ท่านเทพมาแล้ว 133-136

บทที่ 133 เจ้าจะดื่มเหล้า?

โดย

Ink Stone_Romance

หลินเจี้ยนหรูย่อตัวลงไปตรงหน้านาง ขยับปากพูด “หากศิษย์พี่เชื่อฟัง ข้าจะไม่ให้เจ้าเดินไปถึงขั้นนี้แน่นอน”


“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” นางมองเขาที่อยู่ระดับเดียวกัน ดวงตาทั้งสองซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดเหมือนกับจะพ่นไฟโกรธออกมาแผดเผาเขาให้เป็นจุณ


“ง่ายมาก” หลินเจี้ยนหรูพูด “เจ้ากลับไปห้ามหัวชิงไว้ ให้เขาล้มเลิกเรื่องที่จะไปชิงชิวเพื่อหารือกับจิ้งจอกเก้าหาง”


เหลียงชิวฉานแค่นหัวเราะเย้ยหยัน “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของแรกพยับ ข้าจะมีความสามารถอะไรไปหยุดยั้งได้?”


“แน่นอนว่าต้องวางแผน” หลินเจี้ยนหรูกล่าว “เจ้าลืมไปแล้ว วันนั้นที่เจ้าเข้าห้องหลินเซี่ย ตอนหลังจีหย่งฟางตามเข้ามาด้วยมิใช่หรือ? เจ้าเพียงหาวิธีนำมหาโอสถเม็ดหนึ่งมาจากอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก แอบให้จีหย่งฟางกินเข้าไป จากนั้นก็กลับคำบอกว่าจีหย่งฟางเข้าห้องหลินเซี่ยไปก่อน เรื่องก็จบลงแล้วนี่?”


“เจ้าให้ข้าป้ายสีจีหย่งฟาง?” ดวงตาทั้งสองของเหลียงชิวฉานหรี่ลง ยิ้มเยาะเย้ยพูด “เจ้าประเมินข้าสูงไปแล้ว มหาโอสถทองอาจารย์เป็นผู้ดูแล ข้าจะนำมาง่ายๆ ได้อย่างไร?”


หลินเจี้ยนหรูยืดตัวขึ้น มองนางพลางเอ่ย “เรื่องนี้หากศิษย์พี่ทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครสามารถทำได้แล้ว”


เหลียงชิวฉานเลือดลมติดขัด พูดอีกว่า “ถึงแม้ข้าจะนำมหาโอสถทองมาได้ แล้วจะอธิบายเรื่องขนจิ้งจอกอย่างไร!”


“เรื่องนี้เจ้าต้องอธิบายแทนนางด้วยหรือ?” เขาพูด “จีหมิ่นจวินยั่วยุเหล่าผู้อาวุโส โน้มน้าวอาจารย์ลุงเจ้าสำนักให้ไปก่อกวนชิงชิว ได้ยินว่าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ข้าดูแล้ววันนั้นสีหน้าของเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสไม่ค่อยดีนัก คิดว่าพวกเขาก็ต้องรู้สึกว่าจีหมิ่นจวินทำเกินไปหน่อย”


“เพียงแค่ยืนยันได้ว่ามหาโอสถทองอยู่ในร่างจีหย่งฟาง เจ้ายืนกรานว่านางเข้าไปในห้องหลินเซี่ยแน่ จะมีใครไม่เชื่ออีก? ข้าเกรงว่าเจ้าสำนักจะเชื่อก่อนเป็นอันดับแรกด้วยซ้ำ”


“มหาโอสถทองมีจำกัด ส่วนที่หายไปข้าจะทดแทนคืนอย่างไร?!” เหลียงชิวฉานกัดฟันแน่น


หลินเจี้ยนหรูยืนขึ้นมา “เรื่องนี้เจ้าต้องคิดหาหนทางเองแล้ว มหาโอสถหนึ่งเม็ดกับชีวิตของเจ้าเทียบกันแล้วสิ่งใดสำคัญกว่า เชื่อว่าศิษย์พี่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร”


เหลียงชิวฉานแหงนหน้ามองเขาที่อยู่สูงกว่า รู้สึกเพียงว่าฟันในปากจะแหลกเป็นผุยผงแล้ว…


อีกฟากหนึ่ง มู่จิ่วกำลังถกเถียงกับลู่ยาถึงตำแหน่งของป้ายประตูอยู่ตรงทางเข้าลานแต่เช้าตรู่


เสียเวลาไปครึ่งวันก็ย้ายเรือนเรียบร้อย และใช้เวลาอีกครึ่งวันจัดการ ตอนนี้ในที่สุดก็เก็บกวาดหมดจดแล้ว


ห้องทั้งสี่ในลานบ้านเพียงพอสำหรับหนึ่งคนหนึ่งห้อง มู่จิ่วได้ห้องชุดเล็กๆ ทางทิศตะวันออก ลู่ยาได้ห้องชุดทางทิศตะวันตก ทิศเหนือมีสองห้อง ห้องทางตะวันออกให้เสี่ยวซิงอยู่ ส่วนตะวันตกยกให้อาฝู ตรงกลางทิศเหนือยังมีห้องโถงเล็กๆ ไว้สำหรับรับแขกอยู่อีก


ส่วนลานบ้านด้านหน้า ห้องครัวทางทิศตะวันตกยังคงเป็นห้องครัว ห้องทางตะวันออกสองห้องแม้ไม่มีคนอยู่แต่เก็บกวาดไว้ก่อน ห้องหนึ่งไว้เป็นห้องอาหาร อีกห้องเอาไว้เก็บของใช้ในชีวิตประจำวัน


มู่จิ่วทำลานตรงกลางให้เป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ปลูกโบตั๋นเสาเย่าอะไรต่างๆ ยังมีดอกบ๊วยและต้นอู๋ถงอีกหลายต้น


ทั้งสี่ทิศของลานบ้านด้านหลังยังวางรั้วปลูกดอกไม้ไว้มากมาย แต่เดิมมีเพียงต้นจื่อเถิงสองต้น ยังมีต้นท้อใหญ่สองต้น ตอนนี้เพิ่มมาอีกหลายอย่างจนมีมากมายแล้ว กลางลานบ้านมีทางเล็กๆ ที่คดเคี้ยว ในวันปกติสามารถใช้เดินเล่นหลบร้อนได้ นางยังไปขอลู่ยาให้ทำก้อนหินหลายก้อน สร้างภูเขาจำลองขึ้นมาอีกหนึ่ง


