เทพปีศาจหวนคืน 1329-1331
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1329 การตอบสนองของฟางหยวน
แปลโดย iPAT
พื้นที่ตระกูลจื่อ ในห้องทำงาน
จื่อลิ่วถูกเรียกตัวเข้าพบและหลังจากได้รับคำสั่งจากจื่อซาน เขากล่าวด้วยท่าทางอึดอัดใจ “นายท่าน นั่นจะดีหรือ? ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจื่อของเราและตระกูลวู…ยังค่อนข้างดี อย่างน้อยในสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลวู ตระกูลจื่อก็ควรรักษาความเป็นกลางเอาไว้”
“แล้วอย่างไร? ตระกูลอื่นสามารถเคลื่อนไหว แล้วเหตุใดตระกูลจื่อจะไม่สามารถ!” จื่อซานเริ่มโกรธ
จื่อลิ่วคิด ‘ท่านจื่อซานเป็นเหมือนข่าวลือจริงๆ ข้าควรทำอย่างไร?’
จื่อลิ่วกล่าวต่อด้วยความกังวล “ข้าเข้าใจอารมณ์ของนายท่าน แต่ที่นี่ เรามีภารกิจที่ต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับตระกูลวู หากเราตัดขาดอย่างกะทันหัน…”
จื่อซานตระหนักถึงบางสิ่ง
“โอ้”
“เจ้ากำลังกล่าวถึงธุรกิจซื้อขายโอกาสงั้นหรือ?”
จื่อลิ่วพยักหน้า “นายท่านฉลาดมาก”
ตระกูลวูทำธุรกิจซื้อขายโอกาสเพื่อหารายได้ แต่เหตุใดตระกูลจื่อถึงมองข้ามการกระทำของพวกเขา?
ค่ายกลวิญญาณนี้เป็นของกองกำลังใหญ่ทั้งหมดของภาคใต้ แต่มันถูกจัดตั้งขึ้นโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ
แม้ตระกูลจื่อจะสนับสนุนวิญญาณอมตะเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขายังมีอิทธิพลมากในค่ายกลวิญญาณนี้
ดังนั้นตระกูลวูจึงต้องนำตระกูลจื่อเข้าร่วมในธุรกิจซื้อขายโอกาส หากพวกเขาไม่เข้าร่วม ธุรกิจนี้จะไม่สามารถดำเนินการได้
จื่อซานลอบถอนหายใจและคิด ‘ไม่แปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเคยกล่าวว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจจิตใจของผู้คน เห้อ…จื่อลิ่วเป็นคนของตระกูลจื่อ แต่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เขายังไม่ยืนอยู่ข้างข้า’
ใบหน้าของเขากลายเป็นมืดมน เป็นเรื่องยากที่จะแก้ปัญหานี้
เขาต้องการล้มฟางหยวนในที่สาธารณะแต่เขาพบอุปสรรค์ตั้งแต่แรกเริ่ม แล้วตอนนี้เขาควรทำอย่างไร?
เขามาที่นี่อย่างกะทันหันและรู้จักผู้อมตะตระกูลจื่อน้อยมาก โดยปกติเขาจะปิดประตูฝึนตนอยู่อย่างเงียบๆ อิทธิพลในตระกูลจื่อของเขาค่อนข้างอ่อนแอและอาจกล่าวได้ว่าเขามีอิทธิพลน้อยที่สุดในบรรดาผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งหมด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่ แม้เขาจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เขาก็ไม่สามารถออกคำสั่งจื่อลิ่วได้อย่างสมบูรณ์
อารมณ์ของจื่อลิ่วค่อนข้างแย่ การต่อต้านผู้อมตะระดับเจ็ดโดยเฉพาะคนที่เป็นความหวังของตระกูลในอนาคต นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี
อย่างไรก็ตามคนระดับต่ำกว่ามักมีวิธีเอาตัวรอดเป็นของตนเอง
จื่อลิ่วคิดก่อนกล่าว “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการทำเรื่องนี้ในนามของนายท่าน มันเป็นเพียงว่าสถานะของท่านสูงส่งเกินไป เรื่องนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ข้าคิดว่าเราควรแจ้งให้ท่านจื่อกุ้ยรับทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรก เขาเป็นผู้นำของที่นี่ เราควรฟังความคิดเห็นของเขา ท่านคิดอย่างไร?”
น้ำเสียงของจื่อลิ่วอ่อนน้อมและสุภาพมาก
จื่อซานพยักหน้าเห็นด้วย “เอาล่ะ มาดูกันว่าท่านจื่อกุ้ยจะว่าอย่างไร?”
