ลำนำบุปผาพิษ 1331-1336

 บทที่ 1331 จับคู่ให้สองคนโดยเจตนาและไม่เจตนา


ไป๋หลี่เช่อนั่งลงข้างกายกู้ซีจิ่ว ไถ่ถามอย่างกระตือรือร้น “อยากกินอะไร? ข้าไปหยิบให้เจ้าเอง”


กู้ซีจิ่วโยนผลไม้ให้ลู่อู๋น้อยที่อยู่บนไหล่ ตอบอย่างไม่มีกะจิตกะใจ “ไม่จำเป็น ข้าไม่อยากกินอะไร” เธอไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจะทำอะไร


พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดเก้าวันที่ตี้ฝูอีพูดไว้แล้ว เขาจะปรากฏตัวตามนัดหรือไม่? ความจริงเธอยังรอคำอธิบายของเขาอยู่…


เธอชอบเขาจริงๆ ชอบจนแม้แต่ตัวเองก็ยังประหลาดใจ แต่เรื่องอดีตประมุขเงือกเป็นปมใหญ่ในใจเธอ เธอคิดมากในช่วงหลายวันมานี้ และพบว่าตัวเองยังรับเรื่องนี้ไม่ได้


ผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมาย เธอรู้ว่าตี้ฝูอีจริงใจกับเธอ ชอบเธอจริงๆ แต่ว่าอดีตประมุขเงือกคนนั้นเล่า?


แน่นอน ไม่ใช่เธอไม่ยอมรับคนรักที่เขาเคยมี เธอเองก็มีคนรักมาก่อน เกิดเป็นคนไม่อาจมีสองมาตรฐานได้


ทว่าเธอรับไม่ได้ที่เขายกร่างเดิมของเธอให้อดีตประมุขเงือกฟื้นคืนชีพ เขาทำทุกวิถีทางให้ร่างนั้นออกมาดีขนาดนี้เพื่อให้อดีตประมุขเงือกฟื้นคืนชีพ แล้วหลังจากอดีตประมุขเงือกฟื้นคืนชีพเล่า?


เขาคงจะไปอยู่ครองคู่ชู้ชื่นกับอดีตประมุขเงือกใช่ไหม?


กำไลคู่บุพเพก็อยู่ที่ร่างเดิม ถึงเวลานั้นพวกเขาจะเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสร้างขึ้น


เช่นนั้นตัวเองจะกลายเป็นตัวอะไร? เป็นตัวแทนคั่นเวลาในช่วงปลอดความรักของเขา?


หรือระยะเวลาที่อดีตประมุขเงือกคืนชีพยาวนาน ไม่แน่อาจจะร้อยปีหรือถึงขั้นพันปี ถึงตอนนั้นตัวเธอกู้ซีจิ่วก็อาจตายไปแล้ว


อย่างไรเสีย เธอก็เป็นมนุษย์ ต่อให้ฝึกฝนพลังวิญญาณถึงขั้นเก้า อายุก็ไม่ยืนยาว บางทีเขาอาจไม่ได้ทรยศจริงๆ และอยู่กับเธอไปจนแก่เฒ่า


อดีตประมุขเงือกสิถึงจะเป็นคู่ชีวิตของตี้ฝูอี ส่วนเธอกู้ซีจิ่วก็กลายเป็นบทละครเล็กๆ ตอนหนึ่งในชีวิตเขา…


ก็จริงอยู่ ในทัศนคติเรื่องความรักเธอขอเพียงแค่เคยครอบครอง ไม่ได้เรียกร้องชั่วฟ้าดินสลาย แต่นั่นมันภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายไม่มีใครอื่นอยู่ในใจ


โดยเฉพาะร่างกายที่ตนเคยลำบากยากเข็ญฝึกฝนมายังต้องยกให้อดีตคนรักของเขาอีก เขารอนางอีกหนึ่งร้อยปีค่อยอยู่ด้วยกันกับอดีตประมุขเงือก ร่างที่มองเห็นก็ยังเป็นร่างของเธอกู้ซีจิ่ว ไม่แน่เขาอาจจะคิดว่านี่คือชั่วฟ้าดินสลายแล้ว สตรีทั้งสองต่างก็ไม่ผิดหวัง ทว่ากู้ซีจิ่วทนรับเรื่องนี้ไม่ได้ เธอรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นตัวแทน…


เธอใจลอยไปชั่วขณะ ไม่ได้ยินแม้แต่คำถามของไป๋หลี่เช่อ


กลับเป็นหลัวจั่นอวี่ที่นั่งข้างกายเธออีกข้างใช้ข้อศอกสะกิดเล็กน้อย เธอจึงได้สติกลับคืนมา มองใบหน้าที่รอคอยคำตอบของไป๋หลี่เช่อ “เจ้าว่าอะไรนะ?”


ไป๋หลี่เช่อหน้าตาดุดัน “ซีจิ่ว เจ้าหมั้นหมายไว้กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนนั้นจริงหรือ? เจ้าอยากแต่งงานกับเขาจริงหรือ?”