เมื่อดูไปแล้ว สถานที่แม้จะไม่ใหญ่มาก แต่กลับมีรสนิยมขึ้นหลายส่วน


เสี่ยวซิงอาฝูล้วนมีความสุขยิ่ง เมื่อคืนอยู่ที่นี่หนึ่งคืน ปกติต้องเกียจคร้านจนเสี่ยวซิงทำอาหารมาให้ถึงลุกขึ้นจากเตียง แต่วันนี้อาฝูตื่นแต่เช้า จากนั้นเลือกปีนขึ้นไปบนหินสูงจั้งกว่ากลางลานบ้าน ทำเอามู่จิ่วตื่นมาตอนเช้ายังเข้าใจไปว่ามีดาวโชคลาภหล่นมาจากฟ้า เกือบจะก้มกราบทำความเคารพไปแล้ว


“ข้าคิดว่าต่ำลงหน่อยดีกว่า มิฉะนั้นจะสูงเกินไป เขียนแค่ว่าเรือนสกุลกัว เอาป้ายไม้มาขัดเงาและแกะสลักสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”


“หากเป็นไม้ให้พวกกู้เจียทำก็ได้” ตอนนี้เองเสี่ยวซิงที่ทำอาหารเช้าเสร็จแล้วเดินเข้ามา


“กู้เจียคือใคร?” มู่จิ่วหันหน้าไปพูด


“คือพวกลิงขนทองที่ขายหมีโหวเถาอยู่ที่ประตูสวรรค์แดนใต้” เสี่ยวซิงตอบ “บนเขาพวกเขามีไม้มากมาย ให้พวกเขาทำมาก็เรียบร้อยแล้ว”


มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซิงจะกลายเป็นเพื่อนกับลิงน้อยไปแล้ว สะดวกสบายแบบนี้ไหนเลยจะมีเหตุผลไม่รับไว้?


ตอนนี้เรื่องนี้จึงมอบให้เสี่ยวซิงไป จากนั้นจึงเริ่มเขียนรายการอาหาร


นางคิดว่าจะเชิญเหล่าสหายในหน่วยมาสังสรรค์คืนนี้ ในหน่วยลาดตระเวนเชิญหลิวจวิ้น เฉินอิง และหูเหยียน จากนั้นเชิญผู้บัญชาการถิงเว่ยอีกสิบเอ็ดท่าน และยังเชิญทหารข้างกายหลิวจวิ้นที่ห้อมล้อมมู่จิ่วให้จัดงานเลี้ยงในวันนั้นด้วย คิดดูแล้วต้องมีสองโต๊ะใหญ่ คนเยอะขนาดนี้เสี่ยวซิงต้องรับมือไม่ไหวแน่ มู่จิ่วก็ไม่คิดจะทำร้ายนาง ดังนั้นจึงจองโต๊ะไว้ที่ ‘หงส์ระบำ’


เถ้าแก่ของหงส์ระบำคือหงส์ตัวหนึ่ง บิดาเป็นพาหนะให้โอรสคนที่สามของอวี้ตี้ หลังจากนางแต่งงานไปแล้วก็อาศัยชื่อของหงส์เฒ่าเปิดภัตตาคารขึ้น ภัตตาคารมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง อาหารทำได้ดี มู่จิ่วรู้ว่าหากไม่มีหลิวจวิ้นก็คงไม่มีนางในวันนี้ ดังนั้นจึงต้องตอบแทนเขาดีๆ


อย่างไรหลังจากนางเลื่อนตำแหน่ง ทุกเดือนนอกจากได้สวัสดิการแล้ว ยังได้เงินเดือนเป็นเหรียญหยกห้าร้อยเหรียญ เชิญมากินข้าวยังไงก็พออยู่แล้ว


“เจ้าคงไม่ร่วมดื่มเหล้ากับพวกผู้ชายเหล่านั้นกระมัง?” ตอนกินข้าวเช้า ลู่ยาคีบก้อนข้าวเหนียวพลางเหลือบมองนาง


มู่จิ่วรู้สึกว่าเรื่องที่เขาถามออกจะแปลกประหลาด “ในเมื่อข้าเป็นเจ้ามือ ทำไมข้าถึงดื่มเหล้าไม่ได้”


สีหน้าของลู่ยาไม่ค่อยน่าดูนัก “หญิงสาวคนหนึ่งดื่มเหล้ากับผู้ชายจะเหมาะสมได้อย่างไร” เขาก็ไม่รู้ด้วยว่านางคอแข็งขนาดไหน ล้วนเป็นผู้ชายทั้งนั้น หากพวกเขาลงไม้ลงมือขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถึงแม้ไม่ลงมือ พูดจาสองแง่สองง่ามก็ไม่ดีแล้ว


มู่จิ่วรู้สึกว่าน่าหัวเราะ นี่มีอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสมกัน? นางก็ไม่ใช่พวกเชื่อถือคำสอนของสำนักขงจื่อ คนทำงานด้วยกันร่วมดื่มเหล้าไม่ใช่ว่าปกติมากหรอกหรือ


ลู่ยากินก้อนข้าวเหนียวจนหมด ก่อนพูด “มิสู้ข้าไปด้วยจะดีกว่า” เขามองนาง


“นั่นจะได้อย่างไร?” มู่จิ่วปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “คนที่ข้าเชิญล้วนเป็นคนในหน่วย เจ้าไปด้วยพวกเขาจะไม่สบายใจกัน”


คนเขาจะไม่สบายใจกันเพราะเขาเป็น ‘คู่หมั้น’ ของนาง ที่นางไม่สบายใจเพราะเขาเป็นเทพเซียนสูงส่ง คนอื่นไม่รู้จักฐานะเขา หากพูดอะไรไม่ดีด้วย อีกเดี๋ยวเขาจัดการเอาเรื่องคงไม่ดีนัก


ลู่ยาก็คิดหาเหตุผลมายืนกรานไม่ได้ พูดตามจริง หากให้เขาไปเฝ้าจริงๆ เกรงว่าคนจะกลัวจนวิ่งหนี


จึงเหลือบมองนางอย่างเย็นชา พูดว่า “เช่นนั้นเจ้าพาอาฝูไป”


ยังไงก็ต้องมีคนคอยเฝ้านาง


มู่จิ่วส่งเสียงรับคำ นี่ค่อยยังชั่วหน่อย ทุกคนรู้จักอาฝู อาฝูก็เป็นเสือที่มีชื่อในทัพทหารสวรรค์ด้วย นับได้ว่าเป็นคนกันเองครึ่งหนึ่ง