จื่อกุ้ยขมวดคิ้วเมื่อได้รับรายงานจากจื่อลิ่ว การทะเลาะวิวาทเพราะผู้หญิงไม่ทำให้ผู้ใดรู้สึกดี
แน่นอนว่ามันทำให้จื่อกุ้ยรู้สึกลำบากใจ
ด้านหนึ่ง เขาต้องแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อที่อยู่เบื้องหลังจื่อซาน
ในทางกลับกัน หากพวกเขาทำเรื่องนี้จริงๆ มันจะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไปแต่จะเป็นเรื่องการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลวูกับตระกูลจื่อ
นี่คือโลกของผู้แข็งแกร่ง
ดังนั้นการเมืองจึงถูกกำหนดโดยบุคคล
จื่อซานและวูอี้ไห่มีสถานะสูงมากทั้งคู่ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาก็คือความขัดแย้งระหว่างตระกูล
นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง
‘โดยเฉพาะตระกูลวู พวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หากตระกูลจื่อร่วมสร้างปัญหาให้กับพวกเขา มันจะทำลายความเป็นกลางของตระกูลจื่อและมันจะทำให้ชื่อเสียงของเราตกต่ำลงด้วยการเตะขัดขาบางคนให้ล้มลง นี่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเลวร้ายลงไปอีกและจะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของตระกูลจื่อ’
‘แต่ข้าก็ต้องเอาใจจื่อซานเช่นกัน…’
จื่อกุ้ยครุ่นคิดก่อนจะส่งข้อความถึงจื่อซาน “เราไม่สามารถทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ มิฉะนั้นผลกระทบของมันจะเลวร้ายมาก แม้เราจะชนะ แต่เราก็จะกลายเป็นตัวตลก เราควรจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว อย่างไรก็ตามเจ้าสามารถบอกเทพธิดาซื่อหลิวเกี่ยวกับสถานการณ์ของวูอี้ไห่ หากเจ้าสามารถขอให้นางเป็นพยาน วูอี้ไห่ย่อมไม่กล้ากระทำการไร้ยางอายอย่างแน่นอน”
จื่อซานตบต้นขาของตนเองและตะโกน “เป็นความคิดที่ดี!”
จื่อกุ้ยเผยรอยยิ้มพึงพอใจกับตนเองเล็กน้อย
จื่อซานเร่งส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลไปหาเฉียวซื่อหลิว
‘ตอนนี้เทพธิดาซื่อหลิวรู้เรื่องนี้แล้ว นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสุภาพบุรุษ’
‘ข้าต้องรีบทำภารกิจของวูอี้ไห่ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด!’
‘นี่คือความสามารถพิเศษของข้า ข้าจะแพ้ไม่ได้!’
แรงกดดันมหาศาลกลายเป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับจื่อซาน
เขาเริ่มจดจ่ออยู่กับปัญหา
‘นี่เป็นส่วนหนึ่งหรือไม่?’
‘มันมีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับส่วนก่อนหน้านี้’
‘มีแนวโน้มว่าค่ายกลวิญญาณทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ หากข้าเห็นค่ายกลวิญญาณทั้งหมด มันจะง่ายกว่านี้ ตอนนี้ข้าสามารถอนุมานได้จากสิ่งที่มีอยู่เท่านั้น’
เราเริ่มปวดหัว
จื่อซานเริ่มใช้ทักษะของเขา
มันก็คือค่ายกลวิญญาณ!
เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่ได้รับการสั่งสอนมาโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ
ค่ายกลวิญญาณนี้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งปัญญาเป็นแกนกลางขณะที่ใช้วิญญาณอมตะดวงหนึ่งเป็นส่วนหนุนเสริม
โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายอมตะหรือค่ายกลวิญญาณอมตะ ทั้งสองจะใช้วิญญาณอมตะเป็นแกนกลางและวิญญาณระดับมนุษย์เป็นส่วนสนับสนุน อย่างไรก็ตามค่ายกลวิญญาณนี้กลับทำสิ่งตรงข้าม
วิญญาณอมตะที่ใช้สนับสนุนเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งวารีชื่อหยาดเหงื่อ
ชื่อของค่ายกลวิญญาณนี้คือหยาดเหงื่อแห่งปัญญา มันค่อยๆทำงานหลังจากได้รับพลังงานอมตะจากจื่อซาน
แสงสว่างส่องประกายระยิบระยับขณะที่กลิ่นหอมและกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งขึ้นพร้อมกัน
กลิ่นที่รุนแรงค่อยๆควบแน่นและกลายเป็นหมอกควันลอยปกคลุมใบหน้าของจื่อซานเอาไว้
เป็นเวลาสามวันสามคืนที่จื่อซานไม่ได้พักผ่อนและยังครุ่นคิดต่อไป
ในที่สุดกลุ่มหมอกควันก็สลายหายไปพร้อมกับค่ายกลวิญญาณ วิญญาณส่วนใหญ่ถูกทำลาย มันเหลือเพียงสิบส่วนเท่านั้น
ใบหน้าของจื่อซานกลายเป็นซีดขาว ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แต่ดวงตาของเขายังส่องประกายเจิดจ้า
เขาเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็แก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ ข้าจะดูว่าเจ้าจะแสดงออกอย่างไร วูอี้ไห่!”
หลังจากนั้นไม่นานฟางหยวนก็ได้รับจดหมาย
“โอ้ เขาฉลาดขึ้นแล้ว ใช้เฉียวซื่อหลิวสร้างปัญหาให้ข้างั้นหรือ?”
“น่าเสียดายที่เป้าหมายของข้าไม่ใช่นาง การคุมคามเล็กน้อยนี้ไม่มีความหมายต่อข้า”
ฟางหยวนชื่นชมอีกครั้ง
“น่าสนใจ น่าสนใจ วิธีแก้ปัญหานี้เป็นวิธีที่ดีจริงๆ”
“แต่เหตุใดข้าถึงคิดไม่ออก?”