กู้ซีจิ่วปวดหัว เธอไม่อยากตอบคำถามนี้ จึงจิบเหล้าแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นี่มันเรื่องส่วนตัวของข้า ไป๋หลี่เช่อ ข้าไม่อยากให้ใครมาถามเรื่องส่วนตัวของข้า”


ไป๋หลี่เช่อตะลึงงัน “ได้! ข้าไม่ถามเรื่องเจ้ากับเขาก็ได้ ที่ข้าถามเพราะข้าอยากบอกเจ้า ซีจิ่ว ข้าไม่สนใจว่าระหว่างเจ้ากับเขามีบัญชีที่ยุ่งเหยิงกันขนาดไหน แต่ในเมื่อพวกเจ้ายังไม่แต่งงานกัน เช่นนั้นข้าก็มีสิทธิชอบเจ้าอีกครั้ง ข้าจะไม่ยอมแพ้!”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน


ในหมู่คนเหล่านี้ ไป๋หลี่เช่อนับได้ว่าเป็นคนโดดเด่น พลังวิญญาณขั้นแปด มีชีวิตชีวา หล่อเหลา มองโลกในแง่ดี ทำการสิ่งใดตรงไปตรงมา และเป็นผู้นำอย่างยิ่ง มีปฏิสัมพันธ์ดีต่อผู้อื่น คนในกลุ่มล่าสัตว์ล้วนฟังคำสั่งเขา ว่ากันว่าภูมิหลังครอบครัวก็ไม่เลว ตระกูลไป๋หลี่เป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งทวีป หากไป๋หลี่เช่อไม่ถูกขังอยู่ในนี้ เกรงว่าจะเป็นผู้นำของตระกูลไป๋หลี่ไปแล้ว…


เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลัวจั่นอวี่บอกกู้ซีจิ่ว ไป๋หลี่เช่อก็เป็นตัวเลือกน้องเขยที่หลัวจั่นอวี่ถูกใจมากที่สุด เคยจับคู่ให้ทั้งสองคนโดยเจตนาและไม่เจตนา


—————————————————–


บทที่ 1332 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย


เห็นชัดว่าไป๋หลี่เช่อมีใจให้กู้ซีจิ่ว อีกทั้งความรู้สึกนี้ยังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าการพูดดั่งให้สัตย์สาบานอย่างเช่นวันนี้นับเป็นครั้งแรก


การกระทำของเขาทำให้คนอื่นตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ลูกน้องของไป๋หลี่เช่อมีไม่น้อย เพื่อนสนิทก็ไม่น้อย คนเหล่านี้ถือโอกาสส่งเสียงโหวกเหวก


“อยู่ด้วยกัน! อยู่ด้วยกัน!”


“ซีจิ่ว เจ้าอยู่กับหัวหน้าไป๋หลี่ของพวกเราไม่ถูกหลอกแน่ เขาจริงใจกับเจ้ามาก”


“ใช่แล้ว ซีจิ่ว เมื่อวานหัวหน้าไป๋หลี่ของเรายังหอบร่างที่บาดเจ็บไปตกปลาในแม่น้ำหลังเขา เขาบอกว่าปลาที่นั่นรสชาติดี รูปลักษณ์งาม จะเลี้ยงไว้หรือตุ๋นกินก็ดีทั้งนั้น”


“ซีจิ่ว เจ้ากับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนั้นเคยหมั้นหมายกันไว้กระมัง? ความจริงหมั้นแล้วก็ถอนหมั้นได้”


“ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลึกลับคาดเดาได้ยาก อาจไม่ได้จริงใจกับเจ้าก็ได้…”


คนเหล่านี้ทยอยกันพูดข้อดีของไป๋หลี่เช่อ ภายใต้คำพูดแสนดีก็เหยียบย่ำตี้ฝูอีอยู่หลายครา


อย่างไรเสีย พวกเขาก็หวาดกลัวทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นอย่างมาก บางคนถึงขั้นมองว่าเป็นศัตรูคู่แค้น แต่กู้ซีจิ่วคือคนที่พวกเขาโปรดปราน อีกทั้งเป็นความหวังที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้ ย่อมไม่อยากให้กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีลงเอยกันจริง ดังนั้นจึงถือโอกาสแย่งคนรักของตี้ฝูอีที่นี่…


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ไม่ว่าต่อไปเธอจะแต่งหรือไม่แต่งให้ตี้ฝูอี ก็ไม่อยากให้ใครมาพูดจาไม่ดีถึงเขา!


อีกทั้งเธอก็ไม่มีใจให้ไป๋หลี่เช่อจริงๆ เธอชื่นชมที่เขาเป็นชายชาตรี เป็นสหายเป็นพรรคพวกกับเขาได้ แต่เป็นคนรักไม่ได้เด็ดขาด! เขาไม่ใช่แนวของเธอ เธอไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขา


ดังนั้นเธอให้แต่ละคนแย่งกันพูดให้จบแล้วจึงวางแก้วเหล้า มองไปรอบๆ “พูดกันจบหรือยัง?”


