลานรุ่นหลังต้องสวดมนต์ภาวนากันเอาเอง ไม่สู้ใช้ความรู้สร้างบุญกุศลให้แก่สรรพชีวิตในปัจจุบัน ให้ได้มาซึ่งความสงบสุข นี่ต่างหากที่สำคัญกว่า”


เด็กหนุ่มชุดขาวประหลาดใจเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง อดหันหน้ามาถามไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็จะสนับสนุนในแนวคิดของข้าด้วย?”


เทพหยินทำท่าที่อยู่เหนือการคาดเดาของผู้คน เขาถึงขนาดเลียนแบบพิธีประสานมือโค้งคำนับอย่างนอบน้อมเหมือนเวลาที่ผู้ด้อยอาวุโสของลัทธิขงจื๊อปฏิบัติอาจารย์ปราชญ์ผู้ล่วงลับ แล้วเอ่ยเสียงต่ำแต่กังวานว่า “การคำนับของข้าผู้แซ่กู้ในครั้งนี้ ไม่ได้คำนับต่อราชครูต้าหลีอะไร แต่คำนับต่อความรู้และคุณธรรมที่สูงส่งของท่านชุยฉาน”


จนกระทั่งเทพหยินผู้นั้นทะยานห่างไปหลายร้อยลี้แล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวถึงเพิ่งคืนสติ บนใบหน้าตัดสลับไปด้วยความเศร้าหมองและปลาบปลื้ม


สุดท้ายเด็กหนุ่มชุดขาวเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กิ่งไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ายิ่งโค้งงอ ทันใดนั้นเขาพลันสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง เอามือไพล่หลัง ไม่เหลือสีหน้าหดหู่รันทดอีกต่อไป


บนร่างของเด็กหนุ่มพลันมีมาดของความซื่อตรงยิ่งใหญ่เปี่ยมไปด้วยอิสระเสรี


……


ตอนที่หลินโส่วอีย้อมกลับมา สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ มือกำตำราโบราณสีออกเหลืองเล่มนั้นไว้แน่น นั่งลงข้างกองไฟ


เฉินผิงอันถาม “เป็นอะไรไป?”


หลินโส่วอีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ไอ้พวกกากเดนปัญญาชน! บัณฑิตที่เป็นชนชั้นสูงของแค้นหวงถิงพวกนั้นรวมตัวดื่มสุราอยู่ในวัดเล็กก็ยังพอทน แต่นี่กลับยังทำพฤติกรรมไร้มารยาทต่ำทรามถึงขนาดนั้น! หน้าด้านไร้ยางอาย หมดสิ้นซึ่งสง่าราศี! หากข้าเป็นเจ้าแม่ชิงคงตบเจ้าคนน่ารังเกียจพวกนี้ให้กระเจิงออกไปนานแล้ว”


เฉินผิงอันถามต่อ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวของเจ้าแม่ชิงเองนางก็ไม่ทำอะไรเลยสักอย่างงั้นหรือ?”


หลินโส่วอีพยักหน้ารับ


เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่ว หลิ่วตาตาม”


หลินโส่วอีเงยหน้า รู้สึกไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่เมื่อเด็กหนุ่มที่จิตใจว้าวุ่นไม่อยู่กับร่องกับร่อยได้เห็นใบหน้าดำน้อยๆ ที่คุ้นเคย หลินโส่วอีก็พลันสงบใจลงลง ถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”


 

 

 


ตอนที่ 136

 

 ด้านล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้

โดย

ProjectZyphon

หากต้องนอนกลางป่ากลางเขาเมื่อไหร่ การเฝ้ายามตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะไปถึงจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันจะรับผิดชอบเฝ้าครึ่งคืนแรก จูเหอที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าเรือนกายแข็งแรง สามารถอดนอนได้ดีกว่า ตอนนี้จูเหอจากไปแล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นหลินโส่วอีที่เฝ้าครึ่งคืนแรก เฉินผิงอันเฝ้าครึ่งคืนหลัง พยายามไม่ให้กองไฟมอดดับ ป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝันที่อาจย่างกรายเข้ามา


เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับเรื่องนี้ ตอนที่เผาเครื่องปั้นอยู่หน้าเตาต้องคอยดูไฟอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าสวรรค์ เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามานานหลายปี แม้ผู้เฒ่าเหยาจะมองว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่ยินดีถ่ายทอดเคล็ดลับการเผาเครื่องปั้นที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุให้ แต่เนื่องด้วยเฉินผิงอันทำงานใช้แรงงานอื่นๆ ได้แทบไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคุ้นชินกับการเฝ้ายามตอนค่ำคืนที่ต้องใช้ความอดทนและความเด็ดเดี่ยวดียิ่งนัก


บวกกับที่ช่วงเวลาเฝ้ายามตอนนี้กลางคืนเงียบสงัดไม่มีคนรับกวน เขาจึงสามารถเอาการเดินนิ่งและยืนนิ่งของตำราเขย่าขุนเขามาฝึกซ้ำเพียงลำพังได้ บางครั้งก็นั่งถักรองเท้าแตะ บ้างก็หยิบเอาแท่นสังหารมังกรขนาดเล็กมาช่วยลับดาบยันต์มงคลให้กับหลี่เป่าผิง


เมื่อการฝึกยืนนิ่งท่าเจี้ยนหลูเริ่มจะเชี่ยวชาญมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมังกรไฟลมปราณเส้นนั้นในร่างเลือกสองช่องโพรงลมปราณเป็นที่พักพิงได้แล้ว ทุกครั้งที่เฉินผิงอันยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราท่าเจี้ยนหลู เมื่อสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มจมจ่อมอยู่กับมันจนร่างทั้งร่างตกอยู่ในสภาวะมหัศจรรย์เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ต่อให้ปีนี้อากาศหนาวหลังฤดูใบไม้ผลิจะยาวนานมากเป็นพิเศษ อากาศร้อนไม่มาเยือนเสียที ทว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันเฝ้ายามในครึ่งคืนหลัง ต่อให้เขาไม่ทันระวังทำให้กองไฟมอดดับลง เฉินผิงอันก็ยังคงไม่รู้สึกถึงอากาศชื้นหนาวเหน็บ ทุกครั้งที่เก็บท่าเจี้ยนหลู ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายด้วยท่าเดินนิ่งก็จะรู้สึกอุ่นสบายไปทั่วทั้งร่างทั้ง เวลาเร่งเดินทางตอนกลางวันจึงไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าให้เห็น


คืนนี้เฉินผิงอันยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ มุมานะฝึกท่าเจี้ยนหลู เพียงไม่นานปราณขุมนั้นที่อยู่ในร่างกายจึงไหลออกจากช่องโพรงลมปราณจุดตันเถียนเหมือนปลาหลีที่ลอยทวนกระแสน้ำค่อยๆ ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรทีละนิด จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ช่องโพรงซึ่งปราณกระบี่หายไปอยู่ชั่วครู่เหมือนคนเดินทางที่หยุดพักนอนยังจุดพักม้า แล้วก็เหมือนคนเดินเขาที่พักหายใจอยู่กึ่งกลางภูเขา จากนั้นก็บุกตะลุยขึ้นหน้าต่อไปรวดเดียว อ้อมผ่านไปทางต้นคอด้านหลัง สุดท้ายพุ่งตรงเข้าสู่กลางหว่างคิ้ว


หลังลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวทิ้งหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เขย่งปลายเท้ากระโดดเบาๆ สองสามทีแล้วหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็วก็เห็นว่าอวี๋ลู่ลงจากรถม้า เดินมาช้าๆ ตรงหน้าอกหอบเอากิ่งไม้บางส่วนที่ไม่ค่อยจะแห้งนักมาด้วย เขานั่งยองลงข้างกองไฟ เรียนแบบการสร้าง “เตาไฟ” ของเฉินผิงอันโดยการค่อยๆ ใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่โยนเข้าไปส่งเดช และไม่นานกองไฟก็เริ่มลุกโชนขยายใหญ่