เส้นทางแห่งค่ายกลกว้างใหญ่ไพศาล มรดกที่ฟางหยวนได้รับเป็นเพียงมรดกระดับมนุษย์ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เข้าใจหลายสิ่ง
สำหรับตระกูลจื่อ พวกเขาไม่ขาดแคลนมรดกบนเส้นทางแห่งค่ายกลระดับอมตะ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการพัฒนาและส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งค่ายกลอันดับหนึ่งของภาคใต้
“อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะไม่มีมรดกอมตะ แต่หากข้ากลายเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล ข้าจะสามารถแก้ปัญหานี้”
ระดับความสำเร็จคือความเข้าใจในแก่นแท้ของเต๋าอันยิ่งใหญ่
เรื่องนี้สามารถเปรียบเทียบกับปัญหาทางคณิตศาสตร์
ฟางหยวนต้องการเลข 5 เป็นคำตอบ แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้รับคำตอบนี้
แต่จื่อซานใช้วิธีการของเขาและบอกว่า 2+3=5
แม้ฟางหยวนจะไม่มีวิญญาณที่สามารถบอกสูตรคำนวณให้เขาได้โดยตรง แต่หากระดับความสำเร็จของเขาสูงพอ เขาจะสามารถพึ่งพาสัญชาตญาณเพื่อคาดเดาว่า 2+3=5 หรือ 10/2=5
โดยธรรมชาติแล้วค่ายกลวิญญาณไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น มันมีวิญญาณจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ
ในคืนวันที่สอง จื่อซานที่รอคอยอย่างกระตือรือร้นก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากฟางหยวน
“คราวนี้มีเทพธิดาซื่อหลิวเป็นพยาน ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะทำตัวไร้ยางอายได้อย่างไร!?” จื่อซานคิดและเพ่งจิตเข้าไปในวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูล
ใบหน้าของเขาสว่างไสวขึ้นในไม่ช้า
เพราะฟางหยวนยอมรับความสามารถของเขาและกล่าวว่าเขาคู่ควรที่จะได้รับคำชื่นชมจากเทพธิดาซื่อหลิว แต่ฟางหยวนยังกล่าวว่าตระกูลวูมีคนที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เช่นกันและมันไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ
จื่อซานขมวดคิ้วแต่เขาไม่สามารถโต้แย้งเนื่องจากตระกูลวูมีคนที่สามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ
ในส่วนท้ายฟางหยวนได้หยิบยกปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้เขายังสัญญาว่าหากจื่อซานสามารถแก้ปัญหานี้ เขาจะยอมรับว่าจื่อซานเหนือกว่าเขา แม้กระทั่งต่อหน้าเทพธิดาซื่อหลิว เขาก็จะยอมรับว่าตนเองด้อยกว่า
จื่อซานสูดหายใจลึก
เขาจินตนาการถึงสถานการณ์นั้นทันที เมื่อเขาและวูอี้ไห่ปรากฏตัวต่อหน้าเฉียวซื่อหลิวพร้อมกันขณะที่วูอี้ไห่ป้องหมัดกล่าวว่า ข้าด้อยกว่าท่าน
คู่แข่งความรักยอมรับว่าตนเองด้อยกว่า!
ยิ่งจื่อซานคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น
“วูอี้ไห่มีสถานะสูง เขาเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”
“ข้าสามารถชนะและเอาชนะเขาได้!”
“สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือเทพธิดาซื่อหลิวจะเป็นพยานในเรื่องนี้ ข้าไม้ต้องกลัวว่าวูอี้ไห่จะผิดสัญญา!”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1330 ไม่สามารถแก้ไข
แปลโดย iPAT
ค่ายกลวิญญาณหยาดเหงื่อแห่งปัญญา
จื่อซานจัดตั้งค่ายกลนี้ขึ้นอีกครั้งและพยายามแก้ปัญหา
แต่คราวนี้เขาพบกับความท้าทายที่คาดไม่ถึง
ยาก มันยากมาก! กระทั่งสองรอบแรกรวมกันและคูณด้วยสิบก็ไม่สามารถจับคู่กับสิ่งนี้
จื่อซานรู้สึกเหมือนเด็กที่พยายามปีนขึ้นภูเขาสูง
‘ความยากลำบากนี้…ไม่แปลกใจเลยที่วูอี้ไห่มีความมั่นใจมาก!’
‘มันเกี่ยวข้องกับค่ายกลวิญญาณสองส่วนแรก’
‘ไม่ ข้าต้องใช้โอกาสนี้ทำลายชื่อเสียงของวูอี้ไห่ ข้าต้องทำให้เขายอมรับว่าเขาด้อยกว่าข้าต่อหน้าเทพธิดาซื่อหลิว!’
หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืนดวงตาของจื่อซานก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด
ในเวลาเดียวกันฟางหยวนกำลังคิด
‘ความยากนี้มันควรจะเกินขีดความสามารถของปรมาจารย์’
ไม่นานมานี้ฟางหยวนได้รับความช่วยเหลือจากจื่อซาน เขาสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบค่ายกลวิญญาณของถ้ำขดด้าย นั่นเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ฟางหยวนกลับพบปัญหาที่ไม่เคยพบมาก่อน
หากปัญหาแรกคือหลุม ปัญหาที่สองคือเนินดิน อุปสรรคสุดท้ายก็คือภูเขาสูง
ด้วยการปีนขึ้นไปบนยอดเขา เขาจะสามารถแก้ปัญหานี้
แต่อุปสรรคนี้เกินความคาดหมายของฟางหยวนไปไกลมาก
‘จากการประเมินเบื้องต้นของข้า หากสามารถแก้ปัญหานี้ ค่ายกลวิญญาณจะเพิ่มผลผลิตแมงมุมหน้าคนอีกสองหรือสามเท่า’
มันจะกลายเป็นแปดเท่าจากจุดเริ่มต้น
ความก้าวหน้านี้น่ากลัวมาก หากค่ายกลวิญญาณนี้ประสบความสำเร็จ ผลประโยชน์ของเขาจะบรรลุถึงระดับที่น่ากลัวมาก
นี่เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมแต่มันยังมีอุปสรรคสำคัญ
แม้สองขั้นตอนแรกจะประสบความสำเร็จ แต่ขั้นตอนนี้เขาไม่สามารถทำสิ่งใด
หลายวันต่อมาค่ายกลวิญญาณหยาดเหงื่อแห่งปัญญาก็หยุดทำงาน
ใบหน้าของจื่อซานกลายเป็นซีดขาว
สายตาของเขาล่องลอยและไร้แสงสว่าง
“บัดซบ!” เส้นผมของเขายุ่งเหยิงเหมือนวัชพืช การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เขากัดฟันแน่นและสาปแช่ง
แม้เขาจะทุ่มสุดตัวแต่มันก็ยังไม่สำเร็จ
ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่สามารถเอาชนะฟางหยวนและสิ่งที่เลวร้ายกว่าก็คือเฉียวซื่อหลิวรู้เกี่ยวกับการท้าทายครั้งนี้ขณะที่จื่อซานได้โอ้อวดว่าตนเองจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน
หากเขาล้มเหลว ลืมเรื่องวูอี้ไห่ไปได้เลย แต่หลังจากนี้เขาจะกล้าเผชิญหน้ากับเฉียวซื่อหลิวได้อย่างไร?
จื่อซานรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่คาดคิด
เขากินและพักผ่อนอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับไปคิดวิเคราะห์อีกครั้ง
ตระกูลจื่อตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของภาคใต้
ตระกูลหยางเป็นเพื่อนบ้านของตระกูลจื่อ
ขณะที่ตระกูลหยางอยู่ติดกับตระกูลวูและกำลังเกิดข้อพิพาทกับตระกูลวูเนื่องจากวิญญาณอมตะป่า
ตระกูลจื่อ ตระกูลหยาง ตระกูลวู
ตามกฎพื้นฐาน ผูกมิตรกับคนที่อยู่ห่างไกลและเป็นศัตรูกับคนที่อยู่ใกล้ ตระกูลจื่อและตระกูลวูมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา
ในเวลานี้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลถูกส่งไปยังผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยู
จื่อชิวหยุมองและขมวดคิ้ว
ข้อมูลนี้ไม่ได้กล่าวถึงผู้ใดนอกจาการต่อสู้ระหว่างฟางหยวนกับจื่อซานในค่ายกลวิญญาณ
จื่อกุ้ยเกรงว่าความขัดแย้งระหว่างฟางหยวนและจื่อซานจะบานปลาย เขาจึงต้องรายงานเรื่องนี้กับจื่อชิวหยู
ด้วยวิธีนี้แม้สถานการณ์จะเลวร้ายลง ความรับผิดชอบของจื่อกุ้ยก็จะลดลง
จื่อชิวหยูเบี่ยงเบนความสนใจบางส่วนไปที่ความขัดแย้งนี้ขณะที่เขายังจัดการปัญหาทางการเมืองที่ซับซ้อนของตระกูลต่อไป
ทั้งสองฝ่ายต่างมีสถานะพิเศษ หากจัดการไม่เหมาะสม มันอาจเกิดปัญหาใหญ่
‘จื่อซานกำลังมีปัญหา ปัญหาของค่ายกลวิญญาณนี้..เกินความสามารถของปรมาจารย์’
วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลบันทึกปัญหาที่สามของฟางหยวนเอาไว้
จื่อชิวหยูเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขาสามารถระบุความยากของปัญหาด้วยการกวาดตามอง
‘รวมกับปัญหาสองข้อแรก วูอี้ไหกำลังพยายามสร้างค่ายกลวิญญาณเพื่อบ่มเพาะทรัพยากร แต่คนที่สร้างค่ายกลวิญญาณนี้โลภมากเกินไป พวกเขามีระดับความสำเร็จไม่เพียงพอและไม่สามารถสังเกตเห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่’
‘หากข้าไม่กล่าวสิ่งใด ด้วยธรรมชาติที่ดื้อรั้นของจื่อซาน เขาจะค้นคว้าต่อไป บางทีมันทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหรือกระทั่งถึงตาย’
‘นี่เป็นแผนของตระกูลวูหรือไม่?’
‘พวกเขาเห็นศักยภาพของจื่อซาน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามกำจัดความหวังในอนาคตของเรางั้นหรือ?’