กู้ซีจิ่วมีท่าทางน่ากริ่งเกรงแม้ไม่ได้โกรธ เมื่อทำหน้าตึงเช่นนี้ กลุ่มคนจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม


“พวกเจ้าพูดจบแล้วตาข้าพูดบ้าง” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเรียบเฉย “ข้าเคยพูดแล้ว เรื่องของข้ากับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา ไม่อยากให้ผู้ใดเข้ามาข้องแวะ นี่คือเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สอง ไป๋หลี่เช่อ เจ้าชอบข้า ข้าขอบใจเจ้ามาก แต่ข้ายืนยันได้อย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้ชอบเจ้า ข้าเป็นสหายเป็นพรรคพวกกับเจ้าได้ สิ่งเดียวที่เป็นไปไม่ได้คือเรื่องความรัก! ดังนั้นไม่ว่าข้ากับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะได้ตบแต่งกันหรือไม่ ข้าก็ไม่มีทางเลือกเจ้า…”


คำพูดนี้ของนางชัดเจนและโหดร้ายยิ่งนัก ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋หลี่เช่อแดงเรื่อ แต่ยังคงไม่ลดละ “ซีจิ่ว ครั้งนี้ที่ข้าบาดเจ็บ เจ้า…”


“ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าไว้ก็เป็นคุณธรรมต่อมิตรสหาย” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา “ข้าเป็นหมอ ในสายตาของหมอไม่แบ่งแยกชายหญิง มีเพียงหนักหรือเบา อีกอย่างข้าเพียงรักษาแขนของเจ้าให้หาย ไม่ได้พรากความบริสุทธิ์ของเจ้าไปเสียหน่อย ความบริสุทธิ์ของเจ้าก็ยังคงอยู่ ไยต้องบีบคั้นให้ข้ารับผิดชอบ?”


เพื่อไม่ให้ไป๋หลี่เช่อถึงขั้นต้องอับอาย ประโยคท้ายๆ ของกู้ซีจิ่วจึงพูดจาติดตลก คำพูดนี้หาญกล้านัก ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นพ่นเหล้าออกมา มีคนทนไม่ไหวหัวเราะลั่น แม้แต่หลัวจั่นอวี่ก็อดหัวเราะไม่ได้ ส่ายหน้าบอก “ซี่จิ่ว…เจ้ากล้าหาญเกินไปแล้ว…”


ปากกล่าวตำหนิติเตียน แต่ในสายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ มาถึงตอนนี้เขาล้มเลิกความคิดที่จะจับคู่น้องสาวกับไป๋หลี่เช่อแล้ว


ไป๋หลี่เช่อก็เป็นคนใจคอกว้างขวาง ถึงแม้การถูกปฏิเสธอย่างชัดเจนจะค่อนข้างน่าอับอาย แต่เขาไม่คับแค้นใจแม้แต่น้อย ในทางกลับกันยิ่งชื่นชมกู้ซีจิ่วมากขึ้น


ผู้หญิงที่เขารู้จักมีไม่น้อย ไม่ขาดคนงามมีความสามารถ


ทว่าก็มีหญิงมากมายที่มีจุดบกพร่องเดียวกัน นั่นคือความคลุมเครือไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์ชายหญิง เมื่อมีคนมาตามเกี้ยวพา ต่อให้ไม่มีใจก็ไม่ได้ปฏิเสธไป บางคราวยังกระทำบางสิ่งที่ชวนให้คนเข้าใจผิดว่านางมีใจอีก


บทที่ 1333 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 2


และก็ให้ความหวังผู้อื่นไปเช่นนี้ เพลิดเพลินกับการมีผู้ชายมากมายตามจีบ ฝีมือควบคุมบุรุษล้ำเลิศ ทว่าก็ทำให้เขาดูแคลนยิ่ง


แต่กู้ซีจิ่วไม่ใช่ นางแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จะปฏิเสธไปตรงๆ ในเมื่อให้ในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการไม่ได้ ก็ต้องหยุดความหวังลมๆ แล้งๆ ของอีกฝ่าย ดูแล้วเหมือนคนใจไม้ไส้ระกำ ทว่าความจริงเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย…


ตัวนางเองก็งดงามเปล่งประกาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยชายใดเพื่อดึงดูดสายตาผู้อื่น


“ซีจิ่ว เช่นนั้นพวกเรายังเป็นเพื่อนกันหรือไม่?” ไป๋หลี่เช่อถาม สายตาแน่วแน่จริงจัง


“แน่นอน” กู้ซีจิ่วตอบเขาไปหนึ่งคำ จากนั้นยกจอกเหล้าขึ้น “ดื่มสักจอกเถิด แล้วทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ข้าจะเป็นเพื่อนเจ้าตลอดไป!”


เลือดร้อนรุ่มในใจไป๋หลี่เช่อพลุ่งพล่าน ยกจอกเหล้าชนกับนาง “ได้ พวกเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!”