หลังกินข้าวเสร็จ นางนำรายการอาหารให้เสี่ยวซิงไปส่งให้เถ้าแก่หงส์ ไหนเลยจะรู้ว่าอาฝูกินไม่อิ่ม กัดกางเกงเสี่ยวซิงอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย นางจึงทำได้เพียงนำไปส่งที่หงส์ระบำเอง


ภัตตาคารของเถ้าแก่หงส์อยู่ที่บริเวณจุ้ยอวี้ ด้านนอกด้านในสามชั้น หน้าประตูเป็นป้ายชื่อขนาดใหญ่ รอบๆ ป้ายชื่อเต็มไปด้วยต้นไผ่และป่าต้นอู๋ถง เมฆหมอกลอยไปมาช่างงามปราณีตยิ่งนัก ได้ยินว่าห้องส่วนตัวหนึ่งห้องมีหนึ่งโต๊ะ ทั้งหมดสามสิบหกห้อง ห้องรับรองระดับสองสองห้องต่อหนึ่งโต๊ะ มีทั้งหมดสิบแปดห้อง ห้องรับรองระดับหนึ่งสองโต๊ะต่อหนึ่งลาน มีทั้งหมดเก้าส่วน และห้องรับรองระดับพิเศษ หนึ่งลานจะมีหนึ่งโต๊ะ รวมมีสามส่วนด้วยกัน อันที่จริงสถานที่นี้ไม่สามารถใช้คำว่าภัตตาคารมาเรียกได้แล้ว


………………………………………………………




บทที่ 134 หยกประหลาด

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วเข้าประตู มุ่งตรงไปยังลานล้อมด้วยกำแพงขาวทางทิศตะวันออกที่มีสามห้อง นี่คือห้องทำงานสำหรับเหล่าผู้ดูแลร้าน และเป็นที่ที่เถ้าแก่หงส์นั่งทำงานอยู่เป็นประจำ


เพิ่งเดินเข้าไปตามทางป่าไผ่หลายจั้ง ตรงมุมด้านหน้าพลันมีเสียงพูดคุยดังมา ฟังแล้วเป็นเถ้าแก่หงส์ กำลังจะทักทาย กลับได้ยินอีกฝ่ายพูด “ตระกูลอวิ๋นกับตระกูลกงของพวกเราไม่เหมือนกัน ถึงแม้ล้วนเป็นหงส์ แต่ตระกูลอวิ๋นทุกสามพันปีต้องผ่านเคราะห์ไฟหนึ่งครั้ง ดังนั้นตอนนี้ตระกูลพวกเขาในรุ่นเดียวกันและชนรุ่นหลังจึงมีไม่ถึงสามคน คราวนี้ไม่รู้ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นจะผ่านไปได้หรือไม่!”


มู่จิ่วได้ยินนางกำลังคุยเรื่องซุบซิบ ไม่อาจส่งเสียงออกไป จึงถอยหลังกลับไปหลายก้าว


ตอนนี้เองอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา “หลายปีมานี้ตระกูลอวิ๋นไม่ราบรื่น ก่อนอื่นมีแม่นางกูเป็นภรรยาน้อย ไม่ง่ายนักกว่าจะเลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่ ใครจะรู้ว่าไม่อยู่แล้ว ลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นคนนี้ไม่เลวนัก น่าเสียดายร่างกายไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าขึ้นสวรรค์ไปคราวนี้จะได้เจอผู้ช่วยเหลือหรือไม่”


คนที่พวกเขาพูดถึงมู่จิ่วไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว


นางถอยไปยังระยะห่างที่หลีกเลี่ยงข้อสงสัยได้ จึงค่อยส่งเสียงออกไป “เถ้าแก่หงส์อยู่หรือไม่?”


ตอนนี้ป่าไผ่เงียบสงัด จากนั้นมีหญิงงามนุ่มนวลแต่งหน้าจัดค้อมตัวยื่นศีรษะออกมาจากหลังป่าไผ่ ครั้นเห็นมู่จิ่ว รอยยิ้มบนใบหน้าคลี่ออกราวกับดอกโบตั๋นบาน “ที่แท้เป็นท่านกัวนี่เอง! วันที่ร้อนขนาดนี้ท่านกลับมาด้วยตัวเอง รีบเข้ามานั่งดื่มชาพักเท้าข้างในห้องเร็ว!”


เถ้าแก่หงส์เกิดมาเป็นคนค้าขายโดยแท้ มู่จิ่วเป็นเพียงผู้บัญชาการระดับหกเล็กๆ เท่านั้น แต่นางกลับมองเป็นเทพเซียนสูงส่ง อยู่ต่อหน้าคนแบบนี้ เงินในกระเป๋าไหนเลยจะเก็บได้อยู่? และนางมีดวงตาใสกระจ่างฟันขาว เมื่อแย้มยิ้มลักยิ้มทั้งสองและเขี้ยวเล็กๆ คู่หนึ่งล้วนเผยออกมา มองดูแล้วสบายใจยิ่งนัก


มู่จิ่วพบเถ้าแก่หญิงที่รู้จักวางตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมดีใจ นางเดินไปด้านหน้าเถ้าแก่หงส์ พูดกับนางพลางยิ้ม “ท่านเกรงใจไปแล้ว ข้านำรายการอาหารมาให้ ท่านคงไม่ลืมว่าคืนนี้ข้าจองห้องไว้ห้องหนึ่ง”


“ท่านกัวเพิ่งเลื่อนตำแหน่ง ตั้งใจมาที่ร้านข้าเพื่อจัดงานเลี้ยงเลื่อนขั้น ข้าจะลืมได้อย่างไร? แต่เช้าได้จัดการให้คนเก็บกวาดหอจันทร์เสี้ยวไว้แล้ว เพียงรอท่านและพวกพ้องมาสังสรรค์ยามค่ำคืน!”