อวี๋ลู่ยื่นมือไปอังไฟแล้วถูเข้าด้วยกันเบาๆ หันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “เฉินผิงอัน วันหน้าให้ข้าช่วยเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยไหม? ท่ายืนนิ่งของวิชาหมัดมวยที่เจ้าต้องฝึกนี้ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรวอกแวก อันที่จริงร่างกายข้าก็แข็งแรงพอใช้ เชื่อว่าเจ้าเองก็น่าจะดูออก ดังนั้นหากเจ้าเชื่อใจข้า สามารถยกสองชั่วยามก่อนฟ้าสางให้ข้าเป็นคนเฝ้ายามได้”


เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “อวี๋ลู่ ความหวังดีของเจ้าข้ารับไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องการให้เจ้ามาเฝ้ายามตอนกลางคืน”


อวี๋ลู่รู้ว่าความหมายในคำพูดของเฉินผิงอันก็คือ ยังไม่วางใจจะฝากความปลอดภัยของทุกคนไว้ที่ตัวเขาอวี๋ลู่ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงพยักหน้ารับ “หากเวลาไหนต้องการสามารถบอกข้าได้ ข้าเองก็อยากทำอะไรเพื่อทุกคนบ้างเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่สบายใจ”


เฉินผิงอันมองใบหน้าที่ถูกแสงเพลิงสาดสะท้อน เหลี่ยมมุมคมสันชัดเจน ดวงตาสุกสว่าง มากพอจะทำให้คนสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของเขา


เฉินผิงอันจึงตอบรับยิ้มๆ “ตกลง”


อวี๋ลู่เอ่ยชวนคุย “ดูตามเวลาแล้ว ตอนนี้ถือว่าเข้าช่วงหน้าร้อน แต่อากาศกลับยังเหมือนช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิอยู่เลย”


เฉินผิงอันเออออตาม “ปีนี้ค่อนข้างจะประหลาดอยู่บ้าง”


อวี๋ลู่คุยเล่นอยู่อีกสองสามคำก็ลุกขึ้นบอกลา เฉินผิงอันมองส่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จากไป


ฟังจากที่หลินโส่วอีเล่าให้เขาฟังเป็นการส่วนตัว ยามที่อวี๋ลู่เล่นหมากล้อม แม้มองดูเหมือนพลังพิฆาตจะไม่มาก ไม่ได้คล่องแคล่วดุจมีเทพช่วย แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเทียบกับเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่เปิดและปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เลือดสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ อันที่จริงเขากลับร้ายกาจยิ่งกว่า


เฉินผิงอันค้นพบมานานแล้วว่าอวี๋ลู่เป็นคนที่ทำอะไรละเอียดอ่อน พิถีพิถันรอบคอบอย่างยิ่ง หลินโส่วอีบอกว่าเวลาที่อวี๋ลู่ทำอะไรก็ตามล้วนมั่นคงรอบคอบยิ่งกว่าขุนนางเฒ่าในจวนที่ว่าการที่เชี่ยวชาญเสียอีก


เฉินผิงอันเคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเพียงแค่เคยได้เห็นเขาถักรองเท้าแตะกับตาตัวเองครั้งสองครั้ง เพียงไม่นานอวี๋ลู่ก็สามารถถักได้เอง อีกทั้งยังทำได้เหมือนมาก ที่สวมอยู่บนเท้าคู่นี้ก็มาจากฝีมือของอวี๋ลู่เอง หรือยกตัวอย่างเช่นทุกครั้งที่เฉินผิงอันตกปลา อวี๋ลู่ก็มักจะยืนมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ ดูว่าเฉินผิงอันเหวี่ยงเบ็ดเวลาไหน เหวี่ยงไปตกตรงช่วงไหนของธารน้ำ ยกคันเบ็ดขึ้นมาอย่างไร ตกปลาตัวใหญ่ได้แล้วควรจะลากปลาอย่างไรให้หัวปลาสูงพ้นเหนือน้ำ เมื่อปลาใหญ่เห็นแสงสว่างเหนือผิวน้ำเป็นครั้งแรกควรจะปลดตะขอออกอย่างไร เป็นต้น ภายหลังมีอยู่ครั้งหนึ่งเฉินผิงอันมีธุระจึงต้องไปทำอย่างอื่น อวี๋ลู่จึงเปิดปากขึ้นว่าขอให้เขาทดลองทำดูได้ไหม พอรับคันเบ็ดตกปลามาจากมือเฉินผิงอัน อวี๋ลู่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตกปลามาก่อน ผลกลับได้ปลามาไม่น้อย


สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้เฉินผิงอันล้วนไม่เคยพูดออกมา แค่มองด้วยตาจดจำด้วยใจเท่านั้น เพียงรู้สึกว่าหากเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่าชื่อนี้จริงหรือไม่เป็นคนดี เขาก็ต้องเป็นคนที่ดีมากๆ แต่หากเป็นคนชั่ว เฉินผิงอันก็แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องชั่วถึงขนาดไหน


ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างสงบ


นอกจากกองเพลิงข้างกายเฉินผิงอันที่ค่อยๆ หดเล็กลง ด้านในรถม้ากลับมีตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นมาตั้งแต่เช้า ส่องสว่างไปทั้งคันรถ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดขาวกำลังอ่านตำราอะไรถึงได้ตั้งใจเพียงนี้


ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไร เฉินผิงอันเริ่มกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ เดินไปยังจุดที่มองเห็นได้กว้างที่สุดของกึ่งกลางภูเขาเหิงซาน เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เขาก็เริ่มฝึกหมัดมวย หลังจากนั้นหลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มาร่วมฝึกด้วยกัน มีเพียงหลี่ไหวที่นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ที่ฝึกได้ครู่เดียวก็วิ่งปรู๊ดไปที่อื่น อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเองก็เห็นมาจนชินตาจึงไม่แปลกใจอะไร วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวเลิกผ้าม่านยืนอยู่บนรถม้า มองพวกเขาที่รำมวยจริงจังเป็นขั้นเป็นตอน ช่วงแรกเริ่มสุดยังพ่นลมออกจมูกอย่างดูแคลน ปรายตามองทีเดียวก็ไม่เหลียวแลอีก ทว่าพอเวลาผ่านไปนานวันเข้า ช่วงเวลาที่ราชครูหนุ่มผู้นี้ยืนมองอยู่ไกลๆ กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


คนทั้งกลุ่มกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็เริ่มเดินตามทางภูเขาขึ้นไปบนยอดเขา เดินผ่านวัดเจ้าแม่ชิงที่ถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ต้นไป่โบราณที่อยู่เคียงข้างกับวัดเล็ก หากมองแค่ขนาดของพุ่มใบที่ดกหนา ไม่ได้มองว่าวาสนาลึกล้ำหรือตื้นเขินก็พอจะเทียบเคียงกับต้นไหวโบราณที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้เลย


เดิมทีหลินโส่วอีนึกว่าเฉินผิงอันจะเดินทางต่อ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเดินเข้าไปดูในวัด จากนั้นก็เรียกเขา หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวเข้าไปด้านใน ที่แท้สภาพในวัดเล็กเละเทะอย่างมาก กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เทวรูปดินเหนียวที่วางไว้บนแท่นบูชา ไม่ว่าหลี่ไหวจะชะโงกหน้าไปดูแค่ไหนก็ไม่เห็นเหมือนกับแม่นางผีสาวที่เล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอีเมื่อคืนนี้ ตลอดทางที่เดินทางกันมา หลินโส่วอีพูดคุยกับเทพหยินมากที่สุดจึงรู้เรื่องภายในมากมาย เลยอธิบายให้หลี่ไหวฟังว่า ชาวบ้านในท้องถิ่นจำนวนมากซาบซึ้งที่องค์เทพสิ่งศักดิ์สิทิ์ช่วยปกปักษ์คุ้มครองคนในพื้นที่จึงสร้างเทวรูปขึ้นมากราบไหว้บูชา ร่างทองคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เสวยสุขกับควันธูปจึงมักจะสูญเสียโฉมหน้าที่แท้จริงไป หรืออาจถึงขั้นไม่มีความคล้ายคลึงกับตัวจริงเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่ส่งผลกระทบต่อบุญกุศลที่ได้จากควันธูปซึ่งผู้คนกราบไหว้บูชา


ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามทำความสะอาดในวัดเล็กจนเอี่ยมอ่อง พวกเฉินผิงอันถึงได้เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ก่อนจะจากไป หลินโส่วอีไปนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเบาะรองนั่งเบื้องใต้แท่นบูชาเพียงลำพัง แล้วยกมือกุมประสานบอกลาเจ้าแม่ชิงที่มอบตำราหมากล้อมที่มีเพียงเล่มเดียวให้กับเขา


ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มชุดขาวก็พาอวี๋ลู่เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ชุยฉานกวาดตามองรอบด้าน หลังจากเดินไปหยุดอยู่หน้าแท่นวางเทวรูป มองกระถางธูปใบเล็กที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าซึ่งทำมาจากทองแดงธรรมดาๆ อาจเป็นเพราะผ่านกาลเวลายาวนานมาหลายร้อยปี พื้นผิวกระถางทองแดงจึงใสแวววาว ในกระถางมีธูปที่ยังไหม้ไม่หมดก้านปักรวมกันแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าต่อให้วัดเล็กแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในทำเนียบภูเขาและแม่น้ำแคว้นหวงถิง และในความหมายที่เข้มงวดแล้วควรถือเป็นวัดที่สร้างขึ้นอย่างผิดธรรมเนียมต้องห้าม ทว่าดูจากขนาดของวัดเล็กแห่งนี้ก็ถือว่าได้รับควันธูปเฟื่องฟูรุ่งเรืองแล้ว


เด็กหนุ่มชุดขาวพลันเอ่ยขึ้นว่า “อวี๋ลู่ พบเจอศาลและวัดควรจะเข้ามากราบไหว้สักหน่อย นี่เป็นเรื่องดีซึ่งถือว่าได้ผูกวาสนากับภูเขาและแม่น้ำ”


แม้อวี๋ลู่จะไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ยังโค้งตัวต่ำแล้วคำนับสามครั้ง


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยยืนอยู่นอกประตู ตรงเอวผูกขลุ่ยไม้ไผ่เลานั้นเอาไว้


หลังออกมาจากขอบเขตของภูเขาเหิงซานแล้ว คนทั้งกลุ่มก็มาถึงเมืองแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิง ดีที่ก่อนหน้านี้พวกเฉินผิงอันเคยเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของด่านเหย่ฟูมาก่อนแล้ว บวกกับที่เมืองหงจู๋อันเป็นจุดตัดของแม่น้ำสามสายเจริญรุ่งเรืองมากพอ จึงพอจะมีการเตรียมใจสำหรับเมืองใหญ่กำแพงสูงของฟ้าดินด้านนอกมาบ้างแล้ว แต่กระนั้นหลี่ไหวก็ยังคงเก็บไม้เก็บมือไม่ซุกซนเหมือนเดิม ขนาดหุ่นไม้หลากสีที่มักจะเอามาถือไว้บนมือเป็นประจำก็ยังแอบเอาไปซ่อนไว้ในหีบหนังสือใบเล็ก


สำมะโนครัวของพวกเฉินผิงอันบันทึกไว้ว่าอยู่ในอำเภอหลงเฉวียนแห่งราชวงศ์ต้าหลี ขั้นตอนการเข้าเมืองจึงค่อนข้างราบรื่นรวดเร็ว แม้ว่าเบื้องบนของแคว้นหวงถิงจะเป็นสกุลเกาต้าสุยไม่ใช่สกุลซ่งแคว้นต้าหลี แต่เมื่ออยู่บนแผ่นดินกว้างขวางแถบทิศเหนือที่ถูกต้าหลีฮุบรวมไปทั้งแถบ อีกทั้งต้าหลียังมีวางแผนบุกลงใต้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแคว้นหวงถิงจึงปฏิบัติต่อปัญญาชนต้าหลีที่เดินทางไปศึกษานอกดินแดนด้วยดีมาโดยตลอด ขาดก็แค่ไม่ได้ยกขึ้นหิ้งบูชาเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตก็เท่านั้น เพราะอย่างไรซะไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งพื้นที่ของแคว้นหวงถิงแถบนี้อาจกลายมาเป็นหนึ่งในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าหลีก็เป็นได้