‘แบบที่จริงใจและซี่อตรง’ เขาเติมอีกหนึ่งประโยคต่อท้ายในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา


เพื่อนแท้ต้องทำให้เห็น ไม่ใช่พูดออกมา


ฉากโหมโรงเล็กๆ ผ่านไปเช่นนี้ ทุกคนดื่มเหล้ากินเนื้อกันต่อ ร้องรำทำเพลง พูดคุยสัพเพเหระ


และการเปลี่ยนแปลงกะทันหันก็บังเกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศอันน่ายินดีปรีดาเช่นนี้


สัตว์ร้ายบนเขาจะจู่โจมหมู่บ้านโดยไม่ทันตั้งตัวเป็นครั้งคราว หลัวจั่นอวี่จึงจัดให้มีคนทำหน้าที่รักษาการณ์ไว้ตลอด คืนนี้ก็เช่นกัน


เนื่องจากเป็นเรื่องความเป็นความตาย ยามรักษาการณ์ทุกคนจะตื่นตัวจริงจังยิ่งนักเมื่อปฏิบัติหน้าที่ หากบนภูเขามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย จะเป่านกหวีดเตือนภัยทันที ไม่เคยเกิดเหตุการณ์อันใดมาก่อน


คาดไม่ถึงคืนนี้แปลกยิ่งนัก ในขณะที่ทุกคนกำลังดื่มจนกรึ่มได้ที่ ต้นไม้ใหญ่ด้านบนมีเสียงกรีดร้องของลิงทโมน เสียงนั้นช่างหวีดแหลม ราวกับถูกอะไรบีบคอ ทำให้ทุกคนตรงนั้นล้วนสั่นผวา!


ทุกคนยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ก็มีเงาดำมากมายลอยตามพายุลมแรงลงมาจากบนฟ้า…


อย่างไรเสียฝูงชนตรงนั้นต่างคลุกคลีกับสัตว์ร้ายในเขาอยู่เป็นประจำ ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วยิ่งนัก ทุกคนต่างกระโดดลุกขึ้นมา ชักอาวุธออกท่า ทยอยกันตะโกนถาม “นั่นใคร?!”


“นั่นใคร?”


เงาดำเหล่านั้นรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เมื่อลงถึงพื้นดิน ก็จู่โจมคนที่ตอบสนองค่อนข้างช้าในฝูงชนทันที!


มาอย่างไร้ร่องรอย จากไปดังสายฟ้า โหดเหี้ยมดุจหมาป่า ดุร้ายเยี่ยงเสือโคร่ง นั่นก็คือเงาดำเหล่านี้


ผู้คนไม่ทันได้เห็นลักษณะของเงาดำนั้นชัดเจน ก็มีสามสี่คนโดนโจมตี ถูกเงาดำนั้นจับตัวได้ ยังไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องก็ถูกฉีกขาดเป็นสองท่อน!


เลือดสาดกระเซ็น หยดลงในสุราอุ่นที่พลิกคว่ำ เป็นความสวยงามที่ช่างโหดร้าย


ฝูงชนโกลาหลกันใหญ่


เงาดำหนึ่งในนั้นโผเข้ามาทางกู้ซีจิ่ว!


ภายใต้แสงคบเพลิงที่สาดส่องรอบด้าน ดวงตาทั้งคู่ของเงาดำเป็นประกาย เรืองแสงสีเขียว แหลมคมเย็นเยือก ทำให้หัวใจสั่นไหว


เงาดำนี้ไม่ใช่มนุษย์! เป็นสัตว์ร้ายประเภทหนึ่ง!


ขนสีดำทั้งตัว แม้แต่รูปลักษณ์ก็ถูกขนดำปกคลุม ขนาดเท่ากับคน เหมือนทั้งลิงอุรังอุตังและนกอินทรี ด้านหลังยังมีปีกสีดำหมึกคู่หนึ่ง เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วเห็นสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ ทว่าเธอก็เคยศึกษาสายพันธุ์สัตว์บนทวีปนี้มา เคยดูรูปภาพและคำอธิบายสัตว์ร้ายในตำนานมาบ้าง


เธอจึงมองสิ่งนี้ออกทันที


เหยี่ยวนิลกาฬ!


สัตว์ร้ายขั้นแปดในตำนาน หนึ่งในสัตว์ร้ายโบราณ มาอย่างไร้ร่องรอย หายไปโดยไร้เงา รูปร่างค่อนข้างคล้ายมนุษย์ มีขนสีดำทั้งตัว เกิดจากพลังชั่วร้ายของฟ้าดิน แข็งแกร่งเหลือคณา สามารถฉีกร่างแรดได้ เชี่ยวชาญการใช้วิชาธาตุไม้ หากฝึกฝนพลังวิญญาณถึงขั้นแปดจะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ชอบกินหัวใจ ดุร้ายยิ่ง มีความหาญกล้าที่หมื่นคนไม่อาจหยุดยั้ง…


—————————————-


บทที่ 1334 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 3


สัตว์ร้ายเยี่ยงนี้มีอยู่ในตำนาน เล่าขานกันว่าหลายพันปีก่อนผงาดอยู่ทั่วทวีป หนึ่งในนั้นมีเหยี่ยวนิลกาฬนี้ และก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมยอดฝีมือมาร่วมกันผนึกพวกมัน ว่ากันว่าผนึกไว้ที่ยอดเขาที่แปดภายในป่าทมิฬ ทวีปนี้ไม่ได้เห็นเงาของสัตว์ร้ายนี้มานานหลายพันปี นึกไม่ถึงว่ากลับมาปรากฏกายที่นี่ เพราะสัตว์ประเภทนี้พบเจอได้ยาก คนทั้งหลายยกเว้นกู้ซีจิ่วแทบจะไม่มีใครรู้จักเลย


ตอนที่มันโจมตี นิ้วทั้งสิบแหลมดังคมมีด กู้ซีจิ่วไม่สงสัยเลย หากถูกสิ่งนี้จับตัวได้ เธอไม่เหลือชิ้นดีแน่นอน!


