พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1331-1340

 บทที่ 1331 ขออภัยที่ไม่อาจทำตามคำสั่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นเขาไม่แสดงความเห็นอะไร ไห่ผิงซินก็เป็นฝ่ายถอยหลังออกไปเองแล้ว


คนที่อยู่ข้างล่างจึงฮึดกว่าเดิมทันที


“เฟยหง อย่าให้ผู้บัญชาการใหญ่รอนานเชียวนะ!”


“อย่าบอกนะว่าแค่ถือกาสุราให้ผู้บัญชาการใหญ่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมแล้ว?”


“ท่านแม่เฝิง หอมงกุฏงามของพวกท่านทำเกินไปแล้วนะ”


ชัดเจนมากว่ามีคนหลุ่มหนึ่งกำลังจับเฟยหงขึ้นไปย่างบนไฟ อยากจะดูเอาสนุก ปกติเวลาทุกคนจะให้เฟยหงดื่มสุราคำนับ เฟยหงก็จะไม่ไว้หน้าและปฏิเสธอ้อมๆ เห็นแก่คนที่หนุนหลังนาง ทุกคนจึงไม่สะดวกจะบังคับ ตอนนี้มีคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินโผล่มาแล้ว พวกเขาอยากจะเห็นเหมือนกันว่าเฟยหงจะทำอย่างไร มีบางคนหวังจะให้เหมียวอี้กับแม่เฒ่าลวี่มีเรื่องกันสักหน่อย


ผู้บัญชาการใหญ่จ้องเฟยหงโดยไม่ปฏิเสธ สื่อความหมายว่าให้คอยรับใช้ ท่านแม่เฝิงที่อยู่บนชั้นลอยมองดูภาพเหตุการณ์ด้านล่างอย่างร้อนใจ นางกลัวเหมียวอี้จริงๆ ถามหน่อยว่ามีร้านค้าไหนในตลาดสวรรค์ที่ไม่กลัวเหมียวอี้บ้าง เฟยหงประนมมือไหว้ข้างล่างไม่หยุด


ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ทุกคนเฝ้าคอยตัวเองคนเดียว เฟยหงที่หัวเดียวกระเทียมลีบจำต้องหันกลับและเดินขึ้นไปอีกรอบ ไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกับไห่ผิงซินก่อนหน้านี้ ถือกาสุรามารินในจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้จนเต็ม จากนั้นก็ยืนเก็บมืออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ


“ดี!”


กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง เมื่อมีผู้หญิงปรากฏตัวท่ามกลางกลุ่มผู้ชายในสถานบันเทิง ผู้หญิงคนนั้นก็จะต้องกลายเป็นเป้าหมายที่เรียกเสียงฮือฮา การเชิญชวนดื่มเหล้า การเล่นในวงเหล้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสันดานที่เลวร้ายของผู้ชาย เป็นเรื่องที่ปกติสุดๆ


พิธีกรที่คุมงานส่งสัญญาณมืออีกครั้ง มีสาวงามชุดขาวอีกสี่คนปรากฏตัวทันที พวกนางจับคู่เต้นระบำเคล้าเสียงเพลง ได้เสน่ห์รสชาติไปอีกแบบ


ท่านแม่เฝิงที่อยู่บนชั้นลอยโล่งอก ไม่นานพิธีกรก็วิ่งขึ้นมาจัดลำดับการแสดงใหม่ หอมงกุฏงามสามารถพักได้แล้ว


ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ลูกค้าขาจรที่มาจากดาราจักรรอบด้านยังคงสัญจรไปมาตามถนนที่ตลาดสวรรค์ไม่หยุด พนักงานของร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ยังคงผลัดเวรกันมารับลูกค้าไม่หยุด โคมไฟบนทะเลสาบในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทยังคงโชติช่วง มัวเมาในเงินทอง ไม่รู้ว่าในคืนหนึ่งใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองไปเท่าไรแล้ว แค่ค่าใช้จ่ายสำหรับงานนี้งานเดียวก็อาจจะเป็นจำนวนเงินที่นักพรตยากจบางคนนใช้เวลาทั้งชีวิตหาก็หาไม่ได้


นางระบำหลายกลุ่มในลานระบำ หลังจากถอยออกจากลานระบำแล้วก็ยังไม่ออกไปไหน แต่แยกย้ายกันมานั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนแขกตามโต๊ะที่อยู่รอบๆ ทำให้แขกสนุกสนานที่สุด ไม่นานก็โอบกอดกัน ภาพชายหญิงที่คลอเคลียกันกำเริบเสิบสานทั่วทั้งงาน บางคนที่ทนไม่ไหวแล้วมือไม้อยู่ไม่สุขก็มี


มีบางคนถือโอกาสยุให้เฟยหงกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวนั่งดื่มสุราด้วยกัน ทว่าครั้งนี้เฟยหงไม่ยอมถอยให้ นางรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้อยู่ตลอด นางคือคนขายศิลปะของหอนางโลม ไม่ทำเรื่องขายตัวนั่งดื่มสุรากับแขก ที่คอยยืนถือกาสุราให้ข้างกายก็นับว่ายอมถอยให้มากที่สุดแล้ว


เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ไม่บีบบังคับเช่นกัน เขารู้ว่าอวิ๋นจือชิวก็มาร่วมงานนี้ด้วย ถ้าไปโอบกอดคลอเคลียกับหญิงอื่นต่อหน้าฮูหยินตัวเอง กลับไปจะไม่แย่หรอกเหรอ?


ทว่าตอนที่สนุกสนานได้ครึ่งทาง เหมียวอี้ก็ถูกความงดงามของผู้หญิงในงานเลี้ยงยั่วยวนใจ ตอนที่รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือและเพิ่งเอียงหน้ามองไปทางเฟยหงที่อยู่ข้างกาย จู่ๆ เข้าก็กระตุกคิ้วเล็กน้อย พบว่าต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายปั่นป่วน เพลิงจิตเคลื่อนไหวเองโดยไม่ได้ควบคุม แผ่ซ่านอยู่ในร่างกาย กำลังเผาไหม้อวัยวะภายในร่วมทั้งส่วนต่างๆ ทั้งร่างกายจนเกิดควันลึกลับ


เหมียวอี้แอบตกใจ เคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองเป็นอย่างไร มีหรือที่เขาจะไม่รู้ นี่เขากำลังโดนเคล็ดวิชาของตัวเองย้อนทำร้ายเพราะโดนกระตุ้นจากพิษ วิชาอัคนีดารากำลังถอนพิษให้ด้วยตัวของมันเอง


อย่าบอกนะว่าฝ่ายตัวเองวินิจฉัยเหตุการณ์ผิด มีคนต้องการจะลอบสังหารตนจริงๆ? เขารีบตรวจดูสภาพในร่างกายตัวเอง เห็นวัตถุเล็กละเอียดที่เพลิงจิตกำลังกำจัดแล้ว วัตถุสีเหลืองส้มที่มีแสงเล็กน้อยจนแทบสังเกตเห็นไม่ได้กำลังแทรกซึมอยู่ในร่างกายตัวเองแล้ว


สำหรับเหมียวอี้ที่ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนมานานหลายปี ของสิ่งนี้ไม่ได้แปลกตา เป็นราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของลูกแก้วพลังปรารถนานั่นเอง


จำนวนก็ไม่ได้เยอะ ไม่ได้ทำให้ความคิดจิตใจของเขาปั่นป่วน เป็นจำนวนที่เหมือนจะไม่ได้ต้องการลอบสังหารเขา แต่ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นราคะของเขาได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ของสิ่งนี้เข้ามาในร่างกายเขาได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่สังเกตแห็นเลยสักนิด ที่สำคัญก็คือของสิ่งนี้เลือนรางลวงตา จะไม่ออกฤทธิ์เหมือนพิษโดยทั่วไป ถ้าโดนของสิ่งนี้ในจำนวนไม่เยอะก็จะไม่รู้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาฝึกตนของเขากระตุ้นตัวเองจนทำให้เขาสนใจ เขาก็ไม่สังเกตเห็นเลยจริงๆ


ไม่รอให้วิชาอัคนีดาราแก้ปัญหาเองอย่างช้าๆ หลังจากเขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์กำจักสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ก็กวักมือไปทางข้างหลัง


หยางชิ่งไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงก้าวขึ้นมาอยู่ข้างกายเขา แล้วโน้มศีรษะเข้าไปฟังคำสั่งข้างๆ หู


เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อยแล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าโดนพิษแล้ว คนที่กินอาหารอาจจะโดนพิษแล้วเหมือนกัน”


หยางชิ่งแอบตกใจ แต่ดูจากท่าทางของเหมียวอี้แล้วก็ไม่เหมือนคนที่โดนยาพิษ จึงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ของที่นายท่านกิน ก่อนจะส่งมาให้ก็จัดคนมาทดลองกินก่อนทั้งนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรถึงได้นำมาวาง ขนาดคนที่ส่งอาหารมาให้ก็ยังเป็นคนของพวกเราที่ปลอมตัวมาเลย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร จะโดนพิษได้ยังไง?”


คนในงานยังคงเพลิดเพลินกับบทเพลง สุราเลิศรสกับอาหารชั้นดีมีมาวางเต็มที่ มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นแล้วว่าเหมียวอี้กับหยางชิ่งที่อยู่ด้านบนกำลังกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ บางคนแอบระแวดระวัง คงจะไม่มีการนองเลือดอีกใช่มั้ย? พวกเขาโดนเหมียวอี้เล่นงานจนเกิดปมในใจแล้ว


“ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่าตัวเองโดนยาพิษหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม


หยางชิ่งบอกว่า “นายท่านอดทนไว้ก่อน อย่าให้คนอื่นมองออกถึงพิรุธอะไร ข้าจะแอบระดมกำลังพลคุ้มกันส่งนายท่านกลับตำหนักคุ้มเมืองไปคิดหาทางถอนพิษ”


“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ข้ารอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ อุบายตื้นๆ พวกนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าโดนพิษอะไร? ข้าโดนราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จำนวนไม่เยอะหรอก แต่เพียงพอที่จะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของข้าได้? ทำให้ข้าข่มอารมณ์ตัวเองได้ยาก!” เหมียวอี้กล่าว


“เอ่อ…เรื่องนี้ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ นายท่านกินดื่มมาตั้งนานแล้ว ถ้าโดนพิษราคะนั่นจริงๆ ก็น่าจะอาการกำเริบตั้งนานแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทำให้อาการกำเริบในทันที จะรอมาถึงตอนนี้ได้ยังไง?” หยางชิ่งถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “เมื่อครู่ตอนที่เจ้าอยู่ข้างหลังข้า เจ้าได้พบความผิดปกติอะไรข้างกายข้ารึเปล่า? เช่นการกระทำที่ผิดปกติของเฟยหง?”


หยางชิ่งเหล่ตามองเฟยหงแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก พบว่าเฟยหงสงบนิ่งเยือกเย็น พอเห็นพวกเขาสองคนคุยกันก็ไม่แสดงพิรุธใดๆ “ข้ากับเหยียนซิวจับตาดูอยู่ตลอด ไม่กล้ามองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย ถ้าของสิ่งนั้นเข้าทางร่างกายนายท่านจากข้างนอก ลำแสงของมันก็ไม่มีทางเล็ดรอดสายตาของพวกเราสองคนไปได้ ทุกการกระทำของเฟยหงก็ถูกจับตาดูไว้ตลอด ไม่ได้พฤติกรรมที่ผิดปกติใดๆ ในระยะที่ใกล้ๆ ขนาดนี้ การกระทำที่ผิดปกติจะหลบผ่านสายตาไปได้ยังไง มิหนำซ้ำนางยังจงใจรักษาระยะห่างกับนายท่านตลอด”


“ถ้าไม่ได้เข้าสู่ร่างกายจากข้างนอก งั้นก็แสดงว่าเข้าผ่านของกินแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


“ไม่เคยได้ยินว่าของสิ่งนี้สามารถเก็บรักษาอยู่ในของกินได้ ถ้าใส่ในของกินเกรงว่าจะสลายหายไปทันที” หยางชิ่งคิดไม่ตก


“มันต้องมีสักอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะโดนพิษแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าห้ามข้าแล้วปล่อยให้นางเข้าใกล้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามองอะไรออกแล้วหรอกเหรอ?” ในน้ำเสียงเหมียวอี้แฝงอารมณ์โกรธ


คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย! หยางชิ่งจัดระเบียบข้อมูลต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้ แล้วบอกว่า “ถ้าของจำนวนเล็กน้อยแบบนี้เข้าสู่ร่างกาย ก็แทบจะไม่สังเกตเห็นเลย ต่อให้กำเริบแต่ก็ยากที่จะสังเกตเห็น ปริมาณเล็กน้อยจนไม่แสดงอาการเหมือนเวลาโดนพิษตามปกติ ตอนที่นายท่านสังเกตเห็นความผิดปกติ ยืนยันได้มั้ยว่าเป็นก่อนหรือหลังที่เฟยหงเข้าใกล้?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้ากับข้าคิดไปในทางเดียวกันแล้ว ข้าแน่ใจได้ว่าเป็นหลังจากตอนที่นางเข้าใกล้ นางเข้ามาอยู่ใกล้ข้างกายข้า แล้วก็มีของแบบนี้โผล่มา สอดคล้องกันมากจริงๆ”


หยางชิ่งเข้าใจความคิดของเขา พอจะจับทางของเรื่องนี้ได้แล้วเช่นกัน จึงบอกว่า “นายท่านเล่นตามน้ำไปก่อน ข้าน้อยจะทำให้จบลงด้วยดี! แล้วอีกอย่าง ในเมื่อนายท่านสังเกตเห็นและแก้พิษชนิดนี้ได้ ในภายหลังก็ลองตรวจสอบรายละเอียดสิ ดูว่าของนั้นอยู่ในสุราหรืออยู่ในอาหาร จะได้รู้ว่าโดนพิษนี้ได้ยังไง”


เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ


ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้ลุกขึ้น แต่ไม่ได้ถอยกลับไปตำแหน่งเดิม จงใจเดินเข้าไปใกล้ๆ เฟยหง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าผู้บัญชาการใหญ่จะได้ออกมาสนุกสักครั้ง เหตุใดแม่นางเฟยหงจึงดึงดันปฏิเสธ แบบนี้อาจจะไม่ไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่เกินไปแล้ว ทำไมไม่นั่งข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ล่ะ นั่งดื่มสุราข้างกายผู้บัญชาการใหญ่สักสองสามจอกเพื่อแสดงความเคารพไม่ได้เหรอ”


คนด้านล่างสังเกตเห็นสถานการณ์ของด้านบนแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไร


เฟยหงหันตัวมา ย่อกายเล็กน้อยเพื่อคำนับหยางชิ่ง แล้วฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่สูงส่งดุจนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ผู้น้อยเป็นคนเต้นกินรำกิน ไม่บังอาจทำลายชื่อเสียงอันดีงามของผู้บัญชาการใหญ่เด็ดขาด นายท่านได้โปรดเข้าใจ” นี่คือการปฏิเสธอย่างอ้อมๆ แล้ว


หยางชิ่งทำหน้าเข้มแล้ว “เฟยหง นี่เจ้ากำลังไม่ไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่นะ! แล้วถ้าจะให้เจ้ารับใช้นายท่านให้ได้เจ้าจะทำยังไงล่ะ?”


“เฟยหงขายศิลปะไม่ได้ขายร่างกาย ไม่เคยดื่มสุราแนบชิดกายใครมาก่อน ขออภัยที่ไม่อาจทำตามคำสั่ง” เฟยหงตอบ


“เฮอะ!” หยางชิ่งทำเสียงฮึดฮัด แล้วเดินกลับไปข้างกายเหมียวอี้ โน้มตัวกระซิบข้างหูอีกครั้ง


คนที่อยู่ด้านล่างพอจะเดาเบาะแสอะไรได้นิดหน่อยแลว ผู้บัญชาการใหญ่เหมือยจะเริ่มสนใจเฟยหงเข้าแล้ว แต่กลัวภาพพจน์ตัวเองจะไม่ดี จึงส่งลูกน้องไปบอกแทน สงสัยเมื่อครู่นี้จะปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่


ท่านแม่เฝิงที่อยู่บนชั้นลอยหัวใจกระตุกวูบแล้ว


หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ด้านล่างจ้องมองภาพเหตุการณ์ด้านบน อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในศาลาไกลๆ ก็จ้องมาทางนี้เช่นกัน


เหมียวอี้ที่กระซิบกระซาบกับหยางชิ่งเอียงหน้ามองไปทางเฟยหง จากนั้นหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืนเสียเลย เขาเดินอ้อมที่นั่งมาถึงข้างกายเฟยหง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่นางเฟยหง มาเถอะ ข้าดื่มคารวะเจ้าหนึ่งจอก!”


“มิบังอาจ!” ครั้งนี้ไม่สะดวกจะหักหน้า ผู้บัญชาการใหญ่มาดื่มคารวะด้วยตัวเองแล้ว เฟยหงทำได้เพียงรีบหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาอีกจอก รินสุราให้จอกจนเต็มด้วยตัวเอง แล้วบอกว่า “ผู้น้อยคารวะนายท่าน” พูดจบก็ดื่มก่อนแล้ว


เหมียวอี้ก็ดื่มเช่นกัน แต่ดวงตากลับจ้องใบหน้างามของเฟยหงโดยไม่ละสายตาไปไหน รอจนกระทั่งตอนที่เฟยหงโน้มตัววางจอกสุราและแล้วยืนตัวตรง เขาก็ลงมืออย่างกะทันหัน คว้าข้อมือเฟยหงโดยตรง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ให้แม่นางเฟยหงยืนตั้งนาน เป็นความผิดของข้าเอง มานั่งด้วยกันเถอะ”


“ผู้บัญชาการใหญ่…” เฟยหงขัดขืนอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย


ทว่าเหมียวอี้ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น ดึงตัวนางมานั่งที่โต๊ะโดยตรง ฝืนดึงนางไว้ให้นั่งคู่กับเขา


เฟยหงพยายามขัดยืนเพื่อจะยืนขึ้นหลายครั้ง แต่กลับโดนเหมียวอี้ยื่นแขนมาโอบเอวบางเอาไว้ กอดเอาไว้ข้างกายอย่างแนบแน่น เท่ากับนางอยู่ในอ้อมกอดของเขาครึ่งตัวแล้ว ร่างงามที่หอมกรุ่นอ่อนนุ่มอยู่ในอ้อมอก โดนร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไว้ ด้วยวรยุทธ์อย่างเฟยหงจะสู้เหมียวอี้ได้อย่างไร นางโดนควบคุมให้อยู่ข้างกายเขาทันที เรียกได้ว่าทำสีหน้าสุดจะทน


เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย! มีคนในงานจำนวนไม่น้อยที่แอบทอดถอนใจ เจ้าเวรนี่ใจกล้าใช้ได้เลย ขนาดบุตรสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ก็ยังกล้าแตะต้อง


บางคนก็ยิ่งแอบถอนหายใจ หวังว่าเจ้าแซ่หนิวจะไม่ได้คืบแล้วอยากเอาศอกอีก ถ้าผักงามๆ ต้นหนึ่งโดนหมู่ขวิดดัน มันก็จะน่าสะอิดสะเอียนมาก


หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ด้านล่างกัดฟันจนฟันแทบแตก กรอกสุราเข้าปากหลายจอกติดต่อกัน นางพบว่าตัวเองตาถั่วแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยเสียตัวให้สัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ไม่มีทางบรรยายได้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร


อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลาไกลๆ พอเห็นภาพนี้แล้วก็โกรธจนหน้าเขียว ถ้าเจ้าเวรนั่นเล่นสนุกด้วยนิดหน่อยก็ยังพอทน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะชิงตัวผู้หญิงมาโอบกอดต่อหน้าฝูงชน ไม่เห็นหัวข้าเลยรึไง? นางแทบจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบถือดาบเข้าไปฟันให้ตาย


แต่นางก็ไม่ได้โง่ พอได้สบตากับหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่ามีจุดที่น่าสงสัย หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้สถานะของหยางชิ่ง แต่นางกลับรู้ ความสัมพันธ์ของเวยเวยกับเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ หยางชิ่งจะเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหมียวอี้ทำเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร?


พอมองดูหยางชิ่งที่มีท่าทางสงบนิ่งใจเย็นข้างๆ อีก นางก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสงสัย จึงพยายามข่มความเดือดดาลในใจเอาไว้ เตรียมจะดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่


หารู้ไม่ว่าหยางชิ่งสงบเยือกเย็นแค่ภายนอก ที่จริงแล้วในขณะที่มองดูเหมียวอี้ฝืนดึงเฟยหงมากอด ในใจกลับรู้สึกราวกับมีคลื่นโหมซัดสาด


บทที่ 1332 เป็นไปได้เก้าในสิบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้เขายังไม่มีทางแน่ใจได้ว่าเฟยหงคือเป้าหมายที่เขาวางกับดักล่อในคืนนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรตั้งแต่เฟยหงขึ้นเวทีจนกระทั่งตอนนี้ นางก็เป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด เป็นคนที่โดนกดดันโดยไม่เต็มใจมาตลอด เป็นคนที่ถูกบังคับ ภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเข้มงวดของเขาและเหยียนซิว ก็ยังไม่สังเกตเห็นเลยว่าเฟยหงลงมือวางยาพิษเหมียวอี้


และก็เพราะเหตุนี้เอง ถ้าเฟยหงคือคนที่อำนาจลับผลักออกมาจริงๆ เช่นนั้นกำลังของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว เรียกได้ว่าสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่จริงๆ


ทางนี้เพิ่งจะคลายปากกับดัก ยังคิดอยู่เลยว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการแบบไหนให้คนมาเข้าใกล้เหมียวอี้ กำลังตั้งตารออยู่พอดี…


ตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ ผู้ที่มาควรจะเป็นคนที่มีภูมิหลังเป็นคนของทางการ จากนั้นก็อนุมานว่าจะเข้ามาอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองอย่างไร หยางชิ่งกำลังอยากจะรู้เหมือนกันว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อีกฝ่ายจะมีวิธีการอะไรเพื่อเข้ามาพัวพันได้ แต่ใครจะคิดว่าจะมีเฟยหงที่เป็นนางคณิกาของหอนางโลมโผล่มา ช่างเหนือความคาดหมายของหยางชิ่งจริงๆ


ไม่ใช่จะบอกว่าเฟยหงเข้ามาอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ขั้นตอนการหาบัตรผ่านที่ต่อเนื่องกันต่างหากที่ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริด


กุญแจสำคัญของปัญหานี้อยู่บนตัวเฟยหง เฟยหงอยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายพันปีแล้ว รักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยากมาตลอด ทางนี้เปิดจะเปิดปากกับดักเล็กๆ เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่นตกใจ ปากกับดักถึงขั้นเปิดไม่กว้างด้วยซ้ำ ขนาดหยางชิ่งเองยังรู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายเข้าใกล้ได้ยากมาก ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะผลักเฟยหงออกมาได้อย่างเหมาะเจาะมาก


ด้วยความสามารถและชื่อเสียงของเฟยหง การเข้ามาเกี่ยวกันภายใต้โอกาสและสถานที่แบบนี้เหมาะสมเกินไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนสงสัยด้วย


แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? แปลว่าเพื่อที่จะเข้าใกล้เหมียวอี้ อีกฝ่ายไม่ได้เตรียมไพ่อย่างเฟยหงไว้แค่ใบเดียวแน่นอน กำลังรอโอกาสเคลื่อนไหวมาตลอด กำลังดูสถานการณ์เพื่อเผยไพ่ ในมือมีไพ่เลือกเยอะมาก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตำหนักคุ้มเมืองไม่เคยให้โอกาสอีกฝ่ายลงมือเลย พอตอนนี้มีงานเลี้ยง จึงถือโอกาสปล่อยไพ่อย่างเฟยหงออกมา


แล้วแบบนี้จะไม่ให้ในใจหยางชิ่งรู้สึกเหมือนโดนคลื่นซัดได้อย่างไร เฟยหงที่ชื่อเสียงโด่งดังมาก แม้แต่คนทั่วไปยังไม่กล้าแตะต้อง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงเครื่องมือให้คนอื่นใช้งานได้ตามใจประสงค์ ใช้พื้นที่และเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ฉวยโอกาสของงานเลี้ยงคืนนี้ส่งนางมาอยู่ใกล้เหมียวอี้แล้ว!