ในฐานะผู้พิชิตพื้นที่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปในอดีต ตอนนี้สกุลหลูไม่เพียงแต่บ้านเมืองล่มสลาย แม้แต่เชื้อพระวงศ์และพระญาติก็ยังถูกลดบรรดาศักดิ์ให้กลายเป็นเพียงนักโทษชาวบ้านชั้นต่ำ บทเรียนนองเลือดก่อนหน้านี้ยังคงแจ่มชัดติดตา


ก่อนจะเข้าเมืองเฉินผิงอันได้สอบถามชาวบ้านท้องถิ่นอย่างละเอียดมาก่อนแล้วว่าในและนอกเมืองมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงอะไรบ้าง เพราะเฉินผิงอันหวังว่าบนพื้นฐานที่ทุกคนปลอดภัย การเดินทางทัศนศึกษาต่างถิ่นในครั้งนี้ของพวกหลี่เป่าผิงจะทำให้พวกเขาได้เห็นเทือกเขาขึ้นชื่อ วัดวาอารามและซากปรักเมืองโบราณมากขึ้นสักหน่อย ไม่ใช่แค่เดินชมนกชมไม้เรื่อยเปื่อย เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วพอไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยกลับไม่เคยได้เห็นอะไรสักอย่าง มีแต่ประสบการณ์นอนกลางดินกินกลางทรายและเร่งรีบเดินทางเท่านั้น


เหมือนกับการเข้าเมืองในครั้งนี้ที่ต้องไปเที่ยวชมศาลเทพอภิบาลเมืองที่ถูกขนานนามว่าเก่าแก่ที่สุดของแคว้นหวงถิง จิตรกรรมฝาผนังของที่นั่นมีภาพนรกภูมิสิบแปดชั้น เล่าลือกันว่าสามารถทำให้คนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ จึงมีชื่อเสียงอย่างมาก


คนทั้งกลุ่มถามทางมาแล้วจึงเดินไปตามถนนใหญ่ที่กว้างขวาง มุ่งหน้าไปยังศาลเทพอภิบาลเมือง


ด้านหลังของทุกคนพลันมีเสียงเอ็ดอึงดังขึ้นมา เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองก็ตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเขามองเห็นภาพเหตุการณ์แปลกใหม่ที่ไม่มีทางปรากฎขึ้นในขอบเขตของต้าหลีแน่นอน เห็นเพียงว่ามีชายหนุ่มหญิงสาวบุคลิกองอาจห้าวหาญประมาณเจ็ดแปดคน ทุกคนสวมอาภรณ์ปลิวไสว ภายใต้การนำของผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่ง พวกเขาพากันเดินอาดๆ ผ่านตรอกซอกซอย บางคนถึงขั้นขี่เสือดำตัวใหญ่ยักษ์เป็นพาหนะ ด้านหลังบางคนมีงูใหญ่สีแดงฉานยาวสองจั้งกว่าติดตามมา และยังมีบางคนแบกคันธนูเขาวัวขนาดมหึมา


ผู้คนที่เดิมทีหลั่งไหลไม่ขาดสายอยู่บนถนนครึกครื้นกลับเบี่ยงตัวหลบเป็นสองฝั่งอย่างรวดเร็ว เด็กบางคนที่ไม่รู้ความถึงขนาดถูกพ่อแม่กึ่งลากกึ่งจูงกระชากออกจากถนนเข้าไปหลบอยู่ในร้านสองฝากทาง งูใหญ่สีแดงสดที่ไม่มีเจ้านายคอยห้ามปรามส่ายหัวสะบัดหาง ตรงสองจุดบนศีรษะยังห่มคลุมด้วยเสื้อเกราะสีแดงสด ขับดันให้สัตว์วิเศษที่ถูกเลี้ยงด้วยเซียนบนภูเขาตัวนี้ยิ่งดูไม่ธรรมดา มันไม่ได้เลื้อยตรงมาข้างหน้าอย่างเดียว แต่คอยเลื้อยไปใกล้ๆ ร้านรวงสองข้างทางเป็นระยะ บางครั้งก็ชูหัวขึ้นเบ่งบารมีต่อหน้าชาวบ้านของเมืองที่หวาดกลัวจนตัวสั่น


มีเด็กน้อยขี้ขลาดคนหนึ่งที่พอถูกงูใหญ่จ้องนิ่งในระยะประชิดก็ตกใจจนห้องไห้จ้า พ่อแม่ที่ตกใจไม่แพ้กันต้องรีบอุดปากลูกให้เงียบเสียง