การตอบสนองของเธอรวดเร็วที่สุด เคลื่อนย้ายในพริบตาทันที หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง แล้วจึงเคลื่อนย้ายไปด้านหลังของมัน กระบี่ฟันเข้าที่ด้านหลัง!


เสียงดัง “เคร้ง!” ราวกับฟันเข้าก้อนทอง สั่นสะเทือนจนมือกู้ซีจิ่วชา กระบี่เกือบหลุดลอยออกจากมือ


กระบี่ดั่งสายฟ้าของเธอกลับฟันไม่เข้าผิวหนังชั้นนอกของเหยี่ยวสักนิด กลับไปกระตุ้นความเกรี้ยวกราดของมันเข้า จึงโจมตีมาทางกู้ซีจิ่วดุจพายุฝนฟ้าคะนอง


ท่าร่างกู้ซีจิ่วว่องไว ท่าเท้าประหลาด ปะทะกับเหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นแล้วไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้ในช่วงเวลาหนึ่ง


แต่คนอื่นกลับไม่โชคดีเช่นนี้ เหยี่ยวนิลกาฬอีกสองตัวกระโจนเข้าใส่ฝูงชน พวกมันเหมือนจะรู้ว่าผู้หญิงค่อนข้างอ่อนแอ พวกแรกที่จู่โจมใส่ท่ามกลางฝูงชนก็คือผู้หญิง!


เคราะห์ดีที่คนในหมู่บ้านนี้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หลังจากความโกลาหลไม่กี่วินาทีก็รวมตัวกันได้เอง รวมผู้หญิงไว้ตรงกลางคอยคุ้มกัน


อีกแปดคนที่พลังวิญญาณสูงรวมกลุ่มกัน เริ่มตีวงล้อมเหยี่ยวนิลกาฬอีกสองตัว


วิธีตั้งกระบวนพลโจมตีนี้กู้ซีจิ่วสอนให้พวกเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีประโยชน์ยิ่งนักเมื่อเผชิญกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ แข็งแกร่งกว่าการโจมตีซึ่งหน้าดุจฝูงผึ้งของพวกเขาเป็นเท่าทวี


คนที่ล้อมโจมตีเหยี่ยวนิลกาฬเหล่านี้ต่างเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจของหมู่บ้าน มีความกล้าหาญมากล้น ปกติเวลาไปล่าสัตว์ที่เขาด้านหลัง พวกเขานับว่าเป็นสุดยอดฝีมือ


ทว่าตอนคนเหล่านี้ล้อมโจมตีเหยี่ยวนิลกาฬได้ไม่เกินสิบกระบวนท่า ก็เริ่มเสียเปรียบแล้ว


เหยี่ยวนิลกาฬรวดเร็วเกินไป!


อีกทั้งสัตว์ตัวนี้พรางกายได้ ต่อสู้กันอยู่ดีๆ ก็หายตัวไป จากนั้นไม่รู้ว่าพลันปรากฏกายออกมาจากที่ใด และโจมตีผู้คนโดยไม่ทันตั้งตัว


มีคนถูกเหยี่ยวนิลกาฬเล่นงานติดต่อกันสี่ห้าคน ถึงแม้พรรคพวกจะช่วยได้ทัน ไม่ได้โดนฉีกออกเป็นชิ้น ทว่าก็ถูกทำร้ายมีบาดแผลหลายจุด


ที่น่าแปลกก็คือ เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลเป็นสีเขียว เหมือนมีบางสิ่งหยั่งรากอยู่ภายในอย่างรวดเร็ว ทำให้คันบาดแผลยากเกินทน ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง…


สัตว์ขั้นแปดเทียบเท่ากับมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันคนสิบกว่าคนร่วมกันล่าและฆ่ามังกรปีศาจขั้นแปด ไป๋หลี่เช่อยังบาดเจ็บสาหัส หากกู้ซีจิ่วไม่เข้าร่วมด้วย เกรงว่าครั้งนั้นจะแพ้กันราบคาบ


หากมังกรปีศาจเป็นสัตว์ระดับต่ำในขั้นแปด เช่นนั้นเหยี่ยวนิลกาฬก็เป็นสัตว์ขั้นแปดระดับกลาง สูงกว่ามังกรปีศาจไม่น้อย


ตัวร้ายกาจเช่นนี้ออกมาทีเดียวสามตัว เข่นฆ่าผู้คนจนน่าอเนจอนาถภายในเวลาไม่เกินหนึ่งถ้วยชา


บ่อยครั้งที่มีคนบาดเจ็บจนเสียความสามารถในการต่อสู้ คนที่สู้ได้เริ่มน้อยลงทุกที…


กู้ซีจิ่วกับหลัวจั่นอวี่สู้กับเหยี่ยวนิลกาฬหนึ่งตัวด้วยกัน ฝืนต่อสู้กันได้สูสี ไม่อาจสนใจคนอื่นได้ชั่วคราว