ในขณะที่เขาสังเกตอย่างละเอียด ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่พบความผิดปกติใดๆ บนตัวเฟยหงเลย


ตอนมาดื่มสุราก็ถูกคนกดดันให้มา ตอนถือกาสุรารินให้ก็ถูกกดดันให้ทำเช่นกัน แม้แต่ตอนโดนเหมียวอี้จับมากอดก็เป็นการบังคับเหมือนกันด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบเฟยหงล้วนเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’  ทำให้คนไม่เจอจุดที่น่าสงสัยใดๆ บนตัวเฟยหงเลย หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตัวเฟยหงเองไม่เผยช่องโหว่อะไรทั้งนั้น วิธีการที่ใช้เข้าหาเหมียวอี้ก็คือโดนกดดัน ไม่อย่างนั้นถ้าโดนกดดันภายใต้สถานการณ์ที่ฉุกละหุกขนาดนี้ ทำไมไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรเลยล่ะ เป็นการใช้กลเม็ด ‘ยั่วยวน’ เวลาที่ผู้หญิงปกติทั่วไปโดนบังคับ เป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงได้ประณีตละเอียดอ่อนขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องแสดงอารมณ์ที่ไม่ปกติบ้างสิ ทว่านางร้องเพลงได้ดี บรรเลงเพลงได้ดี อารมณ์เยือกเย็นไม่สะทกสะท้านเลย!


แบบนี้อธิบายได้ว่าอะไรล่ะ? อธิบายได้ว่าเฟยหงก็คือหมากตัวหนึ่งที่อำนาจบางฝ่ายเตรียมเอาไว้แล้ว นางเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว สาเหตุที่แม่เฒ่าลวี่รับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม ก็เพื่อปกป้องหมากตัวนี้ไม่ให้โดนคนที่ไม่เกี่ยวข้องทำลาย ถึงได้สร้างเหยื่อล่ออันหอมหวานที่เชี่ยวชาญศิลปะแขนงต่างๆ ขึ้นมา เหยื่ออันงดงามที่พอสบโอกาสเหมาะโยนออกไปก็จะแสดงผลทันที!


เหยื่อล่อที่ใช้ความพยายามมากขนาดนี้เพื่อเตรียมไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาจจะเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกเท่านั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังที่อยู่หลังฉากน่ากลัวขนาดไหน!


สิ่งที่ยิ่งแสดงพลังของผู้บงการหลังฉากก็คือ หมากตัวนี้อยู่ใต้หนังตาทุกคนแค่นี้เอง ไม่รู้เลยสักนิดว่าเหมียวอี้โดนวางยาได้อย่างไร จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกเลยว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!


วิธีการที่แปลกประหลาดขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้สังเกตได้เองว่าโดน ‘ราคะ’ ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ก็ไม่มีทางที่จะทำให้คนสงสัยในตัวเฟยหงได้เลย!


แน่นอน หยางชิ่งก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกันที่เหมียวอี้สังเกตได้ว่าตัวเองโดนพิษ ตามหลักการแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองโดนพิษอะไร เมื่อ ‘ราคะ’ ปริมาณเท่านั้นเข้าสู่ร่างกาย ฤทธิ์มันก็จะกำเริบอย่างเงียบๆ ไม่มีทางสังเกตพบได้เลย เพราะนี่คือลักษณะพิเศษของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แต่เหมียวอี้ไม่ใช่แค่สังเกตได้ ทั้งยังเหมือนจะถอนพิษได้แล้วด้วย!


สามารถพูดได้ว่า ถ้าเฟยหงเป็นเป้าหมายในคืนนี้จริงๆ สาเหตุที่แผนของฝ่ายตรงข้ามพังในคืนนี้ กุญแจสำคัญเป็นเพราะถูกเหมียวอี้สังเกตได้ว่าตัวเองถูกวางยา ไม่อย่างนั้นด้วยความของเฟยหง บวกกับการมีสุรานารีในงานที่คอยกระตุ้น ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนไหนเกิดอารมณ์ชั่ววูบเพราะนางก็ฟังขึ้นทั้งนั้น เกรงว่าแม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรไม่เมาะสม


ความคิดของหยางชิ่งเชื่อมโยงจากเฟยหงไปถึงตัวแม่เฒ่าลวี่ที่ดูแล ‘สวนบรรณาการ’ อาศัยอำนาจอิทธิพลของแม่เฒ่าลวี่ เกรงว่าจะยังไม่มีพลังมากขนาดนั้น แต่แม่เฒ่าลวี่มีวังสวรรค์หนุนหลังอยู่! แม่เฒ่าลวี่ที่ดูแล ‘สวนบรรณาการ’ ของ ‘ตำหนักสวรรค์ก็ ก็ไม่น่าจะถูกอำนาจฝ่ายใดใช้งานเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแล ‘สวนบรรณาการ’ ให้วังสวรรค์มาได้หลายปีขนาดนี้!


คนที่มีพลังมากขนาดนี้ในวังสวรรค์อาจจะมีไม่น้อย แต่เมื่อดูจากการประมือแบบไม่ต้องเจอหน้ากันหลายครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่มีพลังมากขนาดนี้ได้ มีประสบการณ์มากขนาดนี้ได้ ทั้งยังใช้วิธีการได้อย่างเชี่ยวชาญลึกลับจนเทพไม่รู้ผีไม่เห็นแบบนี้! หยางชิ่งแทบจะไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย ชั่วพริบตานั้นความคิดอขงเขามุ่งตรงไปที่เป้าหมายด้วย…หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์!


นี่ก็คือการพิสูจน์การคาดเดเของเขาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน คนที่ต้องการจะเข้าใกล้เหมียวอี้อย่างเงียบๆ เกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์ เป็นไปได้สูงว่าต้องการจะจับตาดูเหมียวอี้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นระดับแกนกลางของตำหนักสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายที่วังสวรรค์ควบคุมโดยตรง!


เมื่อมือบงการหลักฉากที่ใหญ่ขนาดนี้ลอยตัวขึ้นมา จะไม่ให้หยางชิ่งรู้สึกเหมือนในใจมีคลื่นยักษ์โหมซัดสาดได้อย่างไร ทำไมหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ถึงต้องการจะจับตาดูเหมียวอี้ล่ะ?


ระดับที่แตกต่างกันของบางสิ่งนั้นไกลเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ของที่สัมผัสไม่ได้มักจะลึกลับอยู่เสมอ ไม่มีทางศึกษาอย่างละเอียดได้!


อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายค้นพบว่าเหมียวอี้มีความลับอะไรที่ต้องจับตาดู? แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยพลังของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ ถ้าสังเกตพบอะไรแล้ว ต่อให้ต้องการจะจับตาดูจริงๆ แต่การรับมือกับเหมียวอี้เล็กๆ คนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายผู้น่าเกรงขามจะทำเรื่องราวให้ลำบากซับซ้อนขนาดนี้เป็นเวลาหลายพันปี ถ้าไม่สำเร็จจริงๆ ก็คงจับเหมียวอี้ไปสอบสวนตั้งนานแล้ว อาศัยวิธีการของพวกเขา เกรงว่าจะยังทำให้ทำให้เหมียวอี้คายความจริงออกมาไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?


แน่นอน การวินิจฉัยตัดสินทุกอย่างล้วนเกิดจากการคาดเดาของเขา การคาดเดาของเขาจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง กุญแจสำคัญก็ขึ้นอยู่กับเฟยหง ต้องดูก่อนว่าหลังจากเหมียวอี้ ‘โดนวางยา’ แล้ว ก่อนจะกลับตำหนักคุ้มเมืองจะมีอีกเป้าหมายโผล่มาหรือไม่ ถ้ามีเป้าหมายอื่นโผล่ออกมาโดยพุ่งเป้ามาที่ ‘ราคะ’ เช่นนั้นก็แปลว่าการคาดเดาของตัวเองก่อนหน้านี้ถูกยกเลิกทั้งหมด


หยางชิ่งเองก็เหนื่อยพอสมควร ปกติคนฉลาดก็คิดเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหนื่อย ในหัวเขาไม่ใช่แค่คิดเรื่องที่วุ่นวายไร้ระเบียบ ขณะเดียวกันก็ยังต้องคอยสังเกตการณ์รอบด้านต่อไป


เหยียนซิวยังคงเก็บสองมืออยู่ในแขนเสื้อ ยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ราวกับว่าเหมียวอี้ทำอะไรก็ถูกไปหมด ที่จริงเขาติดตามรับใช้เหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้ เหมียวอี้ก็ไม่เคยดูแลเขาไม่ดีเลย ตลอดทางที่เดินมาจนถึงวันนี้ เขามีให้เหมียวอี้เพียงคำว่า ‘เชื่อใจ’ เท่านั้น


สวีถังหรานที่อยู่ด้านล่างอึ้งนิดหน่อย ในสายตาเขาเหมียวอี้ไม่ใช่คนบ้าผู้หญิง วันนี้เหมือนค่อนข้างบุ่มบ่าม หารู้ไม่ว่าสำหรับสายตาที่คอยสอดส่องอยู่อย่างเงียบๆ การบุ่มบ่ามของเหมียวอี้ในวันนี้สิถึงจะถูก การไม่บุ่มบ่ามต่างหากที่เป็นเรื่องแย่


มู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบมองเหมียวอี้ที่กอดเฟยหงและป้อนสุราอยู่เป็นระยะ บางครั้งนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร นางก็ยังยืนอยู่ในมุมของผู้หญิง ไม่ได้รู้สึกดีกับการกระทำของเหมียวอี้ในคืนนี้สักเท่าไร


ในฐานะที่เป็น ‘ตัวละครหลัก’ ที่พวกพ่อค้าจัดงานเลี้ยงฉลองให้ในคืนนี้ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้านล่างบันไดบางครั้งก็ชูจอกสุราและส่งสายตาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ทั้งสองรู้ถึงสถานการณ์เบื้องลึกอยู่ก่อนแล้ว รู้ว่าคืนนี้คือกับดักที่เชิญท่านลงโอ่ง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่รู้สึกผิดคาดกับเรื่องใดๆ ที่เหมียวอี้ทำในคืนนี้ สิ่งเดียวที่เหนือความคาดหมายก็คือเฟยหงเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?


จนกระทั่งตอนนี้ทั้งสองยังมองไม่ออกเลยว่าเฟยหงจะมีปัญหาอะไรได้


สำหรับทั้งสองคน หรือสำหรับประมุขถิ่นสี่ทิศ ผลประโยชน์ของพวกเขาผูกติดอยู่กับเหมียวอี้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหมียวอี้ พวกเขาก็จะยุ่งยากเหมือนกัน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องปล้น ‘สวนท้อ’ ก็มีโทษตายแล้ว


และเหมียวอี้ที่เป็น ‘เจ้าห้า’ ในสายตาของพวกเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งมองไม่ออก มีพลังมากจนทำให้พวกเขาตกใจกลัว เรื่องทดสอบที่แดนเวจีพวกเขาก็รู้ดีที่สุด ว่าไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย เหมียวอี้ใช้วิธีการบางอย่างที่พวกเขาไม่เข้าใจทำให้พวกเขาผ่านด่านนี้ไปได้อย่างราบรื่น พวกเขายังกังวลอยู่เลยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับคนไม่มีภูมิหลังอย่างพวกเขาจนขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้หรือเปล่า แต่เหมียวอี้ก็เตรียมตำแหน่งไว้ให้พวกเขาแล้วที่อาณาเขตดาวฟ้าเถาะ พวกเขากังวลอีกว่าก่อนหน้านี้ทำ ‘เรื่องชั่ว’ ด้วยกันกับเหมียวอี้ไว้มากมาย หลังจากแยกกันไปแล้วจะเกิดปัญหายุ่งยากอะไรหรือเปล่า เหมียวอี้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอก ได้สร้างเส้นสายไว้ให้พวกเขาแล้ว ห้พวกเขาปิดปากลูกน้องให้ดีก็พอ


แบบนี้เท่ากับว่าเพียงพลิกฝ่าก็มีอำนาจตัดสินใจในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้สี่ตำแหน่งแล้ว ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องที่แม้แต่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ยังจัดการได้ยาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า ‘เจ้าห้า’ จะโบกมือเฉยๆ โดยไม่ต้องพูดก็จัดการได้แล้ว จะไม่ทำให้พวกเขาตกใจกลัวได้อย่างไร


ท่านแม่สวีที่อยู่บนชั้นลอยกำลังดูความเคลื่อนไหวด้านล่าง เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งเฝ้าคอย โมโหที่ในปีนั้นเหมียวอี้ไม่ชอบเสวี่ยหลิงหลง เฝ้าคอยให้เหมียวอี้ทำเกินเลยเพื่อทำลายเฟยหง


ที่จริงความคิดแบบนางก็ไม่ได้มีแค่หอกลิ่นสวรรค์เท่านั้น คณะระบำของหอนางโลมที่อื่นๆ ก็คิดแบบนี้เหมือกนัน…เพื่อร่วมอาชีพคือศัตรูคู่แค้น!


ท่านแม่เฝิงประสานนิ้วทั้งสิบไว้แนบแน่น มองดูสถานการณ์ด้านล่างด้วยความกังวล นางกลัวว่าเหมียวอี้จะทำลายดาวเด่นของนาง เพราะนี่คือต้นไม้เงินต้นไม้ทองของนาง การจะฝึกเลี้ยงเฟยหงออกมาอีกคนไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น  พรสวรรค์ของเฟยหงในปีนั้นเรียกได้ว่าดีมาก หลังจากเติบโตแล้วหน้าตายิ่งงดงามโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จู่ๆ ตัวเองก็เจอครูฝึกหลายคนมาฝึกให้ ทักษะหลายด้านก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทักษะด้านการแต่งกลอน ร้องเพลง เล่นหมากล้อม เล่นกู่ฉิน วาดภาพ เขียนพู่กันล้วนก้าวหน้าไวมาก บรรยายได้เพียงคำว่าน่าอัศจรรย์เท่านั้น แล้วจะให้นางไปหาต้นไม้เงินต้นไม้ทองดีๆ แบบนี้มาจากไหนอีก? นางย่อมจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอยู่แล้ว ตัดตวงให้อิ่มก่อนแล้วค่อยขายให้เจ้าของในรวดเดียวต่างหากถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง!


คืนนี้ได้กำหนดให้คนพวกนี้มีความคิดแตกต่างกันไป


ตอนที่งานเลี้ยงเลิก ก็ไม่เห็นเป้าหมายอื่นๆ ปรากฏตัว หยางชิ่งแอบทอดถอนใจ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ไม่อยากเห็นก็เกิดขึ้นแล้ว เขาเดินไปข้างกายเหมียวอี้ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์!”


เหมียวอี้ตกจทันที ถามว่า “แน่ใจนะ?”


“เป็นไปได้เก้าในสิบ!” หยางชิ่งตอบ


เมื่อเกี่ยวข้องกับอำนาจอิทธิพลที่น่ากลัวขนาดนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยรายละเอียดกันอย่างช้าๆ เหมียวอี้ถามเลยว่า “ทำยังไงดีล่ะ?”


หยางชิ่งตอบว่า “มีแต่ต้องเดินตามแผนของอีกฝ่ายต่อไป หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายไม่ใช่สิง่ที่พวกเราจะต้านทานไหว ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ถ้าไปเปิดโปงจนอีกฝ่ายอับอายโมโหขึ้นมา…ถ้าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายผู้สง่าผ่าเผยทำไม่ได้แม้กระทั่งยัดคนเข้ามาในตำหนักคุ้มเมืองตลาดสวรรค์ พวกเขาใช้ความอดทนเต็มที่แล้ว เกรงว่าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายคงจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงถูกทำลายด้วยน้ำมือพวกเรา สรุปก็คือไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไร ก็อย่าให้พวกเราเปิดโปงได้เด็ดขาด!”


เหมียวอี้เข้าใจความหมายของเขา พวกเขารับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว


ที่ว่ากันว่าแขนซ้ายใหญ่กว่าแขนขวาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล สำหรับคนมากมาย หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์นับว่าน่าหวาดกลัวมากพอแล้ว แต่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาอยู่ในที่แจ้ง ถ้าเรื่องไม่มาถึงตัวก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวที่สุดกลับเป็นหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ นั่นคือดวงตาอันมืดครึ้มน่าสะพรึงท่ามกลางความมืดยามราตรี อีกฝ่ายจับจ้องเจ้าตั้งแต่เมื่อไรเจ้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ สามารถเอาชีวิตเจ้าได้ทุกเมื่อ จุดจบของตระกูลหัวหน้าภาคแปดสิบกว่าคนของตลาดสวรรค์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว


บทที่ 1333 จี้เอาตัวไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

หยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมองเฟยหงที่กำลังโดนเหมียวอี้โอบเอว จากนั้นก็ยืนตรงแล้วถอยออกไปยืนด้านหลัง


แขกผู้มีเกียรติด้านบนยังไม่ออกจากงาน คนที่อยู่ข้างล่างก็ไม่สะดวกจะออกจากงานเช่นกัน เสียงเพลงและการระบำบนลานยังไม่หยุด ทุกคนกำลังสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ที่อยู่ด้านบน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้คืบแล้วจะเอาศอกอีกหรือไม่


ผลก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ เหมียวอี้อุ้มเฟยหงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “คืนนี้ข้ายังสนุกไม่พอเลย เป็นเพราะยังดูเฟยหงเต้นระบำไม่พอ ทุกคนค่อยๆ คุยกันไปนะ ข้าจะเชิญแม่นางเฟยหงไปแสดงเดี่ยวให้ดูที่ตำหนักคุ้มเมือง”  พูดจบก็บังคับพาเฟยหงออกจากที่นั่งไป


เห็นได้ชัดว่าเฟยหงขอร้องด้วยความจนใจ แต่นางก็ถูกเหมียวอี้ควบคุมไว้แล้ว พูดขอร้องอะไรไม่ออก ทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างร้อนรนอยู่อย่างนั้น เหมียวอี้จะสนใจได้อย่างไรว่านางจะยอมหรือไม่ยอม


ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างๆ กัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เหมือนอยากจะยกกาสุราไปทุ่มใส่หน้าเหมียวอี้ให้ตาย


“ขอรับๆ”


“ผู้บัญชาการใหญ่ค่อยๆ ไป”


คนกลุ่มหนึ่งกุมหมัดคารวะส่งด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจแต่ละคนกลับรู้สึกปลงไม่หาย เกรงว่าการแสดงเดี่ยวจะเป็นเรื่องโกหก ความจริงคือจะกลับไปวาดภาพวาบหวิวกันต่างหาก เกรงว่าดอกไม้งามอย่างเฟยหงคงจะโดนเด็ดในคืนนี้ เฮ้อ ผักดีๆ โดนหมูขวิดทิ้งเสียแล้ว


หวงฝู่จวินโหรวจ้องเหมียวอี้ที่กำลังอุ้มสาวงามอยู่ข้างบน ในแววตาราวกับจะมีไฟลุกขึ้นมา


ท่ามกลางคณะระบำที่รวมตัวกันมาส่งแขก ท่านแม่สวีเม้มปากเกือบจะหลุดขำออกมา


ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหรานละมู่หรงซิงหัวคอยติดตามส่งอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ตอนที่เพิ่งจะเดินออกมาใต้ชายคานอกตึกศาลา ด้านหลังก็มีเสียงตะโกนร้องอย่างรู้สึกผิดดังมา


“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ได้นะคะ!”


ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงท่านแม่เฝิงกำลังฝืนยิ้มทว่าดูแย่กว่าร้องไห้เสียอีก นางกำลังรีบร้อนวิ่งเข้ามา


ฝูชิงเอียงหน้าเล็กน้อย มีลูกน้องสองคนรีบยื่นมือเข้ามาขวางท่านแม่เฝิงไว้ทันที


“เจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ที่กำลังอุ้มเฟยหงหันกลับมาถาม


“ผู้บัญชาการใหญ่ เฟยหงคือคนในหอของข้าค่ะ” ท่านแม่เฝิงตอบอย่างเคารพนอบน้อม


อ๋อเหรอ!” เหมียวอี้ถามว่า “ทำไมจะไม่ได้ อย่าบอกนะว่าจ้างเฟยหงมาแสดงเดี่ยวก็ไม่ได้ กลัวว่าข้าจะไม่มีเงินจ่ายรึไง?”


ท่านแม่เฝิงโบกมือซ้ำๆ “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เพียงแต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว กลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของผู้บัญชาการใหญ่”


“ไม่รบกวนหรอก ข้ากำลังมีอารมณ์สนุกสนานได้ที่” เหมียวอี้กล่าว


แรงแขนงัดกับแรงต้นขาไม่ไหว ท่านแม่เฝิงหมดหนทางแล้วจริงๆ นางกัดฟันกระทืบเท้า แล้วบอกตรงๆ ว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ เฟยหงคือบุตรสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ที่ดูแลสวนบรรณาการ ท่านทำแบบนี้ไม่เหมาะนะ!”


เหมียวอี้จ้องนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ในเมื่อเป็นบุตรสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ มีหรือที่จะข้าจะมองดูนางเสื่อมโทรมอยู่ในสถานบันเทิงต่อไป เหยียนซิว จ่ายเงิน ข้าจะไถ่ตัวแม่นางเฟยหง” พูดจบก็พาเฟยหงหันตัวเดินออกไปทันที


ท่านแม่เฝิงร้องอย่างตกใจทันทีว่า “ไม่ได้นะ ผู้บัญชาการใหญ่ แบบนั้นข้าจะอธิบายกับแม่เฒ่าลวี่ไม่ได้ แม่เฒ่าลวี่ให้ข้าดูแลเฟยหงให้ดีนะ!” นางยังคิดจะเอาชื่อแม่เฒ่าลวี่มากดดันเหมียวอี้ ตอนนี้ใช้ได้แค่วิธีนี้


เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา เป็นสวีถังหรานนั่นเอง เตะเข้าที่หน้าท้องท่านแม่เฝิงเสียเลย


“อ๊า!” ท่านแม่เฝิงกระเด็นถอนหลังพลางร้องอย่างเจ็บปวด พอตกลงพื้นก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง


สวีถังหรานชี้พร้อมตะโกนบอกว่า “ไว้หน้าแล้วแต่ไม่รับไว้ บังอาจตะโกนเสียมารยาทกับผู้บัญชาการใหญ่ ลากไปประหารให้ข้า!”


กลุ่มนางระบำของหอมงกุฏงามตกใจจนหน้าซีดทันที ทหารสวรรค์หลายคนพุ่งเข้าไป เอาอาวุธจ่อที่ท่านแม่เฝิงแล้วลากออกไปทันที


ท่านแม่เฝิงตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกไปนอกโลก ร้องอย่างตกใจว่า “ขาย! ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ไถ่ตัวไปเลย ข้าจะให้ท่านไถ่ตัวเฟยหง ผู้บัญชาการใหญ่โปรดละเว้นชีวิตด้วย!”


“ช่างเถอะ จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับนางทำไม”เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดกล่าวเสียงเรียบ พาเฟยหงเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว


ท่านแม่เฝิงที่ตกใจจนเข่าอ่อนถูกโยนไว้บนพื้น เหยียนซิวดีดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาไว้ตรงหน้าท่านแม่เฝิง แล้วหันตัวเหาะตามพวกหยางชิ่งไป


แขกในงานทยอยกันแยกย้ายกลับ อวิ๋นจือชิวที่เงียบงันอยู่ท่ามกลางกลุ่มนสีหน้าแย่มาก


ในตึกศาลา ท่านแม่เฝิงคว้ากำไลเก็บสมบัติร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ ไม่ว่าใครดึงก็ไม่ยอมลุกขึ้น


“เฮ้อ นี่! พี่เฝิง เด็กสาวที่ปั้นให้ดังแล้ว สักวันหนึ่งก็จะเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น เพียงแค่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง นี่เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรน่าปวดใจหรอกน่า” ท่านแม่สวีคุกเข่าปลอบใจอยู่ข้างๆ


“ใช่แล้วๆ! ความคิดเปิดกว้างหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว” พวกป้าๆ จากคณะระบำอื่นก็เกลี้ยกล่อมด้วยเหมือนกัน


“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!” จู่ๆ ท่านแม่เฝิงก็เงยหน้าตวาด ชี้หน้าพวกป้าๆ ที่แสร้งหวังดี ไม่รับน้ำใจจากพวกนาง


“เชอะ!” ท่านแม่สวีลุกขึ้นยืน สะบัดผ้าเช็ดหน้า แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ในเมื่อเจ้าตัวไม่รับน้ำใจ งั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องโดนเมินแบบนี้ ไปกันเถอะ!”