เถ้าแก่หงส์พูดพลางนำนางเข้ามาในห้อง เรียกกระเรียนน้อยมารินชาให้


มู่จิ่วออกจากภัตตาคารมุ่งตรงกลับบ้าน พรุ่งนี้หมดเวลาลาพัก ต้องกลับไปรายงานตัวที่หน่วย นางเก็บกวาดสักหน่อยค่อยพักผ่อน ก็ถึงเวลากลางคืนแล้ว พอดีพวกเฉินอิงอาศัยอยู่ที่ตรอกแปดเซียนแห่งนี้เช่นกัน พวกเขาร้องตะโกนอยู่ที่หน้าประตู นางจึงพาอาฝูเดินไปยังภัตตาคารหงส์ระบำกับพวกเขา


หอจันทร์เสี้ยวที่เถ้าแก่หงส์จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาอยู่บนไหล่เขา แบ่งเป็นสูงต่ำสองส่วน ส่วนที่สูงมีเก๋ง ส่วนที่ต่ำเป็นแท่น รอบแท่นกลับล้อมรอบด้วยน้ำมรกต ตรงกลางหลุบลงไป มีโต๊ะกลมสองตัวตั้งอยู่ ส่วนบนแท่นมีทางลอดผ่านตรงกลางน้ำมรกต มุ่งตรงออกไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่รอบนอก


สงบเงียบเย็นสบายเช่นนี้ ช่างเป็นที่ที่ดีเสียจริง


หลังจากเหล่ากระเรียนน้อยเข้ามาทักทายแล้ว ไม่นานแต่ละคนก็มากันตามลำดับ หลิวจวิ้นมาถึงช้าที่สุด ที่นี่นับว่าเขาใหญ่สุด แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครว่าอะไรเขา แต่วันนี้เขากลับดูเหมือนใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะมู่จิ่วเตือนเขาถึงสองคราว่ากระบี่วางไว้ด้านข้างได้เขาก็ไม่ได้ยิน จนนางเข้าไปใกล้จึงตอบรับมาคำหนึ่ง แล้ววางกระบี่ลง


ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน ทุกคนเห็นหลิวจวิ้นให้หน้าแก่มู่จิ่วอยู่มาก จึงดื่มเหล้าอวยพรสองครั้ง อารมณ์ของหลิวจวิ้นถึงค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย


มู่จิ่วมียาเซียนสร่างเมาระงับไว้อยู่ ไม่กลัวว่าจะดื่มเยอะไป แต่หลิวจวิ้นดูแลอย่างดี สั่งไม่อนุญาตให้ทุกคนชวนนางดื่มเหล้า ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ด้านข้างนางจึงทำได้เพียงนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน


คนข้างๆ ชวนหลิวจวิ้นดื่มเหล้าไม่ขาดสาย เป็นเทพเซียนคิดจะดื่มจนเมาไม่ง่ายนัก งานเลี้ยงผ่านไปถึงครึ่งหนึ่งเขาก็ลุกออกไปเพื่อขับไอเหล้า เป้าหมายของทุกคนจึงเปลี่ยนไปยังเฉินอิงและผู้บัญชาการอีกสิบเอ็ดคนแทน บรรยากาศงานกินเลี้ยงสังสรรค์ที่คึกคักนี้กลับดูสมานฉันท์ยิ่ง


มู่จิ่วเห็นอาฝูน้ำลายไหลยาวเป็นจั้ง จึงลุกขึ้นไปป้อนอาหารเขา


เมื่อมาถึงสวนดอกไม้เล็ก เห็นหลิวจวิ้นจับภูเขาจำลองไว้ ใจลอยมองน้ำใต้หินอย่างเงียบๆ ใบหน้าด้านข้างดูเศร้าซึม ไม่ใช่อารมณ์โกรธฉุนเฉียวที่มักเห็นบ่อยๆ และก็ไม่เห็นความจู้จี้จุกจิกด้วย มู่จิ่วไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของเขามาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้าไปทักหรือทำเป็นไม่เห็นดี


“หงิง หงิง…”


นางกำลังลังเล อาฝูกลับพุ่งเข้าไปอย่างกระตือรือร้น


หลิวจวิ้นหันกลับมา เห็นอาฝูที่พัวพันเท้าเขาก่อน จากนั้นค่อยเห็นมู่จิ่ว


มู่จิ่วรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เหมือนกับตนแอบเห็นความลับของเขาเข้า จึงกระแอมไอเล็กน้อยก่อนหัวเราะพูด “อาฝูเด็กคนนี้อยู่ไม่นิ่ง ข้ากลัวเขาวิ่งหนีหายไป ดังนั้นจึงตามออกมา”


หลิวจวิ้นมองนางคราหนึ่ง นั่งลงไปบนหิน ลูบศีรษะอาฝูพลางพูด “ระยะนี้เด็กคนนี้ฉลาดขึ้นไม่น้อย เป็นผลงานของลู่หยาใช่หรือไม่? ซ่านเซียนที่สามารถสั่งสอนเสือขาวได้อย่างเขามีไม่มากนัก”


มู่จิ่วหวั่นเกรงขึ้นมา ไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำได้เพียงกล่าวว่า “อาฝูเป็นสัตว์เทพ และแต่เดิมก็ฉลาดอยู่แล้ว”


หลิวจวิ้นมองนางแล้วเอ่ย “ราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวดูเหมือนจะเคารพเขามากเสียด้วย”


หน้าผากมู่จิ่วมีเหงื่อซึม นางยิ้มแห้งพูด “ราชาจิ้งจอกผู้นั้น…แต่ก่อนข้าเคยพูดกับท่านแล้ว ตอนข้าอยู่ชิงชิวมีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่เลวนัก บางทีอาจเพราะเหตุนี้เขาเลยเป็นแบบนั้น”


หลิวจวิ้นมองนางอย่างล้ำลึก นางยิ่งรู้สึกไม่สงบเหมือนมีปลายแหลมทิ่มแทงหลัง ลู่ยาพ่อหนุ่มคนนี้ ต้องการให้นางรักษาความลับ ตัวเองกลับไม่ระวังสักหน่อย นี่มิใช่ตั้งใจให้นางช่วยโกหกหรือ!


ดีที่หลิวจวิ้นไม่ได้ไล่ถามอีก และมองน้ำนั่นต่อขณะพูด “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่สักพัก”


มู่จิ่วรับคำ รีบเรียกอาฝูเดินเข้าไปกินข้าวในห้องตรงสวนดอกไม้


แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นหลิวจวิ้นเป็นแบบนี้ ความเศร้าบนใบหน้าเขาต่างจากภาพลักษณ์ในใจที่นางมีต่อเขาราวเป็นคนละคน หรือเขาจะมีเรื่องลำบากใจ? แต่ไม่มีเหตุผลเลย เขาเป็นขุนนางลำดับสามของสวรรค์แล้ว ทั้งยังดูแลจัดการหน่วยที่สำคัญ ประสบการณ์มากมาย การวางตัวการปฏิบัติตนล้วนสำรวม ที่สำคัญคือไม่มีครอบครัว เขาจะมีเรื่องลำบากใจอะไร?