ในระหว่างนี้โชคดีที่มีลู่อู๋น้อย ถึงแม้เจ้านี่จะตัวเล็ก แต่ความสามารถไม่น้อยเลย มันหลบไปหลีกมาในสนามรบทั้งสามดังสายฟ้า ข่วนเหยี่ยวนิลกาฬอยู่ตลอด ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ผู้คนได้บ้าง…


บทที่ 1335 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 4


แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังเล็ก สัตว์ร้ายเหล่านี้ล้วนมีอายุหลายพันปีแล้ว แต่ลู่อู๋น้อยเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่ถึงสามปีเลย…


มองเห็นคนฝ่ายตนได้รับบาดเจ็บไปทีละคนๆ กู้ซีจิ่วก็ร้อนใจ ทว่าไม่มีวิธีในยามนี้


สถานที่แห่งนี้เป็นที่ปิดตาย ต่อให้คนเหล่านี้ละทิ้งการต่อสู้คิดหนีเอาชีวิตรอดก็ไร้ซึ่งที่หลบหนี!


ถึงแม้ฝูงชนจะไม่รู้จักเหยี่ยวนิลกาฬพวกนี้ แต่มองจากแรงกดดันที่มันสำแดงออกมาก็ทราบได้ว่าสัตว์ชนิดนี้ไม่ธรรมดา


ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาทั้งหลายต้องล่มจมกันหมด สุดท้ายจะไม่เหลือรอดเลยสักคน…


ประหลาดนัก ที่นี่ไม่เคยมีสัตว์ระดับแปดเข้ามาชั่วนานตาปีแล้ว เหตุใดระยะนี้ถึงปรากฏออกมาถี่ขนาดนี้? ที่แท้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่?!


ระหว่างกันต่อสู้โรมรันพันตู ลู่อู๋น้อยโจมตีใส่เหยี่ยวนิลกาฬตัวหนึ่งอีกครั้ง เรื่องที่ลู่อู๋น้อยชอบกระทำที่สุดก็คือข่วนดวงตาเหยี่ยว


เหยี่ยวตัวนั้นไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่กลับปกป้องดวงตาทั้งสองข้างยิ่งนัก เมื่อลู่อู๋น้อยข่วนตาอยู่เนืองๆ เห็นได้ชัดว่าไปยั่วโทสะมันเข้าแล้ว


เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นก็ค่อนข้างมีสติปัญญาเช่นกัน เริ่มแรกมันไม่ค่อยแยแสลู่อู๋น้อยเท่าไหร่ ราวกับไม่สังเกตเห็นการมีอยู่ของมัน เพียงแต่ลู่อู๋น้อยค่อนข้างหลงระเริงอยู่บ้าง หลังจากข่วนได้ครั้งหนึ่งแล้วยังคิดจะข่วนเป็นครั้งที่สองอีก เหยี่ยวตัวนี้จึงตะปบกรงเล็บทันที ตะครุบหางอันหนึ่งของลู่อู๋น้อยไว้ได้!


ลู่อู๋น้อยหวีดร้องเสียงแหลม คิดจะหนีอีกครั้งก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว!


เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นกู่ร้องเสียงยาว ไม่สนใจศาสตราวุธของคนอื่นๆ ที่โจมตีเข้ามา กรงเล็บทั้งสองดึงลู่อู๋น้อยไว้หมายจะฉีกกระชากเป็นสองซีก!


ลู่อู๋น้อยตกใจจนอกสั่นขวัญหาย ยังไม่ได้ทันได้กรีดร้องอีกครั้ง เงาร่างของคนผู้หนึ่งพลันวูบไหวขึ้นเบื้องหน้า กระบี่เล่มหนึ่งแทงเข้าที่ตาของเหยี่ยวนิลกาฬ!


เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นสะดุ้งโหยง ใช้กรงเล็บข้างหนึ่งป้องกันดวงตาตามสัญชาตญาณ ส่วนลู่อู๋น้อยที่ถูกตะครุบอยู่ในกรงเล็บอีกข้างของมันก็สบโอกาสหมุนตัว พุ่งเข้ากัดน่องมันฟันคมฝังเข้าสู่เนื้อ เจ็บปวดจนเหยี่ยวนิลกาฬตัวนี้กู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว และสะบัดกรงเล็บโยนลู่อู๋น้อยออกไป!


ลู่อู๋น้อยพลิกตัวกลางอากาศ เมื่อมองเห็นผู้ที่มาช่วยเหลือมันก็ร้อง ‘แอ้ว’ อย่างปรีดา แล้วโจมตีเข้าไปอีกครั้ง!


ผู้ที่ช่วยเหลือมันย่อมเป็นกู้ซีจิ่ว เธอโจมตีใส่เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นหลายครั้งดั่งพายุสลาตัน พลางร้องบอกว่า “จุดอ่อนของพวกมันคือดวงตา โจมตีดวงตาของพวกมัน! ทุกคนโจมตีเข้าไปทีละคน!”