กลุ่มสตรีสูงวัยพาลูกน้องตัวเองจากไปพร้อมความร่าเริงบนความทุกข์ของคนอื่น มีเพียงท่านแม่เฝิงที่น้องไห้ทุบพื้นไม่หยุดอยู่อย่างนั้น เรียกได้ว่าปวดใจมาก…


ตำหนักคุ้มเมือง ไห่ผิงซินเดือดาลมาก พอเข้ามาในตำหนัก เห็นเหมียวอี้พาเฟยหงเข้าไปในตำหนักนอนแล้ว นางก็ทนไม่ไหวทันที ตะโกนเรียกว่า “นายท่าน ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน…”


ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ เหยียนซิวที่ใบหน้ามืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวก็มาโผล่ตรงหน้านาง มาขวางหน้าประตูตำหนักนอน บังตรงหน้าไห่ผิงซินไว้ ทำให้ไห่ผิงซินต้องกลืนคำพูดตัวเองกลับไป


ไห่ผิงซินก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก เหมือนจะกลัวนิดหน่อย กล่าวอย่างอึกอักว่า “เหยียนซิว ท่านหลีกไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับผู้บัญชาการใหญ่”


“นางหนู ดึกแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ต้องการพักผ่อน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน” เหยียนซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยียบพิศวง


ไห่ผิงซินเบะปากพูดว่า “พักผ่อนอะไร เขาจะดูการแสดงเดี่ยวไม่ใช่เหรอ ข้าจะเข้าไปรินน้ำชาให้นายท่าน”


ตอนนี้หยางเจาชิงนำหทารยามกลุ่มหนึ่งมาปรากฏตัวแล้ว เขามองดูไห่ผิงซินพลางหัวเราะเบาๆ แล้วสั่งให้ทหารสองคนไปขวางประตูไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปทั้งนั้น แล้วก็สั่งให้คนที่เหลือล้อมห้องนอนไว้อีก ไม่ให้ใครบุกเข้าไปเช่นเดียวกัน


เหยียนซิวไม่สนใจการอ้างเหตุผลของไห่ผิงซิน หันตัวเดินเข้าไปแล้ว เดินไปหน้าประตูห้องของเหมียวอี้ ถือกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งไว้ในมือ ยืนอยู่บนบันไดและใช้สองมือถือกระบี่ค้ำไว้ตรงหน้าท้อง จากนั้นกก็หลับตาพักผ่อน เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอย่างนั้น ไม่ให้ใครรบกวนคนในห้อง


ในห้องนอน เหมียวอี้คลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเฟยหง เฟยหงคิดจะหนีโดยจิตใต้สำนึก แต่เหมียวอี้ลงมือรวดเร็วมาก คว้าข้อมือนางดึงกลับมา กอดไว้ในอ้อมอก ร่างสูงกับร่างเล็กน้องแนบชิดกัน ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน


เฟยหงแววตาวูบไหว นางเอียงหน้ามองไปด้านข้าง พอเห็นเตียงผ้าแพรที่อยูในห้อง ก็รู้แล้วว่าที่นี่คือสถานที่หลับนอน ตอนนี้ในใจกระสับกระส่ายร้อนรนแล้วจริงๆ สีหน้าตื่นเต้นหวาดกลัวนั้นยากจะปิดบัง นางใช้สองมือยันหน้าอกเขาไว้ พร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดใจกว้างเมตตา เฟยหงขายศิลปะไม่ได้ขายตัว ถ้าผู้บัญชาการใหญ่อยากดูการแสดงเดี่ยว เฟยหงก็จะแสดงให้ท่านดู ได้โปรดสำรวมตัวเองด้วยค่ะ”


เหมียวอี้จับสองมือของนางเอาไว้ จับไขว้ไปข้างหลัง ใช้มือหนึ่งจับมือนางไว้ แล้วใช้มืออีกข้างบีบคางนางขึ้นมา เขาก้มหน้าจูบบนริมฝีปากแดงของนางที่พูดอู้อี้ไม่หยุด พร้อมทั้งปล่อยมือให้ไหลลงไปดึงที่คอเสื้อของนาง เสียงผ้าฉีกดังแคว่ก ภูเขาหิมะคู่หนึ่งกระโดดออกมา


เฟยหงดิ้นรนสุดชีวิต แต่กลับรอดพ้นเงื้อมมือมารได้ยาก โดนฉีกเสื้อผ้าสองสามทีก็เปลือยหมดแล้ว เรือนร่างอรชนอ้อนแอ้นที่เผยออกมาสมกับเป็นคนที่เต้นระบำบ่อย เป็นรูปร่างที่งามประณีต ส่วนที่ควรจะผอมก็ไม่มีไขมันส่วนเกิน ส่วนที่ควรจะมีเนื้อหนังก็อวบอัดกลมกลึง เอวบางสุดๆ ผิวกายงามราวกับหยกขาวที่ไร้มลทิน


เหมียวอี้เหมือนกระเหี้ยนกะหือรือจนทนไม่ไหว โถมทับนางลงบนเตียงทันที…


อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าย่ำแย่เป็นพิเศษ พอกลับมาถึงร้านโฉมเมฆา ก็เห็นเสวี่ยเอ๋อร์เข้ามารับทันที ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฮูหยิน หยางชิ่งปลอมตัวมาหาแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอท่านอยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง”


อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไรสักคำ เร่งฝีเท้าเดินไปทางลานบ้านด้านหลังทันทีลานล้านด้านหลัง


ในศาลาที่อยู่ด้านหลังภูเขาจำลองที่แขวนโคมไฟ หยางชิ่งกำลังยืนเอามือไขว้หลังมองดูเงาโคมไฟในบ่อน้ำอย่างเงียบๆ โดยมีเชียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ


พอได้ยินเสียงฝีเท้า หยางชิ่งก็หันกลับไปมอง พอเห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ฮูหยิน!”


อวิ๋นจือชิวนั่งลงข้างโต๊ะทันที ก่อนจะถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “คืนนี้พวกเจ้าเล่นบ้าอะไรกันแน่? ให้คำอธิบายกับพวกข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่ยอมจบเรื่องนี้แน่!”


“ขอรับ!” หยางชิ่งก้มหน้าเล็กน้อย เขามาปรากฏตัวที่นี่ก็เพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นจือชิวก็อาจจะทำอะไรซี้ซั้วเพราะไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก จึงกุมหมัดคารวะกล่าวอีกครั้ง “ตอนนั้นนายท่านโดนยาพิษขอรับ”


อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ “มันเรื่องอะไรกันแน่?” ไม่ใช่แค่นาง เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน


หยางชิ่งตอบว่า “ถ้าหากเดาไม่ผิด เฟยหงคือคนของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ ฝ่ายนั้นจงใจส่งนางมาเข้าใกล้นายท่าน นายท่านถูกหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์จับตามองแล้ว เรื่องที่มีคนจงใจเข้าใกล้นายท่าน ฮูหยินเองก็รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ในที่สุดการปรากฏตัวของเฟยหงในคืนนี้ก็ทำให้เจอเบาะแสบ้างแล้ว…” เขาอธิบายต้นสายปลายเหตุให้ฟังอย่างละเอียด


หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็หันขวับไปมองทางตำหนักคุ้มเมือง เดาออกแล้วว่าในตำหนักคุ้มเมืองเกิดเรื่องอะไรขึ้น หหยดน้ำตาไหลพรากออกมาจากเบ้าตาทันที ไหลลงมาตามแก้ม พร้อมถามเสียงสั่นว่า “ข้าให้เขาแย่งชิงอำนาจแบบนี้แล้วจะมีความหมายอะไร ข้าแต่งงานกับเขาเพื่อจะดูเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเฉยๆ เหรอ?”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าเงียบๆ พร้อมกัน


หยางชิ่งถอนหายใจแล้วพูดปลอบว่า “ฮูหยินไม่ต้องห่วง แค่เล่นสนุกชั่วคราวเท่านั้น  ข้างกายนายท่านไม่ควรเก็บสายลับเอาไว้นานๆ รอให้มีโอกาสเหมาะก็จะกำจัดทิ้งแน่นอน!”


บนตึกสูงที่มีลมพัดเบาๆ เมฆลอยช้าๆ ซือหม่าเวิ่นเทียนเก็บระฆังดาราในมือ ยืนทอดสายมองขอบฟ้าเพียงลำพัง พลางพึมพำว่า “เมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ใช้ความพยายามมากมายเพื่อฝึกเลี้ยงออกมา เดิมทีคิดจะส่งไปใช้กับงานใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าจะยกประโยชน์ให้เจ้าเด็กนั่นแล้ว ขาดทุนแล้ว” เขาส่ายหน้ายิ้มขื่นขม แต่กลับถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว!


เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาแทบจะเขียนหนังสือคำปฏิญาณตนต่อหน้าประมุขชิงแล้ว มีเวลาเพียงสามปีเท่านั้น ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่เรียบร้อย ถ้าแม้แต่ตำหนักคุ้มเมืองเล็กๆ ก็ยังฝ่าเข้าไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะรายงานผลการปฏิบัติงานได้หรือเปล่า ตัวเขาเองจะทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร สำหรับนักพรตแล้ว เวลาสามปีนั้นสั้นมาก แค่เก็บตัวฝึกตนประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปแล้ว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาทำได้เพียงทุ่มเทโดยไม่เสียดายต้นทุน แต่ยังโชคดี ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว ขอเพียงรายงานผลงานต่อเบื้องบนได้ ต่อให้ต้องจ่ายมากกว่านี้ก็คุ้มค่า…


ท้องฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย เปลวเทียนมอดดับจนน้ำตาเทียนแห้ง แสงสว่างนอกหน้าต่างส่องเข้ามาในห้อง สาวงามดุจหยกนอนขดตัวอยู่เตียง ผมงามยุ่งสยาย โดนปราบมาทั้งคืน มีรอยเลือดสีแดงแสดงถึงความบริสุทธิ์


เหมียวอี้ยืนแต่งตัวเรียบร้อยอยู่ข้างเตียง หันหลังให้นางพร้อมกล่าวขอโทษ “ปกติข้าไม่ได้เป็นแบบนี้ เมื่อคืนข้าอาจจะยั้งสติไม่อยู่หลังจากดื่มสุรา เจ้าว่ามาเถอะ เจ้าอยากจะกลับหอมงกุฏงามหรือมีความคิดอย่างอื่น ก็บอกมาได้เลย ข้าจะพยายามเตรียมการให้เจ้า จะพยายามปฏิบัติต่อเจ้าอย่างยุติธรรมด้วย”


บทที่ 1334 บุคคลต้นแบบของไห่ผิงซิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เฟยหงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เรียกชุดคลุมจากกำไลเก็บสมบัติออกมาปิดบังความน่าอับอาย


เหมียวอี้หันหลังให้ตลอด ไม่ได้หันมามองอีก เหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว ‘ฤทธิ์ยา’ ก็หายไปแล้วเช่นกัน


“นายท่านช่วยไถ่ตัวข้ามาแล้ว ข้ายังมีสาวใช้อีกสองคนที่หอมงกุฎงาม รบกวนนายท่านช่วยพาตัวพวกนางมาด้วยค่ะ” เฟยหงที่ลงจากเตียงยังคงสวมชุดกระโปรงสีแดง นางขมวดคิ้วพลางเอามือกุมท้องน้อย เปลือยเท้าสองข้างที่อยู่ใต้กระโปรง เท้างามก้าวเบาๆ ราวกับเดินบนน้ำ เดินเนิบนาบผ่านข้างกายเหมียวอี้ไป เสียงพูดอันแผ่วเบาทำให้ฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ท่าทางเหมือนบอกว่า ‘ข้ายังมีทางเลือกอีกเหรอ’ นางเดินมายืนข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วบอกว่า “นายท่านยังต้องออกไปพบคนอีก ข้าจะหวีผมให้นายท่านค่ะ” ทำท่าทางเหมือนยอมรับชะตากรรมอีกแล้ว


เหมียวอี้แววตาวูบไหว เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง และก้าวช้าๆ เดินเข้าไปเช่นกัน พอไปยืนอยู่ตรงหน้านาง ก็ยื่นมือไปเกลี่ยผมที่บดบังใบหน้าออก


เฟยหงเงยหน้าเล็กน้อย ผมดำขลับประบ่า ผิวขาวเกลี้ยงเกลาดุจก้อนเนย ใบหน้างามราวกับดอกไม้ แล้วก็เหมือนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งหลังจากหิมะตก ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำ พอเงยหน้าก็เผยแววตาที่สดใส แฝงลักษณะของผู้หญิงที่งามทั้งภายนอกและภายใน ดวงตาที่เหมือนดวงดาวสบประสานกับเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร


เหมียวอี้ยื่นจมูกเข้าไปดม กลิ่นหอมยังคงวนเวียน แล้วก็ยื่นมือช้อนคางงามเกลี้ยงเกลาของนางขึ้นอีก เพ่งมองใบหน้างามของนางอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “งดงามยิ่งกว่าคนในภาพวาด เป็นยอดหญิงงามที่แท้จริง กลับเป็นข้าที่ล่วงเกินแล้ว”


“ขอเพียงนายท่านชอบก็พอแล้วค่ะ” เฟยหงกล่าวเสียงเรียบ


เหมียวอี้ปล่อยนาง แล้วเดินอ้อมมานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง


เฟยหงเดินมาข้างหลังเขา แก้มักมวยผมที่ค่อนข้างเอียงเนื่องจากความกำเริบเสิบสานเมื่อคืนนี้ แล้วหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้ใหม่


เหมียวอี้จ้องมองทุกการกระทำของนางในกระจก แล้วบอกอีกว่า “เมื่อครู่นี้เมื่อลองคิดดูให้ละเอียด ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อคืนเป็นอะไรไป ข้าไม่เคยวู่วามแบบนี้มาก่อนเลย คงจะเป็นเพราะเจ้าสวยเกินไปจริงๆ ทำให้ข้าควบคุมตัวเองลำบาก ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วจริงๆ เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้ง ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่กับข้า บอกตอนนี้ก็ยังไม่สาย”


เขาอยากจะให้ผู้หญิงคนนี้พูดออกมาว่าไม่อยากอยู่กับเขา จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป ไม่อย่างนั้นการเลี้ยงสายลับไว้ข้างกายก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ ที่จริงเมื่อคืนนี้เขาอยากจะปล่อยไปตามคำปฏิเสธของเฟยหง แต่เขาก็ดันแสร้งทำเป็น ‘โดนยาพิษ’ เรียกได้ว่าได้ชุบมือเปิบไปหนึ่งครั้งอย่างงดงาม อย่างไรเสียก็ได้นอนกับผู้หญิงที่งดงามขนาดนี้ ได้ปิดความบริสุทธิ์ของหยิงสาว เรียกได้ว่ายังหวนนึกถึงรสชาตินั้นอยู่เลย ทว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรแล้ว


เฟยหงตอบว่า “ข้าได้พบนายท่านเป็นครั้งที่สองที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ครั้งแรกก็เป็นที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเช่นกัน ตอนนั้นเมื่อนายท่านเดือดดาล ศีรษะคนนับร้อยก็มีเลือดสาดกระจายคาที่ ทำให้เฟยหงหวาดกลัวจนลืมไม่ลง นายท่านสร้างตัวจากมือเปล่า บุกเดี่ยวโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แดนอเวจี เป็นวีรบุรุษผู้โด่งดัง เฟยหงได้ยินชื่อเสียงบารมีของนายท่านมานานแล้ว ในใจรู้สึกเคารพยกย่อง การได้มอบร่างกายให้นายท่าน ข้าไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เพียงแต่เมื่อคืนถูกนายท่านชิงตัวมา ทำให้เฟยหงรู้สึกเหมือนตื่นจากฝันค่ะ ยังไงก็นึกไม่ถึงว่านายท่านจะ…ตอนนี้ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เฟยหงก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง เพียงหวังว่านายท่านจะเมตตาข้า”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อทำเรื่องที่ล่วงเกินเจ้าไปแล้ว จะมาเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับข้า ข้าย่อมเมตตาอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าก็รู้พื้นเพของตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้เหมือนสวีถังหราน ข้าจะให้ฐานะ ‘อนุภรรยา’ กับเจ้าก่อน ถ้าในอนาคตรู้สึกว่าเหมาะสม ค่อยเลื่อนให้เจ้าเป็นภรรยาเอกก็ยังไม่สาย”


พูดจบก็พึมพำในใจว่า ภรรยาเอกเหรอ? ถ้าเอ่ยคำนี้ให้อวิ๋นจือชิวได้ยิน เจ้าตัวจะต้องสู้ตายกับข้าแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าทางหยางชิ่งจะอธิบายให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจได้รึเปล่า…ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวได้อย่างไร


เฟยหงหยุดมือครู่หนึ่ง แล้วหวีผมต่อพร้อมบอกว่า “ทุกอย่างแล้วแต่นายท่านค่ะ”


เหมียวอี้พยักหน้า แล้วถอนหายใจอีก “เหมือนข้าจะก่อเรื่องเข้าแล้วล่ะ ได้ยินว่ามารดาบุญธรรมของเจ้าคือแม่เฒ่าลวี่ที่ดูแลสวนบรรณาการให้ตำหนักสวรรค์ อีกประเดี๋ยวแม่เฒ่าลวี่ก็คงจะมาคิดบัญชีกับข้าแล้วละมั้ง?”


เฟยหงตอบว่า “เฟยหงเป็นคนมอบร่างกายให้นายท่าน ต่อให้มารดาบุญธรรมมาคิดบัญชีแล้วยังไงคะ จะทำให้ข้ากลับหอมงกุฎงามอีกครั้งได้เชียวหรือ? เฟยหงเป็นสตรีตกอับแล้ว ถ้ากลับไปอีกก็ไม่มีที่ให้เฟยหงยืนเหมือนกัน เมื่อมีนายท่านทำแบบนี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง เกรงว่าทุกคนคงจะพากันมาหาข้าด้วยความคิดที่อยากจะย่ำยีข้าเล่น ทางมารดาบุญธรรมเฟยหงย่อมรับมือได้อยู่แล้ว นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวลค่ะ”


“เช่นนั้นก็ดี” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ เพียงแต่รอยยิ้มแฝงความหมายลึกซึ้งนิดหน่อย ขณะจ้องผู้หญิงชุดแดงในกระจก เขาก็พูดเสริมว่า “ข้าสังหารคนไว้เยอะเกินไป เจอคาวเลือดมาจนชินแล้ว และไม่อยากเห็นสีเลือดอยู่ในบ้านด้วย เจ้าเปลี่ยนชุดสีแดงบนร่างกายเจ้าออกเถอะ”


เฟยหงงงนิดหน่อย แล้วถามว่า “นายท่านอยากจะให้ข้าใส่สีอะไรคะ?”


“เจ้าเลือกเองตามเห็นสมควรเถอะ ขอแค่ไม่ใช่สีแดงก็พอแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ สาเหตุแท้จริงที่ไม่อยากให้นางใส่ชุดสีแดงก็คือหงเฉิน ทางนั้นมีคนที่ชอบใส่ชุดสีแดงอยู่แล้ว ถ้าทางนี้มีเพิ่มมาอีกคน ในใจเขาก็จะรู้สึกแปลกๆ


พอคุยเสร็จแล้วออกจากประตูมา เหยียนซิวที่เฝ้าประตูก็เก็บกระบี่และหลีกทางให้ แล้วติดตามอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่างเงียบเชียบไร้เสียง พอออกจากตำหนักนอน ก็เห็นหยางชิ่งกับหยางเจาชิงรออยู่ด้านนอก แล้วก็มีไห่ผิงซินด้วย


หยางชิ่งมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่สื่อหลากหลายอารม ในฐานะที่เป็น ‘พ่อตา’ ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยให้ ‘ลูกเขย’ ทำเรื่องแบบนี้ เขาไม่รู้เลยว่ากลับไปจะอธิบายกับฉินเวยเวยที่เป็นลูกสาวอย่างไร ตัวเองสามารถเข้าใจได้ว่าทำไปเพื่อสถานการณ์โดยรวม แต่เกรงว่าลูกสาวจะไม่คิดแบบนี้


ไห่ผิงซินหันไปมองเขา แล้วถลึงตาถามว่า “ท่านทำอะไรเฟยหงแล้ว?”


“ข้านอนกับนางแล้ว!” เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ


หยางเจาชิงกลั้นขำ ส่วนเหยียนซิวก็ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร หยางชิ่งยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย


“…” ไห่ผิงซินทำท่าเหมือนพูดไม่ออก จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาลทันทีว่า “ท่านเป็นแบบนี้ได้ยังไง? ข้าจะไปดูนาง!” นางยกเท้าเตรียมจะวิ่งเข้าไปในตำหนักนอน เมื่อคืนนี้บทเพลงของเฟยหงจะเอาชนะใจคนอื่นได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เอาชนะใจเด็กสาวคนนี้ได้อย่างราบคาบแล้ว


ตั้งแต่นางยังเด็ก เพื่อที่จะปิดบังตัวตนของนาง ไห่ยวนเค่อก็ไม่เคยให้นางออกไปสัมผัสกับโลกภายนอกเลย หลังจากมาที่นี่ ถึงแม้นางจะเคยเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์มาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักการเต้นระบำและร้องเพลง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินปี้เยว่ร้องให้นางฟังไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับเฟยหงแล้วยังต่างกันลิบลับ อีกคนราวกับอยู่บนฟ้า อีกคนราวกับอยู่ใต้ดิน ไม่สามารถเทียบกันได้เลย บทเพลงเมื่อคืนนี้ของเฟยหงทำให้นางตกตะลึงมากจริงๆ จึงกลายเป็นเทพธิดาในสายตานางแล้ว จะบอกว่าเป็นต้นแบบก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป


ด้วยเหตุนี้ เมื่อคืนนางจึงเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักนอนทั้งคืน เฝ้ามาตลอดจนถึงตอนนี้


เหมียวอี้รีบลงมือ คว้าแขนนางดึงกลับมา แล้วเตือนว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามเจ้าเข้ามาในตำหนักนอนอีก”


เมื่อวานเขาดูออกแล้ว ว่าเด็กสาวคนนี้หลงใหลเฟยหง แทบจะแตกคอแปรพักตร์กับเขาแล้ว ด้วยท่าทางที่อ่อนต่อโลกแบบนี้ นางจะรู้เบื้องหลังคนที่ถูกส่งมาเป็นสายลับได้อย่างไร ต้องป้องกันไว้สักหน่อย


“ทำไม?” ไห่ผิงซินไม่ยอมอ่อนข้อให้


เหมียวอี้ตอบว่า “ก็ไม่ทำไมหรอก นั่นคือที่ที่ข้าเอาไว้นอนกับผู้หญิง ถ้าเจ้ากล้าวิ่งเข้าไปอีก ข้าจะจับเจ้ามานอนด้วยเสียเลย!”


ไห่ผิงซินอึ้งไปสักพัก แล้วกระทืบเท้าเถียงกลับ “ท่านกล้าเหรอ!”


“เจ้าคิดว่าข้ากล้ารึเปล่าล่ะ!” เหมียวอี้โยนนางออกไป แล้วบอกคนอื่นๆ ว่า “ทุกคนช่วยข้าจับตาดูนางให้ดี อย่าให้นางคลุกคลีกับคนที่อยู่ในนั้น ถ้าจับได้ก็ตัดขานางให้ข้าเลย ข้าจะเอาไปขายที่หอนางโลม! แล้วก็ส่งคนมาเฝ้าประตูนี้ด้วย ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไป”


พวกลูกน้องเข้าใจเจตนาของเขา และรู้ด้วยว่ากำลังขู่ไห่ผิงซินให้กลัว เอ่ยรับพร้อมกันว่า “รับทราบ!”


ไห่ผิงซินโมโหจะตายอยู่แล้ว หันกลับมาคว้าต้นไม้ดอกไม้ถอนทิ้งจนพัง แต่ชั่วพริบตานั้นก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้อีก จู่ๆ ก็หันตัวกลับมาถาม “เจ้านอนกับนางแล้ว ต่อไปนี้นางก็จะไม่ไปไหนแล้วใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง หันตัวเดินไปทางสวนดอกไม้อพร้อมบอกหยางเจาชิงว่า “ที่หอมงกุฎงามยังมีสาวใช้อีกสองคน ส่งคนไปรับมาด้วย”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วกวักมือเรียกตรงจุดไกลๆ เรียกคนเข้ามารับคำสั่งโดยตรง


พอได้ยินว่าจะให้พาสาวใช้ของเฟยหงมาด้วย ไห่ผิงซินก็เข้าใจทันที ดูท่าแล้วเฟยหงคงจะมาอยู่ที่นี่ในระยะยาว หรือพูดได้อีกอย่างว่าในภายหลังจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับนาง จึงหันกลับไปมองทางตำหนักนอน แล้วเม้มริมฝีปากแอบยิ้ม นางชอบมาก


จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า การที่เหมียวอี้นอนกับเฟยหงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร…


พอมาถึงสวนดอกไม้ ไม่มีคนนอกอยู่แล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “หยางชิ่ง เจ้ารู้ได้ยังไงว่านางคือคนของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย?”


เมื่อถามแบบนี้ หยางเจาชิงก็ตกใจทันที แม้แต่เหยียนซิวก็ยังทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่รู้ ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าเฟยหงเกี่ยวข้องกับหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายที่น่าหวาดกลัว


“ก่อนหน้านี้สงสัยว่าคนที่ต้องการจะเข้าใกล้นายท่านคือคนของตำหนักสวรรค์ การปรากฏตัวของเฟยหง ทั้งยังมีแม่เฒ่าลวี่ที่หนุนหลังนาง ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก…” หยางชิ่งเล่าสถานการณ์เมื่อคืนนี้รวมทั้งคาดคะเนอย่างละเอียด


พวกเขาได้ยินแล้วเข้าใจในทันที เหมียวอี้พยักหน้าเล็กน้อย “เกรงว่าจะเป็นแบบนี้แล้ว เออใช่ อธิบายกับทางฮูหยินแล้วรึยัง?”


หยางชิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ฮูหยินร้องไห้…” เล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าวๆ


พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวร้องไห้ เหมียวอี้ก็รู้สึกปวดใจอย่างแรง เขาจินตนาการท่าทางเวลาอวิ๋นจือชิวร้องไห้ได้ ตรงหน้าอกเรียกได้ว่าปวดแปลบๆ เขารักผู้หญิงคนนั้นมากจริงๆ ต่อให้บางครั้งอวิ๋นจือชิวจะเจ้าอารมณ์ แต่ในใจเขาก็ไม่มีใครมาแทนที่อวิ๋นจือชิวได้ เหตุผลน่ะเหรอ? ไม่มีเหตุผลจะอธิบายหรอก ก็แค่เป็นห่วงความรู้สึกนาง


นึกถึงตอนที่รักกันหวานชื่นที่ทะเลทรายม่านเมฆาในปีนั้น เขาเคยบอกอวิ๋นจือชิวว่าจะไม่มีวันทำให้นางผิดหวัง แต่ในความเป็นจริงล่ะ เดี๋ยวก็หวงฝู่จวินโหรว เดี๋ยวก็จูเก๋อชิง ตอนนี้ก็มีเฟยหงโผล่มาอีกคน ถ้าจะบอกว่ากับเฟยหงเป็นความจำใจ แล้วหวงฝู่จวินโหรวกับจูเก๋อชิงล่ะ เป็นความจำใจเหมือนกันด้วยหรือเปล่า?


คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถอนหายใจยาว หลับตาลงเล็กน้อย ความรู้สึกผิดในใจเปี่ยมล้นจนเกินบรรยาย


พวกลูกน้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร


หลังจากปรับอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “ตอนนี้ข้างกายมีคนแบบนี้โผล่มา ต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา พวกเจ้าว่ามาซิว่าควรทำยังไง?” ตอนนี้เขาจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือยด้ายพันกัน ตรงหน้ามีแต่ภาพอวิ๋นจือชิวร้องไห้ ไม่สามารถใช้ความคิดพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้ตามปกติแล้ว


หยางเจาชิงตอบว่า “ถ้าอยากจะทิ้งจริงๆ วิธีการก็มีเยอะมาก พอเวลาผ่านไปสักพักก็เตะนางออกไปโดยอ้างว่า ‘ได้ใหม่แล้วลืมเก่า’ ก็สิ้นเรื่องแล้ว”


“ไม่เหมาะสม!” หยางชิ่งโบกมือ “อยู่อย่างสงบไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ถ้าเตะนางออกไป เกรงว่าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์คงจะไม่ยอมตัดใจหยุดเรื่องนี้ วันนี้มีเฟยหงโผล่มาได้ พรุ่งนี้ก็อาจจะมีเฟยไป๋ เฟยลวี่ เฟยชิงโผล่มาอีกก็ได้ เจ้าเตะออกไปหมดเหรอ? มาคนหนึ่งก็เตะออกไปคนหนึ่ง อีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นเงื่อนงำแน่นอน ถ้ายั่วให้อีกฝ่ายอับอายจนโมโห พบว่าพวกเรากำลังปั่นหัวพวกเขา พวกเราจะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน มิหนำซ้ำ พวกเราก็ได้รับรู้วิธีการของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายแล้ว พวกเขาแทรกซึมไปได้ทุกที่จริงๆ พวกเราป้องกันได้ชั่วคราวเท่านั้น ป้องกันทั้งชาติไม่ได้หรอก ถ้าเตะนางออกไปก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่สู้เก็บเอาไว้จะอิสระกว่า แล้วอีกอย่าง ภายนอกเฟยหงก็มีภูมิหลังเหมือนกัน ถ้าเตะนางออกไปจริงๆ เจ้าเชื่อมั้ยว่าแม่เฒ่าลวี่จะมาหาทันที ถึงตอนนั้นถ้าแม่เฒ่าลวี่มาแล้ว เกรงว่าต่อให้นายท่านจะไม่อยากเก็บเฟยหงไว้ก็คงไม่ได้ แม่เฒ่าลวี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายสามารถยัดคนมาติดหนึบไว้ข้างกายพวกเราได้…คาดว่าแม่เฒ่าลวี่คงใกล้จะมาถึงแล้ว”


บทที่ 1335 แม่เฒ่าลวี่มาแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“งั้นจะทำยังไงล่ะ? เก็บสายลับไว้ข้างกาย ใครจะไปรู้ว่าในภายหลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง?” หยางเจาชิงถามอย่างตกใจ


เหมียวอี้ตบศีรษะตัวเอง รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย “แล้วเจ้าผีซ่อนแอบพวกนั้นจะจับตาดูข้าทำไม หรือว่าค้นพบความลับอะไรของข้าเข้าแล้ว?”


หยางชิ่งตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัยบ้างเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ถ้าค้นพบอะไรแล้วจริงๆ อาศัยความแข็งแกร่งที่ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรของอีกฝ่ายก็ไม่จำเป้นต้องเสียเวลากับพวกเราสามพันกว่าปีเลย เกรงว่าคงจะจับนายท่านไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่จับอย่างเปิดเผยก็จับอย่างลับๆ มีวิธีการทำให้นายท่านคายความลับอยู่แล้ว”


เหมียวอี้เงียบงัน หยางชิ่งไม่รู้ว่าตัวเขามีความลับมากเท่าไร เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ความลับบางอย่างก็ควรค่าแก่การให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายเสียเวลาหลายพันปีจริงๆ ทว่าเขาก็ไม่มีทางเอ่ยเรื่องนี้ออกมาได้อีก


หยางชิ่งพูดต่อไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ทำได้เพียงคิดไปในทางที่ดี บางทีอาจจะเพียงเพราะว่านายท่านสร้าความเคลื่อนไหวหลายครั้งจนดึงดูดความสนใจของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย พวกเขาแค่อยากจะจับตาดูนายท่านเฉยๆ ดูว่าจะสามารถตั้งตารอได้มั้ย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ การมีเฟยหงคนนี้ยู่ข้างกายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ พวกเรารู้กำพืดของนางแล้ว เปิดโปงหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว ตอนนี้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งพวกเราอยู่ในที่ลับ ในทางกลับกันสามารถใช้ประโยชน์จากเฟยหง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยพวกเราได้มากก็ได้ แต่ความยุ่งยากอันแรกในตอนนี้ก็คือ เกรงว่าแม่เฒ่าลวี่จะออกหน้าทันที นายท่านจะต้องเตรียมใจรับมือเอาไว้”


แทบจะเป็นภายในวันนั้น ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวชิงตัวและครอบครองยอดพธูเฟยหงก็แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์แล้ว


การแอบวิจารณ์พูดถึงต่างๆ นาๆ คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ประมาณว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างไร ผู้บังคับบัญชาก็เป็นอย่างนั้น ตอนแรกมีสวีถังหราน ตอนหลังก็มีหนิวโหย่วเต๋อ ที่จริงตอนหลังทุกคนต่างก็รู้กันหมดแล้ว ว่าการที่สวีถังหรานชิงตัวเสวี่ยหลิงหลงได้ ก็เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อคอยให้ท้ายปิดตาข้างเดียว ไม่อย่างนั้นสวีถังหรานก็ไม่มีความกล้าที่จะมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับหวงฝู่จวินโหรวหรอก


สิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นในตอนนี้ก็คือ หนิวโหย่วเต๋อจะแต่งงานรับเฟยหงเป็นฮูหยินเหมือนสวีถังหรานหรือไม่


บางคนเคยเห็นหน้าตาและการเต้นระบำของเฟยหงมาแล้ว และเคยเห็นถึงฝีมือของเฟยหงเช่นกัน เรียกได้ว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ พอได้ยินข่าวว่าเฟยหงถูกครอบครองแล้ว พวกเขาก็เคียดแค้นชิงชังมากจริงๆ อยากจะวิ่งไปสู้ตายกับโจรน่ารังเกียจหนิวโหย่วเต๋อ ทว่าเมื่อมองเห็นตำหนักคุ้มเมืองที่เงียบขรึมลึกลับ เห็นทหารยามที่ดุเหมือนเสือเฝ้าป้องกันอย่างแน่นหนา พวกเขาก็หดหู่ท้อใจอีก เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจอิทธิพลที่ทำให้รู้สึกไร้ความสามารถแบบนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าจากไปเงียบๆ ตั้งแต่นี้ไปคนที่ปวดใจก็ได้แต่จากไปไกลสุดขอบฟ้า


คนที่ปวดใจก็ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินทอง นึกถึงตอนแรกที่ยอมทุ่มเงินที่สะสมมาหลายปีอย่างไม่เสียดายเพื่อจะได้ดูการแสดงของเฟยหงสักครั้ง แค่ต้องการดึงดูดความสนใจจากเฟยหงและให้นางคุยกับตัวเองแค่สองสามคำเท่านั้น ไม่มีเงินทองจะไปแย่งชิงอีก หลังจากเก็บเงินได้อย่างยากลำบาก ก็มาแสร้งทำตัวเป็นลูกค้าที่ร่ำรวย


คนแบบไหนที่ร่ำรวยจริงๆ คนแบบไหนที่แสร้งร่ำรวย ท่านแม่เฝิงเป็นแมวที่กลิ้งอยู่บนวงการบันเทิงนี้ แค่มองปราดเดียวนางก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว คนที่มีเงินและอำนาจจริงๆ จะไม่ทำแบบนี้ เพียงแต่อ่างและโถที่ใส่เงินไว้เต็มเพื่อให้นางตักตวง นางก็ย่อมไม่ไปเปิดโปงอยู่แล้ว ยิ้มรับแขกเหมือนอีกฝ่ายเป็นนายท่าน อยากจะให้มีคนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย


แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ ไม่มีทั้งอำนาจอิทธิพล ไร้ทั้งเงินทั้งความสามารถ แต่ยังถ่อมาสารภาพรักกับเฟยหง อธิษฐานความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ต่อฟ้า ให้เฟยหงไปกับเขา บอกว่าในภายหลังจะต้องมีเงินมีอำนาจและทำให้เฟยหงมีความสุขแน่นอน หวังว่าจะใช้ความรักทำให้เฟยหงซาบซึ้งได้


ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเฟยหงจะคิดอย่างไร ท่านแม่เฝิงคือคนแรกที่ไม่เกรงใจ มาขวางหน้าไว้ก่อนแล้ว


คนที่มีพื้นเพจากหญิงโสเภณีอย่างท่านแม่เฝิง ผู้ชายที่เป็นคนชรา คนหนุ่ม คนใส่เสื้อผ้า คนไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่ว่าผู้ชายแบบไหนนางก็เคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น คำพูดโอ้อวดใครๆ ก็พูดได้ คนที่มุมานะต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตจริงๆ นั้นล้ำค่าและหายาก คนที่ขยันฝ่าฟันแบบนั้นไม่มีทางเอาจิตใจและกำลังมาใช้กับผู้หญิงในตอนที่ยังไม่มีเงินทอง ถ้าฝ่าฟันต่อสู้ได้แล้ว จะพูดจาโง่ๆ แบบนี้ออกได้อย่างไร ใช้ความพยายามอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว รอให้ยืนอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จแล้ว จะหาผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เมื่อมองเฟยหงอีกครั้งความรู้สึกก็อาจจะจืดจางแล้ว


ดังนั้นนางจะยอมให้คนต่ำทรามโง่เง่าแบบนี้มาพาต้นไม้เงินต้นไม้ทองของตัวเองไปได้อย่างไร


เมื่อเปิดประตูมาทำการตกลงซื้อขายของประเภทนี้ นางก็ไม่ได้ล่วงเกินคนอื่นทันทีที่เอ่ยปาก นางเจรจาด้วยเหตุผลก่อน เมื่อล้มเหลวจึงใช้กำลัง พูดจาโน้มน้าวดีๆ ว่านางจะเก็บเฟยหงไว้ให้เขาก่อน รอให้ตอนหลังเขารวยแล้วค่อยนำเกี้ยวเจ้าสาวหลังใหญ่มารับเฟยหงไปย่างมีหน้ามีตา ไม่อย่างนั้นถ้าเขาพาเฟยหงไปตอนนี้ เขาก็ปกป้องเฟยหงไม่ได้อยู่ดี!


มีบางคนไม่ยอมแพ้ บอกประมาณว่าไม่อยากเห็นเฟยหงอยู่ที่นี่อีก อยากจะพาเฟยหงออกไปตอนนี้เลย ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมต่อไปไม่หยุด แบบนั้นท่านแม่เฝิงย่อมหน้าบึ้งใส่อยู่แล้ว อยากจะพาตัวเฟยหงไปงั้นเหรอ? ก็ได้!


นางจึงเสนอราคาไถ่ตัวที่สูงเสียดฟ้า ถ้าเจ้าเก่งนักก็จ่ายเงินค่าไถ่ตัวเฟยหงมาสิ แล้วค่อยว่ากันว่าตอนหลังจะเอายังไง ถ้าหาเงินมาไม่ได้ก็ไม่ต้องคุยแล้ว


เมือ่เจอกับคนปัญหาอ่อนจริงๆ คุกเข่าต่อท่านแม่เฝิงไม่ยอมลุก แบบนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว ส่งคนไปรายงานทางการ ซ้อมให้สาหัสแล้วจับโยนออกไป


พอกลับมาแล้วนางก็ยังต้องบอกเฟยหงอีกว่า พวกผู้ชายไม่มีใครดีสักคน อย่าไปมองว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นจะตายเพื่อเจ้าได้ อยู่ไกลก็ตำหนิ อยู่ใกล้ก็ขัดตา พอได้มากินถึงปากแล้ว กินจนเบื่อแล้วก็จะรู้สึกว่าไม่สำคัญ สักวันหนึ่งก็จะได้ใหม่แล้วลืมเก่า ผู้หญิงเราต้องมีต้นทุนให้พึ่งพาตัวเองได้ ในภายหลังจะได้ไม่ต้องรองรับอารมณ์คนอื่นเยอะ


“หนิวโหย่วเต๋อ โจรสุนัข! ตำหนักสวรรค์ให้เจ้ารับตำแหน่งสำคัญ มอบอำนาจให้เจ้าคุมอาณาเขต แต่เจ้ากลับใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ชิงตัวผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งไปครอบครอง สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องไม่ตายดี…”


นอกตำหนักคุ้มเมือง ชายวัยกลางคนที่ใบหน้างดงาม บนตัวมีกลิ่นสุรา ดื่มจนใบหน้าแดงก่ำ มือข้างหนึ่งถือกาสุรา มือข้างหนึ่งชี้ตำหนักคุ้มเมืองพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ด่าอย่างโกรธแค้น ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินสัญจรไปมาให้หยุดดูทันที


“บังอาจ!”


เสียงตะโกนที่เกรี้ยวกราดดังขึ้น ทหารสวรรค์หลายสิบคนถลันตัวเข้ามา พวกเขาออกอาวุธพร้อมกัน ล้อมชายวัยกลางคนเอาไว้


ชายวัยกลางคนถือกาสุราอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ชี้รอบวงพร้อมตะโกน “ข้าจะฟ้องเบื้องบนแน่นอน…”


เสียงพูดหยุดชะงัก จู่ๆ ราชาปีศาจกระดูกขาวที่เหาะลงมาจากฟ้าก็รัวดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง ฟันจนร่างเขาขาดเป็นสองท่อนทันที ทั้งเลือกทั้งสุราสาดกระจายคาที่


พอสะบัดรอยเลือดทิ้ง ราชาปีศาจกระดูกขาวก็ทำเสียงเหยียดหยาม แล้วสั่งว่า “ถ้ามีพวกบ้าวิ่งมาปล่อยข่าวลืออีก ก็ไม่ต้องพูดมาก ฆ่าเลย!”


“รับทราบ!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่ง


ราชาปีศาจกระดูกขาวเก็บดาบแล้วหันตัวเดินไป ส่วนคนที่เหลือก็เก็บกวาดสถานที่ คนที่ดูอยู่ไกลๆ ส่ายหน้าทอดถอนใจ


ตรงประตูตำหนักคุ้มเมือง ไห่ผิงซินโผล่หน้าออกมาแอบดู ปากกก็เดาะลิ้นไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าในบรรดาคนที่ชื่นชอบเฟยหงจะมีคนมากมายที่ไม่กลัวตาย นี่ก็สามวันติดต่อกันแล้ว ในแต่ละวันจะมีคนวิ่งมาหลายคน ถึงขั้นมีคนตะโกนเรียก ‘เฟยหง’ อย่างไม่เสียดายชีวิตไปทางตำหนักคุ้มเมือง แต่โดนประหารตายกลางทาง


ทุกวันเวลานางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็จะวิ่งออกมาดูทันที สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความสำคัญของเฟยหงที่อยู่ในใจนาง


ในสวนดอกไม้ของตำหนักหลัง ใต้ศาลาเย็น บนเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง เหมียวอี้กำลังนอนเอนกายอยู่บนนั้น แสร้งหยิบม้วนหนังสือโบราณมาพลิกอ่าน แต่ที่จริงกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ ไม่สนใจเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนด่าทอด้านนอก อย่างมากก็แค่ฟังนิดหน่อยว่ากำลังด่าอะไร


เสียงเครื่องประดับหยกดังมา เหมียวอี้เอียงหน้ามองไป


ยอดหญิงงามคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวและคลุมผ้ามุ้งสีดำชั้นนอกปรากฏตัว คอเสื้อกว้างเผยให้เห็นไหปลาร้าที่งามประณีตขาวหมดจด แขนเสื้อกว้างปลิวพลิ้ว ผมงามยุ่งเล็กน้อย ใบหน้างามดุจดอกไม้ เอวบางไหวพริ้ว ก้าวเดินอย่างละมุนละไม ดวงตางามฉ่ำน้ำมองไปรอบๆ พอเห็นเหมียวอี้อยู่ทางนี้ ก็เดินเยื้องย่างเข้ามาทันที ข้างหลังมีสาวใช้หน้าตาน่ารักตามมาอีกสองคน


พอนางปรากฏตัว เงาร่างของเหยียนซิวก็โผล่ออกมาจากแปลงดอกไม้ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ มาเฝ้าอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เฟยหงที่เดินเข้ามาจ้องประเมินเหยียนซิวครู่หนึ่ง


เหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วเหยียนซิวก็หายไปอย่างเงียบๆ อีกครั้ง


“นายท่าน!” เฟยหงนำสาวใช้สองคนมาย่อคำนับด้วยกัน


เหมียวอี้พูดหยอกล้อว่า “เมื่อคืนใช้แรงไปเยอะขนาดนั้น ควรจะผักผ่อนสิถึงจะถูก จะมาตรงนี้ทำไม?” เขาเองก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ถึงแม้จะกำลังปวดหัวเรื่องไปพบหน้าอวิ๋นจือชิว แต่สตรีที่งามเลิศล้ำได้มาอยู่ข้างกาย ส่งมาให้แบบไม่ต้องแลกกับอะไร ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้งาน


เมื่อวานจัดโต๊ะหลายสิบโต๊ะไว้ในตำหนักคุ้มเมือง เชิญลูกน้องกับพวกพ่อค้าที่พอจะมีหน้ามีตามาดื่มสุรามงคล หวงฝู่จวินโหรวไม่ได้มา แม้แต่ของขวัญก็ไม่นำมาให้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการประกาศรับเฟยหงเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ เมื่อคืนหลังจากส่งแขกแยกย้ายกันกลับแล้ว ก็ย่อมต้องนัวเนียกันสักยก


ถึงอย่างไรเฟยหงก็เจอกับเรื่องทางโลกเป็นครั้งแรก พอนึกถึงความบ้าระห่ำเมื่อคืนนี้ แก้มสองข้างก็แดงเรื่อ ไม่คุ้นชินกับการสนทนาหัวข้อนี้ นางจ้องม้วนหนังสือโบราณในมือเหมียวอี้ แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดคุย “นายท่านมีเรื่องอะไรในใจเหรอคะ?”


สาวใช้นำม้านั่งยาวมาวาง นางนั่งจับเข่าอยู่ข้างหน้าเก้าอี้นอนของเหมียวอี้


เหมียวอี้แกว่งไหวหนังสือในมือพร้อมตอบว่า “กำลังอ่านหนังสือ”


เฟยหงเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “นายท่านถือหนังสือกลับหัวแล้วค่ะ”


“เอ่อ…” เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง พบว่าถือกลับหัวแล้วจริงๆ จึงพลิกกลับทันที แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ต้องโทษที่คนรักและชื่นชมเจ้าเยอะเกินไป ฆ่าไม่หมดสักที ร่ำร้องโวยวายอยู่ข้างนอกทั้งวัน รบกวนจิตใจข้าแล้ว ข้าไม่ทันระวังเลยถือกลับด้าน” เขารู้สึกอับอายนิดหน่อย


สามารถดึงดูดผู้ชายได้เยอะขนาดนี้ สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอย่างนาง นี่ไม่ใช่คำชมที่ดีสักเท่าไร เฟยหงตอบด้วยอารมณ์เยือกเย็นว่า “นายท่านล้อเล่นแล้ว นายท่านเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ในปีนั้นเกราะรบเปื้อนเลือด ถือทวนกวาดมองรอบด้าน มองเห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านเป็นเหมือนหนูต่ำต้อย ในปีนั้นยามเผชิญกับความอัปยศยิ่งกว่าวันนี้ก็ยังก็ไม่เคยขมวดคิ้วเลย จะเก็บคำด่ากระจอกแบบนั้นมาใส่ใจได้อย่างไรคะ คนที่วิตกกังวล จิตใจพะว้าพะวงไม่เป็นสุขเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มควรจะเป็นข้าสิถึงจะถูก ทำลายชื่อเสียงอันดีงามของนายท่านแล้ว”


“ทำลายก็ทำลายไปสิ พวกเขามีปาก ข้ามีดาบ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าปากกับดาบอะไรจะแข็งกว่ากัน” เหมียวอี้พูดเหยียดหยาม แล้วยกเท้าขึ้นวางบนเข่านาง ยกนิ้วขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เพลงที่เจ้าร้องคืนนั้นไพเราะมาก ร้องไห้ฟังอีกรอบซิ”


เฟยหงประคองขาของเหมียวอี้ สองมือที่เรียวสวยเริ่มบีบนวดให้ พร้อมร้องเพลงเบาๆ “จันทร์กระจ่างมีมาตั้งแต่ยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามฟ้า มิอาจรู้ว่าวิมานบนสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีใด…”


ไพเราะมากจริงๆ! เหมียวอี้หลับตาสองข้างงีบพักผ่อน ทำสีหน้าหมือนกำลังดื่มดำ ใช้นิ้วเคาะหนังสือโบราณที่วางอยู่บนท้องเบาๆ แล้วก็เคลิ้มหลับไปแล้วจริงๆ…


เสียงพร่ำบ่นนอกตำหนักคุ้มเมือง หลังจากทยอยโดนฆ่าไปหลายสิบคน ในที่สุดก็เงียบลงแล้ว


แม่เฒ่าลวี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน!