นางอดไม่ได้ มองยังที่ที่เขาเคยนั่งมากอีกหน่อย


มองครั้งนี้พบเจอสิ่งของนอนส่องสว่างอยู่ใต้หิน


นางรีบเข้าไปคุกเข่าดู กลับเป็นหินหยกธรรมดาก้อนหนึ่ง ไม่ได้สลักอะไรไว้ เหมือนกับกรวดที่เห็นได้ตามริมแม่น้ำทั่วไป แต่หินนี้กลับโปร่งแสงกึ่งหนึ่ง ตรงกลางยังมีเงาเส้นสีเขียวขดอยู่


นี่ต้องไม่ใช่หินปกติแน่ หินปกติตรงกลางทำไมถึงมีผมฝังอยู่?


ชัดเจนว่าหลิวจวิ้นเพิ่งทำตกไว้


นางมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของเขาแล้ว จึงหยิบมันขึ้นมาก่อนกลับไปยังโต๊ะ


เหล่าคนที่โต๊ะสังสรรค์ก็กินไปสักประมาณหนึ่งแล้ว หลิวจวิ้นกับเฉินอิงกำลังคุยอะไรอยู่ ท่าทางขมวดคิ้วตั้งใจฟังต่างกับเมื่อครู่นี้เป็นคนละคน


ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ มู่จิ่วไม่เหมาะจะคุยกับเขาเรื่องทำของหล่น ตอนนี้จึงเก็บหินไว้ก่อนชั่วคราว


………………………………




บทที่ 135 สวัสดีใต้เท้า

โดย

Ink Stone_Romance

คืนนี้ไม่มีโอกาสคืนหินให้เขา


เช้าวันถัดมานางไปที่ห้องทำงานของเขาในหน่วยก่อน วางหินไว้บนโต๊ะ ก่อนพูด “เมื่อคืนใต้เท้าทำของตกไว้ ข้าเก็บมาให้ท่านเจ้าค่ะ”


หลิวจวิ้นมองดูหินนั้น สายตาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ของข้า”


“ไม่ใช่ของท่าน?” มู่จิ่วอึ้งไป นี่ไม่ใช่ของเขาได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่ตกไว้หลังจากเขาไป! “ใต้เท้า มิใช่ว่าท่านพบเจอเรื่องลำบากอะไรหรอกนะ? ของชิ้นนี้แค่มองก็รู้ว่าสำคัญ ท่านพูดได้อย่างไรว่าไม่ใช่ของท่าน? มีเรื่องลำบากก็เพียงแค่พูดออกมา ทุกคนสามารถช่วยท่านแก้ไขได้!”


เส้นผมอะไรก็ตาม เพียงดูก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวรักใคร่ ยิ่งบวกกับท่าทางของเขาเมื่อคืน หากไม่ใช่หนักใจเรื่องความรัก ทำไมถึงได้กังวลหนักแบบนั้น? มีคนรักแล้วก็มีสิ กลับยังไม่กล้ายอมรับ!


“มันไม่ใช่ของข้าอยู่แล้ว!”


หลิวจวิ้นได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา พูดแล้วว่าไม่ใช่ของเขายังยัดเยียดให้เขาอีก กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ!


“ใต้เท้า เมื่อคืนข้าเห็นกับตาตนเองว่าท่านอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ของท่านจะเป็นของใคร?” มู่จิ่วไม่สนใจข้ออ้างของเขา ในสวนดอกไม้ของหอจันทร์เสี้ยว ถึงแม้ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องรับรองอื่น แต่อย่างไรที่ที่เก็บหินได้ก็เป็นทางพวกเขา ถึงแม้เป็นคนอื่นเดินมาทำตกไว้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาตกอยู่ฝั่งพวกเขา?


“เจ้ายังต้องให้ข้าพูดสักกี่ครั้ง!” หลิวจวิ้นวางแก้วชาลงอย่างหนัก สติแตกแล้ว “ข้าไม่ใช่พวกสาวๆ หยิบหินฉูดฉาดมาทำอะไร? แล้วยังมาพูดส่งเดชที่นี่ ยังไม่รีบไปทำงานอีก? เจ้าคิดว่าในหน่วยไม่มีอะไรให้ทำแล้วใช่หรือไม่?”


พูดจบก็นำหินนั่นวางกลับไปบนมือนาง เหลือบมองนางพลางเดินออกไป


มู่จิ่วอึ้งงันจริงๆ พูดแบบนี้คือไม่ใช่ของเขาจริงหรือ? แต่ถ้าไม่ใช่ของเขาจะเป็นของใคร?


นางก้มหน้ามองเส้นสีเขียวภายใน เก็บมันเข้ากระเป๋าเล็กไปด้วยอับจนหนทาง


เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีของทั้งสามภพโดยตรง ดังนั้นกลุ่มถิงเว่ยจึงตั้งอยู่หน้าสุดของทัพทหารสวรรค์ ใกล้ฝั่งถนน


สิบสองกองใช้สิบสองนักษัตรเป็นชื่อ คดีผลัดกันนำแก้ไข มู่จิ่วอยู่กองกระต่าย ห้องทำงานคือเรือนเล็กๆ มีสามห้อง นอกจากนางที่เป็นผู้บัญชาการ ยังมีรองผู้บัญชาการอีกสองคน เจ้าหน้าที่บันทึกสองคน และเจ้าหน้าที่ราชการยี่สิบสี่คน


รองผู้บัญชาการคนหนึ่งชื่อหลี่อี้ คนหนึ่งชื่อถงกวง ล้วนเป็นผู้ช่วยทำคดี ส่วนเจ้าหน้าที่บันทึกสองคนเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งชื่อหลิวหวน คนหนึ่งชื่อหลิวอวี่ ทำหน้าที่บันทึกและจัดการเรียงลำดับบันทึกคดี เหล่าเจ้าหน้าที่ราชการที่เหลือก็คอยรับคำสั่งของมู่จิ่ว กระฉับกระเฉงมาก


นางเพิ่งเข้าประตูลานไป ก็เห็นเพียงคนในลานเรียงแถวสองกลุ่มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับกองทหาร คนหน้าสุดสองคน คนหนึ่งขาวคนหนึ่งดำ คนผิวดำหน้าเหลี่ยม มุมปากตกลง ราวกับเกิดมายิ้มไม่เป็น ส่วนคนขาวยิ้มตาหยีเหมือนพระสังกัจจายน์ มู่จิ่วเพิ่งจะก้าวเท้าหน้าเข้าไป เขาก็เดินขึ้นมารับ “ยินดีต้อนรับใต้เท้าเข้ารับตำแหน่ง!”


คนด้านหลังก็ค้อมตัวทำความเคารพ เสียงสูงจนดังไปถึงข้างบ้านแล้ว!