เธอเอ่ยถึงค่ายกลรูปแบบหนึ่งออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ให้ทุกคนสลับสับเปลี่ยนตำแหน่ง


ยามนี้ถ้อยคำที่เธอกล่าวออกมาก็คือประกาศิต ฝูงชนรีบเปลี่ยนรูปแบบกระบวนค่ายตามที่เธอบอกทันที…


เมื่อรู้จุดอ่อนของพวกมัน อีกทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้แล้ว สถานการณ์ในสนามรบในที่สุดก็เริ่มพลิกกลับ


หลัวจั่นอวี่กับกู้ซีจิ่วรวมถึงยอดฝีมือขั้นแปดอีกสามคนเริ่มร่วมมือกันโจมตีตัวหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ยื้อยุดอยู่กับอีกสองตัวที่เหลือ ขอเพียงยืดหยัดไว้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็พอแล้ว


ทางฝั่งของกู้ซีจิ่วกลายเป็นสนามรบหลักแล้ว มนุษย์ห้าคนล้อมกรอบวนเวียนอยู่รอบๆ เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นดั่งโคมม้าวิ่ง หลังจากผ่านไปชั่วระยะหนึ่งถ้วยชา กู้ซีจิ่วพลันแทงกระบี่ออกไปทันใด แสงกระบี่พุ่งทะลุเข้าไปในดวงตาของเหยี่ยวนิลกาฬ!


เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นแผดร้องอย่างน่าเวทนาคราหนึ่ง ปีกและขาดิ้นพล่าน ประหนึ่งบ้าคลั่ง ถูกหลัวจั่นอวี่กับยอดฝีมืออีกสามคนจ้วงแทงอีกครั้ง ในที่สุดก็ร่วงลงพื้นลุกไม่ขึ้นอีก


กำราบไปแล้วหนึ่งตัว จิตใจของฝูงชนล้วนคึกคักอย่างยิ่ง


พวกกู้ซีจิ่วทั้งห้าไม่หยุดพักเลยสักครู่ รีบเข้ารวมกระบวนค่ายกลอีกด้านหนึ่งทันที ใช้วิธีเดียวกับที่โจมตีเหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้น…


การต่อสู้ครั้งนี้ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย กู้ซีจิ่วมีประสบการณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้แสงกระบี่ของเธอจึงไม่ห่างจากดวงตาของเหยี่ยวพวกนั้นเลย เมื่อเห็นว่าสามารถจัดการตามวิธีการเดิมได้ เหยี่ยวนิลกาฬที่ถูกล้อมไว้ตัวนั้นพลันเชิดหน้ากู่ร้องเสียงแหลมยาวขึ้นมาในทันใด…


เสียงกู่ร้องนั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สั่นสะเทือนทั้งปฐพีให้โยกคลอนไปหมด หลังจากเสียงกู่ร้องของเหยี่ยวตัวนี้ผ่านพ้นไป ในส่วนลึกของภูเขาด้านหลังจู่ๆ ก็มีเสียงร้องคำรามของเหล่าสิงสาราสัตว์แว่วมาเป็นระลอก


————————————————————-


บทที่ 1336 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 5


ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าดังสนั่นปานฟ้าคำรามที่แห่แหนมายังด้านนี้


ขบวนสัตว์ร้าย!


เหยี่ยวนิลกาฬตัวนี้ดึงดูดขบวนสัตว์ร้ายมา!


ในภูเขาด้านหลังของที่นี่มีสัตว์ร้ายอยู่มากมาย ยามปกติก็มีบ้างที่จับกลุ่มรวมฝูงกันมาโจมตีหมู่บ้าน แต่ยามที่มาโจมตีหมู่บ้านครานั้นเป็นสัตว์ร้ายชนิดเดียวเท่านั้น มากสุดก็แปดสิบเก้าสิบตัว ผู้คนติดตั้งกับดักต่างๆ ไว้รอบนอกของหมู่บ้าน ผนวกกับผู้คนจัดแนวป้องกันไว้ จึงตีให้พวกมันแตกพ่ายกลับไปได้ทุกครั้ง


แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ครานี้แค่เหยี่ยวนิลกาฬอีกสองตัวที่เหลืออยู่ พวกเขาก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว ยามนี้ยังมีขบวนสัตว์ร้ายมาอีก!


เสียงครืนๆ เสมือนฟ้าคำราม ฟังจากเสียงนี้แล้ว เกรงว่าสัตว์ร้ายที่แห่แหนกันมาในครานี้อย่างน้อยๆ ก็สี่ห้าร้อยตัว! อีกทั้งเสียงฝีเท้ายุ่งเหยิงวุ่นวาย เห็นได้ชัดว่าสัตว์ที่มามิใช่แค่ชนิดเดียว…


ขบวนสัตว์ร้ายที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ปรากฏขึ้นที่ใดล้วนเป็นหายนะร้ายแรง ผ่านไปที่ใดล้วนไม่มีทางรอด


นับประสาอะไรกับหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขาที่มีคนแค่ไม่กี่สิบคนเล่า?


พวกเขาต่อกรกับเหยี่ยวนิลกาฬสองตัวนี้ก็กินแรงอย่างยิ่งแล้ว ยังมีขบวนสัตว์ร้ายมาอีก…


นี่สวรรค์ละทิ้งพวกเขาแล้วสินะ!