ผมสีเขียว คิ้วสีเขียว เสื้อผ้าสีเขียว ใบหน้าขาวอมชมพู ผิวหนังเหี่ยวย่น หลังค่อม ในมือถือไม้เท้าหัวเขียวด้ามหนึ่ง สีหน้าเย็นเยียบ จ้องมองเหมียวอี้ที่อยู่หน้าอย่างเย็นชาดุร้ายราวกับจะกินคน


ข้างกายแม่เฒ่าลวี่ยังมีผู้ติดตามอีกหลายคน ผู้ที่นำหน้ามาคือชายหนุ่มวัยกลางคนร่างบึกบึน เหมือนผู้ชายที่รูปร่างแบบนี้จะชอบไว้หนวดกันหมด ท่านนี้ก็เช่นกัน ใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่คนคนนี้มีประวัติภูมิหลังไม่ธรรมดา องครักษ์ซ้ายขวาของตำหนักสวรรค์ก็คือกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ ถูกควบคุมโดยตรงจากราชันสวรรค์ และเขาก็เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของครักษ์ฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์ ชื่อว่าอวี่จ้งเจิน


บทที่ 1336 เตรียมตัวย้ายรังเถอะ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าเองเหรอที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ?” อวี่จ้งเจินเห็นหน้าแล้วถามกลั้วหัวเราะ


“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบอย่างสงสัยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ยังไม่ทันได้ถามกลับ อีกฝ่ายก็เริ่มแนะนำตัวเองเสียงดังไม่หยุดแล้ว


ตอนนี้เพิ่งจะเจอหน้ากัน คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะเข้ามาในตำหนักคุ้มเมือง เพิ่งจะเจอกับแม่เฒ่าลวี่ ยังไม่ทันได้ทำความเคารพแม่เฒ่าลวี่เลย หัวหน้าภาคอวี่ท่านนี้ก็เริ่มแล้ว


กำลังพลขององครักษ์ซ้ายขวาแห่งตำหนักสวรรค์ไม่เหมือนกับกำลังพลของอำนาจท้องถิ่น สิ่งที่เรียกว่า ‘ท้องถิ่น’ ก็ย่อมเป็นกำลังพลที่ตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ตามท้องถิ่นอยู่แล้ว มีอาณาเขตที่ตัวเองได้รับแบ่งไว้ ส่วนองครักษ์ซ้ายขวาคือกำลังพลที่ขึ้นตรงต่อวังสวรรค์ มีกำลังรบที่เข้มแข็งที่สุด ไม่อย่างนั้นก็คงกลายเป็นกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมาหากพื้นที่ไหนต้องการทัพใหญ่ ก็จะถูกย้ายไปตั้งมั่นอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตของใครก็ไปประจำการได้ทั้งนั้น แต่กลับไม่มีอาณาเขตที่แน่นอนของตัวเอง บังเอิญว่าตอนนี้หัวหน้าภาคอวี่มาประจำการในอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนพอดี เขากับแม่เฒ่าลวี่รู้จักกัน เมื่อทราบข่าวว่าแม่เฒ่าลวี่จะมาที่นี่ เขาจึงตามมาดูสักหน่อย


อวี่จ้งเจินกำลังพูดเป็นต่อยหอยอยู่อย่างนั้น แต่แม่เฒ่าลวี่ไม่พูดอะไรสักคำ กำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวสัมผัสได้ถึงรสชาติความแตกต่างของไฟกับน้ำแข็ง


หยางชิ่ง เหยียนซิว หยางเจาชิง ไห่ผิงซินอยู่ข้างๆ


เหมียวอี้ร้อนใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหัวหน้าภาคอวี่ท่านนี้จะเลิกพูดหรือไม่


“ท่านแม่บุญธรรม!” เมื่อเฟยหงที่อยู่ข้างๆ เห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ก้าวขึ้นมาคำนับแม่เฒ่าลวี่ก่อน


แม่เฒ่าลวี่คว้ามือนางดึงไปไว้ข้างหลังตัวอง แล้วก็จู่ๆ ทำเสียงฮึดฮัด กระแทกไม้เท้าหัวเขียวในมือลงพื้นอย่างแรง


“ตึ้ง!” เกิดเสียงดังสะเทือน พื้นดินสั่นไหว อวี่จ้งเจินหันกลับมาอย่างงงงัน ในที่สุดก็หุบปากแล้ว


ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทหารยามที่อยู่รอบๆ ปรากฏตัว เหมียวอี้โบกมือให้กลุ่มทหารถอยไป เสร็จแล้วถึงได้ก้าวขึ้นมาคำนับ “หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนคำนับแม่เฒ่าลวี่”


ซวบ! แม่เฒ่าลวี่โบกไม้เท้าชี้ เนื้อเสียงราวกับอีกาแก่ ตวาดด้วยเสียงที่แสบแก้วหูว่า “ใจกล้านักนะ บังอาจมาแตะต้องลูกสาวข้า!”


“ท่านแม่บุญธรรม!” เฟยหงรีบก้าวขึ้นมาช่วยพูด


“มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว!” แม่เฒ่าลวี่ตะคอกพร้อมดึงนางไว้


ไม้เท้าด้ามนั้นแทบจะจิ้มโดนหน้าอกเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ยืนไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น ยกมือเขี่ยปลายไม้เท้าตรงหน้าออกไป แต่พบว่าเขี่ยออกไม่ได้ เพราะวรยุทธ์ไม่สูงเท่าอีกฝ่าย จึงหันตัวหลีกทางให้ แล้วยื่นมือเชิญพร้อมยิ้มบางๆ “ตรงนี้ไม่ใช่ที่คุยกัน เชิญเข้าไปดื่มน้ำชาในโถงหลักขอรับ”


อวี่จ้งเจินพยักหน้าเบาๆ ให้กับความสุขุมใจเย็นของเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กลัวเลยสักนิด ในดวงตาฉายแววชื่นชม


หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาจะกลัวเสียที่ไหนล่ะ อีกฝ่ายมีแผนการมาตั้งนานแล้ว ถ้าจะฆ่าเขาก็คงฆ่าไปนานแล้ว จะสิ้นเปลืองเวลาแบบนี้ทำไม เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้มาเพื่อขู่ให้ตกใจ รับรองว่าเขาจะไม่เป็นอะไรเลยสักนิด


แม่เฒ่าลวี่กำหมัดทุบบนดอกฝ้าย ให้ความรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรง พอใบหน้าชราบึ้งตึง ก็ถามอย่างโมโหว่า “ใครจะไปดื่มน้ำชาเส็งเคร็งของเจ้า ข้าจะถามเจ้าสักคำ เจ้าอยากจะตายหรืออยากจะรอด?”


“เหตุใดแม่เฒ่าจึงต้องเดือดดาลขนาดนี้ ไม่ทราบว่าอยากตายแล้วยังไง อยากรอดแล้วยังไง?” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม


แม่เฒ่าลวี่ “ถ้าอยากตาย ยายแก่คนนี้ก็ย่อมเอาไม้เท้าฟาดเจ้าสักครั้ง แต่ถ้าอยากรอดก็ต้องให้ลูกสาวข้าเป็นฮูหยินภรรยาเอกเดี๋ยวนี้ เห็นแก่ที่พวกเจ้ากลายเป็นแบบนี้แล้ว คุกเข่าเอาหัวโขกพื้นให้ข้าอีกสามที ข้าก็จะไม่ถือสาหาความเจ้าแล้ว”


เหมียวอี้ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ “ข้ารับเฟยหงเป็นอนุภรรยาแล้ว ส่วนเรื่องรับเป็นภรรยาเอกน่ะเหรอ ข้าปรึกษากับเฟยหงไปแล้ว ว่าเดี๋ยวค่อยดูกันตอนหลัง ถ้าหากพบว่าเหมาะสม ก็ย่อมเลื่อนให้เป็นภรรยาเอกขอรับ”


“เหลวไหล!” แม่เฒ่าลวี่ระเบิดอารมณ์ทันที ใช้ปลายไม้เท้าแตะหัวไหล่เหมียวอี้ “ลูกสาวข้าจะเป็นอนุภรรยาได้ยังไง อย่าเอาเรื่องในภายหลังมาหลอกตบตาข้า ถ้าไม่เลื่อนให้นางเป็นฮูหยินเอกตอนนี้ ก็เอาชีวิตเจ้ามา!”


เหมียวอี้สีหน้าเครียดขรึมลงเล็กน้อย “แม่เฒ่าลวี่ อย่าให้ข้าไว้หน้าแต่ท่านไม่รับไว้ ดูให้ชัดเจนก่อนว่าที่นี่ที่ไหน ที่นี่คือตำหนักคุ้มเมืองที่หนิวเฝ้ารักษาการณ์ให้ตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่สวนผลไม้ที่ท่านดูแล ควรจะทำอย่างไรข้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว ยังไม่ถึงคราวให้ท่านมาพาลเกเรที่นี่หรอก!”


ไห่ผิงซินเบิกตากว้างพูดไม่ออก ในฐานะที่นางไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก นางพบว่าท่านที่นางกำลังทำงานรับใช้อยู่ช่างโหดนัก!


เฟยหงที่ดึงแขนแม่เฒ่าลวี่งงงันเล็กน้อย พบว่าผู้ชายของตัวเองแข็งกร้าวเหมือนอย่างที่เคย สมกับเป็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่ตัดหัวข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า


อวี่จ้งเจินกระตุกมุมปากเล็กน้อย


“อะไรนะ?” แม่เฒ่าลวี่โมโหจนร้องโวยวาย เอามือดึงเฟยหงออก แล้วบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้ารึไง!” นางเอาไม้เท้ากระแทกหัวเหมียวอี้ด้วยความเดือดดาลเสียเลย


อวี่จ้งเจินที่อยู่ข้างๆ พลันยกมือห้าม แต่กลับยกมือกระแทกไม้เท้าของแม่เฒ่าลวี่เล็กน้อย มาขวางไว้ตรงกลางพร้อมกล่าวโน้มน้าวดีๆ “ไอ๊หยา! แม่เฒ่า เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงท่านจะโมโหขนาดนี้ไปทำไม มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ” เสร็จแล้วก็หันกลับมาถลึงตาใส่เหมียวอี้ “เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่สักนิดเลยเหรอ? เรียนหนังสือมาน้อยล่ะสิ? รีบมาขอโทษเร็วๆ!”


เฟยหงก็กอดเอวแม่เฒ่าลวี่เหมือนกัน “ท่านแม่บุญธรรม เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”


พวกเหยียนซิวที่กำลังจะลงมือพร้อมกันโล่งอกแล้ว หยางชิ่งจ้องประเมินอวี่จ้งเจินอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลยว่าคนขององครักษ์ฝ่ายซ้ายจะถ่อมาที่นี่ทำไม ตอนนี้เข้าใจแล้ว สงสัยจะมาเพื่อทำให้เรื่องจบลงด้วยดี คนหนึ่งแสดงบทผู้ร้าย คนหนึ่งแสดงบทคนดี จะได้ไม่เล่นออกนอกบทที่กำหนดวางเอาไว้แล้ว ไม่มีคนของฝ่ายนี้เลยจริงๆ


“ขอโทษเหรอ?” เหมียวอี้ที่ถอยไปข้างหลังถลันตัวออกมาแสยะยิ้ม “หนิวคนนี้ยังยืนยันคำเดิม ที่นี่คือตำหนักคุ้มเมืองที่หนิวเฝ้ารักษาการณ์ให้ตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาพาลเกเรก็ได้ ในเมื่อท่านกล้าไม่เห็นราชันสวรรค์อยู่ในสายตา มองข้ามกฏระเบียบสวรรค์ งั้นก็อย่าหาว่าหนิวคนนี้ไม่เกรงใจ ทหาร!” เสียงตะโกนนี้ดังสะท้านทั้งตำหนักคุ้มเมือง


ชั่วพริบตานั้น ทหารสวรรค์หลายร้อยคนก็ปรากฏตัว ทุกคนออกอาวุธพร้อมกัน มาล้อมพื้นที่นั้นเอาไว้


อวี่จ้งเจินรีบมองไปรอบๆ ลูกน้องของเขาก็รีบถลันตัวมาคุ้มกันโดยรอบเช่นกัน แต่กลับเลี่ยงไม่ได้ที่จะหันไปสบสายตาบอกใบ้ จะลงมือกันที่ตำหนักคุ้มเมืองจริงๆ เหรอ? ไม่ว่าจะมองในแง่อารมณ์หรือเหตุผลก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น คงจะไม่เกิดเรื่องหรอกใช่มั้ย?


แม่เฒ่าลวี่หันซ้ายหันขวา รู้สึกงงงันอยู่บ้างนิดหน่อย เมื่อเจอกับการลงไพ่แบบไม่อิงหลักการแบบนี้ เรื่องราวก็บิดเบี้ยวจากที่คาดไว้แล้ว


เหมียวอี้โบกมือชี้แม่เฒ่าลวี่ แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพ่อคนนี้ไม่เกรงใจ!”


หยางชิ่งแอบทอดถอนใจ พบว่านี่ก็คือจุดที่เขาสู้เหมียวอี้ไม่ได้


“นายท่าน!” เฟยหงกล่าวขอร้อง


แม่เฒ่าลวี่โกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง รอยย่นบนใบหน้าแยกออกจากกันแล้ว ปราณปีศาจบนตัวเผยออกมารางๆ โมโหจนโวยวายว่า “เจ้ากล้าเหรอ! อาศัยทหารกระจอกๆ ของเจ้าก็กล้ามาแตะต้องยายแก่อย่างข้าแล้วเหรอ!”


เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด “ขอเพียงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล มีอะไรที่ข้าไม่กล้าบ้างล่ะ ข้าล่วงเกินผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายอยู่ดี มีชีวิตรอดไปได้หนึ่งวันก็ถือว่ากำไรแล้ว ยังต้องมารองรับอารมณ์ยายปีศาจเฒ่าอย่างท่านด้วยเหรอ ปิดประตูเมืองทั้งสี่ เรียกรวมกำลังพลมาทั้งเมือง ข้าก็อยากจะเห็นนักว่านางจะฆ่าได้สักเท่าได้” แล้วก็ใช้นิ้วชี้แรงๆ อีกครั้ง” ทหารทุกคนฟังคำสั่ง ไล่ยายปีศาจเฒ่าชุดเขียวนี่ออกไปให้ข้า ใครกล้าขัดคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น!”


“รับทราบ!” ทหารทุกคนเอ่ยรับพร้อมกัน แล้วถืออาวุธประชิดเข้ามา


หยางเจาชิงหยิบของที่คล้ายแตรเขาวัวออกมาจ่อตรงปากแล้ว


อวี่จ้งเจินที่ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกินรีบคว้ามือขยุ้ม พลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่ง ดูดแตรของหยางเจาชิงมาไว้ในมือตัวเองแล้ว จากนั้นรีบโบกมือไปรอบๆ “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ เป็นคนกันเองทั้งนั้น” จากนั้นพลิกฝ่ามือเผยบัตรขุนนางสีรุ้งให้ทุกคนดู


ตามหลักการแล้ว ที่จริงระดับของเขาไม่มีบัตรขุนนางสีรุ้งประเภทนี้ คนที่อยู่ในระดับเข้าประชุมราชสำนักได้เท่านั้นที่มีได้ แต่โครงสร้างขององครักษ์ซ้ายขวาไม่เหมือนอำนาจท้องถิ่น กอปรกับฐานะพิเศษของกองทัพองครักษ์ราชันสวรรค์ เขาถึงได้รับเกียรตินี้เป็นกรณีพิเศษ


ไม่ใช่ว่าเขากลัวคนของตำหนักคุ้มเมือง ต่อให้คนทั้งตลาดสวรรค์รวมกันก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี เพียงแต่ถ้าลงมือที่ตำหนักคุ้มเมืองจริงๆ ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักก็จะเล่นงานเจ้าตาย พวกตาแก่ในราชสำนักอยากจะมัดมือมัดเท้าองครักษ์ซ้ายขวาจะแย่อยู่แล้ว จะยอมให้กองทัพองครักษ์ทำเรื่องที่นอกเหนือหน้าที่ได้อย่างไร แตะต้องตลาดสวรรค์ก็ไม่ได้เช่นกัน ไม่อาจปล่อยให้กฎนี้โดนแหก ดีไม่ดีหัวอาจจะหลุดออกจากบ่าได้


“หยุดเดี๋ยวนี้!”  หยางชิ่งยกมือตะโกนห้าม ทางนั้นมีคนไกล่เกลี่ยสถานการณ์แล้ว เขาก็เลยกลายเป็นคนไกล่เกลี่ยสถานการณ์ด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นถ้าลงมือสู้กันขึ้นมา ต่อให้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามซวยได้ แต่ฝ่ายตัวเองก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยสักนิด ใช้วิธีหยกศิลาล้วนแหลกลาญ[1]กับเรื่องนี้ถือว่าไม่คุ้ม หลังจากตะโกนห้ามกำลังพลแล้ว ก็รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะบอกเหมียวอี้ “นายท่าน เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เหตุใดต้องใช้อารมณ์กับเรื่องนี้ มีอะไรก็เจรจากันดีๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหารมากมาย!”


“ใช่ๆๆๆ คนคนนั้นพูดถูก!” อวี่จ้งเจินที่อยู่ตรงข้ามใช้บัตรขุนนางในมือชี้หยางชิ่งอย่างชื่นชม แล้วกันไปดึงแขนแม่เฒ่าลวี่ โมโหจนสีหน้าเปลี่ยน แล้วกล่าวเหมือนเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “แม่เฒ่าลวี่ ยังไงลูกสาวท่านก็กลายเป็นคนของเขาไปแล้ว ถ้าท่านฆ่าเขาทิ้ง ลูกสาวท่านจะไม่กลายเป็นม่ายหรอกหรือ พวกเราระงับโทสะสักหน่อย มีอะไรก็พูดกันดี ครอบครัวกันมีอะไรที่คุยกันไม่ได้บ้างล่ะ”


“นายท่าน!” เฟยหงโผเข้ามากอดแขนเหมียวอี้เอาไว้ นางทำสีหน้าวิงวอนขอร้อง น้ำตาเอ่อล้นออกมาแล้ว


เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง พบว่านางช่างแสดงละครเก่งจริงๆ สมแล้วที่มีพื้นเพมาจากคณะการแสดง “ฮึ” เขาทำเสียงฮึดฮัดแล้วสะบัดนางออกไป แล้วหันตัวเดินก้าวยาวกลับเข้ามาในตำหนัก โดยมีเหยียนซิวติดตามอยู่ข้างหลัง


ทั้งสองฝ่ายล้วนแสดงได้เก่ง จุดที่แตกต่างกันก็คือเหมียวอี้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังแสดงละคร แต่ฝ่ายแม่เฒ่าลวี่นึกว่าตัวเองแสดงละครอยู่ฝ่ายเดียว แต่ครั้งนี้ก็ทำให้แม่เฒ่าลวี่โมโหแล้วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวก็โดนผู้บัญชาการใหญ่ต่ำต้อยคนหนึ่งด่าว่ายายปีศาจเฒ่าต่อหน้าฝูงชนแล้ว


หยางชิ่งส่งสายตาให้หยางเจาชิง ทำให้หยางเจาชิงโบกมือไล่ทหารที่มาล้อมตรงนั้นไว้ทันที “ทุกคนกลับไปทำงาของตัวเองเถอะ”


หยางชิ่งย่อมอยู่เป็นทูตสันติภาพที่นี่ต่ออยู่แล้ว ก้าวขึ้นมาเจรจากับอวี่จ้งเจิน พยายามใช้คำพูดดีๆ ถึงได้ทำให้พวกแม่เฒ่าลวี่ไปพักที่เรือนด้านข้างได้


ส่วนหยางเจาชิงก็เป็นตัวละครที่คอยวิ่งเต้นให้ระหว่างแม่เฒ่าลวี่กับเหมียวอี้ แม่เฒ่าลวี่ยืนกรานว่าจะให้เหมียวอี้แต่งตั้งเฟยหงเป็นฮูหยินเอก แต่เหมียวอี้ดึงดันต่อต้าน แค่นี้เขาก็รู้สึกผิดกับอวิ๋นจือชิวมากพอแล้ว ในจุดนี้ต่อให้เขาตายเขาก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี


ทั้งสองฝ่ายเจรจากันไม่ลงตัว ทว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข เป็นไปไม่ได้ที่จะแบกไว้ตลอด


สุดท้ายแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว เฟยหงกลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ไปแล้ว แม่เฒ่าลวี่จำเป็นต้องผ่อนปรนให้ เหมียวอี้ถึงได้เสด็จมาเยือน เป็นฝ่ายมาพบนางที่เรือนด้านข้างก่อน


ทว่าหลังจากเจอกันอีกครั้ง กลิ่นดินปืนระหว่างทั้งสองก็เริ่มปะทุขึ้นอีกแล้ว แม่เฒ่าลวี่กระทุ้งไม้เท้าในมือกับพื้น “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าไม่อยากรับลูกสาวข้าเป็นฮูหยินเอกจริงเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ใช่ว่าไม่อยากนะ แต่ชีวิตการแต่งงานขอสามีภรรยาคือเรื่องใหญ่ จะทำอย่างลวกๆ ได้ยังไง ข้าบอกแล้วไงว่าอยู่ด้วยกันไปสักระยะก่อนเพื่อดูว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม!”


“ดี! ข้าก็อยากจะดูว่าคอของเจ้าจะแข็งขนาดไหน ถ้าไม่ให้บทเรียนกับเจ้าสักหน่อย เกรงว่าจะคิดว่าครอบครัวของนางหนูไม่มีใคร อาจจะรังแกนางหนูยังไงก็ได้” แม่เฒ่าลวี่แสยะยิ้ม แล้วกวาดมองการประดับตกแต่งของในบ้าน “ว่ากันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ร่ำรวยมาก ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเป็นแล้วล่ะ อวี่จ้งเจิน เรื่องนี้แม่เฒ่าต้องไหว้วานเจ้าแล้ว”


อวี่จ้งเจินยิ้มเจื่อนพลางเอามือลูบจมูก เหมือนกำลังถามว่า ให้ข้าแทรกแซงเรื่องนี้จะเหมาะสมเหรอ?


“ตำแหน่งนี้ข้าจะอยากเป็นหรือไม่อยากเป็น ก็ไม่รบกวนให้ท่านมาเป็นห่วงหรอก” เหมียวอี้เหยียดหยาม จะสื่อความหมายว่า พวกเจ้าจะมายุ่งได้เหรอ? เขาไม่กลัวเลยจริงๆ ในราชสำนักมีเทพประจำดาวฟ้าเถาะคอยช่วยพูดให้เขา เบื้องบนก็มีปี้เยว่คุ้มครองอยู่ ตราบใดที่ปี้เยว่ไม่ปล่อยเข้าไป ตำแหน่งของเขาก็ไม่ใช่ว่าใครจะมาแตะต้องก็ได้


“ข้าไม่ปลื้มกับคำพูดนี้แล้วนะ” จู่ๆ อวี่จ้งเจินก็หัวเราะเบาๆ แล้วเดินมาตบบ่าเหมียวอี้ “องครักษ์ซ้ายขวาเป็นกองทัพที่มีความเกรียงไกรที่สุดของตำหนักสวรรค์ องครักษ์ซ้ายขวามีอำนาจในการคัดเลือกคนมาจากอาณาเขตต่างๆ ขอเพียงองครักษ์ซ้ายขวาถูกใจ คนที่สามารถปฏิเสธได้ก็มีไม่เยอะเลยจริงๆ เจ้ามีชื่อเสียงที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านอยู่ มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาอยู่กับองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้เลย น้องชาย! เรื่องนี้ตกลงตามนี้แล้วกัน ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยว่า เตรียมตัวย้ายรังเถอะ!”


…………………………


[1] ยกศิลาล้วนแหลกลาญ 玉石俱焚 อุปมาว่ายอมให้พังไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย


บทที่ 1337 สอบสวนลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เข้าไปอยู่กับองครักษ์ฝ่ายซ้าย?


พวกเหมียวอี้งุนงงพร้อมกัน ต่างก็นึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้ว


เหมียวอี้ปฏิเสธทันที “ข้าซาบซึ้งในเจตนาดีของหัวหน้าภาคอวี่แล้ว ข้าไม่ได้สนใจองครักษ์ฝ่ายซ้ายสักเท่าไร อยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อไปดีกว่า”


ล้อเล่นอะไรกัน องครักษ์ฝ่ายซ้ายฟังดูมีบารมีน่าเกรงขามจะตายไป สวัสดิการก็ดีกว่าอำนาจท้องถิ่นไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่ถึงอย่างไรถ้าอยู่ในอำนาจท้องถิ่นก็ยังมีอาณาเขตของตัวเอง ยังหาทางตักตวงทรัพยากรได้อยู่ ส่วนองครักษ์ฝ่ายซ้ายนั้นเป็นรายได้ที่ตายตัวอย่างเดียว เทียบกับทรัพยากรที่ตลาดสวรรค์ไม่ติด เขาเลี้ยงผู้หญิงกับลูกน้องไว้ทำงานมากมายขนาดนั้น จะอาศัยรายได้ตายตัวขององครักษ์ฝ่ายซ้ายเหรอ ล้อเล่นรึเปล่า? จะต้องไม่อยากย้ายรังแน่นอน จะต้องให้ปี้เยว่คุ้มครองให้และไม่ปล่อยไป


“เหอะๆ!” อวี่จ้งเจินเงยหน้าหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องราวที่ตลกที่สุดในโลก เขาเอาสองมือไขว้หลัง และไม่ไปเถียงกับเหมียวอี้เช่นกัน เพียงพยักหน้าบอกว่า “เห็นแก่ที่เจ้ากับแม่เฒ่าลวี่เป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมหรอก ถ้าไปอยู่กับข้าเจ้าก็จะได้อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อไป น้องชาย เจ้าต้องคิดเรื่องนี้ให้ดีนะ ผู้บัญชาการใหญ่ของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาไม่ใช่ตำแหน่งที่ผู้บัญชาการใหญ่ทั่วไปจะเทียบติด ปกติต้องมีวรยุทธ์บงกชรุ้งก่อนถึงจะเป็นได้ เหมือนเจ้าจะยังอยู่ระดับบงกชทองอยู่เลยนะ ข้ามีน้ำใจมากพอรึยังล่ะ?”


ตึ้ง! แม่เฒ่าลวี่กระทุ้งไม้เท้า แล้วเดินไปพร้อมบอกว่า “พวกเรากลับ!”