มู่จิ่วประสานมือรับ “พวกเจ้าทำอย่างนี้ทำไม? เดี๋ยวคนเข้าใจว่าข้าก่อกบฎ!”


ถงกวงหน้าขาวก้าวเข้ามา ยิ้มตาหยีพูด “ถ้าเช่นนั้นเชิญใต้เท้าด้านใน”


มู่จิ่วมองพวกเขาโดยไร้คำพูด จากนั้นเข้าไปในเรือนตรงกลางที่ค่อนข้างใหญ่


นางรู้แผนผังการทำงานของกลุ่มถิงเว่ย ตรงกลางเป็นผู้บัญชาการ ทางซ้ายเป็นรองผู้บัญชาการ ด้านขวาเป็นเจ้าหน้าที่บันทึกคดี


บนโต๊ะทำงานในห้องของนางยังมีถาดผลไม้และขนมหลายอย่างวางอยู่ ทั้งยังมีแก้วที่รินชาไว้อย่างดีในอุณหภูมิเหมาะสมด้วย!


คนเหล่านี้ เจตนาประจบเอาใจชัดเจนไปแล้วกระมัง?


แต่การประจบเอาใจเหล่านี้ก็เท่ากับทำเสียเปล่า นางไม่ใช่ศิษย์ลัทธิฉ่าน สามารถอาศัยคดีชิงชิวเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการก็โชคดีมากแล้ว หรือพวกเขาเข้าใจว่านางมีผู้สนับสนุนที่ไม่อาจดูแคลนได้ และสามารถทำให้พวกเขาเลื่อนตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว?


แต่นางก็ไม่เปิดเผยออกมา อยู่ทัพสวรรค์มานานขนาดนี้ ธาตุแท้ที่นี่เป็นอย่างไรใจนางยังรู้ดี


“เอาละ ความมีน้ำใจของทุกคนข้ารู้แล้ว ภายหลังทุกคนเดินหน้าไปด้วยกัน หวังว่าจะไม่มีใครคอยถ่วงกัน ถ้าหากมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เป็นผลงานของทุกคน”


นางไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเพื่อซื้อใจคน พูดตามพิธีรีตองหลายประโยคก็ส่งพวกเขาออกไป


จากนั้นหยิบหินก้อนหนักออกมาจากกระเป๋าเล็ก สุ่มวางเข้าไปในลิ้นชัก จากนั้นพลิกดูสองคดีซึ่งวางอยู่บนโต๊ะแล้ว


คดีที่กลุ่มถิงเว่ยรับมาทั้งหมดไม่ได้เป็นคดีอะไร คดีที่สามภพส่งมาถึงทัพทหารสวรรค์ก็มีน้อยนัก อย่างเช่นคดีชิงชิวที่มีความชัดเจนมาก หากคราวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารคนลัทธิฉ่าน แล้วนางไปพบเข้าพอดี ก็ไม่แน่ว่าเรื่องจะมาถึงสวรรค์ได้


ดังนั้นคดีที่รับมาได้จึงมีเพียงเรื่องเล็กน้อย บ้านใครทำของหาย บ้านใครถูกคนตีเข้า บ้านใครมีภรรยาน้อยอะไรแบบนั้น สรุปคือเรื่องไม่สำคัญ จุกจิกหยุมหยิมอย่างมาก


ฝั่งนางรีบเริ่มต้นทำงาน ทางชิงชิค่อยๆ เงียบไป จิ้งจอกเก้าหางถึงแม้สังหารคนลัทธิฉ่านไปไม่น้อย แต่จะโทษพวกเขาทั้งหมดไม่ได้ ตอนนี้ความจริงของคดีปรากฏแล้ว หวังหมู่ถ่ายทอดคำสั่งด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรให้เห็นแก่ที่แต่ก่อนพบหน้าอยู่ในวังหนี่ว์วาบ่อยๆ ไท่ซ่างเหล่าจวินจึงย่อมไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแน่นอน


ส่วนความสงสัยที่เหลือในคดีอู่เต๋อกลับกลายเป็นร่องรอยที่เหมือนมีเหมือนไม่มี จมอยู่ในใจสลัดไปไม่พ้น แต่ตอนนี้ไม่ได้กระทบจุดสำคัญแล้ว


หลังออกจากสวรรค์ไปแล้ว ราชาจิ้งจอกมุ่งไปยังวังจิตกระจ่าง เรื่องดำเนินไปอย่างไรไม่ต้องกล่าวถึงก็รู้ได้


แต่ทางแรกพยับเป็นอย่างที่หลินเจี้ยนหรูคาดการณ์ไว้ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว จีหมิ่นจวินร้องโวยวายต้องการไปชิงชิวเพื่อคิดบัญชี หัวชิงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อน เพราะคราวก่อนนางก่อวาจาวิวาทที่ชิงชิวจนเกือบทำให้ทั้งแรกพยับลำบาก อีกอย่างเขาสงบลงเพราะคิดว่าจิ้งจอกแดงแท้จริงไม่มีความจำเป็นต้องโกหกกัน ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงท่าทีออกไป


หลินเจี้ยนหรูไม่รู้สถานการณ์ของแรกพยับชัดเจนนัก แต่ก็สามารถเดาได้สักแปดเก้าในสิบส่วน


ตอนนี้เขายังปฏิบัติงานอยู่ในหน่วย ระหว่างวันยิ้มแย้มแจ่มใสติดต่อกับผู้คน แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวายอยู่บ้าง


ตอนมู่จิ่วเลิกงาน นางบังเอิญเจอเขาที่ประตูทัพทหารสวรรค์


“ช่วงนี้ดูแล้วเจ้ายุ่งนัก ไม่เห็นเจ้าเลย” มู่จิ่วพูด ถึงแม้นางไม่ได้ชวนเขามากินข้าว กลับยังคิดจะขอบคุณเขาเสียหน่อย ที่จริงตอนแรกที่ดิ้นรนเอาคดีนี้มาจากมือหลิวจวิ้น เขาก็ช่วยนางไว้ไม่น้อยเลย


เขายิ้มๆ “เป็นเรื่องเล็กน้อย”


สบายดีหรือไม่เขาก็ไม่พูด มู่จิ่วจึงทำได้เพียงกล่าว “จัดการเสร็จหรือยัง?” นางยังคงไม่ลืมเรื่องที่เขาสังหารบิดา


“น่าจะเสร็จแล้วกระมัง” แววตาเขานิ่งสงบ ยกปากยิ้ม


เหลียงชิวฉานกับจีหย่างฟางกลับแรกพยับไปแล้วสามวัน ตามหลักเหตุผลควรกลับมาได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับยังไม่เห็นเงา บอกว่าไม่กังวลคงไม่ใช่ แต่เขาก็ไม่กล้ากลับไปยังแรกพยับ ถึงแม้เขาควบคุมเรื่องการตัดสินใจของเหลียงชิวฉานไว้อยู่หมัด แต่กลับไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาด หากหัวชิงมองนางออก หรือนางปิดไม่มิดแพร่งพรายออกไปเล่า?