‘ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลวู มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ข้าก็ไม่สามารถประมาท’
จื่อชิวหยูคิดและพึมพำ “ดูเหมือนข้าต้องทำบางสิ่ง”
ครู่ต่อมาจื่อกุ้ยก็ไปพบจื่อซานและนำวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลจากจื่อชิวหยูมาด้วย
“นี่คือคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ข้าต้องมอบวิญญาณอมตะดวงนี้ให้เจ้า” จื่อกุ้ยกล่าว
จื่อซานรับวิญญาณอมตะด้วยสายตาว่างเปล่า หลังจากอ่านข้อความ การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไป เขาอุทานด้วยความประหลาดใจ “นี่คือมรดกอมตะที่ถูกทิ้งไว้โดยตู้หยวน ค่ายกลวิญญาณธาตุทั้งสี่ของเขาพิเศษมาก แต่เขาไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ข้าเคยขอมรดกอมตะนี้จากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งมาหลายครั้งแต่ท่านไม่เคยมอบมันให้ข้า!”
จื่อซานตื่นเต้นมาก เขามองเข้าไปในมรดกอมตะโดยไม่สนใจโลกภายนอก
เมื่อเขาได้สติอีกครั้งมันก็เป็นยามดึกแล้ว
“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ หือ ผู้อาวุโสจื่อกุ้ยจากไปเมื่อใด? ลืมไปมันซะ” ดวงตาของจื่อซานส่องประกายเจิดจ้า
มรดกที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม นี่คือสิ่งที่จื่อซานต้องการมากที่สุดในยามนี้
จื่อซานเต็มไปด้วยความชื่นชมและกตัญญูต่อจื่อชิวหยู
“ดังนั้นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งก็คอยสังเกตข้ามาตลอด”
“ท่านเห็นว่าข้ากำลังมีปัญหา ท่านจึงช่วยข้า”
“นี่เป็นการโกงหรือไม่?”
“ไม่ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่ได้ช่วยข้าโดยตรง ท่านเพียงมอบมรดกที่แท้จริงให้ข้า แรงบันดาลใจในการแก้ปัญหายังเป็นความคิดของข้า”
“ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น เอาล่ะ ข้าเสียเวลาไปมากแล้ว”
จือซานตื่นเต้นมาก เขาใช้ค่ายกลวิญญาณหยาดเหงื่อแห่งปัญญาอีกครั้ง
สองวันผ่านไปค่ายกลวิญญาณหยาดเหงื่อแห่งปัญญาก็หยุดทำงานขณะที่จื่อซานเดินออกมาด้วยความโกรธ
“ดังนั้นปัญหานี้ก็ไม่สามารถแก้ไข!”
“วูอี้ไห่ เจ้ากล้าหลอกลวงข้า!”
“เจ้าเล่ห์นัก!”
“โชคดีที่ข้าสามารถเปิดเผยความจริงนี้ด้วยคำแนะนำจากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จื่อซานก็กัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายวันแต่สุดท้ายเขากลับตระหนักว่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไข
จื่อซานรู้สึกว่าวูอี้ไห่ใช้ลูกไม้กับเขา นี่ทำให้เขาโกรธมาก
แต่ในไม่ช้าเขาก็หัวเราะ “ถูกต้อง ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไข ตราบเท่าที่ข้าเปิดเผยความจริงข้อนี้ ข้าจะชนะ อันที่จริงข้าสามารถบอกเทพธิดาซื่อหลิวเกี่ยวกับเรื่องนี้และทำให้วูอี้ไห่จอมหลอกลวงต้องอับอาย”
จื่อซานดำเนินการทันทีโดยส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลสองดวงออกไป
ฟางหยวนได้รับวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลสองหนึ่ง
หนึ่งจากจื่อซานและอีกดวงจากเฉียวซื่อหลิว
ไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึงที่เฉียวซื่อหลิวจะส่งจดหมายมาหาเขา แต่หลังจากอ่านจดหมาย เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาอ่านจดหมายของจื่อซาน เขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“จื่อซานผู้นี้ฉลาดขึ้นแล้ว เขาส่งจดหมายไปหาเฉียวซื่อหลิวและตำหนิข้า มันเป็นการป้องกันไม่ให้ข้าตอบโต้ เขาพัฒนาขึ้นแล้วจริงๆ”
รอยยิ้มของฟางหยวนหายไป
หลังจากทั้งหมดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
ค่ายกลวิญญาณของเขาไม่มีวิธีแก้ปัญหา
นี่เป็นสถานการณ์ทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตาย เคล็ดลับการหลอมรวม หรือค่ายกลวิญญาณ มีโอกาสที่พวกมันจะเป็นไปไม่ได้และไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ
ปัญหาบางอย่างเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกแต่บางอย่างก็ไม่ชัดเจน
โดยเฉพาะค่ายกลวิญญาณ มันใช้วิญญาณมากเกินไป มันซับซ้อนเกินไป
“แนวความคิดในการเพิ่มผลผลิตแปดเท่าของข้าเป็นความคาดหวังที่สูงเกินไป มันเป็นไปไม่ได้”
“เมื่อมันไม่สามารถแก้ไข ข้าก็ทำได้เพียงละทิ้งมันและหาวิธีดัดแปลงเท่านั้น”
“แต่ตอนนี้ลืมมันไปก่อน”
“ตั้งแต่ข้าแพ้การท้าทาย ข้าควรเชิญจื่อซานมาที่นี่ คนผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”
จื่อซานไม่ได้คิดมาก เขาตกลงมางานเลี้ยงทันที
ทัศนคติของเขาแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แรกเริ่มเขาคิดว่าฟางหยวนยโสมาก ดังนั้นจื่อซานจึงปฎิเสธที่จะรับคำเชิญ แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ชนะ เขารู้สึกว่านี่เป็นงานเลี้ยงขอโทษ ดังนั้นเขาจึงต้องการลิ้มรสชาติความหอมหวานของผู้ชนะ
เมื่อเขาพบฟางหยวน คำกล่าวแรกของเขาก็คือ “วูอี้ไห่ เจ้ายอมแพ้หรือยัง?”
ฟางหยวนลูบจมุกและยิ้ม “แน่นอน เจ้าเป็นอัจฉริยะ แล้วเหตุใดข้าจะไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้?”
จื่อซานตะลึง เขาไม่ได้คาดหวังว่าฟางหยวนจะกล่าวเช่นนี้ เขายอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมา!
ก่อนหน้านี้เขาคิดถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากมายและวิธีจัดการกับข้อแก้ตัวของฟางหยวน
แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง เขายอมแพ้!
จื่อซานรู้สึกพูดไม่ออก
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1331 จบเรื่องจื่อซาน
แปลโดย iPAT
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น
ในห้องโถงเล็กๆมีเพียงฟางหยวน วูอัน และจื่อซาน วูอันไร้นัยสำคัญ มีเพียงฟางหยวนและจื่อซานเท่านั้นที่พูดคุยกัน
ฟางหยวนดื่มให้จื่อซานด้วยรอยยิ้ม เขาแสดงความชื่นชมและยกย่องความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของจื่อซานอย่างมาก
เมื่อฟางหยวนยอมรับความพ่ายแพ้ จื่อซานจะกล้าสร้างปัญหาให้เขาอีกได้อย่างไร?
จื่อซานเป็นคนตรงไปตรงมาและขาดประสบการณ์ในการเข้าสังคมอย่างสิ้นเชิง
เขาประเมินฟางหยวนในมุมที่ต่างออกไป
‘วูอี้ไห่ผู้นี้ค่อนข้างเป็นมิตร เกิดสิ่งใดขึ้นก่อนหน้านี้? เขาพยายามทำให้ข้าโกรธหรือเขาต้องการสิ่งใดจากข้า?’ จื่อซานคิด
“ข้าจะไม่ปิดบัง จื่อซาน คนที่มีความสามารถเช่นเจ้าคือคนที่ข้าชื่นชอบมากที่สุด!” ฟางหยวนหัวเราะและยกถ้วยสุราขึ้น
จื่อซานยกถ้วยขึ้นและดื่มกับฟางหยวน
คำกล่าวของฟางหยวนน่าพอใจมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นถ้อยคำจากคู่แข่งความรัก คำชมดังกล่าวทำให้จื่อซานสามารถดื่มด่ำกับความสำเร็จของตน
‘ไม่!’
‘ข้าต้องระวังตัว!’
‘วูอี้ไห่อาจกำลังแสดงละคร เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก!’
จื่อซานระวังตัวมากขึ้นแต่รอยยิ้มของฟางหยวนก็เต็มไปด้วยความจริงใจ
ฮ่าฮ่า อย่าลืมทักษะการแสดงของฟางหยวน และยิ่งไม่ควรลืมวิญญาณทัศนคติ
“จื่อซาน ลองดูนี่” ฟางหยวนส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจื่อซาน
“มันคือสิ่งใด?” จื่อซานพึมพำ เมื่อเขาตรวจสอบ การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปทันที
ปรากฎว่านี่คือวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่ฟางหยวนกำลังจะส่งไปหาเฉียวซื่อหลิว ในจดหมาย เขายกย่องจื่อซานเป็นอย่างมาก เขายอมรับว่าตนเองด้อยกว่า การใช้ปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกลท้าทายจื่อซานเป็นการประเมินตนเองที่สูงเกินไป เขาเป็นคนโง่เขลาอย่างแท้จริงและมองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน
หลังจากจื่อซานเห็นจดหมายฉบับนี้ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย
คำชมของฟางหยวนเกินจริงไปมาก
‘ข้าดีถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ?’
‘วีรบุรุษของภาคใต้ เหตุใดข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้?’
‘เทพธิดาซื่อหลิวจะคิดอย่างไรหลังจากได้รับจดหมายฉบับนี้?’
ความคิดทุกประเภทปะทุขึ้นในใจของจื่อซานอย่างไม่สามารถควบคุม
เมื่อเขามองฟางหยวนอีกครั้ง สายตาของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
“จื่อซาน ทั่วทั้งโลกผู้อมตะของภาคใต้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับเทพธิดาซื่อหลิว ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง!” ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง
“โอ้?” จื่อซานไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขแต่เขายังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ฟางหยวนกล่าวอีกครั้ง “แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ เป็นเรื่องธรรมดาที่บุรุษจะไล่ตามหญิงงาม แม้ข้าจะมีความสามารถด้อยกว่าเจ้า แต่ข้าจะทำงานให้หนักขึ้น เจ้าชนะครั้งนี้ แต่เราจะแข่งขันกันอย่างยุติธรรมอีกครั้งในอนาคต! เจ้าคิดอย่างไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความสงสัยทั้งหมดของจื่อซานก็ถูกปัดเป่าออกไป เขายกถ้วยสุราให้ฟางหยวนเป็นครั้งแรก “แน่นอน การแข่งขันที่ยุติธรรม! การแข่งขันระหว่างบุรุษควรจะยุติธรรมและตรงไปตรงมา!”
เขาปฏิบัติต่อฟางหยวนราวกับคู่แข่งที่เท่าเทียม
ฟางหยวนหัวเราะและตบไหล่จื่อซาน “กล่าวตามตรง ข้าเกลียดคู่แข่งคนอื่นๆ แต่เจ้าแตกต่างออกไป เจ้ามีความสามารถและตรงไปตรงมา ข้ารู้สึกชื่นชมจากใจจริง หากเจ้าได้รับความรักจากเทพธิดาซื่อหลิว ข้าจะอวยพรพวกเจ้าเพราะข้ารู้ว่าข้าไม่ได้แพ้อย่างอยุติธรรม สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาเป็นเพียงตัวตลก”
จื่อซานรู้สึกเขินอายที่ได้รับชมมากมาย เขายกมือขึ้นถูจมูกและกล่าว “แท้จริงแล้วบางคนค่อนข้างมีความสามารถ”
“มิตรภาพมักเกิดขึ้นหลังการต่อสู้ มาดื่มกันเถอะ!” ฟางหยวนยกถ้วยสุราขึ้น
จื่อซานแสดงออกอย่างเปิดเผยมากขึ้น “ดื่ม!”
เขาเงยศีรษะและดื่มสุราจนหมดถ้วยในครั้งเดียว
นอกจากนั้นเขายังเรอออกมาด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
“เยี่ยม!” ฟางหยวนยกนิ้วให้และรินสุราให้จื่อซานอีกครั้ง
เขายิ้มอย่างจริงใจและเป็นมิตรมาก
แต่ความจริงคือในใจของฟางหยวนยังสงบนิ่ง เขากำลังคิดถึงข้อมูลของจื่อซาน
การรวบรวมข้อมูลของตระกูลวูไม่สามารถดูแคลน
ฟางหยวนรู้มานานแล้วว่าจื่อซานเป็นศิษย์สายตรงที่จื่อชิวหยูดูแลมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก
จื่อซานเป็นที่รู้จักกันในฐานะความหวังในอนาคตของตระกูลจื่อ
เขาถูกส่งตัวไปยังภูเขาหมื่นอสรพิษและศึกษาเรียนรู้อยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามสิบปี
เมื่อเขาอายุสี่สิบ เขาออกมาและกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามที่เหนือกว่าผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้า ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาทำให้ตระกูลจื่อทั้งหมดตกตะลึง
ตระกูลจื่อต้องการมอบชื่อเสียง เงินทอง และหญิงงามให้เขา แต่เขาปฏิเสธทั้งหมด คำขอเดียวของเขาคือกลับไปเรียนรู้บนภูเขาหมื่นอสรพิษ
จื่อชิวหยูอนุญาตตามคำร้องของจื่อซาน เขายังสร้างที่พักและมอบบริวารให้จื่อซานอีกด้วย
จื่อซานหมกหมุ่นอยู่กับการเรียนรู้ของเขาต่อไปราวกับมันเป็นความสุขเดียวในชีวิตของเขา
เมื่อเส้นผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวและอายุขัยของเขากำลังจะสิ้นสุดลง จื่อชิวหยูไปหาเขาและถามเขาว่า “ในชีวิตนี้เจ้ามีเรื่องเสียใจหรือไม่? เจ้ามีคำขอใดก่อนตายหรือไม่?”
จื่อซานร้องไห้เสียงดัง “ชีวิตสั้นเกินไป ร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าต้องการเรียนรู้ แล้วข้าจะพักผ่อนอย่างสงบสุขได้อย่างไร? นี่เป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”
จื่อชิวหยูถอนหายใจด้วยความชื่นชมและมอบวิญญาณอายุยืนให้เขา
จื่อซานรับมันมาและสามารถต่ออายุขัยของตนเอง
จื่อชิวหยูพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางแห่งค่ายกลกับเขาเป็นเวลาสามวันสามคืนและสามารถยืนยันว่าจื่อซานเป็นความหวังในอนาคตของตระกูลจื่อ เขาจะกลายเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลในอนาคต!
จื่อชิวหยูเลี้ยงดูจื่อซานด้วยทรัพยากรมากมาย
ด้วยความช่วยเหลือจากตระกูล ระดับการบ่มเพาะของจื่อซานพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขากลายเป็นผู้อมตะในเวลาไม่กี่สิบปีต่อมา สุดท้ายยังบรรลุถึงระดับเจ็ด
แม้เขาจะกลายเป็นผู้อมตะแต่นิสัยของเขาไม่เคยเปลี่ยน
เขายังหมกหมุ่นอยู่กับเส้นทางแห่งค่ายกลและเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขาปิดประตูฝึกตนเป็นเวลานับทศวรรษในแต่ละครั้ง
สิ่งเดียวที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือเขาชื่นชอบเฉียวซื่อหลิวเป็นอย่างมาก
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนตระกูลจื่อต่างตกตะลึง ผู้ใดจะคิดว่านอกจากเส้นทางแห่งค่ายกล จื่อซานยังชอบหญิงงาม!
หลังจากได้รับข้อมูลจากตระกูลวู ฟางหยวนรู้สึกว่าจื่อซานเป็นคนที่น่าสนใจ
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ เขาจึงใช้วิธีพิเศษเพื่อจัดการจื่อซาน
ฟางหยวนไม่ได้ไปพบจื่อซานตั้งแต่แรก นั่นเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขา เขาจงใจใช้ปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกลท้าทายจื่อซาน นั่นคือแผนการขั้นที่สอง และขั้นที่สามคืองานเลี้ยงครั้งนี้
การแสดงออกของจื่อซานไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของฟางหยวน
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของฟางหยวนทั้งหมด
ไม่นานมานี้เฉียวซื่อหลิวยังส่งจดหมายมาหาฟางหยวนตามความคาดหวังของเขาเช่นกัน ในฐานะบุคคลที่เกี่ยวข้อง เฉียวซื่อหลิวต้องแสดงทัศนคติของนางอย่างชัดเจน
แม้นางจะไม่ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาในจดหมาย แต่ในจดหมายนางกล่าวถึงการพบกันครั้งแรกของนางกับจื่อซาน
ตามคำกล่าวของเฉียวซื่อหลิว ย้อนกลับไปนางไปเยี่ยมตระกูลจื่อตามคำสั่งของตระกูลเฉียว นางได้รับการต้อนรับโดยผู้อมตะจื่อพ่าง นายน้อยของตระกูลจื่อ
แต่จื่อพ่างกลับเกี้ยวพาราสีเฉียวซื่อหลิวโดยใช้บทกวีบางบท
หากเป็นช่วงเวลาปกติเฉียวซื่อหลิวอาจไม่โกรธ แต่ในเวลานั้นนางไปในฐานะทูตของตระกูลเฉียว การกระทำของจื่อพ่างถือว่าไม่เคารพต่อตระกูลเฉียว เฉียวซื่อหลิวจึงรู้สึกไม่พอใจ
เพื่อจัดการจื่อพ่าง เฉียวซื่อหลิวจงใจเข้าใกล้จื่อซาน
จื่อพ่างเป็นบุตรชายของจื่อชิวหยูซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ เขามีอำนาจเป็นอันดับสองในตระกูล ไม่มีผู้ใดกล้าล้อเล่นกับเขายกเว้นจื่อซาน
จื่อซานไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แรกเริ่มเขาไม่สนใจเฉียวซื่อหลิว แต่นางจงใจพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเส้นทางแห่งค่ายกลและกระทั่งกล่าวถึงวิธีบนเส้นทางแห่งค่ายกลของตระกูลเฉียว
นั่นทำให้จื่อซานรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เฉียวซื่อหลิวจึงสามารถใช้จื่อซานจัดการจื่อพ่าง จื่อพ่างไม่สามารถทำสิ่งใดและทำได้เพียงขอโทษเฉียวซื่อหลิวอย่างลับๆ
เฉียวซื่อหลิวเสร็จสิ้นภารกิจของตระกูลและกลับบ้านของนางพร้อมกับจื่อซาน
จดหมายของเฉียวซื่อหลิวทำให้ฟางหยวนได้รับข้อมูลสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลจื่อ
‘ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อมีอายุขัยจำกัด เขาไม่สามารถใช้วิญญาณอายุยืนได้อีกต่อไป แต่บุตรชายของเขาจื่อพ่างไร้ความสามารถ’
‘จื่อชิวหยูเข้าใจความสามารถของจื่อพ่างอย่างชัดเจน แต่เขายังต้องการผลักดันให้บุตรชายของตนกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อต่อไป ดังนั้นเขาจึงลงทุนกับจื่อซาน’
‘ตราบเท่าที่จื่อซานอยู่ข้างกายจื่อพ่าง จื่อพ่างจะมีโอกาสยึดครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ’
‘ระบบตระกูล ฮ่าฮ่า’
จดหมายของเฉียวซื่อหลิวแสดงให้เห็นถึงปัญหาภายในของตระกูลจื่อ
มันยังทำให้ฟางหยวนได้รับคำตอบบางอย่างเกี่ยวกับอัจฉริยะจื่อซานผู้นี้
“วูอี้ไห่ ให้ข้าดื่มให้เจ้า!” จื่อซานยกถ้วยสุราให้ฟางหยวน
จื่อซานกล่าวต่อ “เจ้าเป็นคนจริงใจมาก หากเทพธิดาซื่อหลิวเลือกข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียใจมากนัก เจ้ามีความสามารถมาก มีผู้หญิงอีกมากมายบนโลกใบนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เรียนรู้เกี่ยวกับเส้นทางแห่งค่ายกล!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น