อวี่จ้งเจินเดินตามไปอย่างร่าเริง ส่วนเฟยหงก็วิ่งไปคว้าแขนแม่เฒ่าลวี่ “ท่านแม่บุญธรรม เพิ่งมาเอง ทำไมจะกลับแล้วล่ะคะ? อยู่สักหลายๆ วันเถอะค่ะ”


แม่เฒ่าลวี่แสยะยิ้ม “จะให้อยู่ต่อเพื่อดูเขาชักสีหน้าใส่รึไง? ข้าออกไปหาโรงเตี๊ยมพักดีกว่า พวกเราสองแม่ลูกไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว ไปเถอะ ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าสักหน่อย” นางคว้าข้อมือเฟยหงเดินไปทันที เฟยหงหันกลับมามองเหมียวอี้ตลอดทาง เหมือนทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน


เหมียวอี้ยืนหน้าตึงอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีว่าจะรั้งไว้ หยางชิ่งรีบตามไป ‘ส่งแขก’ ถือโอกาสไปสืบข่าวสักหน่อยว่าที่อวี่จ้งเจินบอกว่าจะให้เหมียวอี้ไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนั้นพูดจริงหรือล้อเล่น


หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน หยางชิ่งถึงได้กลับมา พอเจอหน้ากัน เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ก็ถามทันทีว่า “เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”


“แม่เฒ่าลวี่ต้องการจะอยู่ที่ตลาดสวรรค์สองวัน หรูฮูหยินบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนางสักหน่อย ให้ข้ามาบอกนายท่าน รอให้ท่านแม่บุญธรรมนางไปก่อน แล้วนางจะกลับมา” หยางชิ่งตอบ


“ข้าไม่ได้ถามถึงนาง ถ้านางไม่กลับมาข้าก็ยิ่งดีใจ ข้าถามถึงอวี่จ้งเจินนั่น” เหมียวอี้กล่าว


หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เหมือนพูดล้อเล่น เกรงว่าจะเอาจริง อ้อมไปอ้อมมาตั้งไกล เกรงว่านี่คงจะเป็นจุดประสงค์ของพวกเขา”


เหมียวอี้หรี่ตา “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ไม่ว่าครั้งนี้ข้าจะเกรงใจแม่เฒ่าลวี่หรือไม่ พวกเขาก็จะดึงตัวข้าไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเหมือนเดิม มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”


หยางชิ่งอธิบายว่า “ตอนแรกที่ได้ฟังคำพูดของอวี่จ้งเจิน ข้าน้อยก็ยังคิดอยู่เลย ว่าการที่นายท่านก่อเรื่องหลายครั้งได้ดึงดูดความสนใจบุคคลระดับสูงของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเข้าแล้วรึเปล่า จงใจจะดึงตัวนายท่านไปชุบเลี้ยง แต่ช่วยไม่ได้ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคือกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ ไม่สะดวกจะให้คนที่มีประวัติกำพืดไม่ชัดเจนเข้าไปแทรกซึม ถึงได้จับตาดูนายท่านไว้ แต่พอลองนึกย้อนไป ต่อให้บุคคลระดับสูงของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะถูกใจนายท่าน แต่คาดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายใช้เวลาหลายพันปีและความพยายามมากมายเพื่อจัดการเรื่องเล็กๆ แบบนี้ องครักษ์ฝ่ายซ้ายกับหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายอยู่ในระดับเดียวกัน เกรงว่าจะยังขาดความเชี่ยวชาญ ข้าลองไปคิดไปคิดมา พบว่ามีอยู่หนึ่งคนที่สามารถทำให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายวิ่งวุ่นเล่นใหญ่กับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้ ราชันสวรรค์! หรือว่าราชันสวรรค์จะถูกใจนายท่าน? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้แล้ว คนที่ราชันสวรรค์ต้องการจะใช้งาน ย่อมปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่นายท่านรู้สึกว่าเป็นไปได้รึเปล่า?”


“ราชันสวรรค์ถูกใจข้าเหรอ?” เหมียวอี้ชี้ที่จมูกตัวเอง แล้วถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอ?”


ราชันสวรรค์อาจจะอยู่ไกลไปหน่อย หยางชิ่งจึงยิ้มเจื่อนในขณะที่ตอบ “เหมือนจะเป็นไปไม่ได้กระมัง! ข้าคิดไปคิดมา เพียงอยากจะถามนายท่านสักคำ บนตัวนายท่านมีเรื่องอะไรที่ควรค่าจะให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายสิ้นเปลืองความพยายามไปมากกว่านี้เหรอ? ในจุดนี้ มีเพียงนายท่านที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ”


พูดจากใจจริง เขารู้สึกได้ตั้งนานแล้วว่าเบื้องหลังเหมียวอี้เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ เจ้าทดสอบที่แดนอเวจีคนเดียวก็พอแล้ว ทั้งยังควบคุมคะแนนทดสอบของปี้เยว่ได้อีก สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋กับหงเทียน แต่ละคนล้วนผ่านการทดสอบ แบบนี้เกินไปหน่อยรึเปล่า?


เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายทำ เขามีเหตุผลที่จะสงสัยได้เลยว่าระหว่างเหมียวอี้กับโจรกบฏในนรกมีความสัมพันธ์อะไรไม่ชัดเจนจนถูกตำหนักสวรรค์สังเกตได้แล้วหรือเปล่า


เหมียวอี้แอบกระตุกวูบในใจ แต่ภายนอกกลับถอนหายใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ขนาดเจ้ายังไม่รู้ชัดเลยว่าเรื่องอะไรกันแน่ บางทีอาจจะเผยพิรุธเรื่องพิภพเล็กแล้วก็ได้”


หยางชิ่งเงียบไป ในเมื่อเหมียวอี้ไม่อยากบอก เขาก็ไม่ถามแล้วเช่นกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าแค่พิภพเล็กจะมีค่าพอให้ตำหนักสวรรค์ใช้ความพยายามมากขนาดนี้ แค่พิภพเล็กกระจอกๆ ไม่นับว่าสำคัญอะไรกับตำหนักสวรรค์เลย อย่างมากก็แค่บุกเบิกดาวดวงใหม่แล้วยัดตำแหน่งขุนนางที่ต่ำต้อยเล็กน้อยเหมือนเม็ดถั่วเขียวได้มากขึ้นเท่านั้นเอง


สำหรับเรื่องบางอย่าง ถ้าไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่รู้ข่าวสารครบถ้วนว่องไว ก็มักจะทำให้คนตัดสินพลาดได้ง่ายๆ


ไม่ว่าจะอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่อยากเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้าย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่กลุ่มอนุภรรยาในบ้านก็จัดหาที่พักให้ลำบากแล้ว อีกประเดี๋ยวเขาจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อปี้เยว่ หวังว่าปี้เยว่จะสามารถช่วยต้านทานเรื่องนี้ให้เขาได้


ส่วนปี้เยว่ก็บ่นเขา เจ้าดูไม่เหมือนคนที่บ้าผู้หญิงนะ เพื่อคนเต้นกินรำกินคนเดียว เจ้ายั่วโมโหแม่เฒ่าลวี่จนเกิดเรื่องยุ่งยากแบบนี้มันคุ้มแล้วเหรอ?


ความจริงของเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็ไม่สะดวกจะบอกนางเช่นกัน บนตัวมีความลับซ่อนไว้เป็นกอง คอยปิดบังทางซ้ายทีทางขวาทีก็ลำบากมาก บางสิ่งบางอย่างเมื่อไปพูดกับใครก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น ต่อให้เป็นเหยียนซิวก็ตาม คนเดียวที่เขาบอกได้ก็คืออวิ๋นจือชิว แต่จนใจที่ช่วงนี้เขาไม่กล้าไปพบหน้าอวิ๋นจือชิว


เขาติดต่อกับทางเทพประจำดาวฟ้าเถาะ หวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยเขาได้ แต่ความเห็นของเทพประจำดาวฟ้าเถาะกับปี้เยว่ก็ไม่ต่างกันเท่าไร ตำหนิว่าเขาไปยั่วโมโหแม่เฒ่าลวี่ทำไม? สิ่งนี้เทพประจำดาวฟ้าเถาะช่วยเหลือไม่ได้ เพียงแต่ถ้าจะห้ามคนขององครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ให้รับคน จะต้องให้หมากข้างบนที่ตัวใหญ่กว่านี้ออกหน้าให้ เขาถามเหมียวอี้กลับว่าเหมาะสมเหรอ?


เหมียวอี้ทำได้เพียงคิดเสียว่าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เทพประจำดาวฟ้าเถาะจะเคลื่อนไหวใหญ่โตเพื่อคนตำแหน่งผู้บัญชาการเล็กๆ อย่างเขาคน ทำได้เพียงแอบแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่มีทางเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน


ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาจะหวังได้ก็คือปี้เยว่จะสามารถต้านทานไหว


หลังจากนั้นสองวัน แม่เฒ่าลวี่ก็ไปแล้ว เฟยหงก็กลับบ้านแล้วเช่นกัน พูดสิ่งดีๆ เพื่อปะเหลาะเหมียวอี้ หวังว่าเหมียวอี้จะไม่เก็บมาใส่ใจ


ตรงหน้าคือยอดหญิงงามดุจหยกแท้ๆ แต่กลับซ่อนอันตรายเอาไว้ราวกับปราณกระบี่ มีทั้งศึกภายนอกและศึกภายใน เหมียวอี้รู้สึกปวดหัว ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายกำลังจับตาดูเขาเพราะเรื่องอะไรกันแน่ เขาอยากจะบีบบังคับให้เฟยหงบอกความจริงออกมาอย่างซื่อสัตย์ แต่คาดว่าหมากตัวหนึ่งอย่างเฟยหงก็อาจจะไม่รู้ความจริงอะไรเช่นกัน


ทะเลมรกตท้องฟ้าสีคราม ตึกที่งดงามฝังอยู่บนหน้าผาริมทะเล สีเดียวกับภูเขาหินที่อยู่รอบๆ  ถ้าไม่เข้าไปมองใกล้ๆ ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น เป็นหนึ่งในฐานที่มั่นของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์


ซือหม่าเหวิ่นเทียนนั่งลิ้มสุราดูทิวทัศน์ทะเลอยู่ในศาลาริมหน้าผา ข้างกายไม่มีคนอื่น ลักษณะพิเศษของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก็เป็นแบบนี้ ต่อให้เป็นคนในหน่วยงานเหมือนกัน แต่เรื่องบางเรื่องก็บอกให้คนภายในรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าข่าวจะเล็ดรอด


ผ่านไปครู่เดียว เงาคนสองคนก็เหาะลงมาจากฟ้า ถลันวูบเข้ามาในศาลาริมหน้าผา เป็นแม่เฒ่าลวี่กับอวี่จ้งเจินนั่นเอง


ซือหม่าเหวิ่นเทียนหรี่ตายิ้มพร้อมยื่นมือเชิญ แม่เฒ่าลวี่ไม่นั่ง แต่กลับใช้ไม้เท้าในมือกระทุ้งพื้น พร้อมกระฟัดกระเฟียดบ่น “ยายแก่อายุป่านนี้แล้วยังมีลูกสาวบุญธรรมคนหนึ่ง เจ้าว่าไร้คุณธรรมมั้ยล่ะ? โจรสุนัขซือหม่า ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อไปอย่าเรียกข้ามาเพราะเรื่องแบบนี้อีก ข้าทำเรื่องละครโกหกลอกหลวงผู้คนแบบนี้ไม่ได้!”


“นี่เป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมโมโหขนาดนี้” ซือหม่าเหวิ่นเทียนแปลกใจ


พอหย่อนก้นนั่งลง อวี่จ้งเจินก็กล่าวพร้อมหัวเราะลั่นทันที “โดนเจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นชี้หน้าด่าว่ายายปีศาจเฒ่าน่ะสิ ตลอดทางที่กลับมาด่าพึมพำไม่หยุด”


ซือหม่าเหวิ่นเทียนขานรับ “อ๋อ” แล้วก็กลั้นขำไม่ไหวเช่นกัน เขาได้รับรายงานรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว จึงไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “เจ้าเด็กนั่นมีนิสัยชอบกินแต่ของอ่อนไม่กินของแข็ง ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งราชสำนักหรอก โมโหก็ส่วนโมโห ทุกคนเป็นคนในตำหนักสวรรค์เหมือนกัน ในภายหลังถ้าจะยุติเรื่องนี้ได้ดีก็หวังว่าเก็บความลับไว้ น้ำใจนี้ข้าจะจดจำไว้”


แม่เฒ่าลวี่หันหน้าหนีอย่างกระฟัดกระเฟียด


อวี่จ้งเจินดื่มสุราไปหนึ่งจอกแล้วเลิกยิ้ม เอามือเคาะโต๊ะพร้อมถามว่า “ข้าว่านะทูตซ้าย ยัดเจ้าเด็กนั่นมาอยู่ในสังกัดข้าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย?”


“จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ ความสามารถของเจ้าเด็กนั่นก็พอมีอยู่บ้าง” ซือหม่าเหวิ่นเทียนกล่าว


อวี่จ้งเจินกล่าวอย่างปวดประสาทว่า “มีความสามารถนั้นเป็นเรื่องดี แต่กลัวว่าจะไม่เอาความสามารถไปใช้ให้ถูกที่น่ะสิ! เมื่อก่อนได้ยินถึงความหยาบคายของเจ้าเด็กนั่นมาก่อน ครั้งนี้นับว่าข้าได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว พอไม่สบอารมณ์ขึ้นมาก็สั่งให้คนเฝ้าบ้านปล่อยหมาทันที ทั้งๆ ที่รู้ฐานะของข้ากับแม่เฒ่าลวี่ แต่ยังกล้ากัดพวกเราอีก ต่อไปถ้ามาก่อเรื่องตอนเป็นลูกน้องข้า แล้วจะไปคิดบัญชีกับใครดีล่ะ?”


ซือหม่าเหวิ่นเทียนบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงตอนนั้นข้าย่อมบอกนายท่านผู้บงการของพวกเจ้าให้อยู่แล้ว”


ตอนนี้อวี่จ้งเจินถึงได้โล่งอก แต่ก็ยังเตือนอีกว่า ท่านเองก็รู้จักกำลังพลขององครักษ์ซ้ายขวา พวกเขาเป็นทหารห้าวที่เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ทั้งนั้น วรยุทธ์เขาต่ำไปหน่อย ถ้าไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ที่นั่น เกรงว่าลูกน้องจะไม่ยอมนะ!ถ้าคุมคนไม่ได้ ข้าก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่ามาโทษข้านะ”


ซือหม่าเหวิ่นเทียนตอบว่า “เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ลับมีดไงล่ะ ถ้าไม่ลับแล้วจะคมได้ยังไง ถ้าไม่ลับตัวเองให้คม ก็จะไปโทษใครไม่ได้ทั้งนั้น เบื้องบนก็จะไม่ว่าอะไรด้วย แต่จะว่าไปแล้ว เขาคือคนที่ฝ่าบาทเลือกเอง ฝ่าบาทเอ่ยปากแล้วว่าจะให้โอกาสเขา ถ้าเจ้าไม่ดูแลเขาสักหน่อยก็จะฟังไม่ขึ้นเหมือนกัน ใช่มั้ยล่ะ?”


อวี่จ้งเจินถอนหายใจแล้วถามว่า “ท่านเปลี่ยนที่ให้เขาหน่อยไม่ได้เหรอ?”


“ข้าเองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ ข้าไม่มีอำนาจย้ายกำลังพลขององครักษ์ฝ่ายซ้ายอย่างพวกเจ้า เจ้าคือคนที่ผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเจ้าส่งมา ไม่งั้นเจ้าก็กับไปเจรจากับผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเจ้าสิ บอกว่าเจ้าไม่อยากเป็นแล้ว ให้เขาเปลี่ยนคนดีมั้ย?” ซือหม่าเหวิ่นเทียนถาม


อวี่จ้งเจินพูดไม่ออก คว้ากาสุรามารินดื่มเอง คิดเสียว่าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน…


หลังจากนั้นครึ่งเดือน ทางตลาดสวรรค์ก็มีคำสั่งโยกย้ายคนลงมาแล้ว แต่ปี้เยว่ไม่ยอมปล่อยคน ต่อต้านแล้ว!


ผ่านไปไม่นาน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ออกคำสั่งด้วยตัวเอง บอกว่าได้รับรายงานมาจากเบื้องล่าง รายงานว่าเหมียวอี้ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ชิงตัวยอดพธูของตลาดสวรรค์มาเป็นอนุภรรยา ตำหนิว่าเหมียวอี้ก่อกรรมทำชั่วที่ดาวเทียนหยวน ถ้าไม่ลงโทษก็ไม่อาจคุมคนได้ ให้ถอดเหมียวอี้ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนทันที!


ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ตอนนี้ปี้เยว่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเช่นกัน ใครใช้ให้เหมียวอี้ก้นไม่สะอาดเองล่ะ นี่ไม่ใช่คำสั่งโยกย้าย แต่เป็นการปลดจากตำแหน่งเพราะทำผิด ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรไม่ได้!


เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเดินตามรอยเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน เพียงแต่ตอนที่ไปรับการสอบสวนที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่ก็ได้รับคำแนะนำจากเขาอย่างลับๆแล้ว ว่าให้ฝูชิงผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกมารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แทน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เหมียวอี้ไม่อาจะให้ดาวเทียนหยวนสูญเสียการควบคุมหลังจากที่ตัวเองไปแล้ว


บทที่ 1338 การตัดสินใจของสวีถังหราน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทว่าเหมียวอี้ก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน สิ่งที่เรียกว่าสอบสวนลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งเป็นแค่การทำตบตาเท่านั้น ตัวเองอย่าได้คิดเลยว่าจะได้กลับมาที่ตลาดสวรรค์อีก หลังจากตัวเองไปแล้ว ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนจะต้องกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้แน่นอน นี่คือปัญหาที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ฝูชิงต้านทานความมุ่งมาดปรารถนาของร้านค้าผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้นไม่ไหว อาณาเขตตลาดสวรรค์แห่งนี้ ตราบใดที่ราชันสวรรค์ไม่สามารถงัดข้อชนะขุนนางในราชสำนักได้อย่างสมบูรณ์ ต่อให้คนเบื้องล่างจะทำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เป็นไปไม่ได้ที่ฝูชิงจะเล่นโดยใช้วิธีการเดียวกับเขา และเล่นไม่ไหวเช่นกัน


แต่จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของพวกฝูชิงก็เข้มแข็งกว่าตอนที่เหมียวอี้เพิ่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เยอะมาก ตอนนั้นคนที่ไม่มีอำนาจหนุนหลังไม่มีทางนั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงได้เลย แต่ตอนนี้กลับไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นล้ว กลับมีพวกที่มีอำนาจหนุนหลังมาดึงไปเป็นพวกด้วยซ้ำ ขอเพียงฝูชิงยอมถอยเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเสียหาย ก็ย่อมไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้นอยู่แล้ว


ก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอก การที่เหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องมีคนมาคิดบัญชีในปีนั้นกับเขาเข้าสักวัน เกราะป้องกันอย่างองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวายังนับว่าแข็ง เพียงเสียดายทรัพยากรเงินทองพวกนั้น


เหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปอย่างเงียบๆ เขาพาเฟยหงไปด้วยกัน ถ้าอยากจะแก้ตัวให้พ้นจากความผิด ยังต้องให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างเฟยหงช่วยพูดให้สักหน่อย


หลังจากมาถึงจวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ให้จวนแม่ทัพภาคตงหัวสอบสวนเขาและจะเจออะไรได้ แม้แต่เฟยหงเองยังคิดว่าเป็นการรักใคร่กันทั้งสองฝ่าย เดิมทีไม่ควรจะมีเรื่องเหลวใหลแบบนั้น แต่ในเมื่อเบื้องบนต้องการจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ได้ มีคำบอกเล่าของพยานเยอะเกินไปว่าเหมียวอี้บังคับขืนใจ ตอนนี้คำให้การของเฟยหงนับว่าเป็นเพียงการยอมความเท่านั้น


ระบบตลาดสวรรค์ไม่มีตำแหน่งของเหมียวอี้แล้ว หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ตลาดสวรรค์ตรงนี้ไม่ต้องการเหมียวอี้แล้ว ราชินีสวรรค์เรียกได้ว่าถือโอกาสหาทางออกจากเรื่องนี้ อยากจะเตะเจ้าจอมก่อเรื่องคนนี้ออกไปตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็หาโอกาสเจอแล้ว


ตลาดสวรรค์ไม่ต้องการแต่มีคนอื่นต้องการ คำสั่งโยกย้ายขององครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาส่งมาที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว


ขณะที่ถือคำสั่งโยกย้าย เหมียวอี้ก็วู่วามอยากจะลาออกจากการเป็นขุนนางแล้วหนีไป ทว่าคนที่เขาล่วงเกินไว้มีเยอะเกินไป ถ้าไม่มีหนังเสือนี้คลุมไว้ก็ไม่มีการคุ้มครองจากกฎหมายแล้ว จำนวนคนที่อยากเล่นงานให้เขาตายมีมากจนนับไม่ถ้วน


คำสั่งโยกย้ายอนุญาตให้เขาพาลูกน้องเก่าไปได้แค่สิบคนเท่านั้น ถ้ามากกว่านี้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาจะไม่รับไว้ ให้เวลาเขาหนึ่งเดือนเพื่อส่งต่องาน และผ่อนผันเวลาให้เขาอีกสามเดือน นับว่าเป็นเวลาสำหรับเดินทาง เมื่อรวมกันแล้วก็จำกัดเวลาให้เขาสี่เดือนในการไปที่หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำที่อยู่ใต้สังกัดองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวา เพื่อรายงานตัวกับแม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยว


ผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายขวา เหมียวอี้เคยได้ยินชื่อมาก่อน ส่วนพวกหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ผู้ตรวจการใหญ่อะไรพวกนั้นเขาไม่เคยได้ยินชื่อ เคยได้ยินแค่หัวหน้าภาคของทัพเป่ยโต้ว นั่นก็คือเจ้าเวรอวี่จ้งเจินนั่นเอง ส่วนแม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยวของกองมังกรดำที่อยู่ระดับล่างกว่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเป็นอย่างไร ฟังจากชื่อแล้วก็เหมือนจะไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเหมียวอี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก


ที่อยู่ระดับล่างกว่ากองมังกรดำก็คือธงพยัคฆ์ เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะได้ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของธงพยัคฆ์กลุ่มไหน


ปี้เยว่เองก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ขององครักษ์ฝ่ายซ้ายขวา กองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้ประจำการที่ไหนแน่นอน เพื่อรักษากำลังอันฮึกเหิมเอาไว้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เลี้ยงทหารเอาไว้เพื่อออกรบ ราชันสวรรค์ชี้ให้ไปที่ไหนก็ต้องไปรบที่นั่น เมื่อยกทัพออกไปพบโจรผู้ร้ายก็ต้องปราบ สมาชิกในหน่วยงานเลื่อนขั้นโดยอิงจากผลงานการรบ การเปลี่ยนคนมาแทนที่ก็รวดเร็วเช่นกัน อย่าว่าแต่เนี่ยอู๋เซี่ยวเลย แม้แต่อวี่จ้งเจินเป็นใครปี้เยว่ก็ยังไม่รู้จัก นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทัพเป่ยโต้วที่นำโดยอวี่จ้งเจินมาประจำการอยู่ในอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนตั้งแต่เมื่อไร


หลังจากคุยกับปี้เยว่อยู่นาน ไม่ว่าไห่ผิงซินจะเต็มใจหรือไม่ เหมียวอี้ก็ไม่อยากเก็บนางไว้ข้างกาย เตรียมจะทิ้งนางไว้ข้างกายปี้เยว่ เขาไม่รู้สถานการณ์ฝั่งองครักษ์ฝ่ายซ้ายชัดเจน อีกทั้งไห่ผิงซินก็เอาแต่เข้าใกล้เฟยหง เขากลัวว่าสักวันหนึ่งจะเกิดเรื่อง


ปี้เยว่เองก็ไม่วางใจที่จะให้เขาพาไห่ผิงซินไปหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายด้วย


ตอนออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัว เหมียวอี้ก็พาเฟยหงมาที่ดาวเทียนหยวนอีก


“ทำไมเจ้าเอาแค่ถอนหายใจอีกแล้ว?” ระหว่างทางเหมียวอี้เห็นเฟยหงถอนหายใจบ่อยๆ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม


“เป้นข้าเองที่ทำให้นายท่านลำบาก” เฟยหงกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขมทุกข์ใจ


ยิ่งนางเล่นละคร เหมียวอี้ก็ยิ่งรังเกียจ อยากจะง้างมือตบสักฉาด แต่ภายนอกยังคงยิ้มอย่างสบายๆ “ข้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็คงไม่เกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้”


ตอนที่กลับมาถึงตำหนักคุ้มเมืองดาวเทียนหยวนอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ไม่ได้มีฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว


เรื่องที่เขาโดนถอดออกจากตำแหน่งแพร่ไปทั่วตลาดสวรรค์ ทว่าพวกพ่อค้าในตลาดสวรรค์ไม่กล้าดีใจเร็วเกินไป กลับทำตัวซื่อสัตย์ยิ่งกว่าปกติด้วยซ้ำ พวกเขาไม่กล้ำเริบเสิบสานเร็วเกินไป ถ้ายังไม่แน่ใจว่าท่านนี้จะออกจากที่นี่ไปจริงๆ ถ้าหมากพลิกกระดานขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้าคิดถึง มีอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ อดทนมานานขนาดนี้แล้ว อดทนไปอีกสักระยะจะเป็นไรไป


นี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมียวอี้ใช้ฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เรียกรวมผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมาพบในตำหนักคุ้มเมือง


ตรงตำหนักด้านหลังตำหนักประชุม เฟยหงมองไปรอบๆ ย่องเข้าใกล้ประตูตำหลังแล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง อยากจะฟังว่าคนข้างในคุยอะไรกัน


แต่ใครจะคิดว่าด้านข้างจะมีเสียงหัวเราะที่แหบพร่าและเย็นเยียบดังมา “หรูฮูหยิน ท่านกำลังทำอะไรหรือ?”