…………………………………………




บทที่ 136 เจ้าทำสำเร็จแล้ว?

โดย

Ink Stone_Romance

หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าแบบนี้มีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีวิธีอื่น ตอนนี้เขาไม่อาจกลับแรกพยับได้ หากกลับไปต้องปิดเรื่องที่พลังฤทธิ์เพิ่มขึ้นและเลื่อนขั้นขึ้นสองขั้นไม่อยู่แน่ เขากลัวว่าพวกเขาจะสืบหาจนถึงที่สุด


มู่จิ่วดูออกว่าใจเขาไม่อยู่กับตัว ดังนั้นจึงถาม “เพราะเรื่องหลินเซี่ยหรือ?”


สีหน้าหลินเจี้ยนหรูซึมเซา มองนางโดยไม่พูดอะไร


มู่จิ่วเห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองทายถูก มองดูซ้ายขวาไม่มีคน ก็ขมวดคิ้วถามเขา “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”


“ยังจะทำอะไรได้อีก?” เขาหลีกเลี่ยง “ข้าทำได้เพียงหาทางหยุดยั้งไม่ให้แรกพยับไปชิงชิว”


พูดจบไม่รอมู่จิ่วตอบ เขารีบพูดอีก “ใช่แล้ว ยังไม่ได้ยินดีกับเจ้าเลย ในที่สุดก็สามารถบอกลาสหายร่วมบ้านได้แล้ว หยางอวิ้นกับอวี๋เสี่ยวเหลียนไม่สามารถมาก่อกวนเจ้าได้อีก คิดแล้วก็ดีใจแทนเจ้า ชินเรื่องในหน่วยงานหรือยัง?”


ไม่รู้ทำไม เรื่องอื่นรวมถึงเรื่องสังหารหลินเซี่ยเขาสามารถบอกนางตรงๆ ได้ทั้งหมด แต่เรื่องที่เขาข่มขู่เหลียงชิวฉานไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้นางรู้ เขาไม่อยากให้นางเห็นด้านต่ำทรามของเขา…ไม่ผิด เขารู้และยอมรับว่าตนเองต่ำทราม ถึงแม้เขาไม่เสียใจภายหลัง แต่ยังคงไม่อยากให้นางเห็นเรื่องเหล่านี้


“อ้อ ยังดี” เขาไม่พูด แน่นอนว่ามู่จิ่วก็ไม่สืบสาวต่อ เพียงแค่ถามต่อตามเรื่องราว “แต่เรื่องเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ข้ายังต้องค่อยๆ ปรับตัวถึงจะตามผู้บัญชาการท่านอื่นได้ทัน”


“นั่นจะเป็นปัญหาอะไร? เจ้าต้องทำได้แน่” เขาพูดอย่างมั่นใจ คำพูดนั้นจริงใจอย่างมาก


นี่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา เหมือนกับที่เขาคิดจะปกป้องแม่แท้ๆ ของเขา เขาหวังว่าต่อไปมู่จิ่วจะยิ่งอยู่ดีมีสุขขึ้นเรื่อยๆ


มู่จิ่วก็ยิ้มเช่นกัน พอดีมีสหายร่วมหน่วยเดินเข้ามาทักทายหลินเจี้ยนหรู นางจึงถือโอกาสบอกลา


ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าเขาทุกข์ใจเรื่องการสังหารหลินเซี่ย แต่กลับไร้ความสามารถจะช่วยเหลือ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ยอมพูดอะไรด้วยเลย


หลินเจี้ยนหรูแยกกับมู่จิ่วก็กลับไปลานสนเขียว


เหลียงชิวฉานกลับมาช้าทำให้เขากังวลใจ คำถามของมู่จิ่วเพิ่มความไม่แน่ใจให้เขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาต้องอาศัยตอนกลางคืนออกไปดูเสียหน่อย


ตะวันตกดินไปอย่างรวดเร็วจากที่ไกลๆ รอจนแสงเส้นสุดท้ายลาลับไป เขาเปลี่ยนเสื้อคลุม หยิบกระบี่ และหยิบดอกบัวกลีบม่วงใบสุดท้ายกินเข้าไป จากนั้นเตรียมตัวออกเดินทาง


อย่างไรก็ตาม มือเพิ่งยื่นออกไปจับด้ามจับ ประตูกลับถูกผลักเปิดออก คนคนหนึ่งพุ่งเข้ามาราวกับพายุ จากนั้นตรงไปฟุบลงบนโต๊ะกลมและหอบหายใจเฮือกใหญ่…เป็นเหลียงชิวฉาน!


หลินเจี้ยนหรูใจเต้นกระตุก รีบหมุนตัวไปปิดประตู แล้วพูด “ศิษย์พี่เป็นอะไรไป?”


เหลียงชิวฉานกุมอก ทำเสียงขย้อนออกมาหลายคราก่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างและว่างเปล่า ใบหน้าที่แต่ก่อนเต็มสมบูรณ์ เพียงไม่กี่วันกลับซูบเซียวลง เนื้อทุกส่วนบนใบหน้ากำลังสั่น เส้นผมข้างแก้มก็เปลี่ยนเป็นสีขาว ดูไปแล้วราวกับคนที่ประสบกับการจมน้ำมา!


“จีหย่งฟาง นางถูกจับลงหลุมตัดวิญญาณแล้ว…”


สายตาของนางทอดลงบนหน้าเขา สองมือจับริมโต๊ะแน่น น้ำเสียงเย็นเยียบและแหบแห้ง เหมือนกับวิญญาณมืดปีนออกมาจากลำคอ “ข้าถูกเจ้ากดดันจนกลายเป็นฆาตกร หลินเจี้ยนหรู เจ้าพอใจหรือยัง? เจ้าพอใจหรือยัง!”


นางร้องลั่นอย่างหวาดผวา ยกมือขึ้นพลิกโต๊ะคว่ำลงไปกับพื้น จากนั้นสองมือโผไปจับสาบเสื้อเขาไว้ ฟันที่ขบแน่นและใบหน้าที่สั่นไหวดูแล้วเหมือนนางอยากกินเขาทั้งเป็น “เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน เจ้ามารร้าย! ปีศาจที่กินคนไม่คายกระดูก[1]!”