งูใหญ่เลื้อยไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ทว่าทันใดนั้นมันพลันสะบัดหางฟาดลงไปบนใบหน้าของชายที่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอก จนชายผู้นั้นลอยคว้างไปกลางอากาศ ร่างหมุนติ้วๆ อยู่หลายรอบก่อนร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง หลังจากกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ เขาก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแล้วรีบพาลูกเมียที่หน้าซีดราวไก่ต้มเผ่นหนีไปอย่างทุลักทุเล


เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ห่างไปไกลมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบกาย บางคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บางคนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว บางคนจุ๊ปากชื่นชม อย่างเดียวที่ไม่มีก็คือคนที่รู้สึกว่าการกระทำของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นไม่เหมาะสม


หลินโส่วหยิบยันต์ที่อยู่ในชายแขนเสื้อออกมา ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวยืนอยู่ใกล้กับร้านค้า


ภายใต้การบังคับของสารถีอวี๋ลู่ รถม้าที่เด็กหนุ่มชุดขาวโดยสารมาก็ขยับออกห่างจากเส้นทางเดิมไปหยุดอยู่ใกล้ๆ กับข้างทาง


เพียงไม่นานเหล่าเซียนที่ลงมาจากภูเขาในสายตาของชาวบ้านแคว้นหวงถิงเหล่านั้นก็เดินมาถึงจุดที่พวกเฉินผิงอันยืนอยู่ ริมฝีปากของผู้เฒ่าคนนั้นขยับเบาๆ เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งหมดก็พากันหันมามอง สายตาของทุกคนมีทั้งความท้าทายและความสงสัยใคร่รู้เหมือนกันหมดโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ในที่สุดเจ้านายของงูแดงตัวนั้นก็ตวาดเบาๆ เรียกให้เดรัจฉานที่โอหังกำเริบเสิบสานมาอยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้อาจารย์ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการฝึกประสบการณ์เบื้องล่างภูเขาในครั้งนี้ได้เตือนพวกเขาไปแล้วว่า เมื่อเจอกับกองกำลังบนภูเขาที่ลงมาจากเขาเหมือนกัน ไม่ควรทำตัวเผด็จการไร้เหตุผลจนเกินไปนัก


ตอนที่ผู้เฒ่าเดินผ่านไหล่พวกเฉินผิงอันยังคลี่ยิ้มบางๆ ผงกศีรษะทักทายเด็กหนุ่มหลินโส่วอีเล็กน้อยด้วยมาดของผู้สูงส่ง


ทั้งสองฝ่ายจึงแยกย้ายไปทางใครทางมันเช่นนี้ ดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง


เด็กหนุ่มชุยฉานเดินออกมาจากตัวรถ ยกเท้าถีบเซี่ยเซี่ยทั้งที่จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้ขวางทางแล้วกระโดดลงจากรถ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่ได้ยิน “พ้นจากเขตต้าหลีล้วนเป็นเช่นนี้”


เฉินผิงอันเห็นว่าคนกลุ่มนั้นจากไปไกลแล้วถึงมีเจ้าหน้าที่พกดาบเดินออกมาจัดระเบียบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็แค่การกระทำเอาหน้าเท่านั้น


เฉินผิงอันถามว่า “หน่วยงานราชการของราชสำนักไม่เข้ามาควบคุมบ้างหรือ?”


ชุยฉานยกยิ้ม “หากไม่เต็มใจดูแลก็คงเพราะไม่กล้าควบคุม หรือไม่ก็…อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเหล่าเซียนบนภูเขาบ้างกระมัง”


เฉินผิงอันหันไปมองหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวแล้วเอ่ยเบาๆ “เดินทางกันต่อเถอะ”


ชุยฉานไม่นั่งรถม้าอีก แต่เดินไปช้าๆ อยู่ระหว่างคนสี่คนกับรถม้าคันนั้น


เด็กหนุ่มชุดขาว ไฝสีแดงกลางหว่างคิ้ว ชายแขนเสื้อกว้างปลิวไสว ท่วงท่าราศีดุจเทพเซียน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)