เฟยหงตกใจทันที พอเอียงหน้าไปเห็นใบหน้ายิ้มประหลาดที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวของเหยียนซิว ก็ฝืนตอบอย่างใจเย็นว่า “มีเรื่องอยากจะคุยกับนายท่านสักหน่อยน่ะ”


เหยียนซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “หรูหยิน ท่านไม่ได้มีฐานะเป็นขุนนาง คนข้างในกำลังคุยเรื่องงานกันอยู่ ไม่สะดวกให้ท่านไปคลุกคลีด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกนายท่านให้” พูดจบก็ยื่นมือเชิญให้กลับ


เฟยหงพยักหน้า แล้วหันตัวจากไปแล้ว พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาอีก แต่เหยียนซิวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้


ในตำหนักประชุม เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงเอามือตบที่วางมือของบัลลังก์ผู้บัญชาการใหญ่ พลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ทุกท่าน ข้าได้ประโยชน์จากการส่งต่องานแล้ว สุดท้ายก็ได้นั่งตำแหน่งนี้สักครั้ง ตัดใจทิ้งไม่ลง!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้ทุกคนรู้ว่าเขาจะไปจากที่นี่จริงๆ แล้ว


“ผู้บัญชาการใหญ่จะไปจริงเหรอ?” สวีถังหรานที่ยืนอยู่ข้างล่างถามอย่างร้อนใจ


เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินลงบันได ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำตามใจตัวเองไม่ได้น่ะสิ จะไม่ไปก็ไม่ได้ แม่เฒ่าลวี่นั่นมีพลังมากเกินไป ทางตลาดสวรรค์เตะข้าออกจากตรงนี้ไปแล้ว ข้าได้รับคำสั่งโยกย้ายจากทางองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาแล้วด้วย กำหนดให้ข้าไปรับตำแหน่งภายในสี่เดือนนี้ ยังได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่เหมือนเดิม ระดับยังไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องส่งต่องาน ข้าได้แนะนำให้ฝูชิงเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของที่นี่แล้ว ทางแม่ทัพภาคตอบตกลงแล้วเช่นกัน ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่อะไร ฝูชิงคุ้นเคยกับสถานการณ์ดี ไม่ได้ส่งต่องานลำบากอะไร”


เหล่าภรรยาของเขาล้วนอยู่ที่นี่ ไม่ทิ้งคนของตัวเองไว้ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ข้างบนจะมีปี้เยว่คุมอยู่ด้วย น่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร ทิ้งฝูชิงให้อยู่ที่นี่ อิงอู๋ตี๋ก็อยู่ในจวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่ตอบตกลงแล้วว่าจะให้อิงอู๋ตี๋รับตำแหน่งที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงขุดทรัพยากรมาแสนนาน คนที่จะพาไปด้วยก็มีแค่สงเวยกับหงเทียนแล้ว


เมื่อได้ยินว่าฝูชิงจะต้องอยู่ที่นี่ สวีถังหรานก็โล่งใจขึ้นบ้าง ถ้ามีฝูชิงคอยดูแลสักหน่อย เขาก็นับว่าอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ลำบากเกินไป อย่างมากต่อไปนี้ก็แค่ทำตัวสงบเสงี่ยม


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “องครักษ์ฝ่ายซ้ายให้ข้าส่งรายชื่อไปสิบรายชื่อ ข้าพาคนไปได้สิบคน ถ้าพวกเจ้ามีใครเต็มใจจะติดตามข้าไป ข้าก็พาไปด้วยได้”


ก่อนหน้านี้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ทำใจไว้แล้ว เตรียมจะไปกับเหมียวอี้ แต่ก็โดนเหมียวอี้ห้ามไว้ เขาพาคนไปได้เพียงสิบคน ไม่สามารถพาพวกพี่น้องไปด้วยกันทั้งหมดได้ ถ้าสองคนนี้ไปแล้ว เหล่าพี่น้องใต้บังคับบัญชาของพวกเขาก็จะขาดบุคคลที่เป็นแกนสำคัญ จะต้องเกิดเรื่องเข้าสักวัน ดังนั้นจึงไม่มีทางพาพวกเขาไปด้วยได้


สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวเงียบงัน เรื่องนี้ตัดสินใจได้ไม่ยาก ถ้าไปในสถานที่ดีๆ ก็ยังพอไหว แต่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ยังมีที่ไหนดีกว่าตลาดสวรรค์ด้วยเหรอ? เป็นผู้บัญชาการอยู่ที่นี่ไม่ได้แย่กว่าเหมียวอี้ที่ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเลย มิหนำซ้ำองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ค่อนข้างอันตราย มักจะได้รบทัพจับศึกบ่อยๆ มีคนตายถี่เกินไป จะสงบปลอดภัยเหมือนตลาดสวรรค์ได้อย่างไร


เมื่อเห็นทุกคนไม่พูดอะไร เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้ข้าไม่บังคับหรอก ข้ายังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ทุกคนไปไตร่ตรองได้ หลังจากกลับไปแล้วถือโอกาสถามลูกน้องด้วย ดูว่ามีใครเต็มใจจะติดตามข้าไปมั้ย ถ้าเต็มใจข้าก็จะพาไปด้วยกัน”


จวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก สวีถังหรานกลับเข้ามาในเรือนด้านในอย่างเหม่อลอยเล็นก้อย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง


ที่ประตูด้านข้าง เสวี่ยหลิงหลงแหวกม่านไข่มุกเดินเข้ามา นางรับถ้วยน้ำชามาจากมือสาวใช้แล้ววางลงตรงหน้าเขา หลังจากโบกมือให้สาวใช้ถอยออกไปแล้ว ก็กลับมานั่งลงตรงอีกด้านหนึ่งของโต๊ะชา “ผู้บัญชาการใหญ่ว่ายังไงบ้างคะ?”


สวีถังหรานโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไปที่จวนแม่ทัพภาคมาแล้วแต่ก็ยังพลิกสถานการณ์ไม่ได้ ยังต้องไปเหมือนเดิม ได้รับคำสั่งโยกย้ายจากหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว ต้องไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย”


เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามว่า “ส่งผลกระทบกับอนาคตของนายท่านไม่ใช่น้อยๆ?”


สวีถังหรานยิ้มอย่างขื่นขม “ฝูชิงจะต้องรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อ ข้าว่าเขาคงไม่มีความกล้าหาญที่จะคุมร้านค้าพวกนั้นได้เหมือนผู้บัญชาการใหญ่ เกรงว่าต่อไปข้าจะต้องทำตัวสงบเสงี่ยมแล้ว”


เสวี่ยหลิงหลงก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ นางพอจะรู้ถึงสถานการณ์ของสามีอยู่บ้าง ติดตามอยู่ข้างกายให้ผู้บัญชาการใหญ่หลายปีเพื่อทำงานบางอย่างให้ นางเองก็ไม่สะดวกจะพูดมากเช่นกัน


ในโถงเงียบงันนานมาก จู่ๆ สวีถังหรานก็นั่งหลังตรง แล้วถามอย่างฮึกเหิมว่า “ฮูหยิน เจ้าคิดว่าข้าติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาดีมั้ย?”


“…” เสวี่ยหลิงหลงจ้องมองอย่างพูดไม่ออก หลังจากหายตะลึงแล้ว ก็เตือนว่า “ได้ยินว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาออกรบข้างนอกบ่อย อันตรายมาก ผลประโยชน์ก็ไม่เยอะเท่าอยู่ที่นี่ด้วย ท่านคิดดีแล้วจริงๆ เหรอ?”


สวีถังหรานลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปกลับมาอย่างช้าๆ “ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังจะขึ้นตำแหน่งสูงแล้ว กำลังจะกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ก็มีคนมาดึงไปเป็นพวกด้วยอยู่แล้ว มู่หรงซิงหัวมีคนหนุนหลัง แต่ข้าล่ะ? ข้ามีอะไร? หลังจากฝูชิงรับตำแหน่งต่อ ก็ต้องอยากเลื่อนขั้นให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองอยู่แล้ว ข้าครองตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ไว้ เกรงว่าจะอึดอัดไปหน่อยนะ! ในเวลาอันสั้น ฝูชิงอาจจะยังเห็นแก่ไมตรีเก่าอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลานานไปก็จะต้องปิดตาข้างเดียวแล้ว ลูกน้องของเขาจะต้องเล่นงานข้าแน่นอน จะต้องหาทางดันข้าลงแน่ ถ้าทำแบบอ่อนโยนก็ยังดีหน่อย อย่างมากก็ติดแค่ปัญหาว่าไม่รู้จะไปทางไหนดี แต่ถ้าใช้วิธีการโหดๆ หน่อย เกรงว่าข้าก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วย และข้าก็ล่วงเกินคนที่ตลาดสวรรค์ไว้เยอะไป  ต่อให้จะแสร้งทำตัวสงบเสงี่ยม แต่สุดท้ายก็ยังมีจุดจบที่อนาถอยู่ดี ไม่สู้ติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปเดิมพันสักตั้ง ไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาแล้วเจอเรื่องรบราฆ่าฟันก็ยังนับว่าหดหัวได้  จะดีจะร้ายข้าก็ยังเป็นคนรับใช้ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่กลั่นแกล้งข้าได้อย่างไร? แล้วอีกอย่าง ผู้บัญชาการใหญ่ก็ไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อย ใช่ว่าจะลงหลักปักฐานที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาไม่ได้ ถ้าได้ยืนอย่างมั่นคงอยู่ในกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ก็อาจจะไม่ได้แย่กว่าที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อแม่เฒ่าลวี่มีความสามารถที่จะจับผู้บัญชาการใหญ่ไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทั้งยังคิดจะให้เฟยหงเป็นฮูหยินเอกด้วย จะต้องกำชับให้เครือข่ายที่อยู่ในหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาช่วยดูแลแน่นอน ถึงอย่างไรถ้าในภายหลังยังอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมตักตวงเงินได้ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน ทรัพยากรที่ข้าตัดตวงจากที่นี่เพียงพอจะให้พวกเราใช้ได้อีกนาน ที่สำคัญก็คือ ข้าคนเดียวอยู่รับความอัปยศที่นี่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรชื่อเสียงของข้าก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ถ้าทำให้ฮูหยินได้รับความอัปยศไปด้วย ลูกผู้ชายอย่างข้าจะทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง! ถ้าต้องทนเก็บกดอยู่ที่นี่ ไม่สู้ตามผู้บัญชาการใหญ่ไปดีกว่า ยังใช้ชีวิตได้อย่างตรงไปตรงมาหน่อย ฮูหยิน เจ้าคิดว่ายังไง?”


เสวี่ยหลิงหลงก็ลุกขึ้นแล้วเช่น มองเขาด้วยแววตาที่สื่อหลากหลายอารมณ์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านตัดสินใจดีแล้วจริงเหรอ?”


เวลาพูดนั้นง่าย แต่เวลาทำนั้นยาก อนาคตไม่แน่นอน สวีถังหรานยังตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ถ้าฮูหยินไม่อยากไป พวกเราอยู่ที่นี่ต่อก็ได้”


เสวี่ยหลิงหลงยิ้มบางๆ พร้อมพูดให้กำลังใจว่า “เรื่องของผู้ชายอย่างพวกท่าน ข้าไม่เข้าใจหรอก คนอื่นจะว่าร้ายท่านสามียังไงก็ไม่สำคัญสำหรับข้าเลย ขอเพียงท่านสามีคิดว่าดี ท่านสามีก็ตัดสินใจได้เลย อย่าให้เสียการเสียงานเพราะข้า ข้าแต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง ข้าก็ไม่เสียใจทีหลัง!”


บทที่ 1339 ต้องการคำอธิบาย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สวีถังหรานก็ซาบซึ้งประทับใจ คว้าสองมือของนางไว้โดยไม่รู้ตัว มองนางอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


เขาไม่ได้ซาบซึ้งเพราะคำว่าแต่งกับไก่ก็ตามไก่แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข และไม่ได้ซึ้งกับคำว่าจะไม่เสียใจทีหลังด้วย แต่เป็นเพราะคำพูดที่บอกว่า ‘คนอื่นจะว่าร้ายท่านสามียังไงก็ไม่สำคัญสำหรับข้าเลย ขอเพียงท่านสามีคิดว่าดี ข้าก็คิดว่าดี’ ต่างหากที่ทำให้เขาซาบซึ้งใจ


ที่จริงไม่ว่าตำแหน่งฐานะของเขาจะสูงกว่าเสวี่ยหลิงหลงหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องบางเรื่อง จะพูดว่ายังไงดีล่ะ เขาเองก็รู้ว่าการที่ตัวเองเป็นคนขี้ประจบนั้นทำให้เกิดคำนินทาว่าร้ายไม่น้อยเลย ถ้าจะบอกว่าไม่สนใจความคิดของเสวี่ยหลิงหลงเลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ เขาสงสัยอยู่บ้างว่าเสวี่ยหลิงหลงจะแอบดูถูกเหยียดหยามเขาหรือไม่


จู่ๆ เสวี่ยหลิงหลงก็พูดประโยคนี้ออกมา เรียกได้ว่าฝ่าเข้ามาในหัวใจเขาแล้วจริงๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ข้างกายตัวเอง ต่อให้ทั้งชีวิตนี้จะได้รับความไม่ยุติธรรมมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว และสิ่งที่โชคดีก็คือ ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นฮูหยินของตัวเองอีกด้วย ทำให้บ้านนี้กลายเป็นท่าเรือหลบพายุให้เขาได้มองข้ามคำนินทาว่าร้ายจากโลกภายนอก สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบใจ


ความหมายที่เสวี่ยหลิงหลงสื่อก็ชัดเจนมากแล้ว ต่อให้เขาจะทำตัวสงบเสงี่ยมเหมือนหลานชายอยู่ที่นี่ต่อ ได้รับความอัปยศอับอายต่างๆ นานา ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ขอเพียงสวีถังหรานรู้สึกว่าดี นางก็รู้สึกว่าดี ถ้าสวีถังหรานตัดสินใจจะไปเสี่ยงอันตราย นางก็จะตามไปด้วย ไม่ว่าในภายหลังจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เสียใจทีหลัง


สวีถังหรานรู้ถึงความสามารถของตัวเองดี รู้ว่าตัวเป็นคนประเภทไม่เก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ไม่ได้มีความสามารถมาก และไม่มีใครหนุนหลังด้วย แค่ใช้ชีวิตแบบยืดลมหายใจออกไปวันๆ ก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเดินต่อไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ บางครั้งตัวเขาเองก็สับสนกับอนาคตเหมือนกัน ตอนนี้จู่ๆ ก็หาความหมายในการมีชีวิตต่อไปได้แล้ว การมีภรรยามันเป็นแบบนี้นี่เอง รู้สึกเติมเต็มจนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว!


ชั่วพริบตานั้น สวีถังหรานก็ดึงเสวี่ยหลิงหลงเข้ามากอดไว้แรงๆ หอมแก้มนาง แล้วกระซิบพึมพำว่า “หลิงหลง ข้าสวีถังหรานคนนี้ไม่ได้สุภาพบุรุษคนดีอะไร ไม่กล้ารับประกันว่าในภายหลังจะแตะต้องผู้หญิงคนอื่นรึเปล่า แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ารับรองกับเจ้าได้ ข้าจะไม่พาผู้หญิงคนอื่นกลับบ้านเด็ดขาด ทั้งชีวิตนี้จะไม่รับอนุภรรยา จะดูแลเจ้าเพียงคนเดียว ถ้าผิดคำสาบานนี้ขอให้ฟ้าดินประหัตประหาร!”


เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ในอ้อมกอดเขายิ้มบางๆ กางแขนกอดเขาเอาไว้เช่นกัน


ทั้งสองคนกอดพะเน้าพะนอกันนานมาก สวีถังหรานดันนางออกอย่างช้าๆ อีก จ้องดวงตางามทั้งคู่ของนาง พร้อมกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ฮูหยิน ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ข้าไม่หวังโดดเด่นเหนือใคร แต่หวังฝ่าฟันเพื่ออนาคต!”


เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้า แล้วถามว่า “จะออกเดินทางเมื่อไรคะ?”


สวีถังหรานปล่อยนาง แล้วเดินวนไปวนมาในห้องโถงหลายรอบ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ฟังจากที่ผู้บัญชาการใหญ่บอก ก็อีกไม่กี่วันนี้แล้ว เจ้าเตรียมตัวไว้สักหน่อย ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาไม่ได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายเหมือนที่นี่ ถ้าต้องซื้ออะไรเจ้าก็รีบเตรียมไว้ ถ้าจะบอกลาใครก็เร็วๆ หน่อย!”


สองสามีภรรยาตกลงเรื่องสำคัญในชีวิตกันแบบนี้แล้ว ก่อนจะต่างคนต่างไปจัดการเรื่องของตัวเอง เสวี่ยหลิงหลงต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องเบ็ดเตล็ดในชีวิตประจำวันในภายหลัง ส่วนสวีถังหรานก็ต้องส่งต่องาน


ในตำหนักประชุม สวีถังหรานเรียกลูกน้องระดับบงกชทองทุกคนมารวมตัว แล้วแจ้งเรื่องที่เหมียวอี้จะต้องไปรับตำแหน่งที่องครักษ์ฝ่ายซ้าย บอกเรื่องที่ตัวเองเตรียมจะติดตามไป สุดท้ายก็กวาดมองด้านล่างพร้อมถามอย่างร่าเริง “ทุกคน มีใครยินดีจะติดตามข้าไปหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมั้ย?”


คนที่อยู่ข้างล่างมองหน้ากันเลิกลั่ก ส่งสายตาให้กันไม่หยุด แต่ละคนยืนเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร


สวีถังหรานรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่เห็นพวกเขาพูดอะไรสักคำ ต่อให้จะเป็นคนที่ตัวเองนึกว่าเป็นลูกน้องคนสนิทก็ตาม ในใจแอบรูสึกปลงอยู่บ้าง ข้าล้มเหลวในด้านความประพฤติแล้วจริงๆ


พอนึกถึงสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นเพื่อนกำจัดกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถัง ตัวเองฆ่าลูกน้องคนสนิทสองคนเพื่อปิดปาก ในใจก็สงบเยือกเย็นแล้วเหมือนกัน


ไม่ต้องพูดอะไรแล้วทั้งนั้น ความเงียบของทุกคนก็คือการแสดงท่าที สวีถังหรานลุกขึ้นโบกมือกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ บังคับกันไม่ได้หรอก ถ้ามีใครเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็มาบอกข้าได้ก่อนที่ข้าจะไป เอาตามนี้แล้วกัน ที่เหลือก็รอให้ฝูชิงส่งคนมารับไปเขตเมืองตะวันตก แยกย้ายเถอะ”


ร้านค้าสมาคมวีรชน เสวี่ยหลิงหลงย่อมมาบอกลาหวงฝู่จวินโหรวอยู่แล้ว ตอนนี้นางไม่สะดวกจะไปสถานบันเทิงอย่างหอกลิ่นสวรรค์อีก นางส่งข่าวไปหาท่านแม่สวีแล้ว ให้ท่านแม่สวีมาที่ร้านค้าสมาคมวีรชน


ในศาลากลางทะเลสาบ เมื่อทราบข่าวว่าสวีถังหรานจะติดตามเหมียวอี้ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย หวงฝู่จวินโหรวกับท่านแม่สวีก็แปลกใจอยู่บ้าง เรื่องบางอย่างไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ทั้งสองคนรู้ นั่นก็คือการทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย แบบนั้นต้องอาศัยการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?


“เฮ้อ! ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็จริงๆ เลย ในปีนั้นไม่ต้องหลิงหลงของพวกเรา แต่ดันไปก่อเรื่องเพื่อเฟยหงคนนั้น เฟยหงนั่นมีอะไรดีนักหนา ก็แค่…”


ท่านแม่สวีเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว เสวี่ยหลิงหลงก็พูดตัดบทแล้วว่า “ท่านแม่ ข้ามีสามีแล้วนะคะ ต่อไปอย่าพูดอะไรแบบนี้เลยค่ะ” ตอนนี้นางไม่ใช่นางระบำเหมือนในปีนั้นแล้ว เวลาไม่พอใจก็แสดงลักษณะท่าทางที่น่าเกรงขามบ้างเหมือนกัน


หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย รำคาญเวลามีคนเอ่ยถึงนางจิ้งจอกเฟยหงนั่นต่อหน้านาง


เพี้ยะ! พอท่านแม่สวีเห็นทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ ก็ตบปากตัวเองเบาๆ ทันที ก่อนจะหัวเราะแห้งแล้วบอกว่า “ดูปากข้าสิ ช่างพูดไม่เป็นเลย หลิงหลงเอ๊ย เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่จะบอกว่าแม่เฒ่าลวี่นั่นสมองมีปัญหา เฟยหงกับผู้บัญชาการใหญ่กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว แต่การที่นางกลั่นแกล้งผู้บัญชาการใหญ่แบบนี้ ไม่ใช่การทำให้ลูกสาวบุญธรรมของตัวเองได้รับความทุกข์หรอกเหรอ”


เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ “มีบางอย่างที่ท่านแม่ยังไม่รู้ เดิมทีคงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นหรอก แต่หลังจากแม่เฒ่าลวี่ไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ก็ต้องการให้ผู้บัญชาการใหญ่รับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก แต่ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ทำตาม ยอมโดนย้ายไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ยอมทำลายอนาคตตัวเอง ยอมปล่อยให้ตำแหน่งฮูหยินว่างไว้ ไม่ยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ถึงได้ทำให้แม่เฒ่าลวี่โมโหจนทำแบบนี้ บอกว่าจะให้บทเรียนกับผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย จะได้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้จักถึงความร้ายกาจ ไม่อย่างนั้นในภายหลังอาจจะรังแกลูกสาวนาง”


เกิดเรื่องอะไรขึ้นในตำหนักคุ้มเมือง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวแพร่ออกไปข้างนอก นอกจากคนที่อยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองในเวลานั้น ก็มีเพียงบุคคลระดับสูงไม่กี่คนของตลาดสวรรค์ที่รู้ เสวี่ยหลิงหลงก็รู้มาจากปากสวีถังหรานเช่นกัน แต่ถ้ารอหลังจากเหมียวอี้ไปแล้ว ในไม่ช้าความจริงก็จะแพร่ออกไปเช่นกัน


หวงฝู่จวินโหรวที่ไม่ค่อยพูดเยอะพลันเงยหน้า ในดวงตาฉายแววงุนงงตกตะลึง ถามว่า “เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ถึงได้ยั่วโมโหให้แม่เฒ่าลวี่ทำแบบนี้เหรอ?”


เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าร “เฮ้อ! ข้าก็ได้ยินสามีข้าบอกมา แค่เพื่อตำแหน่งฮูหยินเอกนี่แหละ ตอนนั้นผู้บัญชาการใหญ่ชี้หน้าด่าแม่เฒ่าลวี่ว่ายายปีศาจเฒ่าด้วย ไม่ยอมถอยเลยสักนิด ถึงขั้นเรียกรวมกำลังพลแล้ว เกือบจะปะทะกับคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายและแม่เฒ่าลวี่ในตำหนักคุ้มเมือง ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไงล่ะ”


หวงฝู่จวินโหรวแอบกัดฟัน เอียงหน้าช้าๆ มองไปทางตำหนักคุ้มเมือง ในดวงตาฉายแววเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย พึมพำในใจว่า อย่าบอกนะว่าเขาตกต่ำถึงขั้นนี้ก็เพื่อข้า? ทำไมเจ้าโง่นี่ดื้อรั้นหัวแข็งขนาดนั้น เป็นห่วงข้าแท้ๆ แต่กลับอาศัยปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงเพื่อสืบข่าว ตอนนี้ก็วุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้ว จะยอมเอ่ยปากสักครั้งจะตายรึไง ใช่ว่าข้าจะไร้เหตุผลเสียเมื่อไร ตอนแรกเจ้าพูดจาตัดสัมพันธ์แบบนั้น แล้วจะให้ข้ายอมก้มหัวได้ยังไง…


“เจ้ายังรู้จักกลับมาด้วยเหรอ?”