เสียงลอดไรฟันของนางออกมา ความเย็นเยียบปะทะเข้าใส่ใบหน้าเขา


เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ติดอยู่ปลายจมูกนาง พูดเสียงเบาว่า “พูดแบบนี้ ศิษย์พี่ทำสำเร็จแล้ว?”


เหลียงชิวฉานราวกับเสียสติไปแล้ว มือที่วางอยู่บนคอเขาออกแรงบีบขณะร้องตะโกน


หลินเจี้ยนหรูไม่ได้ปัดป้อง เขาใช้สองมือพยุงพื้นไว้พลางมองเหลียงชิวฉาน


นางทำสำเร็จแล้ว!


นางทำให้จีหย่งฟางเข้าหลุมตัดวิญญาณไปแล้ว!…ไม่สิ เป็นหัวชิงที่ทำ หลุมตัดวิญญาณไม่ใช่สถานที่ธรรมดา นั่นเป็นที่ที่สมัยก่อนแรกพยับใช้ลงโทษคนในสำนักที่กระทำผิด ทั้งยังเป็นเขตหวงห้าม หากไม่มีพลังสูงกว่าผู้อาวุโส ไม่เพียงไม่สามารถนำคนเข้าไป แม้แต่เข้าใกล้ยังทำไม่ได้ นี่แสดงว่าจีหย่งฟางต้องถูกมองเป็นฆาตกรแล้วได้รับการลงโทษเป็นแน่


เขาผ่อนคลายลง ที่แท้การเลือกของเขาถูกต้องแล้วจริงๆ


เขาคลายมือของนางออก ลงไปนั่งลูบใบหน้านางที่ยังสั่นเทาและโกรธแค้นอยู่ “นิ่งเสียศิษย์พี่ ศิษย์พี่ต้องเหนื่อยแล้ว” เขาลูบไหล่นางเบาๆ เหลียงชิวฉานคิดจะปฏิเสธ แต่ความเหนื่อยล้าทำให้นางไร้เรี่ยวแรง ทว่าความโกรธในใจนางจะจางหายไปได้อย่างไร? กำปั้นของนางร่วงลงบนร่างของเขาเหมือนกับฝน ฟันกัดอยู่บนหัวไหล่ ทั้งยังร้องไห้ตะโกนไปด้วย


เป็นแบบนี้ไปชั่วครู่หนึ่งนางก็เหนื่อย สองมือกุมอกขย้อนออกมา


หลินเจี้ยนหรูโอบนางพลางลูบผมนาง


ในที่สุดเหลียงชิวฉานก็หยุดผะอืดผะอมเปลี่ยนเป็นสะอื้นไห้ ทรุดลงไปนั่งกอดเข่าบนพื้น


หลินเจี้ยนหรูหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง และลุกขึ้นรินน้ำให้


นางนิ่งอึ้งก่อนรับไว้ในมือ มองน้ำในแก้วไม่ขยับเขยื้อน


หลินเจี้ยนหรูไม่ได้เซ้าซี้ เพียงคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าแล้วจึงนางถาม “เรื่องนี้ศิษย์พี่ทำได้อย่างไร?”


“ข้าอาศัยตอนอาจารย์ไปจัดการเรื่องอาจารย์อาสี่ที่ยอดเขาคุ้มมรกต ขโมยมหาโอสถทองออกมาหนึ่งเม็ด แล้วใส่เข้าไปในกาน้ำชาของจีหย่งฟาง สองวันหลังจากนั้นนางก็เลื่อนขั้น นางเลื่อนขั้นก่อนกำหนด ทั้งที่ชัดเจนว่าเพิ่งถึงขั้นจินตันได้ไม่นาน นางแอบดีใจด้วยนึกไปว่าฟ้าประทานมาให้ อาจารย์มองปราดเดียวก็รู้ว่าเมฆเคราะห์ของจีหย่งฟางผิดปกติ และสัมผัสถึงมหาโอสถทองในร่างนางเจออย่างสบายๆ”


“ตอนนั้นมหาโอสถถูกนางกลืนกินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นฐานดูไม่ออกว่านางกินเข้าไปนานเท่าไหร่ ตอนนั้นคนที่ข้าเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมายืนยันพอดีว่าวันที่อาจารย์อาตายคืนนั้นนางเข้าไปในห้อง อาจารย์ถามข้า ข้าก็บอกไปตามที่เจ้าพูด…นางสติแตกต้องการฆ่าข้า จึงถูกอาจารย์ตัดชีพจรด้วยมือเดียว จากนั้นก็ถูกจับเข้าไปในหลุมตัดวิญญาณ…”


ลำคอของนางสั่นอย่างถี่รัว มือทั้งสองก็กำหมัดแน่นอยู่ที่เข่า สายตาแสดงออกถึงความกลัว ราวกับเสียงกรีดร้องของจีหย่งฟางตอนเข้าไปในหลุมตัดวิญญาณยังคงอยู่ตรงหน้า


จีหมิ่นจวินเกือบจะลงมือกับหัวชิง แต่หัวชิงก็ยังคงตัดบททำเช่นนี้


แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นเขาเด็ดขาดขนาดนี้ แต่เดิมเขาไม่ใช่คนแบบนี้เลย ว่าตามเหตุผลแล้ว เขาควรจะมีความรอบคอบกว่านี้หน่อย หากไม่ใช่เพราะเขาไม่พอใจจีหมิ่นจวินมานาน นางคงทำไม่สำเร็จ!


“เช่นนั้นศิษย์พี่เอามหาโอสถทองมาได้อย่างไร อาจารย์ลุงเจ้าสำนักไม่สงสัยหรือ?” หลินเจี้ยนหรูถาม


สีหน้าของนางซีดขาว ทั้งร่างสั่นสะท้านขึ้นมาอีก “ข้ากลับไปที่เขาคืนแรกก็นำมหาโอสถทองมาได้แล้ว คืนนั้นอาจารย์ไม่อยู่บนเขาพอดี หลังจากข้านำมาได้แล้วค่อยเข้าประตูสำนักไป ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องสงสัยข้า ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องหนีการสืบเสาะของเขาไม่พ้น!…ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้า!”


นางตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้กลับมาปรากฏบนใบหน้านาง


………………………………………………………………


[1] กินคนไม่คายกระดูก หมายถึง โหดเหี้ยมและหน้าเลือด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)