“หัวหน้า ทำอย่างไรดี?”


“หัวหน้า พวกเราถูกล้อมแล้ว!”


“หัวหน้า ครั้งนี้จบเห่แล้ว!”


บรรยากาศของความสิ้นหวังแพร่กระจายสู่ทุกคน ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะวิธีใดที่สามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดได้


“ขึ้นต้นไม้! พวกเราขึ้นต้นไม้!” หลัวจั่นอวี่ร้องตะโกน ถึงแม้บนต้นไม้จะอันตรายอย่างยิ่ง แต่อย่างไรเสียส่วนใหญ่แล้วสัตว์ร้ายชนิดอื่นก็ปีนต้นไม้ไม่เป็น ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะดิ้นรนหาหนทางรอดได้!


ขณะที่ทุกคนกำลังจะทะยานขึ้นสู่ต้นไม้ยักษ์ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงบางคนร้องตะโกน “สวรรค์! มีนกด้วย! มีอินทรีตาทอง!”


เสียงกระพือปีกดังพึ่บพั่บแว่วตามมา มี‘เมฆวิหค’ ผืนใหญ่จากภูเขาด้านหลังกำลังหลั่งไหลมายังด้านนี้ เมฆวิหคเหล่านี้ย่อมมิใช่ก้อนเมฆจริงๆ แต่เป็นฝูงนก! นกดุร้ายสารพัดชนิดรวมตัวกันเป็นฝูงนก!


ทั้งน้อยทั้งใหญ่มีถึงสองสามร้อยตัว บัดนี้เข้ามาใกล้ต้นไม้แล้ว บางคนที่สายตาเฉียบคมถึงขั้นที่มองชนิดของนกออกด้วยซ้ำ…


โดนจู่โจมจากทั่วสารทิศ ไร้หนทางหลบหนี! ครั้งนี้ไร้ทางหนีแล้วจริงๆ ทุกคนรู้สึกว่าเงาแห่งความตายเข้าปกคลุมเหนือศีรษะแล้ว สิ้นหวังแล้ว! นอกเหนือจากสิ้นหวังก็คือสิ้นหวัง!


หัวใจกู้ซีจิ่วแทบจะจมดิ่งลงไปแล้วเช่นกัน ครั้งนี้เธอก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน เธอมีวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา เธออาจพาสักคนสองคนหลบหนีไปได้ แต่ว่าคนที่เหลือล่ะ?


นี่สวรรค์ทอดทิ้งคนเหล่านี้แล้วหรือ?


“มารดามันเถอะ! สู้ตายแล้วกัน! พวกเราสู้ตายกันเถอะ!”


“ใช่แล้ว ฆ่าหนึ่งตัวคุ้มทุน ฆ่าสองตัวเป็นกำไรแล้ว!”


เมื่อสิ้นหวังจนถึงขีดสุด ทุกคนจึงฮึกเหิมขึ้นมา ฝูงชนฮึดสู้ยิ่งขึ้น…


ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง เสียงศาสตราวุธกระทบกัน เสียงสัตว์ร้องคำราม เสียงกระพือปีก เสียงฝีเท้าดังสนั่น…สารพัดเสียงผสมปนเปเข้าด้วยกัน ผู้ใดก็แทบจะฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายตะโกนอะไรอยู่ ค่อยๆ รุกคืบเข้ามาทีละน้อย เงาแห่งความตายเข้าปกคลุมหัวใจของผู้คน…


ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยสายหนึ่งก็ค่อยๆ แว่วมาจากขอบฟ้า


เสียงขลุ่ยดั่งสายลม ท่ามกลางเสียงที่สับสนวุ่นวายถึงเพียงนี้ก็ยังกระจ่างชัดอยู่ เสมือนแว่วอยู่ริมหูของทุกคน


เสียงขลุ่ยปานเสียงสวรรค์ แว่วสะท้อนอยู่ระหว่างฟ้าดิน ชำระบ้างจิตใจคนให้ผ่องแผ้ว ราวกับบุปผาที่ผลิบานเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับแสงจันทราอ่อนจางบนนภาสูงอบอวลเมฆ ขจัดความมืดมิดทั้งหมดบนโลกไป…


หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงทันใด เงยหน้ามองไปตามเสียงขลุ่ย


บนต้นไม้ยักษ์ปรากฏคนผู้หนึ่งยืนสง่า อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์บนร่างดุจแสงจันทร์ที่โบกพลิ้ว เกศาดำปลิวไสวตามแรงลม แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกส่องแสงวาววามอยู่ท่ามกลางราตรี เขากำลังบรรเลงเพลงขลุ่ย มีประกายแสงเจ็ดสีผุดออกมาจากปลายนิ้วในขณะที่จรดบรรเลงท่วงทำนอง…


รอบกายเขาคล้ายโอบล้อมด้วยไอเมฆ รัศมีสีเงินอ่อนจางโอบล้อมอยู่รอบตัว ในรัศมีสีเงินนั้นคลายจะแฝงแสงพระพุทธเลือนรางเอาไว้ด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)