เหมียวอี้กลับมาที่ร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน พอเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็ได้แต่หันหลังให้เขา ดูแลต้นไม้ใบหญ้าอยู่อย่างนั้น คำพูดที่กล่าวออกมาก็ไม่เกรงใจเช่นกัน


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “น้องชิว สถานการณ์ของข้าในตอนนั้นทำให้ข้าทำตามใจตัวเองไม่ได้”


อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ข้าว่าอะไรเจ้าแล้วเหรอ? ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ และไม่ได้โทษเจ้าด้วย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแต่กลับไม่โผล่หน้ามาเลย ไม่ให้คำอธิบายสักคำด้วย ตอนนี้ถ่อมาบอกว่าทำตามใจตัวเองไม่ได้ เห็นข้าเป็นอะไรไปแล้วล่ะ? อย่าบอกนะว่าในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นเลยเหรอ?”


เหมียวอี้ทำสีหน้ารู้สึกผิด “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลังจากจบเรื่องแล้ว ข้าก็แค่ไม่รู้ว่าจะมาเผชิญหน้ากับเจ้ายังไง จะบอกว่าไม่กล้ามาเจอเจ้าก็ได้”


อวิ๋นจือชิววางบัวรดน้ำและปัดมือ หันตัวมาจ้องเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าสักคำ ข้ายังมีอำนาจตัดสินใจเรื่องภายในบ้านอยู่หรือเปล่า?”


“ยังมีสิ!” เหมียวอี้ตอบ


“ดี!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่ข้านะที่ไม่พอใจ อนุภรรยาคนอื่นๆ ในบ้านก็ไม่พอใจเหมือนกัน และไม่กล้าไปรบกวนอารมณ์อันสุนทรีย์ของเจ้าด้วย พวกนางพากันมาถามข้าว่าเรื่องเป็นยังไง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พวกนางมาขอคำอธิบายจากคนที่ดูแลบ้านอย่างข้า เจ้าจะให้นายหญิงของบ้านอย่างข้าทำยังไงล่ะ? ข้าเป็นฮูหยินคนหนึ่ง ปกติวางมาดต่อหน้าพวกนางเต็มที แต่ผลปรากฏว่าควบคุมไม่ได้แม้แต่เรื่องแบบนี้ แล้วบารมีความน่าเชื่อถือของข้าจะเหลือมั้ย ต่อไปเจ้าจะให้ข้าควบคุมดูแลบ้านได้ยังไง? แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า อำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกนางน่ะ ถ้าทำให้พวกนางเอาใจออกห่างจริงๆ หนีไปขอพึ่งพาอำนาจฝ่ายตัวเอง เจ้าเคยคิดบ้างมั้ยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”


“ฮูหยินพูดถูก” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม


อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “เรื่องนี้ไม่ได้ผ่านความยินยอมจากใครทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าทำผิดกฎระเบียบแล้ว ในภายหลังเจ้าทำซี้ซั้วได้ คนอื่นก็ทำซี้ซั้วได้เหมือนกัน ทุกเรื่องล้วนต้องมีขีดจำกัด ครอบครัวใหญ่ขึ้นแล้ว มีคนเยอะขึ้นแล้ว กฎระเบียบจึงสำคัญเป็นพิเศษ ถ้าไม่มีกฎระเบียบในบ้านแบบนี้ ก็จะควบคุมใครไม่ได้ทั้งนั้น พวกนางต้องการคำอธิบาย ข้าก็ต้องการคำอธิบายเหมือนกัน เจ้าว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?”


เหมียวอี้ทำสีหน้าชื่นชมอย่างเต็มที่ ถามว่า “ฮูหยินว่าจะทำยังไงดีล่ะ?”


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าถามข้าว่าจะให้ทำยังไงเหรอ ท่าทีของข้าไม่เคยเปลี่ยนไป เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนมาตลอด ข้ายังยืนยันคำเดิม ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็ห้ามพาผู้หญิงข้างนอกเข้าบ้านหลังนี้ เรื่องนี้เจ้าก็ตอบตกลงข้าแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ข้าไม่สนหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวยขนาดไหน จะมีความสามารถขนาดไหน จะเต้นเก่งร้องเก่งขนาดไหน หรือเจ้าชอบนางมากเท่าไร แต่ในสายตาข้ารับนางไว้ไม่ได้ จะต้องกำจัดผู้หญิงคนนี้ทิ้ง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ข้าต้องการให้นางตาย เจ้ารับปากได้มั้ยล่ะ?”


เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ข้ารับปาก เพียงแต่ตอนนี้ยังแตะต้องนางไม่ได้ ผ่อนผันให้หน่อยได้มั้ย รอให้ข้าจัดดการเรื่องนี้ให้เหมาะสมก่อน”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ได้! ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว ตอนนี้พวกอนุภรรยาอารมณ์ไม่ดีกันทั้งนั้น ข้าต้องให้คำตอบกับพวกนาง จะให้คนในบ้านจิตใจแตกแยกไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะกลับไปบอกพวกนาง ว่าตอนนี้เฟยหงนั่นยังมีค่าให้ใช้ประโยชน์ หลังจากจบเรื่องนายท่านจะกำจัดนางทิ้ง! ข้าจะบอกกับพวกนางแบบนี้ เจ้าไม่มีความเห็นแย้งอะไรใช่มั้ย?”


“ไม่มีความเห็นแย้งอะไร!” เหมียวอี้ตอบ


เขารู้ว่าการรับปากตกลงนี้ ไม่ใช่แค่การให้คำอธิบายกับอวิ๋นจือชิวอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการให้คำอธิบายกับเหล่าอนุภรรยาในบ้านด้วย


“นำน้ำชามาให้นายท่าน!” สีหน้าอวิ๋นจือชิวผ่อนคลายลงแล้ว เหมือนคนไม่เป็นอะไร ยิ้มอย่างเป็นกันเองและเป็นฝ่ายเข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ แล้วพาเข้าไปนั่งในศาลาเย็น จากนั้นก็ยืนข้างหลังเขา บีบนวดไล่ให้เขา พร้อมกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้า ทางด้านแดนอเวจีรู้เรื่องแล้ว กำลังหาโอกาสยุงยงสร้างปัญหา”


บทที่ 1340 คนที่เหนือความคาดหมายโผล่มา

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้ที่เพิ่งจะโล่งอกขมวดคิ้วอีกครั้ง ยกมือจับบนบ่า คว้ามือนางดึงมาตรงหน้า แล้วถามว่า “ที่แดนอเวจีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมข้าไม่รู้ แต่เจ้ากลับรู้?”


อวิ๋นจือชิวนั่งลงตรงข้าม แล้วบอกว่า “เรื่องของเฟยหงข้ารู้สถานการณ์เบื้องลึก แต่พวกอวี้หนูเจียวไม่รู้ แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะบอกพวกนางด้วย ช่วงนี้พวกนางทยอยกันมาหาข้า บอกว่าอยากออกจากที่นี่ ไปตั้งร้านค้าของตัวเองที่ตลาดสวรรค์อื่น”


“ด้วยเส้นสายภูมิหลังของพวกนาง ถ้าไปตั้งร้านเองที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นจะทำได้ง่ายขนาดนั้นเหรอ เกรงว่าจะหาร้านสักร้านก็ยากแล้ว” เหมียวกล่าว


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เจ้าก็อย่าประเมินกำลังของโจรกบฏหกลัทธิต่ำไป ตามที่ข้าเห็น พวกเขายังรักษากำลังเอาไว้ข้างนอกพอสมควร ไม่ได้มีคนนิดเดียวแค่ในนรกแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมทุกวันนี้ตำหนักสวรรค์ยังต้องคอยกวาดล้างโจรกบฏไปทั่วทุกที่ด้วยล่ะ? สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกื้อ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี ถ้าอยากจตั้งร้านสักร้านที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่คงยาก ดังนั้นเจตนาของพวกท่านปู๋ก็คือ อยากจะส่งคนที่ไว้ใจได้ไปค่อยๆ ดึงกำลังของหกลัทธิที่อยู่ข้านอกมาเป็นพวก ค่อยๆ กุมไว้ในมือทีละนิด พวกอวี้หนูเจียวทำการค้าอยู่ในตลาดสวรรค์มาหลายปี ล้างกำพืดสะอาดแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนของเรา สำหรับพวกท่านปู่ เกรงว่าจะหาใครที่ยืนอยู่หน้าเวทีแล้วเหมาะสมกว่าพวกเราไม่ได้แล้ว จึงส่งต่อร้านค้าที่นี่ จะได้ไปซื้อร้านในตลาดสวรรค์ที่อื่นได้อย่างถูกต้อง”


หกลัทธิมีลูกน้องเก่าอยู่ข้างนอกไม่น้อย เรื่องนี้เหมียวอี้รู้แล้ว เพียงแต่ทางจินม่านไม่เคยบอกรายละเอียดกับเขามากนัก ระหว่างหกลัทธิเหมือนจะต่างฝ่ายต่างรักษาไพ่ของตัวเองไว้ ไม่ได้เปิดออกมาให้รู้ทั้งหมด


“ท่านปู่ติดต่อเจ้ามาเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างไม่แน่ใจ


อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “พวกเขาคงจะมีความคิดนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะเรื่องทรยศเจ้าครั้งก่อน จึงหาโอกาสเหมาะสมที่จะเอ่ยปากไม่ได้ ตอนนี้เจ้าทำเรื่องแบบนี้แล้ว ท่านปู่เลยอาศัยโอกาสนี้โน้มน้าวว่าข้าก็ควรจะมีกำลังอำนาจของตัวเองไว้สักหน่อนเหมือนกัน บอกว่าตระกูลอวิ๋นคือทางหนีทีไล่ของข้า พวกอวี้หนูเจียวมาหาข้า มีเพียงสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนที่คายความจริงออกมาแล้ว คนอื่นๆ บอกเพียงว่าอยู่ที่นี่ไม่มีงงานอะไรทำ ถ้าให้เจ้าเลี้ยงดูตลอดไม่ใช่เรื่องดีอะไร”


“พวกนางอยากจะไปตั้งร้านเองข้างนอกหมดเลยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม


“ถึงแม้พิภพเล็กจะสู้พิภพใหญ่ไม่ได้ แต่ตอนอยู่ที่พิภพเล็กทุกคนก็ล้วนมีฐานะกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลสูงส่ง เดิมทีการเป็นอนุภรรยาก็ทำให้พวกนางเกิดปมในใจอยู่แล้ว จู่ๆ เจ้าก็ก่อเรื่องเฟยหงขึ้นมาอีก รับคนเต้นกินรำกินมาเป็นอนุภรรยา ให้ผู้หญิงจากหอนางโลมมามีฐานะเทียบเท่าพวกนาง อย่าว่าแต่พวกนางที่รู้สึกได้รับความอัปยศจนทนไม่ไหว ต่อให้เป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไป จะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ยอมรับเรื่องแบบนี้ได้? แต่พวกนางก็กินอยู่ด้วยเงินของเจ้ามาตลอด โดนเจ้าเลี้ยงมาตลอด บวกกับฐานะอนุภรรยา จึงไม่มีเหตุผลที่จะว่าอะไรเจ้าได้ ต่อให้เจ้าจะแต่งงานรับคนเพิ่มมาอีก แต่อนุภรรยาอย่างพวกนางก็ว่าอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าข้าดูออก เรื่องที่เจ้าทำครั้งนี้ยั่วโมโหพวกนางแล้วจริงๆ ห้าปราชญ์เลือกโอกาสลงมือได้ดีมาก พวกนางอยากจะอาศัยการช่วยเหลือของครอบครัวเพื่อออกไปพึ่งตัวเอง” อวิ๋นจือชิวกล่าว


เหมียวอี้รู้สึกหดหูนิดหน่อย ถามเบาๆ ว่า “เจ้าก็ตอบตกลงแล้วเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าจะตอบตกลงง่ายได้ยังไง รอปรึกษาเจ้าอยู่ตลอด ถ้าเจ้าฝืนรั้งพวกนางไว้ไม่ให้พวกนางไป พวกนางก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าแนะนำว่า เจ้าให้พวกนางไปเถอะ ข้าเองก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่เหมือนกัน”


เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วถามอย่างอึ้งๆ ว่า “เจ้าก็อยากไปจากข้าเหมือนกันเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเขา แล้วใช้สองมือประคองใบหน้าของเขาพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่ใช่ว่าไปจากเจ้า แต่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง หลังจากเจ้าออกจากที่นี่ไป ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศอาจจะอยากทรยศเจ้าก็ได้ แต่เบื้องล่างของพวกเขายังมีลูกน้องอีกมากมายขนาดนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ความสำเร็จและความล้มเหลวก็ล้วนมีลูกน้องคอยผลักดันให้เกิดขึ้นทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? เรื่องบางเรื่องก็พูดให้ชัดเจนได้ยาก ถ้าออกจากขอบเขตอำนาจของพวกเขาไปแล้ว เมื่อเรื่องนี้เหนือบ่ากว่าแรงของพวกเขา อย่างน้อยก็ยังทำให้อันตรายลดลงได้บ้าง นอกจากนี้ก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ในเมื่อทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า กำลังอำนาจของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ควรค่าแก่การบริหารจัดการ ทำไมไม่ถือโอกาสไปคบค้าดูสักหน่อยล่ะ ขอเพียงเจ้าตอบตกลงว่าจะฆ่าเฟยหง ข้าก็จะให้คำอธิบายกับพวกจีเหม่ยลี่ได้แล้ว จะได้มีวิธีปลอบโยนพวกนาง ข้าพูดโน้มน้าวพวกนางได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากเจ้าไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็จัดการแค่เรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ เรื่องระหว่างผู้หญิงในบ้านข้าจะจัดการเอง”


ถ้าให้พูดจากใจ เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้พวกนางไปเลย แต่ที่อวิ๋นจือชิวพูดก็ไม่ผิด ถ้าอนุภรรยาอยู่ที่นี่ทั้งหมด ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะโดนคนจัดการหมดทั้งรังได้ง่ายมาก หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว อำนาจนางของตระกูลพวกนางหรืออำนาจลับของหกลัทธิก็กลับจะปกป้องให้พวกนางปลอดภัยได้กว่าเดิม ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต่อให้เหมียวอี้ไปหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้วเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น อย่างน้อยพวกนางก็ยังมีทางหนีทีไล่ เขาจึงเอ่ยปากห้ามไม่ได้แล้ว


เพียงแต่ยังกล่าวอย่างรู้สึกโดดเดี่ยวว่า “ทำให้พวกเจ้าวิตกกังวลตามข้าไปด้วย เป็นข้าเองที่ทำผิดต่อพวกเจ้า”


อวิ๋นจือชิวประคองศีรษะเขามาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง “เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อพวกเรา เจ้าทำได้ดีมากแล้ว มาที่นี่มือเปล่าแต่ยังสร้างกิจการครอบครัวได้ใหญ่ขนาดนี้ และไม่ได้ทำให้พวกเราลำบากด้วย ไม่เคยขาดแคลนเรื่องกินเรื่องใช้ มีทรัพยากรฝึกตนเพียงพอ มีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้ดีกว่าเจ้า เออใช่…” นั่งปล่อยศีรษะเหมียวอี้แล้วกลับมานั่งลงตรงข้าเหมือนเดิม “ถ้าพวกจีเหม่ยลี่จะไป ก็คงไม่ดีหากจะให้พวกนางไปมือเปล่า ข้าเตรียมจะมอบร้านค้าให้เป็นชื่อของพวกนาง แล้วก็มอบของอีกจำนวนหนึ่งให้พวกนาง มอบให้นางโดยใช้ชื่อของเจ้าสิ”


เหมียวอี้กล่าวด้วยอารมณ์ตกต่ำ “เรื่องในบ้าน เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าก็จะเตรียมให้พวกนางทยอยกันออกไป ข้าจะออกไปเป็นคนสุดท้าย ถึงยังไงเจ้าก็กับข้าก็มีข่าวลือไม่ดีที่ตลาดสวรรค์ ถ้าข้าตามเจ้าออกไปทันทีก็คงไม่ดีนัก จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย นอกจากนี้ ก็อย่าบอกคนอื่นนะว่าพวกเราไปที่ไหน ไม่ว่าในภายหลังคนอื่นจะสังเกตเห็นหรือไม่ แต่ปิดไว้ได้ก่อนก็ยังดี แล้วก็ทางพิภพเล็กด้วย หลังจากพวกเราไปแล้วก็อย่าติดต่อไปที่นั่นอีก ข้าจะบอกคนอื่นๆ แผนที่เส้นทางไปกลับถูกเจ้าเก็บกลับไปแล้ว เส้นทางอยู่ในมือเจ้าคนเดียว เจ้าบอกกับคนอื่นแบบนี้ก็ได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรให้ต้องไปกลับพิภพเล็ก ก็ให้ทุกคนไปหาเจ้าให้หมด ด้วยฐานะตำแหน่งบวกกับกำลังทหารในมือเจ้า คนอื่นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน คนข้างกายเจ้าที่ไว้ใจได้ที่สุดก็คือเหยียนซิว สามารถมอบหมายให้เขาไปจัดการธุระเรื่องไปกลับพิภพเล็กได้ ตอนนี้ศักยภาพของเหยียนซิวลึกล้ำยากจะคาดเดา คนอื่นไม่รู้ถึงเบื้องลึกของเขา ให้เขาวิ่งเต้นทำงานอยู่ระหว่างทุกคนก็จะปลอดภัยหน่อย”


“ข้าเข้าใจแล้ว” เหมียวอี้จอล


อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หงเฉินไม่ยอมไปกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน มู่ฝานจวินเองก็หมดหวังกับนางแล้ว นางไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราต่อหน้าคนนอกมาก่อน จะให้นางตามเจ้าไปด้วยดีมั้ย ข้างกายจะได้มีคนไว้ปรนนิบัติ”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ช่างเถอะ! เดิมทีข้างกายข้าก็มีสายลับอยู่คนหนึ่งแล้ว แล้วข้าก็ไม่รู้สถานการณ์ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายด้วย ให้นางอยู่ข้างกายเจ้าดีกว่า”


“ก็ดี!” อวิ๋นจือชิวพักหน้า เป็นฝ่ายดึงมือเขาเดินเข้าไปในบ้าน


“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เหมียวอี้แปกใจ


อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าสื่ออารมณ์รัก มองค้อนเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “คนโง่!”


เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลั้นขำ เหมียวอี้ก็เข้าใจในทันที


หลังจากนัวเนียกันอย่างบ้าคลั่งไปหนึ่งยก อวิ๋นจือชิวก็นอนเปลือยร่างกอดเขา กระซิบพึมพำอยู่ข้างหูเขาพักหนึ่ง ราวกับแม่ที่เตือนลูกที่กำลังจะจากบ้านไปไกล อยากจะเตือนเรื่องราวทุกอย่างนึกได้ออกมาให้หมด…


ในศาลาของสวนดอกไม้ด้านลังตำหนักคุ้มเมือง ตอนที่สวีถังหรานปรากกฎตัวอีกครั้งเพื่อบอกว่าจะติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย เหมียวอี้ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ตอนที่เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการก็เคยคลุกคลีอยู่กับสวีถังหรานมาก่อน มีหรือที่จะไม่รู้ว่าสวีถังหรานเป็นคนอย่างไร เป็นคนรักตัวกลัวตาย ต่ำทรามไร้ยางอาย ทั้งยังขี้ประจบสอพลอและโลภสมบัติด้วย


ลูกน้องทุกคนเงียบงัน ไม่มีใครเต็มใจจะติดตามเหมียวอี้ไปสักคน กลับเป็นเจ้าคนต่ำทรามคนนี้ที่กระโดดออกมาบอกว่าจะติดตามไปด้วย เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้มากจริงๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “สวีถังหราน หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ มักจะรบทัพจับศึกบ่อย มีอันตรายเยอะมาก อีกทั้งทรัพยากรยังไม่เยอะเท่าที่นี่ด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าจะติดตามข้าไป?”


สวีถังหรานคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายว่า “ข้าน้อยยินดีสาบานว่าจะติดตามนายท่านไปจนตาย ต่อให้ตายก็จะไม่เสียใจทีหลัง!”


เหมียวอี้อยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา แต่ด้วยความที่รู้นิสัยของเขา ลองคิดไปในทางที่ไม่ดีสักหน่อย เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว  เดาออกแล้วว่าทำไมเขาจะติดตามตนไป จึงพยักหน้าบอกว่า “ที่เขตเมืองตะวันตกมีกี่คนที่ยินดีจะไปกับเจ้า ที่ข้ายังมีรายชื่อเหลืออยู่ ถ้ามีก็เขียนมาด้วยกันเลย เดี๋ยวต่อไปจะได้มีคนช่วยงานเยอะๆ”


“มีข้าคนเดียว แล้วก็คนในครอบครัวคนหนึ่ง สาวใช้สองคนขอรับ” สวีถังหรานตอบอย่างเก้อเขิน


คนในครอบครัวคือเสวี่ยหลิงหลงแน่นอน เหมียวอี้หันกลับไปสบตากับหยางชิ่งแวบหนึ่ง พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็โบกมือบอกว่า “งั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ไปส่งต่องานของเขตเมืองตะวันตกให้ฝูชิง จากนั้นก็มาที่ตำหนักคุ้มเมือง รอออกเดินทางพร้อมกัน”


“ขอรับ! “สวีถังหรานกล่าวขอตัวด้วยความดีใจ


“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนหยุดเขา แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ไม่มั่นคงปลอดภัย ข้าหาทางให้เบื้องบนปล่อยเจ้าไปอยู่กับโค่วเหวินหลานได้นะ”


“ข้าน้อยยินดีติดตามเพียงนายท่าน!” สวีถังหรานกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แต่พึมพำในใจว่า เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากไปเหรอ แต่ประเด็นสำคัญก็คือข้าล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไป มีคนมากมายขนาดนั้นเผยแพร่ชื่อเสียงของข้า ไปอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานก็ต้องประจบอีก ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองข้ายังไง ด้วยประวัติภูมิหลังของโค่วเหวินหลาน เขาไม่ได้ขาดคนประจงสอพลอเลย ถ้าทิ้งชื่อเสียง ‘จิตใจที่จงรักภักดี’ ไว้ให้คนข้างนอกรู้บ้าง ในภายหลังถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อได้ไปอยู่กับโค่วเหวินหลานก็ยังมีต้นทุนให้ยืนในตำแหน่งอย่างมั่นคงได้ นี่เจ้าคิดจะหยั่งเชิงข้าเหรอ?


เมื่อเห็นเขาไม่ลังเลเลยสักนิด เหมียวอี้ก็แปกลใจมาก จากนั้นก็พยักหน้าโบกมือให้ออกไป


หลังจากออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าขำ ชี้ไปข้างนอกพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “นึกไม่ถึงจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนี่จะอยากไปกับข้า”


หยางชิ่งพยักหน้า แล้สกล่าวเสียงดรียบว่า “ความสามารถแย่หน่อยก็ไม่เป็นไร กลัวก็แต่จะไม่รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง แต่สวีถังหรานคนนี้เป็นคนรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง มองสถานการณ์ของตัวเองออกอย่างชัดเจน บวกกับความหน้าด้านใจดำ ไม่แปลกใจที่สามารถทำมาหากินในตลาดสวรรค์ได้ทั้งๆ ที่ไม่มีประวัติภูมิหลังอีกทั้ง ตอนแรกยังเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการอีก เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”


“ฮ่าๆๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่น เป็นเพราะการวิจารณ์ของหยางชิ่งไม่ผิดพลาด ข้อดีของสวีถังหรานก็คือหน้าด้านใจดำ พอนึกถึงภาพหลังจากการทดสอบครั้งแรก ที่สวีถังหรานกอดขาโค่วเหวินหลานร้องไห้อย่างเจ็บปวดจนโค่วเหวินหลานซาบซึ้งใจแทบแย่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขำ


เมื่อได้รับความเช้าอกเข้าใจจากอวิ๋นจือชิว ไม่ต้องคิดวนเวียนว่าจะไปเผชิญหน้าอย่างไร บวกกับรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้กลุ่มอนุภรรยาแล้ว เขาก็วางใจแล้วเหมือนกัน เดิมทีนึกว่าจะไม่มีใครเต็มใจติดตามเขาไปเสียอีก แต่ใครจะคิดว่าจะมีคนที่ไม่คาดคิดโผล่มา เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจึงค่อนข้างอารมณ์